“พี่ตี้ จันทร์อยากออกไปข้างนอก...”
พระจันทร์ที่กำลังนั่งแปรงขนให้เสือขาวตัวโปรดเอ่ยปากบอกกับบอดี้การ์ดส่วนที่ยืนไขว้มืออยู่ข้างๆ
“ตอนนี้เลยเหรอครับ...แต่เราเพิ่งกลับเข้ามา ผมคิดว่าคุณหยางคงจะไม่อนุญาต...”
“พี่ยะมีแขก...เดี๋ยวพี่ตี้ค่อยโทรบอกพี่ยะทีหลังก็ได้นะครับ นะ...จันทร์อยากออกไปตอนนี้เลย”
...บอกตามตรงว่าตอนนี้เขาไม่อยากอยู่ในเขตบริเวณบ้านหลังนี้แม้แต่ซักนิด...มันอึดอัดใจยังไงบอกไม่ถูก...
และก็ดูเหมือนบอดี้การ์ดหนุ่มตี้เฉินก็พอจะมองอาการไม่สบายของเจ้านายตัวน้อยออกเช่นกัน...
“ก็ได้ครับ...ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเอารถออกแล้วผมจะขับรถให้คุณหนูเอง...เชิญครับ” พูดจบบอดี้การ์ดร่างสูงก็ผายมือให้เจ้านายตัวน้อย
พระจันทร์ก้มลงจูบหน้าผากลูกหมาตัวเล็กในตะกร้าผ้าบุนวมเบาๆ ก่อนจะหันมาสั่งสองสัตว์หน้าขนตัวใหญ่กว่าว่า...
“ดูน้องด้วยนะ เดี๋ยวจันทร์กลับมา...ห้ามกินน้องหรือแกล้งน้องเด็ดขาด เข้าใจมั้ย...” พูดแล้วก็เกาที่หลังหูทั้งเสือและสิงโตพร้อมกัน
“โอ๋ว...” สองสัตว์ประสานพร้อมกันร้องบอก...เป็นอันรู้กันว่าเจ้าสองตัวนั้นเข้าใจที่เขาพูดแล้ว...
ตี้เฉินลังเลเล็กน้อยว่าควรจะขึ้นไปบอกเจ้านายตัวเองบนบ้านเสียก่อนจะเอารถออกหรือว่าค่อยส่งข้อความบอกทีหลังดี...ทว่าเมื่อเห็นอาการหงอยๆของเจ้านายตัวเล็กที่เดินตามมาข้างหลังแล้วก็ตัดสินใจเอารถออก แล้วค่อยบอกทีหลัง...
รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า แอคคอร์ด 2 ประตูถูกเลือกมาเป็นพาหนะขับเคลื่อนในครั้งนี้ พระจันทร์นั่งกอดอกคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ข้างคนขับ ตี้เฉินเหลือบมองเจ้านายพลางถามว่าต้องการให้ไปส่งที่จุดหมายปลายทางใด ก็ได้รับคำตอบกลับมาสั้นๆว่า ‘ที่ไหนก็ได้’
...สงสัยนั่นคงจะหมายถึงที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่บ้านคุณหยางสินะ...
“งั้นผมพาคุณหนูนั่งรถเล่นข้ามไปเกาลูนก็แล้วกันนะครับ...” ชายหนุ่มเอ่ย ซึ่งคนนั่งข้างคนขับก็พยักหน้ารับมาแบบคนรับรู้ได้ไม่เต็มร้อย...
ตี้เฉินถอนหายใจยาว ก่อนจะเร่งเครื่องยนต์ทะยานไปข้างหน้า...โดยลืมไปเสียสนิทเลยว่ายังไม่ได้ส่งข้อความไปบอกเจ้านายใหญ่ที่บ้าน ว่าเขาพาเจ้านายตัวน้อยออกมาพ้นเขตรั้วบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
การจราจรก่อนช่วงผ่านอุโมงค์ใต้ทะเลเพื่อทะลุไปยังฝั่งเกาลูนค่อนข้างโล่งโปร่งกว่าทุกวัน ตี้เฉินขยับปรับกระจกมองหลังเพื่อสำรวจรถที่ตามเขามา ก่อนจะค่อยๆประคองรถให้อยู่ในระดับความเร็วที่กำหนดก่อนเข้าอุโมงค์...
พระจันทร์นั่งหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ การขับรถที่นุ่มนวลราวกำมะหยี่ของอีกคนทำให้เขานั่งมองสีน้ำเงินเข้มของน้ำทะเลสองข้างทางเสียเพลินจนเผลอหลับไปชั่วครู่ เบาะนุ่มๆกับแอร์เย็นๆทำให้พระจันทร์ค่อยๆขดตัวลงซุกกับเบาะแล้วตั้งท่าจะหลับลึก...
ทว่าทันใดนั้นเอง...! การขับรถที่นุ่มนวลจู่ๆก็สะบัดหักหลบเปลี่ยนเข้าไปอีกเลนส์ จนแรงเหวี่ยงส่งให้ศีรษะพระจันทร์ตกกระทบประตูรถทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งตื่น...สองมือขยับจับประตูด้านข้างตัวรถแน่นเมื่อมันทำท่าจะเหวี่ยงกลับไปเลนส์เดิมอีกรอบ...
“พี่ตี้!! เกิดอะไรขึ้น...!”
“คุณพระจันทร์...ใจเย็นๆแล้วฟังผม...ตอนนี้รถเรากำลังโดนตาม และผมคิดว่าพวกมันมีปืน...คุณพระจันทร์รีบเอนเบาะรถแล้วนอนราบไปกับเบาะให้มากที่สุดนะครับ!” ชายหนุ่มบอกอย่างนั้นก่อนจะหาโอกาสดริฟท์รถเพื่อกลับไปทางเดิม...
...เขาประมาทเกินไป!!!...
ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเขา และเราก็ไม่มีโอกาสดริฟท์รถกลับภายในอุโมงค์นี้เพื่อกลับไปทางฝั่งฮ่องกงได้ด้วย...พวกมันมากันสามคัน ในขณะที่มีเขาอยู่คุ้มครองคุณหนูพระจันทร์แค่คนเดียว...! เอายังไงดี...มีที่ไหนปลอดภัยสำหรับพวกเขาตอนนี้ที่ฝั่งเกาลูนบ้างนะ...
รถฮอนด้า แอคคอร์ดสีดำทึบค่อยๆเร่งความเร็วจนเกินกำหนดความเร็วของรถภายในอุโมงค์ลอดใต้ทะเลนั่น จนป้ายบอกความเร็วตรงประตูทางออกขึ้นอักษรสีแดงเตือนความเร็วรถของเขา แต่บอดี้การ์ดหนุ่มไม่สนใจ ดีที่ช่วงนี้ไม่มีรถขวางหน้า เขาจึงขับปาดซ้ายปาดขวาเพื่อกันไม่ให้ทั้งสามคันขับขึ้นตีขนาบเขาได้...
...กล้ามีเรื่องกับรถเขากลางที่สาธารณะก็ลองดู!...ตำรวจเกาลูนคงไม่ปล่อยพวกมันไว้เฉยๆแน่...
...แต่จะเป็นที่ไหนที่คนจะพลุกพล่านมากที่สุด...
...จิมซาโจ่ย ย่านถนนคนเดินและของแบรนด์เนม...ไม่ได้! ถนนใหญ่ไป มันขับรถตามเราได้ง่ายแน่...เยามะไต๋ เขตวัด...คนน้อยเกินไปใช้ไม่ได้ หรือจะเป็นซัมซุยโป ย่านขายของมือสอง ใช้ไม่ได้คนน้อยเกินไปเหมือนกัน...!
หรือว่า...เราจะไปที่นั่น! แหล่งที่พักอาศัยและย่านช้อปปิ้งที่มีผู้คนพลุกพล่านที่สุดในฮ่องกง...!
“พี่ตี้...นี่เรากำลังจะไปที่ไหน...กลับไปฝั่งฮ่องกงใช่มั้ยครับ...” เสียงสั่นๆของผู้โดยสารร่วมรถถามเขา...ตี้เฉินค่อยๆขยับกระชับปืนพกในอกเสื้อออกมาถือไว้ข้างนอก เมื่อมองผ่านกระจกหลังแล้วเห็นว่าพวกมันกำลังจะเล่นปืนอยู่เช่นกัน
“...ไม่ใช่ครับ เราจะไปที่มงก๊ก...เราจะอาศัยความพลุกพล่านของคนที่นั่นหลบพวกมันแล้วหาทางย้อนกลับไปที่ฮ่อง...ผมส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือกลับไปที่หน่วยแล้ว คิดว่าซักพักคนของเราคงจะตามมาสมทบ...แต่ก่อนอื่นเราต้อง...เฮ้ย!!!”
“อ๊า...!!!”
เสียงหวีดลั่นของพระจันทร์ดังขึ้นหลังจากที่เด็กหนุ่มได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาข้างๆ...สองมือบางยกขึ้นปิดหูตัวเองแล้วขดตัวนอนนิ่งอยู่บนเบาะรถที่ถูกปรับลงแบนราบเรียบร้อย
“คุณพระจันทร์! บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า...!!!” ตี้เฉินถามเสียงร้อนรน เมื่อครู่พวกมันยิงนัดแรกมาแล้ว ไม่ได้เข้าฝั่งเขา คิดว่าน่าจะแฉลบผ่านตัวรถข้างฝั่งคุณพระจันทร์แน่
“ปละ...เปล่า จันทร์ไม่เป็นไร...” พระจันทร์ตอบเสียงสั่น หันมองรอบข้างแล้วก็พบว่ามีรอยร้าวอยู่ที่กระจกรถฝั่งตัวเองเล็กน้อย...
ตี้เฉินคว้าพวงมาลัยไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ด้านหน้ามีรถมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างทางเขาต้องหักหลบให้พ้น ในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ยื่นออกนอกตัวรถแล้วยิงสวนไปสองนัด...
...โธ่เว้ย! มันเร่งจะตีขนาบมาจนได้...
เอายังไงดี ข้างหน้าก็จะเข้าเขตจิมซาโจ่ยแล้ว เราต้องสลัดพวกมันทิ้งไว้เร็วที่สุด!
“พี่ตี้! ข้างๆระวัง!!!” พระจันทร์ร้องบอกคนขับรถ เมื่อเห็นกระบอกปืนสีดำมะเมื่อมยื่นจ่อออกมาจากกระจกรถที่ลดลงครึ่งหนึ่ง
“เฮ้ย!” ตี้เฉินขยับตัวพิงเบาะรถจนแนบสนิท ขาขวากดเหยียบคันเร่งเสียเกือบมิดพร้อมๆกับที่ได้ยินเสียง ปัง! ดังอยู่ข้างๆหู...
กระจกรถฝั่งคนขับเกิดรอยแตกขึ้นเป็นเกล็ดจนร้าวไปทั้งบาน มองอะไรด้านนอกไม่เห็นอีก...ประสิทธิภาพกระจกรถกันกระสุนอย่างดียังคงยึดตัวกระจกให้อยู่กับตัวรถแน่นไม่แตกลงใส่คนขับ ตี้เฉินอาศัยจังหวะที่รถคนร้ายชะลอความเร็วลงหลังยิงเสร็จขับแซงรถบรรทุกข้างหน้า แล้วเบิ้ลความเร็วขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อทิ้งห่างให้ออกจากเขตจิมซาโจ่ยให้มากที่สุด...หันมองไปทางกระจกหลังก็เห็นว่ารถคนร้ายที่ตามมาด้วยคันหนึ่งดันสอยเข้าท้ายรถบรรทุกคันที่เขาเพิ่งแซงมาจนร่วงลงไปข้างทางหายไปหนึ่งคัน
“เหลืออีกสอง...คุณพระจันทร์ เราต้องรีบสละรถทันทีที่เข้าเขตมงก๊ก...” ตี้เฉินเอ่ยบอกคุณหนูตัวน้อย เมื่อครู่ตอนที่เขาแซงรถบรรทุกคันนั้นขึ้นมา รู้สึกได้ว่าตัวรถวูบเอียงไปเล็กน้อย...เดาได้ไม่ยากว่าคงจะมีกระสุนซักนัดแล่นมาเจาะเข้ายางรถของเขา
แต่ด้วยประสิทธิภาพความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่งของโลก รถคันนี้จึงยังสามารถประคองพาเขาและคุณหนูพระจันทร์เข้ามาในเขตรถพลุกพล่าน ซึ่งเป็นถนนหลักก่อนที่จะต้องเดินเท้าเข้าไปในเขตมงก๊กนั่นเอง...
