[Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)  (อ่าน 222514 ครั้ง)

230

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
โอย........  :o12:

ปวดตับ

ไม่พวกเกิดมาเสียชาติเกิด

ย๊ากส์ :z6:

อย่างนี้ต้องเฉือนให้หมด :angry2:

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
ขอบอกว่า โครตหดหู่อ่ะ มันหดหู่เกินไป อาจาร์ยหมอ ก็ยอมตายทั้งเป็นด้วยการนอนในโลงเย็น
แต่หมอซันนี่โ๕รตน่าสงสารอ่ะ โดนขมขืนทรมานไม่พอ ยังโดนฆ่าอย่างทรมานอีก น่าสงสารอ่ะ

โครหดตหู่เลย แบบญาติเราก็เพิ่งเสียไปเมื่อวันอาทิตย์ ถ้าอ่านตอนนั้น คงร้องไห้อ่ะ แบบมันหดหู่บีบรัดใจมากอ่ะ
นี่เป็นนิยายที่เรียกว่าสะท้อนสังคมได้ดีเลยนะ คือแบบเขียนได้จนเห็นภาพ สะท้อนอารมณ์ของคนโดนได้ดีมากอ่ะ
น่าสงสาร บุคคลทุกคนที่โดนฆ่าข่มขืนจริงๆ อาจาร์ยหมอ ก็โง๊โง่นะ เลิกเพราะไม่ควร แล้วจะเอาทำเพื่อแต่ก็ดีที่ตายตามไปด้วย

คนเขียนมาต่อนะ จะรออ่าน เดี่ยวต้องไปจองเรื่องกวินกะรันหน่อยละ 555 สู้ๆคนเขียน :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com
อารัมภบท 4

ผมกำลังนอนอยู่...ในตอนที่แสงสว่างมันส่องผ่านเข้ามาแยงตา อาจารย์คงจะตื่นขึ้นมาเปิดม่านแล้วตามประสาคนที่ชอบตื่นแล้วเช้า

แปลกจัง...ปกติอาจารย์มักจะตื่นก่อนฟ้าสางและปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
รึว่าจะถูกตามตัวด่วน?..

ช่างเถอะ บางทีอาจจะออกไปเตรียมอาหารเช้าแล้วจงใจยังไม่เข้ามาปลุกผมก็เป็นได้ เหตุการณ์แบบเป็นอยู่บ่อยๆยามที่อาจารย์ต้องการให้ผมที่เหนื่อยกับการเป็นนักเรียนแพทย์ปีสุดท้ายได้พักผ่อนให้เต็มที่

อย่างน้อยเวลาว่างที่พอมีก็ควรแบ่งให้กับการนอนหลับให้เพียงพอเพื่อที่สมองจะได้ปลอดโปร่ง

อาจารย์พูดย้ำแบบนี้อยู่บ่อยๆ

แต่ตอนนี้ผมตื่นแล้ว ถึงจะยังไม่อยากลุกสักเท่าไหร่ แต่ก็อยากลุกไปกอดอาจารย์แล้วเล่าความฝันเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้ให้อาจารย์ฟัง อ้อนให้อาจารย์ปลอบผมว่ามันเป็นแค่ฝันร้ายที่ผ่านไปแล้ว แถมด้วยจูบหวานๆที่แสนอบอุ่นของอาจารย์อีกสักทีก็น่าจะดี...

ผมคิดอย่างนั้นแล้วก็ตัดสินใจลืมตาตื่นขึ้นมา

ทว่า..สิ่งที่ผมเห็น ไม่ใช่เพดานห้องสีขาวที่มีโคมไฟสีนวลที่คุ้นตา มันคือท้องฟ้าสีดอกฟอร์เก็ตมีน็อต ดอกไม้ที่อาจารย์ให้ผมเป็นดอกแรกในชีวิตของการเป็นคนรักกัน แม้คนให้จะให้โดยไม่พูดอะไร แต่ผมก็รับรู้ในความหมายที่อาจารย์มอบให้

รักแท้...

คิดแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีความสุขถึงคนรัก

ทว่า..ทำไมภาพของท้องฟ้าสีฟ้าใสมันถึงมาอยู่ในสายตาของผมแทนเพดานห้อง ผมค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมาและเพ่งมองไปรอบข้างที่มันสว่างจ้าเกินกว่าจะเป็นแสงแดด

ภาพขาวโพลนรอบกายค่อยๆจางหายเมื่อผมลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง สัมผัสชื้นแฉะที่เท้าทำให้ความรู้สึกของผมเย็นเฉียบ...

เสียงโวกเวกโวยวายที่เกิดขึ้นไม่ไกลนักทำให้ผมต้องลำสายตาจากภาพลำคลองที่มองแล้วดูไม่สบายใจสักเท่าไหร่

ที่ตรงนั้น...ตรงใต้สะพานรถไฟข้ามคลอง...

มันเป็นที่เกิดเหตุในฝันร้ายของผม

ขาของผมกระตุกจะก้าวเดินเข้าไปดูคนที่กำลังมุงดูอะไรสักอย่างกันอยู่และมีตำรวจหลายนายกำลังกันคนไม่ให้เข้าไปใกล้อยู่ตามหน้าที่ของเขา

ใจของผมนึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที...

ความเจ็บปวดในฝันที่เหมือนจริงทำให้ผมต้องยกมือขึ้นมาลูบอกตัวเอง

ในตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่ความเจ็บปวดใดๆ...

ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยของบาดแผล แต่แค่ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมานอนอยู่ตรงริมตลิ่งข้างคลองแบบนี้เท่านั้น

บางทีตอนที่ผมเดินหนีอาจารย์หลังจากเมื่อคืน อาจจะเดินมาถึงตรงนี้แล้ววูบหน้ามืดล้มลงมานอนอยู่ข้างคลองเท่านั้นก็เป็นได้..

ผมพยายามยิ้มให้กับตัวเองทั้งที่ในใจนึกกังวล

“หรือว่าเราจะตายแล้วอย่างนั้นหรอ?...”

ผมพึมพำออกมาอย่างนึกสงสัยก่อนจะหัวเราะให้กับความคิดนั้นว่ามันไร้สาระมากแค่ไหน ถ้าตายแล้ว คงไม่มายืนกลางแดดแบบนี้ได้หรอก

ผมคิดก่อนจะเดินขึ้นจากตลิ่งไปบนถนน คิดจะกลับไปที่หอพักเพื่อไปขอโทษอาจารย์ที่ทำตัวไม่ดีกับอาจารย์

ทว่าพอจะเดินผ่านจากจุดที่ทุกคนยืนมุงกันอยู่นั้นเอง ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองลงไป

ฆาตกรรมสินะ... ผมคิดเช่นนั้นเมื่อเห็นนายตำรวจสองคนช่วยกันยกถุงห่อศพออกมาวางไว้ก่อนรายงานอะไรบางอย่างให้กับคนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้า

เมื่อคืนคงมีใครบางคนถูกฆ่าตายตรงจุดที่ผมฝันนั่น ก็เลยส่งผลให้ผมที่สลบอยู่ใกล้ๆฝันถึงเหตุการณ์บ้าๆนั่นไปด้วย

ผมหยุดยืนมองและค้อมศีรษะอย่างไว้อาลัยให้กับศพที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร

แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้งก็ต้องตะลึงจนยืนตัวแข็งอยู่กับที่

ตำรวจที่ยืนบังอยู่ขยับออกไป ซิบของถุงห่อศพถูกรูดลงมา โดยที่นายตำรวจสองคนก้มลงมองใบหน้าของศพนั้น ซึ่งจากมุมที่ผมยืนอยู่มันทำให้ผมเห็นใบหน้าของศพในถุงใบนั้นอย่างชัดเจน

มันเป็นผมเองที่นอนอยู่ในนั้น!

“ไม่จริง...ไม่จริง!!!”

ผมกรีดร้องสุดเสียงอย่างรับไม่ได้กับความจริง แต่ไม่มีใครสักคนทำท่าว่าได้ยินเสียงของผม

ผมถลาลงเนินตลิ่งไปและเข้าถึงถุงศพนั้นได้โดยไม่มีใครขัดขวาง

“ไม่จริง! ไม่จริง!! ไม่จริง!!!”

ผมได้แต่พูดคำนั้นออกมานับครั้งไม่ถ้วนขณะเพ่งมองดูร่างของตัวเองในถุงศพนั้นอย่างตื่นตะลึงและรับไม่ได้ ใบหน้าของผมช้ำและบวมแดง ส่วนอื่นของร่างกายที่ไม่อาจมองได้เห็นเพราะถุงศพมันบดบังเอาไว้คงมีร่องรอยของการทารุณอยู่เป็นแน่ ผมสัมผัสใบหน้าของตัวเองด้วยสองมือที่สั่นเทาก่อนร้องไห้ออกมา...

ผมตายแล้ว....ผมตายแล้วจริงๆอย่างนั้นหรอ...

จะไม่มีวัน...ได้พบกับอาจารย์อีกแล้วใช่ไหม....

แม้ผมจะร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดตรงนั้น...ก็ไม่มีใครที่จะได้ยิน...

“รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?”

เสียงของนายตำรวจที่ยืนอยู่ข้างๆถามขึ้นมา ผมมองลูกน้องของเขาส่ายหน้าช้าๆ

“ไม่ทราบครับ ไม่มีเอกสารติดตัวผู้ตายเลย”

แน่ล่ะ ผมถูกลากมาที่นี่ทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า กระเป๋าเงินในกระเป๋ากางเกงของผมก็ถูกพวกมันล้วงไปตั้งแต่กรีดเสื้อผ้ากับกางเกงของผมออกตอนอยู่ในตรอกแล้ว ป่านนี้พวกมันคงเผาทุกอย่างไปหมดและเอาเงินของผมไปใช้อย่างปรีดิ์เปรม

กว่าตำรวจจะสืบรู้ว่าผมเป็นใคร

กว่าอาจารย์จะรู้ว่าผมไม่มีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้แล้ว...

มันจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกัน?

ขณะที่ผมกำลังนึกอยู่ว่าจะทำอย่างไรดีให้เขารู้ว่าคนที่ตายคือผม หนึ่งในคนที่มามุงดูก็อุทานร้องเสียงหลงขึ้น ผมและนายตำรวจทุกคนหันมองไปทางเธอ ผมอดไม่ได้ที่จะดีใจเมื่อเห็นหน้าเธอ เธอคือแม่ค้าคนที่เคยเตือนผมนั่นเอง

“ฉันรู้จักค่ะ น้องเขาเป็นนักเรียนแพทย์ชื่อน้องซัน มันต้องเป็นพวกไอ้โต ไอ้อันธพาลที่สุมหัวมั่วยากันอยู่ในตรอกใกล้ๆนี่แน่ มันเล็งน้องเข้าไว้อยู่ ฉันก็เคยเตือนน้องแกแล้วว่าอย่าไปไหนมาไหนตามลำพัง”

เธอพูดไปก็ร้องไห้ไปจนตาแดง ผมรู้สึกขอบคุณที่เธอห่วงใยผมและรู้สึกเสียใจกับการตายของผม และขอบคุณที่เธอช่วยระบุตัวคนร้ายอย่างชัดเจนให้ตำรวจรับรู้

“นักเรียนแพทย์ชื่อซันอย่างนั้นสินะ..ถ้างั้นก็พอดีเลย เราต้องส่งศพไปตรวจที่นิติเวชพอดี ยังไงคุณรีบจัดการเรื่องหลักฐานจับคนร้ายโดยด่วน แล้วก็ออกไปสืบดูด้วยว่าไอ้พวกแก๊งนั้นมันไปทำอะไรที่ไหนเมื่อคืน ถ้ามันมีพิรุธก็ออกหมายจับมันเลย”

ผมฟังตำรวจคุยกันก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อนายตำรวจชั้นผู้น้อยก้มลงมารูดซิบถุงศพของผมและยกถุงศพของผมขึ้นรถกู้ภัยไป

ผม...ควรจะตามร่างของตัวเองไปหรือเปล่า....

หรือจะไปหาอาจารย์ดี...

ผมรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่วิญญาณของผมจะยังอยู่แบบนี้...

เวลาของผม...จะหมดลงอย่างแท้จริงเมื่อไหร่กัน

ผมยืนเฝ้าคิดอย่างนั้นจนได้ยินเสียงรถสตาร์ท รถกู้ภัยกำลังจะแล่นออกไปจากที่เกิดเหตุ นาทีนั้นผมตัดสินใจที่จะตามร่างของตัวเองไป

ร่างของผมถูกส่งเข้ามายังแลปนิติเวชที่โรงพยาบาล ผมมองดูภายในห้องอย่างไม่คิดว่าตัวเองจะกลายเป็นหนึ่งในศพที่ต้องพึ่งแลปนี้ชันสูตร..ร่างกายของผมจะต้องถูกกรีดออกเพื่อตรวจดูอวัยวะภายใน...เพียงแค่คิด ความหม่นหมองก็ลอยวนมาจับตัวผมขังเอาไว้

ผมยืนมองดูร่างของตัวเองถูกนำออกจากถุงห่อศพโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนาย ขณะที่อีกคนหันไปยืนพูดกับแพทย์นิติเวชประจำแลปสองท่านคร่าวๆ

“คดีข่มขืน ช่วยจัดการนำอสุจิไปตรวจก่อนเลยแล้วกันนะครับ เราจะได้รีบออกหมายจับคนร้าย”

“ครับ”

อาจารย์นิติเวชผู้ชายรับคำแล้วหยิบมาส์กที่คาดอยู่ตรงคอขึ้นมาสวม เขาเดินเข้ามาทางปลายเตียงและไม่ได้หยุดมองใบหน้าของผม  ก้มศีรษะยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้และหันไปทางพยาบาลที่ยกเครื่องอัดเสียงเข้ามาใกล้

“เวลาเจ็ดนาฬิกาสามสิบเก้านาที เริ่มการชันสูตร”

อาจารย์นิติเวชพูดเสร็จก็ขยับขาของผมแยกออกและงอขึ้น ผมเบือนหน้าหนีจากภาพของร่างกายตัวเองที่ถูกย่ำยีด้วยอมนุษย์พวกนั้น ซอกสะโพกที่มักจะรับความรักของอาจารย์ไว้มันยับเยินไม่เหลือดี น้ำขุ่นคาวมันทะลักออกมาเมื่ออาจารย์นิติเวชสอดเครื่องมือเข้าไปเพื่อเก็บกักอสุจิของคนร้ายในร่างกายของผม

“คุณรีบเอาไปตรวจแล้วส่งข่าวบอกตำรวจเขาเลยนะ”

อาจารย์นิติเวชผู้ชายเดินกลับไปยื่นเอาหลอดเก็บอสุจิให้กับอาจารย์ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงโต๊ะ ผมมองตามหลอดนั้นด้วยความอาฆาต...

ขอให้พวกเขาตามจับมันทั้งหมดให้ได้ ขอให้มันต้องชดใช้กรรมที่ทำไว้กับผมในคุกจนวันตาย

“ว่าแต่..ผู้เสียชีวิตชื่ออะไรหรอคะ?”

อาจารย์ผู้หญิงที่ง่วนอยู่กับแฟ้มคดีอื่นตั้งแต่ตอนแรกที่ร่างของผมถูกนำเข้ามาเงยหน้าขึ้นมาถาม ผมเห็นอาจารย์ผู้ชายเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนเปิดแฟ้มของผม

“ซัน...เอ๊ะ?..รู้สึกจะเป็นนักเรียนของเราด้วย..”

“เอ๊ะ!”

ทั้งอาจารย์ผู้หญิงและอาจารย์ผู้ชายอีกคนที่ผมคุ้นหน้าต่างพากันอุทานขึ้นมา ทั้งสองถลาลุกจากเก้าอี้ของตัวเองมายังเตียงที่วางร่างของผม

“คุณพระ!”

อาจารย์ผู้หญิงยกมือขึ้นทาบอกตัวเองและทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยกริยาไม่ต่างจากอาจารย์ผู้ชายอีกท่าน

แต่คนที่ทำการเก็บอสุจิออกไปจากร่างกายของผมซึ่งเป็นอาจารย์ที่ผมไม่ค่อยได้เจอบ่อยนักกลับแสดงทีท่างุนงง คงจะไม่รู้จักผมเหมือนกับสองคนนั่น

“ทะ..โทร..โทรตามอาจารย์รุทธ์เร็วเข้า ตอนนี้คงราวน์อยู่พอดี เร็วเข้า!”

อาจารย์ผู้ชายที่รู้จักผมส่งเสียงบอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เขาพยุงกายลุกขึ้นมาจากพื้นและเข้าไปพยุงอาจารย์ผู้หญิงด้วย

ผม..จะได้เจอกับอาจารย์แล้ว...

“ไม่จริงใช่ไหมคะพี่...ทำไมถึงเป็นน้องแกได้ล่ะ...”

ผมได้ยินเสียงอาจารย์ผู้หญิงถามเช่นนั้น

มันเป็นคำถามเดียวที่กับที่ผมเฝ้าถามตัวเองเช่นกัน

ทำไมต้องเป็นผม...

ทำไมเรื่องเลวร้ายพวกนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับผมด้วย...

 

ผมเฝ้ามองดูอาจารย์ทั้งสามยืนล้อมอยู่กับร่างของผมที่ตอนนี้มีผ้าคลุมมาห่มปิดอยู่ทั้งตัวและหน้าอยู่ครู่ใหญ่เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยก็ดังมาตามระเบียง จังหวะการก้าวเดินที่หนักแน่นมันคงของอาจารย์ทำให้ผมหันขวับไปทันที

ร่างสูงในชุดกาวน์สีขาวทับเสื้อเชิ้ตสีดอกฟอร์เก็ตมีน็อทที่ผมคิดถึงก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า

“อาจารย์...”

ผมครางเรียกอาจารย์แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ยิน อาจารย์เดินผ่านผมที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าไปหาอาจารย์ท่านอื่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ ผมเดินตามอาจารย์ไปหยุดอยู่ข้างเตียงและได้ยินเสียงอาจารย์ท่านอื่นเอ่ยทักอาจารย์ของผม

“หมอ..มาแล้วหรอ?”

ตรงหน้าคือแผ่นหลังของผู้ชายที่ผมรัก ผมยกมือขึ้นมา มันสั่นเทาเล็กน้อยอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่ในที่สุด ความปรารถนาที่ล้นอยู่ในอกก็ทำให้ผมแตะปลายนิ้วลงบนหลังของอาจารย์

ผมสัมผัสอาจารย์ได้ แต่อาจารย์ไม่รู้เลยสักนิดว่าผมสัมผัสเขาอยู่ น้ำตาไหลกลิ้งลงมาอาบแก้มของผม

            เป็นวิญญาณแล้วยังจะร้องไห้ได้อีก..แปลกจริง ผมนึกอย่างสมเพชตัวเอง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้สะอื้นออกมา

            ความตายมันเหงามากแค่ไหน...เพิ่งได้รู้

ไออุ่นที่เคยได้รับจากอาจารย์ ต่อจากนี้คงไม่มีอีกแล้ว มีแต่ความหนาวเย็นที่ไร้ชีวิตชีวา

ผมสะอื้นเงียบๆ ในจังหวะที่ผ้าคลุมร่างถูกเปิดออก... ผมหลับตาลงอย่างเจ็บปวด...

อาจารย์กำลังจะรู้แล้วว่าศพที่ถูกเรียกลงมาให้ดูคือร่างของผม

ลูกศิษย์รักของอาจารย์ในสายตาของใครต่อใคร...

แต่แอบซ่อนรักกันมานานกว่าสามปี..ก่อนที่มันจะจบลง

“ซะ..ซัน!”

เสียงทุ้มของอาจารย์อุทานชื่อผม ร่างของอาจารย์ที่ยืนอย่างมั่นคงเมื่อสักครู่เซไปเล็กน้อยจนปลายนิ้วของผมที่วางแตะไว้มันเว้นห่างจากหลังของอาจารย์

เสียงของอาจารย์ผู้ชายเล่าเรื่องทั้งหมดคร่าวๆที่อ่านจากแฟ้มอย่างรวดเร็วระหว่างที่คอยให้อาจารย์ลงมาให้ฟัง

“ตำรวจพบศพของน้องเขาเมื่อชั่วโมงก่อน ร่างของน้องเขาถูกทิ้งไว้ตรงลานว่างใต้สะพานรถไฟตรงหลังโรงพยาบาลของเขา ตำรวจสันนิษฐานว่าต้องมีคนร้ายไม่ต่ำกว่าสามคนแน่ๆ พวกมันข่มขืนน้องเขาเสร็จแล้วก็ คงแทงปอดน้องเขาก่อนหนีกันไป”

แปด...

แปดต่างหาก...

ผมนึกแก้คำสันนิษฐานของตำรวจในใจอย่างอดสู

และตกอยู่ในภวังค์ของความแค้นอาฆาตที่ถูกทำร้าย ก่อนจะตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงอาจารย์โพล่งถามด้วยเสียงสั่นเครือ

“เขาถูกข่มขืนด้วยหรอครับ?..”

เหมือนมีดกรีดลงกลางใจของผม...มันเจ็บปวดเหลือทนที่ให้อาจารย์ต้องรับรู้เรื่องราวเลวร้ายพวกนี้ ผมอ้าแขนออกกอดอาจารย์ไว้ทั้งตัว ซบแนบหน้าลงกับหลังไหล่กว้างของคนที่ไม่อาจกอดผมไว้ได้อีก..

ผมร้องไห้อีกครั้ง...

อยากจะบอกอาจารย์ว่าผมเจ็บแค่ไหนกับสิ่งที่พวกมันทำกับผม...อยากเตือนให้อาจารย์ได้รู้ว่าพวกมันก็จ้องจะทำระยำแบบนั้นกับอาจารย์ด้วยเช่นกัน

แม้จะไม่รู้ว่าอาจารย์จะยังรักผมอยู่เหมือนเดิมไหม

แต่คำว่ารักและเป็นห่วงของผมที่มีต่ออาจารย์มันฝังรากลึกอย่างไม่ต้องการที่จะย้ายรากไปไว้ที่ใคร

หัวใจของอาจารย์จะเหมือนผมหรือเปล่า...

ผมอยากรู้เสียจริง....

ระหว่างที่ผมคิดอยู่นั้นเอง อาจารย์ก็ขยับถอยหลังมาเล็กน้อย ในมือกำลังกรีดมีดไปตามแผ่นอกของผม การถอยหลังของอาจารย์ทำให้มือของผมที่วางอยู่บนแผ่นหลังกว้างนั้นจมหายไปในร่างกายของอาจารย์

‘ซัน...’

ผมชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของอาจารย์เรียกชื่อ สำเนียงเสียงที่แสนเศร้าหมองนั่น แน่ใจว่ามันไม่ได้หลุดออกมาจากริมฝีปากของอาจารย์

ผมที่รีบดึงมือกลับออกมาตอนแรก มองไปที่มือของตัวเองสลับกับแผ่นหลังของอาจารย์อย่างไม่แน่ใจนักว่าตัวเองหลอนไปหรือว่ายังไง แต่เพราะอยากได้ยินอีกครั้งจึงวางมือทาบไปกับแผ่นหลังของอาจารย์ ผมกลั้นใจดันมือตัวเองเข้าไปในร่างกายของอาจารย์ด้วยความรู้สึกคาดหวัง

‘ซัน...’

เสียงทุ้มของอาจารย์กำลังเรียกชื่อผมอยู่จริงๆ มันไม่ใช่การเรียกที่เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่มันเป็นเสียงร่ำร้องที่อยู่ข้างใน...ผมเลื่อนมือไปยังจุดหมายที่ผมนึกรู้ว่ามันจะบอกให้ผมรับรู้ถึงสิ่งที่อาจารย์เก็บซ่อนไว้ข้างใน

และทันทีที่ปลายนิ้วของผมสัมผัสกับสิ่งที่เต้นอย่างเป็นจังหวะแต่แผ่วเบาเสียเหลือเกินของอาจารย์ น้ำตาของผมก็ต้องไหลออกมาอย่างแสนเศร้า

‘ซัน...ผมขอโทษ’

คำขอโทษของอาจารย์ที่ผมนึกชังมันจนไม่อยากได้ยินก่อนตาย หัวใจของอาจารย์มันร่ำร้องแต่คำนี้

มีเพียงคำนี้เท่านั้น

ทว่าตอนที่ผมสัมผัสหัวใจของอาจารย์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เหตุของผลที่เกิดขึ้นกับการตัดสินใจของอาจารย์รวมทั้งความรู้สึกของอาจารย์ในช่วงเวลานี้

ผมรับรู้ได้หมดทุกอย่างโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ

คนที่ผมเคยคิดว่าใจร้ายกับผมมากมาย...คิดว่าเขาไม่รักผมแล้ว แต่แท้จริงกลับเป็นคนใจดีที่มีแต่ความหวังดีกับความรักมากมายให้กับผม

ผมหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาและดึงมือออกจากหัวใจของอาจารย์ที่น่าสงสารของผม

“อาจารย์..”

(ต่อ)

ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com

เสียงเรียกแผ่วเบามันหลุดจากลำคอของผม เสียงเรียกที่คนถูกเรียกคงไม่มีวันได้ยิน

“อย่าโทษตัวเองเลยนะฮะ...ผม ผิดเอง...”

ผมบอกก่อนอิงแก้มลงกับแผ่นหลังของอาจารย์อีกครั้ง สอดสองมือเข้าไปกอดเอวอาจารย์ไว้แล้วกระซิบพูด

“ทั้งหมด...เป็นความผิดของผมเอง”

ผิดที่ไม่เข้าใจถึงความใจดีของอาจารย์ ไม่เข้าใจว่าอาจารย์รักผมมากมายแค่ไหน

รักมากถึงขั้นยอมปล่อยมือจากผม เพื่อให้ผมที่เป็นเด็กกำพร้าไปเจอใครสักคนที่อาจสร้างครอบครัวที่อบอุ่นในวันข้างหน้า ทดแทนครอบครัวที่ขาดหายไป

แต่อาจารย์คงไม่รู้...

ว่าความสุขของผม มันไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์ปรารถนาให้ผมมีเลยแม้แต่น้อย

ความสุขของผมก็คืออาจารย์...คือการได้อยู่เคียงข้างกับอาจารย์และรักอาจารย์ตลอดไป...

“โง่จังเลยนะฮะ...”

ผมพลิกหน้ามาซบหลังอาจารย์เอาไว้แล้วกอดเขาแน่นขึ้นอย่างรู้สึกอดสูกับโชคชะตาของตัวเองกับคนรัก

ความโง่ของเราทั้งคู่ทำให้เราต้องจากกัน ทั้งที่ยังต่างก็รักกันและกันอย่างสุดใจ..

ผมยิ้มอย่างขมขื่นขณะฟังเสียงหัวใจของอาจารย์กำลังร้องไห้อยู่ข้างใน

ภายในห้องมีแต่ความเงียบ คำพูดของอาจารย์แต่ละท่านคือการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของผม สลับกับการบันทึกเสียงลงไปเป็นข้อมูลหลักฐาน จนกระทั่งอาจารย์กรีดมีดเปิดชั้นผิวหนังของผมออกจนใกล้เสร็จ อาจารย์ผู้หญิงก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ปลงสังเวช

“น้องแกเพิ่งเรียนจบ ยังไม่ได้เริ่มต้นทำงานเลยแท้ๆ...น่าเสียดายจัง”

ผมคลี่ยิ้มเศร้ากับคำพูดของอาจารย์ท่านนั้น

ใครเลยจะรู้ว่าผมไม่ได้เสียดายความรู้ที่ได้พากเพียรพยายามมาทั้งชีวิตจนเกือบจะสู่จุดสำเร็จเลยสักนิด

สิ่งที่ผมเสียดาย...

มีเพียงผู้ชายที่ผมกำลังกอดอยู่นี่...กับความรักของเขา

ผมยังคงต้องการมัน แม้กระทั่งผมตายแล้ว..

“แกน่ารักนะ เวลาสวนกันทีไรก็ยิ้มจนตาหยีให้ ไม่แปลกเลยที่หมอจะรักน้องเขา ผมเองยังแอบมองน้องเขาบ่อยๆเลยเวลาเดินสวนกัน”

ผมขยับตัวมามองหน้าอาจารย์ด้วยความอยากรู้ว่าอาจารย์จะตอบไปว่าอย่างไร สิ่งที่ผมเห็น คือแววตาที่อยู่เหนือมาส์กสีขาวที่อาจารย์สวมไว้ แววตาที่แสนเศร้าและหม่นหมองระคนเจ็บปวด

“ผมทะเลาะกับเขาเมื่อคืน..ถ้าผมไม่งี่เง่าทำเขาโกรธจนหนีออกไปจากห้อง เขาก็คงไม่ต้องเจอกับเรื่องพวกนี้”

เสียงของอาจารย์ไม่ต่างอะไรกับแววตาเลยสักนิด

ผมขยับตัวอีกครั้ง เดินมาข้างหน้าอาจารย์แล้วกอดเขาเอาไว้ ซุกหน้าลงกับอกกว้างที่ผมรัก อยากบอกคนรักเหลือเกินว่าอย่าโทษตัวเองเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นกับผม ผมไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของอาจารย์

มันเป็นความเลวระยำของสัตว์นรกพวกนั้นต่างหาก

“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นะหมอ..น้องเขาคงถึงคราวจริงๆ ยังไงเราก็ต้องช่วยกันฟังเสียงจากน้อง หาหลักฐานไปเอาผิดคนร้ายให้ดิ้นไม่หลุดแล้วกันนะ”

ผมยิ้มให้กับคำพูดจากใจจริงที่มุ่งมั่นจะตามจับคนร้ายที่ทำร้ายผม ก่อนเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ เสียงในหัวใจของอาจารย์ก็ไม่ต่างกันกับอาจารย์ท่านอื่นๆ

หลังจากเงียบกันไปมานานนัก ก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง

“พระเจ้า...”

ผมได้ยินเสียงอาจารย์ผู้หญิงคราง หลังจากที่อาจารย์ค่อยๆดึงแผ่นผิวหนังของผมเปิดออกกว้าง สภาพอวัยวะภายในของผมที่ถูกทำร้ายมันเลวร้ายเกินจินตนาการ...

และหันมองไปก็ต้องหลับตาลง แต่ภาพของอวัยวะส่วนตับที่ถูกกระทืบจนแตกกับลำไส้ที่ฉีกขาดบางส่วนมันก็ยังคงลอยเด่นอยู่ในโสตประสาท

มือของอาจารย์นิ่งค้างคล้ายอาการทำอะไรไม่ถูกกับภาพตรงหน้า

ผมรู้ดีว่าอาจารย์ไม่ใช่คนอ่อนไหวขนาดที่ทำใจไม่ได้กับสภาพภายในของศพที่มันเละเทะขนาดนี้

แต่เพราะร่างกายที่กำลังชันสูตรนี้คือร่างกายของผม

ภายในใจของอาจารย์มันจึงกำลังบีบรัดด้วยความทรมาน

ความทรมานที่มีชื่อว่า ‘การโทษตัวเอง’ อยู่นั่นเอง

ผมจูบเบาๆที่ปลายคางของอาจารย์คล้ายจะปลอบโยนให้อาจารย์ไม่คิดมากก่อนอิงหน้าลงกับไหล่ หางตามองดูมือของอาจารย์ที่ลอยอยู่เหนือร่างตัวเอง ดั่งลังเลเล็กน้อยว่าหลังจากจากนี้จะเริ่มต้นตรงจุดไหนต่อไปดี

“กระเพาะ...”

ผมกระซิบที่ข้างหูของอาจารย์ก่อนใช้มือจับมือของอาจารย์เลื่อนไปยังตำแหน่งของจุดนั้นอย่างช้าๆ..

อีกหนึ่งจุดที่สำคัญยิ่ง มันเก็บทั้งหลักฐานเวลาตายของผมและอสุจิอีกส่วนจากไอ้พวกคนร้ายเอาไว้ ไม่ต่างอะไรกับลำไส้ที่อาจารย์แพทย์นิติเวชท่านอื่นนำเอาไปตรวจแล้วในขั้นต้น...

ผมซบหน้าอิงอยู่กับไหล่และกอดอาจารย์เอาไว้ตลอดระยะเวลาที่เฝ้ามองดูร่างของผมอยู่ในกระบวนการชันสูตร และรู้สึกขอบคุณอาจารย์แพทย์นิติเวชทั้งสามจับใจ ที่ยอมให้อาจารย์เป็นคนชันสูตรร่างของผมและยังให้เกียรติที่จะไม่แตะต้องร่างกายของผม ปล่อยให้ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของอาจารย์หมออนิรุทธ์คนรักของผมแต่เพียงผู้เดียว

เวลามันผ่านไปแสนเนิ่นนาน...

ในที่สุดร่างของผมก็ได้รับการชันสูตรจนเสร็จ อาจารย์บรรจงหยิบเอาอวัยวะส่วนต่างๆวางคืนกลับไปในร่างของผมก่อนจะเริ่มทำการเย็บและทำความสะอาดให้อย่างประณีต ผมรู้ว่าตั้งใจทำทุกสิ่งให้ผมเป็นอย่างดีเพราะมันเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะทำอะไรสักเพื่อผมได้

แค่คิด ความเศร้ามันก็ยิ่งเกาะแน่นไปในใจ

ร่างของผมถูกนำมาไว้ในโลงแคบ โลงปรับอุณหภูมิที่แสนเหน็บหนาว...ผมนั่งลงบนขอบโลงมองดูตัวเองและอาจารย์ที่ยืนมองดูร่างไร้ลมหายใจของผม

“หมอ...” อาจารย์ท่านหนึ่งเดินเข้ามาหาและส่งเสียงเรียกอย่างเป็นห่วง

“ขอผม...อยู่กับซันตามลำพังได้ไหมครับ?”

ผมรู้ดีว่าทำไมอาจารย์ถึงเอ่ยขอออกไปเช่นนั้น

นับตั้งแต่เห็นศพผม น้ำตายังไม่ไหลลงมาจากดวงตาของอาจารย์เลยสักหยด ผิดกับภายในที่เอาแต่ร่ำร้องจนผมรู้สึกเศร้ากับการจากไปของตัวเองที่ทำให้คนที่รักต้องเสียใจมากมายถึงเพียงนี้

ยามนี้คนรักที่แสนอ่อนโยนของผมคงต้องการเวลาเป็นส่วนตัว เพื่อร้องไห้ให้กับผมโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าผมไม่อยากเห็นน้ำตาของเขา...

 คนตายมีห่วง...

ประโยคนี้มีความหมายที่เจ็บปวดมากเพียงใด ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมเพิ่งเข้าใจมัน

ทันทีที่เห็นใบหน้าหมองคล้ำปราศจากมาส์กของอาจารย์ที่โน้มตัวลงมากอดร่างไร้วิญญาณของผม น้ำตาของอาจารย์มันไหลพรูลงไปตามแก้มของเขาที่พรั่งพรูคำพูดขอโทษจากใจออกมา

“ซัน....”

“ผมขอโทษ...ผมไม่น่าใจร้ายกับคุณเลย...”

ไม่....ไม่สักนิด

อาจารย์ไม่เคยใจร้ายกับผม...

ผมผิดเองที่ไม่เข้าใจความใจดีที่แสนอ่อนโยนของอาจารย์...

ผิดเองที่เอาแต่ใช้อารมณ์ผิดหวังของตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ยอมคุยกับอาจารย์ว่าสิ่งที่อาจารย์ตัดสินใจไปนั้น มันมีเหตุผลจากอะไร...

ผมมองดูอาจารย์กอดศพตัวเองด้วยความสะเทือนใจ และนึกอิจฉาร่างไร้วิญญาณของตัวเองที่ได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดของอาจารย์จนทำในสิ่งที่ถ้าเป็นตอนยังมีชีวิตอยู่คงหัวเราะอย่างขบขันไม่น้อย

ผมก้าวลงไปในโลงนั่นและเอนตัวนอนลงทับร่างของตัวเอง

ความรู้สึกหนักอึ้งและเหน็บหนาวมันกดทับไปทั่วตัว ทันทีที่วิญญาณนอนลงไปในกายหยาบของตัวเอง

ผมมองอาจารย์ผ่านเปลือกตาที่กำลังปิดสนิท เห็นสีหน้าเศร้าเสียใจของอาจารย์อย่างชัดเจน น้ำตาของอาจารย์ไหลลงอาบแก้มของผม

ผมเสียใจที่ทำให้เขาต้องร้องไห้...

“ซัน...”

“ไม่ว่ายังไง..ผมก็ยังคงรักคุณเสมอ...ผมขอโทษ..”

มันเป็นคำรักที่แสนเศร้านัก ผมสะอื้นอยู่ในร่างของตัวเอง ขณะที่อาจารย์แนบริมฝีปากลงมาจูบศพของผมอย่างไม่รังเกียจ

ช่างเป็นจูบที่แสนเจ็บปวดและร้าวไปทั้งใจ

อาจารย์ทรุดนั่งลงข้างๆและซบหน้าร้องไห้กับขอบโลงของผม มือของเขายังคงจับมือผมไว้แน่น..

กลิ่นอายของความรู้สึกผิดมันกระจ่างฟุ้งจากใจของอาจารย์พาให้หัวใจของผมทวีความเจ็บปวดยิ่งกว่าเก่า...

“อาจารย์...”

ผมเรียกเขาออกไปทั้งที่ริมฝีปากยังคงปิดสนิท แต่เสียงมันแผ่วเบาจนผมคิดว่าเขาคงจะไม่มีวันได้ยิน

ทว่า..เหมือนกับมีปาฏิหาริย์...

อาจารย์ผุดลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าและก้มมองผมที่อยู่ในโลงด้วยสายตามีความหวัง...

หากหัวใจของผมยังคงเต้นได้ มันคงสั่นระรัวจนแทบจะหลุดออกจากอก

“อาจารย์...”

ผมพยายามเปล่งเสียงเรียกเขาออกไปอีกครั้ง อาจารย์เอื้อมมือมาแตะที่แก้มของผม...

“ซัน...นั่นเสียงของคุณใช่ไหม...นั่นเสียงของซันใช่ไหม?”

ใช่...มันเป็นเสียงของผมเอง

ผมอยากบอกอาจารย์อย่างนั้น แต่เพราะฝืนกฎของโชคชะตาหรืออย่างไร อยู่ดีๆผมก็รู้สึกว่ารอบตัวของผมมันมืดสนิท ทั้งร่างมันเย็นเฉียบขึ้นมาราวกับถูกแช่แข็ง...

“อาจารย์...ผม...หนาว...”

หนาวเหลือเกิน..

ความมืดและความหนาวนี้มันคืออะไร...

เวลาของผมมันจะหมดลงอย่างแท้จริงอย่างนั้นหรือ?

ขอโอกาส...ให้ผมได้พูดกับอาจารย์อีกสักครั้งจะได้ไหม...

ขอเพียงครั้งเดียว...

ถึงจะต้องถูกจองจำไว้ความมืดตลอดกาลก็ยอม...

แล้วก็เหมือนโชคชะตาจะเมตตา..ดวงตาของผมค่อยๆลืมขึ้นมามองเห็นแสงสลัว ใบหน้าของอาจารย์ลอยอยู่ตรงหน้า ผมค่อยๆคลี่ยิ้มให้เขาอย่างเหนื่อยอ่อน

“อาจารย์...”

“ซัน..”

อาจารย์เรียกชื่อผมก่อนก้มลงมาจูบแผ่วเบาที่ริมฝีปากของผมเนิ่นนานแล้วผละไปจูบที่หน้าผากอย่างถนอม ผมรับจูบของอาจารย์เอาไว้ จดจำทุกความรู้สึกจากใจของอาจารย์ก่อนพรั่งพรูให้เขาฟัง..

“อาจารย์...ผมหนาว...ผม...ไม่อยากอยู่..คนเดียว..”

ความมืดและความเหน็บหนาวที่ไม่มีอาจารย์นี้ มันเหมือนฆ่าผมให้ตายทั้งเป็นอีกครั้ง

มันทรมานเสียยิ่งกว่าตอนที่ไอ้เดรัจฉานพวกนั้นมันรุมทำร้ายผมจนสิ้นใจ...

อาจารย์..ผมไม่อยากจากอาจารย์ไปไหน

อยากอยู่กับอาจารย์ตลอดไป...

“ไม่..ซันไม่ได้อยู่คนเดียว...ผมอยู่กับคุณที่นี่...และจะอยู่กับคุณตลอดไป...”

คำพูดของอาจารย์ทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างดีใจ ความรู้สึกบางอย่างมันเกิดขึ้น..และยากที่จะหักห้ามใจเอาไว้ได้ แม้จะรู้ดีว่ามันผิดมากเพียงใด...

แต่ก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งมันไว้ได้อีกแล้ว...

ผมยังคงยิ้มให้กับคำพูดของอาจารย์ก่อนยังมือขึ้นมาลูบแก้มเขา

“อยู่...กับซัน...ตลอดไปนะฮะ...”

ผมถามเขา...อย่างต้องการคำตอบ

ว่าผมจะไม่เสียใจในสิ่งที่ผมคิดจะทำมันลงไป...

“ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป”

อาจารย์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและก้มลงจูบริมฝีปากของผมอีกครั้ง

รสจูบมันแสนหวานจนผมมีความสุขเป็นครั้งแรกหลังจากไร้สิ้นซึ่งลมหายใจ

ผมค่อยๆยกมือขึ้นมากอดรอบคอของอาจารย์ไว้ ออกแรงที่มีดึงให้ร่างของอาจารย์เซล้มลงมาในที่ที่ผมนอนอยู่ทั้งที่เรายังคงจูบกัน...

ความมืดกลับมาเยือนอีกครั้งเมื่อฝาโลงมันปิดสนิทลงมาและโลงนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่ภายในตู้ปรับอุณหภูมิตามความต้องการของผม...ทว่าไร้ซึ่งความเหน็บหนาวที่ผมได้สัมผัส อาจารย์กอดร่างของผมเอาไว้ มอบความอบอุ่นให้กับจิตใจและวิญญาณของผม...

“ซัน....”

“ฮะอาจารย์...?”

ผมซบหน้าลงกับอกของอาจารย์และฟังเสียงหัวใจของอาจารย์ที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ อีกไม่นานมันคงจะหยุดลงเหมือนกับผม..

“ผมกำลังฝัน..”

“ฝันอะไรหรอฮะ?”

เสียงของอาจารย์เงียบหายไปพักใหญ่แต่ความอบอุ่นยังคงมีอยู่ อาจารย์กอดผมแน่นขึ้น

“ฝันถึงวันที่ไม่มีคุณน่ะ...”

“อย่าฝันแบบนี้อีกนะฮะ..” ผมกอดเขาไว้แน่นอย่างรับรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในฝันที่อาจารย์พูด...

ภาพความสุขระหว่างเรา...มันจะไม่ใช่อดีต ไม่ใช่ฝัน แต่มันจะเป็นตลอดไปนับจากนี้...

แม้จะเป็นโลกที่ไม่มีแสงสว่าง...แต่เพราะเรามีกันและกันอยู่ตรงนี้..

เพียงเท่านี้ ก็พัดพาเอาความรู้สึกสงบสุขมาให้กับดวงวิญญาณที่อาฆาตสำหรับผม...

“จะไม่มีวันที่อาจารย์จะไม่มีผม...ผมจะอยู่กับอาจารย์ตลอดไป...”

ผมเห็นรอยยิ้มของอาจารย์เกิดขึ้นในความมืด ผมหลับตาลงขณะที่อาจารย์กระซิบด้วยเสียงที่แผ่วเบาลงเรื่อยๆ

“ผมก็ไม่ยอมที่จะให้คุณไปจากผมเด็ดขาด...คุณต้องอยู่กับผมตลอดไปนะ...”

ภาพที่อาจารย์เห็น ภาพที่อาจารย์คิดว่ามันเป็นความจริง...กำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆในความมืด...

ภาพที่เราสองคนจะมีกันและกันตลอดไป...

“ผมรักคุณนะซัน...รักคุณมาก...” อาจารย์จูบลงที่ริมฝีปากของผมก่อนเลื่อนมาจูบที่กลางกระหม่อมเมื่อผมก้มลงซุกกับอกอุ่นของอาจารย์...

“ซันก็รักอาจารย์..”

ผมมอบคำรักให้อาจารย์ฟัง...ก่อนที่ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตของอาจารย์จะมาถึง....

แรงกอดยังคงแน่นมิเสื่อมคลาย

“ต้องอยู่กับผมตลอดไปนะซัน...”

เสียงของอาจารย์แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน..

ผมยิ้มด้วยความรู้สึกสงบสุขในใจ....

“ฮะ...ซันจะอยู่กับอาจารย์ตลอดไป...”

ผมหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้มในความมืด

ความมืดที่เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

ให้อภัยผมด้วยที่ล่อลวงอาจารย์มาสู่ความตายไปกับผม แต่ผมไม่อาจทนอยู่ในโลกแห่งความมืดนี้เพียงลำพัง และไม่อาจทิ้งให้อาจารย์อยู่กับความรู้สึกผิดกับความตายของผมตามลำพังด้วยเช่นกัน

"อยู่กับผม ตลอดไปนะครับอาจารย์"

"อืม..ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป..ซัน"

ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างยินดีให้กับความตายที่ผมเป็นคนหยิบยื่นให้คนรัก

ความตาย..ที่จะทำให้พวกเราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

-TBC-

ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2

230

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
เศร้ามากกกกก ร้องไห้ไปหลายยก :monkeysad:
เราอ่านแล้วเรานอนไม่หลับเลยค่ะ สงสารทั้งซันทั้งอาจารย์เลย :sad4:
มันยังมีต่อสินะคะ อยากรู้จังว่าชีวิตรักหลังความตายของทั้งคู่จะเป็นยังไง รออ่านตอนต่อไปนะคะ :o12:

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
บอกตรงๆเลยนะว่าเค้าอ่านไม่ไหวแล้ว
แต่ก็ยังอ่านเพราะสนุกอะ คืออยากรู้ว่าอะไรในอนาคตจะเป็นอย่างไง
โคตรสงสารสองคนนี้เลยทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้

ออฟไลน์ BExBOY

  • กัญชาเป็นยาเสพติด โปรอ่านฉลากก่อนสูบ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
แดกน้ำตาแทนข้าวแล้วค่ะ
เศร้ามากกกกกกกกกกกก

โฮกกกกกกกกกกกกกกก
จะด่าซันก็ไม่ได้ เพราะหมออยู๋ไปก็ทุกข์

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
เพิ่งเข้ามาอ่านนน เสียน้ำตาไปหลายรอบบบจริงๆ :hao5: :hao5: :o12:

love2you

  • บุคคลทั่วไป
โฮๆๆ....โฮๆๆๆ

น้ำตาไหลพรากจนปวดไปทั้งขมับเลยค่ะ TT..TT ทำไมน้องซันถึงน่าสงสารแบบนี้ อ่านแล้วทรมานมากๆ ไอ้พวกแปดคนนั้นมันเป็นสัตว์นรกแน่ๆ เพราะสิ่งที่พวกมันทำกับน้องไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ปกติเขาทำกัน สงสารน้องมากเพราะแค่เราอ่านเรายังเจ็บเลย ภาวนาให้เหตุการณ์นี้อย่าเกิดกับใครจริงๆ นะคะ

แต่งดีมากๆ ค่ะ อินจนหน่วงไปทั้งใจ...

ออฟไลน์ ckkk.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เศร้ามากกก ฮือ น้องซันน่าสงสารมาก
อยากจะฆ่าไอ้พวกเลวที่ข่มขืน แล้วชำแหละทีล่ะส่วนของมันออกมา
เอาไปซอยเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเผาซะ ! (อินี่แอบซาดิส -3-)
คือตอนฉากที่น้องซันโดนข่มขืนนี่เราพยายามอ่านข้ามๆ
ไม่กล้าอ่านเต็มๆ เลย มันสะเทือนใจมากน้องน่าสงสารมาก T___T

ติดตามตอนต่อไปนะคะ สู้สู้ค่า : D
ปล.ถึงคนอ่านจะไม่มากแต่ก็ยังมีคนมาอ่านอย่างเราอยู่นะคะ ♥
มาอัพโดยด่วนเลยจ้า 5555555555

ออฟไลน์ treerat002

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
น่าสงสาร  :sad4:

คุณหมอจะตายหรือคะ น้องซันก็น่าสงสารเกิน~  :ling1:

ในแว็บหนึ่งของอารมณ์แอบคิดอยากให้คุณหมอเป็นเคะ 555  :hao6:

รอตอนต่อไปค่ะ  :z3:

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
อ่านแล้วน้ำตาไหลพรากๆ เอาจริง ๆ เรียกว่าเป็นนิยายที่บีบอารมณ์ที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา
ยิ่งตอนที่บรรยายถึงซันโดนข่มขืนโดยพวกสัจเดรัจฉานพวกนั้น แม่งโคตรเลว เลวแบบหาที่เปรียบไม่ไ้ด้่
ขณะที่ซันเองใจนึกถึงแต่คนรักอยากกลับมาหา อยากให้ใครก็ได้ซักคนมาช่วย แต่สุดท้่ายก็ไม่มี
ทำไมคนดี ๆ ต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย คือถ้าวิญญาณน้องซันจะกลับมาจริงขอให้ไปแก้แค้นให้พวกนั้นตายอย่างสาสม
แล้วอีกตอนคือตอนที่อาจารย์มาผ่าศพหมอด้วยตัวเอง เสียงในใจที่ซันได้ยิน โอย ทรมานใจสุดๆ
ภายนอกไม่ร้องไห้แต่ในใจนี่ไปหมดแล้ว สุดท้ายคือสองคนตายไปด้วยกันใช่มั้ย รักนิรันดร์
แล้วเรื่องราวมันจะไปยังไงต่อ รอติดตามนะคะ

ขอบคุณค่ะ


ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
เรื่องนี้เป็นนิยายที่เศร้าและสะเทือนใจสุดๆเลยตั้งแต่ที่เราอ่านมา :hao5:
สงสารซันมาก ยอมรับเลยว่าฉากที่ซันโดยพวกเดรัจฉานข่มขืนเราไม่กล้าอ่านเลยอะ  :ling3:
เลยได้แต่อ่านข้ามๆ? เป็นนิยายที่เศร้า สะเทือนใจ และเเอบหลอนที่สุดเท่าที่อ่านมาเลย :katai1:
รอตอนต่อไปและเป็นกำลังใจให้นะคะ :monkeysad:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ไม่ได้เข้ามาซะนาน มาอ่านเรื่องนี้ เรื่องแรก เจ็บจิตชะมัด

ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
โอยย เศร้าจับใจ อ่านแล้วปวดตับฮือออ
รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อ่านไปร้องไห้ไปเลยค่ะ   ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะค่ะ

ซึ้งพิมพ์อะไรไม่ได้มาก แบบว่าอ่านจบแล้วอิ่มเลยค่ะ  :hao5: จะติดตามต่อไปนะค่ะ

ออฟไลน์ beer

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
อ่านแล้วบีบหัวใจมาก กลั้นน้ำตาไม่ไหวแล้ว  :mew4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
เห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ แต่ันดึกว่าจะไม่อ่านเดี่ยวหดหู่ ไปๆมาๆ อ่นวันนี้ตอนดึกซะงั้น

โหย ที่แท้ซันก็พาอาจารย์ไปตายด้วยกัน อาจารย์ก็นะ รักเหลือเกิน จนตายตามกัยไป เศร้าอ่ะ :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
สงสารทั้งคู่เลย  :monkeysad:

ออฟไลน์ raluf

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 499
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
สะเทือนใจมากค่ะ ไม่อาจบรรยายออกมาได้เลย แม้เค้าจะไปอยู่ด้วยกัน แต่จะบอกว่าดีใจที่เค้าจะมีความสุขด้วยกันก็ทำไม่ได้ มันเศร้ามากๆเลย

ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com
 Chapter.1

กลางดึกในโรงพยาบาลมักจะวังเวงเสมอแม้จะมีแสงไฟตามอยู่บนระเบียงเดินก็ตามที โดยเฉพาะกับวอร์ดศัลยกรรมที่ถ้าหากใครไม่จิตแข็งพอก็จะไม่อยากจะรับเข้าเวรในตอนกลางคืนสักเท่าใดนัก

นัชชากับอธิชาสองสาวพยาบาลฝึกหัดที่กลายมาเป็นเพื่อนซี้กันหลังจากต้องมาประจำวอร์ดศัลยกรรมกันเพียงสองคนเนื่องจากจับฉลากได้
"ให้ตายเถอะ ฉันไม่เข้าเวรกลางคืนเลยล่ะ"

อธิชาโอดครวญขณะที่เข็นรถใส่อุปกรณ์วัดไข้และจ่ายยารอบดึกไปตามระเบียงทางเดินกับนัชชาที่ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรนัก

ต้นเหตุของเสียงโอดครวญที่ไม่ค่อยสู้ดีของคนพูดก็มาจากเรื่องเล่าที่เธอได้ยินมาจากรุ่นพี่นางพยาบาลที่เล่าให้ฟังในวงสนทนาเมื่อวานตอนกลางวัน เรื่องลึกลับยามค่ำคืนที่เล่าต่อกันมาสี่สิบปีแล้วในโรงพยาบาลแห่งนี้

"เหลวไหลน่ะ ผีน่ะมีจริงที่ไหนกัน อ่อ ถ้ามีจริงก็ออกมาเลยนะ จะขอถ่ายรูปไปลงเฟซบุ๊คสักภาพสองภาพเป็นที่ระลึก เห็นบอกว่าหล่อทั้งคู่เลยนินา"

นัชชาพูดพลางหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดี เพราะเธอไม่เคยนึกกลัวเรื่องผีสาง ผิดกับคู่หูที่กลัวเรื่องนี้จับใจ

"นัชอ่ะ! อย่าสิ เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อ แต่ห้ามลบหลู่นะ"

อธิชาเอาหูฟังในมือตีแขนเพื่อนสาวก่อนเบียดกายเข้าไปเดินใกล้ๆเมื่อรู้สึกว่าไฟของทางเดินมันหรี่ลง

"ทำไมไฟหรี่ลงได้ล่ะนี่”

นัชชามองหันหน้าหันหลังอย่างสงสัยเช่นเดียวกับคนข้างๆที่รู้สึกเช่นกัน แต่พอเธอหันกลับมาจะเข็นรถต่อไปข้างหน้า นัชชาก็ต้องชะงักค้าง ขณะที่อธิชาตกใจจนทำหูฟังและฟอร์มปรอทในมือร่วงไปที่พื้น

ตรงหน้าของพวกเธอมีเงาร่างของคนสองคนยืนหันหลังให้อยู่ มันไม่ใช่เงาของคน ร่างนั้นโปร่งใสจนมองทะลุผ่านไปเบื้องหน้าได้

มันเป็นเงาของผู้ชายสองคนที่มีความสูงต่างกัน ทั้งสองคนใส่สวมชุดกาวน์แบบแพทย์และกำลังเดินไปตามระเบียง ห่างจากพอเธอออกไปเรื่อยๆ ทั้งสองไม่ได้หันมาสนใจพวกเธอเลยสักนิด ราวกับทั้งสองกำลังอยู่ในโลกส่วนตัว

เสียงฝีเท้าที่ก้าวอย่างสม่ำเสมอดังสลับกับเสียงหัวเราะที่มีความสุขดังก้องกังวานมาตามสายลทมที่ไม่ควรมีในทางเดินระเบียงที่ปราศจากหน้าต่าง สองสาวรู้สึกขนลุกซู่ทันที ได้แต่ยืนอึ้งมองภาพเงาของแพทย์ทั้งสองเดินหยอกล้อหัวเราะกันห่างออกไปก่อนจะเลือนหายไป

"นะ นะ นัช ไหนนัชบอกว่า...ผีไม่มีจริงไง แล้ว..นะ นะ นั่น มันอะไรกัน"

อธิชาถามเสียงตะกุกตะกัก เธอรู้สึกอยากจะก้าวเท้าวิ่งหนีแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ยืนตัวแข็งอย่างตกตะลึงอยู่อย่างนั้น

ขณะที่นัชชาที่มั่นใจในตัวเองหนักหนาว่าไม่กลัวผี ยังคงต้องยืนอึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น เรียกว่าเข้าขั้นช็อคเลยก็ว่าได้

"ไม่จริงน่า...ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี้ย?"

นัชชาพึมพำกับตัวเองอย่างไม่อยากยอมรับกับสิ่งที่ได้เห็น

แต่เพียงไม่กี่คืนต่อมา เธอก็ต้องยอมรับว่าตำนานลึกลับที่เล่าสืบต่อกันมาในโรงพยาบาลนั้น มันเป็นเรื่องจริง!!

 

“เหลวไหลน่ะ ผีน่ะมีจริงที่ไหนกัน”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทันทีด้วยสำเนียงที่บ่งบอกว่าเรื่องที่หญิงสาวนำมาคุยด้วยนั้นมันไร้สาระมากแค่ไหน แต่ถึงกระนั้นคนฟังก็ไม่ได้เอ่ยตำหนิอะไรไปมากกว่านั้นให้น้องสาวต่างบิดาต้องน้อยอกน้อยใจ

“พี่ไม่เจอกับตัวเองแบบธิชาก็พูดได้สิ...นัชเองก็เคยพูดแบบพี่นั่นแหละ แต่เดี๋ยวนี้น่ะหรอ เห็นด้วยสองตาตัวเองแบบนั้นทุกคืน เลิกพูดไปเลย”

อธิชาว่าแล้วใช้ส้อมคันเล็กตักเอาทีรามิสุในจานตรงหน้าเข้าปากทานด้วยท่าทางร่าเริง หากเป็นเมื่อสองเดือนก่อนเธอคงไม่อารมณ์ดีนั่งทานขนมหวานได้อย่างสุขใจแบบนี้ แต่เพราะมันผ่านมาแล้วสองเดือน จนเริ่มทำใจให้ชินได้แล้ว อารมณ์ที่กลัวมันก็เริ่มจางหายไป อีกทั้งวิญญาณของทั้งสองก็เป็นวิญญาณที่เป็นมิตร ออกมาปรากฏกายให้เห็นพร้อมเสียงหัวเราะแห่งความสุขทุกครั้ง ซ้ำทุกครั้งที่ปรากฏตัวออกมา ก็มักจะมีเรื่องแปลกประหลาดในทางที่ดีเกิดขึ้นเสมอ เช่นมักจะมีลายมือที่เป็นระเบียบเขียนวิเคราะห์โรคและการรักษาคนไข้เพิ่มขึ้นมาในแฟ้มประวัติบ้างซึ่งเป็นแนวทางให้แพทย์เจ้าของไข้นำไปรักษา ศัลยแพทย์รวมถึงอายุรแพทย์บางท่านก็ชอบใจกับผลวินิจฉัยนั้นถึงขั้นที่บางทีต้องเอ่ยปากเพ้อขอให้ทั้งสองมากันบ่อยๆก็มี

“เหลวไหล คงมีอาจารย์บางคนมาเขียนไว้นั่นแหละ”

คนฟังพูดว่าไปตามหลักความน่าจะเป็นทันทีที่น้องสาวเล่าให้ฟัง อธิชายกผ้าขึ้นมาเช็ดปากแล้วร้องเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอ

“พี่น่ะเอาแต่พูดว่าเหลวไหลๆ พรุ่งนี้คอยดูเอาเองเถอะ ทั้งวอร์ดมีหวังตะลึงแน่ถ้ารู้ว่าอาจารย์แพทย์ที่มาประจำตำแหน่งหัวหน้าวอร์ดศัลยกรรมคนใหม่คืออาจารย์แพทย์อนิรุทธ์น่ะ”

หญิงสาวว่าแล้วหยิบน้ำอิตาเลี่ยนโซดาของเธอเลื่อนเข้ามา ขณะที่พี่ชายเธอซึ่งเพิ่งยกอเมริกาโน่ขึ้นมาจิบก็เลิกคิ้วและวางแก้วลงกับจานรอง

“ทำไม?”

“ก็...”

อธิชาแกล้งลากเสียงยาวพลางใช้หลอดคนไซรัปบลูคูราโซ่สีฟ้าสวยให้เข้ากับน้ำโซดา แล้วฉีกยิ้มหวานให้ผู้เป็นพี่ชายจนตาหยี

“หนึ่งในนั้นเป็นอาจารย์หมอประจำวอร์ดศัลยกรรม ชื่ออนิรุทธ์น่ะสิ”

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยทีเดียวที่อธิชาได้เห็นท่าทางวางหน้าไม่สนิทของพี่ชายเช่นนั้น

“ฮ่ะฮ่าๆ พรุ่งนี้เช้าพอไปถึงแล้วอย่างลืมเข้าไปเคารพอนุสรณ์สถานของทั้งสองตรงหน้าโรงพยาบาลซะด้วยล่ะ เผื่ออาจารย์หมออนิรุทธ์คนเมื่อสี่สิบปีก่อนจะได้มาช่วยน้องหมอรุทธ์วินิจฉัยอาการของคนไข้บ้าง”

อธิชาหลิ่วตาล้อเลียนพี่ชายก่อนหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างชอบใจเมื่อพี่ชายเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาจะเคาะศีรษะตัวเองแต่ตัวเองหนีได้พ้น

ร่างสูงได้แต่ส่ายหน้ากับความแสบของน้องสาว พลางนึกหนักใจว่าพรุ่งนี้ไปทำงานวันแรก อาจจะต้องพบเจอกับสีหน้าและคำพูดประหลาดๆจากคนรอบข้างที่ดูเหมือนจะงมงายเรื่องวิญญาณแพทย์คู่รักอะไรนั่นเสียเหลือเกิน

ถึงขั้นสร้างอนุสรณ์สถานไว้ในโรงพยาบาลด้วยแบบนั้น...

จะเป็นโรงพยาบาลแบบไหนกันนะ...

อนิรุทธ์คิดแล้วก็ส่ายหน้าให้กับสิ่งที่เขารู้สึกว่ามันงมงายและไร้สาระที่สุด

 

เพราะหัวหน้าแผนกศัลยกรรมคนประสบอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันจนต้องพักรักษาตัวเป็นระยะเวลานาน อนิรุทธ์ที่เพิ่งไปศึกษาต่อในด้านสาขาซีวีทีมาจากอเมริกาและกลับมาได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็ถูกเรียกตัวให้มารับตำแหน่งหัวหน้าแผนกศัลยกรรมและอาจารย์ในสาขานี้แทนหัวหน้าคนเก่าทันที

ในเรื่องตำแหน่งอาจารย์นั้นอนิรุทธ์ไม่มีความกังวลใจเลยแม้แต่น้อยเพราะตัวเองก็เคยเป็นอาจารย์แพทย์ในสาขานี้ก่อนที่จะลาออกไปศึกษาหาความรู้ต่อในด้านศัลยกรรมทรวงอก หัวใจและปอดโดยตรง ซึ่งอนิรุทธ์ก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมตัวเองถึงได้โหยหาความรู้ในศาสตร์ด้านนี้นัก ทั้งที่มันเป็นสาขาที่มีความเครียดสูงมากกว่าสาขาอื่นๆ

อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนที่ชอบความท้าทายและคิดว่าตัวเองใจเย็นพอก็ได้ล่ะมั้ง

อนิรุทธ์สรุปเอาง่ายๆให้กับตัวเอง

สิ่งที่เขาเป็นกังวลก็คือการก้าวเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าแผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์แห่งนี้

คนที่ไม่ได้มีนิสัยทะเยอทะยานและหวังเพียงจะใช้ความรู้ช่วยรักษาคนไข้ให้หายดีก็รู้สึกกดดันไม่น้อยเรียกได้ว่ามองเห็นหนทางอนาคตข้างหน้าที่ต้องพบเจอความปวดหัวเป็นแน่นอนหากผู้ร่วมงานที่อยู่มาก่อนนั้นเกิดไม่ชอบใจที่เขาข้ามหน้าข้ามตามา

เช้าวันที่ต้องเริ่มงานเป็นวันแรก อนิรุทธ์ขับรถมายังโรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืดแม้ว่าการทำงานของเขาจะมีกำหนดการว่าจะต้องเริ่มต้นตอนแปดโมงเช้าก็ตามที

ศัลยแพทย์หนุ่มซึ่งอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องรับตำแหน่งหัวหน้าแผนกศัลยกรรมซึ่งมีความสำคัญยิ่งกับโรงพยาบาลแห่งนี้ก็เดินสำรวจโรงพยาบาลอย่างไม่รีบร้อนนัก เขาเดินทะลุจากอาคารจอดรถมายังลานสวนหย่อมด้านหน้าโรงพยาบาล ในใจหวนนึกไปถึงคำพูดของผู้เป็นน้องสาว

อนุสรณ์สถานอย่างนั้นหรือ?

อนิรุทธ์กวาดสายตามองดูไปรอบๆ จริงอยู่ว่าโรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นตึกสูงไปเสียหมด ลานว่างมากพอที่จะมีอนุสรณ์สถานอะไรนั่นได้ก็น่าจะเป็นลานสวนหย่อมที่ไว้ให้คนไข้และญาติเดินเล่นหรือออกกำลังกายกัน

บางที..อาจจะไม่ใช่ตรงนี้

อนิรุทธ์คิดก่อนถอยหลังจะเดินกลับไปในตอนที่หางตาของเขาเห็นอะไรบางอย่าง อนิรุทธ์มองมันอย่างชั่งใจก่อนจะเดินเข้าไปดู

อาณาเขตเล็กขนาดสี่คูณสี่เมตรภายในสนามหญ้าที่ถูกตัดสั้นอย่างเป็นระเบียบ ที่แห่งนั้นถูกล้อมไว้ด้วยรั้วอัลลอยสีขาวขนาดสูงเท่าหัวเข่า ประดับด้วยโคมไฟสีนวลที่ห้อยอยู่สองข้างใกล้ๆมีประตูรั้วบานเล็กที่สามารถเปิดเข้าไปข้างในได้

พอมองแล้วให้รู้สึกอบอุ่นในใจกับภาพของช่อดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่ถูกวางเอาไว้รอบๆแท่นหินอ่อนสีขาวรูปทรงสี่เหลี่ยมให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับหลุมฝังศพในศาสนาคริสต์ และมันก็อาจจะเป็นจริงเช่นนั้นก็ได้

อนิรุทธ์ก้าวเข้าไปและเพ่งมองอ่านคำจารึกบนหินอ่อนนั้น

 

รักนิรันดร์..

A&S

ขอให้พวกเขาได้นอนหลับอย่างสงบสุขเคียงข้างกันตราบจนนิรันดร์

 

            ท้ายข้อความนั้นมีตัวเลขที่บ่งบอกปีคริสต์ศักราชเมื่อสี่สิบปีก่อน

อนิรุทธ์ยืนมองดูข้อความจารึกนั้นก่อนค้อมศีรษะเล็กน้อยอย่างแทนความเคารพให้กับผู้ที่หลับใหลอยู่ใต้พื้นดินทั้งสองครู่หนึ่ง

ความรู้สึกสงบสุขในใจยามมองป้ายจารึกที่ห้อมล้อมด้วยดอกฟอร์เก็ตมีน็อตมากมายที่คนนำเอามาวางไว้นั้นคืออะไร เป็นสิ่งยากนักที่อนิรุทธ์จะหาคำตอบได้

นายแพทย์หนุ่มถอนหายใจช้าๆแล้วหันหลังเดินจากมา

แต่พลันได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆแว่วเข้ามาในหู เขาหันกลับไปมองอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรนอกจากอนุสรณ์สถานที่ไร้ผู้คน..

“หูฝาดสินะ”

อนิรุทธ์พึมพำก่อนจะหันหลังเดินไปที่ตึกศัลยกรรมซึ่งอยู่ข้างกัน

พอเดินมาถึงตึกแล้ว ความรู้สึกที่คิดว่าจะนั่งรอเวลาไปจนกระทั่งถึงเวลานัดหมายแปดโมงเช้าก็ดูเหมือนจะสร้างความเบื่อหน่ายให้เขาไม่น้อย แต่พอดีกับที่มีใครคนหนึ่งเดินออกมาจากตัวตึกพอดี

“อ่าว..หมอ มาแต่เช้าเลยนะ”

เสียงทักทายอย่างเป็นกันเองนั้นทำให้เขาต้องค้อมศีรษะและส่งยิ้มกลับไปให้

“มาสิ ไปดื่มกาแฟกันก่อนแล้วค่อยเริ่มงานกัน”

คนที่เข้ามาทักคือเปมทัต รุ่นพี่ของเขาสมัยเป็นนักเรียนแพทย์ซึ่งปัจจุบันถือตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลอยู่และเป็นคนเรียกให้เขาเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าแผนกศัลยกรรมนั่นเอง

อนิรุทธ์เดินตามเพื่อนรุ่นพี่ไปยังคอฟฟี่ช็อปที่ตั้งอยู่ในชั้นหนึ่งของตึก กลิ่นกาแฟหอมคั่วบดใหม่ทำให้คนที่ชื่นชอบดื่มกาแฟอย่างอนิรุทธ์รู้สึกสดชื่นขึ้นมาไม่ได้ เขากับเปมทัตต่างก็สั่งฮอตอเมริกาโน่กันคนละช็อตและมานั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานและขอบเขตอำนาจของอนิรุทธ์ทั้งสิ้น และเปมทัตก็ย้ำในบางประเด็นที่อนิรุทธ์เองก็รับทราบมาบ้างแล้วอีกครั้ง

“อ่อ..แล้วก็ทำใจหน่อยนะ เข้าไปคงจะโดนรุมจากพวกสาวๆในวอร์ดหน่อยนะ ถ้าเจอเขาพูดอะไรกันแปลกๆก็อย่าไปใส่ใจล่ะ”

เปมทัตว่าพลางหัวเราะเบาๆแล้วหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ

“เรื่องตำนานรักสองแพทย์อะไรนั่นน่ะหรือ?”

อนิรุทธ์ถามพลางยิ้มน้อยๆมุมปาก สายตามองออกไปด้านนอกเห็นเด็กรูปร่างผอมเพรียวคนหนึ่งกำลังเดินตัดสนามที่เขาเดินเมื่อสักครู่มายังตึกศัลยกรรม ที่ด้านหลังห่างออกไปไม่ไกลนักมีผู้ชายตัวผอมสูงอีกคนเดินตามมา คล้ายจะเถียงอะไรบางอย่างกันอยู่เพราะเด็กคนนั้นเอาแต่หันหลังไปพูดจนไม่มองทางข้างหน้าจนอนิรุทธ์นึกห่วงว่าจะสะดุดขอบถนนเอา แต่ผู้ชายอีกคนที่ตามมาก็คว้าแขนเอาไว้ก่อน เด็กหนุ่มเลยหันไปยืนคุยด้วย

“รู้เรื่องแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เปมทัตเลิกคิ้วถามอย่างไม่คาดคิด อนิรุทธ์จึงได้หันกลับมามองหน้าคู่สนทนาก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆและส่ายหน้า

“ยัยตัวแสบมาเล่าให้ฟังน่ะ”

“อ่อ..ธิชาเป็นพยาบาลฝึกหัดอยู่วอร์ดศัลย์นินะ ต้องชินกับตำนานนั่นอยู่แล้ว”

“แล้วพี่ล่ะ...เคยเจอกับตัวบ้างหรือเปล่า?”

เปมทัตหัวเราะกับคำย้อนถามของรุ่นน้อง

“ก็ไม่เคยอยู่วอร์ดศัลย์ตอนดึกๆด้วยน่ะสินะ เลยไม่มีโอกาสได้เจอ แต่ถ้าได้เจอก็คงจะต้องขอบคุณสักหนที่ทำให้โรงพยาบาลของเรามีตำนานโรแมนติกๆเป็นของตัวเอง”

อนิรุทธ์คลี่ยิ้มจางๆที่มุมปากให้กับคำพูดนั้นของรุ่นพี่

 

หลังจากดื่มกาแฟกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว อนิรุทธ์ก็เดินตามเปมทัตขึ้นไปบนวอร์ด หน้าที่แรกของอนิรุทธ์ที่จะเริ่มต้นคือการทำความรู้จักกับเหล่าพยาบาลและทีมนักเรียนแพทย์รวมถึงเรสสิเด้นท์ทั้งหมดของวอร์ดในวันนี้ ส่วนทีมศัลยแพทย์นั้น อนิรุทธ์จะได้รับการแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้งในบ่ายวันนี้

ขึ้นมาบนวอร์ดแล้ว บรรยากาศเก่าๆสมัยเป็นอาจารย์แพทย์ก็เหมือนจะหวนคืนมา โรงเรียนแพทย์ที่ไหนก็ดูคล้ายๆกันไปหมด เขาเดินตามเปมทัตเข้าไปและทำการแนะนำตัวกับเหล่าทีมพยาบาลก่อน

ซึ่งปฏิกิริยาของพวกหล่อนก็ไม่ผิดไปจากที่คาดเอาไว้มากเท่าไหร่นัก

หลายคนเริ่มซุบซิบกันแต่ก็ยังรักษามารยาทที่จะไม่พูดอะไรออกมาตรงๆ จะมีก็แต่ยัยน้องสาวตัวแสบของเขาที่แอบหัวเราะคิกคักอยู่ข้างหลังให้เขาต้องหรี่ตามองอย่างคาดโทษเอาไว้

“ว่าแต่พวกน้องๆปีสี่ยังไม่มากันอย่างนั้นหรอ?”

หลังจากการแนะนำตัวกับเหล่าพยาบาลไปแล้ว เรสสิเดินท์กับเอ็กซ์เทิร์นก็ทยอยกันมา ทุกคนที่คุ้นเคยกับตำนานของทำท่าคล้ายกันหมดคือชะงักค้างเมื่อได้ยินชื่อและตำแหน่งของอนิรุทธ์ก่อนจะรีบปรับสีหน้ากลบเกลื่อน

ซึ่งอนิรุทธ์ก็ฉลาดพอที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพื่อที่ทุกคนจะไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร แต่ก็ได้ยินเสียงกระซิบลับหลังอยู่เช่นกัน

“ดีนะเอ็กซ์ปีนี้ไม่มีใครชื่อศราวิน”

ศราวิน?...

คงจะเป็นชื่อของคู่รักของอาจารย์หมออนิรุทธ์คนนั้นสินะ

อนิรุทธ์ได้แต่คิดในใจและรับฟอร์มปรอทจากหัวหน้าพยาบาลมาเปิดดู

ในเวลานั้นเองที่ประตูกระจกของห้องพักพยาบาลถูกเปิดเข้ามา พร้อมกับกลับเสียงสดใส

“อรุณสวัสดิ์ครับทุกคน ผมมาสายสุดเลยหรือเปล่านี่?”

“ปีสี่ใช่ไหมหมอ? ถ้าเป็นปีสี่ล่ะก็ หมอมาคนแรกเลย”

เสียงเอ็กซ์เทิร์นคนหนึ่งตอบกลับไป อนิรุทธ์ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาทางด้านหลังหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี

“ว่าแต่เราชื่ออะไรน่ะ? ลงวอร์ดแรกก็วอร์ดศัลย์เลยนะ”

“ศราวินฮะ..เรียกซันก็ได้ ฝากตัวด้วยนะครับ”

ตุ๊บ!...

            แฟ้มประวัติคนไข้ที่หัวหน้าพยาบาลหยิบมาจะส่งให้อนิรุทธ์นั้นตกหล่นจากมือของเธอหล่นพื้น

กิริยาชะงักไปทั่วห้องและความเงียบที่เกิดขึ้นมาทำให้นักเรียนแพทย์ที่เด็กที่สุดในนั้นต้องเอียงคอมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างนึกสงสัย

            “ไม่มีเอ็กซ์...แต่เป็นปีสี่ว่ะ...แถมยัง..”

อนิรุทธ์ได้ยินเสียงเรสสิเด้นท์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาพูดครางออกมาเช่นนั้น...

เขาเงยหน้าขึ้นมาจากฟอร์มปรอท มองใบหน้าซีดเผือดของทุกคนก่อนค่อยๆหันไปยังต้นตอที่ยืนงงอยู่เบื้องหลัง

เด็กหนุ่มผิวขาวรูปร่างผอมที่เขาเห็นว่าอยู่ที่สนามเมื่อตอนนั่งดื่มกาแฟอยู่กับเปมทัตกำลังส่งสายตางุนงงอย่างต้องการหาคำตอบจากใครสักคน

แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะตกอยู่ในสภาวะตะลึงจนไม่มีใครคิดจะอธิบายใดๆทั้งสิ้น

จนกระทั่งเด็กคนนั้นเลื่อนสายตามามองเขา

รอยยิ้มสดใสและน่ารักดูเยาว์วัยจนทำให้เขายากจะเชื่อว่าคนตรงหน้าคือเด็กนักเรียนแพทย์ปีสี่ถูกส่งมาให้เต็มแก้ม

“อาจารย์ใช่หรือเปล่าครับ ผมศราวิน ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับอาจารย์”

เสียงของเจ้าตัวสดใสและดังกังวานจนอนิรุทธ์อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปให้จับตามธรรมเนียมต่างชาติ

“ผมอนิรุทธ์ เราคงจะต้องเจอกันอีกหลายปี ยังไงก็ต้องฝากตัวด้วยเช่นกัน”

ดั่งช่วงเวลากำลังย้อนรอยเดิมซ้ำอีกครั้ง

ในวันแรกที่อาจารย์แพทย์อนิรุทธ์ได้เจอกับนักเรียนแพทย์ศราวิน

 

โลกนี้มีความบังเอิญแปลกประหลาดหลายอย่าง เรื่องลี้ลับที่ให้คำอธิบายมันก็มีอยู่มาก หนึ่งในนั้นเปมทัตอยากนับรวมเรื่องตำนานอันเลื่องลือของโรงพยาบาลนี้เอาไว้ด้วยอีกอย่าง

หลังจากยืนมองเหตุการณ์ที่เพื่อนรุ่นน้องของเขาได้พบกับนักเรียนแพทย์ปีสี่ที่ชื่อศราวิน เปมทัตก็นึกว่ามันช่างเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์เหลือแสน และความรู้สึกของเขาคงไม่ต่างอะไรกับนางพยาบาลและนักเรียนแพทย์คนอื่นๆหรือแม้กระทั่งตัวอนิรุทธ์เอง

คนที่ไม่รู้คงจะมีแต่เจ้าหนูนักเรียนแพทย์ตาใสหน้าตาน่ารักน่าชังคนนั้น คนที่ในตอนนี้กลายเป็นลูกศิษย์รักของเพื่อนรุ่นน้องของเขา

เหมือนกับที่นักเรียนแพทย์ศราวินกลายเป็นลูกศิษย์รักของอาจารย์หมออนิรุทธ์เมื่อสี่สิบปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน

หวังว่าคงเหมือนกันแค่เรื่องลูกศิษย์รักเท่านั้นก็พอ อย่าให้เกินเลยไปกว่านั้นเลยจะเป็นสิ่งที่ดีมาก

เปมทัตยิ้มกับความคิดนั้นของตัวเองที่นึกหวั่นใจ

เขายังจำได้ดีว่าตอนนั้นตัวเองกำชับเหล่าพยาบาลกับนักเรียนแพทย์ว่าอย่าให้ศราวินรู้เรื่องนี้ไปด้วยความรู้สึกเช่นไร

ความหวั่นใจที่มีในตอนแรกนั้นมันยิ่งเริ่มมากขึ้นทั้งที่เวลาเพิ่งผ่านไปได้เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น

หากเด็กหนุ่มไม่มีความน่ารัก ไม่มีความขยันขันแข็งใฝ่รู้ใฝ่เรียนและยังแสนฉลาดแบบนี้ เปมทัตคงจะวางใจได้

แต่เพราะเด็กหนุ่มมีทุกอย่างนี้อยู่ในตัวจึงก้าวเข้ามาเป็นลูกศิษย์คนโปรดของอนิรุทธ์ได้โดยง่าย ซ้ำยังมีความขยันมากเกินพอดี บางครั้งไม่ใช่เวรของตัวก็ยังจะตามอาจารย์มาราวน์ด้วยทุกเช้า

สร้างความสนิทสนมและคุ้นเคยกันจนน่ากลัว..

“ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็ดีน่ะสิ..”

เปมทัตพึมพำกับตัวเองเบาๆขณะมองดูเพื่อนรุ่นน้องของตัวเองที่เดินราวน์อยู่ในวอร์ดหัวเราะอย่างอารมณ์ดีกับลูกศิษย์ที่ยังคงพูดเรื่องอะไรสักอย่างอยู่อย่างเจื้อยแจ้ว

อนิรุทธ์คงลืมไปแล้วเรื่องตำนานที่เคยได้ยินตอนแรกเข้ามารับตำแหน่ง เพราะหลังจากเขาสั่งห้ามไป ทุกคนก็พร้อมใจกันที่จะไม่พูดถึง

เปมทัตก็ได้แต่คาดหวังในตัวของรุ่นน้อง ว่าอนิรุทธ์นั้นคงมีศีลธรรมมากพอที่จะไม่คิดเกินเลยกับผู้เป็นลูกศิษย์ของตัวเอง..

 

ฝ่ายคนที่เดินเคียงกันไปหัวเราะกันไปนั้นไม่ได้รู้กันเลยว่ามีคนยืนมองอยู่จากทางด้านหลัง อนิรุทธ์หัวเราะกับเรื่องเล่าของเด็กหนุ่มที่บ่นโอดครวญว่าเมื่อวานตัวเองเผลอหลับไปจนอดดูการ์ตูนเรื่องโปรด

“โตแล้วนะคุณ อีกไม่ถึงสามปีก็จะเป็นหมอเต็มตัวอยู่แล้ว ยังดูการ์ตูนอีกหรือ?”

อนิรุทธ์พูดอย่างนึกขำกับเด็กหนุ่มที่ทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่เขาอย่างน่ารัก การได้พูดคุยกับศราวินไม่เคยทำให้อนิรุทธ์นึกเบื่อเลยสักครั้ง แม้ว่าหลายอย่างที่คุยกันมันจะเป็นเรื่องไร้สาระมากกว่าเรื่องมีสาระที่อนิรุทธ์ชื่นชอบมากกว่าก็ตามที

“คนเราก็ต้องผ่อนคลายบ้างสิฮะอาจารย์ เครียดมาทั้งวันแล้วนี่นา”

ศราวินว่าแล้วยิ้มให้แต่ก่อนจะพูดต่อ อาจารย์ของเขาก็หยุดเดินแล้วล้วงมือเข้าไปด้านในเสื้อกาวน์และหยิบมือถือออกมาดู

“แบตจะหมดหรอฮะ?” ศราวินถามเพราะได้ยินเสียงสัญญาณเตือนดังอยู่

“อือ..ไม่ได้เอาชาร์จเจอร์มาด้วยสิ”

คนเป็นอาจารย์พูดแล้วทำท่าจะเอามือถือเก็บกลับไปไว้ที่เดิม แต่มือเล็กนั้นแบยื่นเข้ามาก่อน

“งั้นเดี๋ยวผมเอาไปชาร์จให้นะฮะ ผมเอามาด้วย ของผมกับอาจารย์รุ่นเดียวกันพอดี”

อนิรุทธ์มองมือเล็กที่แบอยู่ก่อนจะวางมือถือของตัวเองลงไป

“ฝากด้วยนะ”

ศราวินคลี่ยิ้มให้กับอาจารย์แล้วเอามือถือของอาจารย์เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงคู่กันกับมือถือของตัวเอง ก่อนที่ทั้งสองจะเดินตรวจเยี่ยมไข้ผู้ป่วยรายถัดไป

แต่พอจะเปิดประตูเข้าห้องพักคนไข้ ก็มีเรสสิเด้นท์คนหนึ่งเดินเข้ามาหาอนิรุทธ์เสียก่อน

“ทางแลปนิติเวชเชิญอาจารย์ครับ”

อนิรุทธ์หันมองหน้าคนที่เข้ามาบอกข่าวก่อนหันมองศราวินและยื่นฟอร์มปรอทของคนไข้ให้

“หมอราวน์ต่อกับน้องทีนะ ศราวินเขียนบันทึกของคนไข้ให้ผมด้วยก็แล้วกัน”

“ได้ฮะ”

ศราวินผงกหัวรับคำสั่งนั้นอย่างว่าง่ายสมกับเป็นเด็กดีของอาจารย์ทั้งที่การเขียนบันทึกให้อาจารย์ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ศราวินก็ทำตามคำสั่งอาจารย์ทุกครั้งและทำมันออกมาได้เป็นอย่างดีเสมอจนผู้เป็นอาจารย์ไว้วางใจที่จะฝากฝังไว้ให้เด็กหนุ่มช่วยบันทึกอาการต่างๆของคนไข้ให้เขารับรู้ไว้ทุกครั้งที่เขามีธุระต้องไปทำจนไม่สามารถราวน์จนครบวอร์ดได้

เรียกได้ว่าศราวินนั้นเป็นผู้ช่วยมือดีของเขาเลยก็ว่าได้ ทั้งที่เด็กหนุ่มเพิ่งจะอยู่แค่ปีสี่เท่านั้นแท้ๆ แต่ศราวินอาศัยความเป็นเด็กฉลาด ช่างสังเกตและจดจำจึงเรียนรู้ได้มากกว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกัน

จนบางครั้งอนิรุทธ์ก็อดคิดกลัวแทนเด็กหนุ่มไม่ได้ว่าเพื่อนๆจะเขม่นเอาบ้างหรือเปล่า กับการที่อนิรุทธ์ให้เด็กหนุ่มอยู่ใกล้ตัวเช่นนี้ แต่เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ซ้ำยังเห็นศราวินพูดคุยร่าเริงกับเพื่อนรุ่มชั้นปีได้เป็นปกติ อนิรุทธ์ก็วางใจกับลูกศิษย์คนนี้

ศราวินจะราวน์ร่วมกับแพทย์ประจำบ้านเสร็จก็ร่วมสิบโมงเช้า แต่หลังจากนั้นคือช่วงเวลาของการสรุปการตรวจเยี่ยมไข้สำหรับเช้านี้ ศราวินส่งยิ้มเป็นมิตรให้กับอธิชาแล้วก็นัชชาที่นั่งพักทานอาหารมื้อแรกของวันกันอยู่

(ต่อ)

ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com
"หมอทานด้วยกันไหมคะ?"

อธิชาเอ่ยปากชวนอย่างมีน้ำใจ แต่ศราวินยิ้มแล้วชูฟอร์มปรอทในมือ

"ผมต้องสรุปบันทึกให้อาจารย์ก่อน ขอบคุณที่ชวนนะฮะ"

เด็กหนุ่มว่าแล้วก็เดินไปที่ล็อกเกอร์ หยิบเอาสมุดบันทึกที่ต้องใช้กับที่ชาร์จโทรศัพท์ออกมา ก่อนหาทำเลไปเสียบชาร์จโทรศัพท์กับนั่งเขียนสรุปบันทึกอาการคนไข้ให้อาจารย์

พอได้ทำเลแล้วศราวินก็หยิบมือถือของอาจารย์ขึ้นมาเสียบก่อนอมยิ้มขณะมองดูโทรศัพท์ของอาจารย์ในมือ ถึงจะเป็นรุ่นเดียวกันแต่ก็ต่างกันตรงสี อาจารย์ใช้สีดำทั้งตัวเครื่องและบัมพ์เปอร์กันกระแทก ส่วนของเขามันสีขาวใส่บัมพ์เปอร์สีส้มสดใสแถมยังติดสติกเกอร์ลายการ์ตูนไว้อีก หลายครั้งที่อาจารย์เห็นก็บอกว่ามันดูสดใสสมตัวเขาดี ตอนนี้เขาก็อยากบอกกับอาจารย์เหมือนกันว่ามือถือของอาจารย์ก็สมตัวอาจารย์ดี

ศราวินคิดเพลินๆแล้วก็ยิ้มเมื่อเห็นรูปพักหน้าจอที่อาจารย์ตั้งไว้มันปรากฏขึ้นมาเมื่อแบตถูกชาร์จพอมีไฟหล่อเลี้ยง เป็นรูปของอาจารย์ที่กอดน้องสาวอย่างอธิชาอยู่ มองดูแล้วเป็นพี่น้องที่รักกันจนเด็กกำพร้าอย่สงศราวินนึกอิจฉา

ถ้าได้มีพี่ชายอย่างอาจารย์บ้าง..ก็คงดี

ไม่สิ..แค่เพียงได้ความรักจากอาจารย์บ้าง แต่เพียงเศษเสี้ยวที่อาจารย์รักน้องสาวอย่างอธิชา ศราวินก็คงมีความสุขมากแล้ว

ศราวินคิดแล้วก็ต้องตกใจกับความคิดเลยเถิดของตัวเอง

"เอ๊ะ?นั่นมือถือของพี่รุทธ์นี่?"

อธิชาที่ยกเอาชาร้อนมาให้ศราวินที่โต๊ะอุทานขึ้นอย่างประหลาดใจที่เห็นมือถือของพี่ชายในมือของอีกฝ่าย ศราวินที่กำลังคิดอะไรเพลินๆก็สะดุ้งก่อนหันไปยิ้มให้

"แบตจะหมดน่ะฮะ พอดีอาจารย์ไม่ได้เอาที่ชาร์จมา ผมเลยอาสาเอามาชาร์จให้"

"พี่นี่แย่จริง ดีแต่รักษาคนไข้เป็นรึไงนะ เรื่องตัวเองกลับไม่ดูแลเลยต้องลำบากหมออีก" ศราวินยิ้มๆให้กับคำบ่นที่แสนน่ารักน่าชังของอีกฝ่าย

"ไม่เป็นไรหรอกฮะ เรื่องแค่นี้เอง"

"อือๆ ว่าแต่พี่ชายของอธิชาไปไหนแล้วล่ะ ตะกี้ก็เห็นพี่เด้นท์ราวน์ต่อแทนไม่ใช่หรือ?"

"ไปแลปนิติเวชน่ะฮะ ทางนั้นตามมา”

"อ่อ โอเค ไม่กวนหมอแล้วดีกว่า ถึงเวลาแจกยารอบสายแล้วด้วย ธิชาไปก่อนนะคะ สู้ๆนะหมอ"

หญิงสาวยิ้มให้พลางชูสองนิ้วส่ายไปมาอย่างให้กำลังใจเขาก่อนเดินไปช่วยคู่หูจัดเรียงยาสำหรับคนไข้ ศราวินมองตามไปแล้วยิ้มๆ

อธิชาเป็นผู้หญิงร่าเริงนิสัยดีอย่างประเภทลูกคุณหนูที่ถูกทางบ้านเลี้ยงมาอย่างดีจนมีจิตใจที่ดีตามเหมือนกับอาจารย์ของเขา เพียงแต่อธิชาเป็นคนร่าเริงช่างพูดและเป็นกันเองมากกว่า

แต่ศราวินก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทั้งที่เขาได้รู้จักทั้งสองในวันเดียวกัน

แต่ทำไม สายตาและความรู้สึกต่างๆของเขาถึงได้ไปหยุดอยู่ที่คนพี่ซึ่งดูแล้วยากจะบอกความรู้สึกที่มีออกไปนัก

ในสายตาของอาจารย์อนิรุทธ์ ศราวินคนนี้คงเป็นได้เพียงลูกศิษย์คนโปรดเท่านั้น

ที่ไม่ว่าพยายามยังไงก็คงไม่มีวันจะเปลี่ยนจากลูกศิษย์รักเป็นคนรักได้เลย...

ศราวินพยายามปัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากสมอง ความรู้สึกที่มีต่ออาจารย์มันสมควรเก็บซ่อนไว้ในใจเท่านั้น ไม่ควรนำมาคิดให้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เขาบอกกับตัวเองอย่างนั้นก่อนจะเริ่มต้นสรุปบันทึกให้กับอาจารย์ กว่ามันจะเสร็จก็เกือบเที่ยงเข้าไปแล้ว ร่างบางของนักเรียนแพทย์หน้าหวานมองดูหน้าจอมือถือของอาจารย์ที่ขึ้นว่าชาร์จแบตเต็มแล้วก่อนปลดมันออกจากสายชาร์จ จัดการเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วก็ถือบันทึกเดินไปยังลิฟต์และกดปุ่มลงพลางนึกลังเลว่าจะไปหาอาจารย์ที่ไหนดี เพราะไม่รู้ว่าอาจารย์จะเสร็จธุระที่ห้องแลปนิติเวชแล้วหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วอาจารย์คงจะนั่งพักทานข้าวที่ห้องพักของตัวเองตามเคย คิดอย่างนั้นแล้วศราวินก็เลยสุ่มกดเลขที่เป็นชั้นห้องพักของอาจารย์และมุ่งไปยังห้องพักก่อน ถ้าไม่เจอค่อยไปตามหาที่แลปนิติเวชเพื่อคืนมือถือให้กับอาจารย์

“อาจารย์ไม่อยู่หรอกหมอ พี่ยังไม่เห็นอาจารย์เลยตั้งแต่เช้า”

พิมพ์อรเจ้าหน้าที่ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเอ่ยบอกขณะที่เดินมาเจอศราวินที่กำลังจะเข้าไปในห้องพักอาจารย์พอดี ศราวินหันมายิ้มให้เธอแล้วยกสมุดบันทึกในมือชู

“ผมเอาบันทึกของวันนี้มาให้อาจารย์น่ะครับ งั้นเดี๋ยวฝากพี่วางไว้ที่โต๊ะอาจารย์เลยนะครับ”

“อ่อ ได้สิจ้ะ ว่าแต่ทานอะไรหรือยังน่ะเรา พักเที่ยงแล้วนะ?”

“ยังเลยครับ ว่าจะไปทานอยู่พอดี พี่ทานอะไรหรือยังครับ? เราไปทานด้วยกันไหม?” ศราวินเอ่ยถามอย่างเป็นกันเองเพราะบางวันเขากับพิมพ์อรก็จะทานกลางวันด้วยกันพร้อมกับอาจารย์

“ว้าเสียดายจัง พี่เพิ่งไปทานกับน้องฝึกงานมาน่ะ ยังไงหมอคงต้องไปทานกลางวันกับอาจารย์แล้วล่ะ”

“แล้วอาจารย์อยู่ที่ไหนหรอครับ?” เด็กหนุ่มถือโอกาสถามเธอกลับไป และพิมพ์อรก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

“อาจารย์ยังอยู่ที่แลปนิติเวชอยู่เลย นี่ก็โทรมาบอกให้พี่สั่งอาหารลงไปให้ ยังไงให้พี่สั่งเผื่อหมอด้วยเลยดีไหมจ้ะ?” ศราวินผงกศีรษะรับคำพร้อมรอยยิ้มทันที

“พอดีเลย ต้องรบกวนด้วย..ขอบคุณมากนะครับ”

เจ้าหน้าที่สาวยิ้มให้กับความสุภาพของนักเรียนแพทย์ตรงหน้าเธอก่อนจะผลักบานประตูห้องพักของอาจารย์หนุ่มเข้าไปพลางส่งเสียงถามกลับมา

“แล้วหมออยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

“อะไรก็ได้ครับ”

ศราวินไม่ได้บอกเพราะความเกรงใจ แต่เพราะเขาเป็นคนที่ทานอะไรก็ได้ ไม่เคยมีปัญหากับสิ่งที่ไม่ชอบทาน พิมพ์อรวางกองแฟ้มกับบันทึกของศราวินลงบนโต๊ะของอนิรุทธ์แล้ววางแยกเป็นสัดส่วนเพื่อง่ายต่อการเปิดดูแล้วพูดกลับมาอย่างขำๆ

“กินง่ายพอกันทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์เลยนะ ก็ดี แบบนี้พี่ล่ะชอบ”

แพทย์บางคนเรื่องมากทั้งเรื่องงานและเรื่องกินจนเธอปวดหัวไปหมด เคราะห์ดีที่ตอนนี้ได้หัวหน้าอย่างอนิรุทธ์เข้ามาบริหารงาน ความไม่เรื่องมากของเขาทำให้พวกที่เรื่องมากพลอยจะดรอปอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไปบ้างด้วยความเกรงใจ ผลดีก็เลยตกมาอยู่กับเจ้าหน้าที่อย่างเธอที่ต้องคอยดูแลทั้งเรื่องงานเอกสารกับงานอาหารการกินให้เหล่าทีมแพทย์ศัลยกรรมทั้งหลาย

ศราวินยิ้มรับกับคำพูดของเธอ ทุกครั้งที่มีคนพูดแบบนี้ เขากลับรู้สึกยินดีเหมือนตัวเองได้เข้าใกล้อาจารย์เพิ่มขึ้น แม้ในความเป็นจริงจะยังคงยืนอยู่จุดที่ห่างกันอย่างมีกระจกบางๆมาขวางกั้นก็ตามที

“อ้อแต่ว่าอาจารย์บอกให้พี่สั่งให้เขาไปส่งที่ห้องพักของแผนกนิติเวชนะจ้ะ น้องซันคงต้องเดินลงไปทานข้างล่างกับอาจารย์ล่ะนะ ดูท่าแล้วงานที่ตรงนิติเวชจะไม่เสร็จง่ายๆล่ะมั้ง” พิมพ์อรทำท่าคิด ขณะที่ศราวินแอบลอบยิ้มอย่างดีใจที่กลางวันนี้จะได้ทานอาหารกับอาจารย์อีก

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา ขอบคุณพี่มากนะครับ”

ศราวินค้อมศีรษะให้เธอน้อยๆก่อนเดินกลับออกมาจากห้องพักของอาจารย์และเดินไปยังแผนกนิติเวชที่อยู่ตึกข้างเคียงกันโดยผ่านทางเดินเชื่อมตึกที่อยู่ในชั้นนั้นพอดี ถึงจะไม่คุ้นเคยเท่ากับแผนกศัลยกรรมนัก แต่ศราวินก็พอจะรู้ว่าต้องไปหาอาจารย์ของตัวเองที่ไหนเพราะครั้งหนึ่งเคยตามอาจารย์หมออนิรุทธ์มาที่แผนกนี้ ในตอนนั้นเขาจำได้ดีว่าตัวเองไม่ชอบบรรยากาศเงียบๆของแผนกนิติเวชนัก แต่เพราะมีอาจารย์อยู่ใกล้ๆ ศราวินเลยพอจะวางทิ้งเรื่องความไม่ชอบของตัวเองไปได้ ก็เหมือนกับในตอนนี้ที่เขาไม่สนใจบรรยากาศเงียบๆของแผนกนี้แต่กลับก้าวเดินไปทางอย่างดีอกดีใจราวเด็กได้ขนมหวานเพราะกลางวันนี้จะได้ทานอาหารกับอาจารย์เท่านั้น

ศราวินมาถึงแลปนิติเวชและมุ่งไปหาเจ้าหน้าที่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าห้องทันที

“ผมศราวินนักเรียนแพทย์ปีสี่มาหาอาจารย์อนิรุทธ์ครับ”

ศราวินแจ้งเจ้าหน้าที่ไปอย่างสุภาพก่อนรับบัตรของผู้มาติดต่อในแผนกนั้นมาหนีบไว้กับปกเสื้อกาวน์ของตนเอง

“อาจารย์อนิรุทธ์อยู่ที่ห้องแลปหนึ่งกับอาจารย์รเมศน่ะ”

เจ้าหน้าที่บอกสั้นๆและชี้มือไปยังทางเดินด้านซ้าย ศราวินมองตามไปแล้วพยักหน้ารับโดยไม่ลืมส่งยิ้มแทนคำขอบคุณไปให้

“ขอบคุณมากครับ”               

ศราวินเดินไปตามทางเดินสีขาว ระหว่างนั้นมีรถเข็นศพเข็นผ่านสวนไป ร่างบางมองตามไปแล้วก็ต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง รถเข็นนั้นเพิ่งเข็นออกมาจากแลปหนึ่งนั่นเอง แสดงว่านั่นคือศพที่อาจารย์เพิ่งจะช่วยวิเคราะห์ชันสูตรไป

“ขออนุญาตครับ” ศราวินเคาะประตูห้องที่เปิดออกอยู่ข้างหนึ่งสองครั้งและส่งเสียงเรียกเข้าไป พอมองเข้าไปก็เห็นอาจารย์กำลังยืนหันหลังให้และคุยอะไรอยู่กับผู้ชายร่างสมส่วนอีกคน

“อ่าว หมอ...เข้ามาก่อนสิ”

อนิรุทธ์หันมาเรียกพลางดึงถุงมือที่เปื้อนเลือดออกจากมือของตัวเองโยนทิ้งลงในถังขยะสแตนเลส ศราวินเข้าไปแล้วค้อมศีรษะให้กับอาจารย์อีกคนที่รับคำทักทายด้วยการค้อมศีรษะเช่นเดียวกัน อีกฝ่ายก็กำลังกำจัดถุงมือเปื้อนเลือดออกจากมือตัวเองอยู่

“เสร็จพอดีหรือครับ?”

“ยังหรอกหมอ..ต้องย้ายไปแลปสองที่ใหญ่กว่าแล้วค่อยเริ่มชันสูตรใหม่อีกครั้งพร้อมกับอาจารย์ทินกรที่ตอนนี้ติดชันสูตรอีกศพก่อน”

“มีปัญหาหรือครับ?” ศราวินถามอย่างใคร่รู้ตามประสาเด็กขี้สงสัย อนิรุทธ์พยักหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาก่อน ศราวินยืนมองดูอาจารย์ปลดมาส์กออกจากใบหน้าและหันไปทางรเมศที่ยืนมองหน้าเขาอยู่ อนิรุทธ์เห็นดังนั้นเลยหันไปแนะนำศราวินให้รเมศรู้จัก

“นี่ศราวินเป็นนักเรียนปีสี่ลงวอร์ดผมเป็นวอร์ดแรกน่ะครับ”

“สวัสดีครับอาจารย์ เรียกซันก็ได้ฮะ” ศราวินค้อมศีรษะให้รเมศที่ทำท่าตกใจเมื่อได้ยินชื่อเขา

“ซัน? ศราวินอย่างนั้นหรอ? จะบังเอิญมากไปแล้วมั้งแบบนี้”

รเมศพูดคล้ายจะพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่าจะพูดออกมาให้อีกสองคนในห้องได้ยิน ศราวินมองปฏิกิริยาของรเมศด้วยความประหลาดใจ มันเป็นปฏิกิริยาคล้ายคลึงกับตอนที่ทุกคนได้ยินชื่อเขาในวันที่ลงวอร์ดศัลย์เป็นครั้งแรกไม่มีผิด

“ทำไมหรือครับอาจารย์?”

ศราวินสงสัยจนลืมจุดประสงค์ที่จะเอามือถือมาให้อาจารย์ของตนสนิทใจ ขณะที่อนิรุทธ์ซึ่งเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เคยได้ยินก็ทำหน้านิ่ง ในใจนึกลังเลว่าสมควรจะให้ลูกศิษย์คนโปรดของตัวเองรับรู้เรื่องราวพวกนั้นหรือไม่ แต่ก็ได้เพียงนึกเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงวินาที รเมศก็โพล่งขึ้นมาอย่างอึดอัดใจ

“หมอ...หมอเคยได้ยินตำนานของโรงพยาบาลเราหรือเปล่า?”

“ตำนานหรือครับ?”

อนิรุทธ์ได้แต่สูดลมหายใจลึกๆเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ทั่วท้องอย่างบอกไม่ถูก

ชั่วขณะหนึ่งเกิดความรู้สึกที่อยากเอามือยกขึ้นมาปิดหูลูกศิษย์ของตัวเองไม่ให้ได้ยินสิ่งที่รเมศจะพูด เป็นครั้งแรกที่เขานึกอยากให้ศราวินไม่ใช่เด็กช่างใฝ่รู้จนสนใจไปทุกเรื่องเช่นนี้

และเป็นครั้งแรกที่นึกอยากปิดกั้นไม่ให้ศราวินรับฟังคำพูดของใคร

แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว

“ตำนานของอาจารย์หมออนิรุทธ์กับน้องเอ็กซ์เทิร์นศราวินไง? หมอไม่เคยได้ยินหรอ?”

อนิรุทธ์เหลือบตามองดูศราวินสั่นหน้าไปมา พลางนึกในใจว่าเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าจะต้องไม่มีใครเคยเล่าเรื่องนั้นให้ศราวินได้ฟัง

รเมศเหลือบมามองอนิรุทธ์ที่ยืนนิ่งอย่างแคลงใจว่าเพื่อนร่วมงานจะเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่

อนิรุทธ์เลยถอนหายใจช้าๆ

“ผมเคยได้ยิน มันเหลวไหลสิ้นดี..”

อนิรุทธ์ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าประโยคสั้นๆนั้นทำร้ายจิตใจของคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างกันแค่ไหน

“ขอโทษทีๆ พอดีพี่จะไม่ได้พูดถึงเรื่องตำนานที่เขาลือกันว่าวิญญาณของทั้งคู่ยังคงวนเวียนอยู่ในโรงพยาบาลหรอกนะ หรือจะบอกว่าตกใจในความบังเอิญที่คุณเป็นอาจารย์แพทย์และน้องก็เป็นนักเรียนแพทย์เหมือนทั้งคู่หรอกนะ”

คราวนี้อนิรุทธ์กลับเป็นฝ่ายที่นึกสนใจขึ้นมา ในขณะที่ศราวินนั้นรู้สึกเหมือนอยากหายตัวออกไปจากห้องนี้และไม่เคยได้ยินเรื่องราวทั้งหมด รวมถึงประโยคสั้นๆที่หลุดออกมาจากปากของอาจารย์ด้วยเช่นกัน

ไม่ถึงห้านาทีก่อนศราวินยังรู้สึกดีใจที่จะได้ทานอาหารกลางวันกับอาจารย์อยู่แท้ๆ แต่ทำไม...นาทีนี้ศราวินกลับรู้สึกอยากหายตัวไปจากที่ข้างกายอาจารย์แบบนี้

“แล้วมันอะไรกันอย่างนั้นหรือครับ?”

เสียงทุ้มของอาจารย์ที่ศราวินชอบฟังมันไหลลื่นผ่านหูไปโดยไม่ผ่านการกรองความคิดเลยแม้แต่น้อย ศราวินยืนเหม่อและก้มลงมองปลายเท้าตัวเอง รเมศมองหน้าร่างเล็กอีกครั้งราวกับจะพิจารณาก่อนหันกลับมามองหน้าอนิรุทธ์

“มานี่สิหมอ...น้องด้วยนะ”

รเมศบอกแล้วเดินนำออกไปจากห้องแลปหนึ่ง อนิรุทธ์มองตามเขาไปก่อนหันมามองใบหน้าที่หมองลงของลูกศิษย์คนโปรด

“คุณอยากรู้เรื่องหรือเปล่า? ถ้าไม่อยาก ออกไปรอผมที่ห้องพักตรงด้านนอกก่อนดีไหม?” ศราวินเงยหน้ามองดูคนที่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนสั่นหน้าช้าๆอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ..”

อนิรุทธ์ยกมือขึ้นแตะต้นแขนของร่างบางแล้วพยักหน้า ศราวินเดินตามอาจารย์ไปด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย

ทั้งที่ต้องการจะหายตัวไปจากตรงนั้นแท้ๆ ทำไมถึงไม่ปฏิเสธอาจารย์ไปกันนะ...

 

พอเดินตามรเมศกลับไปยังห้องพักของเขา อนิรุทธ์กับศราวินก็พบว่านิติเวชหนุ่มกำลังรื้อเอกสารจากตู้เก็บอยู่ ทั้งสองยืนคอยอย่างใจเย็น แม้ว่าศราวินจะรู้สึกอึดอัดมากขึ้นทุกขณะเพราะรเมศไม่ได้ทำเพียงแค่ค้นหาเอกสารอย่างเดียวแต่ปากยังคงเล่าเรื่องไปด้วย

“พี่แปลกใจเหมือนกันนะที่น้องไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน มันออกจะเป็นเรื่องเล่าท็อปฮิตของฝั่งวอร์ดศัลย์แท้ๆ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องเล่าสักเท่าไหร่หรอก มันเป็นประสบการณ์ตรงเจอกันจะๆมากกว่า แถมก็ยังมีอนุสรณ์สถานอยู่ตรงใกล้ตึกอีก แปลกจังทำไมถึงไม่เคยมีใครเล่าให้น้องฟังเลยล่ะ ขนาดรุทธ์เองยังเคยได้ยินเลย”

อนิรุทธ์นึกกร่นด่าเพื่อนร่วมงานในใจเป็นครั้งแรกกับการพูดมากของเขาที่ทำให้ลูกศิษย์ตัวน้อยที่มักจะมีแต่ความสดใสของเขาหน้าซีดลงทุกขณะ

“ไม่เคยมีใครเล่าให้ผมฟังเลยครับ”

ศราวินบอกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งราวกับไม่ใช่ศราวินคนเดิม

อนิรุทธ์มองเด็กหนุ่มยืนกำมือกับชายเสื้อกาวน์สีขาวด้วยความรู้สึกอยากยกมือขึ้นมากอดร่างเล็กๆนั้นไว้แล้วปลอบโยน แต่แล้วก็ต้องตกใจกับความคิดนั้นของตนเอง

“อืม..อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องเศร้าที่คนอื่นคงไม่อยากจะเล่าให้หมอคิดมากล่ะมั้ง พี่เองก็ปากเสียที่พูดออกมา แต่ถ้าไม่พูดมันก็รู้สึกเหมือนหนักอก อกมันจะระเบิดน่ะ”

อนิรุทธ์นึกอยากให้มันระเบิดไปเลยจะได้ไม่ต้องมาพูดให้เด็กน้อยของเขารู้สึกเป็นกังวลทำหน้าเหมือนลมจะจับได้ทุกขณะเช่นนี้

“อ๊า เจอแล้ว!”

รเมศอุทานออกมาก่อนยกเอาแฟ้มที่มีขนาดหนาประมาณหนึ่งนิ้วขึ้นมา แฟ้มมันดูเก่าจนขอบสีเขียวหัวเป็ดมันทั้งซีดและถลอกไปหมด กระดาษด้านในดูเป็นรอยคราบเหลืองด่างดวงจนไม่น่าพิสมัยที่จะเปิดดู

“นี่เป็นแฟ้มชันสูตรเมื่อสี่สิบปีก่อน ที่จริงมันต้องถูกทำลายไปแล้วล่ะ แต่ทางโรงพยาบาลยังเก็บไว้ พี่เลยขอมาศึกษาแล้วก็ว่าจะเรียบเรียงข้อมูลใหม่ด้วย เป็นเคสที่น่าสนเชียวล่ะ แล้วสำหรับพี่นะ..มันก็น่าสนมากขึ้นไปอีกกว่าสิบเท่าตัวตอนที่รุทธ์มารับตำแหน่งหัวหน้าศัลยแพทย์กับอาจารย์ที่นี่ แล้วก็น่าสนมากขึ้นไปอีกร้อยเท่าตัวตอนที่ได้รู้จักกับน้องเมื่อสิบนาทีที่แล้ว”

รเมศว่าแล้วก็เปิดแฟ้มเก่าๆนั่นพลิกหาอะไรบางอย่างก่อนวางลงตรงหน้าของทั้งสองคน

“นี่คือรูปของอาจารย์อนิรุทธ์และน้องเอ็กซ์เทิร์นศราวินเมื่อสี่สิบปีก่อน”

รเมศบอกก่อนจะมองหน้าของทั้งสองที่ก้มลงมองดูรูปในแฟ้มนั้น

ทั้งอนิรุทธ์และศราวินต่างก็หน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพบว่าใบหน้าของตัวเองกับทั้งสองคนนั่น เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ศราวินในตอนนี้มีผมสีคาราเมลและดัดหยิกอ่อนๆแต่ศราวินเมื่อสี่สิบปีก่อนในรูปนั้นเป็นผมตรงที่ซอยสั้นปะบ่าและคงจะมีผมสีดำตามธรรมชาติ

“ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ? นอกจากชื่อศราวินเหมือนกันแล้ว ชื่อเล่นยังชื่อซันเหมือนกันอีก”

รเมศถามพลางทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ศราวินกับอนิรุทธ์เห็นดังนั้นจึงค่อยๆนั่งลงที่เก้าอี้ตามกัน

“สี่สิบปีก่อนพวกเขาสองคนเป็นคนรักกัน แต่ระหว่างเหลือวันสุดท้ายที่น้องเขาจะเรียนจบ ทั้งสองคนทะเลาะกัน แล้วน้องเขาก็หนีออกจากห้องพักไป โชคร้ายที่น้องเขาไปเจอเข้ากับแก๊งส์อันธพาลที่หมายตาตัวเองอยู่ น้องเขาถูกรุมข่มขืนแล้วก็ทำร้ายจนเสียชีวิตอยู่ที่ลานว่างใต้สะพานรถไฟข้ามคลองด้านหลังโรงพยาบาลของเรานี่เอง..ศพของน้องเขาถูกนำส่งมาที่แลปนิติเวชของเรา สมัยนั้นพ่อของพี่เป็นหนึ่งในทีมแพทย์นิติเวชที่นี่ พ่อเล่าว่าอาจารย์อนิรุทธ์เป็นคนขอชันสูตรเอง พวกเขายอมให้อาจารย์อนิรุทธ์ชันสูตรแต่ปิดเอาไว้เป็นความลับโดยใส่ว่าเป็นผลการชันสูตรจากทีมแพทย์นิติเวชเอง แต่ก็นะทีมนิติเวชก็ยืนวิเคราะห์อยู่ข้างๆนั่นแหละ เพียงแค่ให้อาจารย์อนิรุทธ์เป็นคนจัดการทุกอย่างที่ต้องแตะต้องศพของน้องเขาเท่านั้น

ข้อมูลชันสูตรในตอนนั้นมีหลักฐานมัดแน่นจนสามารถจับคนร้ายทั้งแปดคนเข้าคุกไปได้ แต่...”

รเมศถอนหายใจก่อนพลิกหน้าถัดไป..

ทันทีที่เห็นภาพในหน้าถัดไป อนิรุทธ์กับศราวินก็ต้องรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที

ภาพของผู้ชายสองคนที่กอดกันอยู่ในโลงเย็น ที่แม้ไม่เห็นหน้าชัดเจนนักแต่ก็เดาได้ว่าเป็นใคร

“หลังจากชันสูตรเสร็จ อาจารย์อนิรุทธ์ขอที่จะอยู่ต่อกับศพของคนรัก พ่อพี่อนุญาต เขากับอาจารย์อีกสองท่านกลับออกไปเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลส่งให้ตำรวจ ก่อนที่จะกลับเข้ามาในห้องแลปอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น และพบว่า...อาจารย์อนิรุทธ์ได้กลายเป็นศพไปแล้ว ร่างของเขาลงไปอยู่ในโลงเย็นของคนรัก พ่อพี่บอกว่าตอนที่เอาออกมา พวกเขาตกใจกันมาก เพราะโลงมันถูกปิดสนิทและเลื่อนเข้าไปอยู่ในตู้ปรับอุณหภูมิเรียบร้อย ซ้ำศพของน้องเขายังกอดตอบอาจารย์ แถมที่ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสามกับตำรวจต่างก็จำได้ชัดเจนว่าศพของน้องเขาตอนแรกที่พบนั้นไม่มีรอยยิ้ม แต่ตอนที่พบศพอาจารย์อนิรุทธ์ ศพของน้องศราวินกลับมีรอยยิ้มอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนคนที่มีความสุขกำลังยิ้ม พ่อพี่เขาว่าไว้อย่างนั้นล่ะนะ”

“อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อกระตุกหลังจากผู้ตายเสียชีวิตมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงก็ได้มั้งครับ”

อนิรุทธ์เอ่ยเสียงเรียบ หลังจากนั่งฟังมานาน พยายามหาข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ออกมาขณะที่ศราวินนั่งนิ่งเงียบ รเมศถอนหายใจยาว

“ก็อาจเป็นได้ แต่มันน่าแปลกตรงที่นายกับน้องเขาหน้าเหมือนทั้งสองคนเมื่อสี่สิบปีก่อนอย่างกับแกะแบบนี้น่ะสิ จากที่ไม่เชื่อเรื่องลึกลับ พี่ก็ชักอยากจะเชื่อเสียแล้วสิ”

รเมศบอกก่อนหยิบเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

“ตอนนี้ศพของทั้งคู่ก็ถูกฝังอยู่ที่อนุสรณ์สถานนั่นแหละ พวกเขาแยกศพออกจากกันไม่ได้ จะเอาไปฝังตามพิธีก็ไม่ได้ พวกคนไข้ที่เคยได้รับการรักษาจากอาจารย์อนิรุทธ์ เพื่อนอาจารย์ พวกพยาบาลแล้วก็นักเรียนแพทย์รุ่นนั้นเลยร่วมกันบริจาคซื้อที่ดินส่วนนั้นสร้างอนุสรณ์ให้พวกเขา เรื่องตำนานที่น้องไม่เคยได้ยินนั่นน่ะ มีต้นเรื่องมาจากคดีนี่นั่นแหละ แต่ตอนนี้คนที่รู้เรื่องของอาจารย์หมออนิรุทธ์กับน้องเอ็กซ์เทิร์นศราวินก็แทบจะไม่มีใครนึกถึงคดีนี้แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงเรื่องเล่าที่พวกนางพยาบาลประจำวอร์ดศัลย์เล่ากันว่ามักจะเจอวิญญาณของทั้งคู่มาปรากฏตัวบ่อยๆตอนกลางดึกที่วอร์ดนั่นแหละ แต่ก็ใช่ว่าจะมาร้ายหรอกนะ คงมาตรวจเยี่ยมคนไข้เหมือนกับช่วงชีวิตนั่นแหละ มาหัวเราะคิกคักเดินเคียงกันแล้วก็หายไปอะไรทำนองนั้น แล้วก็พวกเห็นพวกสาวๆว่าถ้าเอาดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่ทั้งคู่ชอบไปวางไว้ให้ที่อนุสรณ์สถานก็จะได้สมหวังกับคนที่ตัวเองรัก หรือถ้าทะเลาะกับคนรักก็จะได้คืนดีกัน จนตอนนี้แถวนั้นก็กลายเป็นทุ่งดอกฟอร์เก็ตมีน็อตขนาดย่อมทุกวันอย่างที่เห็นนั่นแหละ”

ถึงตรงนี้คนที่พูดน้ำไหลไฟดับอย่างรเมศก็หัวเราะเบาๆโดยไม่สังเกตเลยว่าคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามนั้นน้ำตาคลอจนร่วงเผลาะๆลงอาบแก้มเสียแล้ว คนที่เห็นก่อนคืออนิรุทธ์ที่เอื้อมมือไปดึงท่อนแขนเล็กที่วางมือจิกกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่นแล้วดึงให้ลุกเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจอาการตกใจของรเมศ

อนิรุทธ์จูงศราวินเดินเร็วๆไปยังทางเดินหนีไฟและพาขึ้นไปยังชั้นบนก่อนจะเดินออกมายังดาดฟ้าของตึกสถาบันนิติเวช พอได้อยู่กับตามลำพังแล้ว คนเป็นอาจารย์ก็ปล่อยมือลูกศิษย์ลงและหันมามองหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาก่อนถอนหายใจยาว

ศราวินได้ยินอาจารย์ถอนหายใจก็นึกว่าอีกฝ่ายรำคาญตนเองจึงยกมือขึ้นมาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาและจะหันหลังหนี แต่อนิรุทธ์รั้งต้นแขนอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนพูดเสียงอ่อน

“หมอ...ผมอยากให้หมอลืมเรื่องที่ได้ยินได้รู้วันนี้ไปซะ ได้ไหม?”

ศราวินเงยหน้ามองอาจารย์ทั้งที่ยังคงร้องไห้อยู่

“ทำไมล่ะฮะ?”

“เพราะมันไม่มีอะไรเกี่ยวกับเราน่ะสิ.. ผมยอมรับว่ามันเป็นความบังเอิญที่หาได้ยาก ไม่ว่าจะเรื่องชื่อ เรื่องตำแหน่งที่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งใบหน้าที่เหมือนกัน แต่เรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น หมอคงไม่เชื่อหรอกนะว่าสองคนนั่นคือเรา?”

ศราวินมองอาจารย์อย่างลังเล หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนส่ายหน้าน้อยๆ

ไม่ใช่ไม่เชื่อ

แต่ไม่รู้ว่าควรเชื่อหรือไม่เชื่อต่างหาก

“ผมไม่รู้...”

ศราวินบอกเสียงแผ่ว ในใจยังเจ็บหน่วง แต่ไม่ใช่จากคำพูดประโยคนั้นอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องราวที่ได้รับรู้ต่างหาก

ศราวินไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดกับเรื่องไหนมากกว่ากัน ระหว่างเรื่องที่เขามิอาจได้เป็นคนรักของอาจารย์อนิรุทธ์คนตรงหน้าเหมือนกับที่ศราวินคนเมื่อสี่สิบปีก่อนได้เป็นที่รักของอาจารย์อนิรุทธ์คนเมื่อสี่สิบปีก่อน หรือเรื่องที่ศราวินและอาจารย์อนิรุทธ์เมื่อสี่สิบปีก่อนต้องพบกับความตายเช่นนั้นทั้งที่รักกัน

ศราวินไม่รู้เลยจริงๆ..

และไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินมา อาจารย์รู้สึกกับมันยังไง..

รู้สึกสับสนเหมือนศราวินหรือไม่...

ศราวินไม่รู้เลยสักนิด

“หมอ..ตั้งสติให้ดี แล้วค่อยๆคิด..ผมเชื่อว่าเด็กฉลาดอย่างหมอจะเข้าใจได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสี่สิบปีก่อน กับเราสองคนที่มายืนอยู่ตรงนี้ มาพบกันที่นี่ มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย...”

อนิรุทธ์พูดช้าๆราวกับจะรั้งรอให้เด็กหนุ่มที่กำลังร้องไห้อยู่ตรงหน้าคิดตาม น้ำตาของศราวินเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และเมื่อได้เห็นอนิรุทธ์ก็นึกไม่อยากที่ต้องเห็นมันอีก เขาล้วงมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าตัวเองขึ้นมาแล้วใช้มันซับน้ำตาให้กับเด็กน้อยของเขาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่

“อย่าคิดมากเลยนะหมอ...เรื่องระหว่างคุณกับผม คงไม่มีวันเป็นอย่างสองคนนั่นแน่นอน...”

อนิรุทธ์เอ่ยเสียงแผ่วเบา เขาดึงมือเล็กขึ้นมาและวางผ้าเช็ดหน้าของตัวเองลงไปก่อนจะเดินสวนศราวินกลับเข้าไปในทางเดินบันไดหนีไฟ

เสียงฝีเท้าของอาจารย์ดังห่างออกไปเรื่อยๆ ศราวินแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดอกฟอร์เก็ตมีน็อตก่อนก้มหน้าลงร้องไห้ออกมาอีกครั้ง มือกำผ้าเช็ดหน้าของอาจารย์ขึ้นมาซบหน้า

เพียงเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้นที่ได้ใกล้ชิด กลับสร้างความรักมากมายอย่างไม่เคยนึกประมาณรู้

บัดนี้ อาจารย์พูดออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอาจารย์จะไม่มีทางเป็นไปได้มากกว่าอาจารย์และลูกศิษย์

ศราวินที่เคยหวังลมๆแล้งๆว่าสักวันอาจได้กลายเป็นที่รักของอาจารย์ถึงได้รู้ว่าความรักของตัวเองมันสร้างความเจ็บปวดให้กับหัวใจมากเพียงใดเมื่อผิดหวัง...

“อาจารย์...”

ศราวินร้องไห้ออกมาอย่างไม่นึกอายฟ้าดินบนดาดฟ้าที่อยู่ตามลำพัง

-TBC-

คุยกันหน่อยนะ >>
เรื่องนี้ตอนที่เขียนเสร็จไปในฉากของซันโดนข่มขืน มีคดีหนึ่งที่มันผุดขึ้นมาในหัวของเรา
คดีนั้นคือคดีของจุนโกะ เด็กสาวชาวญี่ปุ่นที่ต้องทนทรมานกับสิ่งที่อันธพาลเลวๆทำกับเธออยู่ 44 วันก่อนที่จะถูกฆ่า สภาพคดีนั้นอ่านแล้วสงสารจุนโกะจับใจ นึกอยากให้เธอตายไปเสียตั้งแต่วันแรกๆจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างทรมานให้สัตว์นรกพวกนั้นสนุกกับการทรมานเธอ ความทรมานของเธอ...ซันคงเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย

พอนึกถึงแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าคนเลวๆที่คิดทรามแบบนี้มันมีอยู่ในสังคมจริงๆ
จึงอยากใช้พื้นที่เล็กๆของนิยายเรื่องนี้ ไว้อาลัยให้จุนโกะและเหยื่อของอาชญกรทั่วโลกที่ผ่านมานะคะ
และหวังว่าคงไม่มีใคร ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะต้องตกเป็นเหยื่อที่วิปริตแบบนี้อีกตลอดไป

Zynestras

ออฟไลน์ Windyne

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-1
    • Windyne Page on Facebook
บังเอิญไปรึเปล่าที่ซันกะอ.หมอจะหน้าเหมือนกะคนที่ตายไปแล้วสี่สิบปี มันต้องมีอะไรแน่ ๆ รอติดตามนะคะ :)

love2you

  • บุคคลทั่วไป
ยกมือขึ้นสุดแขนว่าเคยอ่านเรื่องนั้นค่ะ จำได้ว่าจิตตกไปนานมาก แทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงถ้าไม่ได้เห็นสมุดบันทึกและภาพถ่ายของเธอประกอบกัน หวังว่าคงไม่มีใครต้องโชคร้ายแบบเธออีกแล้ว...

ว่าแต่...

หมอรุทกับหมอซันเมื่อ 40 ปีที่แล้วแบ่งภาคมาเกิดเหรอคะ แบบเศษเสี้ยวของดวงจิตที่อยากสมหวังในอีกภพไรงี้น่ะค่ะ?

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
อาจารย์กับซันต้องไม่เหมือนอาจารย์กับซันเมื่อสี่สิบปีที่แล้วแน่ๆ  :mew6:
สงสารซันตอนนี้จัง แต่แอบตกใจที่ซันทั้งสองคนก็เป็นเด็กกำพร้าและต้องการความรักจากอาจารย์หมอ
จะว่าไปมันบังเอิญเหมือนกันจนน่ากลัว แต่มันก็จะไม่ซ้ำรอยเดิมใช่ไหม ไม่อยากเศร้าอะ แง้ๆๆๆ :monkeysad:

ออฟไลน์ krit24

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ในอดีตไม่สมหวัง ก็ขอให้คู่นี้สมหวัง อย่าให้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเลยน้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด