- Special Warm Body: X'mas Ver. -
ร่างเล็ก แบบบาง ผิวขาวราวกับศพ ดวงตาสีเทาขุ่นมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย... ร่างนั้นยังเป็นเพียงเด็กน้อย แต่ทว่าท่าทางการเดินกลับงองุ้ม ราวกับซากศพ...
เด็กน้อยไม่รู้ทิศทาง ไม่รู้ชื่อแซ่ รู้เพียงตนเองเดินไปเดินมาเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็จำไม่ได้ว่านานเพียงใดแล้ว เขาเดินผ่านเหล่าซากศพเดินได้ทั้งหลาย บ้างก็ยึดติดกับกิจวัตรเดิมเช่นเขา เดินไปมา ล่องลอย บางพวกก็กำลังกัดกินสมองมนุษย์ที่บุกเข้ามารวบรวมของใช้
เขาไม่ชอบเนื้อมนุษย์ รู้เพียงแต่ว่า ต่อให้ไม่กินอะไร เขาก็ไม่ตาย... ไม่มีทางตาย... เพราะเขาตายไปแล้ว
พื้นสนามบินฝุ่นเกาะเขรอะ ซากศพจำนวนมากเดินผ่านเขาไป บางคนเขาก็จำหน้าได้ แต่ไร้คำทักทาย มีเพียงดวงตาสีเทาที่จ้องกลับมาเท่านั้น
เขาพูดไม่ได้ มีเพียงเสียงคำรามต่ำในลำคอ
เด็กน้อยคิดว่าตัวเองต่างจากคนอื่นๆ ที่บางคนรอกัดกินชิ้นเนื้อจากพวกโบนนี... พวกอสูรกายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพวกเขามาก่อน ตัวของมันสูงเพียงเอวของมนุษย์ผู้ใหญ่ แต่ดวงตามันโปดโปนเกือบครึ่งศีรษะ ร่างกายผอมผ่าย แห้งเกร็งเหลือเพียงกระดูกเป็นซี่ๆ เนื้อหนังคล้ายยางสีดำส่งกลิ่นเหม็น พวกโบนนีดุร้ายที่สุด... มันอยู่ร่วมกับพวกเขาได้เพราะมันกินเพียงสิ่งมีชีวิต ซึ่งก็คือมนุษย์ที่หลงเข้ามาหรือมารวบรวมยา เสบียง ของใช้นั่นแหละ แต่บางครั้งมันก็กินสัตว์ตัวเล็กๆ ด้วย เช่นเดียวกับพวกเขา แต่เด็กน้อยกลับไม่กินอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่หิว ไม่เจ็บปวด ไม่มีความรู้สึกใดๆ เขาจึงปฏิเสธที่จะกินเนื้อนั้น บางครั้งบางคราว ความรู้สึกเบื้องต่ำก็กระตุ้นความกระหายบ้าง.... แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าคนอื่นคงเป็นเช่นกัน แต่บางพวกที่มีความกระหายมากเกิน จึงกัดกินเนื้อมนุษย์ และเมื่อมากเข้า ก็กลายเป็นโบนนี
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาคิดว่าตัวเองแตกต่างคือ พวกซากศพนั้นอยู่ไม่มีที่อยู่อาศัย เพราะไม่เหนื่อย ไม่หิว จึงไม่ต้องการที่พัก พวกมันเพียงเดินย้อนไปย้อนมา ไร้จุดจบอยู่เช่นนั้น แต่เด็กน้อยมีที่อยู่ เขาจัด 'บ้าน' ของตัวเองจากเศษซากเครื่องบินลำโต มีที่นอนไพรเวท ข้าวของหรูหราถูกนำมาตั้งวาง
วันนี้ก็เช่นเคย เด็กชายลุกจากเตียงที่เขาไม่ได้นอนเลยแล้วเดินไปตามงวงช้าง ผ่านซากศพและโบนนีมากมาย บางพวกเริ่มกระหาย จึงเริ่มรวมกลุ่มกันและออกล่าหาเหยื่อ
ร่างเล็กถูกกระแทก ไม่เจ็บไม่ปวด แต่ก็กระเด็นกระดอน วันนี้กลุ่มล่าเหยื่อใหญ่กว่าทุกวัน พวกมันเคลื่อนตัวขวางทางเดินประจำของเขา เด็กน้อยไม่มีทางผ่านซากศพผู้ใหญ่ได้ จึงได้แต่เดินตาม คิดเพียงแต่ว่า ก็คงดีไม่น้อยที่วันนี้จะเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางบ้าง
แสงแดดร้อนแรง เจิดจ้า แผดเผาอาคารบ้านเรือนที่ทรุดโทรม หนูสีดำวิ่งเร็วรี่ตามข้างทาง พวกเขาบางคนกระโจนตะครุบกัดกิน กลุ่มใหญ่เคลื่อนตัวอืดอาด เชื่องช้า เพียงแค่เดินไปเรื่อยๆ หากพบเหยื่อจึงกิน หากไม่พบก็กลับไปที่เดิม พวกซากศพไม่ได้ว่องไวเช่นโบนนี จึงไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จในการล่าเหยื่อนัก
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด แดดแรงจึงถอยหลับเข้าหลังเมฆบ้าง พวกเขาบางตนขยับจมูก ก่อนจะหันหน้าเข้าอาคารร้างแห่งหนึ่ง เด็กน้อยเดินตาม ไม่รู้หรอกว่านั่นคือกลิ่นเนื้อมนุษย์ พวกซากศพเดินเชื่องช้า ตามกลิ่นเนื้อสดใหม่เข้าไปเรื่อยๆ อาคารนั้นเคยเป็นสถานที่สำคัญมาก่อน ทางเดินจึงกว้างขวาง บางตนเริ่มวิ่งเข้าไปห้องหนึ่ง และเปิดประตูพลั๊วะ ไม่นานนัก เสียงปืนก็ดังสนั่น เด็กน้อยเดินตามพวกอย่างไม่รู้เรื่องราวนัก เพียงแค่เหยียบธรณีเท่านั้น เขาก็เห็นลูกกระสุนลอยเต็มห้อง ซากศพต่างกระโจนเข้าขย้ำมนุษย์ บางคนก็กลายเป็นเศษซากเละๆ มีซากศพหลายตัวรุมทึ้ง กลางห้อง มีเพียงมนุษย์คนเดียวที่ถือปืนกระบอกโต เนื้อตัวพาดด้วยลูกซอง ร่างสูงใหญ่ปักหลักเข่นฆ่าพวกซากศพทิ้งเหมือนใบไม้ร่วง
พระอาทิตย์ราวกับจะรับรู้ ค่อยลอยออกจากเมฆ ส่องแสงสาดทั่วบริเวณห้องมืดทึม ภายในเสี้ยววินาทีนั้น มนุษย์กลางห้องเบิกตากว้าง มองมาที่ซากศพตัวน้อยก่อนตะโกนลั่น
"กระต่ายน้อย!" เสียงนั้นนำพาบางอย่างเข้ามา ปืนกระบอกโตที่ประทับบ่าเล็งยิงศีรษะพวกซากศพลดลง เด็กน้อยเบิกตากว้าง หัวใจที่หยุดทำงานไปแล้วกลับอุ่นวาบ เป็นวินาทีเดียวที่เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง ร่างเล็กเดินเร็วๆ เข้าหามนุษย์ กระชากข้อมือใหญ่ให้หลบหลังเคาเตอร์ เด็กน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขารู้ว่า ใกล้ๆ กันนี้ มีพวกซากศพออกมาล่าเหยื่อ พวกมันได้ยินเสียงปืนแน่นอน อีกไม่นานก็จะแห่กันมา... มนุษย์เพียงคนเดียว ต่อให้มีอาวุธอีกมากมายก็ต้านทานไม่อยู่
...แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อเห็นมนุษย์คนอื่นถูกกัดกินกลับเพียงแต่เดินผ่าน แต่เป็นมนุษย์คนนี้กลับไม่ต้องการเห็นจุดจบเช่นนั้น
ร่างสูงใหญ่ถูกร่างเล็กกระแทกติดใต้เคาเตอร์ เสียงต่ำๆ ในลำคอครางว่า "เงียบ..."
ซากศพไม่พูด.... ไม่เคยพูด พูดไม่ได้.... ร่างใหญ่ฉงน แต่ก็พยักหน้า ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นเหนือศีรษะ เหล่าซากศพจำนวนมากเดินตามกลิ่นและเสียงเข้ามา มันตรงเข้ากัดกินซากมนุษย์ที่เหลือ บางพวกที่ได้กลิ่นมนุษย์ตัวสูงใหญ่จึงออกเดินตามหา เด็กน้อยหันกลับมาหามนุษย์ตรงหน้า แม้จะไม่เข้าใจนัก... เขาก็ถอดเสื้อคลุมตัวเองคลุมร่างสูงไว้ หากมีกลิ่นเขา ที่เป็นซากศพปกคลุม ซากศพอื่นๆ อาจจะไม่ได้กลิ่นมนุษย์
ร่างน้อยจูงมือเขาลุกขึ้น พาเดินออกไปอย่างง่ายดาย
เดินกันมาจวนค่ำ ยังไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างทั้งคู่ เด็กชายพามนุษย์ไปยัง 'บ้าน' โดยไม่รู้เหตุผล... รู้เพียงแค่ชอบความรู้สึกอบอุ่นที่หน้าอกทุกครั้งที่อยู่ใกล้
ชายหนุ่มเดินตามซากศพตัวน้อยขึ้นเครื่องบิน ร่างตรงหน้าหันหน้ามาช้าๆ บอกเสียงแผ่วว่า "บ้าน... ปลอดภัย"
ภายในเครื่องบินถูกตกแต่งไว้เหมือนบ้านอยู่อาศัย เพียงแต่มีเศษฝุ่นเกรอะกรัง ชายหนุ่มถอนหายใจ นั่งลงที่นั่งหนึ่ง โดยดึงร่างเล็กมาด้วย
ซากศพที่หน้าตาจิ้มลิ้มนี้ไม่ทำร้ายเขา... เขาแน่ใจ ชายหนุ่มปลดปืนออกจากไหล่ ก่อนส่งยิ้ม
ร่างเล็กพยายามยิ้มตอบ แต่ได้เพียงแค่มุมปาก
"คิดถึงที่สุด" ชายตรงหน้าบอก กอบกุมมือน้อยขึ้นจุมพิต เพียงริมฝีปากแตะมือเล็ก กระไอร้อนก็แผ่นซ่านจากจุดจุมพิต มายังหน้าอก
ร่างสูงใหญ่นั้นยังเห็นเจ้าตัวน้อยเงียบงัน เขาจึงถือวิสาสะอุ้มซากศพผอมบางนั่งตัก มือเกลี่ยผมออกจากใบหน้า "จำพี่ได้ไหม ? ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่จะเจอต่ายน้อยจนได้" เสียงเขาสั่นระริก ดวงตาคู่คมนั้นมีหยาดน้ำคลอ ร่างเล็กยกมือขึ้นอย่างเงอะงะ สัมผัสความเปียกชื้นบนใบหน้าคมคร้าม
"ต่ายน้อย... ต่ายน้อย... รู้ไหมว่าตั้งแต่เราจากกันตอนนั้น พี่ก็ออกตามหาต่ายน้อยทุกวัน..."
หยดน้ำนั้นอุ่นและเปียก มือเล็กจ้องมองอย่างอัศจรรย์ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองมนุษย์ที่พร่ำพูดไม่หยุด และยังกอดเขาแน่น...
...มนุษย์ควรจะยิงเขาที่หัวไม่ใช่หรือ ?
เสียงจากลำคอเค้นอย่างยากลำบาก "ชื่อ..."
ชายหนุ่มชะงัก หัวเราะเบาๆ แต่กลับฟังดูเศร้าสร้อย "พี่ชื่อเสือ... ส่วนคุณ...คือต่ายน้อย กระต่ายตัวน้อย เคยเป็นน้อ.... ไม่สิ เป็นเมียพี่มาก่อน"
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าเขาจะมีสามี! แล้วไหนจะยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้า ในขณะที่เขาเป็นซากศพ!
"เรียกชื่อพี่หน่อยคนดี" มนุษย์ก้มตัวลงจุมพิตที่หน้าผาก เจ้าตัวน้อยไม่เพียงแต่รู้สึกอุ่นวาบแล้ว แต่ร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า
"...." ยังไม่มีคำตอบใดจากซากศพ มนุษย์จึงล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบภาพหนึ่งออกมา
ร่างน้อยเบิกตามอง... นั่นตัวเขาเอง... สวมเสว๊ตเตอร์สีเข้มตัวหลวม ไม่สวมกางเกงนั่งอยู่บนตักผู้ชายคนนี้... ในรูปนั้น เขาทั้งสองยิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อเงยหน้าขึ้นจากรูป ก็พบคนเดียวกัน ที่ยังสูงใหญ่ มั่นคง มีเพียงรอยยับย่นของกาลเวลาบนใบหน้าและดวงตาแสนเศร้าเท่านั้นที่เปลี่ยน
"พี่ได้งานที่แอลเอ" ชายหนุ่มเล่าต่อไป ลูบศีรษะน้อยไปด้วย หากน้ำตายังไม่หยุดไหล "พี่พาต่ายน้อยไปด้วย... ต่ายน้อยเรียนศิลปะ พี่พยายามส่งเสียมาตลอด... เราเช่าคอนโดอยู่กันสองคน... แล้วเมื่อตอนจะกลับไทย..." เสียงนั้นแผ่วเบาลง สั่นระริก "ช่วงปีใหม่... ผู้โดยสารคนหนึ่งกลายเป็นซอมบี้ มันกระจายเชื้อเร็วมาก... พี่พยายามพาต่ายน้อยหนี แต่คนของรัฐเข้ามาจัดการ มันผลักต่ายน้อยออก.... ให้ติดเชื้อ แล้วกันพวกที่เหลือออกไป.... พี่ทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่มองต่ายน้อยถูก...." เสียงขาดห้วงไป น้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าหยดลงบนหลังมือเล็ก
"หลังจากนั้น... พี่ก็ถูกกักกัน รัฐบาลเร่งสร้างกำแพงใหญ่คั่น หวังแต่ว่าจะล้างซอมบี้ให้หมดไป พี่เลยเข้ากองทัพ.... พยายามตามหาต่ายน้อยมาตลอด"
เด็กน้อยไม่มีความทรงจำใดๆ มันอาจเจ็บปวดจนเขาไม่อยากจำก็ได้ เขาจึงยื่นแขนออกไปโอบกอดร่างยักษ์ "นาน.... เท่า...."
"สิบเอ็ดปี..." อ้อมกอดแน่นขึ้นอีก "พี่ตามหาต่ายน้อยมาตลอดสิบเอ็ดปี... เราสองคนใช้ชีวิตผัวเมียได้ปีเดียวเท่านั้น... ต่ายน้อยก็จากพี่ไป"
ซากศพตัวน้อยนึกภาพไม่ออกว่าสิบเอ็ดปีมันยาวนานเพียงใด... แต่ดวงตาของคนตรงหน้าบ่งบอกทุกสิ่ง... ถึงความทรมาน โหยหา เจ็บปวดเพียงไหน
เพียงแค่สบตา ภายในอกผอมผ่ายก็กระตุกวูบ ทั้งๆ ที่หัวใจหยุดทำงานไปตั้งนานแล้ว...
มนุษย์โน้มใบหน้ามาคลอเคลีย ลมหายใจที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตรินรด เขาจับมือเล็กให้แนบหน้าอก ฟังเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะ "ดีเหลือเกิน... ฟ้าส่งกระต่ายกลับมาให้พี่แล้ว..."
ลมหายใจของเขามีกลิ่นบุหรี่เข้มข้น... อกด้านซ้ายเต้นตุบๆ
เจ้าตัวน้อยผู้ไม่ได้รับอภิสิทธิ์เหล่านั้นจึงทันคิดว่า คนตรงหน้า เป็นมนุษย์... เป็นอาหารของซากศพ... เป็นศัตรูคู่อาฆาต...
ร่างเล็กๆ พยายามดันคนตรงหน้าออก "กลับ...ไป...."
"ไม่!" คำตอบก้าวร้าว มนุษย์ตัวยักษ์คว้าเอวบางมาแนบกาย ซุกใบหน้ากับซอกคอขาว "พี่เพิ่งเจอต่ายน้อย พี่จะไม่มีวันทิ้งต่ายน้อยเด็ดขาด!"
"อัน...ตราย..." คำตอบแสนแผ่วเบาทำให้มนุษย์น้ำตาคลอ ริมฝีปากดำคล้ำมีรอยยิ้ม
"ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไร... พี่ยอมเป็นซอมบี้... ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ ต่ายน้อย"
ซากศพได้แต่จ้องมนุษย์ที่ไม่กลัวตาย ไม่กลัวถูกกินสมอง กลับต้องการกลายเป็นเหมือนเขา... แต่เพียงแค่คิดว่า คนตรงหน้าต้องกลายเป็นซากศพ... หรืออาจถูกเปลี่ยนเป็นโบนนี ก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา ริมฝีปากอิ่มที่แห้งผากจึงเอ่ย "สอง...สาม...วัน..."
สีหน้ามนุษย์ดูดื้อรั้น ร่างเล็กพยายามพูดต่อไป "ต้อง... กลับ..."
เห็นคนรักที่ไม่ยินยอม เสือจึงยอมอ่อนข้อลง ยอมรับปากแต่โดยดี "สามวันนะครับ แล้วพี่จะกลับไป..."
ภายในสามวันนั้นเสือควรทำอะไร? เขากระตือรือร้นที่จะอยู่ใกล้ซากศพน้อยตลอดเวลา แม้ในยามหิว เขาก็ปีนลงเครื่องบิน มีปืนอาก้าสะพายไหล่ไปรื้อค้นน้ำดื่มและอาหารกระป๋องที่ใต้ท้องเครื่องมากิน ในวันแรก เขาแทบไม่ยอมปล่อยให้ร่างเล็กลุกจากตัก ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหากับซากศพนัก เพราะร่างกายที่เย็นชืดพอเมื่อได้ชิดใกล้กับมนุษย์ กลับรู้สึกอบอุ่นในใจ ราวกับว่าภายในอกมีหัวใจเต้นอยู่
...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ว่าชอบความรู้สึกนั้น... ในความไม่เข้าใจ มีความคุ้นเคยที่แสนสบายอยู่
อ้อมกอดนี้... วงแขนนี้... เมื่อวางเขาไว้บนตัก ทุกอย่างก็เข้าที่ เมื่อริมฝีปากร้อนๆ ประทับบนหน้าผาก ลำคอ แก้มเขากลับรู้สึกว่าทุกอย่างช่างถูกต้อง ถูกที่ถูกทาง ราวกับเด็กน้อยพบที่ที่เป็นของตัวเองแล้ว
ส่วนใหญ่เสือจะเป็นคนพูด แปลกดีทั้งๆ ที่เขาดูเหมือนไม่ใช่คนช่างพูด แต่เพราะซากศพนั้นไม่มีความทรงจำ ถึงจะเริ่มมีความรู้สึกบ้าง แต่ก็ไม่รู้จัก ยากที่จะถ่ายทอด เด็กน้อยจึงนั่งเงียบตลอด
เสือบอกว่า เขาชื่อ 'กระต่าย' และให้เขาแทนตัวเองว่า 'หนู'
เขาและเสือเป็นคนรักกัน ทั้งคู่เคยใช้ชีวิตร่วมกันที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในแอลเอ พวกเขาชอบไปดูหนังตอนวันศุกร์ ไปเดินเล่นด้วยกันตอนวันเสาร์และซักเสื้อผ้า ทำความสะอาดห้องในวันอาทิตย์
กระต่ายได้แต่รับฟัง ทุกสิ่งที่เสือถ่ายทอดมา เขารู้สึกคุ้นชิน เหมือนกับว่าบางสิ่งบางอย่างที่หล่นหายเริ่มค่อยๆ กลับเข้าที่
เสือเล่าเรื่องจนถึงเย็น พอดาวเริ่มปรากฏ เสือจึงอุ้มกระต่ายไปนอนแนบอกข้างหน้าต่าง เขาลูบหลังพลาง ถามพลาง "เราน่าจะออกไปดูดาวกันนะ"
ที่ที่กระต่ายอาศัยอยู่คือเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับมนุษย์แล้ว หากออกไปข้างนอก เสือคงไม่แคล้วโดนซากศพอื่นๆ กินแน่ กระต่ายจึงส่ายหน้า "อัน...ตราย..."
เสือหัวเราะ "ครับๆ อันตราย"
ในวันที่สอง เสือยังคงตัวติดกับกระต่าย วันนี้เสือบอกรักทั้งวัน บางครั้งจะแนบริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากน้อย บางครั้งก็สอดลิ้นเข้ามาด้วย
หัวใจกระต่ายราวกับว่ากลับมามีชีวิต... ราวกับว่ามันสูบฉีดเลือดให้ไปหล่อเลี้ยงร่างกาย... ให้ใบหน้าร้อนผ่าว...
และคืนนั้นเอง... ที่เสือนอนเบียดร่างเล็ก มือใหญ่ควานสะเปะสะปะทั่วร่าง ริมฝีปากจูบคลอเคลียใบหน้าหวานไม่เว้น กระต่ายมองเห็นความรัก ความคิดถึงเต็มเปี่ยมภายในดวงตา... แต่ก็มีบางอย่างแสนเศร้า
กระต่ายไม่ชอบเช่นนั้นเลย... มือเล็กที่เคยตกอยู่ข้างกายมาตลอดทั้งสองวัน กลับค่อยๆ ยกขึ้นโอบกอดร่างสูง เสือหลับตาลง เกยคางกับไหล่บาง "พี่รักกระต่ายเหลือเกิน... ได้โปรด... ได้โปรด... อย่าจากพี่ไปเลยนะ..."
นิ้วมือแข็งกระด้างอย่างศพจิกลงที่ไหล่หนา ในอกแน่นจุก เจ็บปวดจนเสียดแทงบาดลึก
ริมฝีปากร้อนจูบข้างแก้มเบาบาง "ถ้าหากนี่เป็นความปรารถนา... ก็ไม่ใช่เรื่องตัณหา... นี่คือความรัก... รักทั้งหมดจากพี่" มือใหญ่ค่อยๆ ปลดเสื้อผ้าเจ้าตัวน้อยออก ผิวกายขางซีดของซากศพไม่ได้อยู่สายตาเขา... ร่างกายแข็งทื่อไม่อาจทำให้เปลี่ยนใจ
มันไม่ใช่
'เซ็กส์' กับ
'ศพ'แต่เป็น
'ร่วมรัก' กับ
'ภรรยา'ไม่ว่ากระต่ายจะกลายเป็นซากศพหรือโบนนี เขาก็พร้อมที่จะให้คนรักกัดกินเลือดเนื้อ ดูดกลืนสมอง... เพื่อจะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดกาล
อ้อมกอดแข็งแรงค่อยคลายตัว ชายหนุ่มละเลงริมฝีปากบนแผ่นอกขาวไปทั่ว ดูดดุนยอดอก แม้ร่างข้างใต้จะนิ่งเฉย ดวงตาไร้แววนั้นจ้องมองกลับอย่างว่างเปล่าก็ตาม เขาก็เต็มใจจะปรนเปรอให้ไม่ต่างกับตอนที่ยังมีชีวิต
กางเกงตัวน้อยหลุดออก เสือค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปเตรียมพร้อมยังช่องทางแคบ ร่างกายเย็นชืดนั้นจึงมีปฏิกิริยาบ้าง ชายหนุ่มนวดเฟ้น.... ไม่หวังให้มันคลายตัวนัก ภายในคับแน่น เขาจึงเพิ่มนิ้วให้เป็นสอง ก่อนค่อยๆ ถอดถอนออก และสอดใส่บางอย่างที่ร้อนรุ่ม ใหญ่โตเข้าไปแทน
ความอ่อนโยน ดวงตาที่เปี่ยมรักไม่ปิดบังนั้นทำให้ร่างของซากศพค่อยคลายตัว เมื่อแท่งร้อนสอดใส่เข้ามา ร่างเล็กค่อยขยับตัว
...อึดอัด.... เขาอึดอัด...
เหนือสิ่งอื่นใด....
เจ็บ! "เจ็บ!" เสียงนั้นร้องแผ่วเบา แต่ก็พอที่จะให้เสือหยุดการเคลื่อนไหว ดวงตาดุนั้นเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหู
"อะไรนะครับ ?"
"เจ็บ..." กระต่ายตอบ เป่าลมหายใจออก
เสือแทบถอดถอนออก ตะลึงพรึงเพริดกับร่างตรงหน้า "ต่ายน้อยเจ็บ... ?"
ร่างเล็กพยักหน้า
ซากศพไม่รู้สึกเจ็บ... ขนาดเสือเคยยิงหน้าอกพวกมัน มันยังเดินต่อได้ สำหรับพวกนี้ ต้องระเบิดสมองเท่านั้น
...ต่ายน้อย ?
ริมฝีปากร้อนประกบที่ปากอิ่มอย่างยินดี พลางเสือกไสตนเองเข้าให้ลึกขึ้น เจ้าตัวน้อยถึงกับเกร็งสะโพก เสือค่อยๆ ละริมฝีปากออก ก่อนจะขยับตัวให้เข้าจนสุด ใบหน้าเฉยเมยของซากศพตรงหน้าค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน
เจ็บ... อึดอัด... แต่ความร้อนระอุนี่มันคืออะไรกัน...
แท่งร้อนนั้นกระแทกภายในจนสุด ร่างเล็กทั้งร่างสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกกว้าง บางอย่างทะลักทะลายเข้ามาในหัว...
...ริมฝีปากร้อนที่กดจูบทั่วใบหน้า
...ความรื่นเริงของร่างกาย มันปลื้มปริ่มยินดีเมื่อชิ้นส่วนนั้นเข้ามา ร่างกายบิดตัว ขยับไปด้วยตัวเอง ภายในช่องท้องที่ถูกกระแทก... ความรู้สึกหวามไหว... จนเหมือนมีผีเสื้อนับล้านกระพือปีก
...สัมผัสร้อนผ่าวที่ปากทาง กดทับแนบแน่นจนรู้สึกถึงขนหยาบถูไถ
...แก้มตนเองที่ร้อนผ่าว ความรู้สึกอับอายที่ไม่อาจอธิบายได้ให้หลบตามนุษย์ตรงหน้า
และอีกนับล้านความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามา พร้อมๆ กับชายตรงหน้าที่ช้อนใต้เข่าให้พาดบ่าหนา ดึงแท่นลำหนาของตัวเองออก แล้วกระแทกเข้าใส่ใหม่
...จังหวะจึงเริ่มเร็วขึ้น... รุนแรงขึ้น จนช่องท้องที่ถูกรุกรานตันตื้อ เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดพรายบนใบหน้าสวย ทั้งรู้สึก ได้กลิ่น สัมผัสชัดเจน รู้สึกกระทั่งสองขาที่พาดบ่าคนตัวโต ผิวกายที่เสียดสี ความรู้สึกเฉอะแฉะเบื้องล่าง และท้องน้อยที่เสียววาบจนเหมือนตกจากที่สูง กระต่ายเผลอกรีดร้อง ภายในบีบรัดท่อนลำหนา
เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นระรัว ความเปียกชื้นของเม็ดเหงื่อที่ไหลโทรมกาย เนินเนื้อภายในของตนเองที่เต้นตุบๆ ตอดรัดแท่งร้อน
ร่างบอบบางบิดงออย่างสุขสม ภายในศีรษะว่างเปล่า ขาวโพลน บางอย่างในร่างกายระเบิดออก
ชิ้นส่วนชิ้นสุดท้ายได้กลับเข้าที่... ...บางอย่างถูกปลดปล่อยจากข้างล่าง เจ้าตัวน้อยนอนหอบฮักหลังผ่านความรักรุนแรงมาแล้ว ริมฝีปากนุ่มเผยอขึ้นกอบโกยเอาอากาศเข้าสู่ปอด ได้ยินเสียงคนรักกัดฟันกรอดๆ และความรู้สึกถูกกระแทกกระทั้นจนร่างสะเทือน ไม่นานนัก ความร้อนรุ่มก็ถึงขีดสุด ท่อนร้อนกระตุกภายในและเจ้าตัวก็สอดใส่ลึกจนสุด ก่อนจะฉีดพ่นน้ำกามแรงเสียจนร่างเล็กรู้สึกได้ถึงความรุนแรงและร้อนรุ่ม หากภายในใจกลับเต็มตื้น... เปี่ยมล้นด้วยความรัก ความหวัง ความคุ้นเคย.... ภาพมืดมัวในใจกลับสว่างไสว เต็มรูปร่างครบถ้วน วาดสีสันสดใส...
มือใหญ่ค่อยๆ ลูบศีรษะน้อย แม้ตนเองจะยังหายใจหอบ ความรักมากมายเอ่อล้นจากร่างกาย ดวงตาคู่นั้นบอกถึงความในใจ ใบหน้าหล่อเหลาซบลงที่แผ่นอกบาง
กระต่ายไม่แน่ใจนักว่าอะไรเป็นอะไร บทรักที่ผ่านพ้นทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ลืมกระทั่งว่าซากศพไม่มีวันอ่อนเพลีย...
...ลืมกระทั่งว่า เสียงหัวใจเต้นนั้นมาจากสองแห่ง......ดวงตาคู่กลมค่อยๆ ปิดลง
เสียงเพลง Last Christmas ของนักร้องสาวดังก้องกังวาล กระต่ายรู้สึกตัวในอ้อมแขนแสนอบอุ่น เขาลืมตาขึ้นมองรอบข้าง
อพาร์ตเมนต์เล็กแบบสตูดิโอ มีเพียงห้องนอนและห้องน้ำที่แยกตัวออกไปถูกตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่น เหมาะกับวันคืนอันหนาวเหน็บ สเว็ตเตอร์ไหมพรมสีน้ำตาลเข้มตัวโตที่เขานอนทับอยู่ถูไถใบหน้าจนรู้สึกจั๊กจี้
"ตื่นแล้วเหรอ ต่ายน้อย ?" เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นเหนือหัว พร้อมเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ กระต่ายเลิกคิ้วฉงน เมื่อหันไปมองนอกหน้าต่าง ก็พบกับปุยน้ำแข็งสีขาวสะอาดล่องลอยเต็มไปหมด
"หิมะตกแล้ว... หิมะแรกของเราไงคนดี" เขากระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้า ดันกายคนที่นอนทับตลอดทั้งบ่ายให้มาสบตา "ตื่นแล้วเราก็ออกไปชอปปิ้งหน่อยไหม... ฝรั่งเค้าทำอะไรกันวันคริสมาสต์นะ... Turkey? เค้กกับไวน์ด้วย"
"หนูอยากกินไวน์" ได้ยินเสียงตัวเองตอบกลับไป รู้สึกถึงกล้ามเนื้อริมฝีปากที่ขยับเขยื้อน มันช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน...
เด็กน้อยเห็นหัวคิ้วของคนตัวโตที่ดูอ่อนเยาว์ขมวดมุ่น ก่อนเผยรอยยิ้มอบอุ่น "ไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลาเลย" นิ้วมือใหญ่โตแตะริมฝีปากอิ่ม ก่อนทาบทับริมฝีปากตัวเองลงไป
"ทีตอนนี้ทำเหมือนหนูเป็นเด็ก..."
"แล้วทีตอนไหนทำแบบเป็นผู้ใหญ่ ?" เสียงทุ้มหยอกล้อ พร้อมกับริมฝีปากร้อนที่แวะเวียนจุมพิตรอบลำคอขาว กระต่ายหน้าร้อนจัด พยายามผลักคนตัวโตออก
"ฮื้อ... ก็แบบ... ตอนที่.... ฮื้อ! ไม่เอาแล้ว!"
ชายหนุ่มตรงหน้าผงกศีรษะขึ้น ใบหน้าคมคร้ามพร้อมหนวดเคราที่เริ่มขึ้นช่างดูมีสเน่ห์ กระไอแห่งความเป็นชายชาตรีเข้มข้น กระต่ายน้อยก้มหน้างุดๆ หลบสายตาร้อนแรงจากดวงตาคู่คม
"อย่าเพิ่งเลยนะ... ต่ายน้อยยังเด็กอยู่.... ให้พี่ค่อยๆ ดูแลเราค่อยๆ เติบโตเถอะนะ" มือร้อนใหญ่โตลูบไล้ใบหน้าเล็กของเด็กน้อย รอยยิ้มยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเจ้าตัวเล็กเบือนหน้าหนี อวดแต่แก้มกลมๆ แดงปลั่งอย่างเด็กขี้อาย
"โถ... ไม่เอาครับ... อย่างอนพี่สิ..."
ริมฝีปากจิ้มลิ้มแบะคว่ำอย่างเอาแต่ใจเป็นคำตอบ ชายหนุ่มจึงถือโอกาสรวบตัวเจ้าเด็กน้อยเอาแต่ใจไว้ในอ้อมกอด เด็กคนนี้นี่... จะผอมไปไหนนะ แค่รวบมือข้างเดียวก็คว้าเอาเอวมาได้แล้ว
"เอาอย่างนี้... งั้นเราไปชอปปิ้งกัน ซื้อต้นคริสมาสต์เล็กๆ กับไฟสวยๆ มาประดับนะ"
เด็กก็คือเด็กวันยังค่ำ หน้างอง้ำค่อยมีรอยยิ้ม "เค้กด้วย!"
"ครับๆ เค้กก็เค้ก"
เสียงหวานของนักร้องสาวค่อยๆ ดังขึ้น...
Last Christmas... I gave you my heart...ดวงตากลมเบิกโพลง ร่างน้อยลุกพรวดขึ้นมานั่ง
ฝัน....?
ผีดิบไม่ฝัน... ไม่ควรจะฝัน...