Part 3 End: พี่เสือและกระต่ายน้อย
ช่วงหลายปีที่ผ่านมามีเรื่องราวมากมายให้กระต่ายจดจำ ทั้งเรื่องร้ายและเรื่องดี แต่ที่แน่นอนคือประสบการณ์อันล้ำค่าและความรู้ ทักษะที่ร่ำเรียนมา คนตัวเล็กที่ไม่สูงขึ้นจากเมื่อสี่ปีก่อนสักน้อยถอนหายใจบางๆ แม้ใบหน้าจะอ่อนเยาว์เหมือนเด็กมัธยม แต่สีหน้า ท่าทางสุขุมขึ้น แม้กระต่ายเองก็รู้สึกได้ว่าตัวเองพูดน้อยลง ลงมือทำและคิดมากขึ้น อาจจะเป็นยีนส์เด่นในตัวเขาที่คล้ายกับพี่ชายที่เพิ่งมาทำงานเอาตอนนี้ก็ได้
เสียงโทรศัพท์ดังก้องในห้องแคบๆ
"พี่เสือ... อืม... แพ๊คของเสร็จแล้ว อีกสิบสามชั่วโมงเจอกัน"
พี่เสือชวนคุยเรื่องเรียนที่หนักขึ้นทุกปีๆ จนไม่มีเวลาบินมาหา กระต่ายมือก็พับเสื้อผ้าไป ปากก็ร้องเออออตามน้ำ จนกระทั่งถึงประโยคสุดท้ายที่จุดรอยยิ้มให้คนตัวเล็ก
"...คิดถึงจัง"
กระต่ายอมยิ้ม ไม่ตอบ แต่พูดเรื่องอื่นแทน "เดี๋ยวเจอกัน เนี่ยมีของฝากให้ทุกคนเลย..."
"ของพี่ขอตัวกระต่ายก็พอ"
ถึงจะผ่านเรื่องราวมามากมาย แต่กระต่ายไม่ได้ใจกล้าขนาดพี่เสือหรอกนะ แก้มแดงขึ้นสีเบาๆ "ฮื้อ... พูดบ้าๆ พอแล้ว วางแล้วนะ จะถึงนัดแล้ว เดมีอุตส่าห์มาจากลอนดอนเพื่อเลี้ยงส่งน่ะ"
"ครับ... ครับ"
"เจอกัน"
"เจอกัน... ครับ"
คนตัวเล็กวางสาย วางเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋า วันพรุ่งนี้เขามีไฟลต์บินตั้งแต่ตีสาม... เช้าเหมือนวันที่เขาออกจากอ้อมอกครอบครัว
กระต่ายไม่มีเวลาเหม่อมากนัก เสียงเคาะประตูห้องพักก็ดังขึ้น เมื่อลุกไปเปิดก็พบกับสาวเอเชียหน้าตาสวยเก๋ ตัวสูงโย่งยืนกอดอกอยู่
"เฮ้ นานจัง แรบบี้ นี่จะได้เวลาแล้ว" เดมี เพื่อนสนิทเขาทักเป็นภาษาอังกฤษด้วยรอยยิ้ม พลางยื่นหน้าเข้าไปดูในห้อง "หวา... โล่งจัง"
"ฮื่อ ก็ส่วนนึงส่งทางเรือไปแล้วน่ะ แพงชะมัด... นี่ขนาดว่าไม่ค่อยซื้ออะไรแล้วนะ... พอขนทีก็เยอะเหมือนกัน"
เพื่อนชาวออสเตรเลีย-เอเชียหัวเราะเบาๆ "นี่ขนาดแรบบี้ที่สุดงกแล้วน้า ถ้าฉันกลับบ้านบ้างจะเป็นยังไงนะ เรือทั้งลำยังไม่พอเลยมั้ง"
กระต่ายหัวเราะตอบ "เตรียมเหมาเรือได้เลย แป๊บนะ ขอหยิบโค้ทกับกระเป๋าก่อน"
"โอเค..."
เช้าวันต่อมา กระต่ายเดินลงจากแท๊กซีสีดำ คุณลุงช่วยขนกระเป๋าลากที่ดูเหมือนจะใบใหญ่กว่าคนลากเสียอีก
"เก่งจังเลยนะ เดินทางคนเดียว" สำเนียงบริติชของคนขับทักอย่างอารมณ์ดี
กระต่ายหัวเราะ ชินกับคำถามเสียแล้ว อยู่เมืองไทยก็ว่าตัวเล็กแล้ว ยิ่งมาอยู่ยุโรปยิ่งกลายเป็นเด็กน้อย "ผมยี่สิบสองแล้วครับ"
"โอ้... ขอโทษด้วย"
"ไม่เป็นไรครับ" รอยยิ้มหวานยิ่งทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ กระต่ายจ่ายเงินแล้วลากกระเป๋าเข้าสนามบินฮีธโรว์...
...กระต่ายจะกลับบ้านแล้วในช่วงเดือนแรกในปารีสเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุด กระต่ายต้องเจอกับภาษาฝรั่งเศสที่ถึงแม้จะเรียนจากไทยไปบ้างแล้ว แต่ก็เหมือนไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย เขาแทบเริ่มต้นใหม่ที่ศูนย์สอนภาษา ครูที่นี่มีสองคน สอนด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศสที่ฟังยากสุดๆ กระต่ายต้องกลั้นน้ำตาทุกครั้งที่ย่างก้าวออกจากห้องพัก
เพราะยังไม่เปิดคอร์ส หอพักของสถาบันจึงไม่เปิดให้เข้าพัก กระต่ายจึงอาศัยอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ราคาถูกแถบชานเมือง ต้องต่อเมโทรหรือรถไฟใต้ดินเกือบสองชั่วโมง ที่ปารีสช่างแปลกประหลาด แค่ขึ้นรถไฟมาจากชานเมือง ชาวปารีสเซียงบางคนที่ศูนย์ก็เหยียดปากดูถูกแล้ว ยิ่งเห็นหัวดำแบบกระต่าย ยิ่งไม่ค่อยมีใครคุยด้วยเท่าไหร่ แค่ซื้อข้าวของก็ยากลำบาก ภาษาฝรั่งเศสของกระต่ายปนกับภาษาอังกฤษบ้าง ผันกริยาไม่ค่อยจะถูก ศัพท์บางตัวก็นึกไม่ค่อยออก ออกเสียงผิดๆ ถูกๆ ชีวิตช่วงนั้นกระต่ายไม่มีวันไหนไม่ร้องไห้
โชคดีที่ทำการบ้านมาดี ในวันหยุดของเดือนต่อมา กระต่ายก็รวบรวมความกล้าถือแผนที่ออกไปเที่ยว ซื้อซิมใส่โทรศัพท์ ดูบ้านเมืองที่มาอาศัยอยู่เสียที ที่ผ่านมากระต่ายอาศัยอินเตอร์เนตอพาร์ตเมนต์คุยกับที่บ้านตลอด
ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ หลังจากหาร้านขายซิมโทรศัพท์ได้แล้ว กระต่ายงกๆ เงิ่นๆ ยืนอยู่หน้าพนักงานขายหน้าบูด คำนวนราคาและสื่อสารผิดๆ ถูกๆ แต่ในที่สุดก็ได้ติดต่อกับทางบ้านเสียที
ประโยคแรกของพี่เสือที่รับโทรศัพท์คือ "ฮัลโหล ใครครับ ?"
แต่ประโยคแรกของกระต่ายที่เดินออกจากร้านขายซิมด้วยน้ำตาคือ "ฮืออ พี่เสือออ"
ถึงจะลำบาก แต่กระต่ายก็ปรับตัวสุดความสามารถ เรื่องยากลำบากค่อยๆ ผ่านไปทีละเรื่องๆ เขาเริ่มชินกับหน้าบูดๆ หรือหน้าเชิดๆ ของชาวปารีส วิธีหลบหลีกพ่อค้าของที่ระลึกหรือแก๊งค์ต้มตุ๋นของชาวผิวดำตามสถานที่ท่องเที่ยวหรือกระทั่งเรื่องล้วงกระเป๋า
กระต่ายเคยโดนล้วงกระเป๋าอยู่สองครั้ง โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ไม่ระวังเอง ครั้งแรกกระต่ายทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนร้องไห้อยู่ในสถานี ไม่มีใครให้พึ่ง ไม่มีเงินติดตัว ไม่รู้ทาง จนมีชายวัยกลางคนชาวรัสเซียที่มาทำงานในปารีสช่วยออกเงินค่าเมโทรจนได้กลับบ้าน เขาช่วยปลอบกระต่ายด้วยภาษาอังกฤษปนรัสเซียผิดๆ ถูกๆ กระต่าย "แมคซี" (ขอบคุณ) ไม่ขาดปาก ครั้งนั้นโชคดีที่ไม่ได้พกพาสปอร์ตติดตัว
ครั้งต่อมา จากความกลัวเป็นความโกรธแทน เขาเรียนรู้ที่จะแบ่งเงินไว้หลายๆ ที่แล้ว แต่ตั๋วเมโทรราคาหลายยูโรก็หายอยู่ดี กระต่ายกล้าไปแจ้งความและด้วยความหน้าเด็กนี่เอง ที่ทำประโยชน์เหลือหลายในยุโรป ตามกฏหมายที่นี่ ผู้เยาว์จะได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ ตำรวจเองก็คงคิดว่ากระต่ายเป็นเด็กประถมกระมัง จึงได้เปิดกล้องวงจรปิดและตามจนได้คืน
นอกจากนั้น พอกลับเข้าอพาร์ตเมนต์ก็พอจะได้พักบ้าง แต่กระต่ายก็ไม่เข้าใจเอาเสียเลยทำไมที่นี่ไม่เปิดฮีตเตอร์ เสื้อผ้าที่ขนไปแทบไม่ได้ใช้ กระต่ายต้องยอมควักกระเป๋าซื้อเสื้อโค้ตหนาๆ เอาไว้ใส่ในอพาร์ตเมนต์ พอรวบรวมความกล้าถามเพื่อนข้างห้อง จึงได้คำตอบว่าที่นี่จะเปิดฮีตเตอร์เมื่อเจ้าของที่พักเห็นควรว่าหนาวพอแล้ว
กระต่ายอ้าปากค้าง ทนนอนหนาวเป็นเดือนๆ ในที่สุดเจ้าของก็เปิดฮีตเตอร์
...แต่ก็ได้เวลาที่กระต่ายต้องย้ายออกไปหอพักของศูนย์
หอพักของศูนย์เป็นห้องเดี่ยวเล็กกว่าที่อพาร์ตเมนต์อยู่ใกล้เมือง ห้องน้ำรวม แต่มีครัวของส่วนรวมให้ใช้ ไม่ได้แย่อะไรนัก เมื่อกระต่ายย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน ลูกโป่งก็แจ้งข่าวดี
"น้าธีจะแต่งงาน!"
กระต่ายตื่นเต้นไปด้วย "จริงเหรอ!?" สอางค์ช่วยพยักหน้ายืนยันผ่านโปรแกรมสไกป์ ทั้งคู่แย่งกันเล่าว่า เจ้าบ่าวเป็นใครไม่ได้นอกจากอานัท แฟนหนุ่มของน้าที่คบกันมานานแล้ว ส่วนยูย้ายไปอยู่กับแฟน เล่นเอาบ้านแทบแตก กระต่ายได้แต่ฟังทั้งคู่นินทาน้าสาวจนเพลิน เมื่อลูกโป่งขอตัวไปเข้าห้องน้ำ สอางค์จึงยึดคอมกระซิบกระซาบบอกกระต่ายว่า
"โป่งตอนนี้แอบรักเค้าข้างเดียวล่ะต่าย"
"หา!?" อย่างลูกโป่งน่ะหรือ... เห็นกะล่อนเสียขนาดนั้น แต่สอางค์ก็เล่าต่อว่า เป็นคนมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่อยู่คนละคณะ เจอกันตอนงานกีฬามหาวิทยาลัย ที่สำคัญ... เป็นผู้ชายตัวเบอเริ่มด้วย!
"หล่อนะ... แนวๆ หมีควายอะไรแบบนั้น คืออางค์ว่าเสือตัวใหญ่แล้วนะ แต่อันนี้เหมือนจะใหญ่กว่า อ้วนกว่า ลงพุง แม่งไว้หนวดไว้เคราเหมือนโจรอ่ะ ไม่รู้โป่งมันหลงเข้าไปได้ไง" สอางค์ถอนหายใจ
"แต่ก็พอเข้าใจมัน... ไอ้รามถึงหน้าจะเหี้ย หุ่นเหี้ย" เสียงเน้น 'เหี้ย' จนกระต่ายชักสงสารคนชื่อราม "แต่มันนิสัยดี เป็นหัวหน้าชั้นปี คอยช่วยอีโป่งเรื่องสแตนด์บ่อยๆ อีโป่งมันคงไม่ค่อยเจอคนใจดีด้วย... ละมั้ง"
หลังจากนินทาเพื่อนแล้ว อีกสองสามวันถัดมา ก็มีข่าวใหญ่ประกาศอีกครั้ง คราวนี้มาจากพี่เสือโดยตรง
กระต่ายจำได้ว่าหน้าตาพี่เสือดูพิกลๆ เหมือนจะหลบกล้องตลอดเวลาที่คุยกัน "ต่าย... ไอ้โบ้ไปแล้วนะ"
"ไป ?" กระต่ายทวนคำงงๆ "ไปไหน ?"
"ไปเมืองนอก"
"หา!?" กระต่ายจำไม่ผิดว่า ครั้งสุดท้ายที่ได้ยินเรื่องของจัมโบ้คือเพื่อนตัวโตไปๆ มาๆ ง้อแฟนระหว่างเมืองกรุงกับจังหวัดทางอีสานที่กระเจี๊ยบเรียนอยู่
"อือ... เลิกกับเจี๊ยบแล้ว คงหมดหวังจริงๆ มันอยู่ทางนี้ยิ่งแย่ใหญ่ กินเหล้าทุกวัน พ่อแม่เลยส่งมันไปออสเตรเลียแล้ว"
กระต่ายถอนหายใจ "แล้วรันต์ล่ะ ? ไม่กลับมาคืนดีกันแล้วเหรอ ?"
"โบ้มันเพิ่งเล่าให้ฟัง... มันเองก็ทำเจี๊ยบเจ็บหลายเรื่อง... ตอนนี้ก็มีแฟนใหม่ไปแล้ว"
กระต่ายนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยายามทำความเข้าใจ...
...ไม่ว่าใครก็ต้องก้าวไปข้างหน้ากันทั้งนั้น
ถ้าอย่างนั้น ที่กระเจี๊ยบกลับมาคืนดีกับจัมโบ้ตอนปีก่อน ก็คงเป็นฟางเส้นสุดท้ายแล้วจริงๆ กระเจี๊ยบถึงกับให้โอกาสจัมโบ้ตามไปเรียนด้วย ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นรักทางไกลกันอยู่ แต่คงเลิกกันระหว่างนั้น...
...กระเจี๊ยบมีคนใหม่ จัมโบ้เองก็ไม่สามารถบังคับให้คนหมดรักกลับมารักได้อีก
ไม่รู้ทำไม พอฟังเรื่องนี้แล้วกระต่ายใจหายไม่รู้ตัว เสียงเบาสั่นไหวยามถามกลับ "แล้ว... แล้วพี่เสือล่ะ ?"
"หืม ?"
"รัก... รักทางไกลแบบนี้... พี่เสือ... ล่ะ ? จะมีใครใหม่ไหม ?"
ใบหน้าบนจอคอมพิวเตอร์ราวกับพร่าเลือนไปสักพัก พี่เสือไม่ได้หยอดคำหวาน นัยน์ตาไม่หวานฉ่ำ แต่แน่วแน่ ตรงไปตรงมา "อย่าถามแบบนี้อีก... เชื่อในตัวพี่ เหมือนพี่เชื่อในตัวกระต่าย"
ถึงจะไม่ใช่คำหวานหู แต่กระต่ายกลับยิ้มออก... นี่แหละ พี่เสือ
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่กลัว แต่พี่เสือก็กลัวเหมือนกัน...
กระต่ายเริ่มไปเรียนหลังจากนั้น ชีวิตในปารีสเริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาอีกระลอกคือเรื่องวีซา
เขาเริ่มเข้าหาคนอื่น พยายามหาคนช่วยเหลือ หลังจากศึกษามาแล้วก็ยื่นเรื่อง จำคำศัพท์ที่ใช้ในการยื่นต่อวีซา เอกสารทุกอย่าง จนทุกอย่างเรียบร้อยก็ได้เวลาฉายเดี่ยวไปยังสำนักงาน
กระต่ายกลัวไหม...
กลัวที่สุด!คนตัวเล็กพูดภาษาฝรั่งเศสได้นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น แต่เมื่อต้องลาเรียนหนึ่งวันเพื่อไปยื่นขอวีซา แต่ก็พบกับป้ายที่แปลได้ว่าน่าจะปิด หลังจากนั้น กระต่ายก็ลาอีกสองครั้ง จนในที่สุดก็ได้ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่หน้าบูดที่รัวภาษาฝรั่งเศสใส่กระต่ายจนเหมือนร้องเพลงแรพ
เด็กน้อยแทบร้องไห้ กระต่ายมาที่นี่คนเดียว ไม่มีใครให้พึ่ง มีแต่ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตที่เชื่อถือมาตลอด มาเจอสถานการณ์แบบนี้ บวกกับความผิดหวัง กดดันที่มาแล้วปิดหรือมาไม่ทันเจ้าหน้าที่ และความกดดันจากสถาบันที่เขาต้องลามาบ่อยๆ แล้ว ใบหน้าหวานจึงเหยเก ริมฝีปากเบะเหมือนเด็กน้อย มือสั่นระริกขณะยื่นเอกสารที่เหลือให้ทั้งหมดโดยไม่เข้าใจคำถามของพนักงานแม้แต่คำเดียว
และดูเหมือนน้ำตาเม็ดโตๆ ก็ร่วงเผลาะอยู่หน้าเคาเตอร์จนได้ ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตกใจ กระต่ายฟังไม่รู้เรื่อง แต่เจ้าหน้าที่ก็ตรวจเช็คเอกสารอย่างละเอียด พยายามสื่อสารกับกระต่ายด้วยเสียงที่อ่อนลง
และในที่สุดกระต่ายก็ได้วีซานักเรียนจนได้... เหมือนเจ้าหน้าที่จะเน้นเรื่องวัน เวลาอะไรสักอย่าง แต่กระต่ายฟังไม่ออก ได้แต่พยักหน้า
"Oui... oui... merci" (ใช่ครับ ใช่ ขอบคุณครับ)
พอเดินออกจากสำนักงานแล้ว รู้สึกตัวเองโล่งไปหมด... มีวีซาอยู่ในมือทำให้อุ่นใจยิ่งกว่าอ้อมกอดพี่เสือเสียอีก
มือเล็กขยี้ตา ปาดน้ำตาออก ถอนหายใจเฮือกๆ พอหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาจึงตัดสินใจกลับบ้าน
ระหว่างทางเดินกลับบ้าน กระต่ายไม่ลืมฉลองด้วยมาการองแสนอร่อยจากร้านเบเกอรีใกล้ที่พัก
...ถามว่าฟังเจ้าหน้าที่คนนั้นรู้เรื่องไหม
...ไม่สักนิด!
แล้วที่ร้านเบเกอรีน่ะ... กระต่ายก็... ชี้ๆ เอา! ทั้งๆ ที่อยู่ฝรั่งเศสมาสี่เดือนแล้ว ภาษาฝรั่งเศสของกระต่ายยังผลุบๆ โผล่ๆ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างอยู่เลย
การเรียนที่สถาบันนั้นหนักหนาทั้งกายและใจ พี่เสือบ่นเสมอว่าเรียนหนัก แต่พอฟังที่น้องชายตัวน้อยเล่าให้ฟังแล้วก็พูดไม่ออกเอาเสียเลย
กระต่ายต้องยกกระสอบแป้ง น้ำตาล ถังสีผสมอาหาร แป้งโด เค้กหนักหลายกิโลกรัม แขนขาที่อ่อนล้าต้องพาตัวเองเบียดเสียดเป็นปลากระป๋องในเมโทรกลับห้อง ทั้งยังต้องระวังตัวไม่ให้ถูกล้วงกระเป๋าหรือถูกทับแบน กลิ่นเสื้อโค้ตของชาวปารีสก็ฉุนจนต้องกลั้นหายใจ ไม่มีใครยิ้มหรือสบตากัน ในแสงของรถไฟภายนอกคืออุโมงค์ดำมืด กระต่ายรู้สึกราวกับว่าอุโมงค์นั้นยาวไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ต่างจากชีวิตกระต่าย...
ชีวิตต่างประเทศไม่ใช่ฝันแสนหวาน บรรดาคนที่จบมาแล้วมักจะพูดถึงสิ่งที่ได้มาแล้ว แต่ระหว่างทางที่ลำบากลำบนนั้นมักไม่ค่อยมีใครสนใจฟัง
โชคดีที่กระต่ายมีเพื่อนในคลาสแล้ว เป็นสาวลูกครึ่งจีน-ออสเตรเลียชื่อว่าเดมี เธอเป็นผู้หญิงร่างสูงโย่ง แขนขายาวหน้าตาสวยเก๋ ตาชั้นเดียวยาวรีพร้อมโหนกแก้มชัด เดมีอายุมากกว่ากระต่ายหลายปี ตอนที่พบกันครั้งแรก กระต่ายอายุได้สิบแปด เดมีอายุยี่สิบเก้าปี
อาจเพราะเดมีเลยทีเดียวที่ทำให้กระต่ายอดทนและยิ้มรับกับเรื่องราวต่างๆ ได้
และเพราะเดมีเช่นกันที่ช่วยประคับประคองกระต่ายไม่ให้ถอดใจกลางทาง หล่อนกลายเป็นพี่สาวของกระต่าย ไม่แปลกเลยที่คนไกลบ้านอย่างกระต่ายจะติดเพื่อนแจ
ไม่นาน กระต่ายก็เข้าร่วมก๊วนกับวลาดิเมียร์ แฟนหนุ่มชาวรัสเซียของเดมีที่เป็นนักศึกษาของสถาบันเดียวกัน คลาสเดียวกัน
เดมีและแฟนหนุ่มเช่าอพารตเมนต์อยู่ด้วยกัน ทั้งคู่มักจะรบเร้าให้กระต่ายทำอาหารไทยให้กินเสมอ ในวันหยุด กระต่ายก็ไม่เคยถูกทิ้งเพราะเพื่อนไปมีแฟน ทั้งคู่หนีบกระต่ายไปด้วยทุกที่เหมือนมีลูกเล็กๆ อีกคนหนึ่ง
เพราะทั้งสองคนนี่เองที่ช่วยให้กระต่ายประหยัดค่าอาหารไปเยอะ คนไกลบ้านทั้งสามช่วยกันหารค่าวัตถุดิบจากไชน่าทาวน์ แล้วเอามาทำกินกันเองที่อพาร์ตเมนต์ของเดมี พอวันหยุด สาวขาช็อปก็พากระต่ายและแฟนไปตามตลาดนัดต่างๆ เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่กระต่ายใส่ก็ได้มาจากของมือสองตามตลาดนัดนี่เอง
เสียงหวานๆ ของแอร์โฮสเตสดังขึ้น กระต่ายยิ้มน้อยๆ พลางคาดเข็มขัด
ชีวิตของกระต่ายนับจากนี้จะไม่มีเดมีอยู่ข้างๆ พูดคุยด้วยสำเนียงออสซี่แล้ว...
...แต่กระต่ายจะกลับไปหาสุดที่รักเสียทีเรียนได้พักหนึ่ง กระต่ายมีความสุขเลยทีเดียว จนแทบลืมความคิดถึงได้พักใหญ่ พี่เสือก็ระเบิดข่าวใหญ่อีกรอบ
ถึงช่วงนั้นกระต่ายจะสังเกตได้ว่าพี่ชายผอมลง แต่เพราะคิดว่า พี่ชายเรียนหนักเกินไปจึงผอมลง แต่เมื่อเค้นถามเมื่อคนตัวเล็กสังเกตเห็นข้อมือที่ปูดโปน ร่างกายที่แข็งแรงยิ่งเห็นข้อต่างๆ ชัดเจน
ในที่สุดคนตัวโตก็สารภาพหมดเปลือก
"พี่บอกพ่อกับแม่แล้ว"
"บอก ?" กระต่ายทวนคำไร้เดียงสา หน้าตาเป๋อเหลอ พี่ชายถอนหายใจ ฉีกยิ้มฝืดเฝือให้
"บอกเรื่องของเรา"
"เดี๋ยวนะ..." หัวใจชักแกว่งๆ แล้ว ได้แต่คิดว่าไม่นะ... ไม่จริง...
"ฮื่อ พี่บอกว่าอยากได้น้องชายมาเป็นเมีย" รอยยิ้มดูอิดโรยก็จริง แต่นัยน์ตาเป็นประกาย
"พี่เสือ!" กระต่ายหวีดร้อง ไม่สนใจแล้วว่าเพื่อนข้างห้องที่เป็นสาวสเปนจะตกใจหรือไม่ มือบางแทบเขย่าหน้าจอแลปทอป "ทำแบบนั้นทำไม! แล้ว แล้ว... พ่อกับแม่..."
พี่ชายยื่นมือมาตรงหน้าจอ คล้ายจะสัมผัสคนที่อยู่คนละซีกโลก "ต่ายน้อย..." เสียงทุ้มกดลงต่ำ "นี่เป็นการตัดสินใจของพี่..."
"อา..." ร่างเล็กฟุบลงกับโต๊ะอย่างไร้เรี่ยวแรง ในหัวมีแต่ความคิดวิ่งวน...
...พี่เสือ..."แต่ไม่ต้องห่วงนะ" เสียงพี่ชายมีชีวิตชีวาขึ้น "พ่อไล่พี่ออกจากบ้านแล้ว"
คำพูดนั้นเล่นเอากระต่ายดีดผึงขึ้นมาอีกครั้ง อ้าปากค้าง แต่พี่เสือไม่ได้บอกทั้งหมด...
...คุณพ่อไม่ได้แค่ไล่ลูกชายออกจากบ้าน แต่ไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้น เงินค่าเล่าเรียนที่เคยส่งให้ก็หายไป ไม่นับพ่อนับลูกอีกต่อไป
แต่เสือก็ยิ้มรับ
เพราะนี่คือการตัดสินใจของเขา... ชีวิตของเขา
แม้จะเห็นแก่ตัวที่ลากคนรักเข้ามายุ่งเกี่ยว แต่ทุกคำที่เสือสารภาพกับบุพการีคือความรัก ความต้องการที่จะปกป้องอย่างสุดกำลัง
'ต่ายน้อยไม่ผิด... เสือข่มขืนน้อง! เสือข่มขืนน้อง!' 'เสือผิดเอง! พ่อไล่เสือออกมาได้ แต่อย่างยุ่งกับน้อง! เสือบังคับน้องเอง!'ไม่รู้ว่าบุพการีฟังหรือไม่... แต่นับว่าโชคดีที่คอนโดที่ซื้อให้ยังไม่โดนยึด
พี่เสือเล่าช้าๆ ถึงวันที่เกิดเรื่อง ไม่ได้ใส่อารมณ์ให้โกรธเคือง แม้ใบหน้าจะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ยังมีคำปลอบประโลมคนรักไม่ได้ขาด
"ต่ายน้อย... ความสัมพันธ์ของเรา ต่ายน้อยไม่ผิดอะไรเลย... พี่จะทำทุกอย่างให้เราได้อยู่ด้วยกัน"
"...ต่ายน้อย... ที่พ่อทำกับพี่ถือว่าสมควรแล้ว... อย่าโกรธพ่อเลยนะ"
"ไม่เป็นไร... พี่ไม่เป็นไร... พี่จะหาเงินเรียนให้จบเอง..."
กระต่ายไม่ตอบ
จนกระทั่งสัญญานขาดหายไป...
อาจเพราะริมฝีปากถูกเย็บ... หัวใจถูกกระชาก...
...พี่เสือเลวที่สุด... คิดเองเออเอง...
...ความสัมพันธ์ที่ผิดเพี้ยน พี่เสือเป็นผู้เริ่มต้น แต่กระต่ายเป็นผู้สานต่อ...
...และจะต้องเป็นคนดำเนินต่อไป!นิสัยน้องเล็กกลับเข้ามาอีกครั้ง กระต่ายเอาใจมากๆ ถ้าต้องการอะไรก็ต้องได้
และตอนนี้...
กระต่ายต้องการพี่เสือ!ค่าโทรศัพท์ข้ามประเทศแพงจนขนหัวลุก จึงเป็นกระต่ายเองที่โทรกลับบ้านเสมอ แต่ที่ผ่านมา... ไม่มีใครบอกกระต่ายเลยว่าพี่เสือเป็นอย่างไร
เมื่อโพล่งออกมาอย่างโกรธจัด คุณแม่ที่รับสายอยู่ก็ร้องไห้... เสียงในสายสั่นเครือ จับใจความไม่ได้ คุณพ่อถามแทรกเป็นระยะว่ากระต่ายถูกข่มขืนจริงหรือไม่...
...ที่ทั้งสองเก็บเรื่องนี้ไว้นานขนาดนี้ เพียงเพราะไม่ต้องการให้ลูกชายคนเล็กต้องมีเรื่องเครียดในช่วงระหว่างปรับตัวที่ต่างประเทศ
กระต่ายน้ำตาพร่ามัว ก้อนสะอื้นจุกในคอ
พ่อกับแม่แบกรับบาปที่ลูกทั้งสองก่อ
พี่เสือแบกรับความรัก ความโกรธแค้นไว้เต็มสองบ่า
คนทั้งครอบครัว... กำลังปกป้องกระต่ายด้วยวิธีของตัวเอง...หลังจากวางสาย กระต่ายจึงยิ่งแน่วแน่กับการตัดสินใจของตัวเอง
จะเป็นกระต่ายเองที่ปกป้องพี่เสือและครอบครัว!ยิ่งใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ยิ่งได้เรียนรู้คุณค่าของครอบครัว จนรู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กระต่ายจะรักพี่เสือ ไม่ว่าจะผิดบาปอย่างไร กระต่ายจะเป็นคนนำครอบครัวกลับคืนมาเอง!
ทางบ้านไม่ติดต่อพี่เสือเลย กระต่ายวานทุกคนที่รู้จักให้เล่าเรื่องพี่เสือให้มากที่สุด เพราะกระต่ายรู้แล้ว... ตั้งแต่ช่วงแรกที่มาอยู่ปารีส พี่เสือหลบกล้อง...
ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นรอยช้ำเหมือนโดนทำร้ายมา
...สองไหล่จะแบกความรู้สึกและภาระไว้มากขนาดไหนกัน... กระต่ายจินตนาการไม่ออก หรือกระทั่ง ความรักที่พี่เสือมีให้ตนเองนั้น จะมหาศาลเพียงใดจนคนคนหนึ่งยอมสูญเสียครอบครัว เสียความสะดวกสบาย เสียทุกอย่างเพื่อแลกกับความรัก...
เรื่องราวค่อยๆ ถูกบอกเล่าทีละนิดๆ เหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อเติมภาพร่างของคนรักที่อยู่ห่างไกลให้เต็ม
...พี่เสือขอทุนคณะ... ตราบใดที่เกรดของพี่เสือยังไม่หล่นอย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าเรียนจบเป็นทันตแพทย์แน่นอน
...พี่เสือแทบไม่สุงสิงกับใคร ค่าใช้จ่ายประจำวันกระเบียดกระเสียด ได้มาจากเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาบ้าง ทำงานเป็นติวเตอร์บ้าง หรือกระทั่งเป็นบริกรในร้านอาหารกึ่งผับของเพื่อนพี่ฟง
กระต่ายน้ำตาคลอ อยากออกปากว่า... พอเถอะพี่เสือ กลับบ้านไปขอโทษพ่อแม่... บอกไปความรู้สึกที่พี่ชายมีให้ตนเองนั้นโกหก
สำหรับกระต่ายแล้วพี่ชายที่แข็งแรงองอาจ สง่างาม เฉลียดฉลาดไม่ควรเหน็ดเหนื่อยเพื่อกระต่ายเลย
แต่ทุกครั้งที่คุยกัน... รอยยิ้มอิดโรยบนใบหน้าแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจนั้นทำให้กระต่ายเป็นใบ้...
...และความรักมากมายที่เป็นมากกว่าพี่น้อง มากกว่าครอบครัวนั้น...
ไม่อาจโกหกได้เลย