รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)  (อ่าน 136008 ครั้ง)

ออฟไลน์ pearl9845

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คิดถึงเรื่องนี้จัง กลับมาอ่านใหม่

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 42
         
          แปลก…

          ก้องนั่งนิ่วหน้าอยู่บนโต๊ะทานอาหาร สายตาก็เอาแต่จ้องมองมือถือที่วางตรงหน้า ในหัวก็คิดไม่ตกถึงสิ่งที่เพิ่งรับรู้ไป

          ใช่…ตามเรื่องแล้ว การที่สิทธิ์ตีกับวินไม่พอ ยังไปประกาศตัวว่าเป็นคนรักกับเดียร์ ถือเป็นโอกาสเด็ดที่จะยืมมือฆ่าคนแท้ๆ…แล้วในขณะที่ตาสีกับตาสามัวแต่ทะเลาะกัน ไอ้ตาอยู่มันก็ควรจะลอบไปขโมยปลามาสิ

          แต่นี่เดชผู้ซึ่งหาเรื่องสังหารสิทธิ์มาตั้งเกือบสิบปี กลับไม่ทำอะไรเลย แถมยังจะดูไม่สนใจสิทธิ์แล้วด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ทั้งหาเรื่องมาให้สิทธิ์เดือดร้อนทางอ้อมเอย ทั้งหาเรื่องฮุบกิจการสิทธิ์มาตลอด

          แล้วมันเกิดอะไรขึ้น

          ‘…ดูเหมือนมันจะเปลี่ยนเป้าไปทางไอ้วัฒน์เสียเฉยๆเลยล่ะ…ฉันก็ไม่เข้าใจว่ามันนึกยังไงถึงเปลี่ยนใจ สงสัยไอ้วัฒน์มันคงไปเหยียบถูกจุดเจ็บละมั้ง ไอ้เดชมันถึงยอมทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดแบบนี้ไปน่ะ’

          ก้องคิดทวนคำของฉัตร คนร่วมมือในงานนี้กับตน มันก็ดีอยู่หรอก…แต่นั่นมันก็เท่ากับว่าพวกเขาเองก็เสียโอกาสที่จะกำจัดเสี้ยมหนามคาส้นเท้าให้ออกไปเหมือนกันนี่น่ะสิ

          ‘เอาเถอะ ลองว่ามันเล็งไอ้วัฒน์ก็เท่ากับชะตาขาดแล้วล่ะ ฮะๆๆ’

          ก้องก็เห็นด้วยกับอีกฝ่ายอยู่หรอก แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้อยู่ดี

          เมื่อคิดไปก็ไม่ได้อะไรจึงเลิกคิดและเดินขึ้นไปชั้นสองหมายจะไปหาเดียร์ โชคดีที่เย็นนี้สิทธิ์กับฤทธิ์ออกไปซื้อของข้างนอก หนุ่มแว่นจึงสามารถคุยเรื่องแผนกับเดียร์ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวลถึงหูผีตาสับปะรดที่อาจจะได้ยินแม้เสียงกระซิบ

          “ไงครับพี่ก้อง”

          เจ้าของชื่อเพียงแต่มองหน้าอีกฝ่าย ทั้งที่แผนราบรื่นแท้ๆ แต่ดูเดียร์จะไม่ค่อยปลาบปลื้มเท่าไหร่นัก

          “อ้อ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่มีเรื่องที่ต้องคิดนิดหน่อย” หนุ่มน้อยรีบเปลี่ยนอารมณ์ ละยิ้มกว้างปล่อยออร่าสว่างไสวจนก้องรู้สึกแสบตา “ไม่ใช่เรื่องที่คุณสิทธิ์เขาทำอยู่หรอกครับ อันนั้นผมชอบ”

          “เหรอ…แล้วคิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ” แม้จะรู้สึกหมั่นไส้นิดๆอย่างบอกไม่ถูก แต่หนุ่มใหญ่ก็อดอยากรู้ไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกดีๆกับสิทธิ์ขึ้นมาสักหน่อยก็ยังดี

          อีกฝ่ายไม่ตอบในทันที เดียร์ก้มหน้างุดทำท่าขัดเขินแลดูน่ารังเกียจในสายตาของก้อง ดวงตากลมช้อนมองก่อนจะหลบหนีเหมือนกำลังอาย แต่นั่นไม่ได้ทำให้คนมองรู้สึกว่าดูน่ารักชวนใจเต้นแต่อย่างใด กลับกัน ก้องรู้สึกอยากจะตบกะโหลกไอ้เด็กบ้านี่ที่เอาแต่กระมิดกระเมี้ยนอยู่นั่นล่ะ…แต่ถ้าทำก็เข้าทางอีกฝ่ายพอดีสิ

          “คือ…ผมเพิ่งมารู้น่ะครับ…” พูดแค่นั้นก็กลับไปบิดไปบิดมากวนประสาทคนมอง “ว่าความจริงแล้วผมกับพี่ก้องเราเป็นพี่น้องที่พลัดพรากกันมานานน่ะครับ”

          “หา จะบ้าเรอะ” ก้องถึงกับตะโกนลั่นบ้าน “ฉันจำไม่ได้ว่าเคยมีน้องอย่างแกเฟ้ย!”

          “แล้วถ้าเป็นจริงๆล่ะครับ”

          จากที่กำลังจะตั้งท่าด่าอย่างลืมตัว หนุ่มแว่นถึงกับชะงักเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูจริงจังของเดียร์ เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่กับแน่ และทั้งที่ไม่เชื่อเรื่องเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกลังเลขึ้นมาเสียแล้ว

          “ว่าไงล่ะครับ ถ้าเกิดผมกับพี่เราเป็นพี่น้องกันจริงๆ…ถึงจะแค่ครึ่งเดียว พี่คิดว่าไงล่ะครับ” เด็กหนุ่มทวงถามซ้ำ พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้จนก้องรู้สึกขนลุกตงิดๆ “รู้สึกยังไงบ้างล่ะครับ”

          เขาไม่ได้ตอบ เพียงแต่ทำหน้าสะพรึงสุดๆเท่าที่เขาจะทำได้ให้แทน

          “ฮะๆ ผมเข้าใจความรู้สึกนะ” เดียร์หัวเราะลั่นก่อนจะตบบ่าอีกฝ่าย “ถ้าเป็นผม ก็คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”

          “เดี๋ยวสิ แกถามไปทำไม…มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม” ก้องท้วงเพราะอดสงสัยไม่ได้

          “เปล่าครับ ผมแค่สมมติ” ได้ฟังคำตอบ หนุ่มแว่นถึงกับโล่งอก “พอดีผมแค่อยากรู้ถึงความรู้สึกเวลาพี่ต้องรู้เรื่องหลุดโลกน่ะครับ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอก”

          “…งั้นหรือ…” หนุ่มแว่นเริ่มเอะใจ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงติดตื่นเต้น “จะว่าไป พักนี้คุณสิทธิ์ทำรุนแรงกับแกมากไหม”

          แทนที่เดียร์จะยิ้มแป้นให้อย่างที่คิด สีหน้าของหนุ่มน้อยกับเอ่อไปด้วยความกังวลปนสงสัยแทน

          “จริงๆก็ใช่ว่าจะไม่ดีอะไรหรอกนะครับ ผมว่าดีออก แปลกใหม่ดีด้วย” เด็กหนุ่มตอบตามตรง “แต่ผมไม่เข้าใจอยู่อย่างนี่สิ”

          ก้องหูผึ่งรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

          “คือถ้าโดนแบบนี้ ผมต้องดีใจอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิครับ” เดียร์เริ่มสาธยาย “มันรู้สึกขุ่นๆในใจบอกไม่ถูกน่ะครับ เหมือนชวนหงุดหงิดว้าวุ่นยังไงก็ไม่รู้”

          ฟังแล้วเขาไม่แน่ใจว่าควรจะออกความเห็นอย่างไรดีเลยทีเดียว

          “แต่ก็คงจะเพราะเขาแสดงความรักออกมาด้วยมั้งครับ ผมเลยรู้สึกขยะแขยงร่วมด้วย ฮะๆๆ” เสียงหวานเอ่ยต่ออย่างทีเล่นทีจริง หากแต่คนฟังกลับรู้สึกหดหู่ “เดี๋ยวสักพักก็คงจะชินเองล่ะ”

          “เหรอ…งั้นเหรอ…” ก้องรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แอบสงสารสิทธิ์จับใจที่ไปหลงรักไอ้เด็กบ้านี่

          “เออ ว่าแต่พี่มาหาผมทำไมหรือครับ”

          หนุ่มแว่นมองอีกฝ่ายอย่างลังเล แต่ท้ายที่สุดก็ถาม “นายแน่ใจนะว่า มันจะเป็นไปตามที่นายบอก”

          “แหม ถ้าเมื่อวานผมคงบอกว่าครึ่งๆ แต่วันนี้ผมกล้าพูดได้เต็มร้อยเลยครับ อย่ากังวลไปเลย” เดียร์ถึงกับหัวเราะลั่น “เออ ว่าแต่ เย็นพรุ่งนี้ พี่ว่าคุณสิทธิ์เขาจะเลือกอะไรระหว่าง ชุดราตรีเกาะอกสีชมพู หรือชุดเดรสสีเขียวอ่อนที่มีโบติดเอวล่ะครับ”

          ก้องรู้สึกเหมือนหน้ามืดไปวูบหนึ่ง “…ฉันว่าไม่ใช่ทั้งคู่ น่าจะเป็นเดรสมินิสเกิร์ตสีฟ้าอ่อนมากกว่า”

          “ถ้างั้น ใครแพ้ต้องตบหัวอีกฝ่ายนะครับ”

 

          ก้องหาวหวอดมองภาพตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย หลายวันมานี้ สิทธิ์เอาแต่ลากเดียร์ไปประกาศตัวทุกงานเท่าที่สามารถไปได้ เล่นเอาคนส่วนใหญ่ต่างพากันตะลึงกันถ้วนหน้า…ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาอึ้ง ไม่ใช่เรื่องที่สิทธิ์คบกับผู้ชาย แต่เป็นเรื่องที่สิทธิ์คบกับน้องชายของคนที่ไม่ถูกชะตาที่สุดนั่นต่างหาก

          แต่ก้องก็ไม่ได้แปลกใจที่ไม่มีใครใส่ใจเรื่องเดียร์นัก แน่ล่ะ นอกจากรูปกายภายนอกที่ชวนให้เข้าใจผิดเป็นทุนเดิม ทั้งยังใส่ชุดของผู้หญิงเดินฉุยฉายเสียขนาดนี้ ร้อยทั้งร้อยก็ไม่คิดว่าเป็นผู้ชายหรอก

          หนุ่มแว่นสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อมีคนมายืนพิงกำแพงอยู่ข้างตัว แต่พอเห็นว่าเป็นหนุ่มในคราบสาวน้อย เขาก็หันกลับไปมองเจ้านายที่กำลังคุยฟุ้งกับคนอื่นอยู่

          “คุณสิทธิ์นี่เขากว้างขวางดีนะครับ เห็นวันๆเอาแต่อยู่บ้าน นึกว่าเป็นพวกไร้เพื่อนเสียอีก” เดียร์เอ่ยพลางถอนหายใจ “นี่ผมต้องทำความรู้จักจนจำได้ไม่หมดแล้วว่าที่ผ่านมามีใครบ้างเนี่ย”

          “ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของคุณสิทธิ์น่ะ แต่ถ้าอายุมากหน่อยก็เป็นคู่ค้า” ก้องบอกเสียงเนือย “…ว่าแต่ แกดูชินกับเสื้อผ้าพวกนี้จังเลยนะ”

          เขาไม่เถียงเรื่องที่อีกฝ่ายเข้ากับชุดราตรีสีชมพูนี่ แต่เดียร์เองก็ดูจะชินและเฉยกับการใส่ชุดผู้หญิงมากเสียจนน่าแปลก

          “ก็เคยใส่แนวๆนี้ตอนทำงานน่ะครับ เวลาทางร้านจัดโปรโมชั่น ใส่ชุดผู้หญิงพลิ้วๆแล้วมันขายของได้เยอะกว่า” เดียร์ว่าก่อนจะหมุนมองไปรอบๆ “แต่เอาจริงๆผมไม่ถนัดใส่ส้นสูงหรอกครับ แค่ชอบใส่เพราะมันทำให้ปวดขาดี”

          “งั้นแผนที่คุณสิทธิ์จะให้นายอายที่ต้องใส่ชุดแบบนี้ก็เหลวล่ะสิ”

          แต่แทนที่เดียร์จะตอบรับเสียงใสอย่างที่คิด ใบหน้าหวานกลับดูจะอึดอัดและเขินอายอย่างที่ไม่น่าจะเป็น

          “เอาจริงๆ ผมเฉยๆนะครับ เพราะใส่บ่อยจนชิน” ไม่ว่าเปล่ามีหันมองไปมาราวกับไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาเท่าไหร่นัก “แต่คุณสิทธิ์เขาสามารถทำให้ผมกระอักกระอ่วนกับเรื่องธรรมดาได้นี่น่ะสิ”

          ฟังแล้วนึกอยากรู้ขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากถาม คนที่โดนนินทาก็เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มจนแม้แต่ก้องยังรู้สึกขนลุก เหมือนกับชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่เจ้านายที่เขาเคยรู้จักยังไงชอบกล

          “อะไรกัน มาหลบอยู่ตรงนี้เองหรือที่รัก” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นอย่างร่าเริง มือหนาคว้าเข้าหาเอวบางแล้วดึงร่างเล็กเข้ามาแนบชิดติดข้างตัว “หายหน้าไปแค่สองนาที ฉันล่ะคิดถึงเธอใจจะขาด”

          ฟังแล้วควรจะรู้สึกน้ำเน่าจนอยากอ้วกแท้ๆ แต่ชาวมาโซฯนั้นสัมผัสถึงน้ำเสียงที่ฟังแล้วเหมือนอยากจะขย้ำขยี้เหยื่อเสียมากกว่าคิดถึงคนรัก

          และทั้งที่กำลังป้อยอคำหวาน แต่มือที่กอดเอวบางกลับบีบแรงเสียจนเดียร์รู้สึกอึดอัด

          ก้องเผลอมองตาโต เพราะคุณเจ้านายแกไม่ได้แค่โอบเอว แต่ยังเลื่อนมือซุกไซ้ไล่เรียงไปยังจุดที่ไม่สมควรจะไปในที่สาธารณะเช่นนี้…เขารู้ว่าสิทธิ์ไม่ใช่คนขี้อาย แต่ก็ไม่ใช่คนหน้าหนาที่จะกล้าทำเรื่องแบบนี้ให้ใครต่อใครเห็น

          “ไม่นะ คุณจะทำอะไรน่ะ” เสียงหวานกระซิบใส่อย่างตื่นตระหนก สีหน้าของเด็กหนุ่มดูจะตกใจอย่างที่เห็น เดียร์พยายามปัดมือเจ้ากรรมที่คอยลูบสะโพกตนไปมาไม่ยอมหยุด

          “นิดๆหน่อยๆเอง จะหวงไปทำไม มากกว่านี้ก็ทำไปแล้วนี่นา” สิทธิ์พูดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ก่อนจะยอมปล่อยแต่โดยดีเมื่อเดียร์พยายามขืนหนีสุดตัว “ทำเป็นไม่อยาก แต่หน้าแดงเชียวนะ”

          ซึ่งก้องรู้สึกโชคดีมากที่สิทธิ์เลือกเสื้อผ้าที่พองฟูให้เดียร์ ไม่อย่างนั้น เขาและประชาชีในที่นี้คงจะเห็นสิ่งระคายตาเป็นแน่

          “อย่ามโนไปหน่อยเลย นึกว่าผมจะเป็นเหมือนคุณหรือไง” เสียงหวานที่ดังอย่างแผ่วเบาสั่นระริก “ที่ผมยอมทำแบบนี้ก็เพื่อพี่น้อยหรอกนะ”

          “เหรอ” สิทธิ์ตอบเสียงเยาะ ก่อนจะจับต้นแขนบางของอีกฝ่าย “เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเอาแต่ยืนเฉย ตามฉันมา ฉันมีคนจะให้รู้จัก”

          ว่าแล้วก็ลากเด็กหนุ่มออกไปจากตรงนั้นโดยไม่รอคำตอบทันที

          “อ้าว ว่าไงสิทธิ์ แปลกนะที่มางานฉันได้เนี่ย” ชายวัยกลางคนที่พ่อหมียักษ์เดินเข้าไปหา เอ่ยทักด้วยความประหลาดใจ “อ้าว แล้วคุณวัฒน์ไม่ได้มาด้วยหรือ”

          “อ้อ พอดีอาวัฒน์เขายุ่งอยู่น่ะครับ” สิทธิ์ยิ้มรับจนไม่เหลือเค้าพ่อหมีจอมเผด็จการให้เห็นแม้แต่น้อย “อ้อ ผมมีคนจะแนะนำให้คุณสัญรู้จัก นี่เดียร์ว่าที่ภรรยาของผมเองครับ”

          ไม่ว่าเปล่ามีตบก้นเหมือนจงใจ เล่นเอาเดียร์เผลอค้อนมองสิทธิ์อย่างไม่ต้องแอ๊บ

          “เดียร์…ใช่น้องของวินหรือเปล่า” ชายวัยกลางคนทวนถามอย่างสงสัยปนหวาดหวั่น “เดี๋ยวสิ เรื่องจริงหรือ”

          “แหม จริงเสียยิ่งกว่าจริงอีกครับ” สิทธิ์ยิ้มกว้างเข้าไปทุกที จนเดียร์เริ่มรู้สึกได้แล้วว่าอีกฝ่ายดูลนลานกว่าปกติ แถมยังจงใจเสียงดังกว่าทุกทีด้วย

          อยู่ๆคู่สนทนาก็หันไปหันมาทั่วงานเหมือนมองหาใครอยู่อย่างหวาดระแวง ก่อนจะกลับมามองสิทธิ์และเดียร์อีกครั้ง ด้วยสีหน้าที่เหมือนเห็นสิ่งประหลาดตรงหน้า

          “แล้วเจ้าวินมันไม่ว่าอะไรรึ” สัญว่าพลางจ้องมองเดียร์ไม่วางตา

          “ไม่ว่าหรอกคร้าบ ออกจะยินยอม ขนาดคุณมาริสายังรอให้ผมแจกการ์ดให้เล้ย”

          เดียร์รู้สึกร้อนๆที่หน้า สาเหตุไม่ใช่เพราะการที่สิทธิ์พูดเรื่องเป็นไปไม่ได้และชวนน่าอายออกสื่อ แต่เพราะคุณลุงตรงหน้าจ้องเขาเหมือนกับกำลังจะมองทะลุให้ได้นี่แหละที่แปลก…แถมเขายังสัมผัสได้ถึงพลังงานที่เข้ากับตัวเองจากอีกฝ่ายด้วย

          “งั้นหรือ ถ้าเธอชอบแบบนี้ฉันก็ยินดีด้วยละกัน” คราวนี้หนุ่มใหญ่ยิ้มกริ่ม “ไม่คิดเลยนะ ว่าคนที่คบกับผู้หญิงมาตลอดอย่างเธอจะมาคบผู้ชายแบบนี้ได้น่ะ”

          ทีแรกเด็กหนุ่มนึกว่าสิทธิ์จะตกใจที่อีกฝ่ายรู้ว่าเดียร์มีดุ้น แต่สีหน้าของหมียักษ์กลับดูปกติเสียน่าแปลก

          “ทำไงได้ล่ะครับ ก็มันรักไปแล้วนี่นา” ไม่ใช่แค่น้ำเสียง แต่สีหน้าดูระรื่นเขินอายแปลกๆ และไม่วายยังหาเรื่องลวนลามเด็กหนุ่มแบบไม่เกรงใจฟ้าดินอีก เล่นเอาเดียร์ได้แต่ทำหน้าตื่น เพราะไม่แน่ใจว่าควรจะขัดขืน หรือต้องทนยอมให้สมกับที่โดนบังคับ…หรือเพราะรู้สึกฟินกับความอับอายจนไม่อยากจะขัดขืนกันแน่ “เอ้อ ว่าแต่ ป่านนี้แล้ว แขกยังมาไม่ครบอีกนะครับ แย่จริงๆ สายป่านนี้แล้วแท้ๆ”

          ก่อนที่เดียร์จะได้สงสัย บรรยากาศภายในงานที่กำลังคึกคักพลันมลายหายไปจนทั้งห้องเงียบกริบประดุจอยู่ในป่าช้าแทบจะทันที และพอหันไปมองทางเข้างานก็ได้ความกระจ่างทันที

          ร่างสูงของหนุ่มแว่นยืนหน้านิ่ง ดวงตาคมที่จ้องมองมาทางตนดูประหลาดใจปนขุ่นแค้น ช่อดอกกุหลาบสีแดงที่ห่อเอาไว้อย่างสวยงามบี้บุบไปตามแรงบีบ และในที่สุดก็แหลกคามือ เมื่อผู้ติดตามจอมยุเอ่ยประโยคไม้ตายออกมาเป่าหูวิน

          “จับคุณเดียร์ใส่ชุดน่าอายแบบนั้นยังไม่พอ ยังกล้าพาออกมาแบบนี้อีกนะครับ”

          ถึงใครต่อใครจะเห็นเขาเป็นผู้หญิงยังไงก็เถอะ แต่พี่ชายคนนี้ไม่เคยเห็นเขาเป็นผู้หญิงสักครั้งเลยนี่นา เพราะอย่างนั้น ทำแบบนี้มันก็เหมือนหยามหน้าทั้งเดียร์และวินชัดๆ!


_____________________________________
          พอดีไปรีไรท์นิยายจะส่งสนพ.มา เลยหายไปยาวเลย =3= จากนี้กลับมาปั่นเหมือนเดิมแล้วก๊าบ (ถ้าไม่ติดเรื่องตันนะ ;_;)

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 43
         
          ก้องมองเจ้านายกับคู่กรณีอยู่ไกลๆ เขาไม่แปลกใจที่คนอื่นๆจะรู้สึกหวาดวิตกกันนัก ในเมื่อเดิมทีสิทธิ์กับวินก็ไม่ถูกกันอยู่แล้ว ที่ประหลาดเสียกว่าคือการที่ทั้งสองไม่เคยมีเรื่องถึงขั้นลงไม้ลงมือกันมาก่อนนี่แหละที่แปลก

          วินเพียงแต่ยืนนิ่ง ในขณะที่สิทธิ์เองก็เหมือนกัน ผิดไปหน่อยตรงที่ว่าพ่อหมียักษ์ดึงเดียร์เข้ามาข้างตัวเหมือนกลัวจะโดนแย่งยังไงยังงั้น และนั่นยิ่งทำให้เส้นเลือดตรงขมับของวินปูดขึ้นมาจนน่ากลัวว่าอาจจะแตกออกมาได้ทุกขณะ

          “เอ้อ…วิน เป็นไงบ้างล่ะ สบายดีไหม” เจ้าของงานรีบแทรกกลางเพราะกลัวระเบิดจะลงกลางงานตน แต่ไปๆมาๆเหมือนจะไปจุดชนวนเสียมากกว่า

          “…ไม่ดีครับ” สีหน้าของหนุ่มแว่นบ่งบอกกว่าโกรธสุดๆ แต่กระนั้นก็ยังคงรักษาน้ำเสียงให้เรียบนิ่งไว้ได้ ดวงตาคมเลื่อนมองคนที่สุดแสนจะรังเกียจ ก่อนจะมองน้องชายที่เอาแต่ก้มหน้างุดหนี “ไม่ดีมากๆเลยครับ…”

          “อ๊ะ งั้นหรือ ลำบากมางานฉันทั้งที่อาการไม่ดี แบบนี้แย่เลยนะ จะไปพักผ่อนก่อนไหม…”

          “ไม่ครับ ไหนๆก็มาแล้ว” วินตอบโดยไม่มองคู่สนทนาเพราะสายตามัวแต่จดจ่ออยู่กับภาพบาดตาบาดใจ “ผมไม่หนี แล้วก็ไม่แอบลอบกัดลับหลังเหมือนหมาบางตัวหรอกครับ”

          “แหม นี่พูดเตือนตัวเองอยู่หรือครับ คุณวิน” สิทธิ์เยาะเสียงสูงปรี๊ด ก่อนจะหันไปหาเดียร์ “เราออกจะรักกันเปิดเผย เนอะ”

          ก้องที่ฟังอยู่ไกลๆได้แต่ถอนหายใจ…ก็ลองนึกถึงตอนที่คุณเจ้านายแกหนีหัวซุกหัวซุนในร้านดอกไม้แล้วมันรู้สึกสมเพชขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกนี่นา

          วินไม่ได้ตีฝีปากต่ออย่างที่น่าจะเป็น ดวงตาคมเพียงแต่จ้อง…จ้องจนสิทธิ์ชักรู้สึกเจ็บๆเหมือนมีอะไรมาจิ้มผิวหนัง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ หลังจากจ้องตากันร่วมสิบนาที วินก็เป็นฝ่ายเดินออกไปก่อน โดยไม่พูดอะไรสักคำ

          “…นี่คงไม่แย่ไปกว่านี้ใช่ไหม” เจ้าของงานถามอย่างไม่แน่ใจทันทีที่วินหายไปจากประตูทางเข้างาน “ไอ้เรื่องงานก็เรื่องนึง แต่ในฐานะที่ฉันรู้จักพวกเธอทั้งคู่มาตั้งแต่พวกเธอยังเด็ก ฉันไม่อยากให้เธอสองคนต้องมานองเลือดกันนะ ไหนจะพ่อของพวกเธออีก ถ้ามารู้เข้าคงกลุ้มน่าดู”

          “…คุณสัญไม่ต้องนึกถึงพ่อผมหรือพ่อหมอนั่นหรอกครับ สองคนนั้นเขาโยนงานเสร็จก็ไม่มารับรู้เรื่องหนักหัวพวกนี้แล้วล่ะ” สิทธิ์ตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะกลับมายิ้มแฉ่ง “ว่าแล้วเราก็เลิกคุยเรื่องหนักหัว แล้วมาสนุกกับงานดีกว่านะครับ…ดูสิครับ แขกคนอื่นๆเขาหวาดวิตกกันใหญ่แล้ว”

          ได้ยินดังนั้น ชายวัยกลางคนถึงรู้สึกตัว ว่าแขกแต่ละคนกำลังออกอาการเหมือนมีโจรมาปล้นในงาน

          “เอ้อ ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ แค่เป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้นล่ะ” ซึ่งโชคดีที่วินออกไปแล้ว จึงทำให้คนฟังพากันวางใจ แม้จะยังไม่สนิทดีนักก็ตาม แต่เพราะต่างก็ไม่อยากให้เสียบรรยากาศกันนัก จึงพยายามลืมเรื่องเมื่อครู่และกลับมาครื้นเครงกันต่อทันที

          “สมใจคุณแล้วล่ะสิ…” เสียงหวานดังขึ้นอย่างแผ่วเบาและสั่นระริกหลังจากที่เหลือกันแค่สองคน “นี่ใช่ไหมที่คุณต้องการ”

          คนฟังผงะเล็กน้อย ใบหน้าของชายหนุ่มเรียบนิ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงตอบกลับไปอย่างง่ายดายแท้ๆ…และแม้จะตั้งใจให้อีกฝ่ายเจ็บปวด แต่มันไม่ใช่แบบนี้เลย…ไม่ใช่สักนิด

          เดียร์แปลกใจเล็กน้อย เพราะคิดว่าหมียักษ์น่าจะกระซิบตอบรับด้วยน้ำเสียงสะใจมา แต่ดูท่าเขาจะเผลอไปกระตุกต่อมคนดีของสิทธิ์เข้าให้อีกแล้ว…ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำหน้าเหมือนโลกจะแตกหรอก

          “หึ แต่แค่นี้ อย่าคิดว่าจะทำอะไรพี่วินได้นะ เขาไม่ใช่คนอ่อนแอกับเรื่องแบบนี้สักหน่อย”

          จากที่กำลังคิดมาก ถึงกับเลิกคิดทันที

          “โถที่รัก นึกว่าเรื่องมันจะจบแค่นี้หรือไงจ้ะ” อยู่ๆก็สวมวิญญาณคาสโนวาใส่เฉย เล่นเอาเดียร์ถึงกับหน้าเหวอใส่ “นี่น่ะ มันแค่น้ำจิ้มเท่านั้น ฉันเตรียมของขวัญชุดใหญ่ไว้รอมันแล้ว รับรอง ถึงใจทั้งเธอและมันแน่”

          ถ้าเป็นเมื่อก่อน เดียร์คงนึกหัวเราะอยู่ในใจว่า คนใจอ่อนหัดอย่างสิทธิ์จะทำอะไรได้ บวกกับนึกอยากอ้วกกับท่าทีหวานจ๋อยนั่นแน่ๆ แต่ตอนนี้ นอกจากคำพูดของชายหนุ่มจะฟังดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือเป็นที่สุด เขาเองกลับไม่รู้สึกว่าท่าทีเหมือนหนุ่มเจ้าชู้นั่น จะชวนพะอืดพะอมอย่างที่มักเป็น แถมยังรู้สึกร้อนวูบวาบแปลกๆจนมองนานๆไม่ได้ด้วย

          ก็คงเพราะคำพูดที่แฝงคำขู่นั่นล่ะ ถึงทำให้เรารู้สึกแปลกๆ…

 

          “คุณวิน…เหวอ!”

          ธานินทร์เผลอร้องออกมา เพราะคิดว่าหนุ่มแว่นน่าจะระเบิดความโกรธออกมาหลังจากกลับมาถึงบ้าน แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำคือทรุดลงนอนกับพื้นห้องนอนเสียดื้อๆแทน

          “ฉันอยากตาย…” เสียงเหมือนคนตายดังออกมาจากลำคออย่างเบาหวิว จนน่ากลัวว่าวินจะตายจริงๆ “ชีวิตฉันจบสิ้นทุกอย่างแล้ว…ฉันทำอะไรไอ้บ้านั่นไม่ได้แล้ว ถ้าต้องมีชีวิตอยู่โดยโดนมันหัวเราะใส่แบบนี้ ฉันตายดีกว่า…”

          “เดี๋ยวสิครับ จะตัดใจเร็วไปแล้วนะ…แล้วก็อย่าตายเพราะเรื่องพรรค์นั้นสิครับ แค่นี้เอง ทีกับศัตรูคนอื่นเองเขาก็ทำแบบนั้นกับคุณไม่ใช่หรือ"

          “แต่ไม่ใช่มัน” วินเอ่ยเสียงขุ่นอีกครั้ง “แค่มันเท่านั้นที่ฉันทนไม่ได้…อยากตาย…”

          ธานินทร์ทำหน้าละหน่ายมองเจ้านายที่นอนหมดอาลัยตายอยากอยู่บนพื้น แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ และพยายามดึงร่างที่ใหญ่กว่าตัวเองขึ้นมา

          “อย่าเพิ่งยอมแพ้สิครับ ลืมที่ผมบอกไปแล้วหรือยังไงกัน” หนุ่มตาตกว่า พยายามดึงอีกฝ่ายสุดแรง แต่ดูเหมือนจะเสียแรงเปล่าสุดๆ “ตัดใจตอนนี้ยังเร็วไปนะครับ”

          วินเลื่อนสายตามองคนที่กำลังหน้าดำหน้าแดงกับการดึงเขาให้ลุกขึ้นมา “ผมไม่คิดว่าทำแบบนั้นมันจะได้ผล…แล้วผมก็ไม่อยากจะไปก้าวก่ายกับความสุขของเดียร์…ถ้าทำอีกต้องโดนเกลียดแน่ๆ…ผมไม่อยากโดนเดียร์เกลียดไปมากกว่านี้…”

          “โธ่ อย่าเพิ่งยอมแพ้สิครับ คุณจะปล่อยให้คุณเดียร์หลงผิดแบบนี้ไม่ได้นะครับ นี่มันเท่ากับปล่อยให้เดียร์ตกนรกทั้งเป็นไปตลอดชีวิตเลยนะครับ คุณก็รู้นี่ครับว่าสิทธิ์ไม่ได้รักคุณเดียร์จริงๆสักหน่อย”

          “แต่…”

          “ถ้าเขารู้ความจริง เดียร์ก็จะเข้าใจและไม่เกลียดคุณแน่ เชื่อผมเถอะ” ธานินทร์กล่อมสุดฤทธิ์ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มคล้อยตาม “เชื่อผมแล้วทุกอย่างจะดีเอง”

          หนุ่มตาตกถึงกับยิ้มกว้างเมื่อวินลุกขึ้นมา แม้จะแค่นั่งก็ตาม

          “…แต่…มันจะได้ผลจริงๆหรือ…ฉันว่าแผนที่พี่บอกมันพิลึกออกจะตาย มันไม่ใช่ละครหรือนิยายนะ แถมถ้าทำจริง ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นฝ่ายแย่เอาหรือไง”

          “ก็ไม่ใช่ละครไงล่ะครับ เพราะงั้นก็อย่าไปเชื่อว่าผลลัพธ์มันจะเป็นแบบนั้นสิครับ ความเป็นจริงมันกลับกันต่างหาก” ธานินทร์หัวเราะพลางยักไหล่ให้ “เชื่อผมเถอะครับ ถ้าทำแบบนี้รับรองว่าสิทธิ์จะต้องเผยธาตุแท้ออกมา แล้วนั่นก็จะทำให้เดียร์ตาสว่างด้วยตัวเองไง”

          ดูวินจะยังไม่เชื่อเท่าใดนัก แต่สายตาที่เป็นประกายของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาอดเชื่อไม่ได้…และลึกๆเองเขาก็อยากจะเชื่อแบบนั้นด้วย

          ไอ้เรื่องต้องดองกับหัวขนุนนั่น ให้ตายอีกสามชาติก็ไม่เอาด้วยหรอก!

          “เอาเป็นว่าช่วงนี้คุณไม่ต้องฝืนคิดถึงเรื่องนี้นักหรอกครับ พยายามพักผ่อนให้มากๆไว้ดีกว่า ไหนจะเรื่องงาน เดี๋ยวเรื่องนี้อีก ร่างกายมันจะแย่เอานะ”

          ว่าจบก็ขอตัวออกจากห้องไป ปล่อยให้เจ้าของห้องอยู่เพียงคนเดียว

          วินถอนหายใจออกมา ถึงจะบอกให้วางใจอย่างไรก็เถอะ แต่เจอแบบนี้ใครจะนอนสบายลงได้กัน

          “บ้าจริง เพราะแกนั่นล่ะไอ้ชา…”

          เสียงทุ้มเงียบลงในห้องที่ว่างเปล่า ชายหนุ่มลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้มีตนเพียงคนเดียวในห้อง

          หนุ่มแว่นเม้มปากแน่น ไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ที่กำลังโกรธอยู่ในใจเป็นเพราะเรื่องสิทธิ์ หรือเพราะชา…อีกทั้งความรู้สึกแปลกๆที่เจ็บในอกนี่อีก…

          “เชอะ”

 

          “…ท่าทางมีความสุขมากเลยนะครับ…”

          หลังจากกลับมาถึงบ้าน และเดียร์ก็รีบหนีขึ้นห้องไป ก้องจึงเอ่ยถามเจ้านายออกมา ตามประสาลูกน้องที่เป็นห่วงกลัวระเบิดลง

          “แน่ล่ะครับ สุขใดหาเทียมไม่” สิทธิ์เอ่ยหน้าบาน “ได้แก้แค้นไอ้แว่นหอกหักนั่นอย่างที่รอไว้…ถึงใจจริงผมอยากจะละเลงเลือดมันออกมาก็เถอะ แต่ทำไงได้ ทั้งอาวัฒน์ทั้งไอ้เนมันก็ดันไม่ยอมให้มีเรื่องท่าเดียว ผมถึงต้องทำแบบนี้ไง สะใจว้อย!!”

          ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทั้งก้องและฤทธิ์ รวมถึงลูกน้องทุกคนรู้สึกดีเป็นที่สุด แม้ถ้าเป็นคำสั่ง พวกเขาจะไม่ขัดก็จริง แต่ถ้าเลือกได้ ก็ไม่อยากจะก่อสงครามกับวินนักหรอก

          “แถมที่สำคัญคือ ผมได้เห็นเดียร์ในชุดน่ารักๆด้วย แค่นี้ก็ใช้ชีวิตคุ้มแล้วล่ะครับ”

          อย่าใช้ชีวิตเสียเปล่าแบบนั้นสิครับ…

          “แล้วคุณสิทธิ์ไม่คิดว่าคุณวินเขาจะเล่นงานคุณบ้างหรือครับ” คราวนี้ฤทธิ์เป็นฝ่ายถามบ้าง “ผมกลัวว่าฝั่งโน้น เขาจะห้ามคุณวินไม่อยู่ แล้วจะมาถล่มเรานะครับ”

          “ให้มันมาจริงๆเหอะ” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้ามันคิดว่าน้องชายมันไม่สำคัญแล้วน่ะนะ เฮอะๆ”

          “แล้วจากนี้ไปจะเอายังไงต่อละครับ จบเรื่องแล้วนี่” ฤทธิ์ถามต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแปลกๆที่ทำเอาหนุ่มแว่นรู้สึกได้ถึงความคาดหวังบางอย่างที่ตนไม่พึงประสงค์เท่าใดนัก

          “แหม ของแบบนี้มันก็รู้ๆกันอยู่นะครับ” อยู่ๆก็พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนหลง แต่ก้องรู้สึกขนลุกสุดใจ “จบเรื่องแล้วก็ถึงเวลาจัดการกับเรื่องสำคัญจริงๆสักทีไงล่ะครับ…เออ พี่ว่าไหนๆ อาทิตย์นี้ก็มีวันหยุดยาวๆตั้งสามวัน พี่ว่าผมพาเดียร์ไปเที่ยวแบบไหนดี เอาแบบแค่อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐานที่คนวัยทำงานจะชวนแฟนไปเที่ยวสักหน่อย ที่แบบเห็นแล้วต้องผิดหวังจนเผลอบ่นออกมา แต่ยังสามารถหาจุดหวานชื่นไปในตัวได้ด้วยน่ะครับ”

          เดี๋ยวนะ ได้ข่าวว่าจุดประสงค์ในทีแรกมันไม่ใช่เรื่องนั้นไม่ใช่เร้อ!!!! แล้วไอ้คำขอนั่นมันอะไรก๊าน นี่คือคุณกลายเป็นพวกซาดิสม์ทั้งตัวและหัวใจแล้วใช่มั้ย ถึงได้คิดที่เที่ยวได้โดนใจชาวมาโซแบบนั้นน่ะ ฮึ่ย~~
         
          “ก็ใช่ว่าจะไม่มีหรอกนะครับ…” ฤทธิ์บอก ดูจะลังเลเล็กน้อย “อย่าว่าโง้นงี้เลยนะครับ คุณสิทธิ์จริงจังกับเดียร์แค่ไหนหรือครับ”

          สีหน้าของชายหนุ่มดูจริงจังจนน่ากลัว และคำตอบก็น่ากลัวยิ่งกว่า แม้ฤทธิ์จะดูดีใจกับคำตอบเสียมากกว่า

          “ก็ถ้าทำได้คงแต่งงานไปแล้วมั้ง” สีหน้าคนพูดดูจะชื่นมื่นเสียเต็มประดา จนก้องไม่กล้าจะเรียกสติ “ถึงจะต้องมีพี่เมียเป็นไอ้แว่นนั่น แต่เอาเถอะ ผมจะหลับตาเรียกมันว่าพี่ละกัน ถ้ามันอยากให้เรียกน่ะนะ”

          ซึ่งลูกน้องทั้งคู่เชื่อสนิทใจเลยว่า วินไม่มีทางอยากแน่นอน

          “…ถ้าขนาดนั้นแล้วล่ะก็ ผมว่าคุณสิทธิ์คงต้องรีบๆดองกับเดียร์ให้ไวหน่อยล่ะครับ” ฤทธิ์หัวเราะเสียงแห้ง นึกภาพวินกับสิทธิ์ญาติดีกันไม่ค่อยจะออกเอาเสียเลย “ตอนนี้ก็เหลือแค่ทำให้เดียร์ติดใจและมีรสนิยมชมชอบรับกับคุณก็เท่านั้น ที่เหลือก็ผ่านหมดแล้วล่ะ”

          หนุ่มแว่นอยากจะแย้งเหลือเกิน ว่าไอ้ที่เหลือน่ะ มันไม่ใช่เรื่องนั้นเล้ย

          “…เอาเป็นว่า เราไปวางแผนกันสองต่อสองดีกว่า เดี๋ยวก้องรู้แล้วไม่เซอร์ไพรซ์” ก้องชักงงๆว่าตกลงใครกันแน่ที่จะไปเดท “ไปที่ห้องนอนผมละกันครับ”

          “เดี๋ยวสิ ไหงต้องที่ห้องนอนฟะ…โอ๊ย” ก้องค้านทันควัน และก็โดนสวนทันควัน

          “ทำไงได้ล่ะ ไปห้องคุณสิทธิ์เดี๋ยวเผื่อเดียร์ออกมาฟังก็เสียแผนพอดีสิ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรคุณสิทธิ์สักหน่อยน่า ไม่ต้องหึงนักหรอก ฉันรำคาญ” ปากก็บอกแบบนั้น แต่สีหน้าระรื่นจนก้องไม่แน่ใจว่าฤทธิ์ดีใจเพราะโดนหึง หรืออะไรกันแน่ “เอาเป็นว่าเรารีบไปกันดีกว่าครับ ผมอดใจรอไม่ไหวแล้ว”

          ว่าแล้วก็รีบลากเจ้านายหนีเข้าห้องทันที ก้องได้แต่อ้าปากค้างกับคำพูดสองแง่สามง่ามนั่นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพิงกำแพงแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นึกไม่ออกเลยว่าแฟนตัวเองคิดจะทำอะไรกันแน่

          เมื่อคิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา บวกกับว่าง ก้องจึงเดินขึ้นไปที่ห้องของเดียร์ หวังจะแอบดูว่าเจ้าเด็กมาโซฯนั่นกำลังวางแผนอะไรอยู่ต่อ เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องรู้แน่ๆว่าสิทธิ์คิดจะทำอะไร เพราะฉะนั้นเลยไปดูเป็นแนวทางเพื่อรับมือเอาไว้ท่าจะดีกว่า

          แต่ท่าทางเขาคิดผิด

          ก้องนิ่วหน้ามองช่องประตูที่แอบเปิดแง้มออก เดียร์ไม่ได้ฮัมเพลงอยู่บนเตียงพลางยิ้มอยู่คนเดียวอย่างทุกที แต่กำลังนั่งอยู่ขอบเตียงแล้วนิ่วหน้ากอดหมอนนอนอย่างกับคนคิดไม่ตกเสียนี่ พอนั่งไปสักพักอยู่ๆก็หน้าแดงแล้วกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นอย่างกับคนบ้าอีก เล่นเอาก้องทั้งประหลาดใจทั้งสยองขวัญไปตามๆกัน

          เดี๋ยวสิ…

          หนุ่มใหญ่ไม่แน่ใจกับความคิดของตัวเองนัก แม้ที่จริงมันก็ดูจะชัดเจนอยู่ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเดียร์ เขาเลยไม่อยากจะเชื่ออย่างสนิทใจนักว่าทุกอย่างที่เห็นจะเป็นอย่างที่คิด

          แต่ถ้าเป็นแบบนั้นได้จริงนี่ เขาก็คงยิ้มออก


_________________________

          ปั่นแปะแทนกับที่หายไปนาน

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด  มาเเล้วหราาาา

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
555+เดียร์เอ๋ย คุณสิทธิ์อุตส่าเปลีย่นตัวเองให้ออกแนวSมาสเตอร์แล้ว ยอมๆรับรักเขาไปเหอะน่า

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
 :katai2-1: ดีใจที่มาค่ะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ lovegoldfish

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
เดียร์นี้น่ารักขึ้นทุกวัน   :-[

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 44
         
          “ครั้งที่หกของวันแล้วนะจ๊ะ”

          เดียร์สะดุ้งเมื่อมีเสียงใสทักเข้าข้างหู ดวงตากลมจ้องมองเจ้าของร้านดอกไม้อย่างหวาดๆ เพราะนอกจากเธอจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้ว ยังมีเสียงหัวเราะในลำคอแถมตามมาด้วย ไม่บอกเดียร์ก็รู้ได้ทันทีว่าน้อยกำลังคิดอะไรและอยากจะถามอะไรเขา

          “…อะไรหรือครับ ครั้งที่หกน่ะ” แม้จะอยากกลบเกลื่อน แต่เขาก็ไม่รู้จะเปลี่ยนหัวเรื่องอย่างไรดี จึงได้แต่ตามน้ำไปก่อน

          “ก็ถอนหายใจยังไงล่ะจ๊ะ อะไรกัน เรื่องเดิมยังคาราคาซังอยู่หรือไง ถ้ากลุ้มใจนักจะเล่าให้พี่ฟังก็ได้นะ พี่ยินดีปิดร้านเพื่อฟังเดียร์ปรับทุกข์เลยล่ะ”

          ลงทุนไปมั้งครับ…

          “อ๋อ ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ มันไม่มีอะไรแล้ว” เดียร์รีบหยุดความคิดของอีกฝ่าย ก่อนที่จะเตลิดจนกู่ไม่กลับ

          “แล้วเรื่องอะไรล่ะจ๊ะ ถึงได้ทำให้คนงามของพี่ถอนหายใจถึงหกครั้งในวันเดียวได้น่ะ” หญิงสาวคาดคั้นต่อ “เห็นก่อนหน้านั้นก็ไปเปิดตัวกับคุณสิทธิ์ตั้งหลายงานเลยนี่นา หรือทางบ้านคุณสิทธิ์เขาไม่ยอมรับกัน…หรือพี่เรากันล่ะ”

          เดียร์ปั้นหน้ายิ้มค้างเอาไว้ ก่อนจะถอนหายใจเป็นครั้งที่เจ็ด

          “คือ…จะว่ายังไงดีล่ะครับ มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก…” เมื่อโดนคาดคั้น บวกกับคิดคนเดียวยังไงก็คิดไม่ออก จึงยอมเปิดปากเพราะหวังว่าอาจจะช่วยคลายความคับข้องใจของตนได้ “คือการที่อยู่ๆเราทนมองหน้าใครสักคนนานๆไม่ได้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นยังสามารถมองได้ปกตินี่ มันเป็นเพราะอะไรหรือครับ”

          น้อยดูจะตื่นกับคำถามนั่นพอสมควร แต่เพียงไม่นานก็ฉีกยิ้มกว้าง

          “แล้วรู้สึกกระสับกระส่ายหรือใจเต้นแปลกๆบ้างไหมจ๊ะ”

          เด็กหนุ่มถึงกับตาโตที่อีกฝ่ายถามไถ่อาการแม่นอย่างกับตาเห็น

          “ใครจ๊ะ” ไม่ถามเปล่า มีซูมหน้าเข้ามาใกล้ทุกทีๆ จนเดียร์ชักเริ่มคิดแล้วว่าถ้ามีใครมาเห็นตอนนี้ คงเข้าใจผิดไปไกลมากๆแน่ “คุณสิทธิ์ใช่ไหมล่ะ”

          อันนี้เขาไม่แน่ใจว่าเดาแม่น หรือรู้จริงๆกันแน่

          “แหม ถ้าเป็นคุณสิทธิ์ก็ไม่แปลกหรอกจ้ะ แถมพี่ว่า เรานี่ความรู้สึกช้ามากกว่านะ” เธอหัวเราะเสียงเล็กเสียงน้อย “ก็เป็นแฟนกันนี่นา จะมีความรู้สึกแบบนั้นก็ปกติอยู่แล้ว ไม่รู้สึกเลยนี่สิแปลก”

          เดียร์ยิ้มค้าง “ยังไงครับ”

          “เอ้า ก็แหม แบบนั้นเขาเรียกว่าเขินเวลามองคนที่รักไม่ใช่เหรอจ๊ะ…ว้าย!!” น้อยร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆเดียร์ก็ลงไปกองกับพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียวคล้ายคนจะเป็นลม “เดียร์ ไม่เป็นอะไรนะ ช่วงนี้พี่ไม่ได้ใช้งานอะไรเราหนักเลยนะ!”

          ไอ้นั่นก็ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมอยากจะสลบนะ

          “คือ…พี่กำลังจะบอกว่าที่ผมเป็นแบบนี้เพราะผมรักคุณสิทธิ์หรือครับ”

          “อ้าว แล้วไม่ใช่หรือจ๊ะ” คราวนี้หญิงสาวเริ่มงงแทนเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูจะสงสัยและไม่มีเค้าของความรักอยู่เลย

          “เอ้อ…ไม่ใช่แบบนั้นครับ แหม เป็นแฟนกันก็ต้องรักกันสิครับ ฮะๆ  แค่แบบ ไม่คิดว่าอาการแบบนี้จะเรียกว่ารักน่ะครับ” เด็กหนุ่มรีบตอบเสียงลน “แต่ ขอบคุณพี่มากเลยนะครับ ที่ช่วยไขข้อสงสัยให้ผม”

          “อะไรกัน อย่าบอกนะว่าที่กลุ้มคือเรื่องนี้ ทำไมล่ะ” คุณเจ๊ยังซักไซ้ไม่เลิก “หรือการที่รักกับคุณสิทธิ์เป็นเรื่องไม่ดีกันล่ะ"

          ก็ไม่ดีน่ะสิครับ!! ไอ้เรื่องไปรักกับหมีขี้แหย ไม่ชอบใช้ความรุนแรงพรรค์นั้นน่ะ ผมไม่คิดจะทรมานตัวเองไปทั้งชีวิตหรอกนะ!...คือผมก็ชอบอยู่หรอก ไอ้ความทรมานน่ะ แต่ไม่ใช่แบบนี้นะ!!!

          “ก็…แค่กลุ้มเรื่องพี่วินน่ะครับ” คำตอบนี้ทำเอาอีกฝ่ายชะงักงัน “ก็อย่างที่พี่บอก ผมแค่ไม่แน่ใจว่าตกลงคุณสิทธิ์รักผมหรือแค่ต้องการแกล้งพี่วินกันแน่น่ะ”

          ดูเหมือนเขาจะบอกเหตุผลที่ดูฟังขึ้นมากไปหน่อย น้อยถึงกับทำหน้าเสียใส่

          “อย่างนั้นหรือ…นั่นสินะ…” หญิงสาวเอ่ยเสียงค่อย ก่อนจะพยายามทำตัวร่าเริง “ตะ…แต่แหม พี่ว่าไม่ใช่แบบนั้นหรอกจ้ะ ใครมันจะลงทุนทำถึงขนาดนั้นกัน”

          เดียร์ไม่อยากจะคิดเลย ว่าน้อยจะมีสีหน้าอย่างไร ถ้ารู้ความจริงทั้งหมด

          “เชื่อเถอะจ้ะ คุณสิทธิ์น่ะ รักเราจริงๆน้า พี่สัมผัสได้” หลังจากตีหน้าเศร้าไม่ถึงห้านาทีก็กลับมายิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง “ไม่งั้นจะให้คนมารับมาส่งแบบนี้ทุกวันหรือจ้ะ”

          เขานึกค้านอยู่ในใจ แน่ล่ะ ก็พ่อหมียักษ์แกเป็นคนดีจะตาย คงทนอยู่เฉยๆไม่ได้หรอก ถ้ารู้อยู่แก่ใจว่าตนโดนลอบทำร้ายบ่อยๆแบบนี้น่ะ

          “แล้วอีกอย่าง จำเมื่อวันก่อนตอนที่เขามาซื้อช่อดอกกุหลาบกับเราได้ไหม วันนั้นเจ๊แอบถ่ายวีดีโอไว้ด้วยล่ะ ฮิๆ” น้อยเล่าต่อโดยไม่สนใบหน้าตื่นตระหนกปนแหยงของอีกฝ่าย จากนั้นก็เดินหายเข้าไปในห้องพักพนักงานเพื่อเอากล้องออกมา “ลองดูแล้วคิดเองละกัน”

          เขาก็อยากจะเปิดออกมาดูให้รู้แล้วรู้รอดอยู่หรอก แต่ที่ชั่งใจอยู่นานเพราะโดนคุณเจ้านายมองด้วยสายตากะลิ่มกะเหลี่ยนั่นล่ะ

          หลังจากทำใจได้แล้ว เดียร์ก็เปิดวีดิโอดูโดยพยายามเมินสาวข้างตัว ซึ่งเป็นภาพตอนที่สิทธิ์มารับดอกไม้และตัวเขาเพื่อขอไปงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง มองผ่านๆแล้วก็เหมือนจะปกติอยู่ แต่เดียร์ก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม

          สิทธิ์ไม่ได้แสร้งยิ้ม

          ทั้งที่ยิ้มเหมือนกันแต่เดียร์ก็รู้ได้ทันทีว่า สิทธิ์ไม่ได้ยิ้มเก้ๆกังๆเหมือนครั้งแรกๆที่เจอกันเลย มันเป็นยิ้มที่จริงใจและสว่างไสวชวนแสบตาและแทบจะแผดเผาคนมองให้มอดไหม้จนเป็นเถ้าถ่านมาก ทั้งคำพูดและสายตาที่มองมาก็ดูอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรักจนชวนเลี่ยน เรียกได้ว่า สิทธิ์ทำทุกอย่างที่เดียร์รังเกียจเลยทีเดียว

          แต่วันนั้น เด็กหนุ่มกลับไม่รู้สึกอยากอ้วกเลยแม้แต่นิดเดียว และแม้แต่มาเห็นความจริงตำตาแบบนี้ เดียร์เองก็ไม่รู้สึกพะอืดพะอมเหมือนแต่ก่อนด้วย

          นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!

          “เห็นมั้ยล่ะจ๊ะ ว่าคุณสิทธิ์เขารักเราออกจะตาย” หลังจากดูเสร็จก็ตีไหล่แล้วร้องกรี๊ดกร๊าดใส่ “แหม่ เห็นแล้วอิจฉาแทนเลย ทำไมสามีที่บ้านไม่หวานแบบนี้บ้างก็ไม่รู้”

          เดียร์เพียงแต่เงียบ เขาไม่มีอารมณ์แม้แต่จะหัวเราะกลับตามปกติด้วยซ้ำ ซึ่งก่อนที่น้อยจะรู้สึกถึงความผิดปกตินั้น สารถีก็เปิดประตูร้านเข้ามารับเสียก่อน และเดียร์เองก็ไม่รอช้า พุ่งเข้าไปหาทันที

          “เฮ้ย จะรีบลากฉันออกมาทำไมวะ” ก้องร้องเสียงหลงเมื่อโดนมือเล็กลากออกมาจากร้านจนถึงรถที่จอดอยู่อีกฝั่ง “…ว่าแต่แกเป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับเห็นผี”

          เดียร์ไม่ตอบคำถามนั้น แทบจะเมินเสียด้วยซ้ำ

          “พี่ช่วยตบผมหน่อยสิครับ”

          ก้องได้แต่นิ่วหน้า ก่อนจะทำตามอย่างรังเกียจ และก่อนที่จะได้ถามสาเหตุ เดียร์ก็แทรกก่อนด้วยคำขอร้องที่ทำให้ก้องถึงกับปิดอาการขยะแขยงไม่อยู่

          “ช่วยยิ้มและลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนหน่อยสิครับ…เร็วๆน่า”

          หนุ่มใหญ่ไม่แน่ใจว่ามือของตนจะใส่ความอ่อนโยนไปได้อย่างที่อีกฝ่ายต้องการหรือเปล่า แต่ก็พยายามทำเท่าที่จะทำได้ โดยนึกถึงหน้าฤทธิ์เอาไว้ในใจ

          “อ๊าก” เสียงหวานร้องดังในลำคอก่อนจะผลักอีกฝ่ายออก ใบหน้าหวานซีดเซียวเหมือนเพิ่งเจอสิ่งที่สะพรึงที่สุดในชีวิตมาก็ไม่ปาน “ไม่ไหว แหวะ”

          “ฉันมากกว่าที่อยากจะพูดแบบนั้น” ก้องแหววใส่อย่างอารมณ์เสีย “ว่าแต่แกน่ะ เป็นอะไรไม่ทราบ ให้ฉันทำอะไรพิลึกๆตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”

          เดียร์ไม่ได้ตอบคำถามในทันที ดวงตากลมจ้องมองพื้นถนน คล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง

          “พี่ปิดอะไรผมไว้”

          ก้องถึงกับเม้มปากแน่นอย่างลืมตัว

          “ว่าแล้ว” เด็กหนุ่มเดาะลิ้นใส่อย่างไม่พอใจ “ถึงพี่จะบอกว่าเพราะคุณสิทธิ์หงุดหงิดเลยมาทำร้ายผมก็เถอะ แต่ผมว่ามันชักไม่ใช่เท่าไหร่แล้วนะ ไอ้ทำร้ายน่ะเข้าใจ แต่ไอ้ท่าทีแปลกๆนั่นน่ะ มันอะไรกันแน่ หา”

          “ฉันจะไปรู้เรอะ เขาอาจจะรักแกเข้าแล้วก็ได้มั้ง”

          เขาก็แค่พูดลองใจดูเพราะสงสัยกับท่าทางเมื่อวาน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพียงแต่ก้องก็อดขนลุกไม่ได้ทุกทีกับท่าทางเหมือนคนปกติแบบนั้น

          เดียร์ยืนค้างมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ จากนั้นก็เริ่มยิ้มเฝื่อนเสียจนน่าขำ และส่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมาจนก้องไม่แน่ใจว่าควรจะดีใจดีหรือขยะแขยงดี

          “เฮะๆๆ ไม่เอาน่า พูดอะไรประๆ หลาดๆแบบนั้น” เดียร์เริ่มพูดไม่เป็นภาษา ก่อนจะเริ่มกลับมาตั้งหลักได้ “อีกอย่างนะ ผมไม่ชอบคนปกติอย่างเขาสักหน่อย ขืนต้องอยู่ด้วยกัน มีหวังผมบ้าตายก่อนแน่”

          “…ฉันก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นเรื่องจริงสักหน่อย ก็แค่เดา” หนุ่มใหญ่ตอบหน้านิ่ง “แต่ไอ้เรื่องหงุดหงิดน่ะ เรื่องจริงนะ ตอนนี้คงเพราะแผนมันลุล่วงคุณสิทธิ์เขาเลยดีใจล่ะมั้ง”

          “ไม่อะ ถ้าแค่นั้นไม่มีมาเปลี่ยนเวอร์ชั่นกันกลางอากาศแบบนี้หรอก มันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ” เดียร์ยังคงสงสัยไม่เลิก “แต่ว่าอะไรนี่สิ…”

          “ไม่ลองถามเจ้าตัวเองเลยล่ะ เรื่องหลอกถามมันงานถนัดนายอยู่แล้วนี่”

          เดียร์มองหน้าค้างอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถึงบางอ้อ

 

          สิทธิ์สะดุ้งนิดหน่อยเมื่อมีเสียงเคาะประตู ทีแรกเขานึกว่าเป็นก้องไม่ก็ฤทธิ์ แต่พอเปิดประตูมาก็ต้องสะพรึง เพราะดันเป็นคนที่ไม่น่าจะมาเคาะเพราะยังโกรธและระแวงเขาอยู่แบบนี้

          “ว่าไง…เอ๊ย มีอะไร” เนื่องจากดีใจมากเลยหลุดทักอย่างเป็นกันเอง แต่ก็รีบกลับลำแม้จะไม่ทันก็ตาม

          ดวงตากลมช้อนมองอย่างน่าเอ็นดูก่อนจะหลุบลงต่ำ สร้างความคึกคักให้คนมองเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นสิทธิ์ก็ต้องพยายามทำหน้านิ่งไว้ แม้ภายในจะลิงโลดแค่ไหนก็ตาม

          “ผมขอเข้าไปได้ไหม…”

          ถึงจะพยายามแล้ว แต่ก็อดตาโตไม่ได้อยู่ดี ก็ใครมันจะไปคิดว่าคนที่พยายามถอยห่างตนจะเป็นฝ่ายเข้ามาเสียเองแบบนี้

          สิทธิ์ไม่ได้พูดสิ่งใดนอกจากเปิดทางให้ ร่างบางเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเรียวหันมองไปมาราวกับกำลังระแวง และไม่รู้เพราะอยากให้อีกฝ่ายสบายใจหรืออย่างไร สิทธิ์จึงเลือกที่จะเปิดประตูทิ้งไว้เช่นนั้นแทน

          “ผมมีเรื่องจะถาม…” เสียงหวานดังขึ้นโดยยังคงหันหลังให้เจ้าของห้อง “ทำไมคุณถึงทำแบบนี้กับผม”

          ดูเหมือนจะถามกว้างไป หมีถึงได้เงียบจนเขาเผลอหันไปมองหน้าเอ๋อๆของอีกฝ่าย

          “…ผมหมายถึงทำไมถึงพูดจาหรือทำตัวประหลาดๆใส่ผม…ทั้งที่แค่จะแกล้งพี่วินไม่เห็นต้องทำแบบนั้นในบ้านหรือที่ๆพี่วินไม่เห็น…”

          สิทธิ์ไม่ได้ตื่นตระหนกอย่างที่เด็กหนุ่มคาด ซ้ำกลับดูสงบนิ่งจนน่าแปลก ดวงตาเรียวที่จ้องมองมาทางตนนั้นราวกับกำลังมองทะลุตนนั้น ชวนให้รู้สึกใจเต้นแปลกๆอย่างไม่ควรเป็นเสียได้ ร่างสูงเขยิบเข้าหาจนห่างไม่ถึงฟุต จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของร่างกาย

          “ทำไมฉันถึงทำไม่ได้ล่ะ” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบถามข้างหู “ก็ฉันอยากทำกับของๆฉันนี่”

          เพียงแค่นั้นหัวใจเจ้ากรรมก็เต้นดังอย่างไม่น่าให้อภัย ถ้าเป็นเมื่อก่อน เดียร์คงอยากอ้วกไปแล้ว

          “ผ…ผมก็แค่อยากรู้” ไม่รู้จะโล่งใจดีไหม เพราะไม่ต้องแอ๊บเลยไม่ต้องกลัวจะหลุดพิรุธอะไร ถึงแม้จะทำให้หายใจไม่ค่อยจะออกเท่าไหร่ก็ตาม “อยู่ๆคุณก็เหมือนจะทำดีแต่ก็ร้ายกาจ ผมไม่เข้าใจ…”

          “ก็เพราะฉันรักเธอไง”

          แน่นอนว่าเดียร์ตาโตจนแทบถลน ซึ่งเป็นคำตอบที่ชวนช็อกเป็นที่สุด

          “ตะ…แต่ผมไม่ได้รักคุณสักหน่อย คนอย่างคุณน่ะ…” เด็กหนุ่มเบือนหน้าแดงออกไปทางอื่น ชักเริ่มงงๆว่าตกลงที่เป็นอยู่ตอนนี้แค่แสดงแล้วอินตามบทหรือเพราะเผลอรู้สึกแบบนั้นจริงๆกันแน่ “คนที่คิดร้ายกับพี่วินอย่างคุณ ผมไม่มีทางรักแน่”
         
          “ก็แค่ตอนนี้” แทนที่อีกฝ่ายจะหงอหรือเศร้ากับการโดนหักอก สิทธิ์กลับพูดต่อด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม “ยังมีเวลาอีกเยอะแยะที่ฉันจะทำให้เธอรัก…ทุกอย่างที่เป็นฉัน ไม่ว่าจะทำยังไง เธอก็ไม่มีทางหนีฉันพ้นหรอก”

          “มะ…ไม่มีทางหรอก” เสียงหวานสั่นระริก ใบหน้าบึ้งตึงเมื่อเห็นคนตรงหน้าเหยียดยิ้มอย่างคนเหนือกว่าใส่ “ไม่มีทาง!”

          ว่าจบก็รีบผลุนผลันหนีกลับเข้าห้องไป ปล่อยให้เจ้าของห้องได้แต่ยืนมองตามหลังอย่างเงียบๆ และแน่นอนว่าฉากเมื่อครู่ มีหรือจะพ้นสายตาและหูของลูกน้อง

          “ว้าวๆ แบบนี้มีลุ้นแน่” ฤทธิ์ที่ดูจะลุ้นสุดตัวจนถึงขนาดยอมหนีจากละครที่ดูประจำมาดูฉากนี้แทนถึงกับตื่นเต้นจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ “โอ๊ย นึกไม่ออกเลยว่ามะรืนนี้จะเป็นยังไง”

          “นั่นสินะ” ก้องตอบตามตรง เพราะนึกไม่ออกจริงๆ “

          “อะไร ทำไมดูนายโล่งใจแทนล่ะ” ฤทธิ์นิ่วหน้ามองคนข้างๆ “ท่าทางอย่างกับไม่ดีใจเท่าไหร่เลยนะ”

          “ไอ้ดีใจมันก็ดีใจอยู่หรอก…แต่นายนึกดูนะว่าถ้าคุณวัฒน์รู้เข้าแล้วจะเป็นยังไง”

          จากที่กำลังดี๊ด๊าถึงกับหน้าซีดลงทันควัน

          “แต่จบแบบนี้ก็ถือว่าดีไปหลายขุมล่ะ” ก้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ที่เหลือก็…แล้วแต่ความซวยของพวกเราละกันนะจ๊ะ”

          ถ้าเป็นปกติฤทธิ์คงชกไปแล้ว แต่พอนึกว่า วัฒน์จะรู้สึกอย่างไร ที่รู้ว่าสิทธิ์กลายเป็นแบบนี้ทั้งที่เขากับก้องคอยดูแลอยู่ มือไม้มันก็หมดเรี่ยวแรงอย่างไม่มีสาเหตุเสียได้

 

          บ้าอะไรวะ

          เดียร์นิ่วหน้านอนนิ่งอยู่บนเตียง ในหัวยังคงมีภาพตอนสิทธิ์เอ่ยคำรักวนไปวนมาอย่างกับภาพหลอนติดตาไม่หาย แม้จะพยายามสะบัดออกไปอย่างไรก็ตาม

          ก็เพราะฉันรักเธอไง

          แต่ที่รู้สึกแย่จนแทบบ้า ไม่ใช่เพราะรู้สึกขยะแขยงกับคำหวานที่ได้ยิน แต่เพราะดันใจเต้นไปกับมันทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนี่ล่ะ

          ทำไมล่ะ ทีกับพี่ก้องเราก็ยังเป็น แต่ทำไมกับคุณสิทธิ์เรากลับรู้สึกแบบนี้กัน…รักบ้าบออะไร ไม่มีเหตุผลเลย ก่อนหน้านั้นเรายังขยะแขยงแล้วก็หงุดหงิดทุกทีเวลาคุณสิทธิ์ทำตัวดีนี่นา…ยิ่งทำตัวหงอด้วยนะ ยิ่งน่าโมโห…

          เดียร์กะพริบตามองเพดานปริบๆ…ใช่...เขาเองก็เคยเห็นคนที่ทำท่าแบบสิทธิ์มาก็เยอะ แต่ตนก็แค่รู้สึกขยะแขยงเท่านั้น ไม่เคยเลยที่จะหงุดหงิดใส่เลย เพราะไม่มีเหตุผลจะต้องไปหงุดหงิดใส่เลยนี่

          แต่…กับคุณสิทธิ์…เรา…

          อยู่ๆหน้าก็แดงอย่างไร้สาเหตุ เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ยังไม่อยากจะเชื่อกับความคิดตัวเองเมื่อครู่ แต่เพียงไม่นานก็เกิดอาการกลัดกลุ้มและกังวลขึ้นมา

          ใช่…มันเป็นไปไม่ได้หรอก…จะให้อยู่กับคนธรรมดาแบบนั้นน่ะ เราคงทนไม่ได้หรอก…

          คิดแล้วก็รู้สึกเจ็บในอกอย่างที่ไม่เคยเป็น…แต่อีกส่วนก็รู้สึกยินดีจนน่าแปลกกับความเจ็บปวดที่หาทางระบายไม่ได้นี่…อา…ช่างสับสนเหลือเกินว่าจะปล่อยให้คาใจแบบนี้ดี หรือแก้มันออกไปให้พ้นตัวดีกันนะ…ไม่ได้สิ เราไม่ควรจะลงเอยกับเขานี่หว่า…แต่เสียดายจัง…ถ้าพยายามขอร้องดีๆคุณสิทธิ์จะยอมกัดฟันเล่นเอสเอ็มกับเราหน่อยได้ไหมหว่า…อา…เครียดดีจังเลย…แต่เขาเป็นคนดีขนาดนั้น คงต้องปวดใจที่ทำแน่ๆ…แบบนั้นเราไม่เอาด้วยหรอก…

          เดียร์นอนนิ่ง…ใจจริงเขาก็คิดว่าไอ้ที่กำลังคิดมันก็ดีอยู่หรอก…ก็ในเมื่ออีกฝ่ายรักตน และตนก็รู้สึกแบบนั้นแล้วด้วย มันก็คุ้มที่จะลองดู

          ก็ลองเสี่ยงหน่อยละกัน


__________________________________

คู่นี้นี่กว่าจะให้รักกันได้นี่ เข็นยากเข็นเย็นจริงๆ =3=

ขอบคุณผู้อ่านและผู้เมนท์ทุกท่านก๊าบ >_<

ออฟไลน์ lovegoldfish

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
เดียร์น่าร๊าาาาากอ่ะ :hao7: ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะเลย
แต่ตอนนี้ขักจะคิดถึงชาแล้วอ่ะ เมื่อไรจะมีบท :mew2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
เริ่มมันส์แล้ว  :katai2-1:

ต่อเร็วๆนะคะ  :call:

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
เดียร์นางเริ่มกลับเข้าสู่เส้นทางปกตินิดรึเปล่า?

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 45

          ชาถอนหายใจเดินแกร่วไปตามทางเดินยาวสุดลูกหูลูกตาที่มีเพียงตึก ดวงตาคมเลื่อนมองท้องฟ้าสีม่วงอมแดงในเวลาพลบค่ำ ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย เพียงแต่เพราะจิตใจกำลังโหยหายสิ่งที่อยากได้มากกว่า แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางได้ในเร็วๆนี้ ถึงได้รู้สึกอ่อนล้าจนอยากจะล้มลงนอนเสียตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

          “ไอ้คุณเดียร์…” ชาได้แต่กัดฟันเอ่ยชื่อคนที่อยากจะตะบันหน้าเป็นที่สุด นอกจากจะกล้าใช้งานเขา ยังจะมีหน้ามายั่วโมโหกันอีก ถ้าไม่ติดว่าได้ผลประโยชน์ร่วม เขาไม่ทนเหงาอยู่แบบนี้หรอก

          เท้าที่เดินก้าวหยุดลง ความรู้สึกที่สู้อดทนมาชักเริ่มเก็บไว้ไม่ไหว และทำท่าจะทะลักเข้าทุกที ยิ่งเห็นคนใส่แว่นเดินผ่าน ก็ดันไปนึกถึงใครบางคนที่อยากวิ่งเข้าไปอ้อนบาทาเป็นที่สุด

          ดวงตาเรียวหรี่ลง อยากร้องไห้เสียเหลือเกิน ความเจ็บที่โดนเข้าใจผิดมันโหดร้ายเหลือเกิน…แต่ที่โหดร้ายกว่าก็คือตัวเองที่ดันไปมีความสุขกับความเจ็บนั้นจนร้องไห้ไม่ออกนี่แหละ ยิ่งพยายามก็ยิ่งทรมานจนหุบยิ้มไม่ลงแทน

          ร่างสูงมองภาพตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย นึกถึงวันเก่าๆที่ใช้ชีวิตมา…หากไม่ได้วิน เขาก็คงไม่มีทางมายืนอยู่ตรงนี้ และก็ไม่คงกลายเป็นพวกรสนิยมประหลาดที่ดันหลงไอ้คนติดน้องพรรค์นั้นด้วย…

 

          สมัยก่อน เขาเป็นแค่คนต่างด้าวธรรมดาที่หนีเข้าประเทศกับใครก็ไม่รู้ เพราะตัวเองก็โตมาโดยที่ไม่มีพ่อแม่ และด้วยความที่เบื่อกับชีวิตฉกชิงวิ่งราวไปวันๆกับการโดนทุบตีไม่หยุดหย่อน เลยคิดว่าการหนีเข้าประเทศนี้อาจจะทำให้ชีวิตดีขึ้น ซึ่งก็เปล่าเลย ไม่รู้เพราะดวงซวยแต่กำเนิดหรืออย่างไร ถึงได้ไปเจอพวกค้ามนุษย์แทนเสียนี่ และอยู่ดีไม่ว่าดี ไปหาเรื่องหนีบวกกับทุบไอ้คนคุมแขนหักไปหลายคน บทลงโทษสูงสุดคือก็โดนขายเครื่องในทอดตลาดมืด ซึ่งแน่นอนว่าหมาที่ไหนจะยอม แต่ก็นั่นล่ะ เด็กคนเดียวจะไปสู้อะไรผู้ใหญ่เป็นฝูงได้ล่ะ นอกจากจะทำให้ตัวเองเจ็บตัวก่อนตายอย่างเปล่าประโยชน์ก็เท่านั้น

          “อ้าว จะเอาหมอนั่นไปไหนน่ะ”

          ในตอนนี้วินก็เป็นแค่เด็กตัวเล็กนิดเดียวที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เป็นแค่คุณชายที่ดูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ซึ่งชอบมาเดินเล่นในโรงงานนรกของพ่อบ่อยๆ และยังไม่ใส่แว่น ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับวินเลยสักนิด สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวคือ เด็กต๊องๆที่ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนเพราะเกิดมาบนกองเงินกองทองของพ่อแม่เพียงเท่านั้น…

          “มันวอนหาเรื่อง ทำร้ายคนของเราไปหลายคนน่ะครับ เลยกะจะเชือดทิ้ง” ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งเป็นคนคุมโรงงานผลิตเสื้อแห่งนี้เอ่ยอย่างหัวเสีย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะพูดกับเด็กสิบขวบ “อ๊ะ…คือผมแค่จะลงโทษเขาที่ทำผิดกฎน่ะครับ”

          “กฎบ้ากฎบออะไร จะฆ่าฉันก็บอกไปตรงๆสิ” เพราะไม่เหลืออะไรให้พะวง ชาเลยพูดออกมาอย่างไม่แยแส ก่อนจะหันไปมองเด็กชาย “พวกนี้จะฆ่าควักเครื่องในฉันไปขายต่อ เข้าใจไหม คุณชาย”

          แต่แทนที่วินจะกลัว หรือโกรธที่โดนพูดด้วยน้ำเสียงหยามน้ำหน้า เขากลับหัวเราะแทน จนทั้งชาและลูกน้องคนอื่นต่างพากันงุนงงต่อพฤติกรรมของลูกเจ้านาย

          “นายนี่เพี้ยนดีนะ” หลังหัวเราะเสร็จยังมีหน้าไปว่าเขาอีก “นี่ ไม่ต้องฆ่าหรอก เดี๋ยวผมจะขอพ่อเลี้ยงไว้นะ”

          “จะบ้าเรอะ ฉันไม่ใช่หมานะ” เด็กหนุ่มแหวใส่ทันที จะเอาแต่ใจก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นลูกของคนที่ทำให้ตนต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้แล้ว ยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่

          “เหรอ งั้นเลือกเอาละกันว่าจะเป็นหมากับตัวกลวง นายชอบแบบไหนล่ะ”

          ซึ่งแม้จะไม่ชอบทั้งสอง แต่ก็คงไม่ต้องเลือกนานนักหรอก

          “แต่…มันจะดีหรือครับ หมอนี่ทำร้ายคนของเราไปเยอะเลยนะครับ แล้วคุณท่านจะยอมหรือ”

          วินไม่ตอบกลับนอกจากชี้นิ้วไปด้านนอก และคนคุมก็ได้แต่ปั้นหน้าหวั่นก่อนจะสั่งให้คนคุมตัวชาพาออกไปข้างนอก ซึ่งมีรถรอจอดไว้อยู่แล้ว

          แน่ล่ะ ถึงจะกลัวแทบตาย แต่สุดท้าย พอได้จังหวะ ชาก็หาเรื่องสะบัดตัวหนีอีก และแน่นอนว่าถ้าหนีตัวเปล่าอีกก็คงโดนจับอีกเป็นแน่แท้ เหลือทางเดียวที่มองเห็นก็คือจับใครสักคนที่จะทำให้คนอื่นๆไม่กล้าเข้ามาและยอมให้ตนหนีแต่โดยดี

          แต่เขาคิดผิดอย่างแรง

          “ฮะๆ นายนี่มันแน่จริงๆ เจอขนาดนี้แล้วยังจะกล้ามาลองดีกับฉันอีกนะ คิดไม่ผิดจริงๆ” แม้คำพูดจะโอ้อวดเกินเด็ก แต่แรงที่กำลังบิดข้อมือของเด็กหนุ่ม บ่งบอกให้รู้ว่าตนนั้นอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายมากแค่ไหน ทั้งที่วินเองก็สูงไม่ถึงไหล่ของชาด้วยซ้ำ แต่กลับสามารถคว่ำร่างของเด็กหนุ่มลงกับพื้นแล้วจับนอนบิดแขนจนกระดิกกระเดี้ยวไม่ได้ “เอ้า จะยืนนิ่งกันทำไมล่ะ มัดไว้สิ อ้อ ผูกสายจูงคอไว้ให้ด้วยนะ จะได้ลากสะดวกหน่อย ฮะๆ”

          ช่างเป็นคำพูดที่ร้ายกาจไม่สมกับวัยดีแท้

          “ปล่อยนะเฮ้ย” ชากัดฟัดกรอด ที่โดนลากไปมาเหมือนกับสุนัข

          “เงียบๆน่า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเผลอกระชากจนคอหักแล้วไม่รู้ด้วยนะ”

          และเพราะเจอฤทธิ์เดชมาแล้ว เลยหยุดทันควัน

          ชาได้แต่นั่งนิ่งมองเด็กชายที่นั่งข้างๆอย่างงุนงงบนเบาะหลังของรถที่กำลังวิ่งกลับบ้านของวิน ไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ถึงได้ช่วยตนไว้แบบนี้ แม้ลึกๆจะนึกขอบคุณอยู่ แต่เพราะโดนดีจนระบม เลยไม่ค่อยอยากจะเอ่ยหรือซาบซึ้งมากนัก เพราะกลัวจะโดนหักแขนกลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

          “หน้าฉันมีอะไรให้จ้องนักหรือ” คำถามของวินทำเอาชาที่หันมองคนนั่งข้างอยู่นานสองนานถึงกับสะดุ้ง

          เด็กหนุ่มนิ่วหน้า แต่ก็ไม่พูดอะไรนอกจากหันไปมองวิวนอกหน้าต่าง จนกระทั่งถึงที่หมาย ที่ทำให้ชารู้สึกหมั่นไส้ไอ้เด็กบ้านี่หนักข้อ เขาก็รู้อยู่หรอกว่าพ่อมันรวย แต่พอมาเห็นบ้านโอ่อ่าอย่างกับปราสาท มีพื้นที่รอบบ้านราวสามสิบไร่ พร้อมสวนสวยที่ได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งยังมีสระน้ำพุหน้าบ้านอีกต่างหาก ใครมันจะไม่อิจฉาริษยากันบ้าง

          “มาสิ” เด็กชายเอ่ยพร้อมกับกระตุกเชือกที่คล้องคอ ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเก่งกว่าและโดนผูกคอแบบนี้ ชากระโดดถีบขาคู่ใส่ไปแล้ว

          เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่ายด้วยความที่เหนื่อยและกลัวเกินกว่าจะกล้าขัดขืน ณ ตอนนี้ ต่อให้ต้องกินข้าวหมาก็ยอม

          แน่นอนว่าทันทีที่เหล่าคนใช้เห็นต่างพากันตื่นตระหนกกันยกใหญ่ พร้อมทั้งวิ่งไปฟ้องมาริสาอีกต่างหาก แต่วินก็ไม่ได้สนใจนัก และเดินนำชาพาเข้าไปยังห้องนอนของตนทันที

          “จะดีหรือคะ…พาเขาเข้าห้องคุณหนูไปคนเดียวแบบนี้ พาบอดี้การ์ดเข้าไปด้วยสักคนสองคนน่าจะดีกว่านะคะ” สาวใช้เอ่ยอย่างหวาดวิตกเมื่อคุณชายของบ้านต้องการจะพาคนที่พยายามหนีและทำร้าย เข้าห้องนอนสองต่อสอง

          “โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก จะเลี้ยงหมาก็ต้องฝึกเองสิครับ ไม่อย่างนั้นหมามันจะเชื่อฟังเหรอ จริงไหม” วินหัวเราะเอิ้กอ้ากเหมือนเด็ก จนทำให้ชารู้สึกหมั่นไส้เข้าไปทุกที เขาได้แต่นึกหวังว่าไอ้เด็กบ้านี่มันจะพลาดให้เขาเตะกลับบ้างสักหน่อย จะได้หายแค้น “ไปเถอะครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอก

          เมื่อไม่อาจห้ามได้ สาวใช้จึงได้แต่ยอมตามแต่โดยดีก่อนจะปิดประตูห้องออกไป

          “…แกคิดจะทำอะไรกันแน่ ฉันไม่ยอมเป็นหมาอย่างที่แกอยากหรอกนะ” ชาพูดทันทีหลังจากที่อยู่แค่สองคน “…เฮ้”

          ดูวินจะไม่ค่อยสนใจชาเท่าใดนัก เขาเดินไปสำรวจประตู เหมือนต้องการให้มั่นใจว่าไม่มีใครแอบฟังแน่ๆ จากนั้นก็เอ่ยคำที่ทำให้คนฟังได้แต่ค้าง

          “นายไม่เป็นอะไรนะ ขอโทษทีที่ทำรุนแรง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

          ชากะพริบตาปริบๆ สีหน้าและท่าทางอวดดีเมื่อครู่หายไปจนสิ้น เหลือไว้แต่เด็กชายที่ดูจะกังวลและเป็นห่วงตนเท่านั้น

          “เดี๋ยวสิ นายคิดจะทำอะไร” แต่เพราะยังไม่อาจเชื่อได้สนิทใจ จึงไม่ยอมให้อีกฝ่ายแกะเชือกที่มัดร่างเอาไว้

          สีหน้าของวินดูจะยุ่งยากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา “ไอ้ที่พูดก่อนหน้านั้นมันก็แค่แสดงเท่านั้นล่ะ ฉันก็แค่อยากจะช่วยนายเอาไว้ก็เท่านั้น…แต่ทำไงได้ล่ะ ขืนขอดีๆ แค่เอานายไปปล่อย พวกลูกน้องคุณพ่อเขาไม่ยอมหรอก…แต่ฉันไม่ได้ช่วยเฉยๆหรอกนะ ฉันอยากให้นายช่วยฉัน”

          ชาเพียงแค่มอง

          “ฉันเกลียดไอ้โรงงานผลิตผ้าสับปะรังเคนั่น” เด็กชายเริ่มหัวข้อด้วยความฉุนเฉียว “ฉันเกลียดที่พ่อบังคับให้คนมาใช้เป็นทาสแบบนี้ ฉันอยากจะเลิกไอ้ของพรรค์นั้นให้หมด”

          เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว นั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะออกมาจากปากของผู้เป็นลูกชายเลยสักนิด

          “แล้วฉันจะช่วยอะไรนายได้ล่ะ ฉันก็แค่คนต่างด้าวหนีเข้าประเทศ หนังสือก็ไม่ได้เรียน” ชาถามกลับอย่างงุนงง

          “ฉันรู้นะว่านายฉลาด” วินเอ่ยชมอย่างเปิดเผย “ก่อนหน้าที่มาทำงานแรกๆ นายพูดไทยไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วทั้งๆที่นายไม่ได้เรียนหนังสือ แต่นายกลับบวกเลขได้ ฉันเห็นนะ ว่านายแอบคำนวณทุกทีเวลามีของส่งเข้าโรงงาน แถมยังแอบฟังพวกลูกน้องพ่อคุยกันตลอด ทั้งที่พวกเขาก็พูดแต่เรื่องงานยากๆ”

          นั่นทำให้ชาตะลึงยิ่งกว่า เพราะตอนที่มาอยู่ประเทศนี้ใหม่ๆ มันก็เป็นเรื่องเมื่อสองสามปีก่อน แสดงว่าวินจำเขาได้ตั้งแต่ตอนนั้นน่ะสิ แต่เขากลับไม่เห็นจะจำได้ว่าเคยเจอวินช่วงนั้นเลย

          “ที่สำคัญ นายเองก็เป็นคนดีด้วย ฉันเห็นนายชอบช่วยคนงานคนอื่นจนเจ็บตัวแทนตั้งหลายครั้ง” ยิ่งฟัง ชาก็ยิ่งสะพรึงและประหลาดใจกับการสังเกตของเด็กชาย ที่ทำโดยที่ตนไม่รู้ตัวสักนิด “เพราะงั้น ฉันเลยอยากให้นายช่วย”

          “ยังไง” แม้อย่างนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “นายแค่ไปขอพ่อนายให้เลิกทำแบบนี้ก็ได้นี่”

          “จะบ้าเรอะ พูดง่ายนะ ต่อให้รักลูกยังไง ไอ้ของแบบนี้ไม่มีใครเขายอมกันหรอก ยิ่งกับพ่อฉันนี่ลืมไปได้เลย” น้ำเสียงช่วงท้ายฟังดูรังเกียจพ่อของตนเอาเรื่อง “แล้วฉันคนเดียวก็ทำไม่ได้หรอก เพราะงั้น ฉันถึงกำลังหาคนมาช่วยไง และนายเองก็เป็นตัวช่วยที่ดีและมีคุณสมบัติครบทุกอย่างด้วย ช่วยฉันก่อนเถอะนะ แล้วถ้าสำเร็จ หลังจากนั้นนายอยากจะใช้ชีวิตยังไง ฉันก็จะไม่ห้ามเลย”

          ชายังคงนิ่ง ถ้าเป็นเด็กคนอื่นเขาคงจะตอกหน้ากลับไปแล้วว่าเพ้อ แต่ลองว่าอีกฝ่ายสังเกตคนได้ละเอียด พูดจามีความคิด แถมยังมีข้อเสนอดียิ่งกว่าช่วงโปรโมชั่นแบบนี้ ถึงจะรู้ว่าอาจจะโดนหลอก แต่ก็อดตอบรับไม่ได้อยู่ดี

          “ก็ได้…” เมื่อทางเลือกค่อนข้างจะเป็นประโยชน์กับตน ชาจึงเลือกจะตกลง และนั่นทำให้เขาต้องตกใจยิ่งกว่า

          “จริงหรือ เย้ ขอบใจนะ”

          ไม่ว่าเปล่ามีโผเข้ามากอดแบบไม่กลัวคราบเลือดและเหงื่อของชาเลยสักนิด ทำเอาเขาตกใจเลยทีเดียว…

          แต่ประเด็นคือมันไม่ใช่แค่นั้นนี่น่ะสิ…

          “เออ เข้าใจแล้ว ปล่อยสักทีสิ” ชารีบสะบัดตัวหนีด้วยความหวาดหวั่น ไม่แน่ใจว่าสาเหตุเพราะอีกฝ่าย หรือเพราะตนกันแน่

          แล้วเมื่อกี้เราจะใจเต้นไปทำไมวะ แค่มันยิ้มน่ารักแล้วกอดใส่เนี่ยนะ ไหงงั้นล่ะ

          “อ๊ะ โทษทีนะ เผลอไปหน่อย กว่าจะหาคนยอมตกลงแบบนายมันยากน่ะ” วินบอก น้ำเสียงยังคงเปี่ยมสุขไม่เปลี่ยน “จริงสิ ฉันว่านายไปอาบน้ำก่อนก็ดีนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะให้คนเตรียมชุดใหม่ให้ ห้องน้ำอยู่ทางนั้นนะ ใช้ได้ตามใจชอบเลย”

          ว่าจบก็รีบแกะเชือกให้แล้วออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้คนแปลกหน้าอย่างชาอยู่ในห้องนอนเพียงคนเดียวเท่านั้น

          เดี๋ยวสิวะ มันจะหละหลวมไปหน่อยหรือเปล่า

          ใจจริงเขาก็ไม่แปลกใจนักหรอก ก็อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กสิบขวบเองนี่ หรือไม่คิดว่าเขาจะแอบหนีกันนะ ถึงจะใช้ทางประตูตรงๆไม่ได้ แต่พอเข้าไปสำรวจในห้องน้ำ ก็มีหน้าต่างระบายอากาศที่กว้างพอจะ…

          …หนีดีไหม

          ทั้งที่นั่นคือความตั้งใจแรกแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกลังเลขึ้นมาเสียได้ ส่วนหนึ่งเขายอมรับว่า ต่อให้หนีไป ก็ไม่รู้ว่าจะไปรอดได้สักกี่น้ำ ในประเทศที่ตนแทบไม่เคยได้เห็นเลยนอกจากท่าเรือกับในโรงงาน อีกทั้งยังไม่มีความสามารถใดๆติดตัว ถ้าไม่ตายกลางทางก็คงกลับมาเป็นทาสแบบเดิมแน่นอน

          แต่อีกส่วนที่ไม่อยากจะยอมรับนักคือ ภาพรอยยิ้มของวินที่ทำให้เขาหยุดเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่าง ทำเอาอยากจะโขกหัวกับกำแพงเลยทีเดียว

          เกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะ

          โอเค เขายอมรับว่าตัวเองไม่เคยสนใจผู้หญิงเลย แต่ก็ไม่เคยสนใจผู้ชายด้วยเหมือนกัน แล้วนี่อะไร เกิดมาใจสั่นกับเด็กผู้ชายสิบขวบได้อย่างไรกัน

          ก็แค่ดีใจที่รอดตายเท่านั้นล่ะวะ

 

          ชาสะดุ้งนิดหน่อยเมื่ออีกฝ่ายเดินพรวดพราดเข้ามาพร้อมกับลูกน้องร่างถึกอีกสองคน เล่นเอาเขาซึ่งกำลังดื่มดำกับที่นอนแสนนุ่ม ถึงกับกระโดดออกมาราวกับติดสปริงก็ไม่ปาน

          “…โทษที แบบว่าอดใจไม่ได้” เขาไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรดีหลังจากรู้ถึงสิ่งที่วินต้องการ เลยได้แต่บอกอ้อมแอ้มเหมือนคนสำนึกผิดไปแทน

          “หนอย ไอ้เด็กเวรนี่ ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยเรอะ” ชายร่างถึกคนหนึ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิดก่อนจะทำท่าเข้ามาเสยคางชา แต่โดนวินห้ามไว้ก่อน

          “น่าครับ หมาที่เพิ่งเก็บมาก็ตื่นเต้นแบบนี้ทุกตัวแหละ” ถ้าเป็นก่อนหน้านั้น ชาก็หงุดหงิดและสวนกลับไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาชักลังเล เลยกะว่าเก็บความโมโหนี้ไว้ในใจแล้วค่อยคิดบัญชีกันทีหลังแทน “เดี๋ยวหลังสอนมารยาทก็ดีขึ้นเอง อ้อ เสื้อผ้าวางไว้ตรงนั้นเลยครับ”

          วินชี้นิ้วไปยังโซฟาที่อยู่มุมห้อง เหล่าลูกน้องทั้งสองเพียงแค่มองชาอย่างไม่พอใจและไม่ไว้ใจนัก ก่อนจะทำตามคำสั่งเจ้านายอย่างเสียไม่ได้ และก่อนออกจากห้อง ยังไม่วายส่งสายตาอาฆาตมาให้อีก

          “โทษทีนะที่พูดแบบนั้นไป” และก่อนที่ชาจะได้ด่า อีกฝ่ายก็ชิงพูดขอโทษก่อนเสียอย่างนั้น “ฉันรู้ว่านายไม่ชอบ แต่ช่วยอดทนหน่อยเถอะ จะให้เปลี่ยนมาพูดดีทันทีกับคนที่จะจับฉันเป็นตัวประกันมันคงไม่ได้หรอกนะ”

          “…ฉันรู้น่า” ชาตอบกระแทกเสียง

          “แต่ว่า ขอบใจนายมากนะ” หลังจากหยิบเสื้อผ้าให้ วินก็เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไร้เดียงสา และก็ไม่รู้ทำไม มันถึงทำให้ชามองอีกฝ่ายนานๆไม่ค่อยจะได้

          “เรื่องอะไร ถ้าเรื่องที่ฉันตกลงล่ะก็ ไม่ต้องก็ได้ มันก็แค่มีผลประโยชน์ร่วมกับเท่านั้นล่ะ”

          “เปล่าสักหน่อย” เด็กชายรีบแย้ง “ฉันขอบใจเรื่องที่นายยอมอยู่ที่นี่ และไม่หนีไปตอนที่ฉันออกจากห้องต่างหาก”

          นั่นทำให้คนฟังผงะ…ไม่คิดว่านั่นจะเป็นการลองใจตัวเองเลยสักนิด

          “นายไม่ใช่คนแรกสักหน่อยที่ฉันทำแบบนี้” วินบอกพลางเดินเข้าไปนั่งบนเตียง “ทั้งหมดแปดคนที่ฉันเคยทำแบบนี้ และมีคนยอมอยู่แค่คนเดียว ส่วนนายเป็นคนที่เก้าและเป็นคนที่สองที่ไม่หนี เพราะแบบนั้นฉันถึงขอบใจนายไงที่ไม่ทำลายความเชื่อใจฉัน”

          ชาเพียงแต่เงียบ เขายอมรับว่าทึ่งจริงๆ ไม่คิดว่าเด็กตัวแค่นี้จะคิดได้ถึงขนาดนี้

          บางทีอาจจะมีค่าพอให้เชื่อก็ได้…

          “ฉันดีใจนะ เพราะอย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องเห็นนายเป็นศพ ถึงจะไม่อยากก็เถอะ แต่คนที่หนีก็ไม่รอดทั้งนั้นหรอก ถึงตอนนั้นเองต่อให้เป็นฉัน ก็ห้ามไม่ได้ด้วย”

          โชคดีจริงๆที่เลือกเส้นทางที่สวยงามกว่า…


_______________________________________

รีเควสมาได้จังหวะมาก ฮา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2014 13:09:14 โดย musddmp »

ออฟไลน์ Maria_safe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อยากอ่านคู่ชาวินมากๆค่ะ>< เราว่าคู่นี้ลุ้นกว่าคู่บ๊องพระเอกนายเอกตัวจริงซะอีก อันนั้นมันแนวสับสนในชีวิตละ
คู่นี้ลุ้นๆเมื่อไหร่มันจะได้ป๊ะหน้ากันสักที สงสารชาโหยหาความเอสของเจ้านาย

ออฟไลน์ Smirnoff

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ทำไมเราว่าชาน่ารักกกกก แอรรรรร แอบสงสารชาเบาๆ

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 46
         
          เอาเข้าจริงๆ สำหรับชามันไม่ใช่เรื่องยากนัก ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดร้ายอย่างที่ทำ ออกจะรู้สึกผิดและอึดอัดด้วยซ้ำ เขาเลยสามารถให้ความร่วมมือด้วยการแสดงบทบาทของผู้น้อยที่ยอมให้คนบ้าอำนาจกดหัวเพราะไม่มีทางเลือกได้อย่างสบายๆ ว่ากันตามตรง เขาละสงสารวินที่ต้องพยายามเอาเป็นเอาตายเพื่อให้คนเชื่อมากกว่า

          แต่ปัญหาหลักๆมันมาจากอะไรบางอย่างในตัวเขานี่ล่ะ ทีแรกเขาว่าตัวเองก็บ้าแล้วที่ดันไปใจเต้นกับเด็กสิบขวบ แต่อาการต่อมานี่ทำให้เขาปวดหัวหนักกว่าเดิม

          เมื่อก่อนตอนที่ยังทำงานในโรงงานนรก เขาก็โดนทุบตีอยู่บ่อยครั้ง แต่ว่ากันตามตรง การทุบตีของอีกฝ่ายไม่ได้เจ็บปวดอะไรอย่างที่น่าจะเป็นนัก ออกจะสบายเสียด้วยซ้ำ เลยทำให้เขาเข้าใจว่าร่างกายตัวเองมันทนทานกว่าปกติ…แต่หลังจากที่ดันใจเต้นแปลกๆกับวิน และโดนวินจัดหนักจากการแสดงให้คนอื่นเข้าใจว่าวินจะใช้กำลังกับชาเพราะต้องการให้เขาสยบแต่โดยดี เลยทำให้เขารู้ตัว…

          “เป็นอะไรหรือเปล่า”

          ชาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองวิน ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านไปห้าปีได้แล้ว จากเด็กที่ท่าทางดูเอ๋อ ไม่คิดว่จะโตมาได้ขนาดนี้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ตัวเท่ากันกับเขาแล้ว

          “เปล่าครับ แค่เหม่อนิดหน่อย” ชายิ้มตอบระรื่น “นี่ก็จะสายแล้วนะครับ”

          “อ๊ะ นั่นสินะ” วินร้องเสียงตื่น ก่อนจะวิ่งออกจากบ้านโดยที่ยังไม่ทันได้แตะอาหารเช้า

          ชา เพียงแต่ยิ้มส่ง ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตนก็คือดูแลสวนของบ้านก่อนจะออกไปเรียน ซี่งไอ้สวนบ้านี่ก็กว้างแบบแกล้งคนดูแลเป็นยิ่งนัก ขนาดว่ามีคนสวนอยู่ตั้งสี่คน ยังทำงานกันหน้ามืดเลยทีเดียว

          แต่ ก็นั่นล่ะ คนมันเจออะไรโหดร้ายกว่านี้มาแล้ว แค่ทำสวนแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็กมากทีเดียว นึกแล้วก็อยากขอบคุณชีวิตที่แสนเลวร้าย ที่ทำให้ตนกลายเป็นคนที่ทนทานต่อเรื่องแบบนี้ เสียจริง...ถึงแม้มันจะได้อะไรแปลกๆแถมมาด้วยก็ตามที...แม้จะเป็นแค่กับวินคนเดียวก็ตาม

          “เฮ้ย”

          เสียง ทุ้มของเพื่อนร่วมงานเรียกให้ชาต้องหันกลับไปมองที่ต้นเสียง เด็กชายตัวเล็กวัยขบเผาะเดินออกมาจากบ้านด้วยสีหน้าที่ไม่สดใสนัก และในตอนนั้นเขายังไม่เอะใจกับท่าทีแปลกๆของเดียร์เท่าใด เพราะความรู้สึกที่มีให้ในตอนนั้นคือรังเกียจ

          แน่ล่ะ ก็เดียร์เป็นลูกเมียน้อยเพียงคนเดียวที่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่ แถมคนที่พาเข้ามายังเป็น อาเขต ผู้เป็นพ่อของวินกับเดียร์นั่นเอง ใครต่อใครก็พากันคิดว่า การที่อาเขตพาเด็กคนนี้เข้าบ้าน เพราะหวังให้อีกฝ่ายเป็นหนึ่งในว่าที่ผู้สืบทอดตำแหน่งกันทั้งนั้น ถึงจะเป็นเพราะแม่ของเดียร์เสียชีวิตหรืออะไรก็เถอะ แต่อาเขตไม่เคยทำกับลูกคนอื่นแบบนี้เลย แล้วจะไม่ให้คิดได้อย่างไร อีกทั้งนั่นหมายความว่า อีกฝ่ายมีสิทธิ์ทำให้เป้าหมายของวินล้มเหลวด้วย...แม้ดูทรงแล้ว เดียร์จะสู้วินไม่ได้เลยก็ตาม

          แถม ที่สำคัญคือ เจ้าผู้ท้าชิงอีกคนที่มีแต้มต่อสูงกว่า ก็ดันรักไอ้น้องชายบ้านี่มากเสียจนน่ากลัว ขนาดริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลยทีเดียว ชาได้ยินว่าแต่ก่อนตอนเดียร์เข้ามาที่นี่แรกๆวินยังเกลียดเข้าไส้อยู่เลยแท้ๆ แต่ไม่รู้เดียร์ไปวางยาอีท่าไหน จากที่เกลียดๆกลับมารักแบบไม่ลืมหูลืมตากันเลยทีเดียว

          ยิ่งมารู้ทีหลังว่าที่วินอยากจะสืบทอดตำแหน่งต่อ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่อยากให้น้องชายที่ดูแสนดีมาทนทุกข์กับความโสมมของพ่อ ยิ่งทำให้เกลียดเข้าไปใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยร่วมวงไพบูลย์ไปกับการแกล้งเดียร์เลยสักครั้งเดียว เพราะสำหรับเขา สิ่งที่สำคัญกว่าคือการหาทางสนับสนุนวิน และต่อให้ไม่ได้แกล้ง แค่ดูก็มีความสุขแล้ว

          แต่วันนี้มันไม่เหมือนเดิม แถมยังเปลี่ยนชีวิตเขาไปจากเดิมอีกต่างหาก

          “เฮ้ย”

          เสียงทุ้มของวินทำเอาคนอื่นที่กำลังแกล้งเด็กกันอย่างเมามันส์พากันสะดุ้งหน้าซีดเป็นแถบ ใครจะไปคิดว่าวินที่เพิ่งไปโรงเรียนจะวกกลับมาแบบนี้กัน

          “นี่ถ้าฉันไม่ลืมสมุดการบ้านแล้ววกกลับมา ฉันก็คงไม่เห็นความจริงสินะ” แม้หน้าจะนิ่ง แต่รังสีสังหารที่แผ่ไปทั่วร่างบ่งบอกถึงชะตาชีวิตของคนที่กำลังจะโดดคาดโทษเป็นอย่างดี ยิ่งควงหมัดเดินเข้าไปแบบนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วว่าจะต้องเจออะไรต่อ

          ชากลืนน้ำลายมองฉากสังหารหมู่ตรงหน้า ที่เขายืนตาค้างไม่ใช่เพราะกลัวกับความโหดร้ายของวินเลยสักนิด แต่เขากำลังอิจฉาอยู่ต่างหาก! นึกแล้วก็แสนจะเสียดายที่ตนไม่ตัดสินใจเข้าไปร่วมด้วยจริงๆ…แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้อยากโดนวินเกลียดนักหรอก

          “อย่าให้ฉันเจออีกนะ ไม่งั้นไม่จบแค่นี้แน่” ไอ้แค่นี้ที่วินพูดนี่ แต่ละคนก็หน้าปูดกำเดาอาบกันทั้งคู่ “เดียร์ เป็นอะไรหรือเปล่า”

          เจ้าของชื่อตัวน้อยเพียงแต่ก้มหน้าแล้วส่ายหัว นั่นยิ่งทำให้วินหงุดหงิดหนักข้อ และหันกลับไปหมายจะลงมือระบายความแค้นให้สาแก่ใจ

          “ใจเย็นๆครับ เดี๋ยวพวกเขาก็ตายหรอก” หลังจากได้สติ ชาก็รีบเข้าไปห้ามเพราะไม่อยากเห็นภาพชวนน่าอิจฉาไปมากกว่านี้

          “อย่ามาห้าม ฉันจะฆ่าพวกมัน” วินโวยวายไม่พอยังเอาเท้าถีบใส่หน้าเท่าที่มีโอกาส ซึ่งก็ทำได้แค่เอาปลายเท้าเขี่ยหัวอีกฝ่ายเท่านั้น

          “ไม่นะครับพี่วิน อย่าทำไปมากกว่านี้เลย”

          เจ้าเด็กที่โดนรังแกและเอาแต่ก้มหน้าโดดเข้ามาห้ามด้วยการกอดเอวพี่ชายเข้าเต็มรัก และทั้งที่ดูแรงน้อยกว่าจม แต่กลับทำให้คนแรงควายอย่างวินยอมสงบลงได้ในทันที

          “แต่พวกมันรังแกนายนะ” วินร้องเสียงหลง

          “ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่ถ้าพี่วินตะโกนจนคุณแม่มาริสาได้ยิน พี่จะแย่เอานะ”

          นั่นได้ผลยิ่งกว่าสิ่งใด จากที่กำลังโมโห ถึงกับอารมณ์ดับวูบ แน่ล่ะ ถ้ามาริสารู้ มันไม่มีทางจบลงแค่วินโดนดีอยู่คนเดียวแน่ เพราะมันจะทำให้ต้นเหตุอย่างเดียร์โดนไปด้วย…ซึ่งนึกแล้ว ชาก็อดหงุดหงิดไม่ได้จริงๆ

          “เชอะ เอางั้นก็ได้ ถ้าพวกแกบอกแม่นะ ฉันจะเอาพวกแกถ่วงทะเล” วินข่มขู่ก่อนจะยอมถอยทั้งที่ไม่อยาก “แม่ง ทำเสื้อฉันเปื้อนด้วย ไอ้เวรเอ๊ย”

          อย่าไปโทษเลยครับ พวกเขาเองก็ไม่ได้อยากจะให้เลือดตัวเองกระเด็นไปโดนเสื้อนักเรียนของคุณหรอก

          “ผมว่ารีบไปเปลี่ยนเสื้อดีกว่านะครับ นี่ก็ใกล้ได้เวลาที่คุณนายจะตื่นแล้ว” ชาแนะนำ “ไหนจะการบ้านของคุณอีก”

          “อ๊ะ นั่นสินะ” หนุ่มแว่นทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ จากนั้นก็หันไปหาเดียร์ “นายรีบไปเถอะ เดี๋ยวพี่เข้าบ้านก่อนละกันนะ”

          “ครับ” เสียงหวานเอ่ยรับ แต่กลับไม่ทำตาม เพียงแค่ยืนมองพี่ชายเดินหายเข้าบ้านไป

          ชามองเด็กตัวเล็กด้วยความกังขา อีกฝ่ายไม่ขยับไปไหนเลยสักนิด ดวงหน้าเรียวเล็กเงยมองขึ้นมา ทำให้ชาได้เห็นใบหน้าของเด็กชายได้อย่างชัดเจน และนั่นก็ทำให้เขาต้องแปลกใจ เพราะปกติเขามักจะเห็นเดียร์ทำสีหน้าอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา แต่คราวนี้ เดียร์กำลังยิ้มให้ และเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ชายอกสามศอกอย่างเขาถึงกับหวั่น...แน่นอนว่าไม่ใช่ เพราะความรู้สึกชวนจั๊กจี้เหมือนกับที่มีให้วิน...แต่มันเป็นอะไรที่ชวน สะพรึงกว่านั้น

          “คุณเป็นพวกมาโซคิสม์สินะ”

          ฟังแล้วชักกระตุกเลยทีเดียว

          “พูดอะไรของแก” ชาเผลอหลุดถามเสียงห้วน ซึ่งตามปกติเจ้าเด็กบ้านี่จะก้มหน้าลงด้วยความกลัวแท้ๆ แต่เดียร์กลับมองกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน กลายเป็นเขาเสียอีกที่รู้สึกไม่กล้ามองขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

          “ไม่ต้องปิดหรอกครับ ผมรู้แล้วล่ะ” เด็กชายพูดเสียงหวาน หากแต่กลับฟังไม่รื่นหูเลยสักนิด “ผมสังเกตมานานแล้วล่ะตั้งแต่รู้จักกับคุณ ของแบบนี้มันปิดพวกเดียวกันไม่ได้หรอก”

          พวกเดียว…หรือว่า

          แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้บอกตรงๆ แต่จากรอยยิ้มที่สดใสอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เขารู้ได้ทันที และนั่นทำให้เขาได้แต่อ้าปากค้าง แสดงว่าที่ผ่านมาเจ้าเด็กนี่มันมีความสุขจากการโดนแกล้งมาตลอดอย่างนั้นน่ะสิ

          “พูดอะไรของแก ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง” ถึงอย่างนั้นแล้ว มีใครจะยอมรับกันบ้างล่ะ แถมยังเป็นเด็กที่เหม็นขี้หน้าอีกต่างหาก

          “หรือครับ แหม ผมรึ อุตส่าห์จะบอกวิธีทำให้พี่วินทุบคุณโดยที่เขาไม่เกลียดคุณสักหน่อย สงสัยคงคิดมาเสียเปล่า…”

          ถ้าไม่ใช่คนขี้ระแวงมาตั้งแต่แรก อาจจะเผลอโดดเข้าไปงับเหยื่อแล้วก็ได้

          “…เอาเถอะครับ ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร” เดียร์ยิ้มกว้าง “แต่ถ้าอยากเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็บอกนะครับ ผมยินดีทุกเมื่อ ยิ่งมีเพื่อนรสนิยมเดียวกันแบบนี้ผมดีใจเสียอีกนะ”

          ชาได้แต่นิ่งเงียบมองร่างเล็กที่กำลังเดินจากไป ตอนนี้ความรู้สึกมันตีกันยุ่งไปหมด เข้าทั้งแปลกใจ สงสัย ประหลาดใจ และหวาดกลัว

          ถึงจะไม่อยากเชื่อ แต่เห็นรอยยิ้มและสีหน้าของอีกฝ่ายแล้ว ก็อดคิดเป็นแบบนั้นไม่ได้

          “อ้าว เป็นอะไรน่ะชา”

          เจ้าของชื่อหลุดจากภวังค์ ชายหนุ่มหันมองผู้เป็นนายที่ยืนมองตนด้วยความเป็นห่วง ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมหัวใจมันดันพองโตแปลกๆเสียได้นี่

          เขาก็รู้ตัวอยู่หรอก…แต่ก็นั่นล่ะ เรื่องแบบนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันล่ะ อย่างน้อยที่สุด เขาก็เป็นแค่ลูกน้องที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แค่ได้มาอยู่ข้างกันแบบนี้ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พยายามที่จะเดินก้าวไปในทางที่รู้ว่าไม่สมหวังมาตลอด…

          และทั้งที่รู้ว่าไม่สมหวัง แต่ไม่รู้เพราะตัดใจไม่ได้ หรือเพราะดันกลายเป็นคนที่มีความสุขกับเรื่องแปลกๆ ถึงได้ยังคงความรู้สึกนี้เอาไว้อยู่เรื่อยมา จนมันเริ่มจะเก็บไม่อยู่เข้าทุกที

          “เปล่าครับ ก็แค่…ยืนคิดนิดหน่อย” เขาว่าพร้อมกับเบี่ยงหน้าไปทางอื่น กลัวเหลือเกินที่จะหลุดความต้องการในใจออกมาให้อีกฝ่ายรู้

          วินนิ่วหน้ามองคล้ายกับไม่พอใจ ทำเอาชารู้สึกหวั่น และเขาก็หวั่นไม่เสียเที่ยว เพียงแค่ผิดเรื่องไปหน่อย

          เพราะโดนจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ต่อให้ทำหน้านิ่งเก่งอย่างไรก็เผลออดตาโตไม่ได้อยู่ดี

          “อ้าว ก็ไม่มีไข้นี่หว่า...อ้าว ไหงตัวเริ่มร้อนขึ้นแล้ว...”

          มันจะร้อนขึ้นเรื่อยๆอีