อัลเบิร์ต โจว เป็นชายอายุวัยเข้าใกล้เจ็ดสิบ ผิวหนังเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา หลังที่เคยยืดตรงมีอาการงอค่อม แต่ร่างบนรถเข็นไฟฟ้าอย่างดีที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม เล่นลายมังกรด้วยไหมสีทอง ก็ช่วยขับรัศมีของผู้มีอำนาจออกมาจากภายในได้อย่างไม่ยาก ใกล้ๆรถเข็นยังมีบุรุษในชุดสูทสีดำร่างกายสูงใหญ่ และหญิงสาวที่ท่าทางเจ้าระเบียบ นัยตาติดดุในชุดไหมสีแดงทรงกี่เพ้ายืนขนาบข้างซ้ายขวา ยิ่งช่วยส่งรัศมีการเป็นเจ้าคนนายคนออกมาได้อย่างดี
สุริยะมณฑล หงส์ มังกร รังสิมันต์ และหนูน้อยไวโอลินที่ถูกปะป๊าโอบอุ้มอยู่น้อมศีรษะให้ร่างบนรถเข็นเป็นการทักทายตามธรรมเนียมสากล อัลเบิร์ต โจวค่อยๆผ่อนแรง เอนหลังลงพิงพนักเบาะก่อนจะสะบัดปลายมือเบาๆหนึ่งครั้งเพื่อเป็นการบอกว่าให้ทุกคนยืนกันตามสบายได้
“ไม่ได้เจอกันนาน...ทำไมพวกเธอทำตัวห่างเหินกับฉันจัง” น้ำเสียงติดแหบเอ่ยออกมาอย่างไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง ซึ่งสุริยะมณฑลก็รู้ จึงเพียงแค่ก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วยิ้มมุมปากเล็กๆให้ร่างชราที่อยู่บนเก้าอี้รถเข็น
“นี่เหรออาตี๋น้อยของลื้อ หยางจิน...” จู่ๆความสนใจของร่างบนรถเข็นก็เบนเบี่ยงไปที่ร่างเล็กๆดิ้นดุกดิกได้ในอ้อมแขนของรังสิมันต์แบบกะทันหัน คนถูกพุ่งความสนใจก็เงยใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราขึ้นมาจากการเล่นสร้อยคอของบิดา แล้วส่งสายตาระคนสงสัยมามองคนที่เรียกเขาว่า ‘อาตี๋น้อย’ แบบสนใจมากกว่า
“...ตี๋..น้อย...” เสียงน่ารักเอ่ยเลียนแบบออกมากระท่อนกระแท่น พลางเอียงศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นไหมสีน้ำตาลอ่อนไปข้างๆอย่างสงสัยเต็มที่
“ใช่...ตี๋น้อย...เจ้ามังกรน้อยแห่งตระกูลหยาง...” น้ำเสียงทรงอำนาจแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นและอ่อนโยน ถึงขนาดที่ว่าหนูลิน เจ้าเด็กตัวน้อยยังเผลอส่งยิ้มยิงฟันตาหยีให้ แล้วชี้นิ้วไปที่ร่างชราแล้วบอกว่า ‘ตา..ตา..’ ให้บิดามองตาม
“ไม่ใช่ตาสิ...นี่ต้องปู่” น้ำเสียงแหบต่ำแก้ให้ปนหัวเราะน้อยๆ
“ปู...คุนปู...ปะป๊า...” เจ้าเด็กน้อยเลียนเสียงผู้ใหญ่ พยายามแล้วนะที่จะให้มันชัด แต่ทำไมคุนปูถึงส่ายหน้าใส่เขาล่ะ
“ไม่ใช่ปูสิ เจ้ามังกรน้อย...มา มาให้ปู่อุ้มหน่อย...ได้มั้ย...” เสียงของอัลเบิร์ต โจวเอ่ยขึ้นพร้อมฝ่ามือเหี่ยวย่นที่ยื่นออกมาตรงหน้าหนูน้อยไวโอลิน แต่นั่นทำให้หญิงสาววัยเลยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆมิสเตอร์โจวต้องออกเสียงห้ามเบาๆ
“นายท่านใหญ่...แต่ดิฉันคิดว่าร่างกายท่าน...”
“ฮื่อ...ซ้อหลิว คนแก่ก็แค่อยากจะเล่นกับหลานบ้างก็เท่านั้นเอง...ไม่เป็นไรๆ” เสียงปรามไม่จริงจังเอ่ยตัดบท
รังสิมันต์ก้มลงหอมกระหม่อมบางของเจ้าลูกชายเบาๆหนึ่งที แล้วก้าวออกไปข้างหน้ารถเข็นก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เจ้าหนูลินไม่มีอาการงอแงให้เห็นนั่นทำให้ชายหนุ่มเบาใจไปได้เล็กน้อย แต่การที่จะให้จู่ๆคนแปลกหน้ามาอุ้มแบบนี้ไม่รู้ว่าเจ้าจะยอมหรือเปล่า
คนเป็นบิดาปล่อยให้ลูกชายได้จ้องหน้ากับมองฝ่ามือเหี่ยวย่นที่ยื่นตรงมาให้ แล้วตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะยอมให้อีกฝ่ายอุ้มหรือไม่ หนูลินใช้ดวงตากลมโตใสแจ๋วมองใบหน้าของคนบนรถเข็นที่ยิ้มอย่างใจดีให้ ใบหน้าตุ๊กตาเอียงคอน้อยๆ ก่อนจะใช้เวลาไม่นานในการตัดสินใจยื่นมือสั้นป้อมไปแตะกับฝ่ามือใหญ่ที่ยื่นมาตรงหน้า แล้วเป็นฝ่ายดันตัวเองปีนขึ้นตักอีกคนไปด้วยท่าทางเก้ๆกังๆจนคนเป็นบิดาต้องช่วยดันก้นขึ้นไปให้
รังสิมันต์เพิ่งรู้สึกขอบคุณคนเป็นมารดาเจ้าตัวเล็ก ที่ทำให้น้ำหนักหนูลินต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานทั่วไปของเด็กวัยเดียวกันอยู่เล็กน้อย แต่คงเป็นเพราะขนาดของเจ้าตัวที่ก็ไม่ได้สูงเหมือนลูกชาวบ้านเขาเพราะถอดแบบคนเป็นแม่ออกมาเปี๊ยบด้วยละมั้ง มิสเตอร์โจวที่นั่งอยู่บนรถเข็นจึงไม่ต้องรับภาระหนักมากในการกกกอดเด็กวัยสองขวบกว่าอย่างหนูลินเอาไว้ในอ้อมแขน วันนี้เจ้าหนูก็ช่างอารมณ์ดีเหลือเกิน ไม่มีงอแงให้พ่ออย่างเขาต้องลำบากใจเลยแม่แต่น้อย...ส่อแววเข้าสังคมเก่งแต่เด็กเลยแฮะลูกพ่อ... รังสิมันต์รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจเจ้าตัวลูกชายอยู่ลึกๆ
“มังกรน้อย...เจ้าดูไปที่แสงไฟบนพื้นดินนั่นนะ” ชายชราชี้ไปที่แสงไฟบนเกาะที่อยู่ตรงหน้า มิสเตอร์โจวกระชับอ้อมแขนที่มีหนูลินนั่งเล่นแขนเสื้อของเขา แล้วเอื้อมมือข้างหนึ่งไปกดปุ่มรถเข็นเพื่อให้มันหมุนปรับทิศทางหันออกไปนอกตัวเรือ ก่อนที่ชายชราจะก้มลงมองดูเด็กน้อยนัยตากลมโตที่ยังสนใจแขนเสื้อเขาไม่เลิก
“ทั้งหมดนั่นคืออาณาจักรของฉัน...ฉันสร้างมันขึ้นมาด้วยสองมือคู่นี้ สร้างทุกอย่างขึ้นมาจากศูนย์...”
บุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้มิสเตอร์โจวที่สุดหยิบผ้าจากซ้อหลิวมาคลุมให้คนพูด พร้อมทำท่าทางว่าจะอุ้มหนูน้อยให้เอง ทว่าคนที่กำลังเพลินกับการอุ้มหนูน้อยอยู่กลับโบกมือให้เบาๆ บุรุษในชุดสูทดำจึงโค้งให้นิดๆก่อนจะถอยกลับไปยืนระวังให้อยู่ด้านหลังตามเดิม
“...มังกรน้อย...รู้มั้ยว่าอาณาจักรของฉันมันกว้างใหญ่มาก...มากจนบางครั้ง ฉันก็นึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าถ้าไม่มีฉันอยู่คอยปกครองอีกแล้ว มันจะเป็นยังไง...” เสียงแหบต่ำเอ่ยบอกเอื่อยๆ ไม่ได้มีเป้าหมายว่าต้องการจะให้ใครรับรู้เป็นพิเศษ “...มีลูกชายกับเขาคนเดียว ก็ไปสนใจแต่ปล่อยเงินกู้ ไม่คิดอยากมาช่วยฉันดูแลอาณาจักรนี้เลย พอมีหลาน...”
เสียงนั้นหยุดอยู่แค่นั้น แต่คนที่อยู่รอบด้านก็เข้าใจโดยที่ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆต่อ ยกเว้นหนูลินคนเดียวที่ยังสนุกกับการอ้าปากงับลมที่พัดตีหน้า พอโดนลมก้อนใหญ่กระแทกเข้าก็หงายหลังล้มตึงไปชนชายชราที่นั่งโอบอุ้มอยู่ด้านหลัง ก่อนจะหัวเราะฮิฮ่ะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“พอฉันตาย...พวกหมาล่าเนื้อที่จ้องจะตะครุบธุรกิจของฉัน คงจะรุมลงมาจิกทึ้งกินเนื้อกันอย่างสนุกเลยทีเดียว...มันน่าเสียดายมากเลยนะ ว่ามั้ย หยางหลง...”
คนถูกเรียกชื่อเงยหน้าขึ้นมองคนพูดฉับพลัน ในสมองประมวลผลหาคำตอบที่คู่ควรกับคำถามนั้นอย่างรวดเร็วก่อนเอ่ยตอบ
“ไม่หรอกครับ...ธุรกิจของคุณลุง ยังต้องยิ่งใหญ่แบบนี้ต่อไป ไม่มีทางล้มได้แน่นอนครับ”
“ไม่...ไม่...ถ้าลื้อ กับเหมิงหลงไม่ร่วมมือกัน ฉันก็ไม่เห็นใครอีกแล้ว ที่จะสามารถเข้ามาฮุบกิจการและดูแลสืบทอดธุรกิจทั้งหมดได้...”
“นายท่านใหญ่คะ! / เจ้านายใหญ่ครับ!” สองเสียงร้องด้านหลังดังมาจากสองคนสนิท
“นายท่านคะ...ทำไมพูดแบบนี้คะ!”
“ซ้อหลิว ลื้อก็เห็น...ว่าฉันพูดถูกทุกอย่าง...อันที่จริงเรื่องนี้ ฉันไม่ได้เพิ่งคิดหรอกนะ ฉันปรึกษากับศิลาแล้วก็เมธีไปก่อนหน้านี้แล้ว ว่าอยากให้หยางหลงกับเหม่ยเฟิ่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด...เพื่อที่ว่า...จะได้ดองทั้งเกาลูนและฮ่องกงให้เป็นหนึ่งเดียวกัน พอถึงตอนนั้น ทั้งหยางหลงและเหมิงหลงจะได้ร่วมมือกัน ปกครองอำนาจของฉันไปคนละครึ่ง...เพราะปีเตอร์หลานฉันไม่สามารถเอามันอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวแน่ๆ ฉันยังไม่อยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสร้างขึ้นต้องมาพังทลาย เพราะไม่ใช่แค่ครอบครัวฉันอย่างเดียวที่จะต้องสูญเสีย...แต่ครอบครัว พนักงาน ลูกน้องของฉันอีกนับพันก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย...”
“มิสเตอร์โจวหมายถึง...โคซา นอสตรา ที่มันจ้องจะเข้ามาฮุบกิจการในฮ่องกงของเราตอนนี้ใช่มั้ยครับ...” มังกรเอ่ยแทรกขึ้นมาพร้อมคิ้วที่ขมวดยุ่ง สุริยะมณฑลหันไปมองคนพูดแล้ววกกลับไปมองชายบนรถเข็นอีกครั้งก่อนเอ่ยปากถาม...
“โคซา นอสตรา...มาเฟียอิตาลีจากซิซิลีนั่นน่ะเหรอครับ”
“ใช่ พวกที่เคยไล่ฆ่าฉันเมื่อสามปีก่อน จนทำให้ฉันได้เจอกับพระจันทร์นั่นไง...”
คำพูดโต้ตอบของมังกรทำเอาสุริยะมณฑลกำมือแน่น...เพราะจู่ๆก็เผลอคิดไปในทางกลับกันว่า ถ้าไม่มีไอ้พวกนั้น มังกรก็คงไม่ได้เจอกับพระจันทร์ ก่อนที่เจ้าเด็กนั่นจะได้มาเจอเขา...ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น มันจะดีซักแค่ไหนนะ ที่ในสมองของพระจันทร์จะไม่มีชื่อผู้ชายคนอื่นอยู่เลย นอกจากเขาคนเดียว...
...คิดบ้าอะไรวะไอ้อาทิตย์ ตอนนี้มันใช่เวลาที่เขาควรจะมาหงุดหงิดอะไรแบบนี้รึไง...
“พวกมันคิดจะล้างโคตรพวกเรา แล้วยึดเกาะฮ่องกงเป็นแหล่งทำมาหากินใหม่ แล้วเมื่อไหร่ที่พวกมันทำสำเร็จ คนในเกาะฮ่องกงของเราก็จะโดนแย่งงาน อาจจะโดนเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม หรือไม่ก็โดนเอารัดเอาเปรียบอยู่บนแผ่นดินเกิดของตัวเอง...” คนพูดเอ่ยบอกพร้อมสายตาที่ทอดมองไกลไปยังฝั่งบนแผ่นดิน ที่ทอแสงระยิบระยับพร่างพราวสวยงามในเวลากลางคืนที่พระจันทร์เร้นแสงไปในคืนนี้ เรือสำราญของเขาลอยลำห่างออกจากฝั่งมาเรื่อยๆ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เขามองเห็นเกาะที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าเล็กลงไปเรื่อยๆเช่นกัน แท้จริงแล้ว อัลเบิร์ต โจว ไม่ใช่ผู้ที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย เขาก็เป็นแค่ตาแก่หัวดื้อ ที่ยังไม่ยอมลงจากบัลลังก์มังกรเล็กๆของตัวเอง เพราะมัวแต่หาทายาทมังกรมาสืบทอดกิจการต่อไม่ได้เสียทีก็เท่านั้น...
“มันเป็นเรื่องน่าเศร้า...ถ้าเราอยู่บนแผ่นดินเกิดของตัวเอง แต่มีคนชาติอื่นเข้ามาครอบครอง...ว่ามั้ย”
สายตาคนพูดเหม่อมองออกไปไกลในท้องทะเล ไม่มีใครกล้าขัดคนที่ยังมีท่าทีว่ายังพูดอะไรไม่จบ ขนาดหนูลินยังนั่งเงียบอ้าปากกว้างงับลมเล่นเบาๆสบายใจเฉิบเลยทีเดียว
สายตาฝ้าฟางเงยมองหญิงสาวในชุดสีแดงอมส้ม แล้วใช้สายตากวักเรียกให้เข้ามาหาใกล้ๆ ซึ่งหงส์ก็อ่านความหมายนั้นออกจึงรีบเดินไปยืนเคียงข้างสุริยะมณฑลอย่างรู้งานในทันที
มังกรเหลือบมองคนทั้งคู่ที่ยืนนิ่ง แต่สายตาพุ่งตรงไปที่ร่างงองุ้มบนรถเข็นด้วยความเคารพเชื่อฟัง...ในสมองครุ่นคิดหนัก เพราะตัวเองเริ่มเดาทางถูกแล้วว่าที่ชายผู้เป็นหัวหน้ามังกรตะล่อมพูดมาทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร...
“ทีนี้รู้แล้วใช่มั้ย...ว่าการแต่งงานระหว่างลื้อสองคน มันมีความสำคัญมากแค่ไหน...หยางหลง...อาเหม่ยเฟิ่ง...”
เสียงลมที่หวีดหวิวอยู่ข้างหู ยังดังไม่เพียงพอกับความต้องการในใจของสุริยะมณฑล...ตอนนี้เขาอยากจะปิดหู ไม่อยากได้ยินและรับรู้อะไรทั้งนั้น...
...ให้เฉือนหัวใจตัวเอง...เขายอมทน...
...แต่ถ้าจะให้เฉือนหัวใจของนกน้อยในกรงของเขาไปด้วยอีกคน...
...จะให้เขาทนได้ยังไง !...
-----------------------------------------------------------

ย้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก