Chapter 9
Before the happiness
ร้านกาแฟยามบ่ายค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ เหตุเพราะอากาศที่แสนร้อนอบอ้าวของกรุงเทพ ทำให้ผู้คนอยากจะหนีมาพักในร้านกาแฟนที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำสักที่หนึ่ง ดังนั้นซีเครทจึงเลือกที่จะนั่งโต๊ะหลบมุมในสุดของร้านที่มีฉากสานสีน้ำตาลอ่อนกั้นไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว รอคนที่เขานัดไว้ว่าเมื่อไหร่จะมาถึง เขาดูนาฬิกาข้อมือตัวเองอีกครั้งเมื่อเข็มยาวชี้ตรงเวลาตามที่เขานัดบุคคลนั้นเอาไว้
“รอนานหรือเปล่าพี่ซีท”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่กำลังมาถึง เชอร์เบลอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีฟ้าอ่อน กลางเสื้อวาดลายสะพานอะไรสักอย่างที่เขาดูไม่ออก ร่างบางเลือกเอี๊ยมสีน้ำเงินซีดขาสั้นมาใส่ซึ่งขับขาเรียวยาวของตัวเองให้ดูน่ามองยิ่งขึ้น ซีเครทต้องเสหน้าหลบตาไปทางอื่นกับของหวานอันแสนยั่วยวนตรงหน้าซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเชอร์เบลแต่งตัวมาอ่อยเขาหรือเปล่า
เอ่อ บางทีเขาคงจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป
ชายหนุ่มสะบัดความคิดบ้าๆ ในหัวออกไปและเข้าประเด็นหลักที่ทำให้เขานัดหนุ่มน้อยคนข้างหน้ามาในวันนี้
“ที่พี่นัดเรามาวันนี้ เพราะพี่มีอะไรอยากจะเคลียร์กับเราให้กระจ่างชัดนิดหน่อยน่ะ เอ่อ จะสั่งอะไรมาก่อนก็ได้นะ”
“ไม่ดีกว่าครับ เชิญพี่ซีทเข้าเรื่องเลยครับ เพราะบางทีธุระของเราสองคนอาจจะทำให้พี่กินอะไรไม่ลงก็ได้นะครับ ฮ่าๆ”
“เอ่อ คือ…”
“แหม อย่าทำหน้าคิดมากแบบนั้นสิครับ ผมก็พูดจาไปเรื่อยเปื่อย”
“พี่อยากรู้ว่าเชอร์เบลทำเรื่องทั้งหมดนี้ไปทำไม เพราะอะไรถึงต้องทำให้บีนกับแร็กตาร์เข้าใจผิดด้วย”
“เบลไม่ทราบว่าพี่ซีทกำลังพูดถึงเรื่องอะไร สำหรับเหตุการณ์ที่ผ่านมานั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจะให้มันเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิด แต่เพราะความไร้สตินั่นเองที่ทำให้เราหน้ามืดกัน จะมาโทษผมฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะครับ”
“พี่จะพูดตรงเกินไปไหม ถ้าจะบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันไม่เหมือนบังเอิญ แต่มันเหมือนใครสักคนจัดฉากบังหน้าเพื่อหวังผลประโยชน์สักอย่าง”
“ทำไมพี่มองผมในแง่ร้ายขนาดนั้นล่ะครับ” เชอร์เบลเอ่ยออกมาเสียงสั่นๆ อย่างควบคุมไม่ได้ ชีวิตนี้เขาคงไม่เคยดีในสายตาใครเลยสินะ
“…” ซีเครทเงียบไป เมื่อสิ่งที่คนตรงหน้าพูดมา คือ สิ่งที่เขาอยากจะพูดมันออกไป
“แล้วทีพี่กับเบลมอธล่ะ คิดว่าผมไม่รู้หรือไง”
“…!”
“ปัดแก้วลงพื้นแตกเสียงดังลั่นไปจนถึงเพื่อนบ้านข้างๆ คิดว่าคนอื่นเขาจะไม่รู้หรือไง”
ซีเครทมองคนตรงหน้าด้วยสายตาอึ้งๆ เรื่องที่เป็นความลับสำหรับเขา ซึ่งไม่คิดว่าจะมีคนรู้มัน แต่ตอนนี้มันอาจจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อมีคนรู้มากกว่าหนึ่งคน แต่ก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรเพ้อเจ้อไปกว่านั้น ร่างบางตรงหน้าก็เดินข้ามโต๊ะมากอดเขาเอาไว้ แล้วพร่ำไห้ด้วยความเสียใจ
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ผมกำลังรู้สึกในขณะนี้มันคืออะไรกันแน่ แต่ผมไม่สามารถมองเห็นพี่ไปมีความสุขกับคนอื่นได้อีกแล้วครับ”
“เชอร์เบล พี่ว่าใจเย็นๆ ก่อนนะ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย และออกไปจากตัวพี่ก่อนได้ไหม” ซีเครทเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นๆ เชอร์เบลซึ่งกำลังกอดร่างของชายหนุ่มไว้แน่น ยิ้มให้กับตัวเองเมื่อความพยายามของเขาไม่สูญเปล่า บวกกับฉากกั้นของโต๊ะนี้ทำให้บุคคลภายนอกยากที่จะรู้ว่าภายในนี้กำลังเกิดเกมสวาทเกมหนึ่งขึ้น ซึ่งแม้ว่าผู้เล่นจะปฏิเสธมันแค่ไหน แต่เขาคนนี้จะเป็นคนปลุกความต้องการนั้นขึ้นมาเอง
ให้สมกับที่คนๆ นั้นเอ่ยชมเขาทุกค่ำคืน…
มือบางของเชอร์เบลข้างหนึ่งกระตุกเนกไทชุดนักศึกษาของซีเครทออกมาแล้วโยนทิ้งไปข้างๆ ริมฝีปากอวบอิ่มไล้ไปมาตั้งแต่ปลายคางลงมาถึงต้นคอและใช้ริมฝีปากตัวเองปลดกระดุมเสื้อของชายหนุ่มออกทีละเม็ด ซีเครทเหมือนเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว เขาหลับตาลง มือแกร่งเอื้อมไปโอบไหล่เชอร์เบลเข้ามาให้ประชิดตัวมากขึ้น มืออีกข้างของเชอร์เบลไล้ลงมาที่ซิปกางเกงของร่างหนา เขามองมันอย่างพอใจเมื่อบางอย่างกำลังเกิดความรู้สึกจากสิ่งที่เขามอบให้ เชอร์เบลใช้ฝ่ามือบางทั้งสองข้างโอมกอดสิ่งนั่นไว้ผ่านเนื้อผ้ากางเกงที่ซีเครทกำลังใส่ ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหูชายหนุ่มที่กำลังตาลอยเหมือนคนตกอยู่ในเวทย์มนต์แห่งราคะ
“ผมบอกแล้วไงครับว่าไม่อยากให้พี่เป็นของใคร อยากให้เป็นของผมคนเดียว”
“…!”
“รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยเถอะครับ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”
“เราต้องการจะบอกอะไรกับพี่กันแน่”
“จริงๆ แล้วไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่จะพูดว่าเรื่องบางเรื่องถ้าเราเห็นมันแล้วก็ยังไม่สามารถเชื่อได้ในทันที จนกว่าเราจะเป็นคนสัมผัสมันจริงๆ ก่อนค่อยตัดสินใจ”
“….”
“อย่างเช่น ความรัก ที่บางทีอาจจะไม่ได้เป็นสีชมพูเสมอไป” เชอร์เบลพูดประโยคนี้จบก็ก้มเก็บเนกไทยื่นให้กับคนตรงหน้า แล้วยิ้มบางเบา
“บางทีพี่ก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของเชอร์เบลเลย เปลี่ยนไปจนหบายคนตั้งรับไม่ทัน”
“ฮะๆ ผมไม่ได้ต้องการให้คนทั้งโลกมาเข้าใจหรือรักผมหรอกครับ ขอแค่คนเดียวที่รักผมในแบบที่ผมเป็นก็พอแล้วล่ะ”
“คนๆ นั้นคงจะดีใจเนอะ ถ้าสามารถหาตัวเชอร์เบลพบ”
แววตาของร่างบางหม่นแสงลง มันแฝงไปด้วยความเจ็บปวด ภายในเสี้ยววินาทีความรู้สึกนั้นก็หายไป เชอร์เบลเงยหน้ามองซีเครทอีกครั้ง “บางทีคนนั้นอาจจะเป็นพี่ซีทก็ได้นะครับ”
“พอเถอะครับ หยุดพูดเรื่องน่าปวดหัวกันเถอะ เออนี่ ไปจองตั๋วเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ บีทีนให้มาจัดการเรื่องทริปของพวกเราน่ะ เวนิสไง ยังอยากไปอยู่ไหม”
“อยากไปอยู่แล้วครับ เรารีบไปกันเถอะครับ ได้ตั๋วเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะนั่นหมายถึงความสนุกกำลังจะตามมาในไม่ช้าครับ”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินออกไปเช็กบิลนั้นก็ได้ยินเสียงลูกค้าในร้านกำลังคุยกันเรื่องเครื่องบินตกที่แคลิฟอร์เนีย จนทำให้ผู้โดยสารบางกลุ่มไม่กล้าใช้บริการของสายการบินนั้นอีก เชอร์เบลฟังอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
…ความสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสินะ
เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่กำลังจะทำหลังจากนี้มันถูกต้องหรือไม่ พยายามไตร่ตรองแล้วแต่ก็ยังคิดไม่ตก ตอนนี้เขากำลังจะบอกความจริงทุกอย่างกับเบลมอธ เขาทนไม่ไหวแล้ว เขาไม่สามารถเล่นเกมความรักนี้ต่อไปได้ เขาไม่อยากเห็นใครเจ็บปวดต่อไปแล้ว อย่างน้อยเขาก็ได้พยายามที่จะรั้งความรู้สึกทุกอย่างของเบลมอธกลับมา
แต่สิ่งที่เชอร์เบลทำเพื่อเขาทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบก็จะสูญเปล่าในทันที…และความรู้สึกของเชอร์เบลล่ะ ในเมื่อคนๆ นั้นไม่เหลือใครในชีวิตอีกแล้วนอกจากเขา แล้วเขายังจะทำร้ายความรู้สึกของคนที่อยู่เคียงข้างเขาในวันที่แย่ที่สุดลงไปได้เหรอ
แต่คงไม่ทันแล้วล่ะในเมื่อตอนนี้เขายืนอยู่หน้าบ้านของเบลมอธ และเจ้าของบ้านกำลังเปิดประตูออกมาเผชิญหน้ากับเขา
ร่างบางอึ้งไปทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่หน้าบ้านตนในเวลานี้คือใคร ร่างบางสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาเหมือนคนที่กำลังฝันซ้อนฝัน ฝันร้ายมานานอยู่ดีๆ ก็ฝันดี ก่อนจะถูกฉุดลงมาในฝันร้ายอีกครั้ง
บ้าน่า
ผู้ชายคนนั้นที่ทิ้งเขาไป วันนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน
น้ำตาเอ่อคลอดวงตากลมโตทันที
“ซิน…”
ซินยิ้มมุมปากบางเบา อย่างน้อยคนตรงหน้าก็ไม่ได้เดินหนีเขาไป แถมยังจำชื่อเขาได้อีกด้วย เรื่องเล็กน้อยที่ทำให้เขาดีใจ
“มีเวลาว่างคุยด้วยสักนิดไหม”
เบลมอธตัดสินใจโดดเรียนเช้าวันนี้เพื่อตามซินมาที่สวนสาธารณะ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตามเขามาทำไมและจะพูดเรื่องอะไรกันแน่ แต่แค่เพียงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้เป็นเขา คนที่เคยรัก และเห็นว่าเขามีความสุขดี แค่นี้เบลมอธก็ดีใจจนล้นแล้วละ
ทั้งคู่เดินผ่านทางที่ปูด้วยหินอ่อน ก่อนจะไปถึงทะเลในตัวสวนสาธารณะ ซึ่งเวลาค่อนข้างเช้าทำให้ไม่ค่อยมีคนมาเดินเล่นหรือว่าออกกำลังกายนัก เหมาะกับการมาคุยธุระส่วนตัว หรือพักสมองก่อนออกไปทำงานตอนเช้ายิ่งนัก ซินก้มลงเก็บหินกรวดก้อนหนึ่งขึ้นมาก่อนจะปาไปในทะเลสาบด้านหน้า เสียงจ๋อมดังขึ้นแล้วหินก็จมล้งไปในทะเลสาบราวกับไม่สามารถฝืนความจริงของน้ำหนักตัวเองได้ เบลมอธนั่งลงบนพื้นหญ้าก่อนเหม่อมองไปข้างหน้า ซินยังยืนอยู่สายตาเขาเลื่อนไปในทิศทางเดียวกับเบลมอธ เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยออกมาราวกับกำลังร้องเพลง แต่แค่นั้นหัวใจของคนบางคนก็เต้นรัวเร็วราวกับมีคนไปเขย่ามันไว้
“ช่วงเวลาที่ผ่านมาสบายดีไหม”
“ก็เรื่อยๆ แหละ ซินล่ะสบายดีไหม กลับมาจากต่างประเทศเมื่อไหร่”
“กลับมาสักพักแล้วล่ะ แต่ฉันไม่เรียนต่อหรอก ตั้งใจจะมาช่วยพ่อบริหารงานในบริษัทเลยน่ะ”
“อ๋อ ดีจังเลยเนอะ อย่างน้อยก็ยังมีงานมารองรับ ไม่เหมือนฉัน ไม่รู้ว่าเรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ”
“มันไม่ดีเสมอไปหรอก งานที่ฉันทำน่ะเป็นแบบที่เบลมอธไม่ชอบทำเลย มันปวดหัว มีแต่ตัวเลขเต็มไปหมด”
“ซิน จำได้ด้วยเหรอ ว่าอะไรทำให้ฉันปวดหัว”
“จำได้สิ เบลมอธไม่ชอบอะไรที่ต้องคิดเกี่ยวกับตัวเลขไง…”
เบลมอธบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ที่คนตรงหน้ายังจำรายละเอียดในตัวเขาได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ ในแบบที่คนทั่วไปสามารถเดาได้ แต่เขาขอดีใจแล้วกันที่อย่างน้อยเขาก็ยังจำได้ ดีกว่าที่เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย แบบนั้นมันคงน่าเศร้าเกินไป
“แล้วนี่คิดยังไงถึงมาหาเนี่ย หรือตั้งใจจะมาเยี่ยมอะไรทำนองนั้น”
“คิดถึงน่ะเลยมาหา”
“พูดบ้าๆ ไปคิดถึงแฟนตัวเองสิ”
“อย่าพูดแบบนั้นเลย ฉันโสดมานานแล้ว”
แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกเจ็บที่ใจพร้อมกับใบหน้าของเชอร์เบลโผล่มาในความคิด เขาสะบัดหัวไล่ภาพเหล่านั้นออกไปก่อนจะหันไปมองเบลมอธเต็มตา “เบลมอธ ฉันอยากให้นายลองคิดทบทวนเรื่องราวของเราดูอีกสักครั้งจะได้ไหม”
“…”
เกิดความเงียบรอบบริเวณที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ นกน้อยบินผ่านไปผ่านมาราวกับจะแสวงหาความสุขของตัวเอง ความรู้สึกในใจคนก็คงเป็นเหมือนนก พัดปลิวไปมาตามความต้องการในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เขาควรจะดีใจไหมนะในเมื่อโอกาสที่เขาเคยต้องการมาตลอดมันได้กลับมาอีกครั้งแล้ว เขาจะปล่อยมันไปเหรอ เขาอยากพยายามดูอีกแม้ว่าสุดท้ายมันจะเป็นเช่นไรก็ตาม
แต่ความเจ็บปวดในอดีตที่ผ่านมาล่ะ กว่าเขาจะผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ มันทรมานมากขนาดไหน เขาเสียน้ำตาไปแค่ไหน แล้วคำพูดเพียงไม่กี่คำเขาจำเป็นต้องเชื่อแล้วเดินกลับเข้าไปในวังวนที่ทั้งหวานทั้งขมเหรอ ตอนนี้เขาไม่สามารถเลือกอะไรได้เลยจริงๆ
แต่…
มนุษย์เรามักจะโง่ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ฉลาดในเวลาที่ไม่ถูกไม่ควร อย่างเช่นตอนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะบอกกับตัวเองเพื่อให้เข็ดกับเหตุการณ์ในอดีตได้ แต่หัวใจของเขากลับร่ำร้องให้กลับไปหาซินอยู่ตลอดเวลา สมองที่ควรจะปรับความคิดได้ว่าควรจะตัดสินใจยังไง กลับว่างเปล่า ขาวโพลน คิดอะไรไม่ออกไปเสียอย่างนั้น นั่นเท่ากับว่า
เขาหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้วอย่างนั้นเหรอ…
“ทำไมอยู่ดีๆ ซินถึงกลับมาแบบนี้ล่ะ”
“แน่ใจเหรอว่าอยากฟังคำตอบ มันเพ้อเจ้อมากเลยนะ”
“ลองบอกมาก่อนสิ จะได้รู้”
“…”
“…”
“เพราะรักคำเดียวสั้นๆ ไงล่ะ”
…เขาเชื่อซินได้ใช่ไหมว่านี่มันคือความรัก
เบลมอธหลับตาลงซึมซับความรู้สึกทั้งหมดในเวลานี้เอาไว้ เขาเชื่อว่าเคนเราผิดพลาดกันได้และเขาก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เคยผิดพลาดและอยากแก้ไขปัจจุบันให้ดีขึ้น
“ถ้าฉันไม่ตอบตกลง ซินจะทำยังไง”
“ก็คงเสียใจไปตลอดชีวิต และยอมรับความจริงให้ได้”
“แน่ใจเหรอ ว่าจะยอมรับได้”
“ไม่ได้ก็ต้องได้แหละ”
“งั้นฉันจะช่วยลดภาระนายนะ นายจะได้ไม่ต้องพยายามยอมรับความจริงที่แสนเจ็บปวดนั้น”
“จริงเหรอ ?”
“ใช้เวลาที่เหลือจากนี้พิสูจน์ให้ฉันดูสิ”
“ขอบใจนะที่ให้โอกาสฉันอีกครั้ง”
จบคำนั้นซินก็รวบตาเบลมอธเข้ามาในอ้อมกอดตัวเอง เบลมอธกระชับอ้อมแขนกอดคนตรงหน้าให้แน่นขึ้น หยดน้ำตาไหลลงมาด้วยความดีใจกับความสุขที่เขาพยายามค้นหามาตลอดทั้งชีวิต ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว และเขาจะรักษามันไว้ไม่ให้หายไปอีก
ชั่ววูบหนึ่งในความคิด ค่ำคืนอันแสนหวานของเขากับซีเครทก็โผล่เข้ามาในความคิด เบลมอธหุบยิ้มทันที หัวใจเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้
ทำไมกัน… ทำไมในอกถึงรู้สึกแย่ขนาดนี้
“จากนี้ไปฉันจะพยายามเพื่อนาย ไม่หายไปไหนอีกแล้ว” ซินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข ก่อนจะดันตัวเบลมอธออกและจุมพิตลงไปบนกลางหน้าผากมนแสนรักที่เขาปรารถนามาตลอด
ซีเครทหันหลังเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ในอก เดิมทีเขาจะมารับเบลมอธไปเรียนพร้อมกัน แต่เจอแม่บ้านที่มาทำความสะอาดประจำสัปดาห์ บอกว่าคนที่เขาต้องการพบออกไปกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน เขาเลยตามมา ไม่คิดว่าจะเจอกับฉากบาดหัวใจที่ทำเอาเดินไปตรงทางเลยทีเดียว
ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องแคร์เลยด้วยซ้ำ ก็แค่คนๆ หนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและทำให้แต่ละวันของเขามีค่าพอที่จะดำเนินชีวิตแค่นั้นเอง
แค่นั้นเอง…
เขาหันหลังเดินกลับไปขึ้นรถและขับออกไปด้วยความรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่งนั้น…
เพล้ง !
เชอร์เบลปาแก้วไวน์ใส่กำแพงตกแตก เขากัดปากจนห้อเลือด น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ มือบางทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น ด้วยความเจ็บปวดที่ส่งตรงออกมาจากหัวใจ จากการที่สายลับของเขาที่เคยจ้างเอาไว้มาแจ้งข่าวว่าวันนี้ซินหายไปไหน
ทำไมนายถึงทำกับฉันแบบนี้…
ร่างบางทรุดตัวลงกลางห้อง เขายอมสูญเสียทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาไม่สามารถสูญเสียไปได้อีก คือ ซิน
สาเหตุของความเจ็บปวดในครั้งนี้มากจากเขาคนเดียว ทั้งๆ ที่เขาพยายามทุกอย่างเพื่อซินมาตลอด แต่ทำไมกัน ทำไมทุกอย่างต้องลงเอยแบบนี้ ทุกคนหนีไปมีความสุขกันหมด เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ไม่มีใคร อยู่ในห้องคนเดียว นั่งมองคนที่เขารักมีความสุขกับคนอื่น
ในโลกนี้จะมีอะไรเจ็บปวดกว่าสิ่งที่เขาเจอไหมนะ? สิ่งที่ซินทำ ทำให้เขาลืมไปแล้วว่าแท้จริงความสุขมันคืออะไรกันแน่?
หรือพระเจ้าจะไม่ต้องการให้คนแบบเขามีความสุขกันนะ
เวกัสเดินมาตามทางข้างห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางดาวน์ทาวน์ มือบางโอบกระชับเสื้อกันหนาวที่ใส่อยู่ให้แน่นขึ้น
ประหลาดจังตอนกลางวันร้อนมากแท้ๆ แต่ตอนกลางคืนอากาศกับเย็นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับบีทีนเลย อาจจะเป็นเพราะยุ่งกันทั้งคู่ กะว่าคืนนี้พอกลับไปถึงบ้านจะโทรไปคุยเล่นด้วยสักหน่อย เผื่อว่าจะลืมกันไปแล้ว
“ดอกกุหลาบค่ะ ช่วยซื้อหน่อยนะคะ เป็นโครงการที่มหาลัยของเราได้ทำขึ้น คือ ขายกุหลาบและนำเงินที่ได้มอบให้แก่มูลนิธิเด็กกำพร้า…”
เวกัสมองกลุ่มเด็กมหาลัยตรงหน้าที่กำลังขายดอกกุหลาบอยู่ เขาเดินเข้าไปซื้อมาหนึ่งดอก ก่อนจะเอามันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูก และพบว่ากลิ่นชื้นจากมันทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย
พลั่ก!
เวกัสเซไปด้านข้างเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสบตากับคนที่ชนเขา ปรากฏเป็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ใส่ชุดคลุมคล้ายชุดกันฝนสีม่วงเข้มทั้งตัว มีหมวกคลุมบนหัว ให้ความรู้สึกเหมือนนางยิปซีสมัยก่อนไม่มีผิด
“พ่อหนุ่ม”
“ครับ?”
“หลังจากนี้ชีวิตพ่อหนุ่มจะเปลี่ยนไป แต่ในทางด้านไหนแล้วแต่พ่อหนุ่มจะเป็นคนดำเนินมันไปเอง”
“เอ๋ คือ ? หมายความว่ายังไงเหรอครับ”
ไม่ทันขาดคำร่างของผู้หญิงตรงหน้าก็วิ่งหายไปท่ามกลางฝูงคน ทิ้งไว้เพียงความสงสัยในตัวเวกัสเท่านั้น
ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปอย่างนั้นเหรอ…