“ไปครับ...! รถเราไปต่อมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว...” ตี้เฉินเอ่ยบอก ล้อรถแบนติดถนนทันทีที่เขาประคองตัวรถเข้าจอดริมฟุตปาธข้างทาง ไม่ทันสนใจว่ามันเป็นที่ห้ามจอดหรือไม่...แต่วินาทีนั้นเขารีบดึงร่างของคุณหนูพระจันทร์ให้ลอดตัวมาออกทางประตูเดียวกันกับเขา เพื่อหลบวิถีกระสุนที่อาจจะเกิดขึ้นจากรถที่แล่นตามมาด้านข้างฝั่งถนน...
พระจันทร์รีบวิ่งซอยเท้าถี่ตามหลังบอดี้การ์ดตัวเองที่กำลังจูงมือเขาวิ่งฝ่าฝูงชน ผู้คนหลายร้อยที่เดินเท้ากันขวักไขว่ทำให้การฝ่าออกไปค่อนข้างจะยากซักหน่อย แต่พอเมื่อเด็กหนุ่มหันกลับไปมองด้านหลังแล้วพบว่าความลำบากนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับตัวเขา ชายในแว่นตาดำและหมวกสีดำหกเจ็ดคนที่กำลังสิ่งตามเขามาด้านหลังก็โดนไม่ต่างกัน...
“ทางนี้ครับคุณหนู!” จู่ๆตี้เฉินก็กระตุกแขนของเขาให้เปลี่ยนทิศทางเป็นเข้าซอยเล็กๆไปด้านหนึ่ง...
พระจันทร์หอบหายใจถี่รัว ไม่ทันได้มองด้านข้างว่าตัวเองวิ่งผ่านถนนสายอะไรไปบ้าง รู้ตัวอีกทีก็มายืนหอบเหนื่อยอยู่ตรงทางสองแพร่งซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดซอยแห่งนั้น...
“คุณหนูเก็บนี่ไว้...” พร้อมกับที่พูด ร่างสูงของบอดี้การ์ดหนุ่มก็ยัดปืนพกสั้นออโต้เข้าใส่ฝ่ามือบางก่อนบอก... “คุณรีบวิ่งทะลุช่องเล็กๆนั่นไป พอพ้นก็ให้เลี้ยวซ้าย วิ่งไปให้สุดทางแล้วคุณจะทะลุออกไปยังด้านหลังแลงแฮม เพลสได้...ผมส่งสัญญาณสถานที่ให้คนของเราไปรอคุณอยู่แถวๆนั้นแล้ว รีบไปซะ...!”
“เดี๋ยว! แล้วพี่ตี้ล่ะ...” พระจันทร์กระตุกแขนคนที่กำลังจะลุกออกไปในทางตรงข้าง...
“ผมจะล่อพวกมันออกไปอีกทาง...คุณรีบไปซะ วิ่งให้เร็วที่สุดในชีวิต เข้าใจรึเปล่า...” ตี้เฉินกำชับ ในมือมีปืนอีกกระบอกที่ไม่รู้ว่าไปดึงออกมาจากส่วนไหนของร่างกาย
“เดี๋ยว...! แต่...”
“ไม่มีเวลาแล้ว! รีบไป...!!” พูดจบตี้เฉินก็ผลักคุณหนูตัวเล็กให้ล้มลงไปบนกองกระดาษลังที่วางกองสุมอยู่อีกด้าน ส่วนตัวเองก็วิ่งออกไปโผล่หน้าตรงซอยที่พวกเขาสองคนเพิ่งจะออกมา
พระจันทร์รีบตั้งสติ...หูได้ยินเสียงฝีเท้าคนมากมายกำลังจะวิ่งออกมาจากช่องซอยนั้น เขารีบลุกหันหลังและอาศัยความตัวเล็กลอดผ่านช่องตู้เก่าๆที่คงมีคนเอามาทิ้งไว้ซึ่งตั้งขวางทางเดินอยู่ ก่อนจะออกวิ่งสุดฝีเท้าแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปในอีกซอย
เขาตั้งหน้าตั้งตาวิ่งทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะมีคนวิ่งตามเขามาหรือเปล่า แต่พอวิ่งผ่านร้านขายก๋วยเตี๋ยวที่เปิดตั้งอยู่ข้างทางแล้วหูก็แว่วได้ยินเสียงภาษาจีนสำเนียงกวางตุ้งว่า...
“ไอ้เด็กนั่นมันอยู่ทางนี้!!! รีบไปตามจับตัวมันมาเร็วเข้า!!”
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเด็กที่ว่าน่ะใคร... พระจันทร์รีบเร่งฝีเท้าขึ้นเป็นสองเท่า มือปัดป่ายโดนสินค้าของร้านรวงสองข้างทางร่วงกราวลงเป็นแถวจนโดนแม่ค้าเขาด่ามาเป็นทางก็ไม่สน...เคยเห็นฉากแบบนี้ในละครบู๊อยู่บ่อยๆแล้วก็นั่งลุ้นไปกับตัวเอก...แต่พอถึงคราวที่มันไม่ใช่ในละครแต่ดันเกิดขึ้นในชีวิตจริงของเขาแล้วมันขำไม่ออกเอาจริงๆ!
“
หยุดนะ!!!” เขาได้ยินเสียงพวกมันตะโกนไล่มาจากด้านหลัง...
...โธ่เอ๊ย พวกมันตามเขาเข้ามาใกล้ได้เร็วขนาดนี้เลยหรือเนี่ย...เขาไม่รอดแน่ๆ...ไม่รอดแน่ๆ!!!
“ไอ้เด็กบ้า!! ฉันบอกให้หยุด!!”
เสียงของผู้ชายอีกคนดังขึ้นมาไล่หลังเขา...ก่อนที่จะมีเสียงดัง ‘ปัง!’ เกิดขึ้น...
“เฮ้ย!”
ตามสัญชาตญาณของมนุษย์เวลาได้ยินเสียงปืนจะต้องรีบก้มหลบลงบนพื้น และพระจันทร์ก็ไม่เว้นเพราะทันทีที่เสียงปืนดังลั่นขึ้น เขาก็รีบหมอบยองตัวลงต่ำทันที...และนั่นก็ทำให้เสียจังหวะจนชายในแว่นดำและหมวกดำตามเข้ามาล้อมเขาทันจนได้...
“ไอ้เด็กบ้า! วิ่งล่อพวกกูซะเหนื่อยเลยนะมึง!” ชายคนหนึ่งที่มีแผลเป็นรอยบากยาวที่หน้าค่อยๆสาวเท้าก้าวเข้าหาพระจันทร์
เด็กหนุ่มแทบจะสติหลุดจนคุมไม่อยู่...ดีที่จู่ๆก็พลันนึกถึงน้ำหนักถ่วงๆในฝ่ามือขึ้นมาได้...
...ใช่! ปืน...เขามีปืน!...
“อย่าเข้ามานะ!!” และทันทีที่รู้สึกว่าเครื่องป้องกันตัวเองอยู่ เขาก็ยกขึ้นมาเล็งไปด้านหน้า และนั่นก็ได้ผลเพราะพวกมันรีบถอยห่างจากเขาไปสี่ห้าก้าวทันที
“เฮ่เฮ้...เป็นเด็กเป็นเล็กหัดเล่นปืนไม่ดีนะหนู...” ชายคนที่สองที่ท่าทางผอมขี้โรคเป็นคนพูดขึ้น
“ช่วยด้วยครับ...! พวกมันคิดจะจับตัวผม...” พระจันทร์ไม่ฟังและรีบใช้โอกาสนั้นร้องขอความช่วยเหลือ แม้ซอยแห่งนี้จะไม่ได้มีคนพลุกพล่านเหมือนถนนสายหลัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย...ทว่ามันคงเป็นคราวเคราะห์ของพระจันทร์ที่คนเดินผ่านทางสี่ห้าคนนั้นรวมทั้งคุณลุงเจ้าของร้านข้างๆไม่มีใครคิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาเลยซักคน
“โทรศัพท์...แค่โทรศัพท์หาตำรวจให้ผมก็ได้...!! ผมขอร้องล่ะ...” พระจันทร์รีบเอ่ยต่อเมื่อหาช่องทางเอาตัวรอดอื่นไม่เจอ...
และมันก็ได้ผลเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งที่คงมากับแฟนกำลังแอบโทรศัพท์อยู่ รวมไปถึงคุณลุงเจ้าของร้านข้างๆด้วยเช่นกัน...ทว่าพระจันทร์ยังไม่ทันจะได้โล่งอกพวกมันก็ตะโกนขู่จะฆ่าพวกที่คิดจะโทรศัพท์ช่วยเหลือเขาทันที
“ยอมให้พวกกูจับเสียแต่โดยดีจะดีกว่า...เฮ้ย!” ผู้ชายหน้าบากคนแรกตะโกนขึ้น แล้วผู้ชายอีกสองคนก็ทำท่าจะกระโจนเข้าหาเขาโดยไม่เกรงปืนในมือเขาเลยซักนิด
...ปัง!...ปัง!... พระจันทร์หลับตากลั้นใจลั่นไกปืนไปทางที่คิดว่าน่าจะมีตัวคนร้ายอยู่สองนัด...และก็โชคดีที่ผู้ไม่เกี่ยวข้องไม่มีใครบาดเจ็บ นอกจากหนึ่งในสามคนร้ายที่โดนเขายิงเข้าที่ขาจนร้องโอ๊ยออกมา...
“มึง!!! กล้ายิงเพื่อนกูเหรอวะ...!” ชายร่างผอมกะหร่องเป็นคนตะโกนคำนี้ขึ้น พระจันทร์ที่แทบจะหมดแรงหลังจากสติเพิ่งบอกสมองให้รับรู้ว่าเขาได้ยิงคนบาดเจ็บไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วหนึ่งคน ต้องออกคำสั่งใหม่ให้ออกวิ่งหนีอีกครั้ง...
ต้องขอบคุณร่างกายที่เล็กกว่ามาตรฐานชายไทยของเขา ทำให้พระจันทร์สามารถวิ่งลอดผ้าใบที่ปูบังแดดอยู่ข้างบนทางเดินและหลบลูกกระสุนที่วิ่งแหวกอากาศผ่านมาทางด้านหลังได้อย่างโชคช่วย...
ในวินาทีที่เขาคิดว่าคงจะหนีพ้นออกมาแน่แล้วโชคชะตาก็กลับเล่นตลกให้มีชายในแว่นตาดำคนหนึ่งกระโจนพรวดเข้ามาดักหน้าเขา พระจันทร์ต้องรีบหยุดตัวเองจนสะดุดขาแล้วล้มลงไปบนพื้น...ปืนกระบอกที่ช่วยชีวิตเขามาเมื่อครู่ก็กระเด็นเข้าไปใต้แผงขายของข้างทางทันที
“...จนมุมจนได้นะมึง!” เสียงชายผอมกะหร่องที่วิ่งตามพระจันทร์มาด้านหลังตะโกนบอกเขา พระจันทร์ใช้สองมือกระเถิบตัวเองให้ถอยห่างพวกมันไปบนพื้น จมูกได้กลิ่นหมึกของหนังสือพิมพ์อบอวลปนมากับกลิ่นสาบของร่องน้ำทิ้ง...เดาว่าตรงหน้าน่าจะเป็นหลังห้างซักแห่งตรงแลงแฮม เพลสนี่แหละ...
“เฮ้ย! ถนนหน้านั่นตำรวจกำลังมา...เราต้องรีบพามันอ้อมไปด้านหลัง...” ชายคนที่กระโดดเข้ามาขวางหน้าพระจันทร์ตะโกนบอกขึ้น เด็กหนุ่มเหลือบตามองพวกนั้นสามคนแล้วก็ทำได้แค่ยกมือขึ้นกั้น เมื่อเห็นว่ามีมือของใครบางคนกำลังจะยื่นเข้ามาหาเขา...
“อย่านะ! ไม่เอา...” พระจันทร์ร้องเสียงหลง...
แต่ในขณะที่มือของชายคนหนึ่งเอื้อมเข้ามาถึงตัวเขาก็พอดีก็มีเสียงดัง...
...ปัง!... ลั่นขึ้นหนึ่งครั้ง...พร้อมๆกับที่มือของชายคนดังกล่าวรีบปล่อยออกจากแขนเขาทันที...
‘พี่ยะ!!’
ชื่อของคนเพียงคนเดียวที่เขาภาวนาว่าจะมาช่วยกันดังขึ้นในห้วงสติ...
หลังจากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่องกันอีกสี่หรือห้าครั้ง...ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้อยโอดโอยของผู้ชายสามคนที่วิ่งไล่ล่าพระจันทร์มาเมื่อครู่ พระจันทร์ที่ยกสองมือปิดหูไว้ค่อยๆลืมตาขึ้นมอง ภาพแรกที่เห็นก็คือสีเลือดแดงฉานของผู้ชายหน้าบากที่คงเป็นคนยื่นมือเข้ามาแตะตัวเขาเมื่อครู่ที่เปื้อนนองไปทั่วพื้น ถัดกันก็มีร่างของชายร่างผอมกะหร่องและชายที่กระโดดเข้าขวางพระจันทร์นอนกุมน่องตัวเองพลางร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด...
“พี่ยะ!”
“...ใครใช้ให้พวกมึงมามีเรื่องในถิ่นกู...”
น้ำเสียงทุ้มแตกพร่าของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่เจ้าของชื่อที่พระจันทร์เรียกขานดังขึ้นข้างๆตัวเขา เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังขึ้นสม่ำเสมอมาทางเขา...ก่อนที่เงาดำขนาดใหญ่ของใครคนหนึ่งจะบดบัดรัศมีดวงอาทิตย์ที่ส่องลอดเข้ามาที่ซอกตึกเสียมิด...
“ลุกขึ้นไหวมั้ย...เธอ!”
ใบหน้าของคนๆนั้นเบิกกว้างเมื่อได้มองสบตากันกับเขา ชายหนุ่มคนนั้นยื่นมือข้างหนึ่งค้างไว้ตรงหน้าเขาคงหวังจะช่วย...พระจันทร์ไม่ได้มองเมิน เพียงแต่ตัวเขาเองรู้สึกคุ้นๆกับใบหน้าของคนๆนี้จนชะงักไปชั่วครู่...
“เธอ...พระจันทร์...ใช่มั้ย?” น้ำเสียงทุ้มถามเขา
และแล้วพระจันทร์ก็จำเขาคนนั้นได้...
“คุณ!! คุณกรใช่มั้ยครับ...!”
---------------------------------- ----- - - - - - ----- - - -- - - - -
to be continue...
มาต่อเร็วขนาดนี้...มีรางวัลให้เค้ามั้ยๆ
*ทำหน้าอ้อนสุดฤทธิ์*
เร็วขนาดนี้มีแววว่าอาจได้ช่วงหายไปเป็นอาทิตย์อีกแล้วล่ะจ่ะ
ง่ะ!!! T^T
เหมือนเดิมนะจ๊ะฝุดฟุย ต้องการติ ชม แนะนำเพิ่มเติมเชิญได้ที่เดิมจ่ะ 
>>
จิ้มจ่ะ!!!<<