“เห้ย! พี่จะทำอะไรผม อ๊ะ...อุ๊บส์!...” ตกใจคูณสองเมื่อร่างหนาเข้าทาบทับร่างผมไว้ ก่อนมันจะกดจูบลงบนปากผมรวดเร็ว
“อื้อ......” เมื่อไม่เห็นปากผมเปิดอ้าให้ความร่วมมือ มันก็เข้ากระชากเสื้อนักศึกษาจนชายเสื้อผมหลุดออกจากกางเกง ก่อนจะสอดมือเข้าไปลูบไล้ลากผ่านทั่วท้องน้อย ลามขึ้นไปสะกิดตุ่มไตทั้งสองข้างบนหน้าอกให้ได้สะดุ้ง จนเผลอเปิดปากให้มันสมใจได้สอดแทรกลิ้นร้อนเข้ามานัวเนียพันเกี่ยวดูดดันจนผมหายใจไม่ทัน แรงดูดเม้มริมฝีปากเกิดเป็นเสียงยังไม่อายเท่าลิ้นที่ควานไปทั่วแลกน้ำลายจนไหลซึมออกมาตามร่องปาก หากแต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะผ่อนแรงลง จนรับรู้ได้ถึงรสเลือดที่น่าจะเกิดจากการต่อสู้กันเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน คงโดนหมัดจากพี่เสือสวนกลับมาบ้าง แต่นอกจากร่างข้างบนจะไม่รู้สึกเจ็บแล้วตอนนี้ยังละริมฝีปากตรงเข้าฝากรอยไว้ที่ซอกคอผมให้รู้สึกเจ็บปนเสียว จนเรี่ยวแรงที่เคยมีมันพาลหายไปหมด
“อ๊ะ...อื้อ อย่าทำอะไรผม ละ เลยพี่เหนือ” ทุบอกมันกลับไปแรงๆแต่ก็ไม่เห็นผล เมื่อคนด้านบนยังลากลิ้นไปทั่วซอกคอ ขบกัดติ่งหูก่อนจะลากลิ้นเลียให้ได้หลุดเสียงครางออกมา ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน เพราะไม่เคยต้องมาเจอกับเหตุการณ์ถูกปล้ำแบบนี้ ผมจะทำยังไงดี ในหัวสมองตอนนี้ว่างเปล่าไปหมด
“ไอ้พี่เหนือ อึก...อา...อย่าทำไรกู” จะพูดแต่ละคำก็ลำบากเหลือเกินเพราะมันเอาแต่พรมจูบผมไปทั่วแผงอกเปลือยเปล่าที่เสื้อนักศึกษาถูกกอดออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ลิ้นร้อนลากผ่านตามจุดต่างๆ วนรอบตุ่มไตก่อนจะกัดปลายยอดเบาๆให้ได้สะดุ้ง
“..................” เป็นครั้งแรกที่มันเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ก่อนจะก้มลงขบกัดหัวนมผมอีกครั้งแต่สายตายังจับจ้องใบหน้าผมอย่างเจ้าเล่ห์ ยิ่งมันใช้ลิ้นแตะเบาๆผมก็ยิ่งสะดุ้งจนมันเริ่มยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ
“อึก...แกล้งกู...อะ....ไอ้เชี่ยพี่เหนือ” น้ำตาที่ข่มไว้เริ่มจะไหลแล้วครับ ผมไม่เคยรู้สึกอับอายและพ่ายแพ้เท่านี้มาก่อนในชีวิต ผมมีหัวจิตหัวใจไม่ใช่จะยอมให้ใครมาทำร้ายได้ง่ายๆ ผมเป็นคน ผมรักศักดิ์ศรี แต่ทำไมคนคนนี้ถึงทำทุกอย่างเหมือนกับมันเป็นเรื่องสนุก ผมทำผิดอะไร? ผมทำอะไรไม่ถูกใจถึงต้องลงโทษผมขนาดนี้ อย่างน้อยก็ช่วยบอกเหตุผลให้ผมเข้าใจทีได้ไหม?
“มึงร้องไห้...” ทันทีที่น้ำตาผมเริ่มไหล มันยอมหยุดการกระทำทุกอย่าง นิ้วเรียวบรรจงเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มให้ผมเบาๆ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนปากผมรวดเร็วทิ้งท้าย แล้วแยกตัวออกไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้ผมอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน ปากบวมเจ่อ ซิบกางเกงถูกปลดตะขอรูดลงจนลิงขอบย้อยออกมาโชว์หราท้าสายตาตัวเอง เมื่อคิดได้ก็รีบใช้แขนเช็ดน้ำตาออกลวกๆก่อนจะหยิบเสื้อที่ถูกปาไปไว้ปลายเตียงมาสวม ใส่เข็มขัดแล้วจับชายเสื้อยัดลงกางเกงจนเรียบร้อย ก็มานั่งทำหน้ามุ่ยรอไอ้คนต้นเหตุเดินออกมา ทั้งที่ผมควรจะใช้โอกาสนี้หนีไป แต่ใจมันสั่งให้ผมรอฟังเหตุผลที่มันทำแบบนี้ก่อน
“......................” เมื่อมีเวลาสายตาผมก็เริ่มสำรวจทั่วห้องนอน ทั้งๆที่ยังรู้สึกขวัญเสียไม่หาย จึงสอดส่ายสายตาไปเรื่อยเพื่อไม่ให้ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่กลับมาในความคิดอีกครั้ง มันจัดห้องโทนสีน้ำตาลอ่อน สีเทา แล้วก็สีขาว ดูเรียบๆไม่ฉูดฉาดแต่ก็จัดได้สวยมาก ทั้งเตียงนอน ผ้าม่าน ตู้เสื้อผ้าเป็นแบบ Built-in ใช้สีสลับกันได้ลงตัว เพราะเป็นสีอ่อนจึงทำให้ห้องดูสว่างไม่ทึบจนเกินไป ในห้องนอนไม่มีอะไรมาก มีเพียงโต๊ะหนังสือที่ถูกจัดวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย Textbook เล่มหนากว่ายี่สิบเล่มวางซ้อนกันบนโต๊ะพร้อมโน้ตบุ๊กยี่ห้อผลไม้วางอยู่ข้างกัน ด้านขวามีตู้ใส่งานออกแบบเป็นโมเดลตึกสูงอยู่ ห้า หกอันจัดเรียงไว้ สายตาเหลือบไปเห็นกรอบรูปหนึ่งใบแต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปดู ประตูห้องน้ำก็เปิดออกก่อน
“ออกไปรอข้างนอก กูจะเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือถ้ามึงอยากดูจะนั่งอยู่นี่ก็ได้” ไม่ปล่อยให้ผมได้คิดมันก็ถอดช็อปที่ใส่ติดตัวออกทันที จนเผยให้เห็นร่างขาวๆกับซิกแพ็คเรียงสวยอวดสายตา ผมต้องเสหลบไม่อยากมองออกอาการประหม่าจำต้องรีบพาขาตัวเองวิ่งออกจากห้องนอนมันในทันที ได้ยินเสียงหัวเราะตามหลังมาเบาๆ แกล้งคนอื่นให้อายมันชอบใจครับ ผมว่าแม่งต้องโรคจิตขั้นรุนแรง
“......................” คอนโดมันมีทั้งห้องนอน ห้องครัว แล้วก็ห้องรับแขก กว้างแล้วก็หรูหรามาก ผมว่าราคามันก็ไม่ได้ต่างจากรถที่มันขับซักเท่าไหร่หรอก ว่าแล้วก็รู้สึกหิวขึ้นมาจึงเดินไปเปิดตู้เย็นแต่ก็ต้องผิดหวังอย่างแรง
“มึงจะมีตู้เย็นไซส์จัมโบ้ไว้ทำไม ถ้าไม่มีอะไรให้แดกนอกจากเหล้ากับน้ำเปล่า” บ่นเบาๆแต่ก็หยิบน้ำเปล่ามันมาดื่มอย่างถือวิสาสะ ว่าแล้วก็อยากขโมยเหล้ามันไปซักสองสามขวดเพราะที่เรียงกันอยู่เหนาะๆก็หลายพันขึ้นทั้งนั้น ไม่มีปัญญาซื้อกินหรอกครับชาตินี้ ได้น้ำเปล่าซึ่งเป็นน้ำแร่แล้วก็มานั่งแหมะอยู่บนโซฟาหน้าทีวีขนาดใหญ่มากๆ มีเครื่องเล่นเกมส์ที่ผมชอบไปเล่นบ้านไอ้ไนท์บ่อยๆด้วย ทั้งแผ่นหนังแผ่นเกมส์เต็มตู้ไปหมด
“......................” เมื่อประตูเปิดออก คนมาใหม่ที่สวมเสื้อยืดสีขาวคอวี กับกางเกงบอลก็มานั่งข้างๆผมโดยเว้นระยะห่างให้ผมเล็กน้อย
“ผมอยากรู้ว่าทำไมพี่ต้องทำกับผมแบบนี้ แล้วก็เรื่องที่ไปกระทืบไอ้พี่เสือด้วย”
“ปากมึงบวม” ก็มันเป็นเพราะใครละไอ้ควาย แล้วใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ไหม
“...................”
“มันกวนตีนกู” เห็นว่าผมทำหน้าจริงจังมันเลยยอมพูด แต่ก็ยังไม่เคลียร์อยู่ดี
“แล้วพี่เสือมันไปกวนตีนพี่ยังไง ไหนบอกผมซิ” ต้องตะล่อมถามเหมือนมันเป็นเด็กสามขวบครับ ผมล่ะปวดหัวจริงๆ
“มันตั้งใจคุยโทรศัพท์กับมึงให้กูได้ยิน พอมันรู้ว่ากูฟังอยู่มันก็ยิ่งพูดจาเลี่ยนๆกับมึงจนกูทนฟังไม่ได้”
“พี่ก็เลยไปกระทืบเขา” เรื่องคุยโทรศัพท์กันผมยอมรับว่าจริง เพราะพี่แกชวนผมไปกินเหล้า แต่เรื่องพูดจากันหวานๆเลี่ยนๆผมไม่เคยพูดแน่นอน หรือหลังจากที่ผมวางสายไปแล้ว พี่เสือแกพูดอะไรรึเปล่า? ผมก็ยังไม่รู้ คงต้องไปถามความจริงจากปากพี่เสือทีหลัง ผมไม่ใช่คนที่จะปักใจเชื่อใครแค่ฝ่ายเดียว แต่ผมก็รู้ได้ว่าไอ้พี่เหนือมันไม่ใช่คนโกหก
“มึงจะไปไหนกับมัน?”
“พี่เสือชวนผมไปกินเหล้า แต่ไปกันหลายคน ไอ้นนท์ ไอ้ไนท์ ไอ้ธามก็ไป แล้วก็เพื่อนๆกลุ่มพี่เสือ น้องๆปีหนึ่งอีก เหมือนไปเลี้ยงรุ่นเปิดตระกูลกันนั่นแหละครับ”
“มันพูดเหมือนมึงไปกับมันแค่สองคน แล้วยังบอกกูด้วยว่ากูไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมึงเลย มึงชอบอะไร ไม่ชอบอะไร มันรู้ทุกอย่าง” พี่เสือพูดแบบนั้นไปทำไม ผมไม่เข้าใจ?
“เฮ้ฮ...ผมไม่รู้หรอกนะว่าทำไมพี่เสือถึงพูดกับพี่แบบนั้น แต่ผมอยากบอกพี่ไว้เลยว่าไม่มีใครรู้จักผมดีไปกว่าตัวผมเอง แล้วถ้าพี่อยากรู้อะไรที่เกี่ยวกับผมพี่ก็มาถามผม ผมบอกพี่ได้หมดทุกอย่างอยู่แล้ว”
“.........................”
“แล้วพี่ก็รู้แล้วนี่ว่าผมไม่ชอบผัก แถมยังบังคับให้ผมกินด้วย”
“หึ......” เห็นมันเริ่มทำหน้าดุ เลยต้องหาเรื่องอะไรมาแหย่ไม่ให้คิ้วเข้มๆขมวดอีกครั้ง เมื่อมุมปากยกขึ้นพร้อมกับมือเรียวเอื้อมมายีหัวผมแรงๆอย่างเคย ผมก็พลอยโล่งใจยิ้มตามมันไปด้วย
“ไม่ต้องยิ้มชอบใจเลยพี่ คดีที่ลากผมมาปล้ำมันคืออะไรวะ?!”
“มึงเป็นของกู กูไม่ชอบให้ใครมายุ่ง กูหวงมาก!” เคยชัดเจนมาแล้วกับคำว่าหวงมากถึงสองครั้งสองครา แต่ครั้งนี้เต็มตากว่าครั้งก่อนครับ เพราะมันยื่นปากมาจูบเต็มเปลือกตาผมเลย สรุปแล้ว
“ของของกู” คือ ผมเองครับ แค่คิดหน้าก็เริ่มร้อนฉ่าขึ้นมาทันที ใครเอาไฟมาสุมแถวนี้ หรือแอร์ห้องไอ้พี่เหนือจะเสียขึ้นมากะทันหัน
“แต่พี่ไม่ควรทำกับผมแบบนี้”
“ไม่ทำแบบนี้แล้วทำแบบไหน” คำพูดกำกวมพร้อมสีหน้าเจ้าเล่ห์นั่นผมอยากจะยันเข้าให้จริงๆ
“เชี่ยแม่งลามก” ด่าไปแต่ก็ไม่กล้าสบตาคนข้างๆครับ หนังหน้าบางขึ้นมากะทันหันยังไงไม่รู้
“กูต้องทำยังไงมึงถึงจะยอมเป็นของกู”
“ถ้าพี่ทำแบบนั้น พี่จะได้แค่ร่างกาย...แค่ร่างกายผมที่เป็นของพี่ ผมจะเป็นแค่สิ่งของที่มีพี่เป็นคนครอบครอง...แต่ถ้าพี่ให้เวลากับเราทั้งคู่ ทั้งผมและพี่ที่ยังสับสนกันอยู่ ที่ไม่แน่ใจในสถานะของเราตอนนี้ รอเวลาจนชัดเจน เมื่อถึงวันนั้น...พี่จะให้ผมเป็นอะไร ผมก็ยอมพี่ได้ทั้งนั้น”
“......................” มันไม่พูดอะไรกลับมา แต่เข้ามากอดผมเอาไว้แน่น รับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะ มันโอบร่างผมไว้เหมือนกลัวว่าผมจะหายไปไหน
“พี่...ทีวีในห้องพี่49นิ้วเปล่าวะ?”
“ถ้าเครื่องตรงหน้ามึงไม่ใช่ แต่เครื่องที่บ้านกูคิดว่าใช่” มันทำหน้างงที่ผมถามแต่ก็ยอมตอบดีๆ ตอนนี้มันไม่กอดผมแล้วครับแต่มันลากผมมานั่งตรงหว่างขาแทน แล้วเอามือโอบกอดผมไว้จากด้านหลัง จุดยุทธศาสตร์พาเสียความบริสุทธิ์จริงๆครับ ผมเลยต้องนั่งนิ่งๆไม่ขยับตัวเท่าไหร่ เผื่อไปปลุกอะไรให้ตื่นเข้า งานจะเข้าข้างหลังผมได้
“แล้วพี่มีเพื่อนเป็นคนต่างชาติไหม?”
“ก็ไม่เชิง มันแค่มีเชื้อสายอาหรับ” เอาแล้วๆๆ หรือว่ากลอนสี่หยาบคายของเพื่อนไอ้พี่แชมป์ที่กูเคยสบประมาทไว้มันจะจริงอย่างที่เคยบอกวะ แต่มึงช่วยหยุดลูบๆคล้ำที่ขาอ่อนกูซักทีเหอะ ถูจนเลขจะขึ้นแล้วแม่ง มึงจะเอาไปซื้อหวยรึไง แค่นี้ก็รวยฉิบหายตายห่าอยู่แล้ว
“แล้วๆ เพื่อนพี่คนนี้เขาแบบ...แบบมีบ้านขายของไรแบบนี้ปะ?” จะถามว่าบ้านแม่งขายมุ้งไหมก็กระไรอยู่
“มีบริษัทส่งออกเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน” รวยแบบครบวงจร กูว่าแล้วว่าเพื่อนมึงทุกคนแม่งต้องไม่ธรรมดา
“มันรวมมุ้งด้วยไหมวะพี่ ที่เขาขายอ่ะ”
“มีนะ กูเคยเห็นมันเอามาฝากคนใช้บ้านกูตอนเขาจะกลับไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด” ฉิบหาย! แสดงว่ากลอนสี่หยาบคายแม่งจริงอย่างที่ว่าไว้ บ้านมีทีวี49นิ้ว คบเพื่อนเป็นอาบังขายมุ้ง เหลือแค่ประเด็นเดียวแล้วว่าชอบหิ้วสาวขึ้นคอนโดจริงหรือเปล่า แก๊งพี้กัญชาไม่ใช่ขี้ๆซะแล้ว สายข่าวเขาแน่จริงๆ นี่มันเซเลปวงในชัดๆ
“เออ พี่...คอนโดนี้พี่เคยพาใครมาไหม?”
“ไอ้มิน ไอ้แทน แล้วก็ผู้หญิงที่เข้ามาหากู...กูไม่เคยนับ” เหยดดดดดดดดดดด ให้มันได้งี้สิ วันหลังผมคงต้องเอาเครื่องเส้นไปขอขมากลุ่มไอ้พี่แชมป์มันแล้ว กลอนสี่หยาบคายมันแม่นจริงๆ สถาบันที่พี่แกจบมาจะได้รับการเชิดชูก็งานนี้
“อืม...” ผมพยักหน้าเบาเบา ก่อนจะสะดุ้งอีกครั้งหลังจากมือที่อยู่ไม่สุขของมันเริ่มลากต่ำลงไปที่เป้ากางเกงผมจนต้องตะปบกันไว้ก่อน มีอะไรกับไข่กูหรืออย่างไร ถึงได้จะล้วงอยู่ตลอดเวลา ถ้ารู้ว่าไอ้พี่เหนือแม่งตัวจริงจะหื่นขนาดนี้กูไม่ให้มึงลากมาตั้งแต่อยู่ที่มอแล้ว
“วันนี้มึงขี้สงสัย” ต้องจับมือมันรวบไว้ทั้งสองข้างครับ แต่มันก็ยังยื่นหน้ามาถูแก้มผมจนได้ หลังผมตอนนี้ก็แนบจนจะฝังเข้าไปในอกมันอยู่แล้ว กลัวกูไม่รู้ว่าหุ่นมึงเอ็กซ์เซ็กส์จัดอย่างที่กลอนสี่หยาบคายเคยว่าไว้ด้วยรึไง กูรู้ตั้งแต่มึงถอดเสื้อโชว์กูตอนนั้นแล้ว
“เออ พี่ ผมเพิ่งนึกได้ว่าต้องกลับไปประชุมงานที่คณะอีกตอนเย็น” ถูกฉกหอมแก้มอีกแล้ว
“อืม เดี๋ยวกูไปส่ง” เดี๋ยวของมึงคืออีกนานไหม แก้มกูช้ำพอดีหอมอยู่ได้ มึงบ้ารึไง ไหนเคยบอกว่าเวลาหอมกูเหมือนเอาหน้าไปถูอูฐไง นี่มึงยิ่งกว่าถูอีก
“ปะ...ไปกันเลยดีกว่าพี่ เย็นกว่านี้เดี๋ยวรถจะยิ่งติด”
“อืม...” รับปากแล้วก็เอาหน้าออกจากซอกคอกูเห๊อะ เหงื่อไหลท่วมตัวไม่เหม็นก็ไม่รู้จะว่ายังไง
“ตัวมึงหอม” กูว่าต่อมรับกลิ่นมึงมีปัญหาแล้ว เห็นกลิ่นตัวกูเป็นอโรมาเทอรอปี้หรือไง น้ำกูก็ไม่ค่อยชอบอาบ เงินจะซื้อน้ำหอมแพงๆก็ไม่มี ใช้แค่แป้งเด็กมึงยังว่าหอม
“งั้นไปเลยดีกว่า” ไม่รอให้มันได้ทำอะไรมากกว่านั้น ผมก็รีบลุกยืนเดินนำมันไปที่ประตูก่อน รอมันเข้าไปเปลี่ยนกางเกงจากกางเกงบอลธรรมดาเป็นเดฟขาดๆสีดำพร้อมเดินไปปิดแอร์ แล้วเข้าไปหยิบกุญแจที่โยนทิ้งไว้บนโซฟา ก่อนจะเดินออกมาล็อคห้องแล้วพาผมตรงไปที่ลิฟต์
“ส่งผมแล้วพี่กลับเลยก็ได้นะ ผมว่าคงประชุมอีกนาน” ผมพูดขึ้นขณะที่นั่งอยู่บนรถ โดยมีคนขับหน้าหล่อทำหน้าที่เป็นสารถีอย่างเคย
“ทำไม มึงจะไปหาไอ้เชี่ยเสือนั่นใช่ไหม?!”
“พี่อย่าหาเรื่องผมดิวะ ผมก็แค่เห็นว่ามันเย็นแล้ว ถ้าพี่รอผมอีกก็จะต้องขับรถกลับดึกๆมันอันตราย” เห็นเซเว่นข้างทางตอนนี้อยากลงไปถามเหลือเกินครับว่ามียาสตรีเพ็ญภาคขายไหม จะซื้อให้คนข้างๆกิน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจนตามอารมณ์ไม่ทัน
“กูรอได้ มึงยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงไม่ใช่หรือไง” แล้วเพราะใครลากกูไปปล้ำวะ ก็มึงไม่ใช่หรอโมโหจนหน้ามืดจะกินกูกลางวันแสกๆแทนข้าว
“ตามใจพี่แล้วกัน แต่อย่ามาบ่นว่านานทีหลังล่ะ”
“..................” มันไม่ตอบอะไร แต่ยีหัวผมเล่นอีกแล้ว ชอบนักรึไง กูว่าที่ผมกูยาวช้าแล้วตรงหน้าผากเริ่มจะบางๆเพราะมึงถูหัวกูบ่อยๆนี่เอง อยากโวยวาย แต่พอเห็นหน้าสบายใจของมันที่ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ ยอมผมร่วงอีกซักเส้นสองเส้นก็ไม่เห็นจะเป็นไรไป
“ผมยังมีเรื่องสงสัยอีกอย่างว่ะพี่”
“..................”
“ทำไมผมต้องเป็นฝ่ายโดนกดด้วยวะ” ตัวก็สูงเกือบเท่าๆกัน ร่างมันก็ไม่ได้หนาอะไรมากมายเพียงแต่หุ่นเฟิร์มเพราะออกกำลังกาย แขนขาก็ไม่ได้บึก ออกจะเรียวยาวแต่ก็แข็งแรง ยิ่งเรื่องความแมนกูมั่นใจเต็มร้อยว่าไม่แพ้ใคร แล้วทำไมต้องเป็นกูที่โดนกดวะมึง
“เพราะของมึงมันเล็กเป็นจิ้งเหลนไง” เชี่ย! ช่างสรรหาคำมาเปรียบนะมึง แล้วรู้ได้ไงว่าเล็ก โด่ววววว! ตอนมึงจับมันหลับอยู่หรอกเว้ย ถ้ามันตื่นก็มังกรคอมมาโดดีๆนี่เอง
“พี่แม่งทะลึ่งว่ะ”
“คนถามสิทะลึ่ง”
“ฮึ่ย!...” เจ็บใจแต่ก็ยอมนั่งสงบปากสงบคำไว้ดีกว่าครับ เถียงกับมันมีแต่แพ้เปล่าๆ เปลืองเนื้อเปลืองตัวด้วยถ้ามันเกิดอยากแกล้งผมขึ้นมา ปากก็เจ่อ แก้มก็ช้ำ โดนฟัดอีกรอบผมคงได้ไปนอนโรงพยาบาลตามพี่เสือแน่ๆ
“..........................” ไม่นาน BMW 7-Series ก็เลี้ยวเข้ามาจอดใต้ต้นไม้หลังตึกคณะวิศวะที่เดิม ผมลงจากรถรอไอ้พี่เหนือ แล้วเดินไปที่ตึกคณะผมพร้อมกัน เมื่อเข้ามาใน Hall สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ผมกับไอ้พี่เหนือทันที มันแยกไปนั่งด้านหลังไกลๆคนเดียว ในขณะที่ผมเดินเข้าไปหาไอ้ธาม ไอ้นนท์ แล้วก็ไอ้ไนท์ที่นั่งอยู่ด้านหน้า
“หายหัวเลยนะไอ้ปอนด์ เป็นไงบ้างวะ?!” ไอ้นนท์รีบถามผมทันทีที่ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆมัน
“กว่าจะเคลียร์ได้กูเกือบตาย ไม่รู้ไอ้พี่เสือแม่งพูดอะไรผิดหูมัน ว่าแต่อาการพี่เสือเป็นไงบ้างวะ? กูว่าจะแวะไปดูที่โรงพยาบาลแต่ไอ้พี่เหนือแม่งตามมาเฝ้ากู”
“แย่วะ สภาพเยี่ยงมัมมี่” ฟังจากที่ไอ้ธามพูดภาพในหัวก็มาทันที
“ดึงคอเสื้อขึ้นหน่อยเถอะไอ้ปอนด์ คนอื่นเขาจะมองไม่ดี” ไอ้ไนท์พูดขึ้นแต่ก็ไม่ยอมสบตาผม แล้วคอเสื้อผมเป็นอะไรวะถึงต้องดึงขึ้น ทุกทีก็ใส่แบบนี้มาตลอด ปิดถึงคอหอยก็หายใจไม่ออกกันพอดี
“เคลียร์กันท่าไหนวะ ได้รอยมาเต็มคอ” เชี่ยแล้ว ทันทีที่นึกได้ว่ารอยอะไรก็ต้องรีบดึงเสื้อปิดทันที ลืมคิดไปเลยครับว่ามันฝากอะไรไว้บนตัวผมบ้าง
“ท่าไหนไม่รู้ รู้แต่ถ้ายังไม่เลิกส่องซอกคอกู มึงจะโดนกูกระทืบไอ้ธาม” ขนาดกูปิดยันคอหอยยังจะตามมาส่องอีกนะมึง ให้กูมีเวลาอายบ้าง
“ประชุมถึงไหนกันบ้างวะ?”
“เปลี่ยนเรื่องเลยนะเชี่ยปอนด์ กลับถึงหอมึงโดนกูเค้นแน่!” กูเคยปิดมึงซักเรื่องไหมเชี่ยธาม ไม่ต้องทำหน้าจริงจังก็ได้ มองแล้วตลก
“เรื่องค่ายอาสาว่ะ ปีนี้จัดร่วมกับพวกวิดวะ”
“ดีว่ะ กูชอบออกค่าย แล้วรายละเอียดล่ะ”
“ไอ้ต้นกำลังไปถ่ายเอกสาร มึงงานงอกยังไม่รู้ตัวอีก”
“เชี่ยไรกับกูอีกวะไอ้นนท์”
“กูบอกว่าค่ายจัดร่วมกับพวกวิดวะ”
“เออ แล้วไงวะ?”
“ทีเรื่องโง่ๆละฉลาดนัก” สัด! หลอกด่ากูตลอด ไหนพ่อคนฉลาดช่วยอธิบายให้กูเข้าใจทีดิว่าทำไมงานถึงจะเข้ากู
“พวกวิดวะมันเพิ่งจะเริ่มรับน้องกัน มึงก็รู้ว่ามันเหมือนชาวบ้านเขาที่ไหน ปีสองมันคงไม่ว่างพอจะมีจิตอาสาไปทำความดีหรอกนะมึง”
“อ้าว งั้นให้พวกปีหนึ่งไปหรอ?”
“ควายจริงๆเพื่อนกู ปีหนึ่งมันก็ต้องอยู่รับน้องกับไอ้พวกปีสองดิวะ แล้วมึงคงไม่คิดว่าพวกแก่ๆอย่างปีสี่มันจะไปหรอกนะ”
“เชี่ย!”
“เออ เชี่ยสมใจมึง”
“คนแบบมันคงไม่ไปที่กันดานๆหรอกมึง จิตมันไม่อาสาขนาดนั้น” ว่าแล้วก็หันหลังไปมองหน้าโหดๆที่จ้องผมจากที่ไกลๆอย่างเสียวสันหลังวาบๆ
“ก็ถ้ามึงไป มันจะปล่อยให้มึงไปคนเดียวหรอวะ?!”
“บรรลัยแล้วชีวิตกู งานเข้าจริงด้วยว่ะ!!!!!”
แค่คิดก็ปวดหัวแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เข้าค่ายครั้งนี้กูจะต้องเจออะไรบ้างวะเนี่ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ตอนใหม่มาแล้ว

คราวนี้ยาวสะใจ

เป็นกำลังใจให้นิยายเรื่องนี้ต่อไปด้วยนะคะ I-AMมันตั้งใจมาก

ปล. I-AM สปอยอเลนมาว่าเข้าค่ายครั้งนี้มีอะไรสนุกรออยู่แน่นอนค่ะ หรือพี่เหนือของเราจะจัดหนักน้องปอนด์?!
ติดตามต่อในตอนหน้าเน้อ
