22. พี่เสือ น้องกระต่ายกับนิทานคุณแม่
หลังสอบไล่ที่โรงเรียนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็จัดการเก็บเอกสารเตรียมไปรายงานตัวที่โรงเรียนมัธยมใหม่กันวุ่นวาย น้องเล็กของบ้านซึมไปหลายวัน เพราะอ้อม ก้อยและหวานเข้ากันคนละโรงเรียน อ้อมและหวานเข้าโรงเรียนสตรีประจำ ส่วนก้อยย้ายไปต่างจังหวัด
กลุ่มพี่เสือก็แยกย้ายกันไป วิทย์ไปเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดัง โจ๊ะเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน มีแต่ลูกโป่งที่สอบติดแบบคาบเส้นเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกับสองฝาแฝด
คุณแม่ชักปวดหัวกับการตื่นเช้าของพี่เสือ ลูกชายคนโตออกไปวิ่งทุกๆ วัน ตีห้าบ้าง หกโมงบ้าง กระต่ายน้อยถึงจะตื่นสายกว่าพี่ชาย แต่ก็ชอบมาคลอเคลียคุณแม่จนคุณแม่แทบไม่ได้ทำงาน
ที่สำคัญพอปิดเทอมแล้ว... บ้านแทบไม่เคยเงียบ เดี๋ยวเสียงทีวี เดี๋ยวเสียงเตาอบ เดี๋ยวเสียงพี่เสือ เดี๋ยวเสียงน้องร้องไห้
จนคุณแม่ชักอ่อนใจ
วันหนึ่ง เด็กสองคนกำลังเล่นน้ำอยู่หลังบ้าน คุณแม่แทบอยากเป็นลม เสื้อผ้าที่ซักไว้เรียบร้อยกำลังตากได้ที่ พี่เสือกับน้องกระต่ายเล่นน้ำกันจนเสื้อผ้าซักใหม่ๆ เปียกโชก
"เสือ! ต่าย! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!" คุณแม่ร้อง รีบเก็บผ้าใส่ตะกร้าทันใด
สองพี่น้องหยุดเล่นน้ำ พี่เสือวิ่งไปปิดก๊อก มองดูคุณแม่ลุกลี้ลุกลนเก็บผ้า
"โอ๊ย! ทำไมทำเสื้อผ้าเปียก!" คุณแม่แหว เหน็บตะกร้าไว้ข้างเอว
พี่เสือปากกล้ายืนจังก้าต่อหน้าคุณแม่ ตอนนี้พี่เสือสูงกว่าคุณแม่แล้ว ยังไม่ทันจะตอบ กระต่ายก็จาม "ชิ้ว!"
คุณแม่เอามือก่ายหน้าผาก สั่งเสียงเพลียๆ "เสือ เอาน้องไปอาบน้ำป่ะ เดี๋ยวน้องเป็นหวัด แล้วลงมากินข้าวเที่ยงด้วย"
รอจนพี่เสืออุ้มน้องขึ้นห้องแล้ว คุณแม่ถึงได้โยนเสื้อผ้าลงเครื่องซักผ้า ถอนหายใจเหนื่อยอีกรอบก่อนจะเข้าครัวทำอาหารเที่ยง
อาหารเที่ยงกลายเป็นภาระคุณแม่อีกอย่างหนึ่ง เพราะตอนสองพี่น้องไปโรงเรียน คุณแม่แค่ผัดข้าวหรือออกไปซื้อกับข้าวถุงง่ายๆ มากินคนเดียว แต่นี่เพิ่มมาอีกสองหน่อ จะออกไปซื้อกินก็เสียดายเงิน คุณแม่เลยต้องจำใจเข้าครัวเอง
สองพี่น้องเดินตุ้บตั้บลงมาจากบนบ้าน คุณแม่วางจานข้าวพอดี
"ข้าวห่อไข่" น้องกระต่ายพูดด้วยเสียงแปลกใจ
"อีกแล้ว ?" พี่เสือบ่นอุบ กินติดต่อกันมาเกือบสัปดาห์แล้ว คุณแม่เท้าสะเอวอย่างเหลืออด
"กินๆ เข้าไปน่า อย่าเรื่องมาก"
สองพี่น้องไม่กล้าหือคุณแม่ ขนาดคุณพ่อที่ว่าดุๆ ยังกลัวคุณแม่เลยนะ!
พี่เสือกินเร็วจนคุณแม่ต้องเตือน แถมยังกินเก่งจนคุณแม่ต้องมาผัดให้อีกกระทะ ตรงกันข้ามกับน้องชาย "น้องต่าย กินให้หมดลูก!"
ลูกชายคนเล็กหน้าจ๋อย เขี่ยข้าวในจานเล็ก พอคุณแม่หันหลังให้ เจ้าตัวเล็กก็แอบตักข้าวใส่จานพี่ชาย
"ต่าย! อย่าแอบให้พี่เสือกิน!" คุณแม่ร้องอย่างรู้ดี หันขวับมาพร้อมกระทะในมือ มือเทข้าวใส่จานให้พี่เสือ ปากดุน้องต่าย
"ต่ายไม่สงสารชาวนาทำนาเหนื่อยๆ ตากแดดร้อนๆ เหรอลูก! กินให้หมดนะ!"
น้องกระต่ายหน้าสลด ยอมกินอีกสองสามคำ
"เสือดูสารคดี เดี๋ยวนี้ชาวนาใช้คูโบต้ากันหมดแล้ว" พี่เสือพูดเรียบๆ ตักข้าวใส่ปากคำใหญ่
คุณแม่รีบตีแขนพี่ชาย "หยุดเลยนะเสือ! เห็นไหมว่าแม่กำลังสอนน้อง!"
"คุณแม่ก็น่าจะพูดถึงราคาข้าวตกต่ำ นโยบายรัฐบาล หนี้สินชาวนามากกว่านะ" พี่เสือยังไม่หยุด คุณแม่ท่าทางเหมือนเป็นลม
น้องกระต่ายนั่งเล็มข้าวมองดูคุณแม่ดุพี่ชายเงียบๆ
คุณแม่นั่งเกาศีรษะแกรกๆ มือเอื้อมไปดูดโค้กไดเอ็ตที่อยู่ใกล้ตัว ใบหน้ายังพอกด้วยผงหอมศรีจันทร์ คาดผมหน้าด้วยแถบผ้านุ่มอยู่หน้าคอมพิวเตอร์กำลังลงสีให้เข้ากับนิทาน แต่แล้วด้วยสัญชาติญาณของแม่ทำให้ชะงัก
คุณจามจุรีวางกระป๋องโค้กลง รู้สึกตะหงิดๆ ชอบกล
ฝาแฝดไปไหน... ?
ปกติต้องมีเสียงโครมคราม ไม่ก็พี่เสือโอ๋น้องบ้าง
แต่นี่... เงียบชอบกล
คุณจามจุรีพยายามไม่ขมวดคิ้ว ลุกไปขึ้นห้องฝาแฝด
เอ... ก็ไม่มี
เธอชักร้อนใจแล้ว วิ่งไปทางห้องตนเองกับสามี
ว่างเปล่า...
คุณแม่ยังสาวซอยเท้าวิ่งโครมครามลงบันได พุ่งไปทางห้องน้ำด้านล่าง
ก็ยังไม่มีคน
เธอปิดประตูห้องน้ำ สาวเท้าไปยังครัว รีบแหวกมู่ลี่ออก ทันใดนั้น
"แม่! ต่ายน้อยเป็นไรไม่รู้!" พี่เสือร้องพอดี คุณจามจุรีกรี๊ดอย่างเหลืออด
เด็กสองคนนั่งหน้าตู้เย็นที่เปิดประตูกว้าง เบียร์กระป๋องของคุณพ่อตกเกลื่อน หมดไปแล้วสี่ห้ากระป๋อง พี่เสือหน้าแดงกว่าปกติอุ้มกระต่ายน้อยแนบอก
ต่ายน้อย....
เจ้าตัวเล็กของคุณแม่หายใจหอบถี่ ใบหน้ามีเหงื่อเกาะพราว คุณแม่รีบโผมาหาลูกชาย
"ต่าย!" คุณแม่พลิกดูลำคอ ผื่นขึ้นจนบวมแดง คุณแม่หน้ามืดแล้ว "เสือ! เอาอะไรให้น้องกิน!"
"น้องแอบกินเบียร์กระป๋อง!" พี่เสือรีบรายงาน "ทำไงดีแม่"
"อุ้มน้องไปหน้าบ้าน แม่จะเรียกแท๊กซี่" คุณจามจุรีลืมไปเลยว่าตอนนี้กำลังพอกหน้าเสียขาววอก เธอหยิบโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงินและโทรเรียกแท๊กซี่ พี่เสือรออยู่แล้ว คุณแม่รีบล็อคประตู ไม่นานนักแท๊กซี่ก็มาถึง พี่เสือไม่รอช้า เปิดประตูอุ้มน้องขึ้นรถ ส่วนคุณแม่ก็รีบดิ่งตามไป
"ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดค่ะ" คุณแม่บอก คนขับแท๊กซี่มองสามคนแม่ลูกงงๆ ก่อนจะโดนคุณแม่แหว "เร็วสิ!"
คนขับแท๊กซี่จึงได้ออกรถอย่างเงอะงะ
พอถึงโรงพยาบาล คุณแม่วิ่งไปหานางพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ ทันที "ลูกชายดิชั้นแพ้แอลกลอฮอล์น่ะค่ะ"
นางพยาบาลสาวสะดุ้งสุดตัวก่อนจะกุลีกุจอรับคำ ไม่นานนักบุรุษพยาบาลสองคนก็เข็นเตียงคนไข้ตามมา คุณแม่ถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก
พี่เสือค่อยๆ วางน้องลงบนเตียงคนไข้แล้วสามแม่ลูกก็วิ่งเข้าห้องฉุกเฉิน
ภายในโรงพยาบาลเหม็นกลิ่นยาฉุน ไม่ใช่แค่ต่ายน้อยหรอกที่เกลียด คุณแม่เองก็เกลียด คุณหมอสะดุ้งนิดๆ เมื่อเห็นคุณแม่ก่อนจะซักถาม "เป็นอะไรครับ ?"
พี่เสือรีบตอบแทน "น้องแอบกินเบียร์ไปฮะ"
"นี่คงเป็นผื่นแพ้ ปกติน้องแพ้ไหม ?"
พยาบาลสาวสะกิดคุณแม่กล้าๆ กลัวๆ "คุณแม่คะ เชิญกรอกประวัติคนไข้ทางนี้ค่ะ"
คุณแม่พยักหน้า ก่อนจะสั่งพี่เสือ "เสือ อยู่ดูน้องนะลูก"
พี่เสือพยักหน้า คุณแม่ถึงมั่นใจว่าไว้ใจได้
พอเดินมาถึงส่วนทะเบียน พยาบาลหลายคนพยายามหลบตาคุณแม่ แต่ด้วยความร้อนใจและเป็นห่วงลูกชาย คุณแม่เลยไม่สนใจ รีบกรอกประวัติแล้วพุ่งไปหากระต่าย
"อ้าว คุณหมอ ลูกดิชั้นเป็นอะไรคะ ?" คุณแม่รีบถาม
คุณหมอสะดุ้ง "เอ่อ คือ แพ้น่ะครับ เดี๋ยวรอยาออกฤทธิ์สักพักก็กลับบ้านได้"
คุณแม่ถอนหายใจยาว "ขอบคุณมากค่ะ"
พี่เสือนั่งรอคุณแม่อยู่ใกล้ๆ เตียงผู้ป่วย หน้าคมดุนั้นมีร่องรอยความห่วงใย คุณแม่เลยนั่งใกล้ๆ อย่างหมดแรง "โอ๊ย เหนื่อยจริง... เรื่องเป็นไงมาไงเนี่ยเสือ ?"
พี่เสือละสายตาจากร่างบางมาตอบคุณแม่ เสียงอ้อมแอ้มชอบกล "คือ... เสือกำลังกินเบียร์..."
คุณแม่อึ้ง "อะไรนะ ?"
พี่เสือกระแอมเบาๆ "คือ น้องเห็นตอนเสือกำลังกินเบียร์"
"เบียร์คุณพ่อ ?"
พี่เสือพยักหน้าอย่างจำยอม "คุณพ่อบอกให้เสือกินได้... ถ้าเมาค่อยหยุด แต่เสือกินเท่าไหร่ก็ไม่เมา แต่ห้ามบอกคุณแม่"
คุณจามจุรีกัดฟันกรอดๆ แอบคาดโทษสามีตัวดีไว้ในใจ "แล้วยังไงต่อ ?"
"น้องรบจะกิน เสือก็ห้าม น้องก็ดูเชื่อฟังดี ตอนบ่ายๆ พอคุณแม่ทำงาน เสืออ่านหนังสืออยู่หลังบ้าน ต่ายจะทำขนม เสือเลยไม่ได้ตามเข้าไปดู..." พี่เสือหายใจยาว "แต่ผ่านไปสักพักเสือนึกเอะใจ เลยตามเข้าไปดู... ก็เจอน้องแอบกินเบียร์แล้ว"
"แล้วเสือทำยังไง ?"
"เสือก็ห้าม ดึงกระป๋องเบียร์กลับ น้องทำท่าจะร้องไห้แล้วก็เป็นลมไป คุณแม่ก็เข้ามาพอดี"
คุณแม่ถึงกับหมดแรงเลยทีเดียว
ต่ายน้อยนะต่ายน้อย!
เธอค่อยๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กะจะโทรบอกสามี แต่หน้าจอกระพริบสองทีแล้วดับไป มาแบตหมดอะไรตอนนี้
คุณแม่เลยเรียกพยาบาลที่ผ่านมา "คุณคะ"
พยาบาลคนนั้นสะดุ้งแล้วถอยไปสองก้าว "เอ่อ คะ ?"
"แถวนี้มีตู้โทรศัพท์ไหมคะ ?"
"อะ... เอ่อ ตรงไปทางป้ายห้องน้ำค่ะ อยู่ทางขวามือ"
"ขอบคุณค่ะ"
พยาบาลรีบผงกหัวแล้วเดินหนีไป คุณแม่ถึงนึกสงสัยว่าทำไมวันนี้ทุกคนเห็นตัวเองแล้วผงะหนี "เสือ"
"ฮะ ?"
"ทำไมวันนี้ทุกคนดูแปลกๆ ?" คุณแม่ถาม พี่เสือเงยหน้าขึ้นตอบเสียงเนือย
"คุณแม่พอกหน้าทิ้งไว้"
"!!!"
ใบหน้าของคุณแม่ตอนนั้น พี่เสือบรรยายไม่ถูกระหว่างอับอายสุดชีวิตหรือโกรธเกรี้ยวเป็นพญามาร
พอกลับบ้าน ตกค่ำน้องกระต่ายก็อาการดีขึ้น น้องเล็กใช้พี่ชายอุ้มลงมาทานข้าวแล้วก็พบกับคุณพ่อนั่งหน้าเจื่อนอยู่ตรงโซฟา
"อ้อ มาพอดี" คุณแม่ทัก กวักมือเรียกสองพี่น้องให้นั่งติดกับคุณพ่อ
"รู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป ต่าย ?"
กระต่ายน้อยก้มหน้านิ่ง หลบตาคุณแม่
"ทำทำไม ?"
เจ้าตัวเล็กบิดมืออย่างหวาดกลัว คุณแม่ไม่เคยขึ้นเสียงแข็งขนาดนี้มาก่อน "หนู หนูอยากโต...."
คุณแม่จ้องหน้าเขม็ง บอกให้รู้ว่ายังฟังอยู่
"หนู... เลยกินเบียร์" กระต่ายตอบแผ่วเบา คุณแม่ตาเหลือก
"ทำไมถึงคิดว่ากินเบียร์แล้วโต ?"
"ก็คุณพ่อ ครูเบิ้มแล้วก็พี่เสือกินเบียร์กันนี่นา หนูเลยคิดว่ากินเบียร์แล้วจะตัวโต"
คุณแม่หันขวับมาทางคุณพ่อ "ว่าไงคุณ ?"
"เอ่อ หนูต่าย กินเบียร์ไม่ได้ทำให้โตนะลูก"
"แล้วทำไมคุณสอนลูกกินเบียร์ ?" คุณแม่ถามเสียงเขียว
"แหม.... ก็เสือโตไปก็ต้องเจออยู่ดี ให้ฝึกแต่เนิ่นๆ ไม่ดีกว่าเรอะ ?"
"ไม่ดี!" คุณแม่ตอบ ชี้นิ้วสั่งทีละคนๆ
"ต่อไป คุณห้ามกินเบียร์ให้ลูกเห็น เสือด้วย ห้ามกินเบียร์จนกว่าจะอายุสิบแปด ส่วนกระต่าย ห้ามเด็ดขาด!"
"จ้ะ" น้องรับคำหน้าเจื่อน
"ครับ" พี่เสือไม่มีทางเลือก
"จ้า" คุณพ่อรับคำหงอยๆ
คืนนั้นคุณแม่นอนไม่หลับ ไม่อยากจะคิดว่าลูกชายจะไปได้รับอิทธิพลอะไรมาอีก แล้วยังชอบมากวนเธอตอนทำงานเรื่อย หลังพลิกตัวไปมาจนเมื่อยแล้ว คุณจามจุรีเลยตัดสินใจย่องลงมาโทรศัพท์ทางไกลหาเพื่อนรัก
เวลาที่คองโกช้ากว่าไทยประมาณห้าชั่วโมง ตอนคุณแม่โทรไป ที่นั่นจึงยังเพิ่งจะค่ำแต่ป้าเมย์คนรับสายกลับมีเสียงงัวเงีย
"ชั้นยังไม่ได้นอนเลย" ป้าเมย์บอก ได้ยินกดอะไรครืดๆ ตามสายมา
"ทำไรยังไม่นอน ?"
"เด็กทั้งหมู่บ้านติดอหิวาห์" เสียงเนือยเฉื่อย "ของที่ส่งมาก็ช้ามาก นั่งเร่ง บอสก็เรียกประชุม ฆ่าชั้นเถอะจุ๋ม"
คุณจามจุรีได้ยินเสียงคนปลายสายซดอะไรสักอย่าง "นี่ ชั้นมีเรื่องปรึกษา"
"ว่ามา กาแฟแก้วนี้แด่เธออยู่แล้ว"
คุณแม่เล่าเรื่องลูกๆ ทั้งหมดให้ฟัง ป้าเมย์ตอบกลับง่ายดาย สมเป็นหัวกะทิของมหาวิทยาลัย "ง่ายจะตาย ลูกไม่กินข้าวก็ปล่อยมันอดไปดิ"
คุณแม่อดอุทานไม่ได้ "ได้ไง เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ"
"เหอะๆ ทางนี้ต้องห่วงว่าพรุ่งจะมีอะไรกินมากกว่าทำไงให้ลูกกิน เออ งั้นเอางี้ ชั้นจะส่งรูปทางนี้ไป ให้เด็กมันเห็นว่าอีกโลกนึง อายุเท่ามัน คนเค้าลำบากกันแค่ไหน"
"จะดีเหรอ หนูต่ายเพิ่งสิบสองเองนะ"
"นั่นแหละดี ปลูกฝังให้รักเพื่อนมนุษย์ตั้งแต่เด็กๆ โตไปจะได้เป็นเด็กที่มีมนุษยธรรม"
คุณแม่ลังเลสักครู่ "ชั้นทำอาหารที่ลูกชอบให้ไม่ดีกว่าเหรอ ?"
"มันแก้ที่ต้นเหตุไหมล่ะ ?" ป้าเมย์ย้อนถามเสียงเรียบ ทำเอาคุณแม่ถอนหายใจ
"ถ้ามันโตไป มันจะติดนิสัยว่าทุกคนต้องตามใจมันน่ะสิ ส่วนเสือวุ่นวายกับเธอ ง่ายอีกแหละ ให้ไปทำงานอะไรซักอย่างก็จบ"
"ที่ทำงานของฉัตรตอนนี้ยุ่งมาก เอาเสือไปด้วยไม่ได้"
"เธอเคยเล่าให้ชั้นฟังว่าแถวบ้านมีร้านแปะ ?"
"อ๋อ เถ้าแก่เส็งน่ะเหรอ ?"
"เออ นั่นแหละ ทำตามนี้นะ....."
เย็นวันถัดมา หลังมื้ออาหาร คุณแม่เรียกเด็กสองคนไว้ "เดี๋ยว เสือ ต่าย"
"ฮะ ?"
"หลังล้างจาน ไปหาแม่ที่ห้องนั่งเล่นนะลูก" เสียงคุณแม่เข้มงวดจนสองพี่น้องต้องมองหน้ากันอย่างฉงน
คุณพ่อที่กำลังเก็บเศษอาหารบนโต๊ะก็อดสงสัยไม่ได้ "มีอะไรรึเปล่า ?"
เด็กทั้งสองคนส่ายศีรษะ จำได้ว่าวันนี้ยังไม่ได้เล่นซนอะไรสักนิด
คุณแม่นั่งรออยู่หน้าคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว เรียกเด็กทั้งสองให้มาดูภาพในคอมพิวเตอร์
ภาพแผ่นดินแห้งแล้ง...
เด็กผู้ชายผิวดำยับย่นจนเหมือนเศษผ้าเก่าๆ ไม่สวมเสื้อผ้า ศีรษะล้านเตียน ดวงตาโปดโปน ผอมกะหร่องจนเห็นซี่โครงชัดทุกซี่ ดวงตาสีเหลืองเถลือกแทบหลุดจากเบ้า นั่งยองๆ คุ้ยเขี่ยเศษอาหารที่มีแมลงวันตอม... ช่างแลดูคล้ายผีดิบ โครงกระดูก ตามตัวเต็มไปด้วยแมลงวัน
น้องกระต่ายเอามือปิดปาก พี่เสือร้องอุทานเบาๆ
เด็กทั้งสองคนแม้จะไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวยแต่ก็นับว่าสะดวกสบาย ไม่ต้องดิ้นรนอะไร ย่อมไม่เคยเห็นภาพทารุณจิตใจเช่นนี้แน่นอน
"เด็กคนนี้มีชีวิตจริงๆ ไม่ใช่ภาพวาด อยู่ที่แอฟริกา ป้าเมย์ส่งรูปนี้มาให้แม่"
"นี่คนจริงๆ หรือฮะ ?" พี่เสือเคยได้ยินเรื่องความอดอยากในแอฟริกามาบ้าง แต่ไม่เคยเห็นภาพจริงเช่นนี้
"คนจริงๆ ตอนที่ลูกสองคนกำลังหัวเราะ เล่น ดูทีวี เด็กๆ พวกนี้กำลังหิวโหย... ป้าเมย์กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยพวกเค้า"
"ต่อไปนี้หนูจะกินข้าวให้หมด" หนูกระต่ายสูดจมูก กอดแขนพี่เสือแน่น
นับว่าบรรลุเป้าหมายของคุณแม่ "ดีแล้วลูก สงสารเค้าที่ไม่มีกิน"
พี่เสือถึงกับนิ่งงันไปเลยทีเดียว "แล้วเค้าเป็นแบบนี้ทั้งประเทศ ?"
"คนดีๆ ก็มีลูก คนรวยๆ แต่ส่วนใหญ่จะอดอยาก ติดโรคเช่น เอดส์ มาเลเรีย ไข้เหลือง อีโบลา" คุณแม่เล่าจากความทรงจำที่เพื่อนเคยเล่าให้ฟัง "ลูกรู้ว่าเอดส์เป็นยังไงใช่ไหม ? พวกเค้าถ่ายโรคให้ลูกๆ ลูกๆ ก็ถ่ายเชื้อให้หลานๆ ไปเรื่อยๆ ส่วนอีโบลาร้ายกว่านั้นเยอะ" คุณแม่หยุดหายใจ "คนเป็นอีโบลาต้องตายทุกคน ไม่มีใครรักษาได้ ตายกันพันกว่าคน แม่จำได้.... สมัยแม่ หมู่บ้านนึงเป็นอีโบลา วิธีที่ช่วยเหลือคนพวกนั้นได้รู้อะไรรู้ไหม ?" คุณแม่รวบเด็กสองคนมากอดแน่น นึกดีใจที่เธออยู่บนแผ่นดินอันปลอดภัย และชื่นชมเมย์ เพื่อนรัก ที่เสี่ยงอันตรายทั้งจากผู้ก่อการร้ายและโรคระบาด
"เค้ารักษาหายเหรอ ?" กระต่ายน้อยถาม เสียงสั่นเทา
"เปล่าจ้ะ" คุณแม่จูบหน้าผากนวล "เค้าระเบิด... ฆ่าทิ้งทุกคนเลย... เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย"
"เพราะมันรักษาไม่หายเหรอครับ ?" พี่เสือถาม
"ใช่จ้ะ เพื่อรักษาหมู่บ้านใกล้เคียงไม่ให้ติดเชื้อไปด้วย" คุณแม่ยิ้มเศร้าๆ "แม่กับพ่อบริจาคเงินทุกเดือนให้ยูนิเซฟจ้ะ เค้าเป็นหน่วยงานนึงที่จะไปช่วยเด็กๆ"
"เสือจะเอาเงินเสือช่วยได้ไหม ?" พี่เสือถามจริงจัง คุณแม่ถึงกับยิ้มกว้าง
เหนือความคาดหมาย จริงๆ แล้วคุณแม่แค่ต้องการให้กระต่ายกินข้าวให้หมดจานเท่านั้นเอง ส่วนพี่เสือนับว่าเป็นผลพลอยได้
"ได้จ้ะ ประมาณ 500 บาทต่อเดือน ของเสือเอาแค่นี้พอนะ ส่วนของคุณพ่อคุณแม่บริจาคทั้งของยูนิเซฟ มูลนิธิช้างกับพวกสุนัขจรจัดด้วยจ้ะ"
"ตกวันละ 16 บาทกว่าๆ เองนี่ฮะ" พี่เสือคำนวน
"หนูได้เงินกินหนมเยอะกว่านั้นอีก" น้องกระต่ายพูดเบาๆ "งั้นหนูเอาด้วยนะพี่จ๋า"
พี่เสือพยักหน้ารับ
"แต่ต้องบริจาคระยะยาวนะลูก ประมาณ 6 เดือน"
"ครับ" พี่เสือตอบรับมั่น "ผมกับกระต่ายแค่คนละ 8 บาท"
"ดีมากจ้ะ" คุณแม่ยิ้มแป้น "พวกลูกได้ช่วยเด็กๆ ไว้แล้วนะ"
พี่เสือกับน้องพยักหน้า คุณแม่เลยพูดต่อ "เรื่องต่อไป คือตอนนี้ที่ทำงานคุณพ่อยุ่งมาก เสือเลยไปทำงานพิเศษไม่ได้ เสือยังอยากทำงานไหม ?"
"คุณพ่อก็บอกเสือแบบนั้น" พี่เสือขมวดคิ้ว "เสือทำงานที่อื่นได้เหรอฮะ ?"
"ได้จ้ะ ลูกจำร้านเถ้าแก่เส็งได้ใช่ไหม ?" คุณแม่ถามยิ้มๆ
เถ้าแก่เส็งเป็นชายแก่ชาวจีนอารมณ์ดีขายของชำในซอย แกอยู่กับภรรยาและลูกชายที่เป็นเจ้าของอู่รถยนต์ ในตอนกลางวันลูกชายไปทำงาน แกว่างๆ เลยเปิดร้านขายของชำ ส่วนภรรยาเปิดแผงขาดอาหารหน้าร้าน คุณแม่เป็นลูกค้าประจำ
"ครับ"
"แกบอกว่าแกอยากได้คนงานช่วยยกของ จัดของอะไรแบบนี้ ลูกสนใจไหม ?" คุณแม่ทำตามที่เพื่อนแนะนำ ไปสอบถามเถ้าแก่เส็งเรียบร้อย ผู้เฒ่าใจดียินดีจะจ้างพี่เสือในราคาชั่วโมงละ 25 บาท นับว่าไม่เลวทีเดียว
"เอาครับ"
"ดีๆ ส่วนกระต่าย สนใจทำงานพิเศษไหม ?" คุณแม่พลอยได้งานพิเศษลูกชายคนเล็กด้วยตอนไปติดต่อเถ้าแก่
น้องกระต่ายมีสีหน้ายินดี "สนใจจ้ะ ทำยังไงเหรอ ?"
"เป็นลูกมือช่วยซ้อเง็กทำอาหาร แกจะสอนลูกทำอาหารด้วย ได้ชั่วโมงละ 20 บาท น้อยกว่าพี่เสือ จะทำไหม ?"
น้องเล็กหยุดคิด ซ้อเง็กเป็นภรรยาเถ้าแก่เส็ง แกขายอาหารเล็กๆ น้อยๆ หน้าร้าน ปกติแผงอาหารของแกจะมีแค่ 5 - 6 อย่าง ทำจากของดี สะอาด ราคาไม่แพงและทำไม่เยอะ เพราะแกถือว่าทำเล่นๆ แก้เหงา
ได้ทำอาหารด้วย ได้เงินด้วย ได้อยู่กับพี่เสือด้วย.... ขนาดกระต่ายน้อยหัวช้ายังรีบตอบ
"ทำจ้ะทำ"
คุณแม่หัวเราะ เพราะเดาคำตอบไม่ผิด "ดีมากจ้ะ เถ้าแก่กับซ้อบอกเริ่มงานพรุ่งนี้ตอนหกโมง โอเคนะ ?"
"ครับ" สองพี่น้องรับคำพร้อมเพรียง
คุณแม่ไม่ได้เล่าให้ฟังว่า ตอนไปติดต่อเถ้าแก่เส็ง แกมีสีหน้ายินดีปนประหลาดใจขนาดไหน
"อาจุ๋มอ่า ลื้อจะให้ลูกชายมาทำงานจิงๆ นะ ?"
คุณแม่ยืนยันคำเดิม "จ้ะ เถ้าแก่ ถ้าเถ้าแก่กรุณารับไว้นะ"
"ลีๆ ลับซิ่ อาเสืออีชอบมาช่วยอั๊วยกลังมาม่ากะโค้กบ่อยๆ แลงอีเยอะจิงๆ"
"อาเสือจะทำงานเหลอ ?" ซ้อเง็กยื่นหน้ามาถาม เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนพลาง "พี่ชายอาหมวยต่าย ?"
คนในซอยมักเรียกกระต่ายว่าเด็กหมวยประจำ จนคุณแม่คร้านจะแก้ "จ้ะ"
"วังก่อนเห็นอาต่ายมาถามสูตรทำอาหารอั๊วะ"
"ตายจริง ขอโทษค่ะ ไว้จุ๋มจะอบรมลูกเอง" คุณแม่เข้าใจดีว่าสูตรอาหารไม่ใช่อะไรจะให้กันง่ายๆ นอกเสียจากคนในครอบครัว
"ฮ่อๆ" ซ้อเง็กส่ายหัว "มาเถอะๆ มาเลียนทำอาหานกับอั๊วะนี่ ต้นตำหลับเชียวนา"
"จะดีเหรอจ้ะ ?"
"ลีซี่ อั๊วม่ายมีลูกสาว อาเอกอีก็ม่ายแต่งงางซักที อั๊วกัวสูตรจาซี้ไปกับอั๊ว"
"งั้นให้หนูต่ายมาทำงานกับซ้อแทนค่าสอนดีไหม ? จุ๋มอยากให้ลูกทำงานจ้ะ"
"ไฮ้... ทำงง ทำงานอาไล อั๊วจาสอนฟีๆ"
"เถอะนะจ้ะ อย่าหาว่าจุ๋มดูถูกซ้อนะ ไม่อย่างนั้นจุ๋มต้องจ่ายเงินซ้อ"
อาซ้อทำท่าคิดชั่วครู่ก่อนปรบมือผาง "ลีๆ งั้นเอางี้ ลื้ออยากให้ลูกทำงาน อั๊วอยากสอน งั้นอั๊วจาจ้างอาหมวยมาทำงานเปงลูกมือ ให้ชั่วโมงละเท่าไหร่ดี ?"
"เอ่อ... ถ้าซ้อว่าอย่างนั้น..." คุณจุ๋มยอมแพ้
"ตาแก่ เค้าจ้างกังชั่วโมงละเท่าหร่าย ?" ซ้อหันไปถามเถ้าแก่
"60 บาท ?" เถ้าแก่กะเอาเองจนคุณแม่สะดุ้ง
"เยอะไป๊...." คุณแม่รีบเบรก "ของต่ายก็ไม่ต้องมากก็ได้"
"25 ละกาน อาหมวยก็ 20 ?"
"ไฮ้... ถูกไป" ซ้อเง็กไม่ยอม "อาหมวยอั๊วก้อรักเหมือนลูกเหมือนหลานนา"
"ดีแล้วจ้ะ อย่าให้แกได้เยอะเลยนะจ๊ะ จุ๋มขอร้อง เดี๋ยวแกจะเคยตัว"
สองผู้เฒ่าถึงยอมรับปากแกนๆ
....
คำตาม
ยาวอ่ะ ยาวแล้วน้า

ในที่สุดสองพี่น้องก็เข้าฤดูร้อนแล้วค่า

หาข้อมูลประกอบไปด้วย ฮาคุณแม่ไปด้วย จริงๆ นะ ประสบการณ์จริง เอาเอาโคลนมาร์กหน้าอยู่ เพื่อนมันโทรมาเรียกเอาของ เราก็รอไง ทีนี้มันช้า เราก็เล่นเน็ต เฮฮาปาจิงโกะไป พอมันมาถึงเราก็เอาของลงไปให้ ลืมไปเลยว่ายังพอกหน้าอยู่! ฮามากค่ะตอนนั้น
ตอนนี้เอาเรื่องจริงผ่านสองพี่น้องได้ค่อยยังชั่ว อยากให้มนุษย์โลกตระหนักเรื่องเภทภัยของพี่น้องเรามากกว่านี้ค่ะ ไม่ใช่แค่มาร้องเพลง We are the world. แล้วก็จบ ช่วยกันได้ก็ช่วยกันนะคะ คนละนิดคนละหน่อย อ่านแล้วคิดถึงข่าววันนี้นะคะ เจ๊แองเจเลนา โจลี เพิ่งผ่าตัดเต้านมมา เพื่อลดความเสื่องโรคมะเร็ง เธอบอกว่าอยากมีชีวิตอยู่นานๆ เพื่อลูกๆ แล้วตัวเธอเองก็ทำหน้าที่เป็นทูต UNHCR ด้วยค่ะ ถึงตัวเราจะไม่ค่อยปลื้มเธอในตอนแรกๆ (กรี๊ด เธอบังอาญแย่งแบรตต์ พิตต์!) แต่บางทีคิดๆ ดู ใจแกร่งๆ ของเธออาจทำให้ผู้ชายที่คนทั้งโลกหลงรักปลื้มเธอก็ได้ค่ะ
รักคนอ่านทุกคนนะคะ

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคต่างๆ ในคองโก
http://www.netglobers.com/africa/congo-main-health-risks-for-congo.htmlhttp://en.wikipedia.org/wiki/Health_problems_limiting_development_in_Democratic_Republic_of_Congoข้อมูลเชื้ออีโบลา
http://www.boe.moph.go.th/fact/Ebola.htmข้อมูลบริจาคยูนิเซฟ
http://www.unicef.org/thailand/tha/support_12029.htmlภาพ
http://bearsharkaxe.com/wp-content/uploads/2012/05/starving-child.jpg