***อ่านประกาศเมนต์ล่างด้วยนะคะ***
[/size][/color]
16. พี่เสือ กระต่ายน้อยกับวันปิดเทอม
สองพี่น้องใช้เวลาปิดเทอมอย่างสบายอารมณ์ ถึงน้องต่ายจะเรียนหนักเหมือนเดิม แต่ก็มีเวลาว่างเข้าครัวบ้าง ส่วนพี่เสือ ทั้งต่อยมวย ซ้อมบาสเกตบอล สอนหนังสือน้องและทำงานพิเศษก็กินเวลาไปเกือบหมดแล้ว
คุณพ่อคุณแม่มองลูกชายอย่างทึ่งทุกครั้งที่พี่เสือกลับมาจากโรงเรียน หลังจากซ้อมบาสเกสบอลแล้วในช่วงเช้า สามารถไปเปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าวเที่ยวแล้วไปค่ายมวยได้ต่อในตอนบ่าย หลังจากนั้นพอกลับมาประมาณบ่ายสามโมง พี่เสือจะมานอนแผ่กลางบ้าน น้องกระต่ายที่เพิ่งกลับมาจากเรียนพิเศษจะแอบเอาผ้าขนหนูเย็นๆ ชุบน้ำเช็ดตัวให้พี่ชาย
น้องเล็กแอบเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าคุณแม่ยังอยู่หลังบ้านเลยรีบจุ๊บแก้มพี่ชายเร็วๆ แล้ววิ่งตื๋๋อขึ้นห้องด้วยพวงแก้มแดง
พี่เสือแอบอมยิ้มน้อยๆ
น้องเล็กเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วผูกผ้ากันเปื้อนสีชมพูหวานแหวว ติดระบายที่ชายเข้าครัว ช่วงนั้นเองคุณแม่จะส่งเสียงเรียกจากหลังบ้าน
"ต่าย มาแล้วเหรอลูก ?"
"จ้ะ"
"มาช่วยแม่ตากผ้าหน่อย" กระต่ายน้อยชอบทำงานบ้านที่สุด เจ้าตัวเล็กรีบวิ่งไปกอดเอวคุณแม่
"อ้อนอีกแล้วนะเรา"
"แหะๆ" น้องยิ้มแล้วซุกหน้ากับแผ่นหลังคุณแม่
"มา ตากผ้าก่อน แม่จะไปเตรียมมื้อเย็น พี่เราตื่นแล้วยัง ?"
คุณแม่ชินเสียแล้วที่จะมีศพ เอ๊ย ร่างของลูกชายคนโตนอนแผ่อย่างหมดแรงที่ห้องนั่งเล่น
"ยังจ้ะ ให้นอนต่ออีกนะ"
คุณแม่คุ้นๆ กับรูปประโยค เหมือนพี่ชายก็เคยพูดแบบนี้มาก่อน
"รู้แล้ว ไป้ ตากผ้าๆ"
สองแม่ลูกช่วยกันตากผ้า หนีบคลิบหนีบตัวโตรูปกระต่ายน้อยกับเสือน้อยจนเสร็จ ผ้าซักแล้วส่งกลิ่นหอมฟุ้ง กระต่ายน้อยชอบเล่นผ้าขนหนูที่สุด ผ้าขนหนูซักแล้วนิ่มๆ อุ่นๆ กลิ่นหอมๆ ทำให้เจ้าตัวเล็กเล่นเพลินตลอด
"หนูต่าย"
"จ๋า ?"
"จะทำเค้กไหมลูก ?" คุณแม่เดินกลับมาถามหลังจากเข้าครัวได้สักครู่
"ทำจ้ะทำ" กระต่ายน้อยรีบผละผ้าขนหนูนิ่มๆ แล้ววิ่งปรู๊ดไปหาคุณแม่ที่ห้องครัว
"ไปปลุกพี่เสือไปนอนบนบ้านดีๆ ก่อนป้ะ เดี๋ยวไม่สบาย"
"จ้ะ" หนูต่ายเป็นเด็กดี หัวอ่อน ว่าง่าย ใช้ง่าย คุณพ่อคุณแม่ใช้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีอิดออน เกี่ยงงอน
น้องน้อยเดินกลับเข้ามายังเห็นพี่ชายนอนแผ่อยู่เลยได้ที จิ้มแก้มพี่ชายเบาๆ
"พี่เสือ" เสียงหวานส่งเสียงเรียก แต่พี่ชายก็ยังนอนนิ่ง
"พี่จ๋า ตื่นสิจ๊ะ" มือน้อยค่อยๆ เขย่า แต่ร่างหนาก็ยังไม่ตื่นเสียที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะยิ้มอย่างได้ใจ
"ไม่ตื่นเหรอ..." พี่เสือที่แกล้งทำเป็นหลับแอบหัวเราะในใจ อยากรู้ว่าเจ้าตัวเล็กจะทำอย่างไรต่อไป
แต่ใครจะคาดคิด... คนตัวเล็กปีนขึ้นมาคร่อมบนตัวเขา แถมบั้นท้ายกลมๆ นั่นยังทับตรงเสือน้อยพอดิบพอดี
"คิก..." เสียงใสหัวเราะเบาๆ แล้วขย่มเล่นเอาสติพี่เสือเตลิดเปิดเปิง
"จะตื่นมั้ยๆ" น้องขย่มแรง บดเบียดบั้นท้ายกับเจ้าเสือจนมันเริ่มชูคอขึ้นมาแล้ว
พี่เสือรีบลืมตา "ตื่นแล้วๆ"
น้องถึงได้หยุดเขย่า "คุณแม่ให้ขึ้นไปนอนบนบ้านจ้ะ"
"อืม" พี่เสือรับคำเสียงขรึม ไม่สามารถตอบอะไรมากไปกว่านี้ได้ นอกจากรีบเดินขึ้นบ้านไปใช้จินตนาการปลดปล่อยสิ่งที่น้องน้อยปลุกขึ้นมา!
พี่เสืองีบได้สักพักก็ต้องรีบออกจากบ้าน นั่งรถเมล์ไปทำงานพิเศษที่บริษัทคุณพ่อ บางวันพี่เสือจะงดซ้อมมวยแล้วไปทำงานพิเศษลูกเดียว
พี่เสือขยันจนทุกคนจำหน้าได้และกระเซ้าคุณฉัตรชัยเสมอ
"แน่ะ มาอีกแล้ว คุณฉัตรชัยหมดตัวแน่ๆ"
พี่เสือกับคุณพ่อทำงานเสร็จก็กลับบ้าน คุณพ่อจะพาร่างเพลียๆ ของตัวเองนั่งหลังพวงมาลัย พี่เสือยื่นหน้ามาถามอย่างสนใจ
"คุณพ่อ เมื่อไหร่จะให้เสือหัดขับรถ ?"
คุณพ่อหัวเราะ "อายุเท่าไหร่เองเรา ? เท้าถึงแล้วเหรอ ?"
"เสือสูง 164 น่าจะถึงแล้ว"
"ไว้รอโตกว่านี้ก่อน" คุณพ่อสรุป "จะรีบหัดขับไปอวดสาวรึไง ?"
"เปล่า คราวที่แล้วพาน้องไปดูหนัง น้องเวียนหัวเพราะคนเยอะ เสือเลยอยากขับรถเป็น น้องจะได้สบาย" คำตอบแสนซื่อเล่นเอาคุณพ่อกุมขมับ
จะสอนอย่างไรดีหนอ ให้พี่เสือเลิกติดน้อง ?
"เสือ พ่อดีใจที่เรารักน้อง แต่เวลาคิดอะไร คิดเผื่อตัวเองบ้าง" คุณพ่อเริ่มพลางสตาร์ทรถ
"หนูต่ายมีความสุข เสือก็มีความสุข" คำตอบพี่เสือเล่นเอาคุณพ่อแทบหน้าทิ่มพวงมาลัย
"บางทีให้จุ๋มสอนอาจจะดีกว่า" คุณพ่องึมงำกับตัวเอง
เมื่อรถจอดเทียบที่จอดรถ คุณพ่อแทบดับเครื่องไม่ทันเพราะเจ้าลูกชายคนเล็กมาดักรออยู่แล้ว
"พี่จ๋า พ่อจ๋า" เสียงหวานดังขึ้นตั้งแต่ประตูรถยังไม่ทันเปิด
"ทำงานเหนื่อยมั้ย ?"
"ถามพ่อหรือถามพี่ ?" คุณพ่อเย้า เจ้าตัวเล็กยิ้มเขิน อมยิ้มจนแก้มตุ่ย
"ทั้งคู่แหละจ้ะ"
"มาให้พ่อหอมที" น้องเล็กยื่นแก้มให้คุณพ่อหอม ส่วนพี่ชายนั้น เจ้าตัวทำเหมือนที่ทำประจำคือ ไปเหยียบบนสองเท้าของพี่ชาย แล้วเขย่งตัวจุ๊บแก้มพี่ชายเบาๆ
"ชื่นใจที่สุด" พี่เสือว่า หิ้วเอาบางขึ้นอุ้ม คุณพ่อส่ายศีรษะพลางถาม
"เย็นมีอะไรกิน ?"
"หนูทอดไก่ไว้ให้จ้ะ กินกับน้ำแกง"
"สูตรหาดใหญ่เหรอ ?"
น้องเล็กยิ้ม "จ้ะ วันก่อนป้านกเอาสูตรมาให้ หนูเลยลองทำดู มีหอมทอดด้วย"
"แล้วของหวานล่ะ ?"
"วันนี้หนูลองทำชิฟฟ่อนจ้า คุณแม่บอกทานกับไอติมวานิลลาอร่อยมาก"
"นี่คุณแม่ชิมมาแล้วว่างั้นเหอะ" คุณพ่อพูดและยิ้มแป้น
ลูกชายคนเล็กเหมือนช่วงนี้จะหมกมุ่นกับการทำขนมเป็นพิเศษ เพราะเซ็ททำขนมที่ให้ตอนวันเกิดนั่นแหละ คุณป้านกก็ชอบแวะเอาสูตรมาให้บ่อยๆ และคนที่ได้ชิมคนแรกก็ไม่พ้นป้านก
"วันหลังหนูจะลองทำมาการอง" กระต่ายบอก รีบดุนหลังของพ่อและพี่ชายนั่งบนเก้าอี้ทานอาหาร แต่พี่เสือไวกว่า อาศัยจังหวะที่คุณพ่อเผลอ รีบหอมแก้มนิ่ม
"พี่ชอบกินต่ายมากกว่า"
กระต่ายน้อยทุบไหล่พี่ชายเบาๆ หนึ่งที ทำปากจู๋
"พี่เสือบ้า!"
______
อ่านเบาๆ นะคะ จบไปอีกตอน เฮ้อ......
ขอตอบบางคอมเมนต์ก่อนนะคะ (จากที่ตอบไปแล้วในเฟสนะคะ)
คุณ love2you สงสัยเรื่องงบอ้อย
ขอบอกตามตรงว่า เราอายมากกกกกกกกกก เพราะจริงๆ แล้วเป็นการเปรียบเทียบของคนสมัยก่อนค่ะ (สมัยนี้อ้อยที่เห็นก็มีแค่น้ำอ้อยใส่ขวดพลาสติก) ว่าหน้าเล็ก หน้าหวานอะไรแบบนี้ (แต่ติดความหมายว่าออกกลมนะคะ แต่ขอไว้ว่า น้องต่ายหน้าไม่กลมน้า) สมัยนี้จะไม่เจอแล้วค่ะ เว้นแต่ไปเปิดนิยายเก่าๆ ของนักเขียนอาวุโสค่ะ
เราเคยเห็นคนเกาหลีใช้เปรียบว่าเล็กเท่ากำปั้นหรือฝ่ามือค่ะ ส่วนเรื่องจริงคงเกินไปเนาะ แต่เราเคยเห็นดาราเกาหลีหน้าเล็กกว่าซีดีนะคะ ช็อกมาก!!!!
ลักษณะของงบอ้อย หรืองบน้ำอ้อยเป็นแผ่นกลมๆ อันประมาณฝ่ามือ ทำมาจากน้ำอ้อย หวานๆ ค่ะ
รูปจากบล๊อก
http://mblog.manager.co.th/pijika/th-44251/ ค่ะ
คุณปราย พันแสงก็พูดถึงอยู่ทีนึง
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=341099665938058&id=109554005755256 ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องงบอ้อยหรืองบน้ำอ้อยนะคะ
http://www.gotoknow.org/posts/531403 อ่านนิยายเราต้องทำใจนิดนะคะ เพราะสำนวนอาจโบราณๆ เชยๆ ค่ะ ขนาดพระเอกยังนิสัยแบบพระเอกนิยายหนังสมัยก่อนเลย T__T
ตอบคุณ WoonMyuk ค่ะ (ก๊อปมาจากเฟสนะคะ)
แอร่มเป็นคำโบราณ(อีกแล้ว) ค่า ไม่ค่อยมีใครใช้แล้ว นอกจากว่าจะอ่านนิยายโบราณ(หรือนิยายเรา) นะคะ
คนเขียนโบราณเองค่า บางทีอาจมีคำโบราณๆ เชยๆ อีกหลายคำหลุดออกมาอีกนะคะ ติติงกันได้เรื่อยๆ เลยค่ะ ถ้าหากคำไหนไม่รู้ความหมายก็สามารถถามได้เลยนะคะ คนเขียนอายุเยอะแล้วค่ะ
ความหมายนะคะจากพจนานุกรม ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน คำว่า แอร่ม คือ ..
แอร่ม ความหมาย คือ [อะแหฺร่ม] ว. แพรวพราว, ผ่องใส, สดใส, เช่น งามแอร่ม หน้าตาแอร่ม.
ถูกใช้ในบทกลอนของเรื่องมทนะพาธาค่ะ
อ้าอรุณแอร่มระเรื่อรุจี
ประดุจมโนภิรมย์ระตี.........ณ แรกรัก
แสงอะรุณวิโรจน์นะภาประจักษ์
แฉล้มเฉลาและโสภินัก นะฉันใด
หญิงและชาย..................ณ ยามระตีอุทัย
สว่าง ณ กลางกมลละไม....ก็ฉันนั้น
แสงอุษาสะกาวพะพราว ณ สรรค์
ก็เหมือนระตีวิสุทธิอัน........ว่างจิต
อ้าอนงคะเชิญดำเนิรสนิธ
ณ ข้าตะนูประดุจสุมิตร.......มโนมาน
ไปกระทั่ง ณ ฝั่งอุทกจีระธาร
และเปล่งพจี ณ สัจจะการ...ประกาศหมั้น
ต่อพระพักตร์สุราภิรักษะอัน
เสด็จสถิต ณ เขตอะรัณ - ยะนี่ไซร้
ว่าตะนูและน้องจะเคียงคระไล
และครองตลอด ณ อายุขัย..บ่คลาดคลา
(จาก
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=ailurophile&month=19-01-2010&group=3&gblog=1)
ส่วนไชยที จริงแล้วต้องเขียนว่า ไชที แต่เราตกเองค่า เพิ่ม "ย" เข้าไป ตามกฏของการแปลจากภาษาฮินดูเป็นไทย (ซึ่งเข้าใจผิด)
ไชทีเป็นชาอินเดียค่ะ ใส่เครื่องเทศ เราไม่แน่ใจรสชาติที่อื่น แต่ที่เราไปกินเนี่ย ไม่ค่อยหวานค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องไชที
http://www.chai-tea.org/whatisit.html อีกครั้งเรื่องโบราณๆ เชยๆ ของเรานะคะ คือคำว่า "รสชาติ" และ "รสชาด" ค่ะ ถ้าถามเราตอนนี้ว่าคำไหนถูก "รสชาติ" ค่ะ แต่บางครั้งเราก็จะพิมพ์เป็น "รสชาด" เพราะได้รับการสอนตั้งแต่มาแบบนี้ค่ะ ครั้งไหนเราพิมพ์ว่า "รสชาด" ไม่ต้องตกใจนะคะ คือลืมปรับตัวเองตามยุค เลยหลุดออกมาค่ะ
สาเหตุที่ใช้รสชาด เพราะครั้งแรกคำนี้ใช้ในวงการช่างเขียนค่ะ "ถึงรสถึงชาด" แปลว่า มีสีสัน จัดจ้าน ต่อมาเอามาใช้กับอาหาร เลยแปลงเป็น "รสชาติ"
คำว่า "รสชาด" ที่เราใช้/คุ้นเนี่ย จะพบในบรรดาคนอายุ 40+ ค่ะ วัยรุ่นใหม่ๆ ต่ำกว่านั้นจะไม่เขียนกันแล้ว (และบอกว่ามันผิด มันไม่ผิดนะลูก! แค่ไม่นิยมใช้!) คนที่กล่าวเรื่องนี้คือ คุณประยูร อุลุชาฏะ (น. ณ ปากน้ำ) (ศิลปินแห่งชาติ)
"ความคิดเห็นที่ 33
ถ้าเป็นคนที่เรียนชั้นมัธยมปลาย ปี 2516 อาจารย์ สอนว่า รสชาด จริงๆ ค่ะ
ไม่รู้ว่ามาเปลี่ยนเป็น รสชาติ ตอนไหน
เราเป็นคนโบราณ ก็เลยยอมรับทั้งสองคำ เลย ถือว่าความสำเร็จของภาษา คือสามารถสื่อสารให้เข้าใจได้"
จากกระทู้
http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=%2Fhome%2FInterWeb2000&File=%2Fhome2%2Fsearchdata%2FForums2%2Fhttp%2Fwww.pantip.com%2Fcafe%2Ffood%2Ftopic%2FD5359651%2FD5359651.html ค่ะ
Ref เพิ่มเติมท่าน น.ณ ปากน้ำค่ะ
https://sites.google.com/site/nornapaknam/Home/prawati ไม่ต้องนับอายุคนแต่งนะคะ...