6. พี่เสือ น้องกระต่าย กับสอบเข้า
หลังจากเกิดเหตุวุ่นวายแล้ว ครูใหญ่ก็ยอมแพ้ ย้ายพี่เสือมาอยู่ห้องป.6/4 กับน้องกระต่าย
แล้วหลังจากนั้น พี่เสือก็ว่านอนสอนง่าย ไม่ก่อเรื่องอะไรอีก
ปีนี้เป็นปีพิเศษ เพราะสองพี่น้องจะต้องสอบเข้าชั้นม.1 คุณพ่อคุณแม่หนักใจ เพราะพี่เสือนั้นเข้าโรงเรียนดังๆ ได้ง่ายดาย แต่น้องกระต่ายที่เรียนอ่อนคงจะยาก แล้วไหนจะพอเข้าไปเรียนแล้ว เจอบรรยากาศกดดันกับแข่งขันสูงของโรงเรียนแถวหน้าอีก
หรือจะให้พี่เสือไปเรียนโรงเรียนระดับน้องกระต่าย คุณพ่อคุณแม่ก็กังวลว่าจะลิดรอนอนาคตและโอกาสของพี่ชาย
หลังจากปรึกษากันแล้ว คุณพ่อจึงตัดสินใจว่า ถึงเวลาจะแยกคู่แฝดเสียที
เย็นวันหนึ่ง หลังเกิดเรื่องได้แค่เดือนเดียว คุณพ่อก็เรียกสองพี่น้องไปคุยหลังอาหาร
"เสือ เราคิดยังไงเรื่องเรียนต่อ ?"
พี่เสือเห็นท่าทีเครียดๆ ของบุพการีมาเป็นเดือนแล้ว แต่ไม่ได้ทักอะไร เขารู้ดีว่าพ่อแม่จะพูดเรื่องอะไร
พี่เสือเลยตัดสินใจไว้เรียบร้อย
"เสือจะเข้าโรงเรียน..."
"หืม ?" คุณพ่อแปลกใจ เพราะโรงเรียนนั้นอยู่ในระดับกลางๆ พี่เสือคงสอบได้ง่ายดาย แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้สำหรับน้องกระต่าย
"เสือ อย่าติดน้อง พ่ออยากให้เราคิดดีๆ กระต่ายด้วย อย่าเอาแต่แล้วแต่พี่เสือ"
กระต่ายน้อยยิ้มแหยๆ เพราะทุกอย่างในชีวิตนั้น ล้วนมาจากการคัดสรรของพี่เสือทั้งสิ้น
"คุณพ่อไม่ต้องห่วงอนาคตของเสือหรอกครับ เพราะอนาคตของเสือจะไร้ค่า ถ้าหากไม่มีกระต่าย" พี่เสือพูดเสียงเรียบ ไม่ใส่ใจสีหน้าบิดาสักนิด
"เสือ!" คุณพ่อดุ "พ่อไม่อยากให้เราคิดอย่างนั้น พอเราโตไป เราก็ต้องแยกจากน้อง ไปแต่งงาน มีครอบครัว จะมามัวโอ๋น้องไม่ได้"
"เสือจะไม่แต่งงาน" ตอบหน้าตาเฉย แล้วหันไปถามคนข้างๆ "ต่ายน้อยจะแต่งเหรอ ?"
คนน้องหน้าเป็นสีชมพูระเรื่อ ส่ายศีรษะหวือ เอื้อมมือไปจับชายเสื้อพี่ชายอย่างประหม่า "ไม่จ้ะ หนูจะอยู่กับพี่เสือ"
พี่เสือเลยหันมามองคุณพ่อ ส่งสายตาเป็นคำถามว่า
'แล้วไงต่อ ?'
คุณพ่อรู้สึกเหมือนกำลังจะพ่ายแพ้ "แต่ถ้าเสือเรียนที่โรงเรียนสาธิต... เสือจะมีโอกาสมากกว่านะ"
"เสือคิดมาดีแล้ว ที่โรงเรียน... เป็นโรงเรียนระดับกลาง ไม่ยากเกินไปสำหรับกระต่าย ดีพอสำหรับเสือ มีเพื่อนหลายคนไปต่อที่นั่น ค่าเทอมอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ไกลจากบ้านมากด้วย" พี่เสือยกเหตุผลราวกับผู้ใหญ่ จนผู้เป็นพ่อไม่อาจโต้แย้งได้
"แล้วต่ายว่าไง ?" คุณพ่อถามลูกคนเล็ก
ใบหน้าหวานใสเงยขึ้นสบ ดวงตากลมโตราวลูกแก้ววาววับตอบเสียงหวาน "หนูอยากเรียนกับพี่เสือจ้ะ"
คุณพ่อถอนหายใจ "แล้วเสือไปรู้มาจากไหน ?"
"เสือใช้คอมคุณแม่เปิดดูข้อมูล ถามครูที่โรงเรียน ถามพี่หนูจิ๊บ เพื่อนๆ แล้วก็พ่อแม่เพื่อนครับ" พี่เสือตอบเรียบร้อย บ่งบอกถึงสติปัญญาเกินวัย
"ถ้าหากคุณพ่อรักเสือ ให้เสืออยู่กับน้องเถอะครับ" เสือน้อยเสริม มองตาคุณฉัตรชัยหนักแน่น เสียงที่เริ่มแตกหนุ่มทุ้มห้าวกังวาล ชัดเจนราวกับผู้ใหญ่
"คุณพ่อคงไม่รู้ว่า... ถ้าหากเสือไม่มีน้อง... ชีวิตเสือก็ไม่มีอะไร"
คุณพ่อถอนหายใจ พี่เสือความคิดอ่านโตเกินวัย ทั้งคำพูดคำจา กระบวนการคิด... จนคุณพ่อต้องยอมแพ้
คุณพ่อพยักหน้า และได้แต่กังวลกับประโยคสุดท้ายของลูกชายคนโต
เพื่อให้แน่ใจว่ากระต่ายน้อยจะสอบติด คุณพ่อจึงส่งกระต่ายไปเรียนพิเศษทุกวัน ส่วนพี่เสือนั้นเรียนสัปดาห์ละสามวัน คือเพิ่มเติมภาษาอังกฤษจากเจ้าของภาษาและคณิตศาสตร์ของชั้นม.ต้น
พี่เสือหัวไว สามารถเรียนคณิตศาสตร์ได้ล่วงหน้าถึงชั้นม.สองแล้ว และพี่เสือยังคงไปซ้อมมวย บาสเก็ตบอลสม่ำเสมอเกือบทุกวัน ทุกเช้า พี่เสือก็จะไปวิ่งออกกำลัง แต่กระนั้นพอน้องชายไม่ว่างเล่นด้วย พี่เสือก็รู้สึกตัวเองมีเวลาว่างมากเกินไปอยู่ดี
ทุกครั้งที่คุณพ่อคุณแม่พาพี่เสือและน้องไปห้าง พี่เสือจะเห็นน้องกระต่ายทำตาวาวๆ ใส่ตุ๊กตาหมีตัวโตนุ่มนิ่มเสมอ บางครั้งพี่เสือเองก็อยากได้หนังสือสารคดีภาษาอังกฤษเล่มใหม่ แต่พอพี่เสือดูราคาแล้วก็ต้องถอนใจ แพงจนไม่กล้าขอคุณพ่อคุณแม่
ถ้าหากพี่เสือทำงาน มีเงินจะดีแค่ไหนหนอ ?
พี่เสือจะซื้อตุ๊กตาหมีให้น้องกระต่ายเยอะๆ พาน้องไปกินฟูจิทุกวัน ซื้อทุกอย่างที่น้องชอบ แล้วก็ซื้อหนังสือของพี่เสือด้วย
คิดได้แล้ว หนุ่มน้อยก็ลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือ ดูเวลาแล้วเพิ่งสองทุ่ม แต่กระต่ายน้อยยังเรียนพิเศษไม่เลิก เขาเลยเดินไปหาคุณพ่อด้านล่าง
คุณฉัตรชัยนั่งดูข่าว ส่วนภรรยานั่งฮัมเพลง วาดรูปในคอมพิวเตอร์เบาๆ
พี่เสือกระแอม เรียกความสนใจของพ่อแม่
"ว่าไงลูก ?" คุณแม่ทักก่อน เงยหน้าจากโปรแกรมวาดรูปชื่อดัง
"คุณพ่อคุณแม่ครับ เสืออยากทำงาน"
"หืม ? อยากได้อะไรล่ะ ?" คุณพ่อถาม สมกับเป็นผู้จัดการธนาคาร
"เสืออยากมีเงินเก็บ เอาไว้ซื้อของให้น้อง"
"อืม เสือก็เก็บเงินอยู่ไม่ใช่เหรอ ?" คุณแม่ถาม เพราะสองพี่น้องไม่ใช่เด็กฟุ่มเฟือย แถมยังมีคุณพ่อทำงานธนาคาร จึงสอนการออมให้ตั้งแต่เด็ก
"เงินเก็บก็อยู่ส่วนเงินเก็บ เสืออยากทำงาน อยากมีเงินเอาไว้ใช้"
"เงินไม่พอหรือลูก ?"
พี่เสือส่ายศีรษะ "พอครับ แต่อยากมีเงินเป็นของตัวเอง จะได้ไม่รบกวนคุณพ่อคุณแม่"
คุณพ่อยิ้ม ปิดโทรทัศน์ "งั้นมาทำงานพิเศษที่บริษัทพ่อไหม ?"
"ได้หรือครับ ?"
"อืม มีพวกจัดเอกสาร ทำลายเอกสารอะไรพวกนี้น่ะ เสือทำไหวไหม ?"
"ไหวฮะ"
"เสือจะทำถึงเมื่อไหร่ ?"
พี่เสือหยุดคิด "สิบห้าฮะ เพราะสิบห้าเสือจะไปสมัครงานที่อื่นบ้าง ตอนนี้เสือยังเด็กเกินไป"
คุณพ่อหัวเราะ นี่ลูกชายอายุแค่สิบสองของเขาวางแผนการขนาดนั้นเลยหรือ ?
"ได้ แต่เสือจะได้ชั่วโมงละแค่สิบบาทนะ ห้ามขี้เกียจ ห้ามลา ห้ามขาด ถ้าทำงานดี พ่อจะเพิ่มให้เป็นสิบห้าบาท ตกลงไหม ?"
พี่เสือนั่งคำนวนสักครู่ เขารู้อัตราค่าจ้างรายชั่วโมงมาคร่าวๆ จากพวกรุ่นพี่ที่ค่ายมวยแล้ว ถึงแม้ที่คุณพ่อจ้างจะเหมือนเด็กเล่น... เหมือนที่คุณพ่อเข้าใจ แต่พี่เสือไม่มีทางเลือก เขายังเด็กเกินไปที่จะทำงานพิเศษ
พี่เสือจึงพยักหน้า ยกมือไหว้คุณพ่อ "ขอบคุณครับ"
เป็นอันว่า หลังจากนั้นมา พี่เสือก็ทำงานให้คุณพ่ออย่างขยันขันแข็ง
น้องกระต่ายเรียนหนักมาก พอกลับบ้านก็ต้องทำการบ้านอีก ยังดีที่พี่เสือมักจะมาสอนเสมอ
เจ้าตัวน้อยรู้ตัวดีว่าเป็นคนหัวช้า กระต่ายน้อยจึงเอาความขยันเป็นที่ตั้ง เพราะคุณย่าอบรมมาอย่างดีว่าทุกอย่างลุล่วงได้ด้วยความเพียร เจ้าตัวเล็กจึงเรียนดึก กลับบ้านค่ำ เผชิญกับการบ้านจำนวนมหาศาลและบทเรียนใหม่ๆ ที่ไปค่อนข้างเร็วทุกวัน แต่กระนั้น กระต่ายก็ไม่ย่อท้อ ความเพียรของเจ้าตัวเล็กเล่นเอาทุกคนฉงน แม้กระทั่งพี่เสือก็ไม่เห็นน้ำตาหรือเสียงบ่นจากน้องสักคำ
"หนูอยากเรียนกับพี่เสือ" คำพูดย้ำ ถึงแม้จะเบา เสียงจะใส แต่ก็หนักแน่น และเจ้าตัวก็แสดงให้เห็นได้ดังที่พูด
แต่กระนั้นเลย ด้วยความหัวช้าคุณครูหลายคนจึงมักแสดงอาการหงุดหงิดเสมอที่สอนกระต่าย ครูหลายคนอดไม่ได้ที่จะเอาไปเปรียบกับพี่ชาย เพราะพี่เสือเป็นดาวเด่นของชั้นปี เรียนได้ที่หนึ่งตลอด สามารถเรียนล่วงหน้าได้จนถึงชั้นมัธยม ครูบางคนถึงกับออกปากกระแนะกระแหนต่ายน้อยด้วยซ้ำ แต่กระต่ายน้อยไม่ปริปากบอกใคร แม้กระทั่งพี่ชาย...
เจ้าตัวรู้ตัวดีว่าตัวเองผิดจากพี่ราวฟ้ากับเหว แต่ก็ไม่คิดอิจฉา เพราะรู้ดียิ่งกว่าว่า พี่เสือรักกระต่ายมากแค่ไหน ไม่ว่าอะไร พี่เสือก็ยกให้น้องได้ทั้งนั้น ดังนั้น ในบางครั้ง ที่กระต่ายน้อยหลงลืมบทเรียนพี่เสือก็ใจดี สอนย้ำทุกจุดจนกระต่ายเข้าใจจริงๆ พอกระต่ายลืม พี่เสือก็ทวนใหม่ให้อย่างอดทน
แต่พี่เสือไม่ได้สอนกระต่ายฟรีๆ กระต่ายต้องจ่ายค่าสอนด้วย
"พี่เสือจ๋า หนูไม่เข้าใจตรงนี้" น้องน้อยคลานขึ้นเตียงรูปรถที่คุณแม่เอามาต่อกันจนเป็นเตียงใหญ่ เพราะตัวพี่เสือโตเกินกว่าจะนอนเบียดน้องบนเตียงเดียวแล้ว
พี่เสือวางหนังสือภาษาอังกฤษที่ยืมมาจากคุณครูฝรั่งลง
"ไหน ให้พี่ดูซิ"
น้องยื่นสมุดให้ พี่เสือยิ้มมุมปากแล้วเลิกคิ้ว
"ไหน ค่าสอน"
เจ้าตัวน้อยบิดไปมา หน้าแดงก่ำ "ก็... ก็... เมื่อวานเก็บไปแล้วนี่"
"หือ เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน วันนี้ยังไม่ได้จ่ายเลย"
"พี่เสือ..." คนตัวเล็กก้มหน้าต่ำ ซ่อนใบหน้าน่ารักของตัวเอง
พี่เสือหัวเราะ พูดเชิงยั่วเย้า อย่างที่ไม่เคยพูดกับใครมาก่อน "มาเร็วๆ ดึกแล้วนะ พี่จะนอน"
น้องเล็กเงยหน้าขึ้น แก้มใสแดงเหมือนขนมหวาน ใบหน้าหวานแอร่มทำให้ใจพี่เสือแทบหยุดเต้น
"ก็...ก็ได้" ว่าแล้วก็ยอมเดินเข่าเข้าไปหา นั่งลงบนตักพี่ชายโดยหันหน้าเข้าหาอกอุ่น
"พะ พี่เสือสอนได้แล้ว"
"ยังจ่ายไม่ครบเลย" เสียงพี่เสือเจ้าเล่ห์เหลือเกิน น้องกระต่ายไม่มีทางเลือก ยืดตัวขึ้นจุมพิตริมฝีปากพี่ชายเบาๆ หากคนเป็นพี่กลับไม่ยอมให้แค่สัมผัสผิวเผิน มือหนา แข็งกระด้างเกินวัยประคองศีรษะน้องเล็กพลางบดเบียดริมฝีปากให้แนบแน่น
พี่เสือยังจูบแบบผู้ใหญ่ไม่เป็น
แต่รู้ดีว่า ควรจะเอาเปรียบน้องอย่างไร
พี่ชายง้างงับริมฝีปากอิ่มของน้องอย่างเอร็ดอร่อย มืออีกข้างสัมผัสแก้มเนียนที่ร้อนผ่าวด้วยความอาย พี่เสือเห็นน้องเริ่มหายใจติดขัดจึงยอมค่อยๆ ผละริมฝีปากอีก แล้วเชยคางมนขึ้นให้เห็นใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มจนแลเห็นขนตางอนยาวที่ทอดเป็นแพ จมูกน้อยๆ โด่งรั้นและริมฝีปากรูปกระจับอวบอิ่มสีสด
พี่เสือบรรจงจุมพิตสองแก้มใสซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนน้องเตือนเบาๆ
"พี่จ๋า แล้วการบ้านหนูล่ะ ?"
พี่เสือจึงยอมหยุดเก็บค่าสอนแต่โดยดี
_____
คำตาม
สั้นนะคะ สั้นมาก

แต่ตอนนี้คาดว่าแม่ยกหนูกระต่าย พี่เสือคงเฮลั่นแน่นอน
ขอประกาศอีกทีนะคะ ว่าเรื่องนี้เป็นนิยายแบบที่รวมตอนสั้นๆ ค่ะ

บางตอนไม่เกี่ยวข้อง บางตอนก็ต่อเนื่องจากตอนที่แล้วค่า
คำตามวันนี้ไม่มีอะไรค่ะ ชีวิตยังพุพังอยู่เหมือนเดิม เราเป็นคนเขียนช้าค่ะ ตอนนี้สปีดเร่งได้สูงสุดสองฉากต่อวันแล้วค่ะ เมื่อก่อนเคยเร็วกว่านี้นะ

ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ
ตอบเมนต์ด้านล่างนะคะ >>