Perfect Match! ซ่อนรักร้าย / Epilogue บทส่งท้าย [จบแล้ว ^ ^]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

คุณคิดว่าตอนจบ ใครจะคู่กับใคร ?

BELLMOUS - SECRET
BELLMOUS - SIN
CHERBELL - SECRET
VEGUS - BITEEN
RAKTAR - CHERBELL

ผู้เขียน หัวข้อ: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย / Epilogue บทส่งท้าย [จบแล้ว ^ ^]  (อ่าน 32704 ครั้ง)

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ คนเมืองหลวงทั้งหลายน่าจะหลบแดดเป็นแอร์นอนอยู่บ้านมากกว่าออกไปเดินเตร็ดเตร่ในที่ที่มีคนเยอะแบบนี้

อ่านประโยคนี้แล้วงงๆ ^^

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
เดี๋ยวขอไปทำสมาธิแล้วอ่านใหม่อีกรอบ อ่านไปสองตอน คือยังมึนๆตัวละครเยอะ
โดยรวมเนื้อเรื่องโอเคนะ  :L2:

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 6
Ambiguous


สองอาทิตย์หลังจากนั้นซีเครทก็ออกจากโรงพยาบาลและสามารถกลับไปพักผ่อนที่บ้านตามปกติได้ เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก นานเหลือเกิน สองอาทิตย์ในความรู้สึกเขายาวนานราวกับสองปี ในห้องสี่เหลี่ยมแคบสีขาว เกือบลืมไปอยู่แล้วว่าโลกภายนอกเป็นยังไง


เวกัสที่ดูจะเป็นห่วงเขาอย่างออกนอกหน้าบ่นเป็นหมีกินผึ้งตั้งแต่โรงพยาบาลจนกลับมาถึงบ้านโดยมีแร็กตาร์เป็นคนขับรถ นั่งคู่กับบีทีนข้างหน้า ตลอดระยะทางกลับบ้านหัวสมองเขาไม่ได้ว่างเลย มันมีทั้งความคิดที่สับสันในหลายเรื่อง รวมทั้งอาการน้อยใจเบลมอธที่ไม่โผล่หน้ามาเยี่ยมเขาเลย


ทั้งๆ ที่เขาอยากหาโอกาสคุยกับเบลมอธในเรื่องคืนนั้นแท้ๆ เขาเองก็มีความผิดคือถือโอกาสในขณะที่เบลมอธไม่ได้สติเมามายฉวยโอกาสไปอย่างไม่น่าให้อภัย และยังหนีออกมาง่ายๆ แบบนั้น คิดแล้วอยากจะเขกหัวตัวเองชะมัด เขาไม่แน่ใจเลยสักนิดเดียวว่าความรู้สึกที่มีต่อร่างบางนั้นคืออะไรกันแน่ หลายอย่างมันไม่ชัดเจน อีกทั้งความสัมพันธ์อันแสนประหลาดระหว่างเขากับเชอร์เบลอีก เขามองตาคนๆ นี้แล้วรู้สึกว่าเชอร์เบลไม่ได้จริงใจกับเขาสักนิดเลย เหมือนมายุ่งกับเขาเพื่อทำการอะไรสักอย่างซึ่งเขาไม่สามารถรู้ได้ แต่พอที่ได้สัมผัสตัวกันแล้วเขากลับรู้สึกได้เพียงความร้อนวูบวาบชวนให้หัวใจเต้นแรงทุกครั้ง และหาเจตนาร้ายแอบแฝงที่คิดว่าน่าจะมี ไม่เจอเลย เขาถึงได้บอกตัวเองเสมอว่าเขาคงคิดมากไปเอง จริงๆ แล้วมันคงไม่มีอะไร


คิดถึงเบลมอธชะมัด…ตอนนี้เขาคิดอะไรได้เท่านี้แหละ เขาไม่น่าทำอะไรแบบนั้นกับเบลมอธลงไปเลย และยิ่งเขาไม่โทรไปคุยอธิบายอีก แบบนี้แล้วเท่ากับว่าเขาต้องการตัดขาดสินะ ไม่รู้ว่าเจอกันอีกครั้งพวกเขาสองคนจะอยู่ในฐานะอะไรกัน


“พี่ซีท”


เสียงเวกัสที่นั่งด้านข้างเอ่ยทักทำให้เขาหันไปมองเป็นเชิงถาม


“เปล่าหรอกครับ เห็นพี่นั่งเหม่อตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว นึกว่าเป็นอะไรไป”


น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใยนั้นทำให้ความรู้สึกอบอุ่นแล่นวาบเข้ากลางหัวใจเขา แววตาตื่นๆ ของคนตรงหน้าดูน่ารักจนใจแทบละลาย แต่แปลกนะที่เขาไม่มีความคิดเชิงชู้สาวกับเวกัสเลย เอ๊พ อาจจะมีแต่ตอนนี้ยังไม่เกิด


เขาส่งยิ้มบางๆ ไปให้และโยกหัวเวกัสเล่นอย่างเอ็นดู “พี่ไม่เป็นอะไรหรอกน่า แค่รู้สึกตื่นเต้นกับวิวข้างทางเฉยๆ อยู่ในโรงพยาบาลมาตั้งสองอาทิตย์แน่ะ”


“แหม ก็อาการพี่มันน่าเป็นห่วงนี่นาคนปกติทั่วไปเขาใช้เวลาพักรักษาตัวเกือบเดือนนู่น พี่แค่สองอาทิตย์ก็ได้ออกมาแล้วเพราะร่างกายแข็งแรง แผลเลยสมาน น่าจะดีใจนะที่ไม่ต้องอุดอู้อยู่ในโรงพยาบาลนานกว่านั้น”


บีทีนที่นั่งข้างเอ่ยมาข้างหลังเสียงดัง พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ ของแร็กตาร์ที่กำลังขับรถอยู่ แต่พอเห็นสายตาอาฆาตแค้นของเขาผ่านทางกระจกหน้าสะท้อนมาข้างหลังก็เป็นอันต้องเงียบเสียงหัวเราะไปในทันที


“อะไรเนี่ย อุตส่าห์เป็นฮีโร่ปกป้องคนอื่น ไม่เห็นมีใครชมเราเลยสักคน น่าน้อยใจชะมัด” เขาแกล้งทำเสียงตัดพ้อและทำแก้มป่องพร้อมกับเหลือบหน้าไปอีกทางที่ไม่มีคนนั่ง บีทีนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะพูดออกมาอย่างเอาใจ “โอ๋เอ๋ ล้อเล่นเฉยๆ พี่ชายผมเท่ที่สุดในโลกเลยเนอะใช่ไหมเวกัส”


“ใช่แล้วล่ะ ถ้าไม่ได้พี่ซีท ป่านนี้ผมจะเป็นอะไรยังไงบ้างแล้วก็ไม่รู้”


เวกัสยิ้มหวานแล้วเอานิ้วชี้มาจิ้มแก้มพองๆ ของเขาทำให้เขาหลุดยิ้มออกมา เวกัสเห็นดังนั้นจึงจั๊กกะจี้เขาเล่น และหลังจากนั้นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุขก็ดังลั่นรถ


สิบห้านาทีหลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางกลับมาถึงบ้านกัน เวกัส บีทีนและแร็กตาร์มีเรียนตอนบ่าย ดังนั้นซีเครทจึงต้องอยู่บ้านคนเดียว เขาเลือกนอนบนโซฟาห้องนั่งเล่นเปิดดูหนังไปเรื่อยๆ อย่างไม่สนใจว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่แล้ว หิวก็ลุกไปหยิบขนมปังในตู้เย็นมากิน ง่วงก็นอนบนโซฟานั่นแหละ พักผ่อนอีกสักวันสองวันค่อยกลับไปเรียน


ติ๊งต่อง…


เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้เขาลืมตาขึ้น ทั้งที่อีกแปปเดียวก็จะหลับอยู่แล้ว ใครมาหาเขาเวลานี้กันนะ คงไม่ใช่มือปืนวันนั้นรู้ว่าเขาไม่ตายเลยกลับมาเอาคืนซะอย่างนั้นเหรอ


เขาดันตัวลุกขึ้นเบาๆ เพราะไม่อยากให้แผลที่สมานกันดีแล้วปริออกมาอีก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นมันต้องวุ่นวายมากแน่ๆ และเขาคงต้องกลับไปนอนโรงพยาบาลอีกไม่รู้กี่วัน ระวังหน่อยแล้วกัน

 
พอเดินมาถึงหน้าประตูบ้านปุ๊บก็เจอบุรุษไปรษณีย์ยืนถือกล่องพัสดุรอเขาอยู่พร้อมกระดาษรับของ ปากกา ซีเครทขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่มีพัสดุที่จะส่งมาทางบ้านเขานานมากแล้ว ถ้าเป็นของพ่อแม่ก็ต้องโทรมาบอกก่อน ถ้าอย่างนั้นของพวกนี้มันคืออะไรกัน


ซีเครทเอ่ยถามบุรุษไปรษณีย์อย่างแปลกใจ “เอ่อ จ่าหน้าถึงผมเหรอครับ แน่ใจนะครับว่าไม่ได้ส่งผิด”


“ครับ ใช่แล้วครับ ผมทวนดูแล้วหนึ่งรอบ เป็นบ้านหลังนี้แน่นอนครับ ยังไงรบกวนเซ็นต์ชื่อตรงนี้ด้วยครับ”


“อ่อ ครับผม ขอบคุณมากนะครับ” เขารับปากกาจากคนตรงหน้ามาเซ็นต์แล้วรับห่อพัสดุสีน้ำตาลเดินถือกลับเข้าไปในบ้าน จนตอนนี้เขาเริ่มหวาดกลัวว่ามันอาจจะไม่ใช่ของที่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ เก็บไว้มันจะเป็นอันตรายกับตัวเขาไหมนะ ซีเครทเดินกลับมานั่งโซฟาที่เดิมก่อนจะลงมือแกะห่อกระดาษนั้นอย่างเบามือ อย่างน้อยถ้าเป็นระเบิดเขาจะได้โยนมันออกไปไกลๆ โดยไม่รับผิดชอบสภาพพื้นที่หลังจากนั้นแน่นอน -____-^


ความรู้สึกประหลาดใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาแกะห่อชั้นแรกออกแทนที่จะได้พบเจอกล่องสำหรับใส่ของที่ส่งมา กลับกลายเป็นว่ามีกระดาษซ้อนทับออยู่อีกชั้นด้านใน ทำให้เขาต้องเสียเวลาแกะห่อออกอีกรอบ และนั่นทำให้ซีเครทถึงกับยกมือกุมหัวด้วยความปวดประสาทเพราะว่าพอแกะชั้นนั้นออกก็มีชั้นอื่นอีกตามมาเรื่อยๆ


…เจ้าคนส่งจากปลายทางมันเล่นตลกอะไรของมันเนี่ย


เขาคิดในใจอย่างหงุดหงิดเพราะเขาแกะกระดาษถึงสี่รอบกว่าจะเจอกล่องเล็กสุดข้างในที่มีขนาดประมาณโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็ก เขาหยิบมันขึ้นมาแกะดูในนั้นมีกระดาษสีขาวแผ่นเล็กหนึ่งแผ่น เขียนเอาไว้เป็นเหมือนตั๋วพักโรงแรมฟรีอะไรสักอย่าง ซึ่งสามารถจองกี่ห้องพักกี่วันกี่คืนก็ได้ ซึ่งระยะเวลาในการใช้สิทธิตั๋วนี้คือก่อนสิ้นปีนี้ ซึ่งเหลือเวลาอีกนานพอสมควร
ใครกันเป็นคนส่งมานะ?


หรือจะเป็นบริษัททางต่างประเทศที่สุ่มเลขที่บ้านเอาทำเป็นโปรโมชั่นชวนให้ลูกค้าจากต่างประเทศไปใช้บริการงั้นเหรอ เพราะสถานที่ของโรงแรมนี้อยู่ไกลถึงอิตาลีเลยทีเดียว แบบนี้คงหมดโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากมันแล้วล่ะ เขาไม่มีธุระที่ต้องเดินทางไปทางนั้นนี่นา


เขายืนกล่องเล็กๆ นั้นลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเหยียดกายลงนอนหลับต่อเพราะความอ่อนเพลีย โดยไม่รู้เลยว่ามีอะไรมากมายให้เขาต้องพบเจออีกหลังจากนี้…






“จริงเหรอ”


“อืม อีกสองอาทิตย์หลังจากนี้ ไม่แน่อาจจะก่อนหน้านั้น ทั้งค่าตัวเครื่องบิน ค่าเที่ยวมีให้หมดเลย ขาดอย่างเดียวคือที่พักอ่ะ โรงแรมของพ่อเต็มแล้วอ่ะ ยังหาทางแก้ไขไม่ได้เลย”


เชอร์เบลขมวดคิ้วเข้าหากันขณะที่ปรึกษากับบีทีนตอนพักเที่ยง เขามีโครงการไปเที่ยวต่างประเทศฟรีเป็นของขวัญจากคุณพ่อเขา จึงลองมาชวนพวกบีทีนดู มันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก แต่โรงแรมของครอบครัวจองเต็มตอนช่วงที่พวกเขาไปพอดีน่ะสิ


“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” เวกัสกับแร็กตาร์ที่เพิ่งจะออกไปเล่นบาสด้วยคน เดินมานั่งลงตรงข้ามในสภาพตัวเปียกโชก บีทีนร้องยี้ทันที “หยี ตาบ้า เหม็นเหงื่อ รู้ว่าต้องเรียนต่อจะไปเล่นให้ได้อะไรขึ้นมา เวกัสอีก เดี๋ยวเถอะ”


“แหะๆ ขอโทษทีนะ พอดีมันเพลินไปหน่อย ว่าแต่คุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอ” เวกัสหัวเราะแห้งๆ ใส่บีทีนที่ทำหน้าบึ้งตรงหน้าแล้วเปลี่ยนประเด็นถามถึงเรื่องที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ ในขณะที่แร็กตาร์แลบลิ้นใส่บีทีนจนเกือบจะเกิดสงครามอีกรอบ เชอร์เบลจึงพูดแทรกขึ้นมาทันที


“อีกประมาณสองอาทิตย์ ทุกคนไปเที่ยวอิตาลีด้วยกันนะ ฟรีทุกอย่างเลย”


คำพูดนั้นของเชอร์เบลเรียกความสนใจจากเวกัสและแร็กตาร์ได้เป็นอย่างดี “จริงเหรอ ไปสิไปแน่ๆ ใครปฏิเสธก็บ้าแล้ว”


บีทีนมองหน้าแร็กตาร์อย่างหมั่นไส้ก่อนจะพูดว่า “เว่อร์แล้วตาบ้า น่าหมั่นไส้”


เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งจากคำพูดของบีทีนก่อนจะเงียบพร้อมกันอีกครั้งเมื่อเวกัสพูดเสริมขึ้นมา “แต่ไม่มีที่พักใช่ไหม เหมือนเมื่อกี้ได้ยินพูดอยู่”


“ใช่แล้วล่ะ ไม่รู้จะไปที่ไหนดีอ่ะ ไม่อยากออกเงินกันเองเพราะคงแพงพอสมควร” พอพูดถึงเรื่องที่พักเชอร์เบลจึงย่นหน้าด้วยความเครียดอีกครั้ง บีทีนนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะทำท่าเหมือนคิดอะไรได้ขึ้นมา


“มีอะไรเหรอบีน” เวกัสเอ่ยถามขึ้นมา


“คือฉันว่าจะลองปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ซีทดูอ่ะ น่าจะพอช่วยเราได้บ้าง เพราะเหมือนพี่จะมีเพื่อนที่ทำงานทางด้านโรงแรมอยู่ เดี๋ยวลองถามให้”


“ขอบคุณนะ ยังไงรบกวนด้วย” เชอร์เบลที่เริ่มยิ้มออกเอ่ยขอบคุณ บีทีนส่ายหน้าไปมาพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน “ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้นายก็ทำเพื่อพวกเรามามากพอแล้ว”


เชอร์เบลส่งยิ้มไปให้บีทีน ไม่มีใครสังเกตประกายระยิบระยับในตาของเชอร์เบลได้เลย…


…เท่านี้ทุกอย่างก็ลงล็อก


“ถ้างั้นเดี๋ยวขอตัวออกไปโทรหาพี่ซีทก่อนนะ คุยกันไปก่อนเลยเดี๋ยวมา”


บีทีนหยิบมือถือจากกระเป๋าแล้วเดินออกไปนอกห้องพร้อมสายตาที่ลุ้นและเต็มไปด้วยความหวังของทุกคน


สนามบาสเก็ตบอล

แร็กตาร์ถือลูกบาสสีส้มขุ่นในมือไว้แน่น สายตามองไปยังห่วงตาข่ายที่อยู่สูงและไกลออกไปตรงหน้า เขามักจะเป็นคนที่มีนิสัยจริงจังแบบนี้เสมอถ้ากับสิ่งที่เขารัก เขาจะพยายามทำมันให้ดีที่สุด ไม่เว้นแม้แต่การออกกำลังกายอย่างการเล่นบาส เล่นคนเดียวหรือเล่นเป็นทีม ทุกครั้งที่เจ้าลูกสีส้มอยู่ในมือเขา เขาจะดังค์มันให้เข้าห่วงให้ได้ เมื่อกะจังหวะได้ที่แล้วเขาก็ชู๊ตลูกบาสเข้าห่วงตรงหน้าไปได้อย่างสวยงาม รอยยิ้มบางๆ แต้มขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อเมื่อได้ยินเสียงปรบมือดังมาจากม้านั่งทางด้านซ้ายที่เมื่อกี้ยังไม่มีคนอยู่

“แปะๆ”

“เชอร์เบล…”

“นายเก่งบาสจังเลยอ่ะ อิจฉา เห็นแล้วอยากเล่นมั่ง”

“ฮ่าๆ ไม่หรอก ฉันก็แค่เล่นเป็นงานอดิเรกเฉยๆ ไม่ได้เทพขนาดนั้นหรอก ยังมีคนที่เล่นเก่งกว่านี้อีกเยอะเลย” เขาพูดพร้อมกับยกมือเกาท้ายทายแก้เขิล ซึ่งภาพนั้นทำให้เชอร์เบลยิ้มแต้มที่มุมปากอย่างถูกใจในความโหดแบบผู้ชายแต่ก็มีมุมน่ารักให้เขายิ้มตามได้


“อย่าถ่อมตัวไปเลยน่า ว่าแต่ทำไมวันนี้อยู่ค่ำจัง ยังไม่กลับเหรอ”
แร็กตาร์เดาะลูกบอลในมือไปด้วย ปากก็คุยกับคนตรงหน้าไปด้วย “เปล่าหรอก เนี่ยล่ะ กำลังจะกลับพอดีเลย เชอร์เบลล่ะ”

“เอ้อ จริงด้วยสิ ลืมไปเลย”

ใบหน้าอ่อนใสของร่างบางซีดเผือด มือเล็กๆ นั่นยกขึ้นมาปิดปาก ดวงตาเรียวคมกลอกไปมาทำท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่ แร็กตาร์เห็นท่าทางไม่ดี จึงเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างมีน้ำใจ

“เชอร์เบล นายเป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไรให้ฉันช่วยมั้ย”

“คือ…ฉันไม่แน่ใจว่าจะขอความช่วยเหลือจากนายดีมั้ยน่ะ”

เชอร์เบลหลุบสายตาลงต่ำยิ่งทำให้ร่างบางตรงหน้าแลดูน่าปกป้องมากยิ่งขึ้น “พอดีว่าวันนี้คนขับรถประจำของฉันเขาลาวันหนึ่งน่ะ จะกลับไปเยี่ยมญาติที่สมุทรปราการ ฉันเลยไม่รู้จะกลับยังไง คือ ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป…”

“ได้สิ เดี๋ยวเราไปส่งเอง ไม่ได้รบกวนอะไรเลย ^_^” แร็กตาร์เอ่ยออกไปพร้อมกับโยนลูกบาสให้กระเด็นไปอีกทาง “แต่คงเป็นแท็กซี่นะ วันนี้ฉันกะจะกลับเองเลยบอกคนขับรถว่าไม่ต้องมารับ เดี๋ยวฉันไปส่งนายเอง แหม พูดอย่างกับขึ้นแท็กซี่ไม่เป็นอย่างนั้นแหละ ฮ่าๆ”

“หัวเราะบ้าอะไรฮะ ก็ไม่ชินกับการกลับคนเดียวนี่ โด่ รู้อย่างนี้ไปรบกวนคนอื่นดีกว่า เชอะ”

เชอร์เบลพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจแล้วสะบัดหน้าจะเดินไปอีกทาง แร็กตาร์เห็นแบบนั้นจึงเอื้อมมือไปคว้าตัวร่างบางไว้ได้ทันก่อน น้ำเสียงขี้เล่นเอ่ยแซวคนตรงหน้าจนเชอร์เบลถึงกับหน้าแดงด้วยความโกรธปนอาย

“ทำงอนเป็นสาวน้อยไปได้ เดี๋ยวก็จูบง้อซะเลยดีมั้ยเนี่ย”

“บ้า ใครจะยอมให้นายจูบกัน -///-^^^”

แร็กตาร์หัวเราะไปกับท่าทางน่าแกล้งนั้นก่อนจะยกมือโอบคอร่างบางไว้แบบที่เพื่อนผู้ชายจะทำกัน ไม่มีใครรู้ว่านั่นอาจจะเป็นรอยยิ้มที่สดใสที่สุดของเด็กหนุ่มคนหนึ่งครั้งสุดท้ายก่อนจะพบเจอกับความเสียใจไปอีกนานแสนนาน…








(Special Talk : CHERBELL)

“นี่นายอยู่คอนโดนี้เหรอ ตอนแรกฉันนึกว่านายจะอยู่บ้านกับพ่อแม่ซะอีก” แร็กตาร์เอ่ยถามผมขึ้นมาเมื่อเราทั้งสองคนลงจากแท็กซี่ตรงหน้าคอนโดมิเนี่ยมชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งได้รับการการันตีว่าแพงที่สุดหรืออลังการที่สุดในประเทศไทย ความสูงของตึกไม่สามารถกะได้ด้วยสายตา รู้เพียงแต่ว่ามีอยู่เจ็ดสิบสองชั้น และต้องเป็นผู้มีอันจะกินเท่านั้นแหละถึงจะสามารถจ่ายเงินให้กับคอนโดแห่งนี้ได้ แน่นอนว่ามาตรฐานการรักษาความปลอดภัยก็เยี่ยมยอดด้วยเช่นกันครับ แต่จะว่าคอนโดนี้เป็นที่พักอาศัยของผมมันก็เป็นได้ทั้งใช่และไม่ใช่ เพราะที่นี่เป็นห้องสำหรับที่ผมใช้เป็นที่จัดปาร์ตี้กับเพื่อนในสาขาเมื่อปีก่อน ส่วนตอนนี้มันได้กลายเป็นรังรักของผมกับซินแล้วล่ะ ^_^

“ใช่แล้วล่ะ พ่อแม่ของฉันทำงานอยู่อเมริกาน่ะ นานๆ ครั้งก็กลับมาหาฉันที่ไทย แต่ท่านก็มีบ้านอยู่ที่นู่นเลยชินกับสภาพที่นู่นมากกว่าจะกลับมาอยู่บ้านที่ไทย และเพราะตัวฉันเองไม่อยากเปลี่ยนแปลงสภาพบรรยากาศที่อยู่ ไม่อยากอยากประเทศตัวเองไปเลยขอพ่อกับแม่กลับมาเรียนต่อที่เมืองไทยไงล่ะ ตอนแรกท่านก็ไม่ยอมท่าเดียวและจะจับฉันเรียนที่มหาลัยใกล้บ้านที่ต่างจังหวัด แต่ก็อย่างว่าแหละนะฉันคงทนไม่ไหวและตื๊อจนมาได้ถึงจุดนี้แหละ…” …บางครั้งตัวผมเองก็เริ่มงงกับสารบบความคิดแล้วล่ะ แทบจะจับใจความไม่ได้ กดไม่ถูกว่าอันไหนคือความจริงกันแน่ซะแล้วสิ

“นายเป็นคนที่ใจกล้ามากๆ คนหนึ่งเลยนะ ญาติก็ไม่อยู่ แต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเมืองแห่งแสงสีแบบนี้ตัวคนเดียว”

“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ เพราะตั้งแต่ได้เจอพวกนายมาชีวิตของฉันมีสีสันขึ้นเยอะเลย หึๆ”

“สนใจให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนเปล่า อยู่ฟรีไม่คิดตังค์”

“ถ้ากล้าทำอย่างนั้นจริงๆ ไม่กลัวบีทีนด่าก็มาสิ”

ผมฮุกหมัดเด็ดออกไปและรอดูปฏิกิริยาคนข้างๆ ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าอะไรเพียงแค่ยิ้มมุมปากเท่านั้น
เราเดินด้วยกันมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าห้องผม เอ ผมแอบแปลกใจนะจริงๆ แล้วผมไม่ได้ขอให้เขาขึ้นห้องตามผมมาเลยด้วยซ้ำ แต่นี่ก็ดีจะได้จัดการตามแผนง่ายสักหน่อย และทันทีที่ผมเปิดประตูห้องเข้าไป แร็กตาร์จึงพูดขึ้นมา

“ถ้ายังไง ฉันกลับก่อนนะ ไว้พรุ่งนี้เจอกัน”

“เดี๋ยว…”

“…!!!”

คนตรงหน้าเหมือนจะช็อกเมื่อผมเอื้อมมือำจับมือเขาตอนที่กำลังจะหมุนตัวเดินกลับไป ท่อนแขนแข็งแรงที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อตรงหน้าทำให้ผมใจสั่นไปวูบหนึ่ง แต่แค่วูบหนึ่งจริงๆ นะ แร็กตาร์เขาใจแข็งเกินไปแล้วหรือเปล่า ผมถูกเนื้อต้องตัวเขาขนาดนี้แล้วนะ จะไม่แสดงอาการที่สื่อว่าหวั่นไหวหน่อยหรือไง ผมเสียเซลฟ์นะเนี่ย -_-^

เขามองหน้าผมเป็นเชิงถามว่าทำไมถึงมาจับมือเขาไว้แบบนี้ ผมยิ้มมุมปากแบบอ่อนโยน ก็นะ สำหรับผมการยิ้มแบบนี้ถือว่าอ่อนโยนที่สุดแล้วล่ะ (: “ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว อย่าเพิ่งกลับเลย อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนเถอะ ฉันจะโชว์ฝีมือให้นายเห็นเอง” แร็กหน้าทำหน้าคิดวูบหนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ก็ได้ ไหนๆ ก็มาแล้วนี่ อยากรู้เหมือนกันว่าซ่อนอะไรไว้ในห้องบ้าง จะค้นให้เละเลย”

“ทำให้ได้อย่างที่ปากพูดเถอะน่า”

“งั้นต้องรอดู ^O^”

“อืมๆ เข้ามาข้างในหน่อยสิ มีชุดโฮมเธียร์เตอร์อยู่ตรงโซนห้องรับแขก หนังต่างชาตินายชอบป่ะ ลองเลือกดูเองก็แล้วกันนะ”
แร็กตาร์เดินตามผมเข้ามาในห้องแล้วมุ่งหน้าไปยังโซนที่รับแขกอีกฝั่งของห้อง ส่วนผมก็วางกระเป๋าไว้บนโซฟาแถวนั้น แล้วเดินไปในครัว มองซ้ายมองขวา (-_- )( -_-) พอเห็นว่าไม่มีคนก็จัดการเอาอาหารจากในตู้เย็นที่สั่งให้ลูกน้องซื้อจากภัตตาคารออกมาเตรียมจัดใส่จานแล้วเอาเข้าไมโครเวฟ

หึๆ

คิดเหรอว่าผมจะทำอาหารเป็นจริงๆ น่ะครับ =[]=^^^ สำหรับศัตรู อ้อ! ไม่สิ หมากรวมกระดานบางคนที่ต้องสลัดทิ้งไปเพื่อความอยู่รอดของราชินีแบบผมทำให้ผมต้องทำแบบนี้

เสียใจด้วยนะ…แร็กตาร์…

แต่ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ






ผมจัดการเอาอาหารสองอย่างที่อุ่นเสร็จออกมาใส่จาน จำเป็นต้องเลือกอาหารที่ไม่ทำยากจนเกินไป เกิดเขามาถามสูตร เคล็ดลับการทำผมก็แย่พอดีสิ เพราะฉะนั้นเอาเป็นผัดกะเพรา กับ ไข่เจียวทรงเครื่องน่าจะดีที่สุด อ้า ที่ขาดไม่ได้เลยคือข้าวสวยร้อนๆ ที่ฝากคุณป้าห้องหุงเผื่อเมื่อตอนกลางวัน ป้าแกใจดีจริงๆ เอาเข้ามาไว้ในครัวให้เลย (ผมกับซินสนิทกับป้าข้างห้องมากเลย ป้าทำอาหารเก่ง บางทีทำอะไรอร่อยๆ ก็แบ่งมาให้พวกเราได้ชิมด้วยแหละ ดังนั้นจึงไม่เป็นกังวลเรื่องขโมย >O<)

ใช้เวลาประมาณห้านาทีของทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย กินที่ห้องรับแขกตอนหมอนั่นกำลังดูหนังน่าจะโอเคดีนะ เพราะอย่างนั้นผมจึงยกถาดอาหารออกไปวางด้านนอกตรงโต๊ะรับแขก

“มาแล้ว กับข้าวแสนอร่อยมาแล้ว”

แร็กตาร์เบิกตากว้างแล้วเอ่ยแซวผม “โห แน่ใจนะว่ากินได้ มียาถ่ายเตรียมไว้บ้างหรือเปล่า”

“เดี๋ยวเถอะ รับรองว่าอร่อยจนลืมเมียที่บ้านไปเลยแหละ”

“ฮ่าๆ ยังไม่มีเมีย แต่เร็วๆ นี้อาจจะมีแล้วล่ะ”

“น่าหมั่นไส้ เอ้อ เอาไวน์หน่อยนะ พอดีคุณพ่อส่งมาให้ลองชิมนะ ไวน์องุ่นจากฝรั่งเศส รสชาติน่าจะโอเค”

“เอามาลองดูสิ ไม่ได้ดื่มมานานละเนี่ย”

ผมเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้งหยิบแก้วไวน์ทรงสูงสองแก้วออกมา แก้วหนึ่งผมใส่สารบางอย่างและเทไวน์ตามก่อนจะคนให้เข้ากันเพื่อให้เขาลองจิบ แผนจะได้สำเร็จตามที่วางไว้

แค่นี้ก็เรียบร้อย…







To Biteen

          Are you busy ? met me at K condo 8.30 PM 601 room . I will wating for you at this place
       
                                                       From Raktar






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2014 14:16:47 โดย Homepage »

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
เรียนพี่เว็บนิดหนึ่งนะครับ นิยายเรื่องนี้ผมขอลาพักร้อนสักเดือนสองเดือน หรือมากกว่านั้นแต่ไม่เกินสี่เดือน
จะมาแต่งต่อและลงเพิ่ม ได้โปรดอย่าเพิ่งลบนะครับ (T__________T)
เพราะผมจะไปเปิดกระทู้กับเรื่องใหม่ และจัดการกับเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่งครับ
ขอบคุณมากครับ

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
มาแปะ
เดี๋ยวแว๊บไปอ่าน
อย่าหายไปนานนะคะคนเขียน

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
งงอยู่คำถามเดียวเนี่ยแหละทั้งเรื่อง เชอร์เบลจะปั่นหัวคนพวกนั้นไปเพื่ออะไร?

คือโอเค ผมเข้าใจไลฟ์สไตล์คนแบบเขานะ มันก็น่าจะถูกที่คนแบบเขาจะฉลาดกว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น จะวางแผนซับซ้อน กล้าเสียกระทั่งร่างกายตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาต้องการ แต่ผมอยากรู้ว่าแรงจูงใจคืออะไร? แค่ความรักมันทำให้คุณทำทั้งหมดนี่เนี่ยนะ แถมการไปทำให้บีทีนกับแรกตาร์แตกกันมันก็ไม่ได้จะทำให้ซินหันมารักเขาอยู่ดีนี่นา แล้วจะทำไปเพื่ออะไร?

คนแแบนี้มีในความจริงครับ แต่ส่วนมากเค้าไม่ได้ร้ายโดยจิตวิญญาณหรอก มันต้องมีปมอะไรสักอย่างที่ทำให้เค้าเป็นแบบนี้ เพื่อนผมที่เป็นแบบนี้ก็มีนะครับ (ผมเลยไม่ได้รู้สึกแอนตี้นิสัยคนประเภทนี้เท่าไหร่ในความจริงน่ะนะ) ถ้าสัมผัสจริงๆแล้วจะรู้ว่าเค้าเป็นคนจิตใจดีและรู้สึกถึงอะไรที่คนอื่นแอบเก็บไว้ได้ง่ายมาก [เพราะเค้ามักจะใช้ความรู้ตรงนั้นไปวางแผนปั่นหัวคนอื่น 555+] ถ้าเป็นเพื่อนกับคนประเภทนี้ได้แบบสนิทจริงๆจะเหมือนมีเพื่อนตายเลยนะครับ

แต่ตอนนี้ผมว่าเชอร์เบลไม่มีเพื่อนเลยล่ะ สร้างหน้ากากขึ้นมาเพื่อหลอกลวงโลก หลอกลวงกระทั่งตัวเอง ที่ผมมองว่าเชอร์เบลน่าจะคู่กับซีเคร็ท เป็นเพราะว่าคาแรกเตอร์คนแบบซีเคร็ทจะอยู่กับเชอร์เบลรอดครับ คนประเภทนี้ไม่ชอบคนโง่ มักชอบคนฉลาดและมาดขรึมๆ ตอบเรื่องความต้องการทางเพศของเขาได้ ซึ่งซีเคร็ทตอบโจทย์ตรงนี้ได้ครบครับ

ซินเป็นคนดีที่ทุ่มเทให้กับความรักเกินไป เป็นพระเอกคู่กับตัวนางอย่างเบลมอธน่ะดีแล้ว (มีคู่ดีๆให้เรากระชุ่มกระชวยหน่อยเถอะ อ่านซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากแล้วจะพาลเครียด 555+) ส่วนบีทีนกับแรกตาร์ก็ดูเด็กๆ หื่นนิดหน่อย ร้อนแรงสมวัยมหาวิทยาลัยดี

มาเขียนต่อซะที รอจนเมื่อย ฮะๆ หวังว่าคราวนี้จะไม่หายไปนานๆอีกน้า ผมรอติดตามอยู่ครับ!  :mew3:

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Re: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย (Chapter 6 ) Ambiguous 100%
«ตอบ #36 เมื่อ28-04-2013 20:41:42 »

Chapter 7
Likewise


(Special Talk : Biteen)

อีตาบ้านี่เป็นอะไรของเขานะ = =! ส่งข้อความมาบอกว่าให้ไปหาหน่อยอย่างนั้นเหรอ มีธุระอะไรเนี่ยวันนี้อยู่มหาลัยทั้งวันไม่เห็นมีท่าทีว่าจะพูดอะไรเลย แล้วอยู่ดีๆ มาบอกให้ไปหาเนี่ยนะ ไม่ไหวเลยจริงๆ ตาบ้านี่ ไม่มีตาดูหรือไง มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วเนี่ย อย่าให้เจอนะจะบิดหูให้ม้วนเป็นเลขแปดเลย!

แต่สุดท้ายแล้วผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าล็อกบ้านเพราะพี่ซีทยังไม่กลับแล้วออกจากบ้านเรียกแท็กซี่ไปคอนโดของแร็กตาร์ เอ ผมแปลกใจอย่างไรก็ไม่รู้สิ เหมือนจำได้ว่าก่อนหน้านี้แร็กตาร์บอกผมว่าอยู่บ้านนี่นา แล้วย้ายไปคอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมเป็นคอนโดหรูราคาแพงจนผมคงต้องทำน้ำเต้าหูขายสิบปีถึงจะซื้อได้ =_=

ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีผมก็มาถึงคอนโดเคตามที่แร็กตาร์ส่งข้อความมาบอก บริเวณหน้าคอนโดมีเซเว่นอยู่ รอบๆ มีร้านอาหารข้างทางหลายแห่งแข่งกันเปิดที่มีคนวัยทำงาน นักศึกษากำลังนั่งทานข้าวกันอยู่ ผมเหลือบไปเห็นร้านขายนมสดร้านหนึ่งแล้วแอบคิดว่าแร็กตาร์น่าจะให้มาช่วยทำงานเลือกวิชาเสรีหรือเปล่าถ้าอย่างนั้นซื้ออะไรขึ้นไปกินสักหน่อยแล้วกัน เผื่อว่าต้องใช้ความคิดเยอะ จะพาลทำให้เครียดไปด้วย

“เอานมสดเย็น 1 แก้ว กับ นมชมพูใส่วุ้นด้วย 1 แก้วครับ แล้วก็เอาขนมปังปิ้งราดช็อกโกแลต 1 ชุดนะครับ”

ผมเอ่ยปากบอกคนขายซึ่งเป็นคุณป้าท่าทางใจดี มันน่ากินจริงๆ นะ โดยเฉพาะขนมปังเนี่ย กรอบ แถมมีช็อกโกแลตอีก อยากเขมือบเข้าไปให้หมดเลย แล้วผมก็ชอบวุ้นที่ใส่ในนมด้วย จำได้ว่าเมื่อก่อนเวลากินจะดูดนมในแก้วให้หมดก่อนแล้วจึงใช้หลอดควานหาวุ้นกินเป็นอย่างสุดท้าย ตรรกะแบบนี้คงจะคล้ายกับเด็กเวลากินก๋วยเตี๋ยวแล้วจะกินเส้นกับผักในชามให้หมดก่อนหลังจากนั้นก็ละเลียดกินลูกชิ้นอย่างน่ารัก >__< จะว่าไปเป็นเด็กนี่ก็ดีเนอะ เต็มไปด้วยใจที่ใสซื่อ บริสุทธิ์ ขาวสะอาด ทำอะไรผิดก็ไม่มีใครคอยว่า สามารถอ้าปากตะโกนร้องด้วยความเสียใจ หัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข แต่เมื่อเราโตขึ้นภารกิจก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  มีอะไรให้คิดเยอะขึ้น ถึงว่าแหละผู้ใหญ่หลายคนยังมีนิสัยเหมือนเด็กและควานหาช่วงเวลาอันแสนมีความสุขเหล่านั้น

“ได้แล้วจ้า”

“ขอบคุณมากครับ”

ผมยื่นเงิน รับถุงและกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินเข้าไปในคอนโดแห่งนี้  โห กว้างใหญ่ไพศาลมากเลยครับ ชาวต่างชาติเดินกันให้ว่อนเลย ผมเดินไปกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นที่ตานั่นนัดให้ขึ้นไป ไม่นานลิฟต์ก็ถึงชั้นที่ว่านั่นสักที

ทางเดินจนสุดทางของชั้นนี้ปูด้วยพรมสีแดงกำมะหยี่ บนเพดานมีหลอดไฟดวงเล็กสีส้มนวล มองแล้วให้ความรู้สึกขนลุกแปลกๆ แฮะ คงจะเพราะคนที่นี่เขารักความเป็นส่วนตัวสินะ ส่วนคนที่ชอบเสียงดัง โวยวายคงจะอยู่ในที่แบบนี้ไม่ได้ =_= ผมเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่งแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเจอรองเท้าหนังคู่หนึ่งถอดเก็บไว้นอกประตูแบบนี้ (สถาณการณ์คุ้นๆ เนอะ) เป็นของแบรนด์ดังด้วยแหะ ไม่กลัวขโมยบ้างเหรอ เดี๋ยวผมก็ขโมยเองซะหรอก!

ผมเอื้อมมือไปกดออดแล้วหยุดยืนรอสักครู่แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดประตู อืม…หรือว่าหมอนั่นจะอาบน้ำอยู่นะ กดอีกทีแล้วกันเผื่อไม่ได้ยิน

ติ้งต่อง!

ยังไม่มีใครออกมาเปิดครับทุกท่าน -_-

แกรก!

เอ๊ะ พอผมลองผลักประตูเข้าไปดู ก็ปรากฏว่าไม่ได้ล็อก แล้วจะมาหลอกให้กดออดเล่นทำไมวะเนี่ย ถ้าอย่างนั้นขอเสียมารยาทเปิดเข้าไปเลยแล้วกัน ไหนๆ เราก็ต้องเจอกันอยู่แล้วนี่

เสียงเพลงสากลเปิดคลอมาเบาๆ ได้ยินมาจากห้องรับแขก ผมเดินตามเสียงนั้นเข้าไปดู เจอสภาพโต๊ะรับแขกที่มีจานอาหารที่ยังกินไม่หมด ขวดไวน์หนึ่งขวด นี่แร็กตาร์กินข้าวกับใครมาก่อนหน้านี้หรือเปล่านะ แปลกจัง บางอย่างบอกผมว่าภาพการณ์ตรงหน้าเหมือนมันวางแพลนผิดตำแหน่งไปหมดเลย คนอย่างตาบ้านั่นจะจัดห้องแนวนี้เหรอ สีโทนอ่อนแบบสาวแตกน่ะ แบบเขาน่ะเหมาะกับอะไรดำๆ มืดๆ มากกว่า ทุกคนคงนึกออกว่าเวลาอะไรที่มันไม่เหมาะสม เช่น คุณเจอดอกกุหลาบเป็นกับแกล้มเหล้าในสถานบันเทิง (ผมเปรียบเทียบเกินไปหรือเปล่าเนี่ย) พอมองเลยรู้สึกขัดตาอย่างประหลาด

วูบ…

ไม่ใช่หลอนอะไรหรอกนะครับ แต่ความรู้สึกกังวลบางอย่างกระแทกเข้ากลางใจอย่างจัง ผมหลุบสายตามองไปยังขวดไวน์ที่เปิดทิ้งไว้ จานข้าวสองจานแสดงว่าคนกินมันต้องมีสองคนสินะ ฉากแบบนี้ทุกคนคงจะเคยเห็นจากในหนังสินะ แนวที่พระเอกนอกใจนางเอกแล้วมาหาชู้น่ะ เฮ้อ นี่ผมต้องมารับรู้อะไรแบบนี้จริงๆ เหรอ

พอคิดมาถึงตรงนี้มันก็ทำให้ผมจนเป็นต้องกลับมาทบทวนหัวใจตัวเองอีกครั้ง…คงไม่ใช่ว่าตกหลุมรักเขาแล้วนะ…แต่เอาไว้ตรงนั้นก่อนเถอะ ผมต้องค้นหาความจริงตรงหน้านี้ให้ได้ก่อนว่าอะไรเป็นอะไรหลังจากนั้นค่อยว่ากัน แต่ถ้าคิดว่าคนอย่างผมจะเสียใจ ร้องไห้ ให้กับความรักน่ะเหรอ ไม่มีทางซะหรอก หึ

เป้าหมายของผมคือประตูบานหนึ่งที่คงจะเชื่อมกับห้องนอน ผมมุ่งหน้าไปกระชากประตูเปิดทันที…

เผลาะ…

ที่ผมพูดไว้ด้านบนผมโกหก…

ที่บอกว่าจะไม่เสียน้ำตา…แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะร้องนะ มันไหลลงมาเอง ผมไม่ได้บอกให้มันใหล…

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือแร็กตาร์นอนกอดกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะเขาใส่ผ้าคาดตาสีแดงเอาไว้ ราวกับว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้พวกเขาได้เล่นเกมอะไรสักอย่างจนทำให้ทั้งห้องรกแบบนี้ หมอนข้างถูกปัดตกลงมาบนพื้น และไปโดนกับแจกันอันเล็กๆ ตกลงมาแตกด้านล่าง

หน็อย…

แกกล้ามาก!!!

เพล้ง!!

ผมไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ภายในตัวห้องนอนคว้าเอาโหลแก้วใสที่ตั้งข้างอ่างล้างหน้ามา ดึงสายฉีดที่ผูกไว้ข้างๆ ชักโครก มาฉีดน้ำใส่โถแก้วจนเต็มจากนั้นจึงหยิบเอาน้ำยาล้างห้องน้ำขงเป็ดโปรสีส้มกระซวกเข้าไปคนให้เข้ากันกับน้ำแล้วเอาไม้ขัดส้วมตรงนั้นมาคนให้ข้ากัน และวิ่งออกไปข้างนอก มองบนเตียงที่มีสองร่างนอนเปลือยกอดกันอยู่ ไม่รู้ว่าผมตาฝาดไปหรือเปล่าที่เหมือนเห็นร่างบากที่ถูกกอดแสยะรอยยิ้มออกมา เขาใส่หน้ากากอยู่ผมจึงไม่รู้ว่าเป็นใคร และไม่คิดจะรู้ด้วย เพราะตานี่คนเดียว หน็อย บังอาจมาก ส่งข้อความเรียกฉันให้ออกมาดูฉากรักอย่างนั้นเหรอ

ซ่า!

ผมสาดน้ำโสโครกนั่นใส่เตียงอย่างแรงจนคนสองคนที่นอนอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่น หึๆ ตื่นกันได้แล้วเหรอ!

“ไอ้บ้า! นี่นายส่งข้อความบอกให้ฉันมาดูนายนอนกับคนอื่นเหรอ นี่แน่ะๆ”

ผมถือโถแก้วทุบไปตามตัวเขา ในขณะที่คู่ขาคนนั้นของเค้าเหมือนจะตกใจเลยรวมผ้าห่มไปพันตัวตัวเองไว้แล้วคลานลงจากเตียงไป คราวนี้แร็กตาร์เลยโป๊ไปเต็มๆ เลย

“โอ๊ยๆ นายเป็นอะไรของนายเนี่ย ใจเย็นๆ ก่อนสิ!”

เขาพูดแล้วพยายามรวบข้อมือผมไว้ แต่ตอนนี้สติผมหลุดไปแล้วจริงๆ

โป้ก!

ผมฟาดโถแก้วใส่หัวเขาเต็มๆ จนเลือดสีแดงไหลออกมาคาดว่าจะหน้าแตก

“โอ๊ย!”

เสียงร้องด้วยความทรมานดังขึ้น พร้อมกับเอามือกุมหน้าผากเอาไว้ หึ! น่าสมพชจริงๆ เสื้อผ้าไม่ติดตัวสักชิ้น อยู่ในสภาพที่ทุเรศลูกตาสุดๆ เลย แต่ผมมั่นใจว่าตัวเองว่าจะไม่หยุดแค่นี้แน่ๆ!

ผมเดินไปคว้าแก้วมนมสดสองแก้วที่ซื้อมาสาดใส่หน้าเขาแล้วเอาน้ำแข็งโปะหัวจนมันไหลลงมาเต็มไปหมด ก่อนจะปิดท้ายด้วยเอาครีมช็อกโกแลตที่แถมมากับขนมปังปิ้งเทใส่หัวเขาอีกรอบ แล้วเดินออกจากห้องมาอย่างหงุดหงิดโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกจากคนที่อยู่ด้านใน อา หงุดหงิดน้ำตาบ้านี้จังจะไหลมาทำไมตอนนี้นะ รู้ไหมว่ามันเกะกะขนาดไหน

ทำไมกันนะ…ทำไมต้องเสียใจถึงขนาดนี้…

นี่เรารักเขาแล้วสินะ…

(End : Special)






แร็กตาร์หยิบเสื้อผ้าตัวเองที่หล่นอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวมใส่โดยไม่สนใจความสกปรกบนตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เขารู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ใจแทบจะสลายลอยไปในอากาศ ความโหวงในใจลึกๆ ทำให้เขากลัวกับความสูญเสียบางอย่าง เขาไม่เคยแน่ใจในตัวเองมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย เขายอมรับเต็มหัวใจแล้วว่าเขารักบีทีน รักมากเหลือเกิน รักจนเขาไม่สามารถยินยอมให้จุดจบของเขาสองคนเป็นแบบนี้ได้

เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นเบาๆ ทำให้แร็กตาร์เงยหน้าขึ้นประสบสายตากับร่างบางที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวสะอาด หน้ากากคาดหน้าที่เอาไว้ใส่สำหรับนอนถูกดึงออกไปแล้ว ซึ่งเขาก็ยังไม่เข้าใจว่ามันมาเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้าๆ นี่ได้ยังไงกัน ณ วินาทีนี้เขารู้สึกลำบากใจเหลือเกิน เขามีอะไรกับเชอร์เบลจริงอย่างนั้นเหรอ เขาทำอย่างนั้นลงไปเหรอ ความทรงจำสุดท้ายเขาจำได้ว่านั่งดื่มไวน์กับเชอร์เบลอยู่ที่ห้องรับแขกด้านนอก แล้วหลังจากนั้น…

ร่างสูงยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างลำบากใจ เขามองหน้าเชอร์เบลคล้ายกับมีอะไรอยากจะพูด ใบหน้าหล่อเหลาของเชอร์เบลทอแววเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นสินะ เพื่อนในกลุ่มเดียวกันแท้ๆ แต่กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ใครจะไปรับไหว…

“มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“…!!!”

คำพูดของเชอร์เบลทำให้เขาเบิกตากว้างเต็มไปด้วยความตกใจและความหวัง มันหมายความว่ายังไงกัน

“ฉันกับนายเราสองคนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“นายมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

“แน่สิ ฉันเป็นเจ้าของร่างกายตัวเอง ฉันย่อมรู้ดี เพราะฉันยังไม่เคยผ่านการมีอะไรกับใครทั้งนั้น…” …โกหกบาปหรือเปล่านะ ? เชอร์เบลได้แต่คิดในใจแต่ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง มีเพียงแววตาเฉยชาที่ปกปิดทุกความรู้สึกส่งออกไปเท่านั้น

“นายพูดจริงหรือเปล่าเชอร์เบล”

“…จริง”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันจะขอบคุณพระเจ้ามาก ที่ยังให้โอกาสคนยังฉันอยู่”

“ถ้านายตามไปอธิบายเขาจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน เชื่อฉันสิ”

“ขอบคุณมากนะ และขอโทษด้วยที่เกือบล่วงเกินนาย”

“ไม่เป็นไรหรอก นายรีบไปจัดการเถอะ”

แร็กตาร์ส่งยิ้มให้ก่อนจะวิ่งออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้เชอร์เบลพิงผนังมองตามไป ในหัวเขาคิดอะไรหลายอย่าง ความเจ็บปวดที่ฉายในแววตาของคนทั้งคู่ทำให้เขาคิดสงสาร สิ่งที่เขาทำมันถูกแล้วอย่างนั้นเหรอ ที่พยายามทำให้ทุกคนเจ็บปวดและกระจัดกระจายกันออกไปให้หมด ตามคำสั่งของผู้ชายที่เขารัก

เขาทำแบบนี้มันถูกแล้วจริงๆ เหรอ ?

บางครั้งเขาก็คิดเหมือนกันว่าที่เป็นทุกวันแบบนี้มันเรียกว่าความสุขหรือเปล่า การมองคนอื่นเจ็บปวดจากการกระทำของตัวเองมันทำให้เขามีความสุขจริงเหรอ…

เชอร์เบลเดินลงไปล้มตัวนั่งที่โซฟาหนังสีขาว มือเลื่อนไปหยิบไอโฟนขึ้นมาต่อสายหาใครบางคนก่อนจะพูดธุระสำคัญที่ตัวเองเพิ่งได้ทำไปให้คนปลายสายทราบ

โดยที่ไม่รู้เลยว่าใครอีกคนหนึ่งที่ยืนแอบอยู่นอกห้องเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น…

เบลมอธถอนหายใจแล้วเดินกลับห้องตัวเองซึ่งอยู่ติดกับห้องของเชอร์เบล

เขาย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สักพักแล้ว เพราะชอบความสงบ ไม่วุ่นวายของคอนโดแห่งนี้ มันตอบโจทย์ทุกข้อที่เขาต้องการได้ แต่ก็ไม่นึกเลยว่าตัวเองต้องมารับรู้อะไรแบบนี้ หลายๆ อย่างทำให้เขาไม่เข้าใจแล้วก็ไม่อยากเข้าใจด้วย

คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาแล้วล่ะ…

จิ๊กซอร์ในหัวเบลมอธเริ่มประกอบกันขึ้นมาอีกครั้งราวกับเรื่องราวบางอย่างถูกไขกระจ่างแล้ว




ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Re: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย (Chapter 8 ) Forgiving 15%
«ตอบ #37 เมื่อ15-10-2013 21:34:30 »

Chapter 8
Forgive


มือหนาวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะไม้โอ๊คสำหรับทานข้าวเหมือนเดิม ริมฝีปากบางเฉียบขบเม้มเข้าหากันกับปัญหาที่ไม่สามารถหาทางแก้ไขได้ในตอนนี้ เขาหลับตาลงช้าๆ คิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้วหลายวันแต่ความเจ็บปวดในหัวใจไม่ได้ลดลงไปด้วยเลย

…เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…

เขากับเชอร์เบลเนี่ยน่ะเหรอจะเกือบพลาดท่ามีอะไรกันแล้ว ไวน์แค่แก้วเดียวทำให้เขาเมามายจนลืมสติสัมปชัญญะไปหมดเลยเหรอ ถ้ามองในแง่ร้ายที่สุดคือเชอร์เบลคงเป็นคนมอมเหล้าเขาเอง แต่เขาไม่อยากทำร้ายเพื่อนในกลุ่มตัวเองด้วยการคิดอะไรแสนทุเรศแบบนี้ เขาขอคิดว่าทั้งหมดมันเป็นความผิดของเขาแล้วกันที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

แต่…

ภาพบางอย่างมันทำให้เขาวางใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์นัก เพราะช่วงที่บีทีนเข้ามาอาละวาดเขาด้านในนั้น เขาลืมที่จะสังเกตเชอร์เบลว่าอยู่ที่ไหนไปในตอนแรก และบีทีนก็เน้นทำร้ายร่างกายเขาแค่คนเดียว

เขามั่นใจว่าไม่ผิดแน่ ตอนที่เขาตั้งสติได้แล้วหันไปมองหาเชอร์เบล ปรากฏว่าร่างบางกำลังยืนงงกับเหตุการณ์อยู่ข้างเตียง แต่ทำไมต้องใส่ผ้าปิดตาด้วยล่ะ เหมือนจะไม่อยากให้ใครรู้อย่างนั้นแหละ

ฟึบ!

แร็กตาร์สะบัดศรีษะไปมาเพื่อไล่ความคิดต่างๆ ออกไปอีกครั้ง และตัดสินใจได้ว่าควรหยุดอะไรไว้ตอนนี้ก่อน แล้วค่อยจัดการปัญหาทีหลัง เขาควรจะพักผ่อนบ้าง… เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและเลื่อนไปที่เบอร์ของบีทีนตั้งใจว่าจะกดปุ่มโทรออกเพื่อโทรไปปรับความเข้าใจแต่ก็ต้องวางมันลงตามเดิมอีกครั้งเพราะเขายังไม่มีความกล้าพอที่จะทำแบบนั้นได้ ยิ่งตอนนี้เจ้าตัวคงจะกำลังโกรธจัดจนไม่อยากเห็นหน้าเขาเลยอีกก็ได้

…นายจะให้อภัยฉันได้ไหม…บีทีน…






เชอร์เบลยืนมองบีทีนที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ข้างสนามฟุตบอลด้วยความรู้สึกประหลาดในใจ เขาไม่ได้รู้สึกสงสารคนเหล่านี้เลยสักนิด หากแต่ประกายในดวงตาของบีทีนที่มักจะทอออกแต่ความสดใสระยิบระยับเหมือนดวงดาวยามค่ำคืนเวลานี้มันกลับหม่นแสงอย่างประหลาดราวกับถูกพรากของรักไปจากตัว เพื่อนแต่ละคนที่รู้นิสัยบีทีนดีคงจะปล่อยเขาไว้แบบนั้นให้อยู่คนเดียวและคิดอะไรเอง เจ้าตัวคงไม่รู้เลยว่ายิ่งนั่งเงียบอยู่แบบนั้นกระแสความเศร้าที่อยู่ในตัวบีทีนได้แผ่ขยายออกมาให้คนรอบข้างได้รับรู้

…นายจะรู้ตัวไหมบีทีน…ว่านายมีอาการเหมือนคนตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นไปแล้ว…

เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนดวงตาร้ายกาจจะแปรเปลี่ยนเป็นแสดงความรู้สึกผิดออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ สองขาเรียวยาวเดินเข้าไปหาร่างบางที่นั่งตรงนั้น เขาเลือกที่จะนั่งทางฝั่งซ้ายของบีทีนซึ่งเจ้าตัวแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามีอีกคนเข้ามานั่งด้วยแล้วในตอนนี้

“ขอโทษนะบีน…”

บีทีนหันมามองหน้าคนข้างๆ ด้วยแววตาเหงาหงอย ในเวลานี้เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะแสดงความรู้สึกแบบไหนออกไปดี ควรจะบอกว่าไม่เป็นไร เขาไม่ได้เสียใจเลย แบบนั้นเหรอ…

“เชอร์เบล มันไม่ใช่ความผิดนาย ไม่ต้องขอโทษหรอก”

“แต่ฉันรู้สึกไม่ดีเลยที่เห็นนายเศร้าแบบนี้ ฉันน่ะไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลยนะ”

บีทีนเอนตัวมาจับมือทั้งสองข้างของเชอร์เบลเข้าด้วยกัน เขายิ้มมออกมาอย่างอบอุ่น

“หัวใจของใครคนนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะรัก ฉันสามารถบังคับหัวใจใครให้มารักฉันหรือรู้สึกดีกับฉันได้หรอก นายอย่าคิดมากเลย”

“แต่ว่า…”

“บางทีชีวิตก็เลือกอะไรมากไม่ได้หรอก ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหนกับการถูกสิ่งรอบข้างทำร้าย เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ แล้วตอนนั้นเราจะยิ้มได้อย่างมีความสุข”

หยดน้ำเล็กๆ ไหลลงมาจากตาเชอร์เบล นี่มันครั้งแรกที่เขารู้สึกเศร้าไปกับคำพูดของบีทีนจริงๆ มันรู้สึกหน่วงๆ ในใจ กับเขาที่รอคอยคำว่ารักมาทั้งชีวิต ยอมทำทุกอย่างเพื่อคำว่ารักโดยที่สุดท้ายผลที่ตามมาจะเป็นยังไงเขาก็ยังไม่รู้

มันคงจะจริงแบบที่คนตรงหน้าพูด บางทีชีวิตก็เลือกอะไรไม่ได้มากหรอก

แต่…

อย่างน้อยบีทีนก็ยังมีโอกาสได้เลือก ไม่เหมือนกับเขาที่ทั้งชีวิต…ไม่สามารถเลือกอะไรได้เลย

“ป่ะ ไปกันเถอะ ฉันต้องไปเรียนแล้ว วิชาตอนบ่ายอาจารย์โหดพอสมควรเลย”

“อื้ม ขอบคุณที่รับฟังฉันนะบีน”

“จ้า ไม่เป็นไรหรอก” บีทีนยิ้มพร้อมกับโบกมือให้เชอร์เบลที่เดินแยกไปอีกทาง ก่อนที่เขาจะหันตัวเดินไปทางอาคารเรียนตัวเอง

“บีน” เสียงเรียกที่คุ้นเคยนั้นทำให้ขาสองก้าวที่กำลังก้าวออกต้องหยุดลง บีทีนถอนหายใจระบายความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ออกไป ก่อนจะปั้นเสียงขรึมตอบกลับไป “มีอะไร”

“ฉันซื้อน้ำส้มคั้นที่นายชอบมาให้ ตอนบ่ายเรียนวิชาหนักนี่ ดื่มสักหน่อยหัวสมองจะได้โล่ง”

“แล้วนายมายุ่งอะไรกับชีวิตฉัน”

“ฉันเป็นห่วงนาย”

ประโยคสั้นๆ ทำให้น้ำตาคลอขึ้นมาในดวงตาของบีทีน เขาพยายามกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น ไม่ยอมให้หลุดเสียงสะอื้นออกมา เขาหันหน้ากลับมามองคนตรงหน้าคว้าแก้วน้ำส้มในมือเขาแล้วสาดใส่หน้าทันที

แร็กตาร์ยืนอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น… บีทีนมองหน้าเขาด้วยความโกรธ “ของจากนายฉันไม่ต้องการ อย่าสาระแนมาทำอะไรแบบนี้ให้อีก แล้วก็..”

“…”

“ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก หึ”

พูดจบประโยคนั้นบีทีนก็หันหน้าหนีแล้วเดินจากทันที ทิ้งไว้พียงแค่หัวใจดวงหนึ่งที่กำลังแตกสลายอย่าง…ช้าๆ



ทางด้านของซีเครทที่เห็นน้องชายตัวเองอาการหนักเข้าขั้นคนอกหักจากความรักขนาดนั้นก็เริ่มทนไม่ไหว และได้แต่คิดว่าจะทำยังไงให้เหตุการณ์ดีขึ้นกว่าเดิม เอาตามจริงถ้าน้องชายเขาจะรักกับเด็กหนุ่มคนนั้นเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะแร็กตาร์เองก็ดูเป็นคนซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบดีด้วยซ้ำ เพียงแต่เหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะเกิดการเข้าใจผิดขึ้น ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอกนะว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง คิดได้ดังนั้นมือหนาจึงคว้ามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาต่อสายหาใครบางคนทันที

…หวังว่าการช่วยเหลือของเขาในครั้งนี้จะทำให้บีทีนมีความสุขสักทีนะ…

“ฮัลโหล เบลมอธ นายว่างไหม พอดีฉันมีอะไรอยากจะขอคำปรึกษาจากนายหน่อยน่ะ…. อืม ใช่เรื่องนั้นน่ะแหละ คิดว่าควรทำยังไงดี… อ๋อ โอเค งั้นเอาตามนี้แล้วกันนะ”

ซีเครทวางสายจากเบลมอธเมื่อกำหนดการการช่วยปัญหาหัวใจเสร็จลง เขาเดินไปหยิบกุญแจรถบนโต๊ะข้างทีวีแล้วเดินออกไปหน้าบ้านเพื่อเตรียมออกไปทำภารกิจ ในมือก็ง่วนอยู่กับการกดโทรศัพท์เพื่อส่งข้อความไปหาน้องชายตัวเอง

‘วันนี้พี่จะไปรับบีนนะ รออยู่หน้าประตูโรงเรียนนะ’





“นี่พี่พาผมมาทำอะไรที่ทะเลเนี่ย”

บีทีนเปิดประตูเดินออกจากรถตามพี่ชายตัวเองมายืนริมถนน ทะเลแถบชานเมืองตอนเย็นนี่ให้ความรู้สึกที่สดชื่นมากเลยนะ กลิ่นเค็มของทรายที่รวมกับสายลมปะทะเข้ากับจมูกทำให้หัวใจสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตามชายหาดมีเด็กน้อยสองคนกำลังโยนลูกบอลชายหาดเล่นกัน ตามริมถนนมีพ่อค้าแม่ค้าตังแผงขายของที่ระลึกต่างๆ ภาพบรรยากาศเหล่านี้มองแล้วให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านที่อบอุ่น ไม่น่าเชื่อว่าพี่ชายเขาจะรู้จักสถานที่ทำนองนี้ด้วย

“ไม่หรอก พี่เห็นช่วงนี้บีนเครียดๆ ไง ก็เลยพามาผ่อนคลายบ้าง ดูสิ คิ้วจะชนกันอยู่แล้วนั่น”

“ผมไม่ได้เครียดอะไรสักหน่อย ก็แค่ใกล้สอบแล้ว เลยต้องตั้งใจเป็นพิเศษ” บีทีนเถียงข้างๆ คูๆ

“แต่นี่เพิ่งเปิดเทอมมาได้ไม่ถึงสี่อาทิตย์เลยนะ แหม่ แล้วยิ่งเหม่อลอยบ่อยแบบนี้ มีใครมาทำให้คิดถึงหรือเปล่านะ” ซีเครทเอ่ยแซวออกไปและรอดูปฏิกิริยาน้องชาย ซึ่งคนตรงหน้าทำได้เพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ

…บางทีใครสักคนที่ทำให้เขาคิดถึง…อาจจะไม่ได้คิดถึงเขาเสมอไปหรอก…ขนาดทำให้เขาเจ็บคนๆ นั้นยังไม่แยแสจะดูแลแผลใจเขาเลยด้วยซ้ำ…แค่นี้ก็เท่ากับว่าเขาคิดไปเองแล้วนี่นา…น่าสมเพชจะตาย

“ผมไม่มีใครให้คิดถึงทั้งนั้นแหละครับ”

พูดจบก็เดินลงไปที่หาดทรายข้างหน้าทันที ซีเครททำหน้ามุ่ยก่อนจะตัดสินใจไม่เดินตามไป ปล่อยให้บีทีนได้ใช้เวลากับตัวเองสักพักเผื่อจะดีขึ้น

บีทีนถอดรองเท้าไว้ริมถนน ก่อนจะเดินเท้าเปล่าลงไปตามทาง ทรายนุ่มๆ เหมือนจะช่วยนวดเท้าเขาไปในตัว มันรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก แม้เขาจะกำลังหลอกตัวเองว่ามีความสุขอยู่ก็ตามที แต่แค่ช่วงเวลานี้ก่อนจะกลับไปเจ็บปวดเพราะใครบางคน อย่างน้อยก็ขอผ่อนคลายสมองสักนิดก็ยังดี

“นายดูมีความสุขจังเลยนะ เวลาที่ได้อยู่กับทะเลน่ะ”

“…!”

“ทีอยู่กับฉันทำไมทำหน้าเบื่อโลกขนาดนั้น น่าน้อยใจชะมัดเลย”

“นายตามฉันทำไม” บีทีนหันไปแว้ดใส่แร็กตาร์ที่มายืนด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฮึ่ม สงสัยพี่ชายตัวดีของเขาแน่ๆ

“ทำไมเหรอ เห็นหน้ากันแค่นี้มันน่าเสียใจขนาดนั้นเลยหรือไง”

“ก็เพราะฉันไม่อยากคุยกับนายไง”

“แต่ฉันอยากคุยกับนาย อยากอธิบายเรื่องทุกอย่างให้นายรู้”

แร็กตาร์เดินเข้าไปใกล้บีทีนขึ้นอีกนิดก่อนจะเอื้อมมือมาข้างหน้า แต่ถูกบีทีนปัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย แร็กตาร์เห็นดังนั้นจึงพุ่งเข้าไปรวบตัวบีทีนไว้ในอ้อมแขนทันที คนตัวเล็กในอ้อมกอดดิ้นเหมือนปลาถูกทุบ

“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้ปล่อยไง!”

“ไม่ จนกว่านายจะยอมหยุดฟังสิ่งที่ฉันพูด”

“ก็บอกให้ปล่อยไง เหวอ!”

“เฮ้ย”

บีทีนสลับข้อเท้าเสียหลักล้มลงกับพื้นทราย ทั้งสองพากันกลิ้งลงล้มคลุกคลานไปตามทาง บีทีนได้ที รวมเม็ดทรายในกำมือปาใส่ตาแร็กตาร์เต็มแรง

“โอ๊ย ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย มันแสบนะ”

“สมน้ำหน้า ก็ตั้งใจทำให้เจ็บ ใครบอกให้ตามมาล่ะ”

บีทีนพูดจบก็วิ่งหนีทันที แต่ชายหนุ่มอีกคนยังไม่ยอมแพ้ วิ่งตามบีทีนและรวบตัวเขาขึ้นในอ้อมกอดทันที

“ดื้อนักใช่ไหม เดี๋ยวจัดให้”

“ปล่อยนะ ฉันบอกให้ปล่อย หวา”

แร็กตาร์อุ้มบีทีนเดินไปกลางทะเล ก่อนจะโยนร่างบางลงในน้ำ บีทีนผุดขึ้นมาเหนือผิวน้ำหายใจขออากาศ แต่ช้ากว่าแร็กตาร์เมื่อเขารวบมือร่างบางไว้เหนือศรีษะ แล้วกดริมฝีปากหนาทาบทับริมฝีปากคนตรงหน้าทันที

เหมือนเวลาหยุดหมุนไปชั่วขณะ หัวสมองบีทีนว่างเปล่าเหมือนไม่มีอะไร ความหวานที่คนตรงหน้ามอบกำลังหลอมละลายตัวเขาอย่างช้าๆ ความโกรธที่เคยมีมาก่อนหน้านี้เลือนหายไปเมื่อเขามอบความหวานให้ เนิ่นนานในความรู้สึกกว่าแร็กตาร์จะยอมถอนริมฝีปากออก ทั้งสองจ้องตากันในน้ำทะเลก่อนที่แร็กตาร์จะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

“ฉันแคร์นายมากกว่าที่นายคิดนะ มีแต่นายที่เอาความห่วงใยของฉันโยนทิ้ง”

“…”

“เรื่องวันนั้นกับเชอร์เบล ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ฉันจะไม่ปฏิเสธอะไรทั้งนั้นในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว และขอสัญญาว่าฉันจะไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ได้โปรดเถอะ อย่าหนีฉันอีกเลย”

“…”

“เวลาที่นายโกรธหรือไม่พอใจฉัน ตรงนี้มันทรมานแทบบ้า” แร็กตาร์เอามือของบีทีนไปวางไว้บนตำแหน่งหัวใจ บีทีนหน้าร้อนวูบวาบทันทีกับประโยคที่เหมือนจะสารภาพรักกลายๆ ของคนตรงหน้า

“อย่าหนีไปไหนอีกเลย”

“…”

“เป็นแฟนกันนะ”

บีทีนไม่รู้ว่าตัวเองหายโกรธเร็วเกินไปหรือไม่กับเหตุการณ์ที่เขาเจอ แต่เมื่อสายตาอ้อนวอนกับคำพูดของคนตรงหน้ากำลังโจมตีเขาอย่างช้าๆ เป็นใครจะทนไหวล่ะ เขาอมยิ้มให้ตัวเองเบาๆ …

…ถ้าเป็นคุณจะกล้าปฏิเสธคำขอของชายตรงหน้าไหมล่ะ





“เฮ้อ สำเร็จสักที”

ซีเครทพึมพำขึ้นเมื่อเห็นคนที่ยืนแช่น้ำในทะเลตรงหน้า จูงมือกันเดินกลับขึ้นบกมา

“บอกแล้วไงว่าทะเลสามารถช่วยทำให้คนใจเย็นลง และปรับความเข้าใจกันได้”

ซีเครทหันไปอมยิ้มแก้มป่องให้กับคนด้านข้างเขา

“ขอบคุณมากเลยนะเบลมอธ ไม่ได้นายฉันแย่แน่เลย”



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2014 14:17:44 โดย Homepage »

tegomon

  • บุคคลทั่วไป
Re: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย (Chapter 8 ) Forgiving 15 %
«ตอบ #38 เมื่อ15-10-2013 22:35:35 »

แปะไว้ก่อน

อยากกินไข่พะโล้ โปะ

  • บุคคลทั่วไป
Re: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย (Chapter 8 ) Forgiving 15 %
«ตอบ #39 เมื่อ16-10-2013 02:54:46 »

พึ่งตามอ่าน ชอบๆมาต่อนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย (Chapter 8 ) Forgiving 15 %
« ตอบ #39 เมื่อ: 16-10-2013 02:54:46 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Re: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย (Chapter 8 ) Forgiving
«ตอบ #40 เมื่อ01-03-2014 12:44:51 »

Chapter 9
Before the happiness

ร้านกาแฟยามบ่ายค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ เหตุเพราะอากาศที่แสนร้อนอบอ้าวของกรุงเทพ ทำให้ผู้คนอยากจะหนีมาพักในร้านกาแฟนที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำสักที่หนึ่ง ดังนั้นซีเครทจึงเลือกที่จะนั่งโต๊ะหลบมุมในสุดของร้านที่มีฉากสานสีน้ำตาลอ่อนกั้นไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว รอคนที่เขานัดไว้ว่าเมื่อไหร่จะมาถึง เขาดูนาฬิกาข้อมือตัวเองอีกครั้งเมื่อเข็มยาวชี้ตรงเวลาตามที่เขานัดบุคคลนั้นเอาไว้

“รอนานหรือเปล่าพี่ซีท”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่กำลังมาถึง เชอร์เบลอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีฟ้าอ่อน กลางเสื้อวาดลายสะพานอะไรสักอย่างที่เขาดูไม่ออก ร่างบางเลือกเอี๊ยมสีน้ำเงินซีดขาสั้นมาใส่ซึ่งขับขาเรียวยาวของตัวเองให้ดูน่ามองยิ่งขึ้น ซีเครทต้องเสหน้าหลบตาไปทางอื่นกับของหวานอันแสนยั่วยวนตรงหน้าซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเชอร์เบลแต่งตัวมาอ่อยเขาหรือเปล่า

เอ่อ บางทีเขาคงจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป

ชายหนุ่มสะบัดความคิดบ้าๆ ในหัวออกไปและเข้าประเด็นหลักที่ทำให้เขานัดหนุ่มน้อยคนข้างหน้ามาในวันนี้

“ที่พี่นัดเรามาวันนี้ เพราะพี่มีอะไรอยากจะเคลียร์กับเราให้กระจ่างชัดนิดหน่อยน่ะ เอ่อ จะสั่งอะไรมาก่อนก็ได้นะ”

“ไม่ดีกว่าครับ เชิญพี่ซีทเข้าเรื่องเลยครับ เพราะบางทีธุระของเราสองคนอาจจะทำให้พี่กินอะไรไม่ลงก็ได้นะครับ ฮ่าๆ”

“เอ่อ คือ…”

“แหม อย่าทำหน้าคิดมากแบบนั้นสิครับ ผมก็พูดจาไปเรื่อยเปื่อย”

“พี่อยากรู้ว่าเชอร์เบลทำเรื่องทั้งหมดนี้ไปทำไม เพราะอะไรถึงต้องทำให้บีนกับแร็กตาร์เข้าใจผิดด้วย”

“เบลไม่ทราบว่าพี่ซีทกำลังพูดถึงเรื่องอะไร สำหรับเหตุการณ์ที่ผ่านมานั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจะให้มันเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิด แต่เพราะความไร้สตินั่นเองที่ทำให้เราหน้ามืดกัน จะมาโทษผมฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะครับ”

“พี่จะพูดตรงเกินไปไหม ถ้าจะบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันไม่เหมือนบังเอิญ แต่มันเหมือนใครสักคนจัดฉากบังหน้าเพื่อหวังผลประโยชน์สักอย่าง”

“ทำไมพี่มองผมในแง่ร้ายขนาดนั้นล่ะครับ” เชอร์เบลเอ่ยออกมาเสียงสั่นๆ อย่างควบคุมไม่ได้ ชีวิตนี้เขาคงไม่เคยดีในสายตาใครเลยสินะ

“…” ซีเครทเงียบไป เมื่อสิ่งที่คนตรงหน้าพูดมา คือ สิ่งที่เขาอยากจะพูดมันออกไป

“แล้วทีพี่กับเบลมอธล่ะ คิดว่าผมไม่รู้หรือไง”

“…!”

“ปัดแก้วลงพื้นแตกเสียงดังลั่นไปจนถึงเพื่อนบ้านข้างๆ คิดว่าคนอื่นเขาจะไม่รู้หรือไง”

ซีเครทมองคนตรงหน้าด้วยสายตาอึ้งๆ เรื่องที่เป็นความลับสำหรับเขา ซึ่งไม่คิดว่าจะมีคนรู้มัน แต่ตอนนี้มันอาจจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อมีคนรู้มากกว่าหนึ่งคน แต่ก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรเพ้อเจ้อไปกว่านั้น ร่างบางตรงหน้าก็เดินข้ามโต๊ะมากอดเขาเอาไว้ แล้วพร่ำไห้ด้วยความเสียใจ

“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ผมกำลังรู้สึกในขณะนี้มันคืออะไรกันแน่ แต่ผมไม่สามารถมองเห็นพี่ไปมีความสุขกับคนอื่นได้อีกแล้วครับ”

“เชอร์เบล พี่ว่าใจเย็นๆ ก่อนนะ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย และออกไปจากตัวพี่ก่อนได้ไหม” ซีเครทเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นๆ เชอร์เบลซึ่งกำลังกอดร่างของชายหนุ่มไว้แน่น ยิ้มให้กับตัวเองเมื่อความพยายามของเขาไม่สูญเปล่า บวกกับฉากกั้นของโต๊ะนี้ทำให้บุคคลภายนอกยากที่จะรู้ว่าภายในนี้กำลังเกิดเกมสวาทเกมหนึ่งขึ้น ซึ่งแม้ว่าผู้เล่นจะปฏิเสธมันแค่ไหน แต่เขาคนนี้จะเป็นคนปลุกความต้องการนั้นขึ้นมาเอง

ให้สมกับที่คนๆ นั้นเอ่ยชมเขาทุกค่ำคืน…

มือบางของเชอร์เบลข้างหนึ่งกระตุกเนกไทชุดนักศึกษาของซีเครทออกมาแล้วโยนทิ้งไปข้างๆ ริมฝีปากอวบอิ่มไล้ไปมาตั้งแต่ปลายคางลงมาถึงต้นคอและใช้ริมฝีปากตัวเองปลดกระดุมเสื้อของชายหนุ่มออกทีละเม็ด ซีเครทเหมือนเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว เขาหลับตาลง มือแกร่งเอื้อมไปโอบไหล่เชอร์เบลเข้ามาให้ประชิดตัวมากขึ้น มืออีกข้างของเชอร์เบลไล้ลงมาที่ซิปกางเกงของร่างหนา เขามองมันอย่างพอใจเมื่อบางอย่างกำลังเกิดความรู้สึกจากสิ่งที่เขามอบให้ เชอร์เบลใช้ฝ่ามือบางทั้งสองข้างโอมกอดสิ่งนั่นไว้ผ่านเนื้อผ้ากางเกงที่ซีเครทกำลังใส่ ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหูชายหนุ่มที่กำลังตาลอยเหมือนคนตกอยู่ในเวทย์มนต์แห่งราคะ

“ผมบอกแล้วไงครับว่าไม่อยากให้พี่เป็นของใคร อยากให้เป็นของผมคนเดียว”

“…!”

“รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยเถอะครับ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”

“เราต้องการจะบอกอะไรกับพี่กันแน่”

“จริงๆ แล้วไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่จะพูดว่าเรื่องบางเรื่องถ้าเราเห็นมันแล้วก็ยังไม่สามารถเชื่อได้ในทันที จนกว่าเราจะเป็นคนสัมผัสมันจริงๆ ก่อนค่อยตัดสินใจ”

“….”

“อย่างเช่น ความรัก ที่บางทีอาจจะไม่ได้เป็นสีชมพูเสมอไป” เชอร์เบลพูดประโยคนี้จบก็ก้มเก็บเนกไทยื่นให้กับคนตรงหน้า แล้วยิ้มบางเบา

“บางทีพี่ก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของเชอร์เบลเลย เปลี่ยนไปจนหบายคนตั้งรับไม่ทัน”

“ฮะๆ ผมไม่ได้ต้องการให้คนทั้งโลกมาเข้าใจหรือรักผมหรอกครับ ขอแค่คนเดียวที่รักผมในแบบที่ผมเป็นก็พอแล้วล่ะ”

“คนๆ นั้นคงจะดีใจเนอะ ถ้าสามารถหาตัวเชอร์เบลพบ”

แววตาของร่างบางหม่นแสงลง มันแฝงไปด้วยความเจ็บปวด ภายในเสี้ยววินาทีความรู้สึกนั้นก็หายไป เชอร์เบลเงยหน้ามองซีเครทอีกครั้ง “บางทีคนนั้นอาจจะเป็นพี่ซีทก็ได้นะครับ”

“พอเถอะครับ หยุดพูดเรื่องน่าปวดหัวกันเถอะ เออนี่ ไปจองตั๋วเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ บีทีนให้มาจัดการเรื่องทริปของพวกเราน่ะ เวนิสไง ยังอยากไปอยู่ไหม”

“อยากไปอยู่แล้วครับ เรารีบไปกันเถอะครับ ได้ตั๋วเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะนั่นหมายถึงความสนุกกำลังจะตามมาในไม่ช้าครับ”

ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินออกไปเช็กบิลนั้นก็ได้ยินเสียงลูกค้าในร้านกำลังคุยกันเรื่องเครื่องบินตกที่แคลิฟอร์เนีย จนทำให้ผู้โดยสารบางกลุ่มไม่กล้าใช้บริการของสายการบินนั้นอีก เชอร์เบลฟังอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

…ความสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสินะ





เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่กำลังจะทำหลังจากนี้มันถูกต้องหรือไม่ พยายามไตร่ตรองแล้วแต่ก็ยังคิดไม่ตก ตอนนี้เขากำลังจะบอกความจริงทุกอย่างกับเบลมอธ เขาทนไม่ไหวแล้ว เขาไม่สามารถเล่นเกมความรักนี้ต่อไปได้ เขาไม่อยากเห็นใครเจ็บปวดต่อไปแล้ว อย่างน้อยเขาก็ได้พยายามที่จะรั้งความรู้สึกทุกอย่างของเบลมอธกลับมา

แต่สิ่งที่เชอร์เบลทำเพื่อเขาทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบก็จะสูญเปล่าในทันที…และความรู้สึกของเชอร์เบลล่ะ ในเมื่อคนๆ นั้นไม่เหลือใครในชีวิตอีกแล้วนอกจากเขา แล้วเขายังจะทำร้ายความรู้สึกของคนที่อยู่เคียงข้างเขาในวันที่แย่ที่สุดลงไปได้เหรอ

แต่คงไม่ทันแล้วล่ะในเมื่อตอนนี้เขายืนอยู่หน้าบ้านของเบลมอธ และเจ้าของบ้านกำลังเปิดประตูออกมาเผชิญหน้ากับเขา
ร่างบางอึ้งไปทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่หน้าบ้านตนในเวลานี้คือใคร ร่างบางสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาเหมือนคนที่กำลังฝันซ้อนฝัน ฝันร้ายมานานอยู่ดีๆ ก็ฝันดี ก่อนจะถูกฉุดลงมาในฝันร้ายอีกครั้ง

บ้าน่า

ผู้ชายคนนั้นที่ทิ้งเขาไป วันนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน

น้ำตาเอ่อคลอดวงตากลมโตทันที

“ซิน…”

ซินยิ้มมุมปากบางเบา อย่างน้อยคนตรงหน้าก็ไม่ได้เดินหนีเขาไป แถมยังจำชื่อเขาได้อีกด้วย เรื่องเล็กน้อยที่ทำให้เขาดีใจ

“มีเวลาว่างคุยด้วยสักนิดไหม”





เบลมอธตัดสินใจโดดเรียนเช้าวันนี้เพื่อตามซินมาที่สวนสาธารณะ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตามเขามาทำไมและจะพูดเรื่องอะไรกันแน่ แต่แค่เพียงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้เป็นเขา คนที่เคยรัก และเห็นว่าเขามีความสุขดี แค่นี้เบลมอธก็ดีใจจนล้นแล้วละ

ทั้งคู่เดินผ่านทางที่ปูด้วยหินอ่อน ก่อนจะไปถึงทะเลในตัวสวนสาธารณะ ซึ่งเวลาค่อนข้างเช้าทำให้ไม่ค่อยมีคนมาเดินเล่นหรือว่าออกกำลังกายนัก เหมาะกับการมาคุยธุระส่วนตัว หรือพักสมองก่อนออกไปทำงานตอนเช้ายิ่งนัก ซินก้มลงเก็บหินกรวดก้อนหนึ่งขึ้นมาก่อนจะปาไปในทะเลสาบด้านหน้า เสียงจ๋อมดังขึ้นแล้วหินก็จมล้งไปในทะเลสาบราวกับไม่สามารถฝืนความจริงของน้ำหนักตัวเองได้ เบลมอธนั่งลงบนพื้นหญ้าก่อนเหม่อมองไปข้างหน้า ซินยังยืนอยู่สายตาเขาเลื่อนไปในทิศทางเดียวกับเบลมอธ เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยออกมาราวกับกำลังร้องเพลง แต่แค่นั้นหัวใจของคนบางคนก็เต้นรัวเร็วราวกับมีคนไปเขย่ามันไว้

“ช่วงเวลาที่ผ่านมาสบายดีไหม”

“ก็เรื่อยๆ แหละ ซินล่ะสบายดีไหม กลับมาจากต่างประเทศเมื่อไหร่”

“กลับมาสักพักแล้วล่ะ แต่ฉันไม่เรียนต่อหรอก ตั้งใจจะมาช่วยพ่อบริหารงานในบริษัทเลยน่ะ”

“อ๋อ ดีจังเลยเนอะ อย่างน้อยก็ยังมีงานมารองรับ ไม่เหมือนฉัน ไม่รู้ว่าเรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ”

“มันไม่ดีเสมอไปหรอก งานที่ฉันทำน่ะเป็นแบบที่เบลมอธไม่ชอบทำเลย มันปวดหัว มีแต่ตัวเลขเต็มไปหมด”

“ซิน จำได้ด้วยเหรอ ว่าอะไรทำให้ฉันปวดหัว”

“จำได้สิ เบลมอธไม่ชอบอะไรที่ต้องคิดเกี่ยวกับตัวเลขไง…”

เบลมอธบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ที่คนตรงหน้ายังจำรายละเอียดในตัวเขาได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ ในแบบที่คนทั่วไปสามารถเดาได้ แต่เขาขอดีใจแล้วกันที่อย่างน้อยเขาก็ยังจำได้ ดีกว่าที่เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย แบบนั้นมันคงน่าเศร้าเกินไป

“แล้วนี่คิดยังไงถึงมาหาเนี่ย หรือตั้งใจจะมาเยี่ยมอะไรทำนองนั้น”

“คิดถึงน่ะเลยมาหา”

“พูดบ้าๆ ไปคิดถึงแฟนตัวเองสิ”

“อย่าพูดแบบนั้นเลย ฉันโสดมานานแล้ว”

แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกเจ็บที่ใจพร้อมกับใบหน้าของเชอร์เบลโผล่มาในความคิด เขาสะบัดหัวไล่ภาพเหล่านั้นออกไปก่อนจะหันไปมองเบลมอธเต็มตา “เบลมอธ ฉันอยากให้นายลองคิดทบทวนเรื่องราวของเราดูอีกสักครั้งจะได้ไหม”

“…”

เกิดความเงียบรอบบริเวณที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ นกน้อยบินผ่านไปผ่านมาราวกับจะแสวงหาความสุขของตัวเอง ความรู้สึกในใจคนก็คงเป็นเหมือนนก พัดปลิวไปมาตามความต้องการในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เขาควรจะดีใจไหมนะในเมื่อโอกาสที่เขาเคยต้องการมาตลอดมันได้กลับมาอีกครั้งแล้ว เขาจะปล่อยมันไปเหรอ เขาอยากพยายามดูอีกแม้ว่าสุดท้ายมันจะเป็นเช่นไรก็ตาม
แต่ความเจ็บปวดในอดีตที่ผ่านมาล่ะ กว่าเขาจะผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ มันทรมานมากขนาดไหน เขาเสียน้ำตาไปแค่ไหน แล้วคำพูดเพียงไม่กี่คำเขาจำเป็นต้องเชื่อแล้วเดินกลับเข้าไปในวังวนที่ทั้งหวานทั้งขมเหรอ ตอนนี้เขาไม่สามารถเลือกอะไรได้เลยจริงๆ

แต่…

มนุษย์เรามักจะโง่ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ฉลาดในเวลาที่ไม่ถูกไม่ควร อย่างเช่นตอนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะบอกกับตัวเองเพื่อให้เข็ดกับเหตุการณ์ในอดีตได้ แต่หัวใจของเขากลับร่ำร้องให้กลับไปหาซินอยู่ตลอดเวลา สมองที่ควรจะปรับความคิดได้ว่าควรจะตัดสินใจยังไง กลับว่างเปล่า ขาวโพลน คิดอะไรไม่ออกไปเสียอย่างนั้น นั่นเท่ากับว่า

เขาหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้วอย่างนั้นเหรอ…

“ทำไมอยู่ดีๆ ซินถึงกลับมาแบบนี้ล่ะ”

“แน่ใจเหรอว่าอยากฟังคำตอบ มันเพ้อเจ้อมากเลยนะ”

“ลองบอกมาก่อนสิ จะได้รู้”

“…”

“…”

“เพราะรักคำเดียวสั้นๆ ไงล่ะ”

…เขาเชื่อซินได้ใช่ไหมว่านี่มันคือความรัก

เบลมอธหลับตาลงซึมซับความรู้สึกทั้งหมดในเวลานี้เอาไว้ เขาเชื่อว่าเคนเราผิดพลาดกันได้และเขาก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เคยผิดพลาดและอยากแก้ไขปัจจุบันให้ดีขึ้น

“ถ้าฉันไม่ตอบตกลง ซินจะทำยังไง”

“ก็คงเสียใจไปตลอดชีวิต และยอมรับความจริงให้ได้”

“แน่ใจเหรอ ว่าจะยอมรับได้”

“ไม่ได้ก็ต้องได้แหละ”

“งั้นฉันจะช่วยลดภาระนายนะ นายจะได้ไม่ต้องพยายามยอมรับความจริงที่แสนเจ็บปวดนั้น”

“จริงเหรอ ?”

“ใช้เวลาที่เหลือจากนี้พิสูจน์ให้ฉันดูสิ”

“ขอบใจนะที่ให้โอกาสฉันอีกครั้ง”

จบคำนั้นซินก็รวบตาเบลมอธเข้ามาในอ้อมกอดตัวเอง เบลมอธกระชับอ้อมแขนกอดคนตรงหน้าให้แน่นขึ้น หยดน้ำตาไหลลงมาด้วยความดีใจกับความสุขที่เขาพยายามค้นหามาตลอดทั้งชีวิต ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว และเขาจะรักษามันไว้ไม่ให้หายไปอีก

ชั่ววูบหนึ่งในความคิด ค่ำคืนอันแสนหวานของเขากับซีเครทก็โผล่เข้ามาในความคิด เบลมอธหุบยิ้มทันที หัวใจเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้

ทำไมกัน… ทำไมในอกถึงรู้สึกแย่ขนาดนี้

“จากนี้ไปฉันจะพยายามเพื่อนาย ไม่หายไปไหนอีกแล้ว” ซินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข ก่อนจะดันตัวเบลมอธออกและจุมพิตลงไปบนกลางหน้าผากมนแสนรักที่เขาปรารถนามาตลอด




ซีเครทหันหลังเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ในอก เดิมทีเขาจะมารับเบลมอธไปเรียนพร้อมกัน แต่เจอแม่บ้านที่มาทำความสะอาดประจำสัปดาห์ บอกว่าคนที่เขาต้องการพบออกไปกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน เขาเลยตามมา ไม่คิดว่าจะเจอกับฉากบาดหัวใจที่ทำเอาเดินไปตรงทางเลยทีเดียว

ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องแคร์เลยด้วยซ้ำ ก็แค่คนๆ หนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและทำให้แต่ละวันของเขามีค่าพอที่จะดำเนินชีวิตแค่นั้นเอง

แค่นั้นเอง…

เขาหันหลังเดินกลับไปขึ้นรถและขับออกไปด้วยความรวดเร็ว




อีกด้านหนึ่งนั้น…

เพล้ง !

เชอร์เบลปาแก้วไวน์ใส่กำแพงตกแตก เขากัดปากจนห้อเลือด น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ มือบางทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น ด้วยความเจ็บปวดที่ส่งตรงออกมาจากหัวใจ จากการที่สายลับของเขาที่เคยจ้างเอาไว้มาแจ้งข่าวว่าวันนี้ซินหายไปไหน

ทำไมนายถึงทำกับฉันแบบนี้…

ร่างบางทรุดตัวลงกลางห้อง เขายอมสูญเสียทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาไม่สามารถสูญเสียไปได้อีก คือ ซิน

สาเหตุของความเจ็บปวดในครั้งนี้มากจากเขาคนเดียว ทั้งๆ ที่เขาพยายามทุกอย่างเพื่อซินมาตลอด แต่ทำไมกัน ทำไมทุกอย่างต้องลงเอยแบบนี้ ทุกคนหนีไปมีความสุขกันหมด เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ไม่มีใคร อยู่ในห้องคนเดียว นั่งมองคนที่เขารักมีความสุขกับคนอื่น

ในโลกนี้จะมีอะไรเจ็บปวดกว่าสิ่งที่เขาเจอไหมนะ? สิ่งที่ซินทำ ทำให้เขาลืมไปแล้วว่าแท้จริงความสุขมันคืออะไรกันแน่?
หรือพระเจ้าจะไม่ต้องการให้คนแบบเขามีความสุขกันนะ






เวกัสเดินมาตามทางข้างห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางดาวน์ทาวน์ มือบางโอบกระชับเสื้อกันหนาวที่ใส่อยู่ให้แน่นขึ้น
ประหลาดจังตอนกลางวันร้อนมากแท้ๆ แต่ตอนกลางคืนอากาศกับเย็นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับบีทีนเลย อาจจะเป็นเพราะยุ่งกันทั้งคู่ กะว่าคืนนี้พอกลับไปถึงบ้านจะโทรไปคุยเล่นด้วยสักหน่อย เผื่อว่าจะลืมกันไปแล้ว

“ดอกกุหลาบค่ะ ช่วยซื้อหน่อยนะคะ เป็นโครงการที่มหาลัยของเราได้ทำขึ้น คือ ขายกุหลาบและนำเงินที่ได้มอบให้แก่มูลนิธิเด็กกำพร้า…”

เวกัสมองกลุ่มเด็กมหาลัยตรงหน้าที่กำลังขายดอกกุหลาบอยู่ เขาเดินเข้าไปซื้อมาหนึ่งดอก ก่อนจะเอามันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูก และพบว่ากลิ่นชื้นจากมันทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย

พลั่ก!

เวกัสเซไปด้านข้างเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสบตากับคนที่ชนเขา ปรากฏเป็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ใส่ชุดคลุมคล้ายชุดกันฝนสีม่วงเข้มทั้งตัว มีหมวกคลุมบนหัว ให้ความรู้สึกเหมือนนางยิปซีสมัยก่อนไม่มีผิด

“พ่อหนุ่ม”

“ครับ?”

“หลังจากนี้ชีวิตพ่อหนุ่มจะเปลี่ยนไป แต่ในทางด้านไหนแล้วแต่พ่อหนุ่มจะเป็นคนดำเนินมันไปเอง”

“เอ๋ คือ ? หมายความว่ายังไงเหรอครับ”

ไม่ทันขาดคำร่างของผู้หญิงตรงหน้าก็วิ่งหายไปท่ามกลางฝูงคน ทิ้งไว้เพียงความสงสัยในตัวเวกัสเท่านั้น

ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปอย่างนั้นเหรอ…




ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 10
Move On


ซินขาดการติดต่อจากเชอร์เบลไปเลยตั้งแต่วันนั้น ราวกับว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คงมีแต่เชอร์เบลที่ยังคงนอนกอดหมอนร้องไห้อยู่ทุกคืนวันที่ไม่มีซิน เขาพอจะรู้ข่าวมาบ้างว่าตอนนี้ซินย้ายไปอยู่อีกคอนโดหนึ่งซึ่งใกล้กับมหาวิทยาลัยของเบลมอธ เพื่อความสะดวกในการเจอกันของทั้งคู่

ซีเครทเองก็หงอยเหงาลงจนน้องชายตัวดีอย่างบีทีนที่กำลังอินเลิฟกับแร็กตาร์รู้สึกได้ แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะเขาไม่ถนัดแก้ปัญหาทำเป็นแค่สร้างปัญหา (?) ช่วงนี้เบลมอธก็มีความสุขดี ยิ้มแย้มบ่อยขึ้น ซึ่งตัวบีทีนเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนใกล้ตัวเขานี่แหละเป็นสาเหตุทำให้พี่ชายของเขาหงอยเป็นหมาน้อยอยู่แบบนี้

สองอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกหก วันที่พวกเขาทั้งหมดจะเดินทางไปเที่ยวที่อิตาลีก็มาถึงจนได้ แต่ที่เซอร์ไพรส์กว่านั้นคือ ซินขอติดสอยห้อยตามไปด้วยกับเบลมอธ ซึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะถือว่าไม่ขัดขวางความสุขของเพื่อน คงมีคนสองคนนี่แหละที่ยังเศร้าเพราะใครอยู่…ความจริงอีกข้อที่เบลมอธยังไม่รู้คือชายหนุ่มชื่อ ซิลเวียร์ ที่เขาเจอในห้างสรรพสินค้าตอนนั้นคือคนเดียวกับซิน ซึ่งซินตัดสินใจว่าจะเก็บความลับข้อนี้เอาไว้กับตัว ในเมื่อมันไม่ได้ส่งผลเสียร้ายแรงอะไรตามมา

“ท่านผู้โดยสารสายการบิน XXX ที่ต้องการจะขึ้นเครื่องไปอิตาลี…”

เสียงประกาศจากสายการบินดังขึ้นทำให้พวกเขามองหน้ากันก่อนจะลุกออกเดินไปที่ประตูเกต

…การเดินทางกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสินะ





บนเครื่อง

ตั๋วที่วันนั้นเชอร์เบลกับแร็กตาร์ไปจองให้เป็นแบบชั้นประหยัดธรรมดา ที่ตั้งจัดเป็นแถวละสี่เก้าอี้ เลยแบ่งกันนั่งเป็นสี่สาม ข้างหน้ามีบีทีน แร็กตาร์ เบลมอธ และ เชอร์เบล ส่วนข้างหลังคือซีเครท ซิน เวกัส

หลังจากที่นั่งมาสักพักหนึ่งแอร์โฮสเตสก็เริ่มเดินแจกของว่างสำหรับรอรับประทานอาหารบนเครื่อง บีทีนเอนหัวไปซบไหล่แร็กตาร์เหมือนจะอ้อนๆ แร็กตาร์เลยยีผมบีทีนจนเกือบยุ่ง แล้วหัวเราะคิกคักกันสองคน สร้างความหมั่นไส้ให้กับเพื่อนร่วมทริปที่เหลือมาก ว่าจะหวานอะไรกันนักกันหนา เวกัสเอ่ยขึ้นมาทันที

“แหม คู่ข้าวใหม่ปลามันนี่มันน่านักนะ ไม่สงสารคนอื่นกันมั่งเลย”

“บ้า ไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย ก็ปกติ ฮะๆ” บีทีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเขินๆ ผิดกับแร็กตาร์ที่โอบเอวบีทีนเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้นอย่างเอาแต่ใจ

เสียงคุยกันง้องแง้งไปมาของกลุ่มเพื่อนทำให้ผู้โดยสารหลายคนหันมามองแล้วอมยิ้มบางๆ ให้กับความน่ารักของเด็กวัยรุ่นก่อนจะหันไปทำภารกิจส่วนตัวต่อ

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบที่พวกตัวป่วนทั้งหลายหมดแรงในการแกล้งกัน พูดกันแบบไม่เกรงใจสายตาชาวบ้าน จนกระทั่งพิงเบาะหลับกันไปหมด ทั้งลำเครื่องเงียบสงบราวกับไม่มีคนอยู่ ได้ยินเพียงแค่เสียงจากเครื่องปรับอากาศดังมาแผ่วเบา กับเสียงเครื่องบินตกหลุมอากาศเป็นบางครั้ง

ทันใดนั้น…

ปรี๊ด!!!!

เสียงสัญญาณฉุกเฉินดังขึ้นสนั่นเครื่องบิน ผู้คนพากันสะดุ้งตื่น หันซ้ายหันขวาไปมาด้วยความตกใจ เครื่องบินเซซ้ายขวาไปมา ทำให้หลายคนหล่นจากเก้าอี้ เสียงกรีดร้องวี้ดว้ายดังขึ้นอย่างไม่รู้ที่มาของสิ่งที่ตนกำลังเผชิญ ผ่านไปสักครึ่งนาที เครื่องบินถึงกลับมาทรงตัวได้ตามปกติ พร้อมกับเสียงประกาศ

“หยุดการกระทำทุกอย่างบนเครื่องบินลำนี้ซะ ตอนนี้พวกแกทุกคนถูกเราล้อมปิดกั้นไว้หมดแล้ว”

สิ้นเสียงประกาศนั่น ประตูฝั่งห้องเคบิลก็เปิดออกพร้อมกับกลุ่มชายชุดดำหลายคนที่ล็อกแขนแอร์โฮสเตสสองคนเดินออกมา ก่อนจะโยนสองร่างนั่นมาตรงหน้า

“จะไม่มีการปะทะกันเกิดขึ้นหากพวกแกทำตามที่ฉันสั่ง”

เกิดความเงียบไปทั่วทั้งเครื่องบิน เนื่องจากเครื่องบินลำนี้เป็นแบบชั้นเดียว ไม่ได้กว้างมากมายนัก ทำให้ทุกคนหมดทางที่จะหนีรอด ได้แต่ยืนเกาะกลุ่มกันไว้ด้วยความกลัว ยิ่งปากกระบอกปืนจ่อมาทางนี้ก็ยิ่งรู้สึกกลัวโดยไม่ทราบสาเหตุ หัวหน้ากลุ่มชายชุดดำเหล่านั้นพูดต่อเมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูด…หรือเปล่า

“เพราะยัยแอร์โฮสเตสจอมสาระแนสองคนนี้ทำให้พวกฉันต้องทำแบบนี้ เพราะพวกมันไปเจอยาเสพติดที่ฉันซ่อนไว้ในห้องน้ำหลังเครื่อง ยุ่งไม่เข้าเรื่องแท้ๆ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้มีการเสียเลือด ก็อยู่นิ่งๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และอย่ายุ่งกับเหตุการณ์นี้ กัปตันที่กำลังขับเครื่องบินก็ถูกพวกเราควบคุมให้ขับเครื่องบินต่อไปแล้ว”

“…”

“ในเมื่อเข้าใจแล้ว ก็อย่ายุ่งให้มันมากนัก”

สถาณการณ์หลังจากนั้นเป็นไปด้วยความตึงเครียด ทุกคนตกอยู่ในความอึดอัด ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักอย่าง ไม่มีใครรู้ว่าการค้ายาเสพติดข้ามชาติแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง และถ้าถึงสนามบินที่เวนิสแล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป ทุกคนล้วนแต่หวงชีวิตตัวเอง ไม่มีใครกล้าขัดขืนจะทำอะไร

เวกัสนั่งกัดเล็บตัวเองด้วยความตึงเครียดก่อนจะสะกินบีทีนที่นั่งข้างๆ แล้วพึมพำใส่เบาๆ

“บีน”

“ว่าไงกัส”

“จริงๆ แล้วฉันเคยเรียนขับเครื่องบินนะ”

“เฮ้ย นายคิดอะไรบ้าๆ น่ะ”

“แต่…”

“หยุดความคิดเลย นั่งอยู่เฉยๆ แค่นี้แหละ ให้มันผ่านไปและเป็นหน้าที่ของสายการบินเขาเถอะ เอาชีวิตเราให้รอดก่อน”

สิ่งที่บีทีนพูดก็ถูก แต่แบบนี้เหมือนเรากำลังนั่งรอความตายโดยไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

บางทีเราอาจจะพอช่วยเหลือเขาได้…

“เฮ้ย ไอ้กัปตันบ้า นี่แกคิดจะตุกติกกับพวกฉันเหรอ”

เสียงตวาดใส่กัปตันดังลั่นมายังห้องเครื่อง ผู้โดยสารทั้งหมดพากันตกใจนั่งไม่ติดที่นั่ง เครื่องบินเริ่มเอนไปเอนมาอีกครั้ง ทุกคนตกเก้าอี้กลิ้งไปกลิ้งมาเป็นลูกบอล ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสองนัดติดกัน และได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน เหมือนยื้อแย่งอะไรสักอย่าง

เวกัสไม่สามารถทนได้อีกแล้ว เขารีบวิ่งออกจากที่นั่งไปยังห้องขับทันที ท่ามกลางเสียงร้องห้ามของเพื่อนๆ

“กัส นั่นนายจะไปไหน หยุดก่อน!”

เวกัสวิ่งมาในห้องเครื่องเจอชายชุดดำคนหนึ่งเอาปืนตบหน้ากัปตันคนนั้นตนล้มลงไป และแผงระบบควบคุมการเดินเครื่องก็ถูกยิงจนพรุน ชายชุดดำคนนั้นหันมามองเขาด้วยแววตาตกใจ เมื่อรู้ว่าเครื่องบินไม่สามารถขับต่อได้แล้ว

“นี่แกทำอะไรของแกเนี่ย” เขาตะคอกใส่ชายชุดดำคนนั้น

“ก็ไอ้กัปตันบ้านี่ มันแย่งปืนจากฉันก่อนเองนี่”

“พวกแกมันเลว แล้วแกยิงแผงเครื่องควบคุมแบบนี้ คิดบ้างไหมว่าคนที่เหลือเขาจะทำยังไง เขาต้องตายเพราะแกคนเดียวอย่างนั้นเหรอ ไอ้โง่”

พู่!

เชอร์เบลที่เดินตามมาจากข้างหลัง หยิบเสปรย์บางอย่างออกมาฉีดใส่หน้าชายชุดดำคนนั้นจนเขาล้มพับหลับไป ก่อนจะหันมาหาเวกัสที่มองมาด้วยสายตาอึ้งๆ

“ฉันรู้ว่านายจะพอควบคุมเรื่องได้ อย่างน้อยก็ลงจอดฉุกเฉินที่ไหนสักที่ ผู้ชายชุดดำข้างนอกถูกพวกเราหลอกฉีดเสปรย์ยานอนหลับใส่แล้ว คงไม่มีใครมารบกวนแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นฝากที่เหลือไว้ให้นายด้วยนะ”

“ได้”

เวกัสพยักหน้าด้วยแววตามุ่งมั่นก่อนจะหันไปยุ่งกับแผงระบบเครื่อง เชอร์เบลมองด้วยแววตาที่อ่อนแสงลง ในบรรดากลุ่มคนพวกนี้เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาคงจะเป็นคนที่อ่อนโยนที่สุดแล้ว

ช่วงเวลาแห่งความหวดหวั่นเพิ่งจะผ่านไปอย่างช้าๆ เรียกว่าปาฏิหาริย์ได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีมากเมื่อเวกัสสามารถพยุงเครื่องบินลำนั้นให้ลงจอดแบบฉุกเฉินได้บนเกาะแห่งหนึ่งที่ถูกล้อมด้วยมหาสมุทรกลางทะเลแบบนี้ เกาะที่ไม่มีใครเคยรู้จักหรือพบเห็นมาก่อนและไม่รู้ว่ามีคนอาศัยอยู่หรือเปล่าด้วย แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ปลอดภัยแล้ว เรื่องการใช้ชีวิตที่เหลือเดี๋ยวค่อยว่ากันแล้วกัน

เหตุการณ์หลังจากนั้นดำเนินไปอย่างช้าๆ เมื่อแอร์โฮสเตสโทรติดต่อตำรวจไป และได้นำตัวชายชุดดำเหล่านั้นไปดำเนินคดีตามกฎหมาย ทำให้เรารู้ว่าการใช้สารเสพติดในสังคมไทยยังมีอยู่อย่างหนาตา และอาจจะไม่มีวันลดลงได้ หากพวกเราด้วยกันเองไม่ช่วยกันต่อต้าน กัปตันเครื่องบินตอนนี้ถูกพาออกมาปฐมพยาบาลเบื้องต้น เขาชื่นชมความสามารถของเวกัสมากที่สามารถพาเครื่องบินที่แผงควบคุมเสียแล้วมาจนถึงตรงนี้ได้อย่างปลอดภัย แถมผู้โดยสารบนเครื่องแต่ละคนยังปลอดภัยดีอีกด้วย

และสิ่งที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือเกาะที่เวกัสพาเครื่องลงจอดนั้นดันมีคนอาศัยอยู่ด้วย เหมือนจะเป็นเมืองเล็กๆ อีกแห่งเลยทีเดียว ชาวบ้านในเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีจิตใจดีงาม ต้อนรับขับสู่ทุกคน หาที่พักให้พักสามวันเนื่องจากต้องรอเครื่องบินลำใหม่ที่จะพาไปสู่อิตาลีได้อีกครั้ง อยู่ที่นี่ทุกคนใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ทำให้ไม่มีปัญหาเท่าไหร่นัก ภายใต้เมืองที่แสนอบอุ่น เมือง “wishes”




ออฟไลน์ Serioz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
มีใครจะตบเราไหมถ้าเราจิ้นคู่เชอร์เบลกับเบลมอธ 555555555

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 11
Island

น้ำทะเลที่นี่สีใสมาก จนแทบจะมองเห็นว่าก้นบึ้งข้างล่างมีอะไร สีฟ้าอมเขียวให้ความรู้สึกเหมือนมีมรกตลอยเด่นอยู่ในน้ำ พอทอดสายตามองไปจะสะท้อนกับแสงแดดเข้าตา ราวกับดวงดาวกำลังหยอกล้อกับแสงอาทิตย์ ถัดขึ้นมาบนชายหาดทรายก็ละเอียดมาก สีอ่อนๆ จนเกือบขาวยามที่ทอดเท้าลงไปสัมผัสรู้สึกเหมือนกำลังนวดสปาชั้นดี

เบลมอธกระชับผ้าพันคอสีเบจให้พันไปข้างหลังดังเดิม เพราะแรงลมที่พัดมา ถ้าถามว่าเขาหนาวเหรอ ก็คงจะตอบว่าไม่ แต่เพื่อบรรยากาศกับชายทะเลในวันสบายๆ หลังเจอเหตุการณ์เฉียดเอาชีวิตไม่รอดบนเครื่องบิน เขาก็เลยอยากลองทำตัวแบบนางแบบบนนิตยสารดูบ้าง เขาคล้องแว่นกันแดดสีชาอันใหญ่ไว้ที่เสื้อกล้ามสีขาว ด้านล่างเขาใส่กางเกงขาสั้นสีเหลืองอ่อน กับรองเท้าสานสีน้ำตาล

ขวับ!

แขนของใครบางคนสวมกอดเขาจากด้านหลัง ทำให้เบลมอธสะดุ้งไปเล็กน้อย เขาหันไปมองว่าใคร แต่ก็ถูกคนข้างหลังปิดปากเอาไว้ได้ก่อน

สัมผัสหวานหยุ่นที่ริมฝีปากทำให้เบลมอธลืมสถาณการณ์ตรงหน้าไปชั่วครู่ มือไม้อ่อนแรงลงเหมือนตอนที่คุณหมอฉีดยาชาใส่ ยิ่งตัวการที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ไม่หยุดนึ่งแต่กลับรุกรานเขามากขึ้นด้วยการเลื่อนมือข้างหนึ่งสอดใส่ลงไปในเสื้อกล้ามตัวเล็กของเขา และปลุกความรู้สึกบางอย่างในตัวเขาให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“แค่นี้ก็รู้สึกแล้วเหรอ”

เสียงจากคนตัวสูงด้านบนทำให้เบลมอธรู้สึกตัวและรีบผละออกจากซินทันที ผ้าพันคอหล่นลงไปที่พื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ เขารีบเก็บมันขึ้นมาพันแบบเดิมแก้เขินทันที แล้วรีบเสตามองไปทางอื่น

“จะเข้ามาหาทำไมไม่เรียก แบบนี้ใครก็ตกใจหมด”

“ก็ถ้าเรียกออกมาก็คงไม่มีสถาณการณ์เมื่อกี้เกิดขึ้น”

น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของซินทำให้เบลมอธหน้าร้อนวูบทันที …หน็อย บังอาจมาก รู้จุดอ่อนฉันหมดเลยนะ

“เฮอะ ทำได้แค่นี้เองเหรอ ฉันไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย” …อยากกัดลิ้นตัวเองจัง นี่ฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย

ซินยิ้มกรุ้มกริ่มไม่ได้ว่าอะไรต่อ เขาเพียงยื่นมือไปข้างหน้าเบลมอธ ร่างบางมองมือหนานั้นเป็นเชิงถามว่ายื่นมาทำไม ซินอดไม่ได้จึงพูดขึ้นมา

“ไปเดินเล่นรอบๆ เกาะกัน ไหนๆ ก็มีโอกาสมาแล้ว บรรยากาศดีมากเลย”

“ไปสิ”

เบลมอธยิ้มอบอุ่นแล้วเต็มใจวางมือตัวเองลงบนมือหนาของคนตรงหน้า มือใหญ่กุมมือเล็กออกเดินไปบนผืนทรายที่นุ่มเท้า เสียงคลื่นทะเลซัดเข้าหาฟังราวกับเสียงดนตรีที่บรรเลงแสดงความยินดีให้กับคู่บ่าวสาวในงานแต่งงานอะไรอย่างนั้น บรรยากาศบริเวณนั้นหวานชมพูขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เสียงนกน้อยสองสามตัวบินหยอกล้อกันบนฟ้า เหมือนเสียงไวโอลินที่ขับกล่อมคนให้มีความสุข ช่วงเวลาที่มีความสุขแบบนี้คือสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะครอบครองมันได้เร็วกว่าเท่านั้นเอง…

ห่างไปไม่ไกลจาดจุดที่สองคนนั้นเดินจูงมือกันไปนั้น ปรากฏร่างของเชอร์เบลในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวยาวเกือบถึงเข่า ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าได้ใส่กางเกงซ้อนไหม ยืนมองตามทั้งคู่ไป แววตาเฉียบขาดของเขาไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น และแทบจะไม่น่าเชื่อ เมื่อหยาดน้ำสีสะอาดร่วงลงมาจากดวงตาของเชอร์เบลราวกับอาลัยต่อการจากไปของคนรัก…

ไม่แน่…

เขาอาจจะไม่เคยเป็นคนรักของซินเลยก็ได้…

คนที่มีรอยยิ้มร่าเริงสดใสตลอดเวลา เข้มแข็งกับทุกอย่างที่เจอ ก็ใช่ว่าจะไม่มีช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของชีวิต ดั่งเช่นตอนนี้ เขารู้สึกเจ็บปวดมากจนแทบไม่สามารถประคองตัวเองไปข้างหน้าได้ แต่ชะตากรรมบังคับให้เขาเชิดหน้าขึ้นแล้วเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น

พระเจ้าไม่ได้อนุญาตให้เขามีความสุขมาตั้งนานแล้วล่ะ…


“นายคิดว่าไหวไหม”

“หมายถึงอะไรไหว ถ้าพูดถึงคืนนี้ของฉันกับนาย แน่นอนว่าฉันไหว”

ป๊าบ!

“บ้า! ลามก”

บีทีนตบหัวแร็กตาร์ไปทีหนึ่ง คนโดนประทุษร้ายหัวเราะไม่ถือสาอะไรก่อนจะจิ้มเอวบีทีนผู้ซึ่งบ้าจี้อยู่แล้ว ทั้งคู่วิ่งไล่จับจั๊กจี้กันไปมา สักพักพอเริ่มเหนื่อยจึงไปพักขากันใต้ต้นมะพร้าวต้นหนึ่งในสภาพที่บีทีนนั่งตักของแร็กตาร์ ส่วนแร็กตาร์โอบตัวบีทีนไว้ในอ้อมกอด แร็กตาร์ปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้นก่อนจะชวนบีทีนพูดขึ้นมาต่อ

“เรื่องราวของความรักน่ะ เราไม่สามารถมาตัดสินใจกันได้หรอก ว่าเคสนี้จะจบลงได้ยังไง”

“…”

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้ที่จะรักนั่นเองแหละมั้ง”

“แต่ฉันสงสารพี่ซีทอ่ะดิ” บีทีนเอ่ยขึ้นมาอย่างกระเง้ากระงอด
“ทุกคนน่าสงสารหมดแล้ว คนที่แพ้ในเกมรักถ้าไม่เข้มแข็งขึ้นก็เจ็บเจียนตายแหละ”

“…”

บีทีนยิ้มให้ตัวเองเศร้าๆ …ก็เขารักพี่ชายคนนี้ขนาดนั้นนี่นา คงทนไม่ไหวหรอกถ้าพี่ชายตนเองต้องเจ็บปวดขนาดนั้น แต่จะทำยังไงได้ล่ะ เรื่องนี้สำหรับเขา เขาเป็นคนนอกนี่นา ถ้าพูดถึงผู้ชายที่ชื่อซิน ในสายตาเขาเองก็สังเกตได้ว่าซินคงจะจริงจังกับเบลมอธเพื่อนเขาพอสมควร ประกายตาของเบลมอธก็ทอออกมาแต่ความสุขทุกครั้งที่อยู่กับซิน แบบนี้เขาจะไปกล้าขัดขวางความสุขของเพื่อนได้ยังไงล่ะ

“ฉันก็ได้แต่หวังว่าจุดจบของเรื่องมันจะยังงดงามเหมือนในนิยายที่ฉันเคยอ่าน”

แร็กตาร์ไม่ได้ตอบคำถามนั้นของบีทีน เขาเพียงแค่เคลื่อนตัวเปลี่ยนเป็นนอนตักคนตัวเล็กแทน และหลับตาลงดื้อๆ ราวกับจะหนีจากโลกอันแสนโหดร้ายนี้ บีทีนเอื้อมมือไปลูบผมแร็กตาร์เบาๆ ก่อนจะทอดสายตาไปไกลในทะเล

ช่วงเวลาที่มีความสุขของฉัน…กลับเป็นช่วงที่แสนเจ็บปวดของใครอีกคน…

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 12
Precious Moment

ซีเครทมองกองไฟที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเฉยๆ ก็น้องชายตัวดีของเขาน่ะสิ คิดบ้าอะไรไม่รู้ อยากลองจัดปาร์ตี้แบบริมทะเล แล้วลากทุกคนออกมารับกลิ่นเค็มๆ ของทะเลเนี่ย แขกผู้ร่วมชะตากรรมบนเครื่องบินทั้งหลายไม่เห็นจะมีใครระริกระรี้อยากออกมาทำอะไรแบบนี้เลย ค่ำมืดป่านนี้เขาก็นอนพักผ่อนกันอยู่ในบ้านพักไม้นู่นสิ แต่จะทำไงได้ล่ะเมื่อบีทีนงอแงจะเอาอย่างเดียวแบบนี้ ไม่รู้ว่าแร็กตาร์ทนคนที่มีบุคลิกแบบน้องชายเขาไปได้ยังไงกัน ท่าจะบ้าไปแล้ว…
 
“อ้าปากสิ”

“ไม่เอาน่า โตแล้ว ขอกินเองไม่ได้เหรอ”

“อ้าเดี๋ยวนี้”

“โอเค ก็ได้”

เสียงง้องแง้งของเบลมอธกับซินที่นั่งป้อนของกินกันฝั่งตรงข้ามเขาเนี่ยมันสะกิดใจเขาบ่อยจัง เห็นแล้วเหมือนใจจะขาด รักกันมากขนาดนั้นเลยเหรอ เห็นแล้วยิ่งไม่พอใจ เบลมอธจะรู้ไหมว่าเขาส่งสายตาตัดพ้อไปให้ตลอดทุกครั้งที่มีโอกาสสบตากัน ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองไหม ทุกครั้งที่จะต้องเผชิญหน้ากันเบลมอธเป็นฝ่ายหลบหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปตลอด

ใช่สินะ…

เขาไม่มีสิทธิ์ในตัวเบลมอธอีกแล้ว… พอคิดมาถึงตรงนี้ซีเครทก็ได้แต่ยิ้มในความโง่เขลาของตัวเอง นี่เขาคิดบ้าอะไรอยู่ ในเมื่อเขาไม่ได้มีสิทธิ์ในตัวเบลมอธมาตั้งนานแล้ว แฟนกันก็ไม่ใช่ เพื่อนกันก็ไม่ใช่ คนรู้จักงั้นเหรอ น่าสมเพชชะมัด

แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นล่ะ วันที่เขาทั้งสองคนแทบจะรวมกันเป็นคนเดียว ทำไมถึงมีแค่เขาที่ยังคิดถึงคืนวันเหล่านั้นกับเบลมอธอยู่ ทั้งที่ร่างบางตรงหน้าคงจะลืมเขาไปนานแล้วแน่ๆ ถึงสามารถใช้ชีวิตปกติแบบคนมีความสุขกับผู้ชายที่ตัวเองรักได้แบบนี้ ไม่แน่ บางทีเขาอาจจะต้องหาใครสักคนมาดามใจเพื่อรักษาแผลนี้

ถ้าคนๆ นั้น พร้อมที่จะรักเขาน่ะนะ…

“พี่ซีท”

“หืม” ซีเครทเอี้ยวตัวมองไปด้านหลังเจอกับบีทีนที่มองมาด้วยสายตาเป็นห่วง

“พี่ดูไม่มีความสุขเลยสองสามวันมานี้”

“คิดมากไปแล้วมั้ง มีความสุขสิ เรากำลังจะได้เที่ยวกันแล้วนะ อีกสองวันเอง แค่รอเครื่องบิน”

“พี่ก็รู้ว่าบีนไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”

“…”

“พี่อ่ะ รักคนนั้นแล้วจริงๆ สินะ”

“เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่ายุ่ง นี่แน่ะ” ซีเครทยีหัวน้องชายตัวเองจนฟู ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความฝืนใจแสดงว่าเขาโอเคแล้วจริงๆ “พี่ชายคนนี้ไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้ทำอะไรพี่ไม่ได้หรอก อย่าห่วงเลย”

“ไม่ห่วงได้ยังไงล่ะ ตอนนี้พี่หน้าแดงมากเลย เริ่มเมาแล้วใช่ไหมล่ะ”

“ใครว่า ไม่มีสักหน่อย ใครเมา”

“คนเมามักจะบอกว่าตัวเองไม่เมา”

“ฮ่าๆ ยอมแพ้เลยจริงๆ เลิกดื่มก็ได้ พอใจหรือยัง”

ซีเครทวางแก้วเบียร์ลงก่อนจะหันไปหาน้องชายตัวดีที่ยิ้มมาด้วยความโล่งใจ ในที่สุดพี่ชายเขาก็เลิกดื่มสักที ก่อนจะเดินออกไปอีกทางด้วยความสบายใจ ซึ่งลับหลังน้องชายตัวเองซีเครทก็หุบยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นมาเขาลุกเดินออกไปด้วยความรู้สึกเหมือนตัวลอยๆ คงจะเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าล่ะมั้ง แปลกจัง ก่อนหน้านี้มีคนเคยบอกเขาว่าเหล้าเบียร์สามารถทำให้เราลืมความรู้สึกเจ็บปวดได้ วันนี้เขาได้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย มีแต่ช่วยย้ำภาพทรงจำในหัวเขาเยอะขึ้นเท่านั้น

ความเจ็บปวดมันไม่มีวันหายไป…

ซีเครทตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปที่บ้านพักของตัวเอง แต่ระหว่างทางเจอเบลมอธซึ่งน่าจะเพิ่งแยกกับซินเดินมาทางเขาพอดี ทันทีที่ร่างบางเห็นเขาก็แสดงท่าทีตกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ควบคุมสีหน้าตัวเองได้อย่างว่องไว และเอ่ยทักทายเขาด้วยเสียงที่เป็นธรรมชาติ

“หวัดดีพี่ซีท กำลังจะกลับบ้านเหรอ”

“ใช่ นายล่ะ”

“อ๋อ ก็เพิ่งลุกจากกองไฟมาน่ะ”

“อืม”

“งั้นผมขอตัวเข้าบ้านก่อนนะ”

“เดี๋ยว”
ไม่รู้อะไรดลใจซีเครทให้ฉุดข้อมือของเบลมอธเอาไว้ ก่อนที่ร่างบางจะทันได้เดินหนีไป เบลมอธชะงัก แต่ไม่ได้ขยับหนี เพียงแค่ยืนนิ่งๆ ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ

“นายกับซินน่ะไปคบกันตอนไหน”

“…!!!”

“ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เรา…”

“ผมว่าเราอยู่พูดถึงเรื่องพวกนี้เลยครับ พี่รู้แค่ว่าผมรักเขาและเราคบกันก็พอแล้วครับ อย่าไปรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตอีกเลย ถือว่าผมขอร้องนะครับ”

“นายจะบอกว่านายไม่ได้รู้สึกอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ”

“ครับ”

ถ้อยคำแค่หนึ่งพยางค์แต่กัดใจเขามากซะจนอยากจะร้องไห้ออกมา ด้วยความโกรธ ทำให้ซีเครทคว้าตัวเบลมอธเข้ามาจูบ


   “ปล่อยนะ!!”

   ร่างบางพยายามดิ้นหนีอ้อมแขนเขา แต่ยิ่งดิ้นเท่าไหร่เหมือนจะเป็นการปลุกความรู้สึกซีเครทมากขึ้นเท่านั้น เมื่อร่างสูงอุ้มเบลมอธขึ้นพาดบ่าและพาขึ้นบ้านพักเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง ก่อนจะโยนร่างบางลงบนเตียง เบลมอธตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อซีเครท กดริมฝีปากทับลงมา สองกายเบียดประสานกันจนเตียงแทบลุกเป็นไฟ มือของร่างบางเอื้อมไปจิกผ้าปูที่นอนโดยไม่ได้ตั้งใจ และก่อนที่ทุกอย่างจะไปไกลกว่านั้น เบลมอธรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย ลุกขึ้นผลักร่างสูงออกไปก่อนจะตบจนใบหน้าของซีเครทหันไปอีกทาง

   เพียะ!

   เขาไม่ใช่นางเอกนิยายที่จะมาตบพระเอกแล้วน้ำตาไหล เขาเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่มีหัวใจเพื่อรักใครสักคน ไม่ใช่ถูกนำมาย่ำยีแบบนี้… พอคิดได้แบบนี้ปุ๊บ น้ำตาก็พานจะไหลลงมาดื้อๆ

   “ได้โปรดเถอะ ให้ผมมีความสุขสักครั้งในชีวิต”

   “…”

“ผมไม่เคยรู้เลยว่าความรู้สึกของการถูกรักเป็นยังไง จนได้เจอเขา”

“….”
“ให้ผมมีความสุขสักครั้งเถอะนะครับ”

เขาแทบไม่รู้ตัวว่าเดินออกจากที่นั่นมาด้วยความรู้สึกแบบไหน ใจมันเจ็บ เจ็บมาก เจ็บจนเลยคำว่าเจ็บ อธิบายให้ใครไป ก็คงไม่มีคนรับรู้ ได้แต่เก็บงำมันไว้ในความรู้สึกตัวเอง และรอวันเวลาให้พัดพามันไปเหลือไว้เพียงจิตใจที่สงบนิ่ง

สองเท้าพาเขาเดินมาถึงชายหาดโดยไม่รู้ตัว คืนนี้ดวงดาวส่องสว่างเต็มท้องฟ้าไปหมดราวกับจะอวยพรเขาให้สมหวังในความรัก แม้ว่าในความเป็นจริงนั้นหัวใจเขาถูกทำลายจนแทบไม่สามารถประกอบได้อีกครั้งแล้ว เขาทำได้เพียงเงยหน้ามองดาว แหงนหน้าให้สูงที่สุดเพื่อที่

น้ำตาจะได้ไม่ไหลลงมา…

“ความรักนี่ประหลาดเนอะ คิดจะเกิดก็เกิดมาเลยโดยไม่ถามเจ้าของหัวใจสักนิดว่าต้องการจะมีมันไหม ความรักน่ะ”

ซีเครทกระพริบตาไล่ของเหลวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตาก่อนจะหันไปหาเจ้าของคำพูดเมื่อสักครู่ “นายยังไม่นอนอีกเหรอเชอร์เบล”

ร่างบางตรงหน้าอมยิ้มแล้วส่ายหน้าน้อยๆ “นอนไม่หลับหรอกครับ จิตใจไม่ค่อยสงบ หัวใจเลยไม่ได้พักผ่อนตาม มันทำให้นอนไม่ลง”

“มีอะไรมารบกวนหัวใจหรือไง ถึงได้นอนไม่หลับน่ะ”
“ถ้ามันเป็นอะไรที่แค่รบกวนหัวใจเราก็คงจะดี แต่นี้เหมือนมีมีดแทงหัวใจตลอดเวลาเลย จะไปโรงพยาบาลไหนให้หมอรักษาได้ล่ะครับ”

“ในเมื่อคนอื่นไม่สามารถรักษาให้เราได้ เราคงต้องรักษามันด้วยตัวเอง”

“คงต้องเป็นแบบนั้นแหละครับ”

เชอร์เบลเดินมายืนข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ร่างบางทรุดตัวนั่งลงบนผืนทราย เขาทรุดตัวนั่งลงตาม เชอร์เบลใช้นิ้วชี้ตัวเองวาดเป็นรูปรอยยิ้มบนผืนทราย ก่อนจะหันมาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงสดใส

“ไม่มีใครชนะในเกมความรักทุกครั้งไปหรอกครับ แต่ก็ไม่มีใครที่จะแพ้ตลอดไป”

“…”

สายลมแผ่วเบาพัดผ่านร่างของเขาทั้งคู่ราวกับจะนำพาความเจ็บปวดไปด้วย ซีเครทยิ้มกว้างออกมา แค่คำพูดไม่กี่คำก็เหมือนน้ำเย็นปลอบประโลมจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวของเขาได้ขนาดนี้

นั่นสินะ ในเมื่อเขามองว่าความรักมันสวยงามขนาดนี้ แล้วจะให้เขาเศร้าเพราะความรักทำไมกัน ความรักทำให้คนมีความสุข ทำให้โลกทั้งใบเป็นสีชมพู ทำให้คนบางคนที่ยิ้มไม่เป็นอยากจะยิ้มทั้งวันเหมือนคนบ้า

“ขอบคุณนะเชอร์เบล”




ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เรื่องนี้ จะเกิดจุดพลิกผันอะไรอีกไหมนี่
มันจะพลิก หรือไม่พลิกคงขึ้นกับเชอเบลว่าจะทำอะไรรึเปล่า?

ออฟไลน์ Serioz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อ๊ากกกสงสารซีทอ่ะงืออ :o12:

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 13
One


เวลาสามวันบนเกาะนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผู้โดยสารทุกคนได้นั่งเครื่องบินลำใหม่ที่สายการบินจัดมาให้ไปถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ เสียงพูดคุยหัวเราะกันไปตลอดทางที่ลงเครื่อง ผู้คนจากหลายสัญชาติเดินสวนกันไปมา ไหล่ชนไหล่ มือสัมผัสมือ และผ่านไปราวกับจะบอกว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยจนไม่มีใครเสียเวลามามองว่าเป็นยังไง ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่ใครบางคนก็ยังสามารถเดินทางมาเจอกันได้ แม้ว่าจะอยู่กันไกลคนละขอบโลกเลยก็ตามที และในจำนวนผู้คนมากมาย ใครเลยจะรู้ว่าหัวใจของบางคนอาจจะเปลี่ยนความรู้สึกไปแล้ว

ซีเครทกระชับเสื้อโค้ทตัวหนาที่ใส่อยู่ให้แนบชิดลำตัวมากขึ้นก่อนจะก้าวเดินอย่างมั่นคงไปตรงหน้า แววตาของเขาเด็ดเดี่ยวราวกับจะไม่แย่แสอะไรบนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว บีทีนกับแร็กตาร์เดินคล้องแขนคุยกันมองแล้วน่ารักน่าเอ็นดู เวกัสเดินมองไปมองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นเต้น พอผ่านจุดอะไรที่น่าสนใจก็หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่าย แม้ว่านี่จะเป็นแค่ในตัวสนามบินก็ตาม และถ้าไปเห็นความงามของอิตาลีจริงๆ คงจะรัวกล้องเร็วรัวแบบไม่ได้หยุดพักเลยทีเดียว แล้วก็…ซินกับเบลมอธเดินเคียงข้างกันมาเงียบๆ ไม่มีใครพูดหรือแสดงความรู้สึกอะไรออกมาทางสีหน้า แต่เขาก็พอจะจับประกายความสุขที่แผ่ออกมาจากตัวทั้งคู่ได้ เบลมอธที่นานๆ ทีจะหันหน้าไปคุยกับเชอร์เบลที่เดินตามมาด้านหลังบ้าง ก็ยังมีรอยยิ้มประดับที่มุมปาก รอยยิ้มนั้น ที่เขาไม่มีวันได้เป็นเจ้าของ

“วันนี้ตามที่เราวางแผนกันไว้คือเราจะไปที่ไหนกันก่อนนะ เอาของไปเก็บที่โรงแรมก่อนใช่ไหม”

“เราจะค้างที่นี่หนึ่งคืนเพื่อไปเที่ยวที่น้ำพุเทรวี่ แล้วพรุ่งนี้เราจะเดินทางไปมิลาน วันมะรืนจะไปเวนิส โดยที่จะค้างที่เมืองนั้นๆ อย่างละหนึ่งคืน”

“โอเค ในเมื่อกำหนดการทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้ ทุกคนมีใครมีปัญหาไหม”

“ไม่มีครับ”

ทุกคนประสานเสียงตอบรับกันถ้วนหน้าอย่างไม่มีข้อแม้ ก่อนจะหัวเราะแล้วพากันวิ่งออกไปด้านนอกเพื่อขึ้นรถของโรงแรมที่ได้ติดต่อให้มารับ




น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain) เป็นน้ำพุที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก รอบๆ น้ำพุเต็มไปด้วยรูปแกะสลักงดงามที่อวดโฉมแก่นักเดินทางที่ผ่านไปมาซึ่งได้แนวคิดนี้มากจากเทพเจ้าเนปจูน จริงๆ แล้วอิตาลีเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีคนเดินทางมาเที่ยวเยอะที่สุด หรืออาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่พวกเขามานั้นเป็นช่วงเกือบจะก่อนค่ำก็ไม่แน่ ทำให้ไม่ค่อยมีผู้คนมาเบียดเสียดกันเท่าไหร่ ให้ความรู้สึกเหมือนสถานที่เหล่านี้เป็นของพวกเขา

เวกัสเดินมองรอบๆ น้ำพุด้วยสายตาชื่นชม พลางหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายเมื่อเจอมุมที่ตัวเองต้องการ มีคนเคยบอกเขาว่าการบันทึกความทรงจำที่มีค่าที่สุดนอกจากใช้หัวใจจดจำแล้ว ก็คือดวงตานี่แหละ เพราะเมื่อเราได้เจอและสัมผัสมันสักครั้งแล้วสิ่งเหล่านั้นจะติดตรึงอยู่ในหัวใจ ผ่านกาลเวลาอันยาวนานจนใครหลายคนอาจลืมมันไป แต่พอได้กลับมาเห็นอีกครั้งแน่นอนว่าจะจดจำช่วงเวลาเดิมๆ เหล่านั้นได้

บรรดาเพื่อนๆ เขากระจายตัวกันอยู่รอบบริเวณนี้ เขาถือว่าเวลานี้เป็นเวลาศิลปะแล้วกัน ลองเดินดูรอบๆ นี้สักหน่อย

แต่ด้วยความที่ไม่ระมัดระวังในการเดินเท่าไหร่นั้นเพราะมัวแต่กดดูรูปในมือทำให้เวกัสเดินชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าโดยไม่รู้ตัว

“อ๊ะ”

“โอ๊ย”

พลั่ก!

ร่างบางล้มลงไปกับพื้น มือลูบก้นตัวเองป้อยๆ แปลกจังเดินชนกันแท้ๆ ทำไมมีแค่เขาที่ล้มคนเดียว คนตรงหน้านี่ไม่เห็นล้มตามเขาเลย

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

เสียงนุ้มที่เอ่ยทักทำให้เวกัสแหงนหน้าขึ้นมอง …ราวกับเวลาทั้งโลกหยุดหมุน เหลือแค่เขาคนเดียว

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ”

พูดจบก็ยันตัวลุกขึ้นเองเมื่อกลัวว่าชายหนุ่มตรงหน้าอาจจะยื่นมือมาฉุดเขาให้ลุกขึ้น ซึ่งเขาคงไม่ดีใจแน่ถ้าเป็นแบบนั้น
 
เขาน่ะไม่ใช่นางเอกในนิยายนะ…

“ขอโทษทีนะครับ ผมเดินไม่ระวังเลย”

“ผมก็ต้องขอโทษด้วย พอดีมัวแต่มองรอบๆ นี้จนเหม่อไปหน่อย”

“มาเที่ยวกันเหรอครับ”

“ใช่แล้วครับ พักสมองจากการเรียนอันหนักหน่วง”

ผู้ชายตรงหน้าเขายิ้มด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย ก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าเป็นเชิงทำความรู้จัก

“อันเดรสครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“เวกัสครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”

“เวกัสเหรอ มาจากประเทศไหนครับเนี่ย” อันเดรสถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะตลอดบทสนทนาทั้งหมดพวกเขาใช้ภาษาอังกฤษคุยกัน และคนตรงหน้ามีลักษณะเหมือนคนทางเอเชียมากกว่าคนทางตะวันตก เขาถึงได้ถามออกไป

“เรียกผมสั้นๆ ว่า กัส ก็ได้นะครับ จริงๆ แล้วผมมาจากประเทศไทยครับ”

“จริงเหรอครับเนี่ย บังเอิญจัง ผมเองก็เป็นคนไทยเหมือนกัน”

“บังเอิญจังเลยนะครับ จะเรียกว่าโลกกลมดีไหมเนี่ยครับ ในเมื่ออิตาลีกับประเทศไทยก็ไกลกันซะขนาดนั้น”

“ฮ่าๆ ไหนๆ ก็ได้มาเจอกันแล้ว ผมเองก็ทำงานทางด้านโบราณคดีตะวันตกอยู่เหมือนกัน”

“อันเดรส คุณทำงานแล้วเหรอครับ ผมเพิ่งจะเป็นนักศึกษาเอง”

“อีกหน่อย กัสก็คงต้องมาทำงานแบบผมนี่แหละ”

“คงจะแบบนั้นแหละครับ”

“ถ้าไม่รังเกียจ ให้ผมแนะนำรอบๆ สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้นะครับ ผมพอมีความรู้อยู่บ้าง”

จากนั้นทั้งคู่ก็เดินชมรอบๆ บริเวณน้ำพุเทรวี่แห่งนั้นกันอย่างมีความสุข ท่ามกลางฉากหลังของเมืองแห่งความโรแมนติกในอิตาลี เพื่อนคนอื่นๆ ก็กำลังนั่งคุยกันบ้าง ถ่ายรูปกันบ้าง ยืนเศร้ากันบ้าง ปะปนกันไป

ขอเวลาก่อนนะเพื่อนๆ วันนี้…

ไหนๆ ก็ได้เจอเพื่อนใหม่สักที…แถมดันเป็นเพื่อนใหม่ที่ไม่อยากปล่อยมือไปซะด้วยสิ




มิลาน

วันนี้ทุกคนคงรู้สึกเหนื่อยกันไม่เบา เพราะเมื่อวานกว่าจะกลับเข้าโรงแรมก็ค่ำพอสมควรเลย ไหนจะยังต้องตื่นเช้าแล้วเดินทางมาที่มิลานอีก คงทำให้พักผ่อนได้ไม่ค่อยเต็มที่เท่าไหร่ เวกัสเองก็เหมือนกัน เมื่อวานอันเดรสได้แลกเบอร์โทรกับอีเมลล์และแทบไม่น่าเชื่อก่อนนอนผู้ชายคนนั้นยังส่งข้อความมาบอกราตรีสวัสดิ์เขาอีก เล่นเอาเขานอนไม่หลับเพราะสำลักความสุขเลยทีเดียว ตอนที่อยู่หน้าน้ำพุเทรวี่ด้วยกันเขาเองก็เพิ่งรู้ว่าถ้าขอพรแล้วโยนเหรียญลงไปในน้ำพุจะทำให้ได้กลับมาที่นี่อีก ทุกคนจึงขอพรและโยนเหรียญลงไปดู ส่วนคำขอพรนั้นมันจะเป็นจริงไหมก็คงอยู่ที่ตัวเขาเลือกจะปฏิบัติหลังจากนี้แล้วล่ะมั้ง

เพราะเขาขอให้ตัวเองมีความสุข…

“กัส”

“ว่าไงบีน” ร่างบางหันไปหาเพื่อนตัวเองที่เดินมาสวมกอดจากด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สัมผัสตรงนั้นทำให้เวกัสเผลอใจเต้นไปชั่ววูบหนึ่งแล้วรีบควบคุมชีพจรตัวเองอย่างรวดเร็ว

“ไม่มีอะไรหรอก แค่หลังๆ มานี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลย มีแต่อะไรมาจับเราแยกออกจากกันเนอะ”

“ฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอกมั้ง ฉันก็ยังเป็นคนเดิม เป็นเพื่อนคนเดิมของนายเนี่ยแหละ”

“รู้สึกใจหายอ่ะ เหมือนนายจะจากฉันไปไกลเลย สัญญามาสิว่าจะไม่ไปไหน”

“เด็กน้อยเอ๋ย”

เวกัสไม่ได้รับคำเพียงแค่กุมฝ่ามือบางของฝ่ายตรงข้ามไว้แล้วบีบเบาๆ ให้กำลังใจ เพราะเขาไม่กล้าให้คำสัญญากับใครหรอก ในเมื่อตัวเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งรับปากดีกว่า…กลัวทำอย่างที่พูดไม่ได้

โปรแกรมในวันนี้ของพวกเขาคือเดินเที่ยวในตัวเมืองมิลาน เคยได้ยินว่าเมืองนี้เป็นเมืองแห่งศิลปะ แฟชั่น และความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่างๆ บรรดาห้างสรรพสินค้าก็เยอะตามไปด้วยจนตาลายไม่รู้ว่าจะเริ่มเยี่ยมชมอะไรก่อนเป็นอันดับแรกดี พวกเขาเลยตกลงจะแยกย้ายกันเที่ยว ไม่สิ จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก เพราะเวกัสเองเป็นฝ่ายขอตัวแยกออกมาเพื่อถ่ายรูปไปตามอารมณ์ตัวเอง เขาหวังในใจลึกๆ นะ ว่าถ้าพรมลิขิตมีจริง ขอให้เขาได้เจออันเดรสอีกครั้ง เพื่อนนิสัยดีแบบนี้ มาเจอกันในเมืองไกลขนาดนี้ เป็นไปได้อยากเจออีก

“นี่ผมตาฝากไปหรือเปล่าเนี่ย ผมได้เจอคุณอีกครั้งหนึ่ง”

เวกัสที่กำลังเดินลูบกำแพงข้างทางอยู่สะดุ้งและหันไปมองทันใด และราวกับเวลาทั้งหมดได้หยุดไว้

อา…

สงสัยพรหมลิขิตคงจะมีจริงแหละมั้ง

“ดีใจจัง ได้เจอคุณอีกครั้ง”

เสียงทุ้มนุ่มของอันเดรสทำให้หัวใจของกัสลอยไปไกลจนแทบกู่ไม่กลับ เขาไม่กล้าเรียกสิ่งที่ตัวเองกำลังเจอว่าความรักหรอก ในเมื่อบางคราเขาก็ยังแอบใจเต้นตึกตักกับบีทีนเหมือนกัน ขอเรียกช่วงเวลาเหล่านี้ว่าจุดเริ่มต้นที่แสนมีความสุขแล้วกันนะ

“ผมอยากไปเดินเที่ยวในนิทรรศการศิลปตรงถนนฝั่งนั้นจังเลยครับ”

“ไม่มีปัญหาครับ”




เวนิส

และแล้วเมื่อวานก็ผ่านไปจนมาถึงวันนี้ เวกัสดูมีความสุขมากจนทุกคนประหลาดใจ แต่ไม่น่ามีเรื่องอะไรให้ต้องเป็นห่วง เพราะปกติแล้วเวกัสเองก็เป็นเด็กน่ารัก มองโลกในแง่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นทริปสุดท้ายในวันนี้จึงผ่านไปย่างชิวๆ ทุกคนถ่ายรูปรวมกันในจุดต่างๆ เยอะขึ้น

เบลมอธมองบรรยากาศโดยรอบด้วยแววตามีความสุข เวนิสในวันนี้กับเมื่อในอดีต ยีงคงงดงามและส่องแสงระยิบระยับในความทรงจำของเขาเสมอและหวังว่ามันจะส่องแสงแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของโลก

สะพานหินอ่อนอันนี้เขาเคยขึ้นมาเดินเล่นกับซิน วันนี้ ณ ตรงนี้ความสุขในอดีตยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวเขาจางๆ

หมับ!

สัมผัสนุ่มๆ ด้านหลังทำให้เบลมอธอมยิ้มออกมา ก่อนจะกระชับมือหนาที่กำลังโอบกอดเขาอยู่

“จำที่นี่ได้ไหม”

“ได้สิ”

“เหตุการณ์ในวันนี้เหมือนวันนั้นไม่มีผิดเลยเนอะ”

“แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม”

“อะไรเหรอ”

“ความรู้สึกไง”

“…”

“วันนี้ฉันมีความสุขมากกว่าปีที่แล้วไง”

ซินจูบที่ต้นคอของเบลมอธเบาๆ ร่างบางหัวเราะคิกก่อนจะถอนตัวออกจากอ้อมกอด วางหนีไปทางหน้า ก่อนจะแลบลิ้นให้ซินที่ยืนหน้าเหวออยู่เบื้องหลัง

“แน่จริงก็ตามมาให้ทันสิ”

และแล้วเวนิสทั้งเมืองก็สว่างไสวไปด้วยความสุขอีกครั้ง…




“ฮ้า อากาศบริสุทธิ์จังเลยนะครับ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

เวกัสหันไปทำหน้ามุ่ยใส่อันเดรสที่กอดอกยืนอมยิ้มอยู่ด้านข้าง “งี้แหละครับ คนแก่อายุเยอะแล้วคงไม่สามารถสัมผัสความสุขที่แสนพิเศษแบบนี้ได้หรอก”

คนด้านข้างหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ถือสา

ใช่แล้วล่ะ มันเป็นเรื่องบังเอิญอีกเรื่องที่เขาอยากให้บังเอิญแบบนี้ตลอดไป ระหว่างที่เวกัสกำลังถ่ายรูปเรือกอนโดล่า ก็เจอชายหนุ่มคนนี้โผล่เข้ามายิ้มชูสองนิ้วใส่กล้องซะอย่างนั้น วินาทีนั้นเขาเหวอจนไม่รู้จะเหวอยังไงแล้ว แต่ก็ต้องยิ้มออกมาด้วยความดีใจกับการได้เจอกันอีกครั้งของคนตรงหน้า

แบบนี้เขาพอจะสานต่อเรื่องราวได้หรือยังนะ ?

ความสุขที่ได้สัมผัสมันจะยาวนานได้ถึงเพียงไหน คงมีแต่ผู้สัมผัสเท่านั้นถึงจะรับรู้ว่าจะรักษามันไว้ได้นานแค่ไหน แต่หลายคนกลับบอกว่าความสุขเหมือนเม็ดทราย เวลาเรากำมันมันขึ้นมาดู มันเยอะแยะมากมายราวกับดาวทั้งจักรวาล แต่ในขณะเดียวกันมันก็จะเริ่มไหลออกจากฝ่ามือเราเร็วขึ้นกับช่องอากาศที่ขยายตัว

บางทีความสุขอาจจะเป็นแบบนั้น…ไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้ตลอดไป แค่สัมผัสชั่วคราวก็เพียงพอแล้วสำหรับความต้องการของใครสักคน…



ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 14
Sand in the botton


2 week later

กริ่ง!

เสียงกดกริ่งที่ประตูห้องทำให้ซินที่กำลังวุ่นอยู่กับการรดน้ำต้นกระบองเพชรตรงระเบียงต้องหยุดภารกิจในมือ เอามือเช็ดผ้ากันเปื้อนสีเหลืองอ่อนที่เบลมอธซื้อให้ตอนไปเวนิสแล้วก้าวเท้าออกไปยังประตูหน้าห้อง โดยไม่ทันได้สังเกตตาแมวว่าแขกนิรนามหน้าห้องเขาคือใครกันแน่

“มาแล้วครับ อ๊ะ…”

ร่างสูงอุทานขึ้นเบาๆ เมื่อพบเจอแขกของตนข้างหน้า คนนั้นคือเชอร์เบลนั่นเอง

“สวัสดีซิน”

“เอ่อ..ว่าไงเชอร์เบล มีอะไรหรือเปล่า มาหาถึงที่ห้องเลย”

“ทำไมเหรอ ไม่มีอะไรแล้วมาหาไม่ได้สินะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นขอเข้าไปในห้องหน่อยสิ”

“เอ่อ คือ…”

ซินติดอ่างอย่างลำบากใจ ในเมื่อความสัมพันธ์กับอะไรหลายๆ อย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว การจะให้คนที่เคยอะไรกันมาด้วยเมื่อในอดีตเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว เป็นเรื่องที่น่าคิดมากเสียจริงๆ แต่กว่าจะรู้ตัว เขาก็เบี่ยงร่างกายไปอีกทางเพื่อเปิดทางให้เชอร์เบลเสียแล้ว

ใครปฏิเสธทุกอย่างที่เชอร์เบลส่งมอบให้ได้ ยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือแววตาเหมือนลูกกวางกำลังจะร้องไห้นี้เท่านั้นแหละ

ทันทีที่ซินปิดประตูและหันมาจะเดินเข้าห้อง ร่างบางก็พุ่งตัวเข้ากอดเขาทันที เขาอึ้งไปอย่างตั้งตัวไม่ทัน แรงสั่นเบาๆ จากตัวคนที่กอดเขาทำให้ซินเวียนหัวไปชั่วครู่

“ทำไมถึงทำอย่างนี้ล่ะซิน”

…ทำไมถึงปล่อยเขาไว้คนเดียวแบบนี้

“ไหนนายเคยสัญญาแล้วไงว่าจะไม่มีวันทิ้งฉัน ทั้งที่ฉันเองก็ยอมทิ้งทุกอย่างในชีวิตเพื่อตามนายมา แต่ดูสิ่งที่นายทำกับฉันสิ…”

ปลายเสียงแผ่วลงราวกับต้นไม้กำลังจะล้ม เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่างในเวลานี้ แม้แต่จะเอื้อมมือขึ้นโอบกอดร่างบางก็ทำไม่ได้

“เชอร์เบล…”

“แปลกจัง ทำไมมีนายคนเดียวที่ลืมทุกอย่างง่ายดายขนาดนี้”

“…”

“แต่ฉันกลับต้องอยู่ในวังวนความเจ็บปวดที่นายทิ้งไว้ให้”

“…”

“มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด”

ซินหลับตาลงด้วยความรู้สึกเจ็บปวด แต่ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยสายตาที่เด็ดเดี่ยวกว่าทุกครั้ง เพราะว่าตัดสินใจดีแล้ว และควรจะทำทุกอย่างให้ชัดเจนเสียที เขาค่อยๆ รวบมือบางที่กอดเขาอยู่คลายออกอย่างช้าๆ และก้าวถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง เชอร์เบลน้ำตานองหน้า มองตามร่างสูงที่ขยับเท้าออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มที่เขารักหมดหัวใจจะสลัดเขาทิ้งได้อย่างง่ายดายแบบนี้

“เชอร์เบล เรื่องระหว่างเราสองคนให้มันสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้เถอะนะ”

“อะไรกัน”

“สิ่งที่ฉันเคยขอให้นายช่วยจับตามองเบลมอธ กันผู้ชายทุกคนออกจากเบลมอธ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วนายจะทำมันสำเร็จหรือไม่ก็ตาม และผลตอบแทนคือความรักที่ฉันจะมอบให้นายนั้น ในวันนี้มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้วล่ะ เพราะหัวใจของฉันทั้งสี่ห้องมอบให้เบลมอธไปหมดแล้ว”

เชอร์เบลหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด หัวใจเขาเหมือนถูกโยนลงเหวลึกไปแล้วเจอกับมีดนับพันเล่มปักอยู่ มันเจ็บจนทนไม่ไหว แค่จะยืนอยู่เขายังต้องจิกเล็บเข้าไปในฝ่ามือจนเกรงว่ามันอาจจะทำให้เลือดออกได้

สุดท้ายแล้วสิ่งที่เขาทำทั้งหมดก็ซื้อใจผู้ชายตรงหน้านี่ไม่ได้จริงๆ สินะ

“ฉันอยากให้เราสองคนจบกันด้วยดี”

“แต่ฉันไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้วนะซิน”

“…”

“นายจะใจร้ายทิ้งฉันไปจริงๆ เหรอ”

“…”

“ได้โปรดเถอะ”

“กลับไปซะ”

“…!!!”

“ฉันทำเพื่อนายได้ดีที่สุดแค่นี้”

ปัง!

ซินปิดประตูกระแทกหน้าใส่เชอร์เบล ร่างบางด้านหน้าหันหลังให้ประตูบานนั้นทันที สองเท้าพาเขาเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ จนถึงชั้นดาดฟ้า โดยที่น้ำตายังไม่หยุดไหลจากดวงตา เขาหยุดยืนอยู่ที่ปลายขอบของอาคารที่คนหลายคนยอมที่จะสละชีวิตตนเองเพราะเสียใจจากความรัก แต่ที่แน่ๆ หนึ่งในนั้นไม่ใช่เขาก็แล้วกัน

แววตาของร่างบางทอประกายน่ากลัวขึ้นวูบหนึ่ง กระเป๋าหนังข้างตัวถูกเปิดออก เขาหยิบรูปถ่ายจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มันคือรูปที่เขาได้จากการส่งคนไปติดตามชีวิตซินและแอบถ่ายรูปทั้งหมดนี้มา

รูปที่ซินกำลังมีความสุขกับเบลมอธ!!

พั่บ!

เขาปารูปเหล่านั้นลงตึกไปด้วยความโกรธเท่าที่ในใจจะมี รูปภาพเหล่านั้นหล่นลงจากตึกช้าๆ ราวกับนกพิราบกำลังจะได้รับอิสรภาพ มันตกลงไปในแม่น้ำหลังคอนโดแห่งนี้ และลอยไปลอยมาราวกับนักโทษที่รอการตัดสินคดี

บางทีชีวิตก็เลือกอะไรไม่ได้เยอะอย่างที่คิด…





“ผมว่าห้องคุณมันไม่รกสมกับเด็กมหาลัยทั่วไปเลยนะ”

“แหม ผมทนไม่ได้อ่ะถ้าจะเห็นมันรกอยู่ทุกวัน อยู่ว่างๆ เสาร์อาทิตย์ก็เลยจัดมันให้เข้าที่ซะ”

อันเดรสกับเวกัสช่วยกันยกของที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ตไปวางไว้ที่เทอเรสในครัว พวกเขาสองคนนัดเจอกันเป็นครั้งแรกหลังจากกลับมาที่ประเทศไทย จากเพื่อนคนหนึ่งที่เจอกันที่อิตาลี กลับมาประเทศไทยอันเดรสก็ดันบังเอิญทำงานให้มหาลัยแห่งหนึ่งแถวกรุงเทพด้วย พอรู้เข้าทั้งสองคนก็หาเวลาเจอกันแล้วก็ได้วันว่างๆ ที่อากาศอบอ้าววันนี้นี่เอง ทั้งคู่ตกลงว่าจะทำขนมเค้กกินกัน เนื่องจากทำอาหารกันไม่เป็นเลยซื้อจากด้านนอกมากินแทน แต่เวกัสที่พอจะอบเค้กเป็นบ้างเสนอที่จะทำเพื่อเป็นของว่างหลังกินเสร็จ

ตั้งแต่รู้จักกับอันเดรสมา เวกัสดูเปลี่ยนไปคนละคนราวกับกำลังมีความรักอยู่ แต่ถ้านี่เป็นผลข้างเคียงมาจากความรักนี่ก็น่าเป็นห่วงมากเลยทีเดียว

เพราะเวกัสรู้แค่ว่าผู้ชายคนนี้ชื่ออันเดรสเท่านั้น ที่เหลือเขาไม่รู้อะไรเลย

“เวกัส เดี๋ยวผมช่วยจัดพวกอาหารไปว่างไว้ที่โต๊ะรับแขกนะ เดี๋ยวกลับมาช่วยจัดการเรื่องส่วนผสม”

“โอเคครับ ขอบคุณมาก”

อันเดรสผละไปจัดการกับถุงอาหารที่ซื้อมาก่อนจะจัดใส่ถ้วยชามและยกไปวางไว้ที่โต๊ะรับแขก ส่วนเวกัสก็เริ่มแกะส่วนผสมในการอบเค้กออกมาเพื่อเตรียมตัว แต่ทันใดนั้นเอง…

ปัก!!

“โอ๊ย!”

เวกัสที่มัวแต่จัดการกับของในมือไม่ทันระวังตัว เขาเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะหยิบช้อน แต่กลับเจอปลายมีดแหลมจ่อมาทางหน้าผากเขาซึ่งมันถูกเสียบจากตู้เก็บของด้านบน

ผลจากการถูกมีดปักจังๆ กลางหน้าผาก แม้จะไม่ได้รุนแรงอะไรมากแต่ก็ทำให้เวกัสล้มทั้งยืนไปกุมหัวตัวเองซึ่งมีเลือดไหลอยู่ด้านล่างเทอเรซ

เขาหลับตาลงอยากหาทางออกไม่ได้ ทันใดนั้นจิตเขาราวกับถูกอำนาจลึกลับดึงไปที่ไหนสักที่ ไกล… จนลืมปัจจุบันที่เป็นอยู่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

..



เวกัสกำลังวิ่ง วิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะวิ่งไปไหน สองข้างมืดมิดหาแสงสว่างไม่เจอ ซึ่งปลุกความกลัวในใจลึกๆ ของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น หลายคนคงเคยสัมผัสกับสถาณการณ์ทำนองนี้ เวลาที่เราอยู่ในความมืดเราไม่รู้เลยจริงๆ ว่าภายในความมืดนั้นมีอะไรกำลังเคลื่อนไหวอยู่…

แสงสว่างปลายทางข้างหน้าทำให้จิตใจเขารู้สึกดีขึ้น

อย่างน้อยก็เจอทางออกแล้ว

เขาเร่งฝีเท้าไวขึ้นเรื่อยๆ จนตัวเองแทบจะไม่รู้สึกเหนื่อย แต่พอวิ่งออกมาสุดปลายทางแล้ว เขากลับตกใจกว่าเดิมเพราะเขาออกมาเจอกับเหวลึกที่ด้านล่างมีแต่ความมืดรออยู่

กลิ่นเหม็นสาบของอะไรบางอย่างที่ลอยจากพื้นเหวลอยขึ้นมาทำให้เขารู้สึกเวียนหัวจนอยากจะอาเจียนออกมา สองเท้าถอยหลังกลับไปเพื่อจะตั้งหลักและหาทางแก้ไขสถาณการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้

เขายอมรับว่าตอนนี้เขารู้สึกกลัวเหลือเกิน…มันให้ความรู้สึกกลัวเหมือนตอนที่จะไม่ได้เจอใครอีกแล้วหลังจากนี้…

ไม่แน่ใจว่านี่เป็นฝันหรือเปล่า ถ้าใช่ ใครก็ได้รีบปลุกเขาตื่นทีเถอะ

พลั่ก!

ระหว่างที่เขากำลังคิดอะไรอยู่กับตัวเองนั้น ฝ่ามือปริศนาจากใครสักคนก็ผลักเขาจากจุดที่ยืนอยู่ให้ล้มตกลงไปในเหวที่แสนน่ากลัวนั้น เขาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ใบหน้าของพ่อแม่ เพื่อนๆ ที่เขารักทุกคนปรากฏขึ้นมาในมโนสำนึก แต่ใบหน้าสุดท้ายก่อนที่ความมืดกำลังจะกลืนกินเขาลงไปกลับเป็น…

…อันเดรส



..

“…กัส…เวกัส”

ชื่อเขาเหมือนถูกใครสักคนเรียกมาจากที่ไกลๆ เปลือกตาค่อยๆ ลืมขึ้นและกระพริบปรับความรู้สึกที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ พอลืมตาได้เต็มตาถึงเห็นว่าอันเดรสกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ ร่างบางผลุดลุกขึ้นนั่งและมองไปรอบตัวปรากฏว่านี่คือห้องรับแขก ที่บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่ เขาหันซ้ายหันขวาหาเหวแห่งความมืดนั่งก็ไม่เจอ

ฝันไปสินะ…

…ก็ดี…เขาไม่ได้อยากให้มันเป็นจริงหรอก

“ผมเห็นคุณเป็นลมล้มลงไปตรงเทอเรซก็ตกใจรีบอุ้มพามาตรงนี้”

“…!!!”

ประโยคนั้นจากอันเดรสทำให้เขารีบเอามือสัมผัสหน้าผากทันที แต่มันไม่มี!!

แผลที่เกิดจากมีดกวาดส่ มันหายไปแล้ว เป็นไปได้ยังไงกัน ใจเขาหวนกลับไปคิดถึงคำทำนายของหมอดูคนนั้นแล้วก็ต้องขนลุกชันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ทำไมกัน…

หรือว่าคำทำนายนั้นกำลังจะเป็นจริง ?

ถ้าจะเป็นจริงขึ้นมาแสดงว่าชีวิตเขากำลังจะเปลี่ยนไปสินะ เวกัสเงยหน้ามองอันเดรสที่สบตาเขาอยู่อย่างเป็นห่วงแล้วความกังวลก็ผุดขึ้นมาในใจ

คำทำนายที่ว่านั่นมันจะเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ที่เขากำลังเริ่มรู้สึกดีๆ ด้วยนี่ไหมนะ แล้วฝันประหลาดกับเหตุการณ์เหลือเชื่อ มันจะเกี่ยวข้องกันไหมนะ…



ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 15
Before that day


บีทีนนั่งเท้าแขนบนโต๊ะไม้หินอ่อน หัวเอียงไปซบไหล่แร็กตาร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาเหม่อมองไปข้างหน้าในสนามฟุตบอลที่ตอนนี้ชมรมฟุตบอลกำลังซ้อมบอลกันอยู่ แร็กตาร์เห็นแบบนั้นจึงเอื้อมมือมาดีดหน้าผากบีทีนแรงๆ ทีหนึ่ง

“โอ๊ย ฉันเจ็บนะ นายทำบ้าอะไรของนายเนี่ย”

“หึ เจ็บก็ดี จะได้หลาบจำซะบ้าง แฟนตัวเองนั่งหล่ออยู่ตรงนี้แท้ๆ ยังกล้ามองผู้ชายแก้เสื้อเล่นบอลอีก”

“พูดจาได้หลงตัวเองมากเลย ใครแฟนนายไม่ทราบ ไม่เคยบอกเลยว่าแฟนนาย แบร่ๆ”

ที่บีทีนพูดก็ถูกนะเขาสองคนไม่เคยคุยกันถึงความสัมพันธ์ในลักษณะนี้เลย ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นที่ทะเลที่ได้ปรับความเข้าใจกัน ความรู้สึก็ลึกซึ้งเข้าหากันเองโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ มาผูกมัด เพราะแค่ทุกวันนี้บีทีนก็แทบจะสำลักความสุขอยู่แล้วกับสิ่งที่แร็กตาร์มอบให้

“กล้าพูดประโยคนี้ออกมานะนายน่ะ”

“แล้วใครจะทำไม”

“ทีเมื่อคืนยังร้องบอกอยู่เลยว่าเอาอีกๆ”

แปร๊ด!

บีทีนหน้าแดงขึ้นทันทีกับประโยคสุดพิสดารชวนคิดลึกที่คนตรงหน้าเอ่ยกับเขานั่นเอง

…ฮึ่ย…ทำไมต้องเอามาแซวด้วยเนี่ย

“นี่นายอย่ามาคิดไปเอง ละเมอหรือเปล่า ฉันไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นสักหน่อย”

“ฮึ”

เสียงหัวเราเบาๆ ในลำคอของร่างสูงทำให้บีทีนรู้สึกอยากวิ่งหนีไปจากตรงนี้ชะมัด เขาไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นสักหน่อย หรือว่าพูดก็ไม่รู้แหละ แต่พอเห็นรอยยิ้มจากคนตรงหน้าแล้วหงุดหงิดชะมัด

“เย็นนี้อยากไปกินไอศกรีมไหม อากาศร้อนๆ ถ้าได้ทานอะไรหวานๆ เย็นๆ น่าจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น” แร็กตาร์เอ่ยถามบีทีนเมื่อเห็นว่าคนข้างกายเขางอนจนแก้มป่องไปแล้ว และพอได้ยินถึงเรื่องของกินแก้มพองๆ นั้นก็หุบลงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใสแบบที่เด็กคนหนึ่งจะมีได้ แร็กตาร์มองแล้วอดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างมีความสุขไม่ได้

“ไปสิไป อยากกินช็อกโกแลตซันเดย์มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วอ่ะ”

“แหม พอพูดถึงของกินแล้วตาเป็นประกายเชียวนะ”

“แน่นอนสิ เพราะรู้ไงล่ะว่ายังไงคนจ่ายก็คือนาย”

“เฮ้อ เอาอีกแล้วเรา เปลืองเงินโดยใช่เหตุ” แร็กตาร์แกล้งบ่น บีทีนยิ้มแล้วรีบเอาหน้าซุกวงแขนร่างสูง เอาหัวถูไถเหมือนลูกแมวกำลังอ้อน แร็กตาร์อดที่จะเอามือมาลูบหัวบีทีนเบาๆ ด้วยความรักไม่ได้ ทั้งสองคนง้องแง้งกันไปมาสักพัก บีทีนก็ดีดนิ้วตัวเองดังเป๊าะราวกับนึกอะไรออก แร็กตาร์หันไปมองด้วยสายตามีคำถาม

“นี่ ฉันเพิ่งอะไรออกแหละ”

“มีอะไรเหรอ”

“ก็เมื่อวานเชอร์เบลโทรมาชวนไปงานวันเกิดน่ะสิ แต่จัดแบบอลังการมากเลยนะ สามวันสองคืน มีเรือยอร์ชส่วนตัวไว้ล่องเรือดินเนอร์ตอนคืนที่สองด้วย งานจัดที่คฤหาสน์ส่วนตัวที่ชานเมืองน่ะ ด้านหลังมีทะเลสาบให้พายเรือเล่นแล้ว และทางที่เชื่อมกับหอคอยด้านหลังยังติดกับทะเลด้วยแหละ น่าไปมากเลย”

“พูดมาซะเยอะขนาดนี้ บังคับให้ฉันไปด้วยก็บอกมาเถอะ”

“อะไรเล่า แล้วนายจะปฏิเสธหรือไง”

“แน่นอนว่าไม่”

จุ๊บ!

พอสิ้นประโยคนั้นของแร็กตาร์ บีทีนก็เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มร่างสูงทันที ก่อนจะวิ่งหนีออกไป แร็กตาร์ลูบแก้มตัวเองด้วยความอึ้งเพราะปกติบีทีนเป็นคนที่เขินต่อการแสดงออกในแนวนี้มาก พอรู้สึกตัวเขาก็วิ่งตามร่างบางที่วิ่งออกไปอีกทางหนึ่งทันที

เจ้าตัวเล็กนี้จะทำให้เขารักไปถึงไหนกันนะ!!




ห้องเรียนรวมวิชาจิตวิทยา

เวกัสเขียนชื่อตัวเองใส่เป็นคนสุดท้ายก่อนจะพลิกหน้าหลังของรายงานที่ช่วยกันทำเมื่อครู่ เมื่อสังเกตจนพอใจแล้วว่ไม่มีอะไรตกหล่นผิดพลาดจึงเดินเอางานออกไปส่ง ขณะที่เขากำลังลุกขึ้นจะเอางานไปส่ง บีทีนก็สะกิดเรียกเอาไว้ก่อน เขาหันไปถามด้วยสายตางงๆ

“มีอะไรหรือเปล่าบีน”

“ตกลงกัสจะไปงานวันเกิดเชอร์เบลไหมสุดสัปดาห์นี้”

บีทีนพูดพร้อมกับทำนิ้วโป้งชี้ไปทางด้านหลังที่เชอร์เบลกำลังคุยกับเบลมอธ และข้างๆ เขาแร็กตาร์กำลังฟุบโต๊ะหลับอยู่ เวกัสทำหน้านึก คือยังไงก็ต้องไปอยู่แล้ว แต่ไม่อยากไปคนเดียวน่ะสิ อยากไปกับใครอีกคน พอคิดได้ดังนั้นจึงก้มหน้ากระซิบถามกับบีทีนทันที

“เออนี่ บีน”

“อะไรๆ”

“ถ้าฉันจะพาคนนอกไปด้วยน่ะ จะเป็นอะไรไหม”

“อ๋อ”

บีทีนมองเวกัสด้วยสายตาล้อเลียนทันที คนถูกมองร้อนตัวเสตาหลบไปทางอื่น ก่อนจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อย่างช่วยไม่ได้

“คะ คือ จะ จริงๆ แล้วไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นว่าคนเยอะในงานน่าจะสนุกกว่าไง อีกอย่างจัดงานเหมือนจัดค่ายเลยน่าสนุกจะตาย”

“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ชวนไปก็ดีนี่ เชอร์เบลไม่ว่าอะไรหรอก”

“โอเคๆ งั้นฉันเอารายงานไปส่งก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกันนะ”

“โอเคจ้า”

เวกัสถือรายงานเย็บมุมที่เขียนด้วยลายมือพวกเขาไปส่งที่โต๊ะอาจารย์ประจำวิชา อาจารย์รับงานไปก่อนจะถามรายชื่อและรหัสประจำตัวนักศึกษาเพื่อเป็นการเช็กชื่อไปในตัว พอบอกเสร็จเขาจึงเดินกลับไปรวมกลุ่มกับพวกบีทีนเหมือนเดิม

“เอ…”

อาจารย์ประจำวิชาคนนั้นพึมพำคนเดียว

“คนไหนคือเชอร์เบลเนี่ย เขียนชื่อเล่นกำกับไว้ แต่พอดูในระบบตามรหัสนักศึกษาแล้วไม่มีข้อมูลของคนๆ นี้”



ซีเครทถอนหายใจออกมาอย่างเหงาๆ วันนี้น้องชายตัวดีของเขาขอไปกินไอศกรีมหน้ามหาวิทยาลัยกับแร็กตาร์ ทำให้เขาต้องขับรถกลับบ้านคนเดียว สภาพมหาวิทยาลัยตอนหลังเลิกเรียนนี่เงียบเหงา บีบหัวใจเหลือเกิน ทำให้หวนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่ รวมถึงเหตุการณ์ที่มีเบลมอธด้วย

เขาส่ายหัวไปมาเพื่อไล่ภาพของคนนั้นไป และคิดว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี และเปิดประตูรถเข้าไปสตาร์ทออกไป ในใจหวนคิดไปถึงงานวันเกิดของเชอร์เบลที่ชวนเขาด้วยในวันศุกร์นี้ ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่าปาร์ตี้ในครั้งนี้มันจะไม่เรียบง่ายยังไงก็ไม่รู้สิ เขาได้แต่กลิ่นของความเศร้าแฝงอยู่ในนั้น

หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ…

เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ตรงคอนโซลรถเรียกสติเขาให้เอื้อมไปหยิบมันมาดูหน้าจอว่าใครโทรมา

-VEGUS-

เขากดรับแล้วกรอกเสียงลงไป “ว่าไงกัส มีอะไรหรือเปล่า”

[พี่ซีทครับ ขอความช่วยเหลือหน่อยสิครับ]

“หืม มีอะไรเหรอ” ซีเครทหักเลี้ยวรถออกนอกประตูมหาลัยแล้วจอดพักตรงข้างฟุตบาธสักครูเพื่อคุยโทรศัพท์

[ผมขนหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดกลับบ้านน่ะครับ แล้วมันเยอะมากเลย พี่พอจะไปส่งผมที่บ้านได้ไหมครับ]

“ได้สิ แล้วเราอยู่ไหนล่ะ”

[ผมอยู่หน้ามหาลัยครับ พี่อยู่ตรงไหนครับ]

“โอเค พี่ก็อยู่หน้ามหาลัย เดี๋ยวขับรถไปหานะ”

ซีเครทขับรถตรงไปอีกนิดก็เจอกับเวกัสที่หอบหนังสือพะรุงพะรังอยู่ เขาจอดรถกดปลดล็อกรถและช่วยเวกัสขนหนังสือมาวางบนรถ

“เฮ้อ เสร็จสักที ขอบคุณมากเลยนะครับพี่ซีท”

เวกัสเอ่ยขึ้นหลังจากขึ้นมาคาดเข็มขัดนิรภัยนั่งเรียบร้อยแล้ว ซีเครทหันไปคุยกับคนข้างๆ ขณะที่ออกรถไปด้วย

“แล้วทำไมยืมหนังสือจากห้องสมุดมาเยอะขนาดนี้ล่ะ”

“ฮ่าๆ พี่คงไม่ได้สังเกตสินะครับ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือนิยายหมดเลย”

“อ้าวเหรอ ไม่ทันสังเกตเลย”

“กะว่าจะอ่านตอนว่างๆ น่ะครับ เออนี่ พี่ซีทรู้ป่ะ มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นด้วยครับ”

“…?” ซีเครทส่งสายตาเป็นคำถามไปแทนการเอื้อนเอ่ย เพราะเขาต้องใช้สมาธิกับการขับรถ

“อาจารย์ปวีณาที่สอนวิชาจิตวิทยาเรียกผมเข้าไปคุยเรื่องข้อมูลในระบบของเชอร์เบลไม่มี พอผมเข้าไปเช็กดูก็ไม่มีจริงๆ ด้วยครับ เดี๋ยวคงต้องถามเจ้าตัวแล้วล่ะ ว่ามีอะไรผิดพลาดไหม”

ซีเครททำหน้างงกับสิ่งที่เพิ่งได้รับ ประหลาดจัง ปกติแล้วระบบข้อมูลในมหาลัยไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น เพราะข้อมูลนักศึกษาหายไปทั้งคนมันเรื่องใหญ่มากเลยนะนั่น อย่างที่เวกัสบอกคงต้องรอถามเจ้าตัวเอาแล้วล่ะ คิดได้ดังนั้นจึงขับรถต่อไป

เวกัสหยิบไอโฟนออกมาแล้วเข้าเมนูส่งข้อความ เขาเลือกเบอร์ของอันเดรสแล้วพิมพ์ข้อความบางอย่างลงไปอย่างรวดเร็วก่อนกดส่งออกไป ก่อนจะเคาะไอโฟนกับอกตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มมุมปาก

…ขอให้เขาว่างมาทีเถอะ

รอไม่นานประมาณห้านาทีก่อนจะถึงบ้านเวกัส เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น เวกัสหยิบมาเปิดดูก่อนจะยิ้มอย่างดีใจ...

‘Yes. I am. I will met you at front of school in last day 10.30 p.m.’


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2014 21:59:42 โดย Homepage »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 16
Day 1

คฤหาสน์ของเชอร์เบลงดงามมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นสถาปัตยกรรมจากประเทศไหนหรือยังไง รู้แค่สร้างมาจากอิฐสีน้ำตาลเกือบแดงหลังใหญ่โดดเดี่ยวท่ามกลางขุนเขา ไม่มีฝั่งซ้ายขวาเหมือนในละคร ด้านซ้ายเป็นทะเลสาบที่มีดอกบัววิกตอเรียปลูกเอาไว้ ตรงฝั่งมีเรือพร้อมไม้พายอันหนึ่งวางอยู่ ดูจากความเก่าแล้วคาดว่าที่นี่ไม่ค่อยมีคนใช้มาสักพักแล้วแหละ น่าแปลกจัง… ด้านขวาเป็นป่ารกชัฏที่พอเดินเข้าไปแล้วจะมีหอคอยเก่าๆ อันหนึ่งที่มองแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังยืนในหนังแฟนตาซีสักเรื่องที่มีแม่มดอยู่บนหอคอย คล้ายเรื่องราพันเซลเลยทีเดียว ด้านหลังหอคอยเก่าคร่ำครึนั้นคือทะเลที่เชื่อมต่อมาจากทะเลใหญ่จากอีกฝั่งของเมือง นับว่าครอบครัวของเชอร์เบลเลือกที่สร้างได้ดีมาก เพราะดูเป็นส่วนตัว เข้าใกล้ธรรมชาติ และลึกลับเหมือนคฤหาสน์แวมไพรน์ไปในคราวเดียวกัน

ทุกคนช่วยกันขนกระเป๋าใบเล็กที่พกของใช้ส่วนตัวกับเสื้อผ้าไปวางไว้ในห้องนอนใหญ่ซึ่งมีเตียงถึงสิบเตียงเลยทีเดียว เบลมอธมองภาพรอบด้านด้วยความรู้สึกเป็นสุข เขาชอบบรรยากาศในลักษณะนี้ที่ทุกคนอยู่ด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน กอดคอกัน มันเป็นภาพทรงจำที่งดงามมาก แม้ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ได้นานแค่ไหนก็ตามที

“เบลมอธ” ซินสะกิดแขนเบลมอธเบาๆ ร่างบางพยักหน้ารับเป็นเชิงถาม “ออกไปเดินเล่นกันเถอะ”

“ป่ะ ไปสิ”

ซินกับเบลมอธจับมือกันเดินออกจากห้องไปโดยมีสายตาเจ็บปวดขงซีเครทมองตามไปไม่ห่าง บีทีนผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ สองคนนั้นที่เดินออกไปจูงมือคุยกันไปเรื่อยๆ จนสุดทางเดินและเจอกับหน้าต่างบานหนึ่งที่ใหญ่พอๆ กับประตู เบลมอธสังเกตว่าสองข้างทางที่ผ่านมาผนังประดับด้วยภาพวาดเหมือนจริงของนักคิดสมัยโบราณหลายคน แววตาที่เหมือนจริงนั่นทำเอาเขาขนลุกทุกครั้งที่เดินผ่านรูปแต่ละรูป

เบลมอธเกาะขอบหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอกเจอกับทะเลสาบที่ปลูกดอกบัววิกเตอเรียพอดี ซินยืนผิงผนังตรงนั้นมองคนรักมองทิวทัศน์อย่างมีความสุข

“ดีเนอะ มีคฤหาสน์เป็นของตัวเองแบบนี้” เบลมอธเริ่มชวนคุย

“อยากมีเป็นของตัวเองบ้างไหมล่ะ”

“นายจะสร้างให้หรือไง”

“ได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา”

“บ้าเหรอ ฮ่าๆ”

เบลมอธหันมาหัวเราะใส่ซินพร้อมกับที่วัตถุบางอย่างส่องสว่างตรงหน้าเขา ของที่ซินถืออยู่ในมือคือแหวนทองคำขาวหนึ่งวง เบลมอธมองมันด้วยแววตาที่ไม่เข้าใจ แต่ก็หัวใจเต้นตูมตามเมื่อเริ่มจะเข้าใจเจตนาของคนตรงหน้า

“หมายความว่ายังไงเหรอ”

“หมายความว่า ฉันอยากอยู่กับนายไปตลอดชีวิตไง”

จบคำนั้นเบลมอธก็น้ำตาร่วงทันที ประโยคที่เหมือนจะขอแต่งงานกลายๆ นั่นทำเอาใจเขาร้อนรุ่มเต็มไปหมด ยิ่งมันออกมาจากปากผู้ชายที่เขาเต็มหัวใจ เขารู้สึกราวกับตัวเองล่องลอยไปไกลแสนไกล ความสุขวิ่งวนรอบตัว กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกไม้ที่ใส่ในแจกันที่วางเรียงรายรอบด้านราวกับจะเบ่งบานออกเพื่อแสดงความยินดีกับความสุขที่เขากำลังจะได้รับ

ซินจับมือร่างบางขึ้นมาสวมแหวนวงนั้นลงไป เบลมอธกระโดดเข้ากอดซินเต็มตัว จูบที่แสนหวานเกิดขึ้นในวินาทีผ่านมา มันทั้งหวานและเร่าร้อนไปในเวลาเดียวกัน มือของซินลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของเบลมอธ ร่างบางบิดไปมาด้วยความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นในช่องท้อง

ทันใดนั้นมือของเบลมอธที่วุ่นวายกับด้านหลังของซินก็เผลอผลักเข้าไปที่ผนังด้านหลังและส่งผลให้กลไกบางอย่างทำงานขึ้นมา สิ่งที่น่าตกใจคือผนังนั้นเคลื่อนตัวออกจากกันทำให้ซินเสียหลักเซถอยหลังเข้าไปในช่องลับนั้นพร้อมกับเบลมอธ พอส่งทั้งคู่เข้าไปแล้วกลไกนั้นก็ทำงานอีกครั้ง มันปิดตัวลงเองโดยที่ไม่มีใครเห็นเลยว่ามีคนสองคนหล่นเข้าไปในทางลับนั้นเสียแล้ว!!
สองคนที่เผลอเข้าไปในทางลับของคฤหาสน์กระพริบตามองหน้ากันในความมืดอย่างงงๆ พวกเขามองไปรอบด้านความรู้สึกแรกของเบลมอธคือหวาดกลัว แต่สำหรับซินแล้วนี่มันคือความท้าทายที่เขาชื่นชอบน่ะสิ

“ที่นี่มันที่ไหนกัน”

“ไม่น่าเชื่อว่าคฤหาสน์ของเชอร์เบลจะมีทางลับแบบนี้ด้วย”

“นี่เท่ากับว่าพวกเราหลงกันอยู่ในนี้แล้วสินะ แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ”

“มีฉันอยู่ด้วยแล้วจะกลัวอะไร” ซินเอ็ดเบลมอธเสียงเบาเมื่อคนตรงหน้าเขาท่าจะกลัวจนเกินเหตุ เบลมอธที่เพิ่งจะรู้ตัวเขาหันไปมองหน้าคนข้างๆ ด้วยแววตาฉงนก่อนจะเริ่มเปลี่ยนเป็นท้าทาย “เอาสิ ถ้านายพาฉันออกไปจากที่นี่ได้เร็วแค่ไหนฉันจะจูบย้ำที่ปากนายบ่อยแค่นั้น ตกลงไหม”

ซินตาวาวกับข้อเสนอนั้น “พูดแล้วอย่าคืนคำล่ะ”

และแล้วการผจญภัยของทั้งสองคนในทางลับแห่งนั้นก็ได้เริ่มต้นขึ้น…

ตลอดทางที่เดินไปตามทางมืดๆ นั้นทั้งคู่กุมมือกันไปตลอดทาง มือซ้ายของซินใช้ไฟฉายจากมือถือส่องทางไปข้างหน้า พวกเขาเดินจนมาหยุดอยู่ระหว่างทางแยกสองทาง ซินหันมาถามเบลมอธเป็นเชิงขอความคิดเห็นว่าต้องการแบบไหน ร่างบางยิ้มก่อนจะกระตุกแขนซินลากไปทางขวาทันที คนที่ถูกลากไปหัวเราะในลำคอเบาๆ นี่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างที่เขาชอบจากเบลมอธ มันคือการตัดสินใจง่ายๆ ไม่คิดอะไรมาก เพราะยังไงถ้าเดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆ ยังไงก็ไม่มีวันหวาดกลัวความมืดอยู่แล้ว

“เอ๊ะ นี่มันอะไรกันอ่ะ”

“ไหน?”

ซินรีบส่องไฟฉายไปทางที่มือเบลมอธสัมผัสฝาผนังอยู่ พอส่องไปเจอลูกบิดประตูบานหนึ่ง พวกเขามองหน้ากันก่อนที่เบลมอธจะเป็นฝ่ายบิดลูกบิดประตูออกไป สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือทางเดินในห้องโถงก่อนไปสุดยังหน้าต่างที่เบลมอธยืนดูวิวก่อนหน้านี้ ทั้งคู่เดินออกจากประตูนั้นมา และมองหน้ากันเงียบๆ

เบลมอธกระตุกยิ้มที่มุมปาก และใช้นิ้วชี้ลากผ่านตั้งแต่สันจมูกลงมาที่ริมฝีปากของซินเบาๆ

“สงสัยนายคงไม่ได้รางวัลแล้วล่ะ”

ซินเบิกตากว้างกับสิ่งที่คนตรงหน้าพูดออกมา เขาแพ้อย่างราบคาบเลย! เขาไม่ได้เป็นคนพาเบลมอธออกมาได้ แต่เบลมอธเองที่หาทางออกมาจากทางลับนั่นได้

เจ็บใจชะมัด!!




“อันเดรส มันจะไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอครับ ที่เราแอบเข้ามาในป่าแบบนี้น่ะ”

“คนรู้มีอยู่สองคน ผมกับคุณ ถ้าคุณไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกครับ”

อันเดรสจูงมือเวกัสเดินเข้าป่ามาเรื่อยๆ โดยที่ร่างบางไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ ถูกลากมือมาแบบนี้เป็นใครก็ต้องยอมแหละน่า!

“แต่มันอันตรายนะครับ ในป่านี่จะมีอะไรอยู่บ้างก็ไม่รู้”

“ผมว่าไม่มีอะไรหรอก คุณดูสิสวยมากเลย แสงแดดส่องเข้ามาถึงด้วย เสียงนกน้อยร้องเต็มไปหมด”

เวกัสมองไปรอบทางด้วยแววตาตื่นเต้น ต้นไม้สีเขียวหลากหลายแข่งกันแบ่งความสดชื่นให้แก่ผู้พบเห็น ทั้งสองเดินเคียงคู่ไปด้วยกันเรื่อยๆ จนถึงระยะหนึ่ง อันเดรสกระตุกมือเวกัสให้หยุดตาม ร่างบางหันตามไปมองเห็นว่าอันเดรสก้มตัวลงไปที่พุ่มไม้พุ่มหนึ่งด้านล่าง มันมีลักษณะคล้ายต้นเข็มเพียงแต่ใบของมันเป็นรูปหัวใจและมีสีเขียวทั้งต้น อันเดรสเด็ดใบไม้เหล่านั้นขึ้นมาหนึ่งใบ ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่อยู่ด้านข้างและยื่นใบไม้ใบนั้นออกไปตรงหน้าราวกับรอคอยให้ร่างบางยอมรับหัวใจที่อยู่ในมือเขา
อาจจะเป็นเพราะแววตาที่จริงจังที่ถูกส่งมาให้ หัวใจดวงน้อยของเวกัสเต้นถี่รัวราวกับมีคนตีกลองอยู่ข้างใน ความรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อหลายตัวบินวนในท้องเกิดขึ้น มือบางยื่นออกไปรับใบไม้ใบนั้นราวกับคนที่ไม่ใช่ตัวของตัวเอง

“ไม่รู้ว่ามันจะเร็วไปไหมสำหรับเรื่องของเราสองคน”

“…”

“แต่ผมอยากบอกว่าผมก็รู้สึกดีกับคุณมากเช่นกัน”

“…”

“เพราะฉะนั้นอยากให้เราลองมาเริ่มต้นใหม่ในความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป ในฐานะอย่างอื่น…ที่ไม่ใช่แค่เพื่อน”

“อันเดรส…”

“ครับ”

“จริงๆ แล้ว…ผมเองก็รู้สึกดีกับคุณมากนะ”

สวบ…สาบ…

เสียงเหมือนคนกำลังเดินตามหลังมาทำให้หัวใจอันเดรสเต้นผิดจังหวะไป คฤหาสน์ส่วนตัวที่มีแค่แม่บ้านกับคนงานแบบนี้ยังมีคนอื่นอยู่ในบริเวณนี้อีกหรือ เขาจะไม่แปลกใจเลยหากจังหวะการเดินคนของคนที่กำลังตามมามันเบาแต่เน้นหนักราวกับกำลังรอโจมตี

“ตามผมมา!”

“เอ๊ะ อะไร”

ไม่รอให้จบประโยค อันเดรสจูงมือเวกัสแล้วออกวิ่งทันที และเมื่อพวกเขาสองคนออกวิ่ง ฝีเท้าที่วิ่งตามมาด้านหลังก็เร่งจังหวะเร็วขึ้น ราวกับจะไล่ตาม หัวสมองเวกัสว่างเปล่า

นี่มันเรื่องอะไรกัน ?

สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนภาพไปตามจังหวะการวิ่ง ต้นไม้เริ่มเยอะและรกขึ้น กิ่งไม้ที่ยื่นออกมาเสียดสีผิวของเวกัสจนเลือดไหล แต่เขาไม่สามารถหยุดวิ่งได้ สัญชาตญาณบางอย่างบอกเขาว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีนักวิ่งตามพวกเขามา แต่จะด้วยสาเหตุอะไรนั้นเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

“อันเดรส แฮก ผมเหนื่อย”

“อดทนหน่อยนะครับ ตอนนี้เราถูกใครไม่รู้ไล่ตาม เราต้องไปวิ่งไปให้ไกลที่สุดก่อนเพื่อความปลอดภัยของเรา”

พลั่ก!

“โอ๊ย!”

เวกัสสะดุดขาตัวเองจนล้มลงไป อันเดรสหยุดวิ่งทันที

“เวกัส คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ข้อเท้าพลิกครับ เจ็บ…เจ็บมากเลย”

น้ำตาไหลลงมาทันทีที่จบประโยคนี้ อันเดรสตัดสินใจอุ้มเวกัสไว้ในอ้อมแขนแล้วพาหลบเข้าไปยังหลังต้นไม้ใหญ่ทันที แม้ว่าเสียงฝีเท้าวิ่งนั้นจะตามมาติดกันก็ตามที

เวกัสหลับตาและหายใจให้เบาที่สุดป้องกันคนร้ายจะได้ยิน อันเดรสคลายมือจากเขาและเดินออกไปไหนไม่รู้…

“เจ็บมากไหม ขายนายน่ะเวกัส”

เสียงนี้!

เวกัสเบิกตาโพลงแล้วมองคนข้างหน้าที่จ่อปืนยิงมาทางเขา เขาพยุงตัวเองลุกขึ้นพิงกับต้นไม้ มองเลยไปยังคนที่อยู่เบื้องหลังอีกคน

“เชอร์เบล มันหมายความว่ายังไงกัน”

“หึ นายนี่มันโง่นะเวกัส โดนหลอกขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีก”

“โดนหลอก หมายความว่ายังไง ?”

เวกัสมองไปที่อันเดรสด้วยสายตาเหลือเชื่อกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นนี้

“ผมขอโทษ”

คำขอโทษที่ออกมาจากปากอันเดรสเหมือนมีดที่กรีดลงกลางใจเขาช้าๆ ขอบตาร้อนผ่าวราวกับน้ำตากำลังจะไหลออกมา แล้วคำสารภาพความรู้สึกก่อนหน้านี้ล่ะ มันเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นเหรอ…

ทำไมเขาถึงโชคร้ายในเรื่องความรักกันจัง…

“อันเดรสเป็นพี่ชายของฉันเอง และฉันก็ขอร้องเขาให้เข้ามาในชีวิตแก และกำจัดพวกแกทีละคนลงไงล่ะ!”

“นายหมายความว่ายังไง”

เชอร์เบลแสยะยิ้ม แล้วควงกระบอกปืนในมือเล่น “ในเมื่อเบลมอธมันเอาซินไปจากชีวิตฉันแล้ว ฉันก็จะพรากคนสำคัญในชีวิตมันจากไปทุกคนเลยน่ะสิ เริ่มจากแกก่อนเลยเป็นคนแรก”

เวกัสใจหายวาบกับความจริงที่เพิ่งได้รับ แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ออกตัววิ่งหนีหรือทำอะไร

กริ๊ก…

เชอร์เบลเหนี่ยวไกปืน…

“ลาก่อนเวกัส”

ปัง!

ไม่ใช่ ลูกปืนไม่ได้ยิงโดนเขาหรอก เพราะมันถูกยิงขึ้นฟ้า

เชอร์เบลหันไปมองหน้าอันเดรสอย่างไม่อยากจะเชื่อ เมื่อวินาทีที่เขาลั่นไกยิง พี่ชายเขากลับพลิกมือเขาชูขึ้นฟ้า ทำให้ลูกกระสุนพุ่งไปบนฟ้าแทน

“ขอโทษนะเชอร์เบล”

ฟุบ!

อันเดรสอาศัยช่วงเวลาที่เชอร์เบลอึ้งวิ่งไปคว้าแขนเวกัสแล้วออกวิ่งอีกครั้ง เวกัสพยายามวิ่งตามให้เร็วที่สุดแม้จะเจ็บข้อเท้าขนาดไหนก็ตาม

“คุณทำแบบนี้ทำไม”

“เพราะผมรักคุณยังไงล่ะ”

แค่คำนี้คำเดียว ไม่ว่าคนตรงหน้าจะพาเขาไปที่ไหนเขาไม่กลัวอีกแล้ว แค่เพียงมีอันเดรสเคียงข้างก็พอแล้ว

ตึก!

พอวิ่งมาได้สักพักอันเดรสก็หยุดลง เวกัสตากว้างเมื่อพวกเขามาหยุดตรงหน้าผาพอดี ข้างล่างมันมืดราวกับจะพาเขาออกไปนอกจักรวาลได้

นี่มัน…เหมือนในความฝันไม่มีผิดเลย

เวกัสเงยหน้ามองผู้ชายข้างตัวเป็นคำถามว่าเราจะจัดการกับสถาณการณ์ตรงหน้านี้ยังไงดี

“คุณเชื่อใจผมไหม ?”

คำถามนั้นราวกับเป็นประโยคบอกเล่ามากกว่า ในเมื่ออันเดสรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

เวกัสหันไปมองด้านหลังที่เชอร์เบลกำลังวิ่งตามมา เขาพยักหน้าให้อันเดรสหนึ่งที

“ไปกัน!”

สองร่างกระโดดลงไปยังเหวลึกที่ด้านล่างมืดสนิทราวกับมีเพียงความตายรออยู่

เชอร์เบลที่วิ่งตามมาทีหลังถอนหายใจระบายความโกรธ…

…แต่ก็ดี…ไม่ต้องเสียเวลากำจัด…



ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 17
Heartlessness


“เดรส…อันเดรส…อันเดรส”

เสียงเหมือนมีคนเรียกชื่อเขามาจากที่ไกลๆ เปลือกตาหนาค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างยากลำบาก ใบหน้าของเวกัสปรากฏชัดขึ้น สีหน้ากังวลที่แสดงออกมาทำให้อันเดรสรู้สึกอบอุ่นใจที่รู้ว่าหัวใจของคนตรงหน้านั้นก็รู้สึกแบบเดียวกับที่เขารู้สึก

เขาขยับตัวไปมาช้าๆ เพื่อตรวจหาว่าตัวเองมีอะไรบาดเจ็บตรงไหนไหม ก่อนจะรู้สึกเจ็บตรงช่วงขาอย่างหนักจนขยับแทบจะไม่ได้ เวกัสเห็นดังนั้นจึงค่อยๆ ประคองเขาขึ้นนั่งในท่าที่เอาหลังพิงผนัง

“นี่พวกเราอยู่ที่ไหนกัน”

“อย่าเพิ่งถามอะไรเลย ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“เจ็บขาจัง…”

“ใช่ คุณขาแพลงน่ะครับ แต่ดีที่มีคนช่วยเราไว้ พาเรามาพักที่นี่”

ลักษณะคำพูดที่แปลกประหลาดของเวกัสทำให้อันเดรสขมวดคิ้วมุ่น เหวที่พวกเขาสองคนตกลงมา ที่เวิ้งว้างข้างล่างมันมืดมากราวกับไม่มีที่สิ้นสุด แต่ปาฏิหาริย์กลับเกิดขึ้นทำให้พวกเขารอดตายมาได้อย่างไม่น่าเชื่ออย่างนั้นหรือ

ขอบคุณสวรรค์…

เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้ทั้งสองคนหันหน้าไปมอง ปรากฏเป็นร่างของผู้หญิงผมยาวถึงกลางหลังสีน้ำตาลอ่อนคนหนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ชุดกระโปรงยาวสีขาวที่เธอใส่ช่วยเสริมบุคลิกเธอให้ดูราวกับนางฟ้า

“คุณเป็นยังไงบ้างคะ”

“เอ่อ คุณคือ ?” เวกัสเอ่ยถาม

“เรียกฉันว่า เอลิน เถอะค่ะ”

“คุณ เอลิน ผมชื่อเวกัสนะครับ ส่วนเพื่อนผมที่นอนป่วยชื่ออันเดรสนะครับ”

“ค่ะ”

“คุณเป็นคนช่วยพวกเราเอาไว้เหรอครับ”

“ใช่ค่ะ ฉันเอาผ้าไปซักที่ริมแม่น้ำ และเจอคุณสองคนนอนกันอยู่ตรงนั้นค่ะ”

“อย่างนั้นเหรอครับ”

นี่เป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย ภายใต้เหวลึกนั้นยังมีหมู่บ้านที่มีคนอาศัยอยู่แบบนี้อีกเหรอเนี่ย เมื่อเห็นท่าทีอึ้ง ปนสับสนของพวกเขาทั้งสองคนเอลินจึงพูดเล่าขึ้นมาอีก…

“ที่ที่พวกคุณกำลังอยู่ในขณะนี้เป็นหมู่บ้านใต้เหวลึก เป็นการรวมตัวกันของคนที่ต้องการจะหนีออกมาจากความจริงภายนอกที่แสนจะโหดร้าย พวกเราพึ่งพาอาศัยกัน ไม่มีเงิน ไม่มีทอง ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไร มีแต่น้ำใจ และธรรมชาติเป็นเพื่อน พวกคุณสองคนประหลาดมาก เป็นเรื่องที่น่าตกใจ เพราะไม่เคยมีใครสามารถมาในดินแดนแห่งนี้มาก่อนได้”

“คุณจะบอกว่าที่นี่ตัดขาดกับโลกภายนอกอย่างนั้นเหรอครับ” เวกัสเอ่ยถามแทนอันเดรสที่นั่งนิ่ง

“ใช่ค่ะ”

“ต้องขอบคุณคุณมากนะครับ เอลิน ถ้าไม่ได้คุณผมยังไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตรอดอยู่หรือเปล่า”

เอลินยิ้มด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราวกับระฆังแก้ว “ฉันจะไม่ถามว่าพวกคุณมาที่นี่ได้ยังไง แต่เพราะคุณคือเพื่อนมนุษย์เช่นเดียวกัน ฉันและคนในหมู่บ้านยินดีที่จะช่วยคุณ ดูแลคุณจนกว่าจะหาย เชิญพักผ่อนกันตามสบายนะคะ ถ้ามีปัญหาอะไรสามารถไปเรียกฉันได้ที่สวนหลังบ้าน ฉันจะนั่งทอผ้าอยู่ตรงนั้นค่ะ”

พอพูดจบประโยคเอลินก็เดินเปิดประตูออกไป อันเดรสเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าพวกเขาอยู่ในกระท่อมที่ทำด้วยไม้ไผ่หลังหนึ่ง
ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างตัดสินใจว่าจะทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ เวกัสตัดสินใจเอ่ยขึ้นมา

“สงสัยเราสองคนต้องพักอยู่ที่นี่จนกว่าอาการบาดเจ็บของคุณจะหาย หลังจากนั้นค่อยมาคิดว่าจะทำยังไงกันต่อดี”

อันเดรสเอื้อมมือไปกุมมือเล็กของเวกัสเอาไว้ ร่างบางก้มลงมองด้วยสายตาแสดงถึงคำถาม

“คุณโกรธผมไหม”

“…”

“สำหรับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น”

เวกัสยิ้มกับคำถามนั้น ใบหน้าที่หงอยลงของคนตรงหน้าทำให้เขาอดที่จะเอื้อมมืออีกข้างไปลูบเส้นผมเขาไม่ได้จริงๆ

“ถ้าผมโกรธ ผมคงไม่ตามคุณมาจนถึงตอนนี้หรอกครับ”

“คุณมีสิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ไว้”

“….”

“ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นแผนการของเชอร์เบล แต่เรื่องที่ผมรักคุณเป็นเรื่องจริงนะครับ”

“ผมเชื่อครับ” เวกัสเอ่ยเสียงเบาและหลบสายตาไปทางอื่น ใบหน้าหวานละมุนแดงระเรื่อขึ้นมากับคำบอกรักของคนตรงหน้า

“แล้วคุณล่ะรักผมบ้างหรือเปล่า”

น้ำเสียงออดอ้อนในแบบที่อันเดรสใช้ถามทำให้หัวใจของกัสเต้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิมเมื่อมือที่จับมือเขาอยู่นั้นบีบแรงขึ้นเรื่อยๆ เร่งรัดเอาคำตอบอย่างคนเอาแต่ใจตัวเอง เขาพยายามรวบรวมสติที่มีอยู่และหันไปมองหน้าอันเดรสตรงๆ น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปแฝงแววเขินอายแต่คำพูดหนักแน่น

“คุณก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าผมรักคุณ”

“…”

“อย่าแกล้งถามให้ผมอายเล่นแบบนี้เลยครับ”

พูดจบโดยที่เวกัสไม่ทันได้ระวังตัว อันเดรสจับหน้าเขาโน้มตัวให้ต่ำลงไป ริมฝีปากหนาของคนที่นอนอยู่ กดทับริมฝีปากบางของคนที่ยืนอยู่ รสหวานนุ่มที่ติดริมฝีปากทำให้หัวสมองขาวโพลนไปหมด หัวใจเต้นแรงเหมือนมีคนตีกลองอยู่ข้างใน มือทั้งคู่ที่จับกันอยู่ ประสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างไม่ได้ตั้งใจ เนิ่นนานเหลือเกินในความรู้สึก อันเดรสถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง เพราะกลัวว่าร่างบางที่ยืนหน้าแดงอยู่ตรงหน้านี้จะขาดอากาศหายใจไปซะก่อน

ต่างคนต่างเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรมาทั้งนั้น และเพราะความเงียบนี้เองทำให้เวกัสคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“อันเดรส!!”

“มีอะไรเหรอครับ ทำไมทำหน้าตาซะตกใจเชียว?”

“ในเมื่อเชอร์เบลปองร้ายกับทุกคนแบบนี้ ทำไมคุณไม่รีบบอกผมล่ะ แล้วเพื่อนที่เหลือล่ะจะเป็นยังไง”

“เอ่อ..คือ…”

“คุณนี่นะ!!”

“ผมขอโทษครับ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเราต้องหาทางกลับขึ้นไปด้านบนให้เร็วที่สุดสินะครับ”

“ใช่แล้วครับ”

“ความเจ็บปวดที่ขาใช้เวลาสักคืนเดียวน่าจะหาย เดี๋ยวตอนเย็นเราลองถามคุณเอลินดูว่าจะกลับไปด้านบนได้ยังไงบ้าง”

เวกัสพยักหน้ารับคำนั้นเบาก่อนจะเหม่อมองสายตาออกนอกหน้าต่างข้างเตียงที่อันเดรสกำลังมองอยู่ออกไปไกล
หวังว่าทุกคนจะไม่เป็นอะไรนะ…

เอลินที่ยืนแอบฟังอยู่หลังประตูด้านนอกยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกไปในบางอย่าง เธอเชื่อว่าผู้ชายสองคนนี้ที่เธอช่วยเหลือเอาไว้เป็นคนดี นิสัยจริงจัง รักเพื่อนฝูง และเธอก็เต็มใจที่จะช่วยให้เขาทั้งสองคนบรรลุเป้าหมายในการกลับขึ้นไปด้านบน

“พี่เอลินคะ ของที่เตรียมการไว้ให้เสร็จแล้วค่ะ”

เด็กสาวข้างบ้านที่เคยให้เธอสอนทอผ้าเดินเข้ามาบอก ใช่แล้วล่ะ การที่จะกลับขึ้นไปยังโลกเบื้องบนได้นั้นจะต้องเดินตัดผ่านน้ำตกท้ายหมู่บ้านกลับขึ้นไป ซึ่งระยะทางจะใกล้กว่าเหวที่พวกเขาทั้งคู่ตกลงมา วิทยาการนี้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านได้เกณฑ์คนไปช่วยกันทำทางลับนี้ขึ้นมา เผื่อมีเหตุฉุกเฉินจำเป็นที่ต้องออกไปสู่โลกภายนอกนั่นเอง





บีทีนชวนแร็กตาร์ออกไปเดินเล่นข้างคฤหาสน์ เนื่องจากอึดอัดกับบรรยากาศแปลกๆ ที่ก่อตัวโดยพี่ชายเขาเองในห้อง คนอื่นในห้องก็แยกย้ายกันไปทำอะไรส่วนตัวของตัวเอง โดยที่เชอร์เบลนัดมาเจอกันอีกทีตอนอาหารเย็น

“อยากพายเรือไหม” แร็กตาร์เอ่ยชวน บีทีนทำหน้านึกก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่เอาดีกว่า เดินเล่นก็พอละ”

“แบบนั้นก็ได้ เอ่อนี่ บีน...”

“มีอะไรเหรอ?”

“ป่าด้านข้างคฤหาสน์น่ะสิ มันจะมีหอคอยเก่าอันหนึ่งใช่ไหม ซึ่งด้านหลังเชื่อมต่อกับทะเล ฉันอยากไปดูทะเลนั่นน่ะ”

“ไร้สาระน่าแร็กตาร์ ทะเลมันก็คือน้ำชนิดหนึ่งนี่แหละ”

“แหม ทำเป็นเบื่อน้ำ ที…”

ป้าบ!

บีทีนตีไปที่กลางหลังแร็กตาร์ทีหนึ่ง…

“นี่นายจะหยุดลามกสักวันไม่ได้เลยเหรอไง เชอะ”

พูดจบก็สะบัดหน้าแล้วเดินหนีเข้าป่าไปเลย แร็กตาร์เกาหัวงงๆ ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ก่อนจะรีบเดินตามไปทันที

“ตกลงยังอยากไปดูทะเลนั่นอยู่อีกไหม”

เมื่อแร็กตาร์วิ่งตามมาเดินเคียงข้างแล้วบีทีนจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ทำให้แร็กตาร์เหวอไปเลย เพราะไม่คิดว่าบทจะง่ายก็ง่ายซะจนแบบนี้

“ไปสิ”

“ป่ะ งั้นก็ไปกันเถอะ”

บีทีนหันมายิ้มให้แร็กตาร์จนตาหยีก่อนจะจับมือร่างสูงเอาไว้เป็นเชิงจะพาออกวิ่ง แต่แร็กตาร์ขืนตัวไว้ก่อน

“เดี๋ยว ๆ”

“มีอะไรเหรอ”

“ไหนๆ ก็มาแล้วไง ฉันอยากเข้าไปสำรวจในหอคอยสักหน่อยน่ะ นายจะว่าอะไรไหม”

“เอาสิ แต่อย่าบอกให้ใครรู้นะ”

แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข แร็กตาร์คิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่มาเจอบีทีนคนนี้ คนที่ไม่เคยทำให้เขาลำบากใจที่จะตามเอาใจใส่เลย…

สองเท้าพาเดินมาเรื่อยๆ จนถึงประตูหอคอย บรรยากาศโดยรอบน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ อย่างช่วยไม่ได้ สายลมหวีดหวิวพัดผ่านร่างกายของทั้งสองคน บีทีนยื่นมือไปเกาะชายเสื้อคนข้างหน้าเอาไว้

“ทำไมมันน่ากลัวกว่าที่คิดล่ะ”

“เอาน่า มาถึงขั้นนี้แล้ว มีฉันอยู่ด้วยทั้งคน อย่ากลัวไปเลย”

แอ๊ด…

ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ความมืดก็ปรากฏแก่สายตา กลิ่นอับของบางอย่างทำให้ขนลุกขึ้นมา บีทีนมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดกลัว จนถึงวินาทีนี้แล้วแร็กตาร์ก็ต้องยอมรับว่าเขาเองก็กลัวเหมือนกัน ภายในหอคอยนี้มันมีบางอย่างที่แปลกออกไป

“นายจับมือฉันแล้วเดินตามหลังมานะ”

“อะ…อืม”

แร็กตาร์เปิดไฟฉายจากมือถือ พวกเขาเดินมาเจอบันไดอันหนึ่ง ซึ่งน่าจะทอดยาวไปจนถึงสุดบนหอคอย พวกเขาชั่งใจกันชั่วครู่ก่อนแร็กตาร์จะเป็นฝ่ายจูงมือบีทีนพาลากขึ้นไป ตะไคร่น้ำที่เกาะตามขั้นบันไดอิฐเหล่านี้ทำให้ต้องระวังในการเดินขึ้นเยอะเลย เพราะถ้าเผลอแม้แต่นิดเดียวอาจจะหล่นลงไปข้างล่างได้โดยไม่รู้ตัว

ทีละขั้น… ทีละขั้น… จนทั้งคู่รู้สึกเหนื่อย สาเหตุอาจจะเป็นเพราะมันไม่มีชั้นอื่นมากั้นเอาไว้ บันไดเลยมีจำนวนขั้นเยอะเป็นพิเศษ เหลือแค่ชั้นบนสุดด้านบนชั้นเดียว

“แฮก…แฮก…”

ทั้งสองคนมาหยุดอยู่ชั้นบน บีทีนก้มหน้าจับหัวเข่าหายใจออกมาอย่างเหนื่อยออก ร่างสูงที่ไม่มีท่าทีว่าเหนื่อยเลย หันไปมองด้วยความเป็นห่วง

“บีน นายไหวหรือเปล่า”

“ไหวสิ ตอนนี้เราอยู่บนสุดแล้วใช่ไหม”

เบื้องหน้าที่ปรากฏคือ ประตูสีดำบานหนึ่ง แร็กตาร์เดินไปเปิดมันออกทันที บีทีนวิ่งตามมาอย่างอยากรู้อยากเห็น ด้านในมืดมาก แต่มีหน้าต่างบานหนึ่ง ทันทีที่บีทีนเดินตามเข้ามาและหันไปปิดประตู

กริ๊ก…

ระบบกลไกบางอย่างทำให้ประตูนั้นล็อคเอง ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ

นี่พวกเขาถูกขังอย่างนั้นเหรอ…



เบลมอธเดินตามหาซินมาเกือบสิบนาทีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวหายไปไหน ตอนที่แยกกันหลังออกมาจากห้องลับนั้นได้ ชายหนุ่มบอกเขาเพียงแค่ว่าจะออกไปดูทะเลสาบข้างคฤหาสน์หน่อย เขาเองก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ตื่นมาเดินไปหาที่ไหนก็ไม่มี ข้างทะเลสาบก็ไม่มี

หายไปไหนของเขากันนะ…

เบลมอธเดินผ่านประตูทางลับที่พาพวกเขาหลงไปเมื่อเช้าแล้วอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ มือสองข้างลูบไล้ฝาผนังนั้นช้าๆ

ฟุบ!

มีใครบางคนพุ่งมาข้างหลังเขา!!

บุคคลปริศนาใช้ผ้าเช็ดหน้าซึ่งมีสารบางอย่างผสมปิดเข้ามาในจมูกเขา ร่างบางพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สูดอากาศหายใจ แต่เหมือนคนกระทำจะรู้เพราะมันกดผ้าเช็ดหน้าลงมาแรงขึ้นจนทำให้เบลมอธต้องหายใจเข้าไปจนได้

และหลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย…





ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 18
Day 2

เอลินบอกว่าข้างบ้านเธอมีลานหญ้าอยู่ ตอนแรกเวกัสกับอันเดรสก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าลานหญ้าที่ว่านี่คืออะไร แต่พอออกมาถึงได้รู้ว่าลานหญ้าคือลานกว้างในระดับหนึ่งและนำหญ้ามาปูไว้เป็นร่อง สำหรับนั่งและนอนดูดาวได้ ทั้งสองคนตัดสินใจขยับหญ้าสองชิ้นนั้นมาติดกันและนอนลงไปแหงนหน้าดูดาวยามค่ำคืน

แวบหนึ่งที่เวกัสอดแปลกใจไม่ได้ พวกเขาตกเหวลงมาลึกมากขนาดนั้น ทำไมแหงนมองฟ้าถึงยังเห็นพระอาทิตย์ส่องแสงในตอนกลางวัน เห็นดวงจันทร์ทอแสงเหลืองนวลในตอนกลางคืนอีกนะ แต่สงสัยไปก็มากความ ในเมื่อดวงดาวของที่นี่สวยขนาดนี้ ถ้ามีดาวตกคงจะดี จะได้ขอพรสักหน่อย…

“เวกัส”

“ครับ?”

“โลกด้านบนนี่มันวุ่นวายขนาดนั้นเลยเหรอครับ จนถึงขั้นที่มีกลุ่มคนคิดจะย้ายวิถีชีวิตตัวเองลงมาอยู่ในที่แบบนี้”

“ไม่รู้สิครับ ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับความพอดีของแต่ละคน ถ้าเราพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ ต่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบากขนาดไหนผมว่าเราก็มีความสุข”

“แล้วคุณมีความสุขไหมกับชีวิตก่อนหน้านี้”

“นั่นสินะ ผมมีความสุขไหมนะ”

“แต่ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ที่ผมเจอคุณ ผมมีความสุขมากเลยนะครับ คิดว่าถ้ามีคุรอยู่ที่ไหน ที่นั่นคงเป็นที่ที่มีความสุขสำหรับผม”

“เขินจัง ผมคงจะดีใจกว่านี้ถ้าไม่มีเหตุการณ์อันตรายกำลังจ่อหลังเพื่อนผมอยู่”

“ก็พรุ่งนี้เราจะกลับไปช่วยพวกเขาแล้วไง”

“ไม่รู้สิครับ ผมกลัวความสูญเสีย”

“…”

“ไม่อยากสูญเสียใครไปอีกแล้วครับ”

“ไม่มีใครอยากพบกับความสูญเสียหรอกครับ แต่บางครั้งความสูญเสียก็นำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า”

“แล้วนี่คุณหักหลังน้องชายคุณแบบนี้มันจะดีเหรอ”

“ไม่ใช่น้องชายจริงหรอกครับ แค่ลูกพี่ลูกน้องเฉยๆ”

“อ้าว ผมนึกว่าน้องแท้ๆ ซะอีก แต่หน้าตาคุณกับเขาก็ไม่มีส่วนเหมือนกันเลยนะครับ”

“แหงสิครับ ฮ่าๆ”

สายลมเย็นๆ พัดมาเอื่อยเฉื่อยต้องการทำให้ความทรงจำหลายๆ อย่างในอดีตหวนกลับอีกครั้งราวกับภาพในวิดิโอที่เราเผลอกดปุ่มย้อนหลัง เวกัสเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาทางหางตาเมื่อคิดได้ว่าครั้งหนึ่งเอาเองก็เคยแอบรักบีทีน และตอนนี้เพื่อนของเขาก็ตกอยู่ในอันตราย ได้แต่ภาวนาในใจขอให้ทุกคนไม่เป็นอะไร

ฝ่ามือข้างขวาของบีทีนที่ว่างอยู่เผลอเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตัวเองและคลำเจอกับบางอย่าง เขาล้วงมันออกมาดูและชูขึ้นให้แสงจันทร์สะท้อนกลับ

ใบไม้ที่อันเดรสให้นั่นเอง…

“คุณยังเก็บมันไว้อีกเหรอครับ”

“พอรู้ว่ามันเป็นของสำคัญที่คุณให้ผมก็รีบเก็บใส่กระเป๋ากางเกงเลย นึกว่ามันจะหายไปแล้วซะอีก”

“ขอบคุณที่ยอมรับความรักของผมนะครับ”

“ก็บอกแล้วไงว่าผมรักคุณ”

“ผมสัญญา…”

“…”

“ผมจะใช้ความรักที่ผมมีทั้งหมดดูแลคุณตลอดไป”

อบอุ่น…

จนน้ำตาไหล... ชีวิตเรายังต้องการอะไรอีกไหมนะ? นอกจากรู้ว่าคนที่เรารักเขาก็รักเรา

แค่นี้เขาก็พอใจแล้วล่ะ…

“พรุ่งนี้คงต้องตื่นเช้ากว่าปกติสินะ เอลินนัดเราไว้แล้วตอนเช้าตรู่เลย”

“คืนนี้ผมคงต้องฝันถึงคุณแน่ๆ”

“ผมก็เหมือนกัน”



สติที่เลือนรางไปก่อนหน้านี้กลับมาอีกครั้งเมื่อกลิ่นหอมของขนมบางอย่างลอยเข้าติดจมูก เบลมอธลืมตาขึ้นก่อนจะรู้สึกตัวว่าร่างกายของตัวเองไม่เป็นของตัวเองอีกต่อไปแล้ว พอก้มลงมองถึงรู้ว่าเชือกที่ใช้สำหรับมัดกับกระโจงเรือพันเขาไว้เกือบทั้งตัว พอมองไปข้างหน้าก็เจอโต๊ะเล็กอันหนึ่งที่มีผ้าคลุมสีแดงวางอยู่ บนนั้นมีเค้กวันเกิดอยู่หนึ่งก้อน บนนั้นมีวิปครีมเขียนโดยภาษาอังกฤษเอาไว้…

CHERBELL…

“ตื่นแล้วเหรอ”

“…!!”

“นึกว่าจะตายไปแล้วซะอีก”

“เชอร์เบล…นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”

“ก็หมายความว่าแกได้คนที่ฉันรักที่สุดไปครอง แต่ฉันคือคนที่ต้องเสียใจที่สุดเพราะไม่มีใครไง”

“นายกำลังพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

“งั้นก็รู้เอาไว้ซะ ว่าฉันรักซิน และเรารักกันมาก่อนที่จะเจอพวกแก!!”

ตึกตัก…ตึกตัก

เสียงฝีเท้าคนกำลังวิ่งมาทางนี้…

กริ๊ก…

เชอร์เบลเตรียมลั่นไกปืนและจ่อไปตรงประตูทางเข้ามาในห้อง ซึ่งที่ที่พวกเขาอยู่น่าจะเป็นห้องทานอาหาร ผู้ชายสองคนที่เพิ่งวิ่งเข้ามาผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นปากกระบอกปืนเล็งไปยังพวกเขา เบลมอธรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจเหลือเกินที่มาเจอกับพวกเขาในเวลานี้

เสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมาจากปากเบลมอธอย่างขอความช่วยเหลือ

“ซิน พี่ซีท…”

“นี่นายกำลังทำอะไรกัน”

ซินตะโกนมาถามเชอร์เบลและเลื่อนลงมาสบตาเขาอย่างเป็นห่วง เชอร์เบลเห็นดังนั้นทนไม่ไหว จึงเลื่อนมาตบหน้าเบลมอธจนหันไปอีกทาง

เพียะ!

“เบลมอธ!!”

ซินกับซีเครทเอ่ยขึ้นพร้อมกัน เชอร์เบลยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมา

“ไหนๆ วันนี้ก็วันเกิดฉัน พวกนายจะไม่อวยพรฉันหน่อยเหรอ”

“เชอร์เบล พี่ว่าเราใจเย็นๆ ค่อยๆ คุยกัน และปล่อยเบลมอธก่อนเถอะ” ซีเครทพยายามต่อรอง

“ไม่!!!!!”

เชอร์เบลแผดเสียงออกมาอย่างน่ากลัว เบลมอธนั่งตัวสั่น เขารู้แค่ว่าตอนนี้เชอร์เบลไม่ใช่คนเดิมกับที่เขาเคยรู้จักกันอีกแล้ว ในแววตาของคนตรงหน้ามีเพียงความแค้นเคืองและอยากจะกำจัดเขาให้ออกจากโลกไปเท่านั้น

ความรักทำให้คนเป็นไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ…

และในขณะที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัวนั่นเอง…

โพละ!

เชอร์เบลเอาเค้กสีขาวที่วางตรงหน้าคว่ำโปะลงกลางหัวของเบลมอธทันที

“หึๆ ฮ่าๆ” ร่างบางหัสเราะออกอย่างโรคจิต ในขณะที่เบลมอธตาแดงและน้ำตาค่อยๆ ไหลรินลงมาจากเปลือกตา สองหนุ่มที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนอึ้งอย่างทำอะไรไม่ถูก



ปัง! ปัง! ปัง!

แร็กตาร์กับบีทีนช่วยกันทุบประตูและดันกระแทกออกไป แต่ยังไงก็ทำไม่ได้

“โอ๊ย!”

บีทีนพิงหลังลงไปกับฝาผนังอย่างเหนื่อยล้า แร็กตาร์หันมามองบีทีนด้วยสายตาเป็นห่วง เขาหันซ้ายหันขวาเป็นรอบที่สิบกับการจะหาทางออกไปจากห้องลับบนหอคอยแห่งนี้

แวบ…

อะไรบางอย่างบอกให้เขาหันหน้ามองไปยังหน้าต่างหลังห้อง เขารีบวิ่งไปเปิดมันออกทันที ก่อนจะหันหน้ามาพูดกับบีทีนด้วยความดีใจ

“บีน เรามีทางออกไปจากที่นี่แล้ว”

“ทำยังไงเหรอ”

บีทีนเดินมาดูสิ่งที่แร็กตาร์ชี้…

ข้างล่างเป็นทะเลกว้างซึ่งอยู่ด้านหลังคฤหาสน์ ซึ่งสูงพอสมควรหากมองจากด้านบนลงไป บีทีนทำหน้าเหวอและหันไปหาแร็กตาร์

“นี่นายอย่าบอกนะว่า…”

แร็กตาร์กุมมือสองข้างของบีทีนไว้และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แต่เราไม่มีทางอื่นอีกแล้วนะ”

“…”

“หรือนายไม่เชื่อใจฉัน”

“เชื่อสิ!”

พอแร็กตาร์พูดระโยคนั้นออกมา บีทีนก็บีบมือร่างสูงตอบก่อนจะเอ่ยตอบออกไปอย่างกล้าหาญ แร็กตาร์ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขากระชับมือร่างบางนั้นไว้ก่อนจะพาทั้งตัวเองและบีทีนขึ้นไปนั่งบนขอบหน้าต่างนั้น แววตาที่มุ่งมันหันมามองบีทีน

“พร้อมไหมที่รัก”

“อย่ามาน้ำเน่า พร้อมนานแล้วเถอะ”

“งั้นก็ไปกัน!!”

สองร่างกระโดดทะยานลงสู่ผืนน้ำ…

“ตูม!!”

สายน้ำสีฟ้าใสสะอาดจนเกือบเขียว น้ำทะเลที่นี่คงจะลึกพอสมควร เพราะทันทีที่ทั้งสองคนหล่นลงไปใสทะเลแล้ว ใช้เวลาเกือบสักพักเลยทีเดียวกว่าที่ทั้งคู่จะโดดตัวลอยขึ้นมาเหนือน้ำได้ แต่ทันใดนั้น…

“โอ๊ะ!!”

“เป็นอะไรบีน?”

“แร็กตาร์ ฉันเป็นตะคริวอ่ะ”

“ว่าไงนะ”

พอจบประโยคบีทีนก็ทรงตัวไม่ได้อีกต่อไป ร่างบางลอยดิ่งลงไปในทะเลลึก แร็กตาร์หันไปมองอย่างตกใจก่อนจะตัดสินใจดำน้ำตามลงไปช่วยทันที

ภายใต้ทะเลร่างของบีทีนลอยอยู่ แร็กตาร์ว่ายเข้าไปใกล้และประคองหน้าบีทีนเอาไว้…

จูบที่แสนหวานเกิดขึ้นในนั้น บีทีนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองผู้ชายที่เขารักหมดหัวใจ เนิ่นนานในความรู้สึก แร็กตาร์ค่อยๆ พาบีทีนลอยตัวขึ้นเหนือน้ำและลากเข้าฝั่งซึ่งเห็นอยู่ไม่ไกลนั้น

แร็กตาร์พยุงบีทีนขึ้นมานอนบนฝั่งก่อนจะจับสัมผัสไปทั้งตัวเพื่อเช็กดูว่ามีอะไรบุบสลายไหม

“นายพอได้แล้วน่า มาจับอะไรฉันทั้งตัวแบบนี้”

“แหม ก็คนเขาเป็นห่วงนี่นา”

“คร้าบ รู้แล้ว”

ติ๊ด…

“อ๊ะ เสียงข้อความนี่ นึกว่าเสียตอนโดนน้ำซะอีก รุ่นนี้ทนจริงๆ เลย”

แร็กตาร์บ่นงึมงำก่อนจะหยิบมือถือออกมาเปิดดู ก่อนจะเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ

“เชอร์เบลอย่างนั้นเหรอ…แย่แล้ว!!!”




ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 19
Before the end

เชอร์เบลชี้ปากกระบอกปืนมาทางพวกเขาที่ยืนรออยู่ ซินกับซีเครทยังอึ้งอยู่กับสถาณการณ์ตรงหน้า เนื้อครีมที่ไหลไปมาบนเส้นผมลงสู่ปลายคางผสมกับหยาดน้ำตาที่รินไหลทำให้เบลมอธรู้สึกหวาดกลัวกว่าเดิม เขาพยายามข่มใจตัวเองเต็มที่ ในเวลาแบบนี้ให้คนอื่นพูดกับเชอร์เบลน่าจะดีกว่า ขืนเขาพูดอะไรไปมากกว่านี้คงมีแต่จะทำให้เชอร์เบลโกรธยิ่งกว่าเดิม

“ซิน...” เชอร์เบลเอ่ยเสียงเรียกชายหนุ่มที่เขารักเสียงเบา ซินเงยหน้าขึ้นสบตาเชอร์เบล

“นายจะปล่อยเบลมอธได้หรือยัง?”

“ฉันจะให้โอกาสนายได้คิดอีกครั้ง...”

“โอกาสอะไรของนาย”

“ถ้านายยอมหนีไปกับฉัน ไปในที่ที่ไกลที่สุด แล้วลืมเรื่องราวทุกอย่างที่อยู่ตรงนี้ และฉันจะยอมปล่อยพวกเขาไป”

“นายก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อฉันไม่ได้รักนายแล้ว”

“แต่ฉันรักนาย... ฮึก...”

“เชอร์เบล...”

“ทั้งๆ ที่ฉันรักนาย ฮึก... ยอมทุกอย่างเพื่อนาย... ยอมกีดกันทุกคนออกจากเบลมอธเพื่อให้นายสมหวังในรัก และได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งนายจะหันกลับมามองฉันบ้าง...”

“นี่มันหมายความว่ายังไง?” ซีเครทเอ่ยถามทั้งเชอร์เบลและซิน นั่นก็เป็นอีกสิ่งที่เบลมอธอยากรู้เช่นกัน ซินมีท่าที่อึกอักไปอย่างเห็นได้ชัด เชอร์เบลกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างชั่วร้าย น้ำเสียงที่เอื้นเอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแต่แฝงความเจ็บปวด...

“ตั้งแต่แรกมาจนถึงตอนนี้ที่ซินกับเบลมอธคบกัน มีฉันคนนี้แหละที่เป็นเบื้องหลังความรักอันแสนสวยงามนี้ แต่มีเพียงฉันที่พบเจอแต่ความเจ็บปวด ทั้งๆ ที่ซินเองเป็นคนบอกฉันอย่างสม่ำเสมอว่าสักวันหนึ่งเขาจะรักฉันบ้าง ฮึก...”

ความเงียบเข้าปกคลุมสถานที่อันแสนอึดอัดแห่งนี้ เบลมอธเหมือนหัวใจหลุดไปไกล เขาว่าเขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเชอร์เบลแล้วล่ะ ความรักสามารถทำให้ใครคนหนึ่งตาบอดและเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ ในขณะที่คนที่เรารักมีความสุขแต่คนที่รอกลับน้ำตาไหลด้วยความเสียใจ

“เชอร์เบล...” ซินเอ่ยออกมาเสียงเบาด้วยความรู้สึกสับสนในใจ

“ว่ายังไงล่ะซิน ฉันให้โอกาสนายเลือกแล้วนะ”

“…”

“ขอคำตอบให้ฉันด้วย... อ๊ะ!”

พลั่ก!

“บีน นายแกะเชือกให้เบลมอธเร็วเข้า!”

“โอเค!”

เหมือนสวรรค์เข้าข้างเมื่อบีทีนกับแร็กตาร์เข้ามาบุกล็อคตัวเชอร์เบลจากด้านหลัง แร็กตาร์บอกบีทีนให้ไปแก้มัดให้เบลมอธ เชือกเส้นใหญ่สร้างความลำบากในการช่วยเหลือนัก ซีเครทรีบกระโจนตัวมาช่วยแร็กตาร์ล็อคตัวเชอร์เบลอีกที ในขณะที่ซินได้แต่ยืนอึ้งกับเหตุการณ์ชุลมุนตรงหน้า เขาถอยเท้าไปด้านหลังอย่างคนที่ควบคุมสติไม่อยู่

ทันใดนั้น…

แผละ

สัมผัสเปียกเหนียวเหมือนครีมอาบน้ำที่ปลายเท้าทำให้สติของเขากลับคืนมาอีกครั้ง และก้มลงมองของเหลวที่ว่า

น้ำมันเบนซิล!

นี่เชอร์เบลคิดจะทำอะไรกัน!

บีมีนสามารถแก้มัดให้เบลมอธได้สำเร็จและจูงมือพาวิ่งไปอีกทางพอดีกัน

พลั่ก!

เชอร์เบลสลัดแร็กตาร์กับซีเครทหลุด และหันไปทางบีทีนกับเบลมอธที่กำลังวิ่งออกมา ประกายตาเชอร์เบลฉายแววเคียดแค้น มือยกขึ้นแอ่นปืนไปข้างหน้า...

กริ๊ก...

มือบางเหนี่ยวไกปืน...

ปัง!

ไม่ใช่เบลมอธ หรือ บีทีน ที่ถูกยิง...

เชอร์เบลที่ถือปืนอยู่มือสั่น เมื่อภาพตรงหน้าคือซินที่เข้ามาบังตัวให้เบลมอธและถูกยิงลงตรงกลางหัวใจ

ร่างสูงของซินค่อยๆ ล้มลงบนพื้น ทุกคนแววตาเบิกกว้างกับภาพตรงหน้าที่เห็น เชอร์เบลเผลอปัดไฟแช็กที่จะใช้จุดเทียนวันเกิดหล่นลงบนพื้น ทำให้ตำแหน่งที่จุดไฟกระแทกกับพื้นหนึ่งครั้ง ดวงไฟเล็กๆพรั่งพรูขึ้นมา ผสมกับของเหลวบางอย่างที่ซินสงสัยเอาไว้ตั้งแต่แรก ไฟเริ่มลุกลามไปทั่วทั้งบริเวณ…

“ซิน!!!!”

เชอร์เบลกรีดร้องเสียงหลงแล้วรีบวิ่งไปประคองร่างซินเอาไว้ในอ้อมกอด คนที่เหลือวิ่งไปรวมกับคนอื่นอีกฟาก เบลมอธใช้ผ้าเช็ดน้ำเช็ดคราบเค้กที่ติดตามใบหน้าออกและมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่แปลกไป

บางทีความรักที่เขามีให้ซินอาจจะหมดไปตั้งแต่ตอนเลิกกันคราวที่แล้วแล้วก็ได้...

เสียงร่ำไห้ของเชอร์เบลดั่งก้องไปทั่วเมื่อซินหลับตาลงและแน่นิ่งไปพร้อมกับไฟที่โหมกระพรือไปทั่วบริเวณ

“เราต้องออกไปจากที่นี่กันแล้วนะ”

ซีเครทเรียกเบลมอธที่ยืนน้ำตาไหลมองภาพตรงหน้า คนที่เหลือเริ่มดันประตูออกและใช้เก้าอี้แถวนั้นทุบลงเพื่อหยุดไฟ

จังหวะนั้นเองเวกัสกับอันเดรสก็วิ่งขึ้นมาช่วยพอดี ทุกคนยิ้มแย้มด้วยความดีใจที่ได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง คงมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เสียน้ำตากับเหตุการณ์ครั้งนี้

“ซิน...”

เบลมอธเรียกซินเสียงเครือ ร่างสูงที่เชอร์เบลกำลังร่ำไห้กอดไว้เงยหน้าขึ้นสบตาเขา เบลมอธรับรู้ด้วยหัวใจได้ว่ามนแววตานั้นมีแต่ความรักที่คนตรงหน้าส่งมายังเขา ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุของความเจ็บปวดทุกคน วันนี้เขาเข้าใจสัจธรรมของความรักอย่างแท้จริงแล้วล่ะว่าการที่เราจะรักใครสักคน ก็ไม่ได้หมายความว่าสุดท้ายแล้วจะได้รักกันเสมอไป

และความรู้สึกของเขาที่มีต่อซิน...ก็เริ่มเลือนลางลงมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้

คนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องนี้คือใครกันแน่นะ...สักวันคงมีคนให้คำตอบเขาได้

เบลมอธหันหลังให้กับภาพตรงหน้าช้าๆ ก่อนจะก้าวเดินออกไปด้วยความมั่นคง คนที่เหลือมองเขาด้วยความเป็นห่วง แต่เพราะที่ลุกลามไปทั่วคฤหาสน์แล้วในตอนนี้ทำให้ต้องเอาชีวิตรอดไปก่อน แม้ว่าบีทีนเองจะมีท่าทีเป็นห่วงผู้ชายสองคนตรงหน้าว่าจะเป็นยังไงต่อไปก็ตามถ้ายังอยู่ในที่ที่ไฟลุกโชติช่วงแบบนี้ แต่ก็ถูกมือหนาของแร็กตาร์ลากออกประตูไปก่อน

ความร้อนระอุจากประกายไฟรอบด้านไม่สามารถทำให้เชอร์เบลรู้สึกเจ็บปวดอะไรได้เลย

เพราะว่า...เขาไม่มีหัวใจอีกแล้วในเวลานี้

มือบางลูบไล้ใบหน้าซินที่นอนหายใจรวยรินอยู่ในอ้อมกอดของเขา แววตาของซินที่มองเขาในตอนนี้ปรากฏแค่ความรู้สึกผิดในอดีตที่ไม่สามารถชดใช้คืนให้เชอร์เบลได้

“นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้มองนายในระยะประชิดแล้วนะ”

“ฮึก... ซิน ทำไมนายถึงต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องปกป้องคนอื่น คนที่หันหลังให้นายในวินาทีสุดท้ายของชีวิต...”

ซินยิ้มอ่อนโยน เขาพยายามยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เชอร์เบล

“เพราะหัวใจฉันอยู่ที่เบลมอธไง”

“ฮึก...”

“และนายเองก็คือคนที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน”

“ฉันจะไม่ปล่อยให้นายเดียวดายอีกแล้วล่ะซิน”

“นายหมายความว่ายังไง?”

ซินรู้สึกขนลุกขึ้นมากับคำพูดในลักษณะนั้นของเชอร์เบล ร่างบางตรงหน้ายิ้มให้ด้วยน้ำตา ก่อนจะหยิบปืนที่หล่นอยู่ข้างๆ ขึ้นมาและหันปากกระบอกปืนไปยังตำแหน่งหัวใจของตัวเอง

“เชอร์เบล อย่า...”

ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เพราะเขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่านาฬิกาทรายของเขากำลังจะหมดลง

“ฉันจะไม่มีวันทิ้งนายให้โดดเดี่ยวเด็ดขาด”

ปัง!

ปืนร่วงหล่นลงจากมือ...

ร่างบางค่อยๆ ล้มตัวลงข้างๆ ซินในสภาพกึ่งนอนกึ่นั่ง...

สิ่งที่ซินเห็นในตอนนี้ราวกับวิดิโอหนังที่เศร้าที่สุดในชีวิต เขาไม่ได้ต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปแบบนี้เลย

สิ่งสุดท้ายที่เขาอยากเห็นจากเชอร์เบลก็คือ ขอให้เชอร์เบลมีความสุขที่สุดในชีวิต แค่เขาขอแค่นี้...ยังไม่ได้เลยเหรอ...

เชอร์เบลค่อยๆ พาร่างกายที่เปื้อนเลือดของตัวเองเข้ามากอดซินให้นั่งขึ้นพิงอก ในขณะที่ลมหายใจสุดท้ายของซินกำลังจะหมดไป เขาได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ริมหู มันเป็นน้ำเสียงของเชอร์เบลที่อ่อนหวานที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยิน ก่อนที่เขาจะหลับตาลงตลอดกาล...

“ฉันรักนายนะซิน...”

คฤหาสน์บางส่วนเริ่มล้มลงจากไฟที่แรงเกิน ไฟลามเข้ามาจนถึงจุดที่ทั้งคู่กอดกัน...

ราวกับฉากหนังตอนจบบนละครเวที แต่ใครจะรู้เล่าว่าหัวใจสองดวงนี้อาจจะเคียงคู่กันตลอดชาตินี้ทุกชาติภพอย่างไม่สามารถตัดขาดจากกันได้อีก

บทสรุปความรักที่เชอร์เบลต้องการตลอดมามันอาจจะจบไม่ได้สวยงามในแบบที่ร่างบางต้องการ แต่อย่างน้อยในชีวิตนี้เขาก็ยังได้บอกรักผู้ชายที่เขารักก่อนตาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักตนเลยก็ตาม

แต่...

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ...


ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 20
True Love

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายคืนก่อนสร้างความโศกเศร้าเสียใจให้แก่ผู้ได้รับทราบข่าวร้ายนี้จนอยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดกลายเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านไปเท่านั้น หากแต่กลิ่นไหม้และคราบสิ่งของที่กลายเป็นสีดำจากเปลวไฟได้ตอกย้ำรายละเอียดลงในใจแก่ผู้พบเห็นว่าเกิดเหตุการณ์อันแสนเศร้าที่คร่าชีวิตคนสองคนไปแล้ว โดยที่ความลับบางอย่างจะเป็นความลับตลอดไป...ไม่มีใครรับรู้ได้

ผู้ปกครองของซินที่เซื่องซึมไปเลยหลังจากทราบข่าว แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา อาจจะเป็นเพราะเป็นคนใหญ่คนโตเวลาเจอเหตุการณ์ร้ายแรงแค่ไหนก็ต้องอดทนยิ้มสู้ไว้ เพราะหากเสาหลักล้มลงแล้วคนอีกจำนวนมากอาจจะลำบากได้

สิ่งที่น่าแปลกใจไปกว่านั้น คือ เชอร์เบลไม่มีญาติผู้ใหญ่จากไหนเลย ราวกับเป็นบุคคลที่ไม่มีรายชื่อในโลกมาตั้งแต่แรก
 
นักศึกษาในมหาวิทยาลัยหลายคนดูเฉยๆ กับเรื่องของเชอร์เบล ในขณะที่บางคนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีคนชื่อเชอร์เบล อาจารย์ที่สอนวิชาจิตวิทยาถึงกับแปลกใจเมื่อเอาชื่อนี้ไปตรวจสอบกับฝ่ายนักศึกษาของมหาลัยเมื่อไม่มีข้อมูลของเชอร์เบลมาตั้งแต่ต้นแต่ก็โทษตัวเองไปว่าอาจจะอ่านชื่อนักศึกษาผิดจะกลับไปแก้ไขให้เรียบร้อย

บีทีนเองก็สรุปเหตุการณ์เหล่านี้ให้ทุกคนฟังอย่างง่ายๆ ว่า สิ่งที่เชอร์เบลทำทั้งหมดมีเป้าหมายไว้เพื่อความสุขของซินตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรมาก็ตาม ถึงขั้นลงทุนปลอมแปลงทุกอย่างเพื่อเข้ามาในมหาวิทยาลัยแบบนี้

ความรัก...ทำให้คนตาบอดมืดมัวทำในสิ่งที่ส่งผลร้ายกับตัวเองมากมายเสียเหลือเกิน...ไม่สนว่ายังมีคนที่รอคอยด้วยความรักอยู่เบื้องหลัง...และคนเหล่านั้นก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากร้องไห้เสียใจ...กับการจากลาในครั้งนี้เท่านั้น...

และเพียงไม่ถึงอาทิตย์ข่าวคราวเรื่องของเชอร์เบลก็ปลิวหายไปกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ...ราวกับไม่มีใครต้องการจะพูดถึงมาตั้งแต่ต้น

จุดจบของคนที่ซื่อสัตย์กับความรัก...ช่างน่าเศร้าเสียเหลือเกิน...




1 week later...

เบลมอธร้องไห้เสียใจในช่วงสองวันแรก เพื่อนทุกคนไม่สามารถช่วยอะไรได้ นอกจากให้เบลมอธร้องไห้จนกว่าจะพอใจ เพื่อหยาดน้ำตาเหล่านั้นจะช่วยลบล้างความทุกข์เหล่านั้นให้เบาบางลงบ้าง และพอเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดีขึ้น สภาพจิตใจก็ถูกความห่วงใจของเพื่อนซ่อมแซมจนผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ เขาจึงอยากจะกลับไปในสถานที่แห่งนั้นอีกครั้งเพื่อบอกลาซินกับเชอร์เบลเป็นครั้งสุดท้าย

เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้กลับมาในสถานที่แห่งการจากลาแห่งนี้ โดยที่ซีเครทเองอาสาตัวว่าขอมาส่ง ซึ่งเบลมอธก็ไม่ได้ว่าอะไร

คฤหาสน์ไหม้เกรียมที่ปรากฏตรงหน้าสร้างความหดหู่ให้แก่ใจผู้พบเห็น นอกรั้วประตูมีรถของสถานีตำรวจสามสี่คัน ซึ่งมีตำรวจสามนายกำลังยืนคุยกันเกี่ยวกับรายละเอียดของคดีอยู่ด้านนอก และมองเข้าไปในสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ไม่ไกลนักมีเจ้าหน้าที่จากทีมพิสูจน์หลักฐานกำลังเก็บสิ่งของขึ้นมาตรวจเช็ก

เบลมอธยืนอยู่ด้านนอกมองสภาพสถานที่แห่งนี้ด้วยสายตาว่างเปล่า แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามีหยาดน้ำสรใสกำลังเอ่อคลอยู่ในดวงตาคู่สวย ซีเครทเองยืนอยู่ข้างหลังมองร่างบางด้วยสายตาเจ็บปวดไม่แพ้กัน...เขาเข้าใจดีถึงความรู้สึกของการสูญเสีย...แต่หากเวลาผ่านไปในที่สุดทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตจะสอนให้เบลมอธรู้ซึ้งถึงความสุข...และวันนั้นเขาก็หวังเหลือเกินว่าจะเจอรอยยิ้มของเบลมอธ...รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขเหมือนในอดีต...

“ฉันขอให้เธอสองคนมีความสุขในชาติหน้า และได้เกิดมาครองรักกันในทุกๆ ชาติ”

เบลมอธวางช่อดอกคาเนชั่นสีขาวบริสุทธิ์ที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ไปตามทางที่เงียบเหงา คำพูดที่เอ่ยออกมาดูจริงใจและซื่อสัตย์ที่สุดในฐานะของคนที่ตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน

อาจจะมีคนเก็บช่อดอกไม้นี้ไปทิ้งหรือมันอาจจะถูกลมพัดพาไปในที่ไหนสักที่...

พอทำสิ่งที่ตนต้องการจะทำเสร็จแล้วร่างบางก็หันหน้าไปพยักหน้าให้ซีเครทเบาๆ ก่อนจะเดินหมุนกลับไปตามทางที่รถซีเครทจอดอยู่ ชายหนุ่มที่ยืนเบื้องหลังโคลงศรีษะเล็กน้อยก่อนจะเดินตามร่างบางไป

“พี่ซีท…ผมจะไปฝรั่งเศสนะ”

“พี่พอรู้มาบ้างจากบีทีนแล้วล่ะ...”

“…”

“ทำไมตัดสินใจเร็วจังเลยล่ะ”

“หลายคนอาจจะบอกว่าผมขี้ขลาดที่หนีอะไรง่ายๆ แบบนี้ แต่เหนือกว่าเหตุผลใดผมอยากได้ชีวิตใหม่ และผมก็รักอิตาลีมากครับ ถ้าได้ไปที่นั่นผมอาจจะมีความสุขกว่านี้ และอาจจะหามหาวิทยาลัยที่มิลานเรียนด้วยครับ”

“…”

ซีเครทเงียบไปกับคำตอบที่เขาหาข้อขัดแย่งมาโต้ไม่ได้ ริมฝีปากหนาขบเม้มเบาๆ เมื่อสิ่งที่เขาคิดและต้องการกำลังจะถูกเอ่ยออกไป  มือสองข้างบีบเข้าหากันด้วยความตื่นเต้น

“เบลมอธ...พี่จะไปอิตาลีกับเบลมอธด้วยนะ”

“อะไรนะครับ!” ร่างบางเอ่ยเสียงหลงกับการตัดสินใจแบบสายฟ้าแลบ

“ไม่ต้องรักพี่แบบที่พี่รักนายก็ได้...”

“เอ๊ะ?”

ซีเครทยิ้มบางๆ ที่มุมปาก “ไม่ว่าจะในฐานะใดๆ ก็ตาม พ่อ พี่ชาย คนรัก หรืออะไรก็ตามในแบบที่นายอยากให้พี่เป็น พี่ยอมเป็นได้ทุกอย่าง ไม่ต้องรักพี่ก็ได้ แต่อย่าไล่พี่ไปไหนอีกเลย ให้พี่ได้อยู่เคียงข้างนายเถอะ”

“พี่ซีท...” เบลมอธน้ำตาไหลลงมาเป็นทาง

ร่างสูงที่เอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมายิ้มกว้างออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่มีเรื่องราวเศร้าๆ เกิดขึ้น แววตามั่นคงที่มองสบมาเต็มไปด้วยความรัก และถึงแม้จะไม่ได้รับความรักจากเขาซีเครทก็ยังยินยอมที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป...

“นะ...”

คำสั้นๆ ที่เอ่ยออกมาจากปากซีเครททำให้เบลมอธหน้าแดงชั่ววูบเพราะมันช่างออดอ้อนเอาใจและเหมือนจะถูกกลืนกินไปทั้งตัว เขาหลบสายตาไปทางอื่นแต่ซีเครทกับจับรวบมือเขาไว้และร่างเขาให้หันหน้ากลับมามอง

“ได้โปรดให้พี่ได้ดูแลนายตลอดไปเถอะ...ในฐานะพี่ชายก็ยอม”

“ครับ!”

พอสิ้นคำนั้นเบลมอธก็กระโจนกอดคอซีเครทที่อ้าแขนรอรับซะเต็มรัก อ้อมกอดที่อบอุ่นยิ่งกว่าความรักของท้องฟ้า สองฝ่ามือสอดประสานเข้าหากันส่งความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายคนทั้งคู่ ที่หางตาของเบลมอธมีหยาดน้ำตาไหลออกมาบางเบา แต่นั่นไม่ใช่น้ำตาแห่งความโศกเศร้าแต่เป็นน้ำตาแห่งความยินดีและใจที่โบยบินไปทั่วจักรวาล รอคอยความสุขที่สักวันหนึ่งจะมาถึงอย่างดีใจ...

รักแท้ไม่จำเป็นต้องได้รับความรักตอบกลับมา...แค่เพียงได้รักก็พอแล้ว...

การได้เห็นคนที่เรารักมีความสุขต่างหาก...นั่นแหละคือรักแท้...




ในขณะเดียวกันอีกฟากหนึ่งของคฤหาสน์ในป่าที่ติดกับหอคอยลึกลับตอนที่บีทีนกับแร็กตาร์หลงเข้าไปนั้นเอง เวกัสกับอันเดรสเดินเอื่อยเฉื่อยมองต้นไม้สีเขียวรอบด้าน กลิ่นอ่อนจากธรรมชาติที่เคยหอมหวนยามเดินผ่าน บัดนี้มีกลิ่นไหม้จากอีกฟากหนึ่งของคฤหาสน์ลอยคละคลุ้งไปทั่วเจือกลิ่นของความโศกเศร้าจางๆ

อันเดรสเด็ดใบไม้สีเขียวที่มีรูปร่างเหมือนหัวใจส่งให้เวกัสที่ยืนมองตามมาด้วยความสุข

“คุณยังจำมันได้ไหม”

“ได้สิ ก็นี่มันของหมั้นที่คุณให้ผมเมื่อคราวที่แล้วนี่นา”

อันเดรสตาโตด้วยความดีใจ “นี่คุณจะแต่งงานกับผมจริงๆ อย่างนั้นเหรอ!”

เวหัสหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความเอ็นดูกับอาการดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นของอันเดรส “ถ้าแต่งได้จริงผมแต่งไปนานแล้วล่ะ”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

อันเดรสเอื้อมมือมากุมมือของเวกัสเอาไว้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ร่างบางเงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าเมื่อความคิดของเขาทั้งสองคนที่ตรงกันและกลับมาที่สถานที่แห่งนี้ทำไม

พวกเขาตัดสินใจที่จะเสี่ยงกลับไปยังที่ที่เจอเอลินอีกครั้งโดยต้องเดินผ่านป่านี้ มันเป็นการตัดสินใจที่บ้าคลั่งมากทั้งสองคนรู้ดี ไหนจะเพื่อนฝูงที่เขารักที่ไม่รู้การตัดสินครั้งนี้ของพวกเขา

เวกัสเองกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก อาศัยอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและงานส่งตัวเองเรียนมาจนถึงตอนนี้ ส่วนเบื้องหลังของอันเดรสนั้นเขาไม่รู้เหมือนกัน แต่หากจะรักกันจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตสักวันหนึ่งเขาคงจะรู้เอง

ทั้งสองคนเดินจับมือกันผ่านหมู่ป่ามาเรื่อยๆ เสียงหัวเราะหยอกล้อกันอย่างมีความสุขดังไปมาๆ คล้ายเสียงนกร้องจิ๊บๆ ปลายทางที่เห็นอยู่ตรงนั้นปราศจากต้นไม้ มีเพียงผืนดินที่ยื่นออกไปกับความมืดมิดเบื้องล่างซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรรออยู่

เวกัสเงยหน้าขึ้นสบตาอันเดรสด้วยแววตาเป็นประกาย...

“คุณแน่ใจแล้วใช่ไหมกับการตัดสินใจครั้งนี้”

เวกัสเป็นฝ่ายถามอันเดรส ซึ่งฝ่ายตรงข้ามทำตาโตก่อนจะเอ่ยตามมา

“ประโยคนี้ผมน่าจะเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่า”

“งั้นคุณน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วนี่นา”

“ถ้าอย่างนั้นอย่ารอเวลาอีกเลย”

“รีบไปกันเถอะ”

ทั้งสองคนหันหลังกลับไปมองผืนป่าด้านหลังอีกครั้ง วินาทีนี้ราวกับทุกความทรงจำไหลเวียนไปมาในหัวใจราวกับจะอ้อนวอนขอร้องว่าอย่าไป ภาพเพื่อนแต่ละคนปรากฏขึ้นในมโนสำนึก เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาด้วยกัน จนถึงวันนี้และตลอดไปหลังจากนี้ อาจจะไม่มีวันพบกันได้อีกชั่วชีวิต และการที่เขาจะกระโดดลงไปครั้งนี้อาจจะไปโผล่ที่เดิมหรือพบเจอกับความตาย เขาสองคนก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แค่เพียงมีกันและกันแบบนี้ตลอดไป

“พร้อมนะ”

อันเดรสเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ เวกัสพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินและลอยตัวลงหน้าผาไปโดยไม่กระโดด...

ที่เหลือคือความว่างเปล่ามีเพียงสายลมพัดผ่านไปราวกับจะจารึกความทรงจำทั้งหมดเอาไว้ใต้ที่แห่งนี้...

นี่คือชีวิตความจริงการได้อยู่กับคนที่เรารักตลอดไปเป็นความสุขบนความทุกข์อย่างหนึ่ง เพราะไม่มีใครรู้ว่าสักวันหนึ่งเราจะสูญเสียความสุขเหล่านี้ไปไหม

รักแท้...อาจจะเป็นเพียงความสุขที่เรียบง่าย ไม่มีอะไรหวือหวา แค่ใจสองดวงที่สัมผัสถึงกันและกัน มือทั้งสองข้างที่สอดประสานกันไว้จะไม่มีวันปล่อยออกจนถึงวันสุดท้ายที่มีลมหายใจ...



“เหงาเนอะ”

บีทีนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบขณะที่นั่งอยู่ในบ้านของบีทีนเอง แร็กตาร์ที่นั่งด้านข้างเอื้อมมือไปสัมผัสศรีษะเบาๆ บีทีนรู้สึกว่าสัมผัสจากคนที่เขารักในวันนี้มันเปลี่ยนไปเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความเศร้าจากฝ่ามือนี้

“พี่ซีทก็ตัดสินใจปุบปับว่าจะไปอิตาลีกับเบลมอธ งั้นเราก็เหลือกันไม่กี่คนน่ะสิ แบบนี้มันน่าเศร้าจะตายไป”

ประโยคที่ออกจากปากร่างบางทำให้แร็กตาร์ชะงักไป บีทีนซึ่งพอจะจับอาการเหล่านี้ได้ จึงเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ “นายมีอะไรอยากบอกฉันหรือเปล่า”

แร็กตาร์เงียบไป เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมา...บางอย่างที่อาจจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดกาล

“พ่อแม่ฉันจะให้ไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส”

แววตาสดใสของบีทีนเศร้าลง เขาไม่ใช่คนที่โวยวายไร้สาระ หรือทำตัวน่าเบื่อแบบคนอื่นๆ แต่พอมาถึงวันนี้วันที่ต้องไกลกัน เขาทั้งสองคนจะรักษาความรักเอาไว้ได้ในระยะห่างนับพันกิโลเหล่านี้ได้เหรอ

“แล้วเรื่องของเรา...”

“ฉัน...ไม่อยากให้นายรอฉัน”

“อย่างนั้นเหรอ...”

“ชีวิตยังก้าวไปไกลกว่านี้ นายอาจจะเจอสิ่งที่ดีสำหรับนายมากกว่าฉันคนนี้”

“ทั้งๆ ที่เราสองคนรักกันอย่างนั้นเหรอ”

“แต่ระยะทางเหล่านี้มันไกลเกินไป...”

บีทีนยิ้มออกมาอย่างเศร้าใจ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรื่องระหว่างเขากับแร็กตาร์จะมีวันนี้จนได้ วันที่ความสุขถึงจุดจบ ร่างบางหันไปกอดแร็กตาร์เอาไว้ ใบหน้าเนียนใสซบลงอยู่ที่ไหล่แกร่งของแร็กตาร์

“ฉันดีใจมากเลยนะที่ได้เจอนาย”

“…”

“ขอให้นายมีความสุขกับชีวิตที่นายเลือก และขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เรามาเจอกัน แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ฉันมีความสุขมากจริงๆ นะ”

“….”

“ขอให้นายมีชีวิตที่ดีนะ”

หากความรักเดินมาถึงจุดๆ หนึ่งแล้วเราไม่สามารถประคองมันเดินต่อไปได้ การจบซึ่งทุกอย่างอาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด แม้จะต้องแลกมาด้วยความเสียใจ แต่เพื่อความสุขซึ่งกันและกันนี่คงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

รักแท้...ไม่ได้หมายความว่าทั้งสองฝ่ายจะรักกันตลอดไป และความสุขมักผ่านไปไวเสมอ แต่มันจะถูกสลักไว้กลางใจที่เมื่อเวลาผ่านไปนานขนาดไหนพอนึกถึงมันก็จะมีรอยยิ้มที่มุมปากอยู่เสมอ




เหลือบทส่งท้ายอีกตอนก็จบแล้วครับ (:

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Epilogue
บทส่งท้าย

6 Years later…

สายลมระลอกแล้วระลอกเล่าที่พัดมาพร้อมกับกลิ่นอายเค็มๆ ของทะเลทำให้จิตใจของบีทีนสงบขึ้น เท้าบางที่เหยียบสัมผัสผืนทรายให้ความรู้สึกนุ่มลื่นเหมือนถูกสปานวดฝ่าเท้า ดวงตาที่เคยส่องสว่างไปด้วยความสุขยามนี้กลับทอแววเศร้าและเจือจางความเย็นชาบางๆ ด้วยวัยที่โตขึ้นทำให้เขาเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ราวกับว่าบีทีนคนเดิมที่เคยมีความสุข มองโลกในแง่ดีก่อนหน้านี้ ได้เปลี่ยนไปแล้วพร้อมกับสูญเสียความรัก แต่เขามักจะบอกคนอื่นเสมอว่าไม่ได้เป็นอะไร แค่คิดถึงเพื่อนที่หายไปเท่านั้น

เหตุการณ์ในคราวนั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่แก่หัวใจทุกดวง...

ความรู้สึกของคนที่รอคอยช่วงเวลาเพียงแค่หกปีราวกับผ่านไปพันปี แต่สำหรับชีวิตการทำงานของใครหลายคนหกปีนี่ถือว่าผ่านไปแปปเดียวเหมือนกระพริบตา

เรื่องเมื่อหลายปีก่อนนั้นจางหายไปเหลือเพียงเศษเสี้ยวของความทรงจำให้คนได้นึกถึงและน้ำตาไหลออกมา...

เวกัสกับอันเดรสกลายเป็นบุคคลสูญหายในที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าครั้งสุดท้ายเขาสองคนอยู่ที่ไหนและในปัจจุบันนี้เขาอยู่ที่ไหน
 
จดหมายลาสักฉบับก็ไม่หลงเหลือเอาไว้ คนที่ตามหาก็ได้แต่รอคอยเผื่อว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอกันอีกสักครั้งที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้ ทางตำรวจเองเคยบอกว่าให้ทำใจและคงไม่มีวันหาเจออีกแล้ว แต่บีทีนเชื่อมั่นเสมอว่าแม้จะไม่ได้พบกันอีกชั่วชีวิต ทั้งสองคนนั้นก็จะต้องมีความสุขอยู่อย่างแน่นอน

หลังจากเรียนจบเขาก็ทำงานกับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ แต่ความแปลกใหม่ในชีวิตนั้นไม่เคยทำให้เขายิ้มออกมาได้แบบเต็มใจสักครั้งเลย มีผู้ชายหลายคนผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ไม่มีแม้สักคนที่จะเปิดประตูหัวใจเขาได้เลยสักครั้ง

ทุกครั้งที่มีคนมาตกหลุมรัก สารภาพรักและขอโอกาสจากเขา เขาจะยิ้มและเอ่ยออกไปด้วยเสียงอันนุ่มนวลเสมอ

‘ผมไม่อยากมีความรักอีกแล้วล่ะครับ’

มันเป็นเกาะป้องกันที่คนโง่สร้างมาเพื่อลบล้างความอ่อนแอในใจเขารู้ดี...และเขาไม่ได้จะรอแร็กตาร์ด้วย เวลาผ่านมาป่านนี้แล้วคนๆ นั้นคงมีรักใหม่ไปแล้ว

คงเหลือแต่เขาที่โง่เขลาไม่สามารถลบภาพวันวานดีๆ ไปจากอดีตได้...

เขาปรึกษาซีเครทแล้วได้ความว่าจะไปเรียนต่อปริญญาโทเกี่ยวกับการบริหารที่ปารีส ฝรั่งเศส แวบแรกที่เห็นชื่อมหาวิทยาลัยที่นั่นเขาแอบใจสั่นเล็กน้อยที่รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นโอกาสจากสวรรค์ที่ทำให้เขาสองคนอาจจะกลับมาพบกันอีกครั้ง...แต่คงต้องกลับไปคิดดูอีกทีว่าจะตัดสินใจยังไง

กึก!

บีทีนหยุดชะงักฝีเท้า...

สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทำให้ยีทีนแทบจะหยุดหายใจ... ริมฝีปากบางเอ่ยออกมาเสียงเบา

“แร็กตาร์...”

ร่างสูงคนนั้นถอดแว่นกันแดดสีน้ำตาลอ่อนออกมาคาดไว้ที่ปกเสื้อ เขายิ้มที่มุมปากก่อนหันกลับมามอง แววตาที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน

“ไง”

เสียงของเขา...

บีทีนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกแล้วในเวลานี้...นี่เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม

ขวับ!

วินาทีที่สับสันระหว่างความฝันกับความจริงนั้น ร่างบางตัดสินใจหมุนตัวเดินกลับไปทางเดิมที่จากมาอย่างรวดเร็ว

...บ้าจัง...ทำไมต้องมาน้ำตาไหลต่อหน้าหมอนี่ด้วย...

พึ่บ!

ราวกับเขากำลังฝันไป ร่างสูงคว้าเอวนุ่มเข้ามากอดไว้อย่างแสนคิดถึง เสียงอันอ่อนแอของแร็กตาร์หยุดชะงักทุการกระทำของบีทีน

“อย่าหนีฉันไปไหนอีกเลย...”

“…”

“ฉันขอโทษที่ทิ้งนายไปตอนนั้น”

“ฮึก...”

“หลังจากนี้ทั้งชีวิตฉันจะขอดูแลนายเอง...ได้โปรดอย่าจากไปไหนอีกเลยนะ”

“นาย...ใจร้ายกับฉันมากเลยนะ”

“ฉันรักนายนะ”

น้ำตาที่ไหลออกมาในตอนนั้นเขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นความสุขหรือความเศร้ากันแน่ แต่ที่แน่ๆ หัวใจเขาเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาเลยทีเดียว สายน้ำที่คลอเคลียอยู่ที่เท้าของเขาทั้งคู่รับกับอ้อมกอดที่ทั้งคู่มอบให้กัน ราวกับจะส่องแสงแห่งความสุขออกไปให้ไกลจนสุดขอบฟ้าเลยทีเดียว

บีทีนรู้ตัวดีว่านี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ด่วนสรุปเกินไปและไม่ทันคิดว่าอาจจะกลับมาเจ็บปวดอีกครั้งหรือไม่ แต่อ้อมกอดที่เขาสัมผัสอยู่นี่เป็นความจริงสินะ...เขาขอลองเชื่อในความรักอีกสักครั้งเถอะ...

“อยู่ด้วยกันไปจนแก่เลยนะ...ฮึก...”




มิลาน

“ได้ส่งจดหมายไปหาบีทีนบ้างไหม”

“ก็ส่งตลอดแหละ เด็กนั่นน่ะชอบอะไรคลาสสิคอย่างการเขียนจดหมายแบบนี้”

“แล้วนี่พี่จะกลับเลยไหม หรือจะเดินดูกันอีกรอบหนึ่ง”

ตอนนี้เบลมอธกับซีเครทกำลังเดินชมรูปวาดที่พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ทางเดินสีเงินที่พวกเขาเดินผ่านส่องสะท้อนเงาของพวกเขาสองคนไปมา

“คิดถึงอดีตที่ผ่านมาเหมือนกันเนอะ”

“ใช่ อย่างกับฝันไปแน่ะ”

“คิดถึงความสุขเมื่อครั้งอดีตเนอะ”

“นั่นน่ะสิ แล้วนายคิดจะเปลี่ยนใจบ้างหรือเปล่า”

“พี่หมายถึงอะไรเหรอ”

ฝ่าเท้าหยุดกึกลงเมื่อซีเครทจบประโยคนั้น ร่างสูงด้านข้างหัวเราะเสียงแหะๆ แล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขินเมื่อเผลอถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป

“เอ่อ...คือ...เอ่อ...พี่ไม่ได้ต้งใจจะถามแบบนั้นนะ”

เบลมอธยิ้มเบาๆ ที่มุมปาก

“พี่ทำงานที่หัวหน้าฝ่ายส่งมาเสร็จหรือยัง”

ใช่แล้วล่ะ หลังจากเรียนจบที่มิลาน ทั้งคู่ก็เข้าทำงานในบริษัทออกแบบบ้านยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งด้วยความสามารถของทั้งคู่นี้แล้วบริษัทก็ยอมเซ็นสัญญารับทำงานทันที บวกเงินเดือนอีกเจ็ดหลักนั่นทำให้ชีวิตทั้งคู่สุขสบายขึ้นเยอะโดยไม่ต้องพึ่งเงินจากทางบ้านอีกเลย และนิสัยที่เข้ากับคนง่าย ตั้งใจทำงานตลอดเวลาทำให้เพื่อนๆ ที่ทำงานรักพวกเขากันทั้งนั้น

“หืม...งานโปรเจ๊กที่ต้องส่งให้คุณจีอย่างนั้นเหรอ พี่ทำเสร็จไปตั้งแต่หลายวันก่อนแล้วล่ะ”

“อย่างนั้นเหรอครับ...”

“มีอะไรหรือเปล่า”

เบลมอธเอื้อมมือไปลูบไล้กรอบรูปรูปสวนดอกไม้ในกรอบทองกรอบหนึ่ง ภาพนั้นราวกับจะจารึกทุกความรู้สึกในขณะนั้นของพวกเขาทั้งคู่ไว้

ซินคือผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่เขาจะรักและจดจำไปจนวันตาย ตราบเท่าที่กาลเวลาจะหมุนเวียนไปไกลสักเท่าไหร่ พอนึกถึงเรื่องราวอันแสนหวานในอดีตเขาก็ยังคงร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างทุกครั้ง แต่ตอนนี้เวลาได้เดินทางมาจนถึงจุดที่ควรจะปลอยวางแล้ว

มันนานเกินไปแล้ว...

และเขาก็พร้อมจะเผชิญกับความสุขที่แท้จริงแล้วล่ะ

ริมฝีปากบางสีพีชเอ่ยถ้อยคำหนึ่งออกมาที่ทำให้หัวใจซีเครทพองโตและน้ำตาแทบจะซึมออกมา นี่สินะ...คือความสุขที่เขาตามหา

“ผมอยากสร้างบ้านสักหลังริมทะเลแล้วทำร้านอาหารกับพี่จัง (:”

คนที่อดทนและมีใจยึดมั่นต่อความรักเท่านั้น...ถึงจะได้รับความสุขที่ดีที่สุด





หมอกสีขาวกระจายแผ่ไปทั่วทุกสารทิศ ชายหนุ่มเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย...เขาไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง และมาเขามาอยู่ที่ไหนกัน

กลิ่มหอมอ่อนๆ ลอยฟุ้งไปทั่วอาณาบริเวณทำให้เขาสูดลมหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดอีกครั้ง เบื้องหน้าที่ปรากฏไม่ไกลมีสวนดอกไม้สีขาวอยู่ และที่โขดหินตรงนั้นปรากฏร่างบางของชายกนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น

แววตาเศร้าสร้อยของคนนั้นทำให้เขาก้าวเท้าไปเร็วขึ้น

...บางทีถ้ามีใครสักคนอยู่ด้วยในเวลานี้...เขาอาจจะคิดอะไรออกก็ได้...

“เอ่อนี่...”

ดวงตาเศร้าสร้อยเงยหน้าขึ้นก่อนจะแรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแห่งความสุข

“มีอะไรเหรอ”

“นายรู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหนน่ะ” เขาเอ่ยถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ...

คนตรงหน้ายิ้มบบางๆ ก่อนจะหันไปมองรอบๆ แล้วเอ่ยเสียงเบา “ไม่รู้สิ พอรู้ตัวอีกทีฉันก็มาอยู่ที่นี่แล้ว แต่หากเราเดินไปตามทางนี้เรื่อยๆ คงจะเจอกับทางออกเองแหละ”

“อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นเราเดินไปด้วยกันไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ร่างบางตรงหน้ายิ้มบางเบา แววตาสว่างไปด้วยความยินดี ริมฝีปากเอ่ยออกมา

“เอาสิ แล้วนายชื่ออะไรเหรอ”

“อ๋อ ฉันชื่อซินน่ะ แล้วนายล่ะ”

“ฉันชื่อเชอร์เบล ยินดีที่ได้รู้จักนะ ป่ะ เราไปกันเถอะ”

…บางทีที่นี่อาจจะเป็นสวรรค์


(THE END)




ดีใจมากเลยครับที่นิยายเรื่องนี้จบลงในที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะแต่งมาจนถึงตอนจบได้
ผมทราบดีว่านิยายเรื่องนี้มีข้อผิดพลาดเยอะมากเต็มไปหมด และพยายามแก้ไขอย่างดีที่สุด
จนถึงวันนี้นิยายเรื่องนี้จบลงแล้ว และผมได้เลือกตอนจบที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเรื่องนี้ ^ ^
ถึงแม้ว่านิยายเรื่องนี้จะไม่มีคนคอมเมนท์ แต่ผมไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรือเสียใจเลย เพราะอย่างน้อยก็ยังมียอดวิว
ที่ทำให้รู้ว่ามีคนอ่านนิยายเรื่องนี้อยู่ และถ้าหลังจากอ่านจบนิยายเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนยิ้มได้ นั่นก็เท่ากับว่าบรรลุเป้าหมายผมแล้วครับ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามครับ ((:
PS.หากเวลาผ่านไปและว่างเว้นจากการทำอื่นๆ ผมอาจจะมีภาคพิเศษของอันเดรสกับเวกัสนะครับ
ขอบคุณอีกครั้งนะครับ....





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-03-2014 19:01:45 โดย Homepage »

ออฟไลน์ Serioz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
จบแล้วคงคิดถึงมากขอบคุณที่แต่งนิยายให้อ่านค่ะ

ออฟไลน์ Niinuii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
 :sad4: แอบน้ำตาไหลตอนซิน กับ เชอร์เบลอะ น่าสงสารนะ น่าสงสารมาก สงสารมากจริง ๆ ถึงจะทำเรื่องเลวร้าย แต่ก็เพราะรักใช่ไหมละ เห้อ

neenoo

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด