บทที่ 2
พบกันอีกครั้ง ผมถูกแรงกระชากบางอย่างพาให้หลุดไปอยู่ในความเวิ้งว้างเพียงชั่ววินาที ก่อนที่หัวจะหมุนจนแทบสำรอกอาหารของเมื่อวานออกมา ร่างกายเคว้งไปหมดในสภาพไร้แรงดึงดูด ความรู้สึกที่เหมือนมีแมลงตัวนั้น ตัวนี้ มีเยอะมากมายกำลังไต่ไปตามผนังกระเพาะอาหารเล่นเอาอึดอัดมวนท้อง จนต้องขมวดคิ้วเครียดตลอดระยะเวลาที่แสนยาวนาน (ในความคิดผมอะนะ)
เศษซากขนมปังที่กินเข้าไปแทบจะหลุดออกมาพ้นคอหอยอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่ามีแรงดึงมหาศาลจากสักมุมหนึ่งของโลกมารั้งตัวผมไว้ก่อน วินาทีต่อมา..เท้าของผมก็แตะถึงพื้นอีกครั้งทั้งๆที่ไม่รู้ตัวสักนิด ประสาทสัมผัสทั้งห้าค่อยๆถูกไขลานให้เริ่มกระบวนการของมันตามปกติ เสียงจอแจรอบตัวดังขึ้นจนน่ารำคาญ
เปลือกตาหนังอึ้งถูกปรือขึ้นด้วยความพยายามที่เหลือ ก่อนที่ผมจะสะอึกก้อนอะไรบางอย่างด้วยความตกใจกับภาพตรงหน้า.. ผู้คนมากมายเดินให้ทั่วบริเวณไปหมด ความรู้สึกจากเครื่องปรับอากาศสัมผัสแขนทั้งสองข้างจนขนลุกชัน ถึงจะเคยมาแค่ครั้งเดียวในชีวิตก็ตาม แต่ผมจำมันได้ดี สถานที่ที่ผมกำลังยืนเอ๋ออยู่นี่ คือสนามบินสุวรรณภูมิไม่ผิดเพี้ยน ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อผ้าที่ผมใส่มาในตอนแรกกลับเปลี่ยนไปเสียเฉยๆ เกิดรอยแผลจางๆขึ้นที่ปลายนิ้วชี้อย่างไม่ทราบสาเหตุ รวมทั้งความปวดเมื่อยตามตัวนี่อีก
“ปลาย!”
เสียงของผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้ง เกือบลืมไปว่านี่ไม่ใช่โลกที่ผมสมควรจะอยู่ แล้วนั่นคือเสียงของใครล่ะ ที่โลกใบนี้ผมรู้จักผู้หญิงที่ไหนด้วยเหรอ..
ผมค่อยๆหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียง รอยยิ้มอบอุ่นวาดอยู่บนใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น ข้างๆมีผู้ชายตัวสูงวัยพอดีกัน ทั้งสองคนเริ่มมีผมหงอกบ้างประปราย บวกกับร่างกายที่ดูไม่แข็งแรงสมบูรณ์นัก ถึงอย่างนั้น..ก็ไม่ได้ทำให้ภาพตรงหน้าดูงดงามน้อยลงไปเลย
ถ้าประสาทสัมผัสของผมไม่ได้เพี้ยนไป น้ำอุ่นๆกำลังรื้นขึ้นมาที่ขอบตาทั้งสองข้างไม่ผิดแน่ มือสองข้างกำหมัดแน่นเพื่อระบายความรู้สึกท่วมท้นในจิตใจตอนนี้ ผมเผลอกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซิบ ไม่รู้ว่าสิ่งที่รู้สึกอยู่ในตอนนี้ คืออะไรกันแน่
ไม่ผิดใช่ไหมครับ ทั้งคู่ตรงหน้าผมตอนนี้.. คือพ่อกับแม่ที่น่าจะตายไปแล้วใช่ไหมครับ?หัวใจของผมถูกบีบรัดด้วยภาพของคนทั้งคู่ ไม่รู้ว่าดีใจมากเกินไปที่ได้เห็นหน้าพวกเขาอีกครั้ง ทั้งๆที่ไม่สมควรจะมีโอกาสนั้นอีกแล้ว หรือว่ากำลังเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง ที่โดนตอกย้ำให้รู้ว่า พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ ในโลกที่ผมไม่รู้จักกันแน่...
“ยืนเหม่ออะไรอยู่ พี่เขาจะมาแล้วนะ”
เสียงของพ่อดังขึ้น ช่วยดึงผมออกจากภวังค์เมื่อครู่ เสียงที่ไม่ได้ยินมานานมาก มากจนแทบจะลืมไปเสียสนิทแล้ว กลับดังขึ้นต่อหน้าต่อตา ราวกับฝันที่กลายเป็นจริงขึ้นมาอย่างนั้นแหละ
“ค..ครับ” ผมอ้ำอึ้งตอบกลับไป พลางปาดน้ำตาที่คลอระหว่างเบ้าออกอย่างลวกๆ ก่อนจะเดินตามคู่สามีภรรยาตรงหน้าไปตามทางที่เต็มไปคนผู้คน
“เป็นไง?”
“เฮ้ย!”
ผมโพล่งออกมาจนคนแถวนั้นหันมามองเป็นตาเดียว เลยได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆกลับไปด้วยความอาย เมื่อยัยเด็กบ้าที่ลากผมมาจนถึงโลกใบใหม่ ที่ผมคงต้องยอมรับเสียทีว่ามันมีจริง ดันโผล่ออกมากลางอากาศแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงใดๆ
“ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ฉันคือเซลล์ทริป ชื่อ CD และนี่ก็คือ
โลกหมายเลข 27 ที่นายซื้อมา ยินดีด้วยนะ เป็นโลกที่ยังมีพ่อกับแม่อยู่จริงๆด้วย”
ผมไม่รู้จะตอบอะไร ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินตามพ่อกับแม่ที่ว่าไปเรื่อยๆ เพราะกลัวจะคลาดกัน แต่หูก็ยังเปิดฟังสิ่งที่ยัยเด็ก CD ซึ่งกำลังลอยอยู่ข้างๆพูดออกมาเรื่อย
“ไม่ว่านายจะไปที่โลกใบไหน นายก็ต้องเล่นไปตามบทบาทของตัวเองในโลกแห่งนั้น เป็นระบบ ‘การเข้าแทนที่’ น่ะ นายจะต้องแบกรับตัวตนของนายในโลกแต่ละใบเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผม ร่องรอยในอดีต หรือความรู้สึกทุกอย่าง ตามข้อมูลดูเหมือนวันก่อนตัวนายในโลกนี้จะไปช่วยสร้างบ้านให้เด็กในชนบท จนได้รับแผลที่นิ้วนั่นมา รวมทั้งความปวดเมื่อยด้วย ทุกอย่างก็มีประมาณนี้แหละ อ้อ.. แต่ต้องระวังหน่อยล่ะ ถ้าเกิดทำชีวิตตัวเองพังขึ้นมา ได้จบไม่สวยแน่”
แหม พูดซะดูน่ากลัวเชียว แล้วใครมันจะไปบ้าอยากทำชีวิตตัวเองพังล่ะครับ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวเองเสียทีเดียวก็เถอะ
“แล้วนี่ผมกำลังทำอะไรอยู่?” ผมขยับปากอุบอิบเพื่อส่งเสียงถาม แม้จะเบามากแต่ก็แน่ใจว่าเธอได้ยิน
“เมื่อกี้พ่อนายก็บอกไปแล้วนี่ หลังจากนี้ก็เล่นละครชีวิตตัวเองต่อไปเองแล้วกัน”
ไอ้เด็กบ้าพูดทิ้งท้ายเหมือนจงใจจะเล่นเกมใบ้คำ ก่อนจะหายตัวแว๊บไปกับตา ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็พยายามอย่างมากที่จะควบคุมไม่ให้มีเสียงอุทานหลุดลอดออกมา
เมื่อกี้พ่อบอกแล้วงั้นเหรอ? ว่าแต่เมื่อกี้พ่อบอกว่า ‘ยืนเหม่ออะไรอยู่ พี่เขาจะมาแล้วนะ’ สินะ อืมม... เหม่ออะไร.. พี่เขา จะ.. มา...
เฮ้ย!!!
ผมอุทานในใจซะเสียงดังจนขวัญหนีไปเอง หลังจากประมวลคำพูดเมื่อครู่ออก พ่อพูดว่าพี่ใช่ไหม นี่ผมมีพี่ด้วยเหรอ!? บ้าไปแล้ว ที่โลกใบนี้ผมมีพี่ ถึงจะไม่ได้อยากหรือไม่อยาก แต่มันก็อดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้รู้ว่าใครคือพี่คนนั้น ไม่เคยมีความคิดว่าจะมีพี่น้องแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ
“ทางนี้ๆ” เสียงของแม่ตะโกนขึ้นเรียกให้ผมกลับมาสนใจภาพตรงหน้าอีกครั้ง หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น พอดีกับที่พ่อและแม่กำลังเดินเข้าไปลากใครบางคนตรงเข้ามา
ภาพผู้ชายร่างสูงโปร่ง ผมซอยสั้นสีดำขลับถูกเซตให้เป็นทรงไม่แพ้พวกนายแบบตามปกนิตยสาร ร่างกายกำยำสมส่วนแบบที่ชายหนุ่มพึงจะมีถูกแสดงออกมาผ่านเนื้อผ้าดูดีมีราคา แขนสองข้างพาดไปกับรถเข็นของสนามบินซึ่งบรรจุกระเป๋าเดินทางหลายใบไว้ ดวงตาทั้งคู่ถูกซ่อนอยู่เบื้องหลังแว่นกันแดดสีชาซึ่งขัดอยู่เหนือสันจมูกโด่งได้รูปนั่น
ผมเอียงคอมองผู้ชายตรงหน้าด้วยจิตสงสัย คุ้นเคยมากเกินไป นี่คือสิ่งแรกที่แล่นปราดเข้ามาในหัวสมอง ภายในวินาทีแรกที่พบกัน ลักษณะเส้นผมแบบนี้ โครงหน้าแบบนี้ ร่างกายแบบนี้ สีผิวและส่วนสูงแบบนี้ แทบไม่ต้องเดาเลยว่าใคร แต่ที่ประหลาดใจก็คือ ทำไมคนคนนั้นถึงกลายมาเป็นพี่ชายของผมในโลกใบนี้ได้!?
“เป็นไงบ้างเรา?” คนที่ดูเหมือนจะเป็นพี่ชายของผมถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นดวงตาสีนิลใส รอยยิ้มกรุ้มกริ่มแบบที่นึกเกลียดนักปรากฏให้เห็นอีกครั้งราวกับภาพหลอน
คุณรัฐ... คุณคือพี่ชายของผมจริงๆเหรอครับ ??ผมเพียงแต่ส่งยิ้มประหลาดออกไปเพราะยังทำตัวไม่ถูก คุณรัฐเลยหัวเราะออกมาในท่าทีเป๋อเหลอของผม ก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้ผมของผมเล่นอย่างอารมณ์ดี นี่กะจะไม่ให้ผมหลุดพ้นบ่วงของผู้ชายคนนี้เลยหรือไงครับ อย่าบอกนะว่าต้องเจอกันแบบนี้ในโลกทุกๆใบ ผมว่าแบบนั้นมันต้องมีอะไรผิดพลาด!
เราสี่คนพ่อแม่ลูกครอบครัวสุขสันต์ นั่งรถแวนคันหรูกลับบ้าน แต่บ้านก็ไม่ได้ใหญ่เว่อร์วี่ว่าอะไรมากมายนะครับ แต่ถ้าเทียบกับห้องเช่าเก่าๆของผมแล้ว อันนี้ก็น่าจะเทียบเคียงสวรรค์บนดินได้สบายๆ
ที่แรกที่ผมตรงดิ่งเข้าไปคือห้องนอนตัวเอง และถือเป็นความโชคดีเหลือล้นที่มีป้ายกำกับไว้หน้าประตูว่าห้องไหนเป็นห้องไหน ทำให้ผมไม่ต้องทำตัวน่าสงสัยด้วยการลืมทิศทางในบ้านตัวเอง ผมจัดแจงค้นคว้าข้อมูลของตัวผมในโลกใบนี้ให้ได้มากที่สุด จากพวกข้าวของเครื่องใช้และทุกสิ่งอย่างที่หลงเหลืออยู่
เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า จนผมพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้บ้างว่า ผมคือเด็กนักเรียนปี 3 แห่งมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ทำเอาผมนั่งปิติไปหลายนาทีอยู่ ก็ในโลกที่แท้ของผม ผมไม่มีโอกาสได้เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยนี่ครับ
ต่อมาก็คือ.. คุณรัฐ แกเป็นลูกพี่ลูกน้องของผมครับ ไม่ใช่พี่แท้ๆ แต่ก็สนิทกันมาก อาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันและเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก (พอดีค้นเจออัลบัมรูป) ปัจจุบันเป็นอาจารย์ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในต่างประเทศ แต่กลับมาประเทศไทยทุกๆปิดเทอม และแน่นอนว่าเป็นช่วงปิดเทอมของนักศึกษาอย่างผมเช่นกัน แอบเสียดายนิดๆนะที่ไม่ได้เข้าไปนั่งเรียนอย่างที่เคยวาดฝันไว้ แต่แค่รู้ว่าได้เรียน ผมก็สุขสุดๆแล้วครับ
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมจึงรีบลนลานเก็บของที่รื้อของมาทั้งหมดยัดใส่ตู้ใบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปแง้มประตูออกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเป็นคุณรัฐก็แทบจะปิดประตูหนีตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่ทันได้ทำแบบนั้น เมื่อคนตัวสูงเป็นฝ่ายดันประตูเปิดออกและแทรกตัวเข้ามาภายในห้องอย่างถือวิสาสะเอง
“ไปกันเลยไหม?”
“หะ?”
ผมตีหน้าเซ่อส่งเสียงกลับไป ทำเอาคุณรัฐเลิกคิ้วสูงเหมือนประหลาดใจ งงอะ ไปไหนเหรอ หรือผมเคยไปพูดคุยตกลงอะไรกันไว้ก่อนหน้านี้? แม้จะอยากตะโกนถามยัยเด็ก CD แต่ในเวลาที่ต้องการตัวแบบนี้ ยัยนั่นกลับหายหัว ไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผม
“ก็ปลายให้พี่ติดต่อรุ่นน้อง ให้ฝากปลายเข้าทำงานพิเศษไง”
อุบ๊ะ! งานพิเศษ อันนี้น่าสนใจครับ ถือว่าเดินทางมาไม่เสียเปล่า คือผมเป็นโรคจิตอ่อนๆ ชอบทำงาน อาจจะเพราะติดนิสัยที่ต้องทำงานเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆนั่นแหละ เอ๊ยแต่ถ้าให้ทำงานในบริษัทใหญ่ๆผมก็คงไม่ไหวนะ รู้สึกว่าผมจะเรียนคณะพาณิชย์ฯซะด้วย อันนี้งงเต๊กเลยครับ ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะเข้าคณะแบบนี้ได้ มันสมควรได้รับการจารึกอย่างยิ่ง
“แล้วคุ..เอ่อ พี่รัฐไม่พักก่อนหรอครับ?” เป็นไงล่ะ ทำตัวเป็นน้องที่ดีมะ เล่นสมบทบาทนะเนี่ย น่าจะได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
“ไม่เป็นไร วันนี้มันเข้ามาเตรียมร้านพอดี ไปช่วยมันหน่อย”
มันที่พูดถึงนี่เดาว่าไม่ใช่วัตถุดิบทำเลย์หรือเทสโต้แต่อย่างใด ก็คงจะเป็นรุ่นน้องที่พี่รัฐฝากผมให้เข้าทำงานด้วย แต่ประเด็นมันอยู่ที่คำว่า ‘ร้าน’ ครับ แบบนี้ผมค่อยโล่งอก ที่รู้ว่าไม่ใช่งานยิ่งใหญ่อะไร ไม่งั้นผมคงได้ทำชีวิตตัวเองพังอย่างที่ยัย CD เคยเตือนแน่ๆ
“อ่า ครับ”
สุดท้ายผมก็พยักหน้าตกลง และยอมให้คุณรัฐเข้ามาดันตัวออกไปจนถึงลานจอดรถหน้าบ้าน เราใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 10 นาที ก็มาถึงร้านเล็กๆที่ตกแต่งอย่างน่ารัก ท่าทางจะดึงดูดคนได้มากอยู่ เพราะเด่นหราออกมาจากร้านรอบข้างมากนัก
ป้ายหน้าร้านเขียนว่า Snow Farm พร้อมแขวนตุ๊กตาขนมผิงเอาไว้ข้างๆ ให้อารมณ์ฤดูหนาวใช้ได้ พี่รัฐ (สรรพนามเริ่มเปลี่ยน ฮ่าๆ) เปิดประตูเข้าไปด้วยท่าทางสนิทสนม เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่ด้านบนดังขึ้น เรียกความสนใจจากผู้ชายที่กำลังผุดลุกผุดนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้ได้เป็นอย่างดี
คนที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ และรุ่นน้องของพี่รัฐ โผล่หน้าออกมาให้เห็น สายตานิ่งเฉยที่มองพี่รัฐแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจเมื่อหันมาเห็นหน้าผม ส่วนผมเองก็กำลังเบิกตาโพลงมองเขากลับเช่นกัน...
“เป็นไงวะ เปิดร้านวันแรก เงียบเป็นป่าช้าเลยนะมึง จะรอดไหมเนี่ย? ฮ่าๆ” พี่รัฐเดินเข้าไปกอดคอรุ่นน้องตัวเองซึ่งมีท่าทีรังเกียจน้อยๆ พลางแซวติดตลก
“เอ่อ... ก็ดีครับ”
“เออ นี่ปลาย น้องชายกู ที่บอกจะมาช่วยงานมึงอะ ฝากดูแลด้วยนะ” พี่รัฐผละตัวออกมาจากรุ่นน้องคนนั้นแล้วตรงมากระซิบกับผมต่อ “เดี๋ยวตอนเย็นค่อยมารับนะ ต้องไปจัดการเรื่องเอกสารนิดหน่อย”
ไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรกลับไป พี่รัฐก็ชิงเดินออกไปจากร้านเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนว่าเขาจะพรากเอามวลเสียงทั้งหมดไปด้วย เมื่อความเงียบเริ่มตรงเข้าปกคลุมทั่วร้านเล็กๆแห่งนี้ พร้อมนำพาบรรยากาศชวนอึดอัดให้เข้าแทนที่
“เอ่อ...”
ผมส่งสายตามองผู้ชายตรงหน้า ที่ยังคงเอาแต่จ้องหน้าผมอย่างอึ้งๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวยแทบไม่กระพริบเลยด้วยซ้ำ เส้นผมสุขภาพดีสีดำสนิทถูกซอยระต้นคอและเซตไว้ยุ่งๆ ใบหน้าเรียวขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น เรื่อยๆ เรื่อยๆ.. กว่าที่จะรู้ตัว ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ก็เข้ามาสวมกอดผมเอาไว้เสียแล้ว
“เฮ้ยย!” ผมร้องเสียงหลงและพยายามดันตัวเขาให้ออกไป แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้คนคนนี้ยิ่งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น พร้อมโน้มตัวลงมา เกยคางมนลงกับไหล่เล็กๆของผม
“ปลาย ปลาย..”
เสียงทุ้มที่เคยได้ยินชัดเจนมาแล้วครั้งหนึ่งดังขึ้นด้วยความรู้สึกโหยหา ผมเผลอปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆเมื่อเขาเปล่งเสียงออกมา เพราะมันเป็นเสียงที่ดูเหมือนว่า เขากำลังเจ็บปวดเหลือเกิน...
“นายคือปลายที่ฉันรู้จักใช่ไหม!?”เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน... เจ้าของร้าน Snow Farm... รุ่นน้องของรัฐฐา...ลูกค้าร้านขนมปัง...กับผู้ชายเจ้าของสร้อยข้อมือ CP ทั้งหมดนั่นคือคนเดียวกัน และก็กำลังยืนอยู่ต่อหน้าผม ถามคำถามเดียวกันกับที่เคยถามไปแล้ว ทั้งๆที่อยู่ในโลกคนละใบ แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังจะพูดแบบนั้นอีกงั้นเหรอ??
ผมคิดว่าปลายในโลกนี้ อาจจะรู้จักกับคนคนนี้ก็ได้ แต่ถ้าย้อนกลับไปทบทวนคำพูดแนะนำตัวจากพี่รัฐ ก็พอจะเดาได้ว่ามันไม่ใช่ และอีกอย่าง.. คำถามของเขาก็ฟังดูประหลาดเกินไป ผมจึงได้แต่ยิ้มแหยๆ และส่ายหน้าไปตามท้องเรื่อง
“ขอโทษครับ แต่ผมไม่รู้จักคุณ”
สายตาเจ็บปวดแบบสุดซึ้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวเหลืองนั้นอีกครั้งทันทีที่เขาผละตัวออกไป กล่องความเงียบถูกไขลานอีกครั้ง เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าที่เคย และอึดอัดกว่าทุกที เราสองคนยืนจ้องหน้ากันและกันด้วยสายตาที่ต่างไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจว่าเขาเป็นใคร ทำไมถึงคิดว่าเราจะรู้จักกัน ทำไมถึงถามคำถามนั้นซ้ำอีกครั้งในโลกอีกใบ ส่วนเขา..ก็ดูเหมือนไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าทำไมผมจึงไม่ใช่ปลายที่เขารู้จัก หรือว่าปลายที่รู้จักเขา ก่อนที่ผู้ชายตรงหน้าจะหันหลังกลับเข้าไปหลังร้าน มือของผมกลับคว้าแขนเขาไว้เร็วกว่าความคิดเสียอีก ผมอึกอักอยู่สักพักเมื่อเขาหันกลับมามองด้วยสายตาประหลาดใจ ภายในดวงตาคู่นั้นแฝงเร้นไปด้วยความหวังอย่างบาง แต่สิ่งที่ผมอยากจะพูดคงไม่ได้ทำให้เขาพอใจนัก เพราะผมแค่อยากจะเสี่ยง ในสิ่งที่กำลังสงสัยเท่านั้น...
“คุณ...”
“...”
“ไม่ใช่คนในโลกใบนี้ใช่ไหม?”“รู้ได้ยังไง!?” เขาโพล่งขึ้นเสียงดังจนผมเผลอตกใจ แต่ก็พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด
“เพราะผมเพิ่งได้เจอคุณ ในโลกหมายเลข 23”
คนตรงหน้าตากระตุกด้วยความตกใจ ก่อนจะตรงเข้ามาเขย่าตัวผมอย่างเอาเป็นเอาตาย ความเจ็บปวดจากแรงบีบที่แขนสองข้างทำเอาผมถึงกับตีสีหน้าเหยเก เสียงตะคอกดังอยู่ใกล้ๆ กระดูกค้อน ทั่ง โกลนสั่นไหวไปตามความดังที่ได้ยิน
“นายจะตามฉันมาทำไม!?”
“ผะ..ผม”
ผมไม่สามารถพูดได้จบประโยค เพราะความรู้สึกกลัวซึ่งแล่นเข้ามาจุกอกเอาไว้ ดวงตาหลุบต่ำลงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่อาจทนสบตาดุร้ายของคนตรงหน้าที่กำลังเดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“กลับไป!!”ร่างของผมถูกเหวี่ยงจนไหล่ไปกระแทกกระจกใสเสียงดัง รอยแดงปรากฏขึ้นแทบจะทันทีเพราะผมเป็นพวกผิวขาวมากจนแทบจะเรียกว่าตัวซีดจัด สายตาตวัดขึ้นมองคนที่ผลักผมออกมาด้วยความขุ่นเครียด ถึงผมจะไม่เข้าใจเรื่องบ้าๆในตอนนี้ทั้งหมด แต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะมีสิทธิ์มาทำแบบนี้ได้!
“นี่มันเรื่องบ้าอะไร!!?” ผมตะคอกเสียงกลับไป และดูเหมือนจะได้ผลอยู่บ้าง เมื่อผู้ชายใจร้อนคนนี้เริ่มสงบลงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาเรื่องกับพวกโต๊ะเก้าอี้ในร้านแทนอย่างหงุดหงิด
ผมย้ายตัวเองมานั่งหลบอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน ซึ่งก็ไม่ได้กว้างนัก จึงทำให้เราสองคนยังคงอยู่ในระยะที่มองเห็นกันและกันชัดเจน เขาเองก็ได้แต่นั่งก้มหน้า มือกุมขมับอยู่นานพอตัว นานมากจนผมเกือบเผลอหลับไปกับบรรยากาศช่วงบ่ายแบบนี้ แต่ผมก็ไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้น เมื่อคุณเจ้าของร้านเริ่มเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง
“ถ้านายเดินทางได้ ก็แปลว่าปลายกำลังรอฉันอยู่ที่ไหนสักแห่งอย่างที่คิด”
ขอโทษนะ ถ้าผมฟังไม่ผิดไป เหมือนจะได้ยินหมอนี่เรียกชื่อของผมออกมา แต่ก็เหมือนกับว่าไม่ได้หมายถึงผมอย่างนั้นแหละ
“ผมไม่เข้าใจ” สุดท้ายผมก็ทำเป็นใจดีสู้เสือ เอ่ยปากออกไปบ้าง อย่างน้อยก็ให้เขาได้รู้ว่า ผมไม่ได้รู้เรื่องห่าเหวอะไรกับเขาเลยนะ และผมก็ไม่น่าจะผิดอะไรด้วย
“ฉันกำลังตามหาตัวนายคนหนึ่ง เป็นนายที่เคยใช้ชีวิตกับฉันในโลกหมายเลข 18 มาก่อน”
อ่าวแม่ง ยากเลย.. ผมพยายามประมวลผลอย่างไวที่สุด แม้จะยังงงๆแต่ก็แสร้งพยักหน้ารับรู้ออกไป ทำให้เขาเริ่มร่ายต่อ สีหน้าท่าทางดูใจเย็นขึ้นโข
“เราสองคนคลาดกัน และฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนของโลกไหนกันแน่ ฉันถึงต้องตามหาไปเรื่อยๆ แต่เมื่อนายเดินทางมาที่โลก 27 นี้ ก็แปลว่านายในโลกนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ และบางที.. นั่นอาจเป็นปลายที่ฉันกำลังตามหาอยู่ก็ได้ เข้าใจหรือยัง?”
ผมหยุดนิ่งสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารัวๆ ดูเหมือนผู้ชายคนนี้ต้องลำบากมาก ก็คงไม่แปลกถ้าจะโกรธผมถึงขนาดนั้น แต่จะว่าไปก็แปลกแหละ.. แปลกที่เขากำลังตามหาผม ที่ไม่ใช่ผมไงล่ะ
“แล้วทำไมไม่ถามเซลล์ของคุณล่ะ ว่าคนที่คุณตามหาเขาเป็นคนของโลกไหน?” ผมเลือกคำถามที่ดูฉลาดและสมเหตุสมผลที่สุด แต่สิ่งที่ได้กลับมาดันเป็นเสียงแหลมสูงของเด็กผู้หญิง
“ไม่ได้!”วินาทีต่อมา ก็มีเด็กผู้หญิงหน้าตาประหลาดพอๆกับยัย CD โผล่ออกมาจากช่องว่างของอากาศ ผมบ๊อบสีม่วงดูโดดเด่นจนแอบน่ากลัว ว่าไม่ทันไร ยัย CD ก็ตามออกมาติดๆ พร้อมส่งยิ้มหน้าเป็นมาให้เหมือนเคย ไม่ได้ดูสถานการณ์ตอนนี้เอาซะเลย ยัยเบ๊อะ!
“พวกเรามีกฎเหล็ก 3 ข้อ คือห้ามเปิดเผยข้อมูลของลูกค้าเด็ดขาด ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของลูกค้าถ้าไม่จำเป็น และห้ามแทรกแซงการทำงานของเซลล์คนอื่นๆ” ยัยเด็กบ๊อบจีบปากจีบคอว่าเหมือนคนที่ยืนอยู่เหนือกว่า ผมเลยได้แต่ยักไหล่ไปทีเป็นสัญญาณรับรู้
ใบหน้าของชายหนุ่มตรงข้ามกับผมยิ่งดูแย่ลงเมื่อถูกตอกย้ำด้วยกฎบ้าๆสามข้อนั่น จะว่าน่าเห็นใจ หรือน่าสงสารก็ไม่ผิด ทั้งๆที่ผมก็นั่งเอ๋อ แล้วเขาก็นั่งตีสีหน้าขึงตึง แต่ดูเหมือนไอ้เด็กสองคนที่เอาแต่ลอยไปลอยมาจะไม่ได้สนใจสักนิด กลับตรงเข้าทักทายกันเสียงดังเหมือนพวกเด็กโรงเรียนสตรีไม่มีผิด
“CD เป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ดีๆ AA เป็นไง? อยู่กับผู้ชายคนนั้นเหนื่อยหน่อยนะ” ผมแอบจับสังเกตบางอย่างได้จากบทสนทนาเลื่อนลอยของเด็ก CD และ AA เมื่อ CD พูดเหมือนว่าเธอเคยรู้จักกับผู้ชายในความดูแลของ AA คนนี้อย่างนั้นแหละ
“กลับไป..”
คนคนนั้นพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยคำคำเดิม ดึงความสนใจจากยัยเด็กเซลล์ทั้งคู่ให้หันไปมอง AA ลอยตัวเข้าไปใกล้เขาและกระซิบอะไรบางอย่าง ทั้งสองคนถกเถียงกันไปมาผ่านทางสายตาที่ผมไม่อาจเข้าใจ ก่อนที่จะจบลงด้วยเสียงถอนหายใจยาวเยียด ในที่สุดผู้ชายคนนั้นก็ได้ฤกษ์ลุกออกจากที่นั่ง และเดินตรงมาหยุดตรงหน้าผม สายตานิ่งเฉยติดจะเย็นชาเหยียดมองลงมาพลางตัดสินเสียงเด็ดขาด
“ฉันให้เวลานายไม่เกิน 7 วัน เล่นให้พอใจ เสร็จแล้วก็รีบกลับไปซะ”อะไร!? สรุปไอ้บ้านี่มันเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมากำหนดชีวิตผม!!
----------------------------------
คิดว่าตอนต่อไป น่าจะได้เห็นความน่ารักของพระนายมากขึ้นแล้วน้า 