The missing piece : by「aonair」
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The missing piece : by「aonair」  (อ่าน 27492 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนที่3
อึ้ยยยย น่ารักดี เค้าชอบปลายกับรัฐนะะะ
เหมือนว่าในโลกหมายเลข23นี่ ปลายรัฐหรอ ???
เออออ..... แต่ชอบทั้งคู่เบยยยยย รอติดตามตอนต่อไปจ้าาา

ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนที่4
หึยยยยยยยยยย เค้าสงสารฌาณอะ..
ไม่แน่อาจจะเป็นปลายคนเดียวกันก็ได้ #ห้ะ
อาจจะแบบเกิดอุบัติเหตุเสียความทรงจำ... #ไม่ใช่ละะะ
ติดตามตอนต่อไปปป

ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนที่5
ว้ายยยยยยย (?)
น่ารักมากลูกจ๋าาาา!!!
น้องปลายO_O
เรื่องซับซ้อนดีจริง..

ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนที่6
โอยย... ตามความเห็นที่ #18
บางทีการอยู่ด้วยกันก็ทำให้รู้สึก
สำหรับฌาณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปลายไหน ยังไงก็คือปลายปะ ?
แต่แบบ ท้ายที่น้องปลายบอกว่าไม่มองแม้ว่าเขาก็คือปลายเอง นี่สิเจ็บปวด...
เหมือนค่อยๆ แสดงออกมาแล้วปะ ? ว่าปลายก็มีบางทีที่แอบหวั่นไหวอะ
แล้วถ้าเกิดต้องจากไหน เพราะปลายนี้อยู่ในโลกหมายเลข 23 ???
แต่ฌาณคนนี้ก็ไม่ได้อยู่ใน 27นี่? .... รอติดตามมม

ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนที่7
ปวดใจเลยอะ.. TT
สงสารปลายนะ เจ็บตามเลยจริงๆ
แบบ.. มันน่าเจ็บปวดอะ ทั้งๆที่หวั่นไหวแล้วแท้ๆ
แต่กลับไม่ใช่คนที่เขาตามหา.. ตอนนี้ชักสงสัย ?
ที่CD คุยกับ AA  ปลายคนนั้นคือปลายคนนี้ใช่หรือเปล่า?
คนที่ฌาณตามหา แล้วความรู้สึกตอนข้ามห้วงมิตินั่นคือความทรงจำที่เหลืออยู่หรือเปล่า?
อาจจะเป็นประสบการณ์ร่วมกันกับฌาณก็ได้ ? เดาาาา
แต่ต้องรอตอนต่ิอไป มาต่อเร็วๆ น้าาา รอตอนต่อไปจ้าา
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ติดเลยจริงๆ ฮาา

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 8
ย้อนกลับไป


 

6 เดือนก่อน

 

“ขอบคุณครับ”

ผมก้มหัวให้คุณป้าร้านผัก ก่อนจะเดินออกมาจากตลาดด้วยความอิ่มเอม ได้ผักสดราคาดีมาเยอะเลย คงพออยู่ท้องไปได้อีกหลายมื้อเนอะ

วันนี้คงเป็นวันดีที่อากาศไม่ได้ร้อนจัดจนน่ากลัวเหมือนทุกที ผมเลยสามารถเดินเอ้อระเหยผ่านไปตามซอกซอยต่างๆได้แบบไม่ต้องรีบร้อนนัก นานๆจะมีวันหยุดจากที่ทำงานพิเศษสักที ได้เจอบรรยากาศสบายๆแบบนี้บ้าง แค่นี้ก็สุขและ

ก็อยากจะให้เป็นแบบนี้ไปตลอดหรอกนะ ถ้าไม่ใช่ว่าสายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็น ร่างเลือนลางของเด็กผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาประหลาด ซึ่งกำลังเพ่งมองผมมาจากมุมหนึ่งของซอยที่เพิ่งเดินผ่านมา แต่เมื่อผมหันหลังกลับไปมอง ก็ไม่พบเธออยู่แล้ว....

โนวววววว!!

นี่ผมเจอผีเข้าจังๆ ตั้งแต่กลางวันแสกๆแบบนี้เนี่ยน้าาาา!!

ผมพยายามทำใจเย็นและเดินต่อ แต่! ผมกลับเจอยัยเด็กผีนั่นอีกครั้งในซอยถัดมา.. ถัดมา.. ถัดมา.. และถัดมาอีก.. เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนผมหยุดลงตรงหน้าห้องเช่าราคาถูก ที่พักอาศัยในตอนนี้ของผมเอง

“สวัสดีจ้า!”

“เหวออออ!”

เสียงแหลมสูงแบบเด็กๆดังขึ้นข้างหูของผม ทำเอาสะดุ้งจนแทบล้มลงไปกองกับพื้น มือเล็กนุ่มนิ่มตรงเข้ามาคว้าแขนของผมไว้ก่อน และเริ่มร่ายยาวเป็นบ้าลำพัง ปล่อยให้ผมยืนช็อควิญญาณออกจากร่างอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน โดยที่ไม่มีใครเดินผ่านมาช่วยเลยแม้แต่คนเดียว

“ฉันชื่อ CD เป็นเซลล์ขายทริป สามารถพานายไปที่โลกใบอื่นๆได้ และกลับมาอย่างปลอดภัย ณ จุดจุดเดิม”

นั่นคือสารเดียวที่ผมได้ฟังจากผีเด็กตรงหน้าเป็นเวลานาน เธอเอาแต่พูดถึงโลกอีก 49 ใบ และตัวผมอีก 49 คน พร้อมทั้งเสนอขายทริปบ้าบออะไรนี่อยู่ตลอดเวลา นานมากจนผมเริ่มเรียกสติกลับคืนมา และสะบัดมือเธอออกไปได้

“เดี๋ยวสิ!”

เสียงของเธอดังไล่ตามมา เมื่อผมออกตัววิ่งไปทางตึกร้างซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก จำได้ว่าตอนนี้เขากำลังจะซ่อมแซมและทำเป็นสำนักงานอะไรสักอย่าง ก็คงจะมีพวกคนงาน หรือช่างก่อสร้างอยู่ละแวกนั้นที่พอจะช่วยผมได้บ้าง แต่! ผมกลับไม่เจอใครใกล้ๆตึกนั้นเลย แถมไอ้เด็กผีมันยัง วิ่ง.. ไม่สิ มันลอยตามผมมาติดๆแล้วด้วย อ๊ากกกก!!

แกร๊ง..แกร๊ง..

ในขณะที่ผมกำลังจะแกล้งตาย เสียงแปลกๆก็ดังแว่วมาจากชั้นสามของตึกร้างที่ไม่น่าจะมีใครอยู่ จะว่าไปคนงานอาจจะกำลังเก็บกวาดอยู่ด้านบนก็ได้ ดีล่ะ ผมรีบวิ่งขึ้นไปขอความช่วยเหลือดีกว่า แต่จะบอกไงดีล่ะ พี่ครับ ช่วยด้วย มีผีไล่ตามผมอยู่ อย่างนี้ดีปะ

“ช่วยด้วยครับๆ”

ผมตะโกนไปทั้งๆที่หอบอยู่ เพราะวิ่งขึ้นมาหลายชั้นแบบไม่มีพัก ก่อนจะผลักประตูผุพังตรงหน้าออกไป เผยให้เห็นผู้ชายร่างใหญ่ สามคนข้างในนั้น... แต่! ผมว่าผมยอมโดนผีหลอกจนจับไข้ ยังดีกว่าต้องมาเจอพี่สามคนนี้นะ เพราะไอ้คนพวกนี้มันเป็นเจ้าหนี้สุดโหดของผมเองน่ะสิ โธ่เว้ย!! ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะผมถูกเพื่อนห้องใกล้ๆหลอกให้ไปค้ำประกันให้ แล้วก็ดอดหนีหายไปหน้าตาเฉย จนความซวยมาลงที่ผมหมดแบบนี้ ฮืออ!

“อ้าว มาเจอเราเองเลยเรอะ” เสียงของไอ้หน้าโหดกล้ามใหญ่คนหนึ่งดังขึ้นพลางแสยะยิ้ม ทั้งสามคนลุกขึ้นโยนบุหรี่ในมือทิ้งไป และทำท่าว่าจะตรงเข้ามาหา

ผมชั่งใจอยู่ได้แค่เสี้ยววินาที ก็ตัดสินใจหันหลังกลับและถลาลงไปทางบันไดอย่างไม่คิดชีวิต เสียงน่ากลัวดังขึ้นไล่หลังมาติดๆ พ่วงมาด้วยไอ้เด็กผีเมื่อกี้ที่โผล่ออกมาจากกลางอากาศและลอยอยู่ข้างๆผมมาตลอดทาง ปากก็ยังคงเอาแต่พูดเรื่องการเดินทางห่าเหวที่ผมไม่นึกอยากจะได้ยิน

ไอ้คุณผี บางทีมึงก็ควรดูสถานการณ์บ้างอะ!!

“จะไปไหม 5 ปี จากอายุขัยเอง”

“เฮ้ย จะหนีไปไหน!”

“แค่บอกหมายเลขของโลกใบที่นายต้องการจะไปเท่านั้น”

“หยุดนะว้อย!”

ผมเริ่มก้าวขาลงจากบันไดทีละสองขั้นเพื่อเพิ่มความเร็วในการหนี เมื่อเสียงตะโกนด้านหลังดังขึ้นใกล้เข้ามา ในขณะที่เสียงงุ้งงิ้งๆข้างๆก็ยังดังไม่หยุด ทำเอาหัวของผมหมุนไปหมดด้วยความสับสน มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมขมับเพราะความปวด อีกข้างรั้งราวบันไดเอาไว้แน่น แรงกดดันมหาศาลตรงเข้าจู่โจมจนเริ่มมองไม่เห็นทางข้างหน้า บรรยากาศรอบตัวหมุนวนคล้ายว่าจะล้มลงได้ทุกเมื่อ

“ไอ้ปลาย!!”

เสียงตะคอกของหนึ่งในเจ้าหนี้สุดโหดดังขึ้นใกล้มากๆ พร้อมกับแรงลมที่ก่อตัวขึ้นหลังท้ายทอย เมื่อมือใหญ่ของมันตรงเข้าเกือบจะคว้าคอเสื้อของผมได้ ตอนนี้หัวของผมแทบจะระเบิดเต็มที จนคิดอะไรไม่ออก ความกลัวก้อนใหญ่กดทับไปทั่วร่าง พอดีกับที่เด็กหน้าตาประหลาดเมื่อครู่ ลอยมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง

“ถ้าจะไป ก็บอกตัวเลขมา”

“ฮึ่ยย!” เสียงสบถจากด้านหลังดังขึ้นอีกเมื่อพลาดในการคว้าตัวของผมเป็นครั้งที่สอง แต่ตอนนี้ผมกับเจ้าหนี้ด้านหลัง ก็ไล่ตามกันมาใกล้ขนาดแค่เอื้อมมือเดียวเท่านั้นแล้ว

ขณะที่ผมกำลังจะก้าวเท้าลงจากบันไดอีกขั้นนั้นเอง ปากของผมก็พลั้งพูดออกไปไวกว่าความคิด ถึงอย่างนั้นผมก็มองว่าดีแล้วกับการตัดสินใจครั้งนี้ ไม่อย่างนั้นผมก็คงโดนซ้อมจนตายอยู่ในตึกร้าง และกลายเป็นวิญญาณเฝ้าที่ไปแทน..

“18!”

สิ้นเสียงของผม รอยยิ้มกว้างก็เผยขึ้นบนใบหน้าแป้นๆของเด็กผีที่กำลังลอยอยู่เหนือหัว แรงกระชากบางอย่างก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่กระแสลมน่ากลัวจะพัดเอาทุกสิ่งรอบตัวหายไปหมด กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็ถูกดีดเข้ามาอยู่ในสถานที่แปลกๆซึ่งเต็มไปด้วยความมืดดำ หลังจากนั้นท้องไส้ของผมก็เริ่มบิดตัวรุนแรงจนผมล้มลงไปกองกับพื้น หัวสมองปั่นปวนไปด้วยบรรยากาศประหลาดบางอย่าง

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ ก่อนที่ร่างทั้งร่างของผมจะถูกดึงกลับมายืนอยู่บนพื้นโลกอีกครั้ง.. สัมผัสนุ่มจากเบาะหรือพรมสักอย่างเกิดขึ้นทันทีที่บริเวณฝ่าเท้าทั้งสองข้าง ดวงตาปรือลืมขึ้นช้าๆเพื่อพบกับห้องขนาดกว้างภายในคอนโดแห่งหนึ่ง การตกแต่งภายในดูเรียบง่ายแต่ทันสมัย หน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นทิวทัศน์ของเมืองที่ผมอาศัยอยู่อย่างชัดเจน เตียงเดี่ยวขนาดพอดีสองคนหลงเหลือร่องรอยยับย่น ผ้าห่มถูกถีบออกไปอยู่ปลายเตียง เกิดความเละเทะขึ้นเฉพาะบริเวณนี้เท่านั้น

ผมมองสำรวจไปทั่วอย่างไม่เชื่อสายตา นี่ผมเดินทางมายังโลกอีกใบแล้วจริงๆเหรอ ไอ้สิ่งเพ้อเจ้อที่เด็กผี CD นั่นว่าเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย!?

“รู้สึกว่าจะมีคนของโลกใบอื่น เดินทางมาที่นี่เหมือนกัน”

พูดถึงก็มาพอดี ผมหันไปตีสีหน้าคำถามใส่ CD ซึ่งกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ สายตาจับจ้องไปที่ประตูบานหนึ่ง ซึ่งผมเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นห้องน้ำ.. เกิดเสียงกุกกักดังลอดออกมา ไม่นานก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงหน้าตาประหลาด ผมสองข้างมัดแกละยาวถึงกลางหลัง ก่อนจะเป็นสัดส่วนของผู้ชายวัยเจริญพันธุ์ที่โผล่ตามมาให้เห็น

เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลสวยจ้องผมกลับทันทีที่เขาโผล่ออกมาจากห้องน้ำนั้น ขณะที่เด็กผีสองตัวกำลังตรงเข้าทักทายกันอย่างสนิทสนม

“เอ่อ..”

ผมทำใจกล้าส่งเสียงออกไปก่อน ขณะที่อีกฝ่ายกลับตีสีหน้าหงุดหงิด และเริ่มไล่สายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวหลายครั้ง พร้อมชักสีหน้าอยู่เนืองๆ มือใหญ่ยกขึ้นเกาหัวจนผมซอยสั้นสีดำนั้นยุ่งไม่เป็นทรง แต่ก็ยังดูดีจนน่าอิจฉา

“ว่าไงลูกค้าของ CD ฉันชื่อ JM นะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“อ่า..” ผมยืนใบ้แดก ทำตัวไม่ถูกเมื่อเด็กผมแกละนั่นหันมาทักทาย ในที่สุด CD ก็ต้องลอยมาผลักหัวผมเบาๆอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ทักทาย และแนะนำตัวกันหน่อยสิ” เธอว่าพลางยื่นหน้าไปทางผู้ชายอีกคนซึ่งยังคงตีสีหน้าเบื่อโลกเป็นที่สุด ดูเหมือนฝ่ายนั้นก็กำลังถูก เด็ก JM อะไรนี่สั่งให้เริ่มต้นบทสนทนาเช่นกัน

“เอ่อ.. ผม..ชื่อปลายนะ”

ผมพูดออกไปตะกุกตะกัก ยังรู้สึกไม่ชินกับการอยู่ที่นี่ ก็เมื่อไม่กี่นาทีก่อนผมยังวิ่งหนีเจ้าหนี้อยู่เลยนี่นะ ตอนนี้ดันโผล่มาในห้องสุดหรูกับคนแปลกหน้าซะแล้ว เวลาทิ้งช่วงไปสักพัก ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะถอนหายใจเบาๆ และยอมเอ่ยปากพูดบ้าง

“ฉันชื่อ ฌาณ”

“พวกนายจะต้องสวมบทบาทของตัวเองในโลกนี้ให้ดีด้วยล่ะ ถ้าทำชีวิตตัวเองพัง ได้จบไม่สวยแน่!”

“บทบาท? บทบาทอะไร?”

ผมตีหน้าเหรอหราหาคำตอบจาก CD แต่ไม่ทันที่ยัยนั่นจะได้ตอบ นายฌาณอะไรนี่ก็เดินผ่านหน้าผมไปหยิบกรอบรูปตั้งโต๊ะใกล้หัวเตียง ก่อนจะยกขึ้นจ่อเต็มตา ทำเอาผมเริ่มไม่แน่ใจว่าคิดถูกไหมที่หนีมาที่นี่.. เสียงเรียบเฉยของฌาณดังขึ้นชัดเจนภายในห้องแห่งนี้...

 


“ที่โลกใบนี้.. เราเป็นคนรักกัน”

--------------------------------------

ว่างปุ๊บรีบปั่นนิยายปั๊บเลย เย่!
อ่านคอมเม้นแล้ว บางคนก็เดาเก่งกันจัง 55555
คราวนี้มาติดตามกันดีกว่า ว่าความรักของสองคนนี้มันก่อตัวมาตั้งแต่เมื่อไร
ขอเปิดภาคย้อนอดีตตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปค่า ;w;

ขอบคุณทุกๆคนมากเลยนะคะ ที่อ่านที่คอมเม้น
คือดีใจจริงๆอะ มีกำลังใจขึ้นเยอะมากๆ  :hao5:
ยังไงก็ขอฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ จะพยายามแต่งออกมาให้ดีที่สุดค่ะ ;D

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
สะดุ้งเฮือก

อ้างถึง
“ที่โลกใบนี้.. เราเป็นคนรักกัน”

ช็อคซินีม่า :a5: o22

สรุปว่า ทั้งคู่คงจะลืมกันสินะ??

+1+เป็ดครับ :hao3:[/color]

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
เริ่มจะงงเห้ยย!!
อะไรยังไง

ออฟไลน์ Kaame

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อ่อออ มันเป็นแบบนี้เอง อ่านรอบแรกงง
อ่านรอบสองเริ่มเข้าใจ  ถ้าเข้าใจไม่ผิดนะ 5555

สนุกกก  o13

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 9
ร้านดอกไม้


 

“ไม่มีห้องว่างแล้วหรอครับ?”

“ไม่มีแล้วนะคะ ห้องเต็มหมดแล้วค่ะ” เสียงพนักงานตรงเคาน์เตอร์ของคอนโดหรูตอบกลับมา ทำเอาผมใจหายวูบ ผู้ชายข้างๆเองก็คงคิดหนักไม่แพ้กัน เพราะเห็นเขาเอาแต่ตีสีหน้าบูดบึ้งและลอบถอนหายใจอยู่บ่อยครั้ง

“งั้นขอเปลี่ยนเป็นเตียงคู่ได้ไหมครับ?”

ฌาณยื่นบัตรเครดิตออกไปพร้อมเอ่ยปากถามเสียงจริงจัง พนักงานสาวหันไปกดคอมพิวเตอร์พักหนึ่ง ก็เผยยิ้มออกมา

“ต้องรอประมาณ 4-5 วันนะคะ แล้วก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม..”

ผมเดินลากขาออกจากจากเคาน์เตอร์ ปล่อยให้ฌาณเป็นคนจัดการเรื่องเตียงเพียงลำพัง นี่คงเป็นทางเดียวที่ดีที่สุดในตอนนี้ หลังจากที่เราสองคนตัดสินใจใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ต่อ แทนที่จะรีบจรลีกลับบ้านใครบ้านมัน เหตุก็เพราะเสียดายไอ้อายุขัยตั้ง 5 ปีที่เสียไปนั่นแหละ!

แต่จะว่าไป ต้องรอตั้ง 4-5 วัน ผมว่ามันก็นานอยู่นะ สำหรับการต้องอยู่ในโลกวิปริตแปรปรวนที่ผมกับฌาณดันกลายมาเป็นคนรักกันแบบนี้ ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

ไม่นานนัก ฌาณก็เดินกลับมาบอกว่ายังไงก็ต้องรอ 4-5 วันจริงๆสำหรับเตียงคู่ ผมที่ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วจึงได้แต่พยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่เราจะอพยพขึ้นไปนั่งแหมะกันอยู่บนห้องอีกครั้ง พร้อมความเงียบและอึดอัดที่กระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณ

ห้องทั้งห้องถูกผมและฌาณช่วยกันค้นหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น ว่าอะไรถึงทำให้เราต้องมาอยู่ใต้เพดานเดียวกันแบบนี้ได้ ทั้งๆที่แค่มองหน้ากันก็แทบจะสำรอกตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่รู้สึกยิ่งค้นยิ่งเจอสิ่งต่างๆที่ทำให้อยากเอาหัวโขกกำแพงตายๆไปเสียเดี๋ยวนั้น ไม่ว่าจะภาพคู่มากมาย ดอกไม้วาเลนไทน์ (ที่แห้งกรอบไปแล้ว) ของขวัญเทศกาลต่างๆ รวมไปถึงจดหมายและการ์ดเป็นร้อยใบเห็นจะได้ ส่วนข้อความบนนั้นผมไม่นึกอยากจะอ่าน เพราะมันคงไม่น่าพิสมัยนักที่ต้องนั่งอ่านข้อความรักที่ส่งถึงผู้ชายด้วยกันแบบนี้ :S

“เฮ้ออ/เฮ้ออ”

ผมกับฌาณเก็บของที่รื้อออกมาทั้งหมดกลับเข้าที่ พลางมองหน้ากันแบบเซ็งๆ เสียงถอนหายใจยาวของเราทั้งคู่ยังดังขึ้นระงมตลอดวันนั้น

ท้องไส้ผมเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้งยามที่พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนตัวหายลับไป มันคงจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าผมต้องนอนข้างผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่ไอ้คำว่า ‘คนรัก’ และรูปคู่ภายในห้องมันกลับทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย ผิดกับคนข้างๆที่หลับไปได้สักพักแล้ว โดยมีหมอนข้างหนึ่งใบกั้นกลางเราไว้พอเป็นพิธี

เวลาผ่านไปนานพอตัว กว่าที่ผมจะยอมกลั้นใจหลับตาลงบนเตียงคุณภาพดี อย่างที่ชีวิตนี้ผมไม่มีวันหาได้ ความอบอุ่นของมวลอากาศภายในห้องราวกับเพลงกล่อมเด็กซึ่งคอยประโลมให้ผมคล้อยหลับไปได้ในที่สุด ท่ามกลางเสียงกรนเป็นหมีจากผู้ชายข้างๆ

.

.

คืนนั้นมันไม่ควรมีอะไรแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าอากาศเย็นยะเยือกจากที่ไหนไม่ทราบพัดเข้ามากระทบกายเนื้อของผมจนสั่นระริก ถึงกับต้องกระชับผ้าห่มผืนใหญ่ไว้แน่นแบบไม่เกรงใจคนข้างๆกันเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าผ้าห่มผืนเดียวจะไม่สามารถต้านความหนาวเย็นประหลาดนี้ได้ ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นไปหยุดอยู่ตรงหน้าแผงควบคุมของเครื่องปรับอากาศ สองคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความง่วงจัด ดวงตากลมโตของผมถูกหรี่ลงเพื่อมองตัวเลขบนหน้าจอให้ชัดเจน

17 °c

ไอ้ห่า! มึงเป็นหมีขั้วโลกหรอครับ!!

ผมรีบตวัดสายตาตำหนิกลับไปให้ไอ้หมีที่นอนสบายอยู่บนเตียง ความง่วงเมื่อครู่หายไปโดยพลัน ถามจริง หมอนี่มีมารยาทหรือความเกรงใจบ้างหรือเปล่า มีที่ไหนไหม ที่จะทำตัวเลวกับโลกด้วยการปรับแอร์ซะเย็นเฉียบขนาดนี้ ทั้งๆที่มีคนแปลกหน้ามานอนด้วยเนี่ย มันคงไม่ได้แกล้งให้ผมหนาวตายหรอกใช่มะ!?

ถึงจะโมโหแต่ก็ไม่อยากมีปัญหา ผมเลยได้แต่หันกลับมากดปรับอุณภูมิให้เป็น 25 องศาตามเดิม ก่อนจะลากขากลับไปนอนบนเตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักต่อมาอากาศภายในห้องก็อุ่นขึ้นจนผมสามารถหลับตาสนิทได้..........ได้ไม่ทันไร ไอ้เวรข้างๆก็ลุกขึ้นไปกดปรับอุณภูมิรัวๆอีกครั้ง เสียงถี่ดังทำเอาผมใจหาย นี่มึงไม่เห็นแก่กู ก็เห็นแก่เครื่องปรับอากาศบ้าง ถามมันยังว่ามันทำงานไหวไหม??

ผมรอจนฌาณเดินกลับมานอนบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นไปกดปรับแอร์ให้กลับมาอุ่นเหมือนเดิม... เราสองคนเริ่มเปิดสงครามขึ้น และเป็นอย่างนั้นลากยาวจนถึงเช้าของอีกวัน ขอบตาดำคล้ำปรากฏชัดเจนในเวลาต่อมา ทั้งผมและเขาต่างจ้องหน้าเหมือนอยากจะฆ่ากันให้ตายระหว่างทานอาหารเช้าแบบกล้ำกลืนฝืนทนเต็มที ทำให้บรรยากาศตอนนี้ยิ่งแย่ลงไปอีก

“นายสองคนต้องไปทำงานที่ร้าน Florem ร้านดอกไม้ที่ช่วยกันสร้างขึ้นมา ในเวลา 8 นาฬิกาด้วยนะ”

“หะ?” ผมตั้งคำถามผ่านทางสายตาทันทีที่ยัยเด็ก CD พูดจบ ทำให้ JM ต้องลอยเข้ามาใกล้และอธิบายเพิ่มเติมเสียยาวเยียด

“เงินส่วนใหญ่ของพวกนายได้มาจากมรดกของครอบครัวที่ร่ำรวยอยู่แล้ว แต่พวกนายเองก็ไม่ได้กินๆนอนๆ ร่วมกันเปิดร้านดอกไม้เล็กๆอยู่ไม่ไกล ชื่อร้าน Florem มีพนักงานที่ไว้ใจได้ 2 คน ซึ่งจะเป็นคนดูแลหาซื้อดอกไม้จากตลาดและเข้ามาเปิดร้านตั้งแต่เช้ามืด ส่วนเวลาเข้าร้านของพวกนายปกติคือ 8 โมงเช้าไง”

“อย่าลืมสิว่า ห้ามทำชีวิตตัวเองพัง

ไอ้เด็กผีทั้งสองคนลอยไปลอยมา และเอาแต่ขู่คำเดิมๆ จนผมชักรำคาญจึงลุกออกจากห้องทันที โดยไม่คิดจะหันกลับไปมองผู้ชายอีกคนด้วยซ้ำ CD รีบลอยตามผมมาและทำหน้าที่นำทางไปที่ร้านดอกไม้บ้าๆนั่น เมื่อไปถึงผมก็พบว่า พนักงานที่ไว้ใจได้ 2 คนนั้นเป็นผู้หญิงหน้าตาดีทีเดียว คนหนึ่งดูโตหน่อย ผมยาวสลวยถูกรวบเป็นหางม้า หน้าตาใจดี ส่วนอีกคนถ้าไม่เด็กกว่าก็คงอายุพอกัน เป็นสาวน้อยหน้าหวาน ผมสีคาราเมลยาวประบ่าถูกดัดปลายให้เป็นทรงสวย ทั้งคู่กำลังจัดวางดอกไม้มากมายเข้าแจกันทรงต่างๆ แต่ก็ต้องหยุดกระทันหัน เพื่อต้อนรับผมซึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ

ร้านเล็กๆถูกประดับและตกแต่งสไตล์วินเทจ ดูเรียบหรูคุณหนูคาวาอี้พิกล ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองในโลกนี้จะแบ๊วหวานขนาดนี้เลยนะ รับไม่ได้นิดๆแฮะ นี่ผมเป็นสาวน้อยในซีรีย์เกาหลีหรือไงครับสาดดดดด

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณปลาย”

อือหือออ ขึ้นคุณกันเลยทีเดียว ผมใหญ่มาจากไหนไม่ทราบหรอ แต่โดนเรียกแบบนี้ก็รู้สึกดีปนเขินแปลกๆแฮะ

“อะ อรุณสวัสดิ์ครับ”

ผมก้มหัวลงน้อยๆก่อนจะพาตัวเองไปหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์สีขาวแถวนั้น พร้อมกับคำถามล้านแปดที่พุ่งเข้ามาในหัว... นี่ผมเข้ามาทำไม มาแล้วจะทำอะไร ปกติต้องทำอะไร ดอกไม้ห่าอะไรนี่ผมก็ไม่รู้จัก มีดอกแปลกๆด้วยไงล่ะดอก แล้วคุณพนักงานสองคนนี้ชื่ออะไรล่ะ ถ้าต้องเรียกจะทำยังไง อะไร ทำไม ใคร ที่ไหน อย่างไร ว๊ากกกกกกก!!

กรุ๊ง.. กริ๊งง ..

เสียงกระดิ่งสีเงินพวงยาวที่ถูกแขวนติดกับมือจับประตูดังขึ้นพอดีกับที่สติของผมกำลังกระเจิง ผู้ชายร่างสูงซึ่งกำลังแบกขี้ไว้บนหน้าก้าวเท้าเข้ามาในร้านอย่างเก้ๆกังๆไม่ต่างกับผมเมื่อครู่

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณฌาณ”

“...”

“ทำไมไม่มาพร้อมกันล่ะคะ?” ผู้หญิงหางม้าถามขึ้นเมื่อฌาณไม่พูดอะไร แต่คำถามนี้ยิ่งทำให้เขานิ่งเฉยไปกว่าตอนแรกเสียอีก แถมยังอพยพมายืนข้างผมแล้วด้วย อ๊าก! เข้ามาทำไมวะ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเล้ยยย

“สงสารจริงๆ จะบอกให้ก็ได้ ยัยหางม้านั่นชื่อทิพย์นะ ส่วนยัยเด็กนั่นชื่อน้ำตาล”

CD ที่ลอยอยู่ข้างๆผมมาตลอดถอนหายใจแบบหน้าหมั่นไส้ที่สุด ก่อนจะยอมบอกใบ้การใช้ชีวิตให้เล็กน้อย เอ้อ ก็ยังดีที่ช่วยอะไรได้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่ลอยหน้าลอยตาเป็นเด็กบ้าไปวันๆ! เฮ้ยนี่ผมชักอารมณ์เสียไม่มีเหตุผลแล้วแหละ.. ก็เพราะไอ้ผู้ชายข้างๆนี่ไง ทำผมหงุดหงิดเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน!

ไม่นะ.. คำพูดผมกำกวมมากไปละ ผมหมายถึงว่าไม่ได้นอนเพราะต้องลุกมาไฟท์กันกับการปรับแอร์ทั้งคืนนั่นแหละ สาบานได้ว่าถ้าผมเป็นแอร์เครื่องนั้น ผมจะระเบิดตัวเองให้พังๆไปเลย จบ!!

“ช่อดอกไม้ของคุณวุฒิ คุณปลายจะเป็นคนจัดเองใช่ไหมคะ?” พนักงานที่ชื่อทิพย์ยิงคำถามต่อไปหลังจากไม่ได้รับการตอบรับจากคำถามก่อนหน้า แต่คำถามนี้ทำพวกเราเงิบได้มากกว่าเดิมเสียอีก

“เอ่อ.. อะไรเหรอครับ?” ผมตีหน้าเซ่อและตัดสินใจส่งคำถามกลับไปแบบโง่ๆ ทำเอาพนักงานทั้งสองหันมองหน้ากันแบบงงๆ

“ก็ดอกไม้ที่คุณวุฒิสั่งไว้ คุณปลายบอกว่าจะเป็นคนจัดเองไม่ใช่เหรอคะ?”

“จัดดอกไม้เหรอครับ?”

“ค่ะ ก็คุณปลายเซียนสุดในหมู่พวกเราแล้วนี่เนอะ”

เซียน? คุณกล้าพูดคำนั้นออกมาได้ยังไงครับ? มองหน้าผมก่อนขอร้อง คิดว่าหน้าอย่างนี้จัดดอกไม้เป็นไหม!? ก็บอกแล้วว่าผมไม่ใช่สาวน้อยขนาดนั้น ฮือออ!!

“ดอกไม้เนื่องในโอกาสอะไรนะ?” ขณะที่ผมกำลังมึนตึบ เสียงทุ้มของผู้ชายข้างๆก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคน ก่อนที่น้ำตาลจะเป็นฝ่ายเปิดปากส่งเสียงใสๆออกมาบ้าง อุ่ย น่ารักอะ~

“ครบรอบวันแต่งงานไงคะ จำไม่ได้หรอ”

“งั้นผมทำให้เอง พอดีหมอนี่ไม่สบายน่ะ”

“หะ?” ผมตวัดสายตาไปทางฌาณทันทีที่เขาพูดจบ ผมเนี่ยนะไม่สบาย ไม่สบายอะไร ถ้าไม่สบายใจที่ต้องมาอยู่ใกล้ๆเขาก็อาจจะถูก แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเขาจะจัดดอกไม้เองต่างหาก ดูหน้าตาอย่างผมยังทำไม่ได้ คิดว่าไอ้หน้าเย็นชาแบบนี้จะทำได้มะให้ทาย

“อ่า..ค่ะ”

ทิพย์กับน้ำตาลตอบรับแบบงุนงง ก่อนจะเลื่อนวัตถุดิบ อุปกรณ์ต่างๆมากองอยู่ตรงโต๊ะตัวหนึ่ง ฌาณจึงเดินออกไปพ้นเคาน์เตอร์นี้และตรงเข้าไปหยิบกุหลาบสีแดงในแจกันขึ้นมาพิจารณาอย่างคนรู้ดี โอ้ยยคุณฌาณ จะไปทำดอกไม้เขาพังไหมล่ะนั่น เดี๋ยวทำไปทำมาชีวิตเราก็พังกันหมดพอดี!

“เอาอัลสโตรมีเรียมาแซมด้วยดีไหม?”

“อืมม นั่นสิ”

“สีชมพู ตูมๆหน่อยนะ”

“ค่ะ”

น้ำตาลรับคำสั่งจากฌาณก่อนจะวิ่งไปอีกฟากหนึ่งของร้านและคัดดอกไม้ช่อหนึ่งออกมา ดอกไม้กึ่งตูมกึ่งบานสีชมพูลายน้ำตาลช่อเล็กๆถูกยกออกมาวางไว้บนโต๊ะตัวเดิม ก่อนที่ฌาณจะเริ่มหยิบดอกกุหลาบสีแดงกับสีโอรสขึ้นมาจัดบนมือหนึ่งสลับไปมาอย่างชำนาญพิกล

คนตัวสูงมองช่อดอกไม้ที่เริ่มขึ้นรูปในมือตัวเอง พลางหยิบอัลสโตรมีเรียสีชมพู เบญจมาศสีเขียว ไฮเปอร์ริคั่มลูกแดงๆ กับใบพุดขึ้นแซมอย่างสวยงาม

ผมได้แต่มองภาพการทำงานตรงหน้าอย่างทึ่งๆ ไม่นานนักช่อดอกไม้ในมือของฌาณก็ขึ้นรูป เป็นบูเกต์ทรงกลมดูดีแบบไม่น่าเชื่อ ทิพย์ยื่นกรรไกรและเลื่อนสก็อตเทปเข้าไปใกล้ ฌาณรับมาโดยไม่พูดอะไรและเริ่มตัดแต่งก้านออกไป ก่อนจะดึงสก็อตเทปยาวขึ้นพันรอบก้านดอกไม้ในมือ ตามมาด้วยกระดาษสีเขียวอ่อนจากมือของน้ำตาลที่ถูกส่งไปให้ฌาณจับเข้าช่อ

ผู้ชายหน้าโหดที่ยืนจัดดอกไม้เป็นคุณนายญี่ปุ่นอยู่นั้นปิดท้ายผลงานของตัวเองด้วยริบบิ้นสีแดงสด พลางยื่นบูเกต์ที่เสร็จสมบูรณ์ไปให้ทิพย์ถือไว้ ท่ามกลางความยินดีและแอบตกใจของสองสาว ฌาณก็ไม่ลืมที่จะหันมายักคิ้วให้ผมเหมือนจงใจจะเย้ยกัน ห่าาาา ไอ้ชายใจแหววเอ๊ย แค่จัดดอกไม้เป็นนิดๆหน่อยๆอย่าคิดทำกร่างนะว้อย!!

ไม่นานนักคุณวุฒิอะไรนั่นก็มารับดอกไม้ไปด้วยหน้าตาตื่นเต้นเป็นพิเศษ และตามมาด้วยกลุ่มสาวๆที่เข้ามาชื่นชมดอกไม้นานาชนิด ก่อนที่ความเงียบจะพากันกรูเข้ามาอาศัยอยู่ในตัวร้านเป็นเวลานาน ทำให้ฌาณต้องอพยพมาช่วยสองพนักงานตัดแต่งก้านดอกไม้ต่างๆอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งมีผมนั่งทำหน้าปั้นปึ่งอย่างคนอารมณ์เสียอยู่ ชิ นายฌาณทำตัวเป็นตุ๊ดในร่างหมีได้ดีทีเดียวนะ

ผมเลิกสนใจภาพการทำงานตรงหน้าและเริ่มก้มหน้าก้มตาไล่ดูรายชื่อลูกค้าในสมุดเล่มหนึ่ง ปล่อยให้เวลาและความเงียบดำเนินต่อไปอย่างช้าๆ นานเท่าไรไม่รู้ที่ผมเอาแต่หลุดหายเข้าไปในโลกของรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ กว่าจะรู้สึกตัวก็เป็นตอนที่มีดอกกุหลาบแดงดอกหนึ่งยื่นมาทิ่มหน้านั่นแหละ

“อะ..อะไร?”

ผมมองดอกไม้ในมือฌาณสลับกับใบหน้าเรียบเฉยของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ดอกไม้นั้นจะถูกยัดเยียดมาไว้ในมือของผม ตามมาด้วยกุหลาบแดงกองโตอีกกองที่ถูกนำมาวางไว้บนเคาน์เตอร์

“ว่างมากก็ช่วยเอาหนามออก.. แต่กรรไกรมันมีไม่พอนะ”

ฌาณชูกรรไกรอันเล็กที่ไว้ตัดแต่งกิ่งขึ้น พลางหันไปมองกรรไกรอีกสองเล่มที่อยู่ในมือของทิพย์และน้ำตาล แต่มีเหรอที่ผมจะต้องไปง้อมัน ผมยื่นปากอย่างเด็กเอาแต่ใจพร้อมทั้งปัดมือของฌาณออกห่าง

“ไม่ต้องอะ ผมไม่ใช้ก็ได้”

“แน่ใจ?”

“ครับ!”

“ก็ดี”

ฌาณยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ตามเดิม เราทั้งสี่คนนั่งสนใจดอกไม้ในมือต่อไปเป็นเวลานานพอตัว เสียงกรรไกรดังขึ้นระงมทั่วทั้งร้าน ในขณะที่ผมต้องใช้มือสดๆหักหนามกุหลาบออกอย่างลำบากลำบน กว่าจะเสร็จสิ้น ทั้งมือก็เต็มไปด้วยแผลเล็กแผลน้อยหมดแล้ว แต่มันก็ไม่ได้กระทบอะไรผมนักหรอก แสบนิดๆไม่ได้เดือดร้อนอะไร ยังไงก็ผู้ชายอะนะ หึหึ

ตกเย็นวันนั้น ผมกับฌาณถูก CDกับJM บังคับให้โอบไหล่กันออกจากร้านเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยไปมากกว่านี้ จนเมื่อพ้นสายตาจากพนักงานทั้งสอง เราก็แทบจะถีบกันออกไปทีเดียว ฌาณขอตัวแวะไปซื้อของในมินิมาร์ทล่างคอนโด ผมเลยได้ทีรีบขึ้นห้องก่อนเพราะไม่อยากเดินข้างมันนานๆอยู่แล้ว

ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก ผมก็รีบพุ่งขึ้นไปบนเตียงนิ่มๆนั้น และคว้าหมอนข้างเข้ามากอดอย่างคนเหนื่อยอ่อน ความเจ็บยิกๆที่ปลายนิ้วยังคงมีอยู่ แต่ผมก็ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้น นานจนผู้อยู่อาศัยอีกคนกลับเข้ามาพร้อมขนมปังกับกล่องอะไรบางอย่างในมือ

“ลุกๆ”

ฌาณส่งเสียงพลางดึงแขนผมให้ลุกนั่ง คิ้วสองข้างของผมขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิด สายตาจับจ้องไปที่ขนมปังที่เขียนคำว่า ‘ไส้ถั่วแดง’ เอาไว้หราซึ่งกำลังถูกโยนลงมาบนตักของผมอย่างไม่ใยดี ตามมาด้วยกล่องแปลกๆนั่นซึ่งตอนนี้รู้แล้วว่ามันคือชุดพลาสเตอร์ยานั่นเอง

“เฮ้ย!” ผมแวดขึ้นทันทีที่ฌาณคว้ามือของผมเข้าไปเกาะกุมไว้อย่างถือวิสาสะ แม้อยากจะชักมือกลับแต่ก็ไม่ได้มีแรงมากเท่าไอ้บ้าตรงหน้านี้

“อยู่นิ่งๆดิ๊”

“โอ้ย!” คราวนี้กลับเป็นเสียงร้องเพราะเจ็บแทน เมื่อฌาณจงใจบีบมือผมแน่นขึ้น พลางใช้มืออีกข้างตบหัวผมดังป๊าบ กล่องพลาสเตอร์ถูกแกะออกพร้อมแผ่นยาลายลูกเจี๊ยบสีเหลืองอ๋อย

“น่ารำคาญจริง ต้องมาดูแลเด็กอย่างนาย”

“เอ้า แล้วใครใช้ให้คุณมาดูแลผมไม่ทราบ โอ๊ะ!”

ผมร้องขึ้นมาอีกเมื่อฌาณพันพลาสเตอร์รอบนิ้วชี้และกดแผลลงแรงๆ แต่ไม่ทันจะได้โต้ตอบต่อ สุ้มเสียงทั้งหมดก็พลันถูกดูดกลืนหายไป เมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นประหลาดซึ่งถูกส่งผ่านมาทางมือใหญ่นี้

พาสเตอร์สีฟ้าลายน้องหมีถูกแกะออกมาพันรอบนิ้วโป้งของผมอย่างเบามือ ความเย็นชาที่เคยสัมผัสมาตลอด บัดนี้ไม่มีอยู่แล้ว น่าแปลกที่พลาสเตอร์ยาลายปัญญาอ่อน สามารถทำให้ความเจ็บที่ปลายนิ้วหายไปได้อย่างรวดเร็ว...

เราสองคนผละออกจากกันทันทีที่ฌาณทำแผลให้เสร็จสิ้น เขาลุกไปเก็บพาสเตอร์นั้นในลิ้นชักใบหนึ่ง ขณะที่ผมรีบพาตัวเองให้ออกห่าง พลางแกะซองขนมปังบนตักออกเพื่อเลื่อนความสนใจ ไส้ถั่วแดงเละๆถูกแบะออกในปาก หวานเลี่ยนจนชวนอ้วก

หนึ่งวันที่ผ่านมา ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม นอกเสียจาก อุณภูมิภายในห้องที่อุ่นขึ้นจนผมอุ่นใจ ว่าอย่างน้อยคืนนี้ผมก็จะได้นอนหลับสักที...

--------------------------------------------------

 :katai4: :katai4: :katai4:

อย่าเพิ่งงงกันนะคะ
ลองคิดดูดีๆ น่าจะพอเดาได้ไม่ยาก
แต่ถ้ายังงงอยู่ ก็ต้องลองติดตามต่อไปดูก่อนค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2013 20:36:21 โดย mooaiir »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ๛ナーリバス๛

  • ~~~๛NaaribuS๛~~~ ~ [TBL-081-588]
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +898/-26
    • NaaribuSS
งง ค่า.... สรุปว่า ปลายจำฌาณไม่ได้เหรอ



ย้อนอดีตกลับไป ตอนนี้ ค่อยหายเศร้าหน่อย เพราะ กำลัง เกลียดกัน ฮ่าๆ

ไม่ได้ หน่วงแบบฌาณตามหาปลาย แล้วปลายหวั่นไหว แต่รู้ว่าตัวเองไม่ใช่อย่างตอนแรกๆ


ส่งกำลังใจให้ จขร. อย่าทิ้งกันนะ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
รอลุ้นต่อไปว่าจะดำเนินไปยังไง^^

ออฟไลน์ Kaame

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ฌานก็แอบใส่ใจเล็ก ๆ เหมือนกันเนอะ เรื่องอุณหภูมิ ><
แต่ไอ้ 17 องศานี่มันหนาวไปไหมพ่อคุณ 555555

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
ขอกรี๊ดแปปนะครับ

*กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด*
น่าร๊ากกก :o8:

ออฟไลน์ mind223

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
อ๊ายยย!  :-[ :-[ :-[ :-[


 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 10
เรื่องมหัศจรรย์


 

มีตัวผู้มานอนขนาบกันแบบนั้น ต่อให้พยายามหลับยังไง สุดท้ายก็หลับได้ไม่เต็มที่อยู่ดีครับ แล้วทั้งๆที่ง่วงจะตายห่า ก็ยังถูกไอ้บ้าบางคนใช้ให้เอาดอกไม้มาส่งไกลถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังขนาดใหญ่ ด้านบนจะถูกจำกัดไว้ให้เป็นส่วนที่อยู่อาศัยของท่านประธาน และนั่นแหละคือจุดหมายของผมวันนี้

ช่อลิลลี่สีขาวขนาดใหญ่ราคาแสนแพงถูกประคองอย่างดีในมือเล็กๆของผม ลิฟต์แก้วพาผมไปยังชั้นที่สูงที่สุด ก่อนที่ชายในชุดดำร่างบึกบึน จะตรงเข้ามาตรวจค้นร่างกายผมเป็นการใหญ่ ขอโทษครับ หน้าตาผมดูเป็นผู้ก่อการร้ายขนาดนั้นเลยเหรอออ

“เชิญครับ”

ผมก้มหัวเล็กน้อยให้พี่บึ้มคนนั้น พลางนึกเอะใจว่าทำไมเขาถึงพูดจาดีผิดปกตินะ รู้สึกไหมว่า เขาไม่ต้องพูดจามีมารยาทกับพนักงานร้านดอกไม้ต่ำเตี้ยแบบผมก็ได้

ความสงสัยในใจแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นตกใจทันทีที่ผมเปิดประตูบานหนึ่งเข้าไป เพื่อพบว่าท่านประธาน เจ้าของห้างฯนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย แต่เป็น คุณรัฐฐา ลูกค้าประจำของร้านขนมปังที่ผมทำงานพิเศษอยู่นั่นเอง! รอยยิ้มของทั้งผมและเขาปรากฏขึ้นพร้อมกันเมื่อต่างฝ่ายต่างเห็นว่าใครเป็นใคร คุณรัฐยิ้มกว้างเดินตรงเข้ามาและทำท่าเหมือนจะสวมกอด ไม่ได้ต่างจากคุณรัฐในโลกใบเดิมของผมเสียเท่าไรเลย ทำให้ผมรู้ดีว่าควรหลีกหนีท่าทีแบบนี้ยังไง

“คุณรัฐ!” ผมร้องพลางเบี่ยงตัวหลบอ้อมแขนกว้างตรงหน้า ทำเอาคนตัวสูงเซไปหน่อยๆ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติและเอื้อมมือมารับดอกไม้ในมือไปวางพักไว้บนโต๊ะไม้เรียบหรู

“ปลายเอาดอกไม้มาส่งให้ผมเองเลยเหรอเนี่ย” ก็เห็นอยู่ถามทำไมครับ... ผมอยากพูดแบบนั้นหรอกนะ แต่ก็ทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งๆออกไป

“นั่งก่อนสิ”

คุณรัฐผายมือไปทางโซฟาตัวยาวภายในห้อง ก่อนจะเดินไปหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์มาส่งให้เป็นจำนวน 3,500 บาทถ้วน คนคุ้นเคยนั่งลงข้างๆผมใกล้กันผิดปกติ มือยาวพาดลงที่โซฟาคล้ายกับจะโอบตัวผมเข้าไปก็ไม่ปาน

“คุณรัฐสั่งดอกไม้ไปให้ใครหรอครับ?”

“อะไร หึงเหรอ? ผมแค่จะเอาไปให้ลูกค้าน่ะ”

“เอ่อะ.. ครับ”

หึงอะไร ไม่ได้มีความคิดนั้นอยู่ในเซลล์สมองเลยแม้แต่นิด ก็แค่เลือกคำถามที่ดูสิ้นคิดที่สุดออกมาเริ่มต้นบทสนทนาด้วยเท่านั้นเอง เหอะๆ คุณรัฐที่โลกใบนี้ช่างเหมือนคุณรัฐที่ผมรู้จักดีจริงๆครับ คือบ้าพอกันนั่นเอง

“แล้วนี่ปลายเป็นคนจัดเองเลยใช่ไหมครับ?”

“อ้อ เปล่าครับ อันนี้ฌาณเป็นคนทำ”

“หา!? ไอ้บ้านั่นอะนะ จัดดอกไม้สวยขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไร”

“เอ่อ... ไม่รู้สิครับ”

ผมก็ตงิดๆมาตั้งแต่เห็นหน้าตื่นเต้นตกใจของสองพนักงานสาวนั่นละ ตอนนี้ยิ่งมั่นใจว่าปกติแล้วฌาณของโลกนี้คงจะไม่ได้จัดดอกไม้ เพราะดูคุณรัฐตกใจมากเหมือนผมเพิ่งบอกว่า ฌาณไปเต้นระบำฟรามิงโก้หน้าสถานทูตมายังไงยังงั้น

“แล้วนี่ไปโดนอะไร?” คุณรัฐที่เพิ่งสังเกตเห็นแผลที่นิ้ว ถือวิสาสะเข้ามาคว้ามือผมไปเพ่งดูใกล้ๆ สีหน้าเป็นห่วงแสดงออกมาชัดเจน

“แค่หนามกุหลาบครับ”

“ได้ไงกัน?”

“ผมไม่ระวังเอง ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”

“ไอ้ฌาณดูแลปลายไม่ดี เลยปล่อยให้ปลายบาดเจ็บแบบนี้ ใช้ไม่ได้เลย!”

“เอ่อ ผมทำเองครับ ไม่เกี่ยวกับเขาหรอก”

“ปกป้องมันทุกที!” คุณรัฐขึ้นเสียงลักษณะตัดพ้อ มือใหญ่ยังคงเกาะกุมมือของผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แม้ว่าผมจะพยายามดึงมันกลับแล้วก็ตาม

“เอิ่มมม”

“เฮ้อ! ยังรักกันดีสินะครับ”

“หมายความว่าไงครับ?”

“ก็เมื่อวานมีคนแอบเห็นปลายกับนายฌาณเดินแยกกันตอนจะขึ้นคอนโด ผมก็นึกว่าทะเลาะกันแล้วซะอีก”

เดี๋ยวนะ แล้วถ้าทะเลาะกันจริง ทำไมหน้าตาคุณรัฐดูมีความสุขล่ะครับ! นี่คุณคงไม่ได้มี Something wrong กับผม (ในโลกนี้) หรอกนะ เอ๊ะ! หรือเราจะแอบเป็นชู้กัน เออก็น่าคิด......ซะที่ไหนล่ะโว้ย!!

“เอ่อ แล้วปกติเราไม่แยกกันเลยหรอครับ?” ผมตีหน้าโง่ถามออกไป ทำเอาคุณรัฐเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับมา

“ก็ใช่ไง ตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋”

“อ่า..ครับ”

“เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย?”

“ปละ..เปล่าครับ”

คุณรัฐคงเริ่มจับความผิดปกติในตัวผมได้ เลยยิ่งขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม แถมยังเอาสายตาแปลกๆจ้องผมไม่ห่างอีกด้วย บรรยากาศกดดันดำเนินไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นช่วยชีวิตผมไว้ พี่บึ้มคนเมื่อกี้โผล่หน้าเข้ามาและเตือนว่าใกล้เวลานัดลูกค้าแล้ว คุณรัฐจึงต้องยอมผละตัวออกไป หายไปค้นอะไรบางอย่างในลิ้นชักโต๊ะ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม และยื่นวัตถุบางอย่างมาให้

“อะไรครับ?”

“สร้อยข้อมือของปลายไง วันก่อนที่มาส่งดอกไม้ทำหล่นไว้ สำคัญมากไม่ใช่เหรอ”

“อ..อ๋อ ครับ ขอบคุณมากครับ”

ผมรับสร้อยข้อมือสีเงินวาวติดจี้รูปดอกไม้ดูแปลกตามาไว้ในมือ ก่อนจะก้มหัวลงและรีบก้าวเท้าออกไปจากห้องๆนี้ สร้อยข้อมือนั้นถูกนำออกมาพิจารณาอีกครั้งยามสัมผัสแสงแดดของวัน ยิ่งขับให้เห็นรอยสลักแสนประณีตชัดเจน ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัว CP ที่เดาได้ไม่ยากว่าคงมากจาก ฌาณกับปลาย พาดลงไปตามแนวของตัวสร้อย จะว่าสวยก็ใช่ แต่ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย

กว่าที่ผมจะได้ยกเรื่องสร้อยข้อมือนั้นขึ้นมาพูด ก็ปาเข้าไปตอนหัวค่ำโน้น หลังจากที่ฌาณเพิ่งเดินหัวเปียกออกมาจากห้องน้ำ พร้อมกลิ่นสบู่ฟุ้งติดตัว

“เคยเห็นสร้อยนี้ไหม?” ผมยกสร้อยขึ้นให้คนตัวสูงดู ฌาณหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเปิดลิ้นชักโต๊ะตัวเองออกและยกสร้อยแบบเดียวกันขึ้นมา

“คงเป็นของนายกับฉันที่โลกนี้”

ผมพยักหน้ารับรู้น้อยๆ แหมมันก็ต้องเป็นของพวกเราในโลกนี้อยู่แล้วแหละ สร้อยก็อยู่ในห้องนี้ แถมสลัก CP ไว้อีก คงไม่ได้ย่อมาจาก ช็อกโกแลตพาย หรอกมั้ง!

“แล้วเคยเห็นซีดีนี่ป่าว?”

“หา อะไรอะ?” ผมตีหน้าเบื่อโลกมองไปตามมือของฌาณซึ่งหยิบกล่องซีดีใสๆขึ้นมาจากลิ้นชักนั้น ที่หน้าแผ่นไม่ได้เขียนอะไรไว้ ดูน่าสงสัยแบบฟุดๆ

“เฮ้ย จะทำอะไร??”

ผมรีบร้องออกมาเมื่อฌาณเดินเอาซีดีแผ่นที่ว่ามาใส่ในเครื่องเล่นตรงหน้า ระหว่างที่โทรทัศน์จอใหญ่กำลังแสดงตัวอักษร Read ฌาณก็รีบโยนซองขนมปังไส้ถั่วแดงบนโต๊ะมาให้ ก่อนจะทิ้งตัวลงมาบนเตียงข้างๆผมพอดี สายตาเย็นชาเหมือนทุกทีตอนนี้กลับดูเจ้าเล่ห์พิกล

“คลิปอะไรก็ไม่รู้เนอะ หึหึ”

“เฮ้ยยย..ไม่ดู ไม่อ๊าวววว!!!”

ผมโวยวายเสียงดังพลางพยายามดันร่างหนักๆของฌาณออกห่าง แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ทำอะไรต่อ ภาพในจอโทรทัศน์ก็ปรากฏขึ้นซะก่อน เสียงหัวเราะคิกคักเมื่อครู่ของฌาณเงียบไป พอดีกับที่เสียงดนตรีคุ้นหูดังขึ้นมาแทนที่

{บนโลกนี้ มีคนเป็นล้านคน ทุกคนมีเป็นล้านใจ}

ภาพของฌาณที่กำลังร้องเพลง เรื่องมหัศจรรย์ ของโซฟา ให้กับผมซึ่งนั่งแป้นแล้นอยู่ข้างๆฟังปรากฏสู่สายตาของเราทั้งสองซึ่งนิ่งเงียบไป เสียงร้องที่ไม่เลวทีเดียวของคนข้างๆ ไม่สิ.. ของฌาณในโลกนี้ดังต่อเนื่องไปอีกหน่อย ผมก็เป็นฝ่ายหัวเราะคิกคักขึ้นมาบ้างพลางกระทุ้งศอกเข้าไปที่แขนฌาณแรงๆ จนเขาต้องส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอออกมา

“โหหห ร้องเพลงได้ด้วยเว้ย ฮ่ะๆ”

{โลกเราดูช่างกว้างใหญ่}

“ท้องฟ้าดูช่างกว้างไกล เธอแปลกใจบ้างไหม

เสียงร้องจากปากของผู้ชายข้างๆผมดังขึ้นคลอไปตามเสียงของฌาณในจอโทรทัศน์ สองเสียงดังประสานกันอย่างลงตัว ไพเราะจนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง อะไร๊!? เสียงดีจริงนี่หว่า ละ..แล้ว แล้วความยุติธรรมอยู่ตรงไหนอะ ทำไมไอ้หมอนี่ทำอะไรก็ดีไปหมดวะฮะ?? ชักหงิดแล้วนะ ชิชิ แถมยังร้องไปหันมามองหน้าผมไปอีก คิดจะเยาะเย้ยกันล่ะสิ เลวววว

“มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ มันเกิดขึ้นจริงจริงหรือฝันไป..การที่เรานั้นได้พบกันที่บนโลกนี้

ไม่ใช่สายตาเย็นชาอย่างที่เคย ไม่ใช่สายตาเจ้าเล่ห์แปลกๆแบบเมื่อครู่ด้วย แต่ฌาณที่กำลังจ้องมองผมอยู่ในตอนนี้กลับมีสายตาเรียบเฉยจนน่าแปลกใจ เป็นสายตาอย่างเดียวที่ผมไม่ชอบเลย ไม่ชอบที่ไม่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้เลย..

“ก็ไม่รู้จะพูดมันอย่างไร แต่หมดทั้งหัวใจที่ฉันมี ฉันเชื่อว่าสิ่งนี้...”

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ผมไม่ได้ยินเสียงจากจอโทรทัศน์อีกแล้ว เสียงร้องคลอเบาๆเมื่อครู่ ตอนนี้กลับดังชัดเจน บนเตียงนอนขนาดใหญ่ตัวเดียวกันนี้ ผมกับฌาณกำลังนั่งจ้องหน้ากันท่ามกลางเสียงนุ่มที่น่าฟังขึ้นมาเสียเฉยๆ มือของเราทั้งคู่วางอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซนฯ ปลายนิ้วของผมขยับไปเองอย่างไม่ตั้งใจหลายครั้ง ไม่รู้สาเหตุของมัน และไม่อยากจะคิดถึงมันด้วย เสียงร้องเพลงยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง จนในที่สุดผมก็ต้องเป็นฝ่ายหลบดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยตรงหน้าเสียเอง

“คือเรื่องมหัศจรรย์ ที่เราได้พบกัน.. คือเรื่องมหัศจรรย์ ที่ฉันได้รักเธอ”

ผมหลุบสายตาลงมองมือตัวเอง ซึ่งมีมือใหญ่ของอีกคนวางราบอยู่ใกล้ๆ ปลายนิ้วของฌาณก็กระตุกไปเองหลายครั้งเช่นกัน ไม่รู้สาเหตุของมัน และไม่อยากจะรับรู้ด้วย..

เสียงร้องดังต่อไปจนจบเพลง เมื่อสิ้นเสียงของฌาณทั้งสอง ผมจึงได้ฤกษ์เงยหน้าขึ้นมองจอโทรทัศน์อีกครั้ง ซึ่งกำลังฉายภาพตัวผมเขินม้วนเป็นนางอายอย่างน่าทุเรศสิ้นดี โฮ่ ได้โปรดอย่าใช้หน้าตาของผมไปทำอะไรแบบนั๊นนน

{ปลาย...รักปลายนะ}

ร่างทั้งร่างของผมชาเกร็งไปทันทีที่ได้ยินฌาณในซีดีเอ่ยปากบอกรักตัวผมในโลกนี้อย่างน่าไม่อาย รอยยิ้มของทั้งสองคนบนจอเผยออกมาให้เห็นช้าๆชัดๆ ก่อนที่ใบหน้าทั้งคู่จะค่อยๆเคลื่อนเข้าหากัน จนผมทนไม่ได้รีบหลบสายตาไปทางอื่นและทำท่าจะลุกออกจากเตียงไป ถ้าไม่ใช่ว่าแขนของผมถูกรั้งไว้ด้วยมือใหญ่ของใครอีกคน พร้อมทั้งเสียงทุ้มซึ่งเรียกขึ้นชัดเจนอย่างที่ผมไม่นึกอยากได้ยินเลย

“ปลาย...”

--------------------------------------------

แว้บมาปั่นสุดๆ งานล้นหัวไปหมดเลยค่ะตอนนี้
จะส่งแล้วยังไม่เริ่มงี้ 55555
 :katai1:
อีก 1 อาทิตย์จะเริ่มเข้าช่วงสอบไฟนอลแล้ว เครียดตายเลย แง้~
ถ้ายังไงฝากคอมเม้น และติดตามกันด้วยนะคะ
หลังสอบจะมาต่อยาวๆเลย เฮ้!

ใครยังงงๆอยู่ ลองดูต่อไปเรื่อยๆก่อนน้า
แต่จริงๆเดาได้ไม่ยากเลยยย ><'

ออฟไลน์ ๛ナーリバス๛

  • ~~~๛NaaribuS๛~~~ ~ [TBL-081-588]
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +898/-26
    • NaaribuSS
แอร๋ยยยย ค้าง

 ฌาณจะพูดอะไร


 ปลาย....  รักปลายน้า อ๊ะเปล่า

รอเสมอ ค่ะ รอ........เธอ....

ออฟไลน์ Kaame

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เขิน แอบเขินฌาน  :o8: :o8: :o8: :o8:
ตอนนี้มันดูบรรยากาศความรักอบอวลมากกก ><

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1691
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
หมายความว่า นี่คือปลายที่เขาตามหาอยู่สินะ กรรมเวร คลาดกันไปคลาดกันมา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
งืมมม ทำไมเรายังหาจุดเชื่อมไม่เจอหว่าาา แต่สนุกมากค่ะ
แหวกแนวดี น่าสนใจมาก สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
อ๊ากกกกเขิน> <
ความหวานอบอวน

ออฟไลน์ mind223

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 11
เจ็บแปลบ


 

“อ..อะ อะไร!?”

ผมขึ้นเสียงสูงอย่างลืมตัว ความตกใจระคนหวาดกลัวแล่นไปทั่วร่างเพราะสิ่งที่ได้ยิน ก็แค่ฌาณที่เรียกชื่อของผมออกมาเท่านั้น แต่ทำไมมันถึงฟังดูประหลาดซะจนน่าขนลุก คงเพราะว่าเขาไม่เคยเรียกมาก่อน และเพราะว่ามันดูไม่เข้ากันเลยกับการที่คนแปลกหน้าอย่างเรา จะเอ่ยปากเรียกชื่อกันอย่างสนิทสนมแบบนี้ ฌาณค้างไปนานพอตัวจนหน้าผมเริ่มซีดชา เขาจึงยอมคลายแรงบีบที่ข้อมือออก ทำให้ผมคว้าโอกาสสลัดตัวออกมาได้

“แค่ลองเรียกดู เพราะทิพย์กับน้ำตาลเริ่มสงสัยว่าเราทำตัวแปลกไป”

“ยะ..ยังไง?”

“พวกนั้นบอกว่าปกติฉันกับนายจะเรียกชื่อของกันและกันตลอด”

“แล้วยังไงอะ”

“ฉันก็เลยลองเรียกนายว่าปลายดูไง โง่จัง”

“ฮึ่มมม”

ผมเริ่มผ่อนคลายลงและกลับมามีทีท่าเป็นปกติอีกครั้ง ไม่รู้ทำไม เหมือนจะเห็นสีหน้าคลายใจเผยออกมาจากฌาณให้เห็น คนตัวสูงขยับลงมาจากเตียงและเริ่มส่งสายตาเจ้าเล่ห์น่ารังเกียจอีกครั้ง

“ไหนลองเรียกชื่อฉันบ้างสิ นายเอาแต่เรียกฉันว่า ‘คุณ’ ตลอดเลยนี่”

“ไม่อะ”

สิ้นเสียงห้วนๆ ผมก็ตั้งใจจะแทรกตัวหนีไปเข้าห้องน้ำทันที แต่ไม่ทันจะก้าวขา มือใหญ่ของฌาณก็พุ่งเข้ามากระชากแขนผมแรงๆ จนตัวลอยไปติดอยู่กับแผงอกกว้างภายใต้เสื้อตัวบางนี้ ผมเงยหน้าขึ้นท้าทายคนตัวใหญ่ ดวงตาถมึงทึงจ้องขึ้นไปเพื่อตำหนิ แต่ดูเหมือนว่าความหงุดหงิดใจของผมจะยิ่งทำให้คนตรงหน้ารู้สึกภิรมย์เสียเหลือเกิน แทนที่จะกลัวกันสักนิด กลับยิ่งยิ้มแย้มเหมือนอารมณ์ดีนักหนา มือที่รั้งผมไว้ก็ออกแรงบีบแน่นขึ้นจนผมต้องเบ้ปากออกมาด้วยความเจ็บ

“ลองเรียกเฉยๆ ไม่ตายหรอก”

“ไม่เอา”

“ทำไมอะ?”

“ก็เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นสักหน่อย”

คือจริงๆก็ไม่ได้อะไรมากหรอกนะ แต่ที่ได้ยินฌาณกับปลายในโลกนี้เรียกชื่อกันมุ้งมิ้งงุ้งงิ้งน่ารักในคลิปนั่นแล้วอยากจะอาเจียนจริงๆ รับไม่ได้อะ แล้วถ้าต้องให้ผมเรียกชื่อฌาณบ้างมันก็รู้สึกกระดากปากชอบกล ภาพในคลิปพาลจะแวบเข้ามาในหัวอยู่ร่ำไป ไม่ไหวหรอก ผมไม่อยากแสดงบทบาทคนรักกันมากเกินไปกว่านี้อีกแล้ว

“แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าสนิท?”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“...”

“ปล่อยได้แล้ว”

จังหวะที่ฌาณเงียบไป ผมก็พยายามจะสะบัดแขนออก พลางดันตัวออกห่าง แต่ดูเหมือนแรงคนธรรมดาจะสู้ควายป่าตรงหน้าไม่ได้จริงๆ แถมยิ่งผมดีดดิ้นอยากจะหลุดออกไปมากเท่าไหน ฌาณก็ดูยิ่งหงุดหงิดใจมากเท่านั้น ดวงตาเจ้าเล่ห์อย่างที่ผมเกลียดนักหนา เปลี่ยนกลับมาเป็นสายตาเย็นชาจนดูน่ากลัวอย่างที่เขาชอบทำ ผมไม่แน่ใจแล้วว่า..สายตาแบบไหนของผู้ชายคนนี้ ที่ผมนึกเกลียดกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ผมกำลังเกลียดที่เขาทำตัวแบบนี้!

“งั้นเรามาสนิทกัน”

“หะะะ!?”

เสียงร้องโหยหวนของผมดังลั่นห้องแบบไม่เกรงใจคนด้านนอก เมื่อจู่ๆฌาณก็พูดจาความหมายกำกวมออกมาหน้าตาเรียบเฉย ก่อนจะเหวี่ยงตัวผมลงไปนอนแหมะอยู่บนเตียงอย่างง่ายดาย ผมไม่ทันได้ขยับหนี เขาก็ตามลงมาคร่อมตัวผมไว้เร็วๆ และรวบแขนของผมไว้ด้วยมือเดียว ดูชำนิชำนาญกับการทำแบบนี้ผิดปกติ น้ำใสๆจากปลายเส้นผมหยดลงกระทบใบหน้าของผมหลายครั้ง ในหัวมันก้องด้วยความตกใจไปหมด ไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายหน้าตายคนนี้จะมีมุมที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าการปั้นหน้าโหดร้ายนั่นด้วย

“เฮ้ยย! ออกไป!!”

ผมตะคอกใส่หน้าคนด้านบนพลางดิ้นพร่านๆ ยิ่งทำเอาแรงบีบที่มือแน่นหนาขึ้นอีก ดวงตาสีน้ำตาลขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนผมใจหาย เข่าทั้งสองข้างงอตัวขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่ฌาณก็ไม่ได้คิดที่จะขยับตัวหลบแต่อย่างใด กลับยิ่งกดตัวลงมามากขึ้นจนขาผมพับงอ เสียงทุ้มแผ่วเบากระซิบลงข้างใบหู ทำเอาเนื้อตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัวประหลาด

“ปลาย..”

“อึ๋ยย!”

แรงกายแรงใจทั่วร่างของผมถูกไหลไปกองรวมกันที่เท้าสองข้าง ก่อนที่มันจะพร้อมใจกันออกแรงถีบคนด้านบนซึ่งทำท่าจะโน้มตัวลงมาใกล้กว่าเดิมออกไป ทันทีที่ตัวฌาณกระเด็นไปพ้นตัวผม ก็เปิดโอกาสให้ผมได้ลุกขึ้นเตรียมหนี แต่ทว่า สายตาที่นิ่งเสียยิ่งกว่านิ่งของฌาณซึ่งกำลังส่งมา กลับทำให้ผมก้าวขาไม่ออก เพียงแต่เชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ทำอะไรแปลกๆแบบนั้นอีกแล้ว

ไม่ทำอีกแล้ว เพราะเขาคงโกรธผมเข้าแล้ว..

ตอนนั้นผมก็ได้เข้าใจอะไรบางอย่างว่า สายตาแบบนี้นี่เอง ที่ผมนึกเกลียดที่สุดจากผู้ชายตรงหน้า.. สายตาไร้แวว ที่เหมือนกับคนตายแล้วแบบนี้...

คืนนั้นทั้งห้องเงียบสนิทยิ่งกว่าคืนไหน หมอนข้างหนึ่งใบที่กั้นเราไว้ยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดีเหมือนเคย เพียงแต่คืนนี้ ผมกลับรู้สึกว่า..แค่หมอนข้างใบเดียวนั้นคงไม่พอ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากยกกำแพงเมืองจีนมาวางกั้นเราเอาไว้เสียเลย

ไม่มีใครกล้าหันหน้าเข้าหากัน เป็นเวลานานมากเกินไป ที่ผมไม่ได้ยินเสียงกรนอ่อนๆจากผู้ชายคนข้างๆเหมือนทุกที จนต้องกลั้นใจชะโงกหน้ากลับไปมองแผ่นหลังกว้างซึ่งกำลังกระเพื่อมขึ้นเล็กน้อยตามแรงหายใจ มีอะไรบางอย่างติดค้างอยู่ภายในหัวสมองของผม อะไรบางอย่างที่อยากจะพูดออกไป แต่กลับไม่รู้ว่าคืออะไร และจะพูดมันอย่างไรดี...

สุดท้าย..ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้หลับสนิทสักที

 

วันนี้ที่ร้านบรรยากาศไม่สู้ดี เผลอๆจะทำเอาดอกไม้เฉาตายหมด ในเมื่อผมกับฌาณต่างฝ่ายต่างเงียบเข้าหากันจนพนักงานทั้งสองเป็นกังวลออกนอกหน้า แต่นั่นยังไม่เลวร้ายเท่ากับการที่คุณรัฐโดดงานมานั่งแกร่วอยู่ข้างๆผมตอนนี้ ท่ามกลางสายตาจับผิดมากมายภายในร้าน

“วันนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าเลยเนอะ”

“นั่นสิ”

คงมีคนกล้าเดินเข้าร้านหรอกครับ ก็คุณรัฐแกเล่นขนบอดี้การ์ดหน้าโหดมายืนเรียงแถวกันด้านหน้าร้านเต็มไปหมดแบบนี้!

“งั้นวันนี้ผมเหมาหมดร้านเลย ดีไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอกครับ” แค่ช่วยกลับๆไปซะ เห็นจะเป็นพระคุณมากกว่า..

“ง่า”

คุณรัฐส่งเสียงผิดหวังเหมือนเด็กๆ ซึ่งทำแล้วไม่ได้ดูน่ารักเหมือนพวกเด็กๆเลย พลางแกว่งเท้าไปมาภายในเคาน์เตอร์สีขาวแห่งนี้ ซึ่งมีผมนั่งเล่นคอมอยู่ข้างๆ มีทิพย์กับน้ำตาลนั่งจัดดอกไม้อยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ และมีฌาณที่กำลังลอบมองพวกเราอยู่ห่างๆจากรอยแยกตรงประตูหลังร้าน ผมรู้สึกได้ = =;;

ไอ้บ้าฌาณไม่ยอมพูดกับผมเลย ด้วยเหตุผลงี่เง่าที่ผมไม่ยอมเรียกชื่อจริงของเขาอย่างตีสนิทเท่านั้น ก็ทำไงได้อะ คนมันไม่สนิทจริงๆนี่หว่า ไม่ชิน ไม่ชอบ ไม่อยากใช้ ไม่เรียก ไม่เอา ไม่มีทางว้อย! ลองนึกภาพตามสิ ผมอยู่กับเขาภายในห้องสองคน มีรูปคู่หวานแหววของเราตั้งอยู่เต็มไปหมด ถ้าต้องมานั่งเรียกชื่อกันแบบสนิทสนมกลมเกลียวรักเดียวใจเดียวแบบนั้นมันก็คงดูน่ากลัวพิลึก --- ฌาณ วันนี้จะกินอะไรดี? ผมขออาบน้ำก่อนฌาณได้ไหม? ฌาณจะนอนแล้วหรอ? ไม่เอาน่าฌาณ อย่าทำแบบนี้สิ! --- ตายห่า แค่คิดก็สยองแล้วนะครับนะ!! เอ๊ะเดี๋ยวๆๆๆ แล้วไอ้ตอนท้ายสุดนั่นมันอะไร ฟังดูน่ากลัวโพดดดด ไม่เอาเด็ดขาดอะ!

“ปลายหอมกว่าดอกไม้ในร้านอีก”

“เฮ้ยๆ”

ผมร้องออกมาเมื่อจู่ๆคุณรัฐก็ผีเข้า ขยับเก้าอี้มาใกล้ และโน้มหน้าลงมาทำอะไรยุกยิกแถวบ่าของผมก็ไม่ทราบ ความคิดเรื่องฌาณในหัวสลายหายไปด้วยความตกใจ พอๆกับพนักงานทั้งสองที่เบิกตาโพลงไม่แพ้กัน ผิดกับคนข้างหลังซึ่งเหมือนยังไม่รู้ตัว กลับเหิมเกริมขึ้นด้วยการพักมือทั้งสองลงกับสะโพกผมซะอย่างนั้น ถ้าถามว่ารังเกียจไหม ขอตอบดังๆเลยว่ารังเกียจมาก!!

“คุณรัฐ อะไรครับเนี่ย!?”

“ก็ปลายไม่สนใจผมเลยอะ”

คนตัวสูงยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางเบะปากไม่พอใจ แต่คนที่ดูไม่พอใจยิ่งกว่ากลับกลายเป็นสองสาวซึ่งกำลังจับตามองเราอยู่ไม่วางตา ในที่สุดทิพย์ก็เป็นฝ่ายกระแอมไอออกมาเสียงดังอย่างจงใจ

“อะแฮ่ม คุณรัฐ ช่วยออกมาห่างๆคุณปลายด้วยเถอะค่ะ”

“ใช่ค่ะ คุณรัฐอย่าเล่นแบบนี้สิคะ คุณปลายมีคุณฌาณแล้วนะ”

น้ำตาลรีบเสริม ทำให้คุณรัฐต้องยอมผละตัวออกไป แต่สีหน้าร่าเริงเหมือนทุกทีกลับเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สายตาดุดันของคุณรัฐเหล่มองไปยังประตูห้องหลังร้าน ก่อนจะตวัดกลับมาและลุกขึ้นยืน

“งั้นผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”

“โอ๊ะ ดีครับ เดี๋ยวผมไปส่ง” ท่าทีของผมดูจะเปลี่ยนไวจนผู้ชายตรงหน้าต้องกระตุกสายตาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยอมให้ผมเดินตามออกไปนอกร้านเงียบๆ เงียบเกินไปอย่างผิดปกติ จนผมต้องเป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นก่อนจะเดินถึงตัวรถสีดำวาวสุดหรู

“คุณรัฐเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

“...”

คนตัวสูงหยุดเดินกระทันหัน และมองหน้าผมนิ่ง ไม่พูดไม่จาอะไรจนผมต้องว่าต่อไปอย่างเก้ๆกังๆ พวกบอดี้การ์ดมากมายที่เคยออกันอยู่หน้าร้าน เริ่มเดินกลับมาล้อมรอบเราทั้งคู่ไว้

“คุณรัฐโกรธทิพย์กับน้ำตาลหรอครับ?”

“.....เปล่าครับ ผมโกรธตัวเอง”

“โกรธตัวเอง.. เรื่องอะไรครับ?”

ผมตีหน้าเซ่อถามออกไป ท่ามกลางความเงียบแห่งยามเย็น แสงแดดอุ่นๆสีส้มสาดลงมาบนพื้นจนเกิดประกายสวยงามแปลกๆ คุณรัฐยิ้มพลางยื่นมือเข้ามาแตะที่แก้มของผมแผ่วเบา ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย แต่แทนที่จะผละตัวหนีเหมือนทุกที ครั้งนี้ผมกลับทำไม่ได้ เพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณรัฐตอนนี้มันเห็นแล้วน่าใจหายพิกล ก็มันดูไม่จริงใจเอาซะเลย รอยยิ้มเจ็บปวดแบบนี้น่ะ...ไม่เหมาะกับผู้ชายคนนี้เอาซะเลย

“ผมโกรธตัวเอง.. ที่ทำให้ปลายรักไม่ได้ไง”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินจากปากของคุณรัฐในวันนี้ กว่าที่จะรู้สึกตัว รถคันหรูก็ขับออกไปลับตาแล้ว ผมยืนประมวลผลอยู่อีกนานสองนานกว่าที่ขาจะยอมก้าวกลับเข้าไปในร้านดอกไม้ เพื่อพบว่ารอยยิ้มเจ็บปวดของผู้ชายคนเมื่อครู่ ได้มาปรากฏขึ้นอีกครั้งบนใบหน้าของผู้ชายอีกคนแล้ว ฌาณที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังร้านหยุดฝีเท้าลง และจ้องหน้าผมนิ่งด้วยสายตาเฉยเมยกว่าทุกที ท่ามกลางความเป็นกังวลของสองสาวที่แผ่ออกมามากมายเหลือเกิน

เราไม่ได้พูดอะไรกันจนถึงเวลาแยกย้ายกลับบ้าน ฌาณเป็นฝ่ายตรงดิ่งขึ้นคอนโดไปก่อน ทิ้งให้ผมอยู่เก็บกวาดร้านกับสองสาว ทำให้ผมได้รู้อะไรบางอย่างจากบทสนทนาของทิพย์และน้ำตาลว่า สมัยก่อนคุณรัฐเคยตามจีบผม(ในโลกนี้)อยู่นานหลายปี แต่สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับฌาณที่มาทีหลัง และนั่นก็คงจะเป็นสาเหตุของรอยยิ้มเจ็บปวดวันนี้สินะ แต่ผมไม่ใช่คนผิดสักหน่อย ผมไม่ได้หักอกคุณรัฐแล้วไปคว้านายฌาณมาทำผัวนะ แต่เป็นไอ้ปลายในโลกนี้ต่างหาก เฮอะๆ

“กลับบ้านดีๆนะ”

“ค่า คุณปลายรีบคืนดีกับคุณฌาณนะคะ”

“อ่า.. ครับ”

ผมส่งยิ้มแห้งๆให้ทั้งสองคน ก่อนจะแยกตรงไปที่คอนโดใกล้ๆ ผมชั่งใจอยู่นานกว่าที่จะยอมไขประตูห้องเข้าไปได้ และถือว่ายังโชคดีที่ไม่ต้องเจอหน้าฌาณทันที เพราะเขาอยู่ในห้องน้ำ ไม่รู้จริงๆว่าควรจะทำตัวยังไง ทำหน้ายังไง หรือพูดอะไรดีไหม ไม่รู้เลยจริงๆ

เพราะฌาณไม่ใช่ใครทั้งนั้น ก็เลยไม่รู้ว่าเมื่อบรรยากาศมันลงเป็นแบบนี้แล้วต้องแก้ไขยังไง ต้องง้อไหม แล้วควรทำในรูปแบบไหน ก็ฌาณไม่ได้เป็นอะไรเลยนี่น่า...ไม่ใช่ทั้งครอบครัว เพื่อน หรืออะไรทั้งนั้น...

สายตาของผมเลื่อนไปหยุดที่ซองขนมปังไส้ถั่วแดงบนโต๊ะ ซึ่งไม่ใช่ของฌาณแน่นอนอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เคยซื้อมากินเองเลยสักครั้ง และมันก็ตกมาอยู่ในมือผมทุกที สายตาของผมไล่ไปเรื่อยๆอย่างหาจุดหมายไม่ได้ ในที่สุดก็จบลงตรงตู้ทรงสูงใบหนึ่งซึ่งผมไม่เคยเปิดมันออกดู แต่เมื่อจะเปิดออกมันกลับยากเหลือเกิน ราวกับถูกรั้งไว้ด้วยอะไรบางอย่าง

ผมพยายามดึงให้ตู้เปิดออกอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็รวบรวมแรงทั้งหมดและกระชากมันออกจนได้ พอดีกับที่ตุ๊กตาหลายตัวร่วงหล่นลงมาแทบเท้า ผมตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สายตาจับจ้องไปทั่วบริเวณภายในตู้ใบนี้.. ตุ๊กตาขนฟูหน้าตาน่ารักหลายสิบตัวถูกอัดกันอยู่ข้างใน เมื่อผมขยับเข้าไปใกล้หวังจะคว้าตัวบนสุดขึ้นมาพิจารณากลับต้องสะดุ้งเพราะเสียงแปลกๆที่ดังขึ้น

--- รักปลายนะ ---

สายตาของผมรีบกวาดไปทั่วหาที่มาของเสียง จนมาหยุดอยู่ที่เจ้าตุ๊กตาลิงใต้เท้าซึ่งกำลังถูกผมเหยียบแบนอยู่ในตอนนี้ ผมก้มลงหยิบมันขึ้นมา และลองออกแรงกดลงไปที่หน้าท้องของมันอีกครั้ง เสียงคุ้นเคยของฌาณดังขึ้นเป็นประโยคเดิมกับเมื่อครู่ ทำเอาผมร้องอ๋อ

มือของผมเอื้อมเข้าไปหยิบเจ้าตุ๊กตารูปเป็ดขึ้นมาและกดลงไปที่ท้องของมันเช่นกัน เสียงทุ้มที่ไม่ชัดเจนนักของผู้ชายคนเดิมดังขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพียงแค่ว่าคำพูดของฌาณจะเปลี่ยนไปตามตุ๊กตาแต่ละตัวเท่านั้น ผมกดหน้าท้องตุ๊กตารูปร่างต่างๆไปเรื่อย โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าเรื่องราวของมันเป็นมาอย่างไร รู้แค่ว่าทุกครั้งที่เสียงของฌาณดังขึ้น กลับทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาได้อย่างไม่รู้ตัว และกว่าจะรู้ตัว ก็หุบยิ้มนั้นไม่ลงซะแล้ว...

--- คิดถึงที่สุดเลย ---

--- อย่าลืมกินข้าวนะ ---

--- อากาศหนาวแล้ว ดูแลตัวเองด้วย ---

--- แฟนผม แฟนผม ---

--- สุขสันต์วันเกิดครับ ---

--- ขอโทษนะ ---


เสียงฝีเท้าของคนอีกคนหยุดลงด้านหลังผมอย่างเงียบเชียบที่สุด ก่อนที่เสียงลมหายใจของเขาจะดังขึ้นแทนที่ ตุ๊กตาในมือของผมถูกวางกลับเข้าไปที่เดิม ก่อนที่เราทั้งคู่จะยืนขนาบกันอยู่แบบนั้น นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน.. นานมากจนผมต้องกลั้นใจตั้งคำถามที่ไม่ควรถามมากที่สุดออกมา

“นี่เรารักกันมากขนาดนี้เลยหรอ?” ผมคิดว่าเสียงที่เปล่งออกไปมันแผ่วและสั่นไหวกว่าปกติด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบ แต่ที่ใจหายก็คือ เสียงที่ตอบกลับมาซึ่งแผ่วเบาและสั่นไหวยิ่งกว่านั่นแหละ...

“ไม่รู้สิ แต่ที่รู้ก็คือ..”

“...”

“ฌาณกับปลายที่รักกัน... ‘ไม่ใช่เรา’

 

พจนานุกรมเล่มหนึ่งบอกไว้ว่า ‘เจ็บแปลบ’ คืออาการหนึ่งที่แวบแล่นเข้าไปในหัวใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดอย่างกระทันหันและรุนแรง คล้ายกับมีอะไรมาเสียดแทงอยู่ข้างใน ผมอ่านแล้วชักจะงงๆไม่เห็นเข้าใจเลย แต่ว่าตอนนี้ผมคิดว่า...ผมเข้าใจมันดีแล้วครับ...

----------------------------------------------------------------

กลับมาแล้ว สอบเสร็จแล้ว ปิดเทอมแล้ว เยยยยยย้!
หวังว่านักอ่านคงยังไม่หายไปน้า TT
ตอนนี้แอบอวยรัฐเล็กน้อยพอเป็นพิธี 555


ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
^
^
 :z13:
อ่านแล้วจะร้องไห้ เง้ออออ
เจ็บตามปลายเลยอ่ะตอนที่ฌาณพูดคำนั้นออกมาอ่ะ T T
หน่วงงง รอตอนต่อไป คิดถึงคนเขียนจุง รักนะจุ๊บๆ >< +1 เน้อ

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 12
อาการรัก


 

“ง้อหน่อยสิคะ” เสียงน้ำตาลดังขึ้นดึงผมออกจากความเหม่อลอย ตามมาด้วยทิพย์ซึ่งกำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างหาเรื่องเอาการ

“นั่นสิ ไม่รู้หรอกนะว่าโกรธอะไรกัน แต่แบบนี้มันอึดอัดรู้ไหม”

“เอ่อ.. แล้วผมควรทำยังไงดี?”

ทำไปทำมาบริเวณเคาน์เตอร์สีขาวนี้ก็กลายเป็นแหล่งปรึกษาปัญหาชีวิตไปแล้ว เมื่อพวกเราทั้งสามเริ่มสุมหัวกัน ในขณะที่ผู้ชายอีกคนเอาแต่ทำหน้าบูดเดินไปเดินมาแถวดงดอกไม้จากอีกฟากของร้าน ฌาณไม่ได้พูดจากับผมอีกตั้งแต่ที่เอ่ยคำพูดโหดร้ายแปลกๆของเมื่อวาน

ผมพยายามแล้วที่จะหาเหตุผลมากมายมาอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยสาเหตุแปลกๆที่ผมไม่อยากให้มันเป็นจริงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้อสันนิษฐานที่ว่า เขาโกรธผมเพราะผมไม่ยอมเรียกชื่อเล่นอย่างสนิทสนมนั่น แต่มันก็ดูไร้สาระเกินกว่าจะรับไหว อีกประเด็นก็คงเป็นเรื่องที่คุณรัฐชอบเข้ามายุ่มย่ามกับผม แต่มันก็น่าขนลุกจนทนไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่ว่าจะเหตุผลไหน.. น้อยใจ(?) หรือ หึงหวง(??) ทั้งหมดนั่นมันล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในกลุ่มคนที่มีความรู้สึกพิเศษต่อกันไม่ใช่หรอ ซึ่งผมก็ไม่อยากคิดมากว่าคนอย่างเขาจะมามีความรู้สึกอะไรแบบนั้นกับผมได้

“ก็ทำเหมือนทุกทีไง”

น้ำตาลตบเคาน์เตอร์เบาๆพร้อมดวงตาที่เปล่งประกายแปลกประหลาด นั่นทำเอาผมเสียวสันหลังวาบขึ้นมาแทบจะทันที สายตาแบบนี้หมายความว่าไงครับ เหมือนทุกทีนี่คือยังไง คงไม่ใช่อะไรแย่ๆหรอกนะ....

“เออจริง เดินไปขอโทษแล้วหอมแก้มเลย เดี๋ยวก็ใจอ่อนเองอะ”

ทิพย์รีบเสริม ดวงตาส่อแววประหลาดพอกัน แต่คำตอบที่ได้กลับทำเอาผมแทบหงายหลังตึง รู้สึกมึนหัวหน้ามืดขึ้นมาเสียเฉยๆ เริ่มสงสัยตงิดๆว่าปกติแล้วผมที่โลกใบนี้เป็นผู้ชายยังไงกันแน่ครับ!!

“เอ่อะ มีวิธีอื่นไหมครับ?”

“เฮ้ย อันนี้แหละเวิร์ค”

“ไม่มั้ง”

“ก็ทำมากี่ครั้งแล้วล่ะ”

ทำมากี่ครั้งแล้ว!!? โอ้ยพ่อครับแม่ครับ ผมขอโทษที่โตขึ้นมาเป็นคนแบบนี้ ผมอ่อยผู้ชาย TwT ดูเหมือนปลายในโลกนี้จะไม่ใช่คนใสๆอย่างที่ผมคิดไว้ และฌาณเองก็คงไม่ใช่เช่นกัน เหอะๆ

ผมเอาแต่หัวเราะแห้งๆให้สองสาวจนเหมือนคนบ้า จนถึงเวลาที่ลูกค้าเข้าร้าน ทั้งคู่จึงรีบจรลีไปดูแลทันที ทิ้งให้ผมนั่งแกร่วอยู่เพียงลำพัง ไม่นานฌาณก็เดินผ่านหน้าผมไปคลุกตัวอยู่ที่ห้องหลังร้านเหมือนเมื่อวานไม่ผิดเพี้ยน ผมหันซ้ายแลขวาเหมือนคนกลัวความผิด ก่อนจะตัดสินใจลุกออกจากที่นั่ง เดินตามหลังผู้ชายคนเมื่อครู่เข้าไป

“เป็นอะราย~”

ผมลองถามเสียงยานคางติดตลกพลางลากเก้าอี้มานั่งประจันหน้ากับฌาณตรงๆ แหม ทำใจดีสู้เสือไปงั้นแหละ ลึกๆนี่กลัวจนสั่นไปหมดและ ภาพของวันนั้นที่โดนจับกดลงบนเตียงยังตามมาหลอกหลอนไม่หาย คิดแล้วคล้ายจะเป็นลมทู้กกกที! แต่ก็คงต้องง้อไปตามเรื่องปะ เพราะถ้าเกิดปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้ก็มีแต่ความอึดอัด ซึ่งไม่ใช่แค่สองสาวที่ทนไม่ได้ แต่ผมเองก็ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เหมือนกัน อีกอย่างเราก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน ถ้าต้องเงียบเป็นเป่าสากไปตลอดก็คงไม่ดีแน่ มันอาจจะทำให้ชีวิตเราพังขึ้นมาจริงๆก็ได้

“เปล่าหนิ” คนตัวสูงยอมเปิดปากพูดสักที แต่สายตาเย็นชาคู่นั้นกลับเสมองไปทางอื่นซะงั้น ผมขยับตัวเล็กน้อยพลางรวบรวมความกล้าอีกครั้ง

“โกรธหรอ?”

ไอ้ห่าปลาย! เลือกคำได้สาวน้อยมากๆ ทำไมไม่พูดว่า โกรธไร? โกรธเชี่ยไร? เป็นไรสัส? หรืออะไรแนวๆนั้นก็ได้ นี่รู้สึกจิตใต้สำนึกผมชักจะผิดเพี้ยนแล้วนะผมว่า!

“เปล่า”

เปล่าเชี่ยไร ไม่ใช่ควาย ดูออก! ถ้าเปล่าจริงก็ต้องหันมาคุยกันดีๆแล้วไหม นี่อะไร เงียบเป็นป่าช้ามาได้ตั้งสองวัน หน้าก็แทบไม่มอง อึดอัดจะตายห่าแล้วเนี่ยะ ไม่ได้แคร์นะเนี่ยไม่ได้แคร์ แต่มันแค่หงุดหงิดว้อย!!

“เปล่าบ้าไร เห็นๆอยู่”

“เปล่าจริงๆ”

“ถ้าเปล่า ก็ต้องหันมาคุยกันดีๆ”

ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้สักสามวินาที ผมจะไม่พูดประโยคเมื่อกี้สาบานได้ เพราะตอนนี้กลายเป็นว่าผมต้องทนทำใจกล้านั่งจ้องหน้าฌาณ ซึ่งกำลังมองผมกลับเช่นกัน ดวงตาของเราประสานอยู่อย่างนั้นท่ามกลางความเงียบ กินเวลานานหลายนาที จนแอบได้ยินเสียงลูกค้าด้านนอกหายไปหมดแล้ว

“ผู้ชายที่ชื่อรัฐ... รู้จักมาก่อนเหรอ?” ในที่สุดฌาณก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาอันแสนจริงจังขึ้นมาก่อน แต่แค่คำถามแรกก็เล่นเอาผมสะอึก หวังได้แค่ว่าสมมติฐานก่อนหน้านี้ของตัวเองคงไม่เป็นจริง

“ก็รู้จักกันในโลกของผมน่ะ”

เกิดความวูบไหวตกใจขึ้นในดวงตาสีน้ำตาลตรงหน้า ก่อนที่ฌาณจะอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่งพลางทำท่าครุ่นคิด สายตาคำถามถูกส่งมาให้ซึ่งผมไม่เข้าใจมันสักกะผีกเดียว จนเขาต้องเอ่ยคำพูดที่น่าฆ่าให้ตายออกมานั่นแหละ

“เป็นแฟนกันหรอ?”

“ไม่ใช่!!!”

“อ่า.. แล้วสนิทกันมากไหม?” ความโล่งใจบางอย่างถูกแสดงออกมาให้เห็น ก่อนที่น้ำเสียงของฌาณจะกลับเป็นปกติอีกครั้ง

“ก็ไม่นะ”

“เข้าใจละ แต่นายก็ควรจะทำตัวให้เหมาะสมหน่อยนะ ไม่น่าไปสุงสิงกับหมอนั่นมาก เพราะยังไงนายก็เป็นคนรักของฉัน.. หมายถึงในโลกนี้อะ”

“ผมรู้น่า” แม้จะไม่อยากยอมรับก็ตามเหอะ

ฌาณเงียบๆไปอีกหลังจากบทสนทนาระลอกแรกจบลง เมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวเราสองคนเริ่มสบายขึ้น ผมก็คว้าจังหวะนี้วกกลับเข้าประเด็นหลักอีกครั้ง เผื่อว่าคำตอบที่ได้จะดีกว่าเดิม

“คุณหายโกรธแล้วใช่ปะ?” ผมถามออกไปพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ก็โดนคนตัวสูงดึงแขนให้กลับมานั่งลงอีกครั้ง

“เดี๋ยววว JM เริ่มเตือนฉันแล้วว่านายกำลังจะทำชีวิตเราพัง”

“หา ทำไมอะ?”

“เพราะปลายที่นี่จะไม่เรียกฌาณว่า ‘คุณ’”

นั่นไง! มันเอาเข้าเรื่องนี้จนได้จริงๆ สรุปว่าความคิดของผมมันตรงทุกอย่างเลยสินะ ทั้งเรื่องที่หมอนี่โกรธเพราะคุณรัฐ และโกรธเพราะไม่ยอมเรียกชื่อเนี่ยะ ปัญญาอ่อนสิ้นดีครับ!

“นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ แต่ทิพย์กับน้ำตาลเริ่มสงสัยมากขึ้นแล้ว”

“ไม่หรอก”

“ไม่หรอกบ้าอะไรล่ะ JM บอกว่าถ้าชีวิตเราพัง ก็ต้องชดใช้ด้วยอายุขัยที่เหลือนะ!”

อ่าวเวร นี่ครบสูตรพวกเซลล์ที่หลอกขายของ แล้วใช้ช่องโหว่ของสัญญามาเล่นงานกันเลยไม่ใช่เรอะ ยัยเด็กผีพวกนั้น โผล่หน้าออกมาเมื่อไร จะด่าให้เข็ด

“เฮ้ย คิดมากไปเปล่า แค่คุณกับผมยังอยู่ด้วยกันก็ไม่มีใครสงสัยแล้ว”

“...”

เอ้า เงียบเฉยเลย พูดไรไม่เข้าหูอีกอะ ก็แค่อยากให้ใจเย็นๆ เพราะผมเองก็ไม่ได้คิดว่าแค่การเรียกชื่อจะส่งผลขนาดทำให้ชีวิตใครสักคนต้องพังทลายลงหรอกจริงไหม อะไรมันจะน่าสงสัยขนาดนั้นล่ะ นอนก็นอนด้วยกัน อยู่ด้วยกัน เจอหน้ากันตลอด 24 ชั่วโมงขนาดนี้แล้ว ยังจะเอาอะไรอีก!

แต่ดูเหมือนฌาณจะไม่ได้คิดเหมือนผมเลยสักนิด ร่างสูงถอนหายใจเหนื่อยอ่อนออกมาก่อนจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืน ผมที่กำลังมองตามการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าถึงกับชะงักลง เมื่อเห็นว่าสายตาที่ถูกส่งมากลายเป็นสายตาโหดร้ายแบบเดียวกันกับวันนั้นไม่ผิดเพี้ยน ฌาณรีบหลบหน้าผมและก้าวขายาวๆออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมนั่งประมวลผลอยู่กับตัวเอง เพียงไม่กี่วินาที ขาสองข้างของผมก็ลุกขึ้นวิ่งตามออกไป ไวยิ่งกว่าความคิดเสียอีก

“คุณ!”

ผมตะโกนไล่หลัง คนที่กำลังก้าวเร็วๆไปทางเคาน์เตอร์ ซึ่งมีสองสาวยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้วยสายตางุนงงแปลกๆ ไม่ทันที่ผมจะก้าวเข้าประชิดตัวฌาณ เจ้าเด็กบ้า CD ก็โผล่แว้บออกมาจากกลางอากาศ พร้อมตีสีหน้าตำหนิใส่ทันที

“ระดับความน่าสงสัยมีมากเกินไป ทิพย์กับน้ำตาลกำลังจะรู้ว่านายไม่ใช่ปลาย!”

“หา?” ผมส่งเสียงออกไปเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผิดกับเด็กตรงหน้าที่เอาแต่แผดเสียงดังลั่นคล้ายว่าสิ่งที่ผมทำมันผิดนักหนา

“หยุดทำชีวิตตัวเองพังได้แล้ว! หรือจะเอาอายุขัยทั้งหมดมา ก็เลือกเอาละกัน!!”

เอาจริงดิ!? เรื่องที่ฌาณเตือนผมเป็นความจริงจริงเหรอเนี่ย แล้วไงอะ ผมควรทำยังไงเล่า ก็ผมไม่ใช่ปลายของโลกนี้จริงๆนี่! แต่ว่าก็ไม่อยากเสียอายุขัยที่เหลือไปเหมือนกัน ไม่อยาก.. ไม่อยากทำให้ชีวิตของตัวเองพังด้วย

ฮึ่ยย! ผมจงใจปัดมือออกไปตรงหน้า แต่ไม่ทันจะโดนยัยเด็ก CD แม่นี่ก็ชิงหายตัวไปเสียก่อน ขาสองข้างของผมก้าวไวขึ้น ฟันแหลมๆกัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่นอย่างคนสับสนเต็มที มือขวาเอื้อมออกไปสุดตัวเพื่อคว้าชายเสื้อของผู้ชายตรงหน้าไว้ ก่อนที่ปากจะยอมเผยอออกอีกครั้ง พร้อมกับคำพูดที่ผมไม่อยากพูดเลยให้ตาย!

“ฌาณ!!”

คนตัวใหญ่หยุดกึกแทบจะทันที พอดีกับรอยยิ้มเล็กๆที่เผยออกมาบนใบหน้าของสองสาวพนักงาน ผมทันเห็นทิพย์ทำท่าจะเข้าไปหอมแก้มน้ำตาลเหมือนตั้งใจจะบอกใบ้อะไรบางอย่าง ก่อนที่คนที่ผมรั้งไว้จะค่อยๆหันหน้ากลับมา พร้อมแววตาที่กลับเป็นปกติเหมือนเดิม

“เอ่อ...”

ผมไม่เข้าใจเลยว่า จากคำพูดทั้งหมดที่เคยได้ยินได้ฟังมาในช่วงชีวิตนี้ ทำไมในเวลาอย่างนี้ ถึงกลายเป็นคำพูดของทิพย์เมื่อครู่ที่ดังขึ้นมาในโสตประสาท ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนน่ารำคาญ

‘เดินไปขอโทษแล้วหอมแก้มเลย’

‘เดินไปขอโทษแล้วหอมแก้มเลย’

‘ขอโทษแล้วหอมแก้มเลย’

‘ขอโทษแล้วหอมแก้ม’


บ้าเอ๊ยยย!!!

“ฌาณ ผมขอโทษ!” ผมมองหน้าคนตัวสูงเหมือนอยากจะร้องไห้แล้วรีบพูดรัวๆจนแทบฟังไม่ทัน ก่อนจะตรงเข้ากระชากคอเสื้อของเขาลงมา พร้อมหลับตาแน่นด้วยความกลัวระคนตื่นเต้น

ริมฝีปากของผมสั่นระริก ไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ทาบลงไปกับแก้มเนียนๆของคนตรงหน้า แช่ไว้อย่างนั้นเพียงครู่หนึ่งก็รีบผละตัวออกมา เสียงหัวใจดังโครมครามจนน่าอาย กลัวว่าจะมีใครบ้างที่ได้ยิน หรือว่ามันจะกระดอนออกมาเสียตรงนี้เลยไหม ความรู้สึกแปลกๆแล่นไปทั่วร่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ทั่วทั้งใบหน้าลามไปถึงหูของผมร้อนไปหมด มือสองข้างสั่นเป็นเจ้าเข้า ดวงตาหลุบต่ำลงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใครทั้งนั้น ท่ามกลางความเงียบของร้านดอกไม้แห่งนี้ มีเสียงหัวเราะคิกคักหลุดลอดออกมาจากสองสาวใกล้ๆ ไม่ได้ยินคำใดจากปากของคนตัวสูงตรงหน้า

ผมกำลังจะเป็นบ้า ผมกำลังจะเป็นบ้า ผมกำลังจะเป็นบ้า ผมกำลังจะเป็นบ้า ผมกำลังจะเป็นบ้าแล้วครับ!!!! ฮือออออ!!!!!!

“หะ..หาย หายโกรธ ร..รึยัง ง?” ก่อนที่ผมจะทนยืนตรงนี้ต่อไปไม่ไหว ก็ชิงถามขึ้นซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่สั่นรัว ไม่ใช่แค่เสียงที่ผมควบคุมไม่ได้ แต่ทั่วทั้งร่างกำลังสั่นไหวจนแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น รวมทั้งหัวใจบ้าๆที่เอาแต่เต้นไม่เป็นจังหวะนี่ด้วย

ดวงตาของผมช้อนขึ้นมองฌาณที่เงียบไปนาน น้ำอุ่นๆเริ่มเอ่อขึ้นมาเพราะความอายอันเกินจะทน ริมฝีปากสั่นระริกอย่างห้ามไม่ได้ เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่ผมทันเห็นว่าฌาณกำลังทำหน้ายังไง แล้วหลังจากนั้นผมก็มองไม่เห็นอะไรอีก นอกจากริมฝีปากสีส้มของคนตรงหน้าที่ใกล้เข้ามา ทาบประทับลงกับริมฝีปากบางของผมอย่างอ่อนโยนที่สุด

เสียงกรีดร้องของผู้หญิงสองคนในร้านดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เพียงครู่หนึ่งก็หายไป ไม่รับรู้อะไรอีก นอกจากความขาวโพลนภายในหัว ความอบอุ่นจากมือใหญ่ที่ประคองใบหน้าของผมไว้ กับสัมผัสประหลาดจากริมฝีปากอุ่นๆ ราวกับเวลาในร้านมันหยุดนิ่ง และสมองของผมก็คงจะหยุดลงด้วยเช่นกัน ถึงไม่ได้มีความคิดที่จะผลักคนตรงหน้าออกไป หรือแม้แต่จะผละตัวเองออกมาแบบนี้

เราค้างท่านั้นอยู่นานพอตัว จนฌาณเริ่มขยับริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่สัมผัสเปียกชื้นจะตรงเข้าแทนที่ทำเอาผมสะดุ้งโหยง ถึงกับต้องผละตัวออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ ดวงตาสองข้างเบิกโพลงมองคนตรงหน้าพร้อมกับความร้อนภายในตัวที่พุ่งสูงขึ้น น่าแปลกที่ฌาณเองก็มีใบหน้าแดงระเรื่อไม่ต่างกัน

“หายโกรธแล้ว”

สิ้นเสียงทุ้มของคนตรงหน้า ผมก็รีบจรลีหนีหายไปที่หลังร้าน พร้อมล็อคประตูแน่นหนาทันที ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมเป็นเวลานานสองนาน มือสองข้างช่วยกันแตะเนื้อตัวส่วนต่างๆเพื่อหาความผิดปกติของร่างกายที่ร้อนขึ้นแบบนี้ สุดท้ายก็หยุดนิ้วเรียวลงกับริมฝีปากที่ยังคงร้อนจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ภาพของฌาณ สัมผัสประหลาด และคำพูดนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในสมอง พาลจะทำให้หัวของผมระเบิดอยู่เนืองๆ

บอกผมทีว่าไอ้ผู้ชายคนเมื่อกี้ไม่ใช่ผม ผมคงไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกใช่ไหม ไม่หรอก ต้องไม่ใช่แน่ๆ ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ จริงด้วย ฌาณคนเมื่อกี้ก็ต้องไม่ใช่ฌาณเหมือนกัน เพราะเขาคงไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก แล้วไอ้วิธีการง้อที่ทิพย์แนะนำมาน่ะ มันจะใช้ได้ผลกับฌาณคนนี้ได้ยังไงล่ะ นั่นไง! ก็แปลว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันไม่ใช่เรื่องจริงไงล่ะ! ฮ่าๆๆๆ..ฮ่ะๆๆ..ฮ่ะ...ฮึ...

ฮือออออออ!!!!!

นี่ผมทำอะไรลงป๊ายยยย!!!!???

พ่อครับแม่ครับ ผมขอโทษ! พ่อกับแม่คงจะเห็นแล้วสินะ พฤติกรรมประหลาดๆของลูกชายคนนี้ ทำยังไงดีครับ ผมขอโทษจริงๆ ผมมันไม่สมควรเกิดมาเป็นลูกผู้ชาย ผมคงทำให้พ่อกับแม่อับอายมากสินะ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ในหัวมันขาวไปหมดเลย ผมทำตัวไม่ถูกแล้ว สับสนไปหมด สับสนจริงๆ

ผู้ชายคนนั้นน่ากลัวมากเลยครับ จู่ๆก็เข้ามาในชีวิตผม แล้วทำให้ผมกลายเป็นแบบนี้ไป...มันน่าสับสนมากเลยจริงๆ...

 

เชื่อเถอะว่าในขณะที่ผมกำลังคิดมากแทบดิ้นตายตรงนี้ ผู้ชายอีกคนกลับเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มีความสุขห่าไรมากมายก็ไม่รู้ ยิ่งทำเอาผมรู้สึกแย่เป็นเท่าตัว แล้วทุกคนรอบตัวผมก็เหมือนจงใจแกล้งผมเลย ทั้งทิพย์กับน้ำตาลก็เอาแต่ยิ้มเป็นบ้าเป็นหลัง พร้อมทั้งทำหน้าโล่งใจที่เห็นผมกับฌาณคืนดีกันแล้ว(?) แต่ที่แย่สุดเห็นจะเป็นไอ้เด็กเปรตสองตัวที่ลอยอยู่ข้างๆ ซึ่งเอาแต่แซวพวกเรามาตลอดทางกลับคอนโด แล้ววันนี้เวลามันเดินช้ากว่าปกติหรือยังไงไม่ทราบ ทำไมเดินเท่าไรก็ไม่ถึงสักที แถมยังเงียบเชียบผิดปกติอีกต่างหาก

สายลมเอื่อยๆพัดผ่านกายพวกเราไป พร้อมกับการเคลื่อนตัวช้าๆของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า แสงสีส้มในยามโพล้เพล้สาดกระทบใบหน้าของคนตัวสูงข้างๆ ทำให้ผมเผลอจ้องมองอยู่นานอย่างไม่รู้ตัว เส้นผมสีดำสุขภาพดีปลิวไปตามแรงลมอ่อนๆ ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยจ้องไปข้างหน้าด้วยแววสดใสผิดจากทุกที พร้อมกับรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าเรียวสวย แก้มเนียนๆที่ปรากฏอยู่นั้นมันนุ่มแค่ไหนตอนนี้ผมรู้ดี ลมหายใจที่พ่นออกมามันอบอุ่นแค่ไหนตอนนี้ก็เข้าใจดี

แต่สิ่งที่ไม่รู้และไม่เข้าใจ ก็คือตัวของผมเองว่าควรจะทำยังไงดี... ภายในจิตใจร่ำร้องอะไรบางอย่างที่ผมไม่อยากแม้จะยอมรับ แต่ยิ่งปิดกั้นมากแค่ไหน ก็ยิ่งทรมานใจมากแค่นั้น

อาการที่แสดงออกมาอย่างควบคุมไม่ได้เป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมสำหรับเรื่องนี้ ฝีเท้าของเราทั้งคู่เคลื่อนไปข้างหน้าช้าลงเรื่อยๆโดยไม่ได้นัดหมาย ปลายนิ้วของผมสัมผัสถูกมือใหญ่ของอีกคนทำเอาสะดุ้งโหยง ความร้อนของยามเย็นทำให้ใบหน้าของผมร้อนผะผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง

คนตัวสูงหันมายิ้มให้ผมอย่างไร้เหตุผล มือใหญ่เอื้อมมาคว้ามือของผมไปเกาะกุมไว้แน่นทั้งๆที่ยังก้าวเดินอยู่ ผมรีบหันหน้ากลับไปมองถนนตรงหน้าอย่างเก้อเขิน เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ผมจึงยอมตอบรับแรงบีบที่มือนั่น ไม่มีรอยยิ้มใดๆปรากฏขึ้นบนใบหน้านี้ ทั้งๆที่หัวใจข้างในกำลังพองโตจนน่าอาย ถ้าเป็นไปได้ ผมก็ไม่อยากให้เขารู้เลยจริงๆ...

ไม่อยากให้รู้เลย ว่าผมกำลังดีใจ..ที่ได้เดินจับมือกันไปแบบนี้.....

 

“คุณคะ!” เสียงพนักงานคอนโดดังขึ้นเพื่อเรียกพวกเราให้ออกจากภวังค์ เธอเดินตรงเข้ามาหน้าตาต้อนรับแขก พร้อมทั้งชี้แจงเสียงใส

“เตียงคู่ที่สั่งไว้ ได้แล้วนะคะ จะให้จัดการห้องให้เลยไหมคะ?”

“อ่า...”

ผมเป็นคนแรกที่ส่งเสียงออกไป เรียกความสนใจจากคนข้างๆ เราหันมาสบตากันอยู่เพียงครู่หนึ่ง ก่อนที่ฌาณจะสูดหายใจเข้าลึกๆและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุขใจเสียเต็มประดา ผิดกับรอยยิ้มที่หุบลงของคุณพนักงานแสนสวย ซึ่งดูเหมือนต้องเหนื่อยใจกับการรับมือลูกค้าประเภทนี้

“ขอโทษครับ แต่เราไม่เอาเตียงคู่แล้ว”

ฌาณพูดออกไปแบบไม่กลัวโดนด่า พร้อมทั้งกระชับมือของผมให้แน่นขึ้น เราสองคนต้องเดินไปเคลียร์เรื่องเตียงและเงินกับคุณพนักงานอีกพักใหญ่ๆ โดยที่ฌาณเป็นฝ่ายจัดการทุกอย่าง ในขณะที่ผมได้แต่นิ่งเงียบ พลางเหลือบตามองมือสองข้างของเราที่เกาะกุมกันไว้ไม่ปล่อย รอยยิ้มเล็กๆกระตุกขึ้นที่มุมปาก พร้อมทั้งความรู้สึกอบอุ่นประหลาดที่ชัดเจนขึ้นจากภายใน

ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า...ผมถูกรั้งไว้ด้วยมือใหญ่ข้างนี้ จนขยับไปไหนไม่ได้

หรือถูกรั้งไว้ด้วยผู้ชายคนนี้ จนไปไหนไม่รอดกันแน่ ?


---------------------------------------

ทำไมตอนนี้ปลายมันเคะจัง 5555
ยอมรับซะที ว่าชอบเขาตั้งนานแล้ว อุฮิ =w=
ฌาณน่ารักเนอะ รู้สึกแต่งเองชอบเอง xD
ชอบที่บอกว่าไม่เอาเตียงคู่แล้วอะ ทำไมไม่รู้ ชอบมาก 5555

มีใครยังงงอยู่ไหม ลองเดาๆไปเรื่อยๆนะ
ในเด็ก-ดี ก็งงเหมือนกัน 5555
คือแบบ อย่าเพิ่งงง~~
ลองอ่านทวนตอนท้ายของบทที่ 7 แล้วมาเชื่อมกับชื่อตอนของบทที่ 8 ก็น่าจะพอเดาออกเลยนะนั่น
แต่ถ้ายังไม่แน่ใจ ลองติดตามต่อไปก่อนค่ะ มีเคลียร์แน่นอน ;D

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
ตอบสองตอนรวด ตอนแล้วไม่อ่านเพราะชื่อตอน กลัวมาม่าง่ะ  :ling3:

ตอนนี้อิหนูปลายอิอ๊างมากจ้ะเธอว์ :o8: เขินแปป :-[

ออฟไลน์ Monochrome

  • โคอาล่า มาร์ช *O*
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เพิ่งมาอ่านครับ.................พล็อตแปลกใหม่แต่น่าสนใจมาก  รอๆ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วถ้าเดาไม่ผิดนะ อิๆ
ปายน่ารักอ่า

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 13
เพลงของเรา


 

‘ไม่พบคำที่คุณค้นหา’

ผมนั่งงงอยู่ในห้องของคอนโดเป็นเวลานานหลายนาทีแล้ว วันนี้เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ของทางโลกนี้ครับ ผมกับฌาณเลยได้โอกาสพักบ้าง หลังต้องแหกขี้ตาไปทำงานที่ร้านดอกไม้หลายวัน ผมเลือกที่จะนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ไปเรื่อย พยายามค้นหาเพลงที่ผมชอบฟังประจำ แต่กลับต้องแปลกใจที่หาเท่าไรก็ไม่พบ ไม่พบแม้กระทั่งศิลปินที่ร้องเพลงนั้นด้วยซ้ำ

“ทำอะไรอะ?” ขณะกำลังหงุดหงิดได้ที่ ฌาณก็เดินออกมาจากห้องน้ำและมาหยุดอยู่หลังเก้าอี้ แขนยาวๆพาดลงกับบ่าทั้งสองข้างของผม พร้อมทั้งยืนหน้าเข้ามาใกล้ ผมจึงรีบหันกลับไปมองด้วยสายตาตำหนิ

“ล้างมือยัง”

“ยัง” ไอ้เวรฌาณพูดติดตลกพลางใช้มือสองข้างอุดจมูกอุดปากผมเอาไว้แน่น หดกด่าสว มากนะคุณมึง!!

“อื้อออ!”

“ฮ่าๆๆ แล้วสรุปทำอะไรเนี่ย?” กลิ่นสบู่ล้างมือจางๆค่อยๆถอนตัวออกไป พอดีกับที่ฌาณหันไปลากเก้าอี้แถวนั้นมานั่งใกล้ๆ สายตาอยากรู้อยากเห็นจ้องมองอยู่ที่จอคอมพิวเตอร์เครื่องบาง

“จะหาเพลงฟัง แต่หาไม่เจอ”

“อ่าว เพลงไรล่ะ?”

“ฉันคิดถึงเธอ ของโปเตเต้” คนตัวสูงมองหน้าผมพร้อมขมวดคิ้วมุ่น สายตาส่อแววครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะว่ากลับมาด้วยน้ำเสียงงุนงง ที่ทำเอาผมสับสนกว่าเดิม

“อะไรนั่น? ไม่เห็นเคยได้ยินเลย”

“เฮ้ย!?”

“โปเตโต้คืออะไร? มันฝรั่ง?”

“บ้าาา! อย่ามากวนตีน วงโปเตโต้ไง เพลงเขาดังๆทั้งนั้น แต่นี่มันแปลกๆ ผมหาเท่าไรก็ไม่เจอ”

“ปลาย ฉันไม่คิดว่าเคยรู้จักวงโปเตโต้อะไรนี่จริงๆ”

เฮ้ยยยย?? เอาจริงดิ ไม่ใช่แค่โลกใบนี้ที่แปลก แต่ฌาณก็แปลกเหมือนกันงั้นเหรอ จะไม่เคยรู้จักได้ไงอะ ต่อให้ไม่ใช่สายดนตรีหรือไม่ชอบฟังเพลงก็ตาม ยังไงก็ต้องเคยได้ยินบ้างและวะดังขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้จักวงนี้ แล้วนี่อะไร??

“ตลกกก!”

“บางที โลกของฉันอาจจะไม่มีศิลปินวงนี้นะ”

“จริงดิ!?”

ผมพยายามคิดตามสมมติฐานที่พอฟังขึ้นของฌาณ คิดไปคิดมาก็ดูเหมือนต้องยอมรับ ก็มันมีโลกอยู่ตั้ง 50 ใบนี่เนอะ แต่ละที่ก็แตกต่างกันไป ไม่ได้เหมือนกันเลยซะทีเดียว แสดงว่าโลกของฌาณกับโลกใบที่ 18 นี้ ไม่มีวงโปเตโต้เกิดขึ้นมา จึงทำให้ไม่มีเพลง ฉันคิดถึงเธอ ซึ่งผมชอบมากไปด้วย แย่แฮะแบบนี้ =3=

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าเสียดายมากๆ วงนี้ทำเพลงดีนะ แล้วเพลงฉันคิดถึงเธอ ผมก็ชอบมากเลยด้วย”

“หรอ แล้วมันร้องไงล่ะ?”

“อะแฮ่มม เพลงนี้มันสั้นๆนะ” ผมยืดอกและสูดหายใจเข้าลึกๆ มั่นใจมากแม้เสียงห่วย ฮ่าๆ ส่วนอีกฝ่ายก็ดูท่าตั้งใจฟังเต็มที่ หลังจากพ่นลมหายใจออก ผมก็เริ่มขับร้องเพลงโปรดของตัวเองขึ้นภายในห้องที่เงียบเชียบแห่งนี้

“ไม่ใช่เธอคนเดียวที่รอฉัน แต่ฉันก็รอเธอเหมือนกัน.. ไม่ใช่ตรงนั้นที่เดียวที่เงียบงัน ตรงนี้ก็เหงาจับใจ~”

ฌาณนั่งฟังผมร้องไปก็ยิ้มไป จากที่ผมมั่นใจในตอนแรก พอเห็นงี้เลยพาลทำให้เขินขึ้นมาซะเฉยๆ เสียงที่ไม่ได้ดีเด่อะไรอยู่แล้วก็เลยยิ่งเพี้ยนเข้าไปอีก จนคนตรงหน้าถึงกับพยายามกลั้นหัวเราะให้เห็น

“ฉันคิดถึงคืนวันเก่าๆ ที่เรามองตา ที่เราชิดใกล้.. ไม่ใช่เธอคนเดียวที่เหงาใจ ใจฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน~”

ผมแกล้งไอกลบเกลื่อนความเขินหลังจากเร่งจังหวะให้มันจบๆเพลงไป ทำเอาคนตัวใหญ่หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ พลางยื่นมือมาขยี้หัวผมเล่นซะสนุกมือ

“ไม่เพราะเลยอะ ฮ่ะๆ” ไม่ใช่ตัวเพลงหรอกที่ไม่เพราะ ผมรู้ว่าหมอนี่ตั้งใจจะบอกว่าเสียงผมมันไม่เพราะ ฮึ!

“ขอโทษ!!” ผมทำปากยื่นเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ฌาณคงหมั่นไส้เต็มทนจึงเปลี่ยนจากขยี้หัวมาดึงแก้มผมแรงๆแทน มันคงแรงมาก.. จนหน้าผมแดงขนาดนี้...

“แต่ก็ยังอยากได้ยิน”

“มะ…ไม่ร้องแล้ว!”

“ฮ่าๆๆ”

ผมกุลีกุจอคว้ากระเป๋าสตางค์และกระแทกเท้าปึงปังออกไปจากห้องเพื่อซ่อนความเขินอาย เสียงหัวเราะน่าหมั่นไส้ของอีกคนยังดังตามมาให้ได้ยิน ฮึ่ยย นายฌาณบังอาจมาหัวเราะเสียงร้องของผม แล้วยังพูดจาประหลาดแบบนั้นอีก นี่เราชักจะสวมบทบาทฌาณกับปลายบนโลกใบนี้ได้ดีเกินไปหน่อยมั้ง!

ตึ๊ง ตึ่งง~

เสียงประตูของมินิมาร์ทล่างคอนโดเลื่อนเปิดออก พร้อมกับที่รอยยิ้มต้อนรับของพนักงานด้านในถูกส่งมาให้ ผมก้มหัวเล็กน้อยพอเป็นพิธี และรีบก้าวไปหยุดอยู่ที่หน้าชั้นวางขนมปังยี่ห้อดัง หลังจากดูๆอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจหยิบเอาขนมปังไส้ครีมมาไว้ในมือเสียมากมาย

“อ้าว ไม่ซื้อขนมปังไส้ถั่วแดงหรอ?”

พนักงานหญิงวัยกลางคนมองหน้าผมสลับกับสินค้าบนเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่ผมมากกว่าที่ควรแปลกใจ ก็ไอ้การที่ผมจะซื้อขนมปังไส้ครีมที่ตัวเองชอบกินมันผิดด้วยเรอะ ทำไมต้องยัดเยียดไส้ถั่วแดงเละๆนั่นให้ผมด้วย

“เอ่อ?”

“ก็ปลายชอบขนมปังไส้ถั่วแดงนี่ วันก่อนป้ายังเตือนเจ้าฌาณให้ซื้อกลับไปอยู่เลย”

คุณป้าพนักงานยิ้มเอ็นดู แต่ก็ยอมหยิบขนมปังไส้ครีมไปคิดเงินแต่โดยดี ผมได้ยินเธอพึมพำประมาณว่า ผมคงอยากลองเปลี่ยนรสชาติดู แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมันเท่ากับประโยคก่อนหน้าที่บอกว่า ‘วันก่อนป้ายังเตือนเจ้าฌาณให้ซื้อกลับไปอยู่เลย’ นี่คือเหตุผลที่ผมต้องทนกินขนมปังไส้ถั่วแดงมาตั้งหลายวันน่ะเหรอ

เพราะเขาคิดว่าเป็นของที่ผมชอบกินงั้นเหรอ...?

บ้าชิบ! ไอ้ผู้ชายคนนั้น ทำให้ผมต้องมายืนกลั้นยิ้มเป็นบ้าอยู่ในมินิมาร์ทคนเดียว!! บ้า! บ้า!! ถ้ากลับขึ้นไปเจอหน้าเมื่อไร พ่อจะด่าซะให้เข็ด คอยดู!

ผมยืนหูแดงอยู่ได้ไม่ทันไร คุณป้าก็สะกิดให้ผมจ่ายเงินและรับสินค้าไป เมื่อออกมาพ้นมินิมาร์ทเล็กๆนั่น ผมก็รีบพาตัวเองกลับขึ้นไปบนห้องซึ่งมีไอ้บ้าคนหนึ่งคอยอยู่

ปุ้บบ!

สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากเปิดประตูเข้ามา ก็คือการขว้างซองขนมปังไส้ครีมเข้ากระแทกหน้าผู้ชายบนเก้าอี้ ก่อนที่ฌาณจะร้องออกมาเล็กน้อยพลางลูบจมูกตัวเองป้อยๆ คนตัวใหญ่หยิบซองขนมปังที่ร่วงไปอยู่บนตักขึ้นมาพิจารณา ก่อนจะฉลาดขึ้นมาเล็กน้อยด้วยการเปิดปากถามคำถามที่สมควรถามตั้งนานแล้ว

“ปลายชอบขนมปังไส้ครีมเหรอ?”

“เออสิ เลิกคิดว่าผมชอบไส้ถั่วแดงห่าเหวนั่นได้แล้ว!”

“ก็ไม่รู้นี่” ฌาณส่งเสียงน้อยใจเป็นเด็กๆพลางโยนซองขนมปังในมือกลับมา

ตลอดวันนั้นเรานั่งคุยกันถึงของที่ชอบกับไม่ชอบ ค่อยๆเรียนรู้ซึ่งกันและกันไปเรื่อยๆ ได้ยิ้มได้หัวเราะ ได้มีเวลาร่วมกันแบบจริงๆจังๆบ้าง เรียกว่าสวมบทบาทของพวกเราทั้งคู่ในโลกนี้ได้อย่างดีเยี่ยม บทบาทที่เคยนึกรังเกียจเมื่อแรกรู้ แต่กลับดูเหมือนพรหมลิขิตอะไรบางอย่าง อายุขัย 5 ปีที่เสียไปผมไม่เสียดายเลย ถ้าผมไม่ได้ข้ามมายังโลกใบนี้ ผมคงนอนตายอยู่ในตึกร้างแห่งนั้น และเราก็คงไม่ได้พบกัน ไม่ได้มาผูกพันกันแบบนี้ :)

 

เช้าวันถัดมา ผมก็แทบเป็นบ้าเมื่อถูกสายตากรุ้มกริ่มจากสองสาวพนักงานจับจ้องไม่ห่าง ฌาณรั้งมือเล็กๆของผมไว้แน่น ไม่ได้สะทกสะท้านต่อสายตาหรือคำพูดใดเลยแม้แต่น้อย ผิดกับผมที่ใบหน้าและหูแดงไปหมดด้วยความเขินอาย ก็ถ้าเราจะเป็นคนรักกันได้สมบทบาทขนาดนี้ ทำไมไม่มาขอผมแต่งงานซะเลยล่ะ โว๊ะ!

“ดีใจจัง กลับมาดีกันแล้ว” น้ำตาลเป็นคนแรกที่เปิดปากขึ้นก่อน ตามมาด้วยรอยยิ้มกว้างจากทิพย์ รวมไปถึงเสียงหัวเราะคิกคักจากไอ้เด็กผีอีกสองตัว ที่กำลังลอยอยู่ใกล้ๆด้วย

“งั้นวันนี้คุณปลายจะจัดดอกไม้เองไหมคะ?” น้ำตาลยิงคำถามต่อมา ซึ่งทำเอาทั้งผมและฌาณสตั๊น เราหันมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนที่คนตัวใหญ่จะเป็นฝ่ายแก้สถานการณ์ให้เหมือนทุกที

“เดี๋ยวผมทำเอง ให้ปลายพักเถอะ”

“อ้าว เป็นอะไรคะ!?”

แหม ผมควรจะดีใจสินะที่มีลูกน้องดีขนาดนี้ เพราะแค่ฌานพูดแบบนั้น ทั้งทิพย์กับน้ำตาลก็รีบเปลี่ยนสีหน้าและทำท่าจะเข้ามาประคองผมไว้ มือของทิพย์เอื้อมเข้ามาเกือบจะแตะตัวของผมได้ ถ้าไม่ใช่ว่าฌานรีบรั้งผมเข้าไปใกล้เสียก่อน แถมยังเปิดปากพูดในสิ่งที่แย่เกินจะรับได้ อ๊ากกกก

“ก็เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยนี่”

โนววววว!!! ทำไมต้องพูดจาสองแง่สองง่ามพร้อมตีสีหน้ากรุ้มกริ่มแบบนั้น แถมยังหันมายิ้มแปลกๆให้ผมอีก ไอ้ฌานนะไอ้ฌาณ! ชักจะได้ใจมากไปและ!

“พูดอะไ..อุ๊บ”

ไม่ทันที่ผมจะได้ขึ้นเสียงเถียงออกไป มือใหญ่ของฌานก็ตรงเข้าปิดปากผมไว้ พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดลงมาบนหัว ดูเหมือนเขาจะพยายามทำให้ผู้หญิงสองคนในร้านหัวใจวายตาย เพราะเมื่อฌาณฝังจมูกลงมาที่ขมับของผมอย่างถือวิสาสะ ทิพย์กับน้ำตาลก็แทบจะหลุดเสียงกรี๊ดออกมา ใบหน้าสองสาวขึ้นสีแดงระเรื่อ จนผมชักไม่แน่ใจว่าในสถานการณ์อย่างนี้ ผมควรจะเป็นฝ่ายเขินกว่าไหม??

“ไปนั่งพักไป”

สุดท้ายผมก็ถูกกระชากลากถูให้มานั่งจุมปุกอยู่หลังเคาน์เตอร์เหมือนทุกที สายตาโกรธเคืองจับจ้องไปที่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลซึ่งกำลังขึ้นช่อดอกไม้สำหรับลูกค้าวันนี้อย่างชำนาญ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจสายตาดุๆของผมเลย กลับยิ่งยิ้มกว้างเหมือนมีความสุขมากมายอย่างนั้นแหละ เฮอะ ไอ้เลว เอาแต่แกล้งคนอื่น… แต่จะว่าไปไอ้ตัวเราเองมันก็บ้าเหมือนกัน ที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งสายตาตำหนิไปให้เท่านั้น เหมือนกับว่าลึกๆแล้ว ผมก็ไม่ได้อยากปฏิเสธอะไรมันเท่าไรเลย..

เรียกได้ว่าตลอดเช้าวันนั้น ผมเอาแต่นั่งหาสาระในชีวิตไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่ทิพย์กับน้ำตาลยังไม่ได้สงสัยเรื่องจัดดอกไม้มากนัก แถมยังดูจะเชื่อคำพูดเลื่อนลอยของฌานอย่างสนิทใจเสียอีก บ้าไหมล่ะพนักงานสองคนนี้!

“เอ้า”

ความคิดในหัวของผมถูกลบไปด้วยแรงจิ้มบริเวณแก้ม ดอกไม้ดอกหนึ่งถูกส่งมาจากมือของฌาณ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันแบบนี้ผมรู้ดี แน่นอนว่าเขาจะต้องให้ผมช่วยตัดหนามดอกกุหลาบสีแดงนั่น เช่นเดียวกันกับที่สองสาวในร้านกำลังยกกองดอกกุหลาบมาวางรวมกันไว้บนโต๊ะหน้าเคาน์เตอร์ ผมเอี่ยวตัวไปหยิบกรรไกรตัดแต่งกิ่งที่เพิ่งซื้อมาเพิ่ม ก่อนจะหันไปยื่นมือให้ฌานที่เอาแต่อมยิ้มประหลาด

“ส่งมาดิ จะให้ตัดหนามใช่มะ” ผมพูดแบบคนรู้ดี ทิพย์ที่ได้ยินก็เลยแยกดอกไม้กองหนึ่งหวังจะส่งมาให้ แต่ก็ต้องหยุดมือไว้แค่นั้น เมื่อฌานตอบกลับมาเสียงดังฟังชัด ทำเอาเสียงเครื่องปรับอากาศภายในร้านเงียบไปเลยทีเดียว

“เปล่า อันนี้ให้

ผู้ชายตัวสูงตรงหน้าส่งยิ้มกว้างแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งยื่นดอกกุหลาบในมือเข้ามาอีกครั้งท่ามกลางความเงียบ…

เงียบเกินไป จนเสียงหัวใจผมดังขึ้นแทน…

“บ้าหรือไง?”

เวลาดำเนินไปนานพอตัว กว่าที่ผมจะเปิดปากตอบกลับไปได้ แต่เสียงที่เปล่งออกไปนั้นก็แผ่วเสียจนน่าโมโห สองสาวเริ่มหัวเราะคิกคักเป็นเชิงหยอกล้อเหมือนทุกทียิ่งทำเอาใบหน้าผมร้อนขึ้นมา ไม่ใช่เพราะเสียงหัวเราะของพนักงาน ไม่ใช่ดอกกุหลาบสีแดงในมือด้วย แต่เป็นเพราะรอยยิ้มจากฌาณที่ผมกำลังได้รับต่างหาก.. ก็มันเป็นรอยยิ้มแบบที่ผมไม่เคยนึกเลย ว่าจะได้รับจากเขานี่น่า ไอ้รอยยิ้มที่ดูเปี่ยมไปด้วยความรักแบบนี้

“อือ ก็บ้าไง”

ตลกสิ้นดีที่คำตอบของฌานกลับยิ่งทำให้ภายในตัวของผมร้อนผะผ่าว สายตาหลุบต่ำลงพลางเบือนหน้าหนีอย่างช่วยไม่ได้ ความเขินอายแบบเด็กๆที่ผมไม่คิดว่าจะได้สัมผัสมันอีกแล้วตั้งแต่โตขึ้นมาเป็นหนุ่ม วันนี้กลับสัมผัสถึงมันได้อีกครั้ง และยังรุนแรงมากจนหัวใจแทบจะระเบิดออกมา

ซ้ำร้ายคือผมต้องทนอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นไปตลอดทั้งวันจนกลับมาถึงคอนโดในตอนเย็น ในขณะที่อีกฝ่ายกลับดูเริงร่าจนน่าหมั่นไส้ ทำมะ แค่ทำผู้ชายเขินได้นี่มีความสุขมากปะ เลวววว

“อะไรอะ?” ผมนั่งอยู่บนพื้นห้อง เอาหลังชนเตียง ในมือมีขนมปังไส้ครีมที่ฌานแวะซื้อมาให้ ส่วนเขาก็กำลังเดินมานั่งข้างๆ ในมือถือกล้องสีดำดูดีมีราคาไว้

“รูปพวกเราไง”

เขาว่าพลางเลื่อนแขนเข้ามาให้ผมได้สนใจรูปภาพเหล่านั้นบ้าง แต่ให้ตายเหอะ มันมีแต่รูปสวีทจนชวนอ้วกยังไงพิกล เคยบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าอย่าเอาใบหน้าผมไปทำแบบนั้นอะ T^T ไม่ไหวเลย ฌานกับปลายบนโลกนี้ดูเหมือนจะรักกันมากเกินไป มากจนเลี่ยนเลยแหละ

ฌานกดเปลี่ยนรูปภาพไปเรื่อยๆจนมาสะดุดเข้ากับรูปหนึ่งซึ่งถูกถ่ายจากบนเตียงของห้องนี้เอง พวกเราทั้งสองคนกำลังนอนแนบชิดกัน ร่างกายช่วงบนเปลือยเปล่า ใบหน้าของผมร้อนวูบขึ้นมานิดหน่อยเมื่อหัวเริ่มคิดถึงเรื่องอะไรแปลกๆอย่างห้ามไม่ได้ และดูท่าว่าคนข้างๆก็จะคิดไม่ต่างกันเท่าไร ถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเปิดเผย

“ให้เดาไหมว่าทำอะไรกันอยู่?”

“ไม่ต้อง!!”

ผมรีบแผดเสียงดังลั่น และทำท่าจะแย่งกล้องมา แต่ฌานกลับผลักตัวผมออกเบาๆ และเดินเอากล้องในมือไปวางบนขาตั้ง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆผมตามเดิม ในขณะที่ผมกำลังงงและต้องการคำถาม คนตัวสูงก็เริ่มกระแอมไอพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่นานนัก เสียงทุ้มน่าฟังของฌานก็ค่อยๆดังขึ้นเป็นเนื้อร้องของเพลงเพลงหนึ่งซึ่งผมชอบเหลือเกิน

‘ฉันคิดถึงเธอ’

ไม่รู้จริงๆว่าผู้ชายตรงหน้าไปเอาพรสวรรค์แบบนี้มาจากที่ไหน การที่เขาแค่ได้ยินผมร้องเพลงนี้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่กลับจำเนื้อร้องทั้งหมด แถมยังใส่ทำนองได้ถูกต้องเกือบหมด ทั้งๆที่ตอนนั้นผมเร่งจังหวะจนเพี้ยน ไม่น่าจะจับทำนองอะไรได้แล้วแท้ๆ บ้าชะมัด จะเลิศเลอเพอร์เฟคไปถึงไหนกันล่ะ แค่นี้ยังทำให้ผมรู้สึกดีไม่พออีกหรือไง ฮืออ! ไม่อยากจะยอมรับเลยจริงๆนะ แต่มันไม่ไหวแล้วอะ

เพราะเขาทำได้ดีมากเกินไป จนผมไม่รู้จะหาคำไหนมาเถียงตัวเองอีกแล้ว.. ทำได้ดีมากเลยฌาน ทำได้ดีในการรุกล้ำหัวใจของใครบางคนอย่างนี้

“ใจฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน~”

.

.

ผมไม่รู้และไม่อยากรู้หรอกนะ ว่าฌานกับปลายในโลกนี้รักกันได้ยังไง ที่ผมรู้ตอนนี้มีแค่.. เรื่องที่เรารักกันได้ยังไงเท่านั้น สายตาของเราทั้งคู่สอดประสานกันท่ามกลางความเงียบหลังจากที่เสียงร้องเพลงจบลง นานพอตัวกว่าที่ฌาณจะเอื้อนเอ่ยคำพูดถัดไปออกมาได้ และนั่นก็เป็นคำพูดที่กระชากหัวใจดวงน้อยๆของผมให้หลุดลอยออกไปด้วย

“รักปลายนะ”

แก้มสองข้างที่แดงก่ำของผมคงอธิบายความรู้สึกมากมายในตอนนี้ได้เกือบหมด สายตาจริงจังถูกส่งมาให้แทบไม่กระพริบ ก่อนที่ใบหน้าของเราทั้งคู่จะค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าหากันอย่างช้าๆ ลมหายใจเป็นจังหวะเป่ารดอยู่ตรงหน้า พร้อมกับสัมผัสที่ค่อยๆโอบรัดรอบเอวของผมไว้อย่างทะนุถนอม ริมฝีปากของฌาณขยับขึ้น พอให้ลิ้นอุ่นส่งผ่านออกมา ลากไล้ไปตามแนวริมฝีปากของผม การขยับตัวของเขาช่างเนิบช้าแต่กลับน่าตื่นเต้นจนอธิบายไม่ถูก มือใหญ่สองข้างเลื่อนไปหยุดคลึงบริเวณสะโพกมนอย่างชำนาญ พร้อมทั้งร่างกายกำยำที่โถมทับลงมา จนแผ่นหลังของผมราบติดไปกับพื้นห้อง สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายยอมเปิดปากต้อนรับความหวานจากผู้ชายด้านบนจนได้

จูบของฌาณเต็มไปด้วยความอบอุ่นและจริงใจ ไม่ต้องหวานจนเลี่ยน แต่ก็ไม่ได้ขม มันประหลาดมากที่อยู่ๆน้ำตาของผมก็ไหล หัวใจก็เต้นรัวจนน่าหวาดกลัว... ทว่าอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่ต้องกลัวอะไร

ฌาณ......

ผมก็รักฌาณนะ


------------------------------------------

- รีบมาลงก่อน เดี๋ยวจะไม่อยู่ประมาณอาทิตย์นึงนะคะ
- แล้วก็ ขอเพิ่มเติมเนื้อหานิดนึง คือเวลาที่เดินทางไปโลกใบอื่น นอกจากบทบาทที่เปลี่ยนไปแล้ว เสื้อผ้าหน้าผม ร่างกาย ความรู้สึกอะไรต่างๆก็จะเปลี่ยนไปตามตัวเองในโลกแต่ละใบด้วยนะ (แอบมา edit เพิ่มตรงจุดนี้ ไว้ในบทที่ 2 ละ) อย่างเช่น ถ้าปลายในโลก 18 เคยโดนมีดบาด เป็นแผลที่นิ้ว พอปลายจากโลก 23 เดินทางมาที่โลก 18 ก็จะมีแผลที่นิ้วตามไปด้วย
- ตอนนี้รักกันแบบจริงจังแล้วนะนี่ ตอนหน้าขอบอกว่ายาว ฮ่าๆ แบบแต่งเพลินเลยแหละ ไม่รู้มีอะไรเน้อะะะะะ =w= รอติดตามกันต่อไปด้วยน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2013 19:28:07 โดย mooaiir »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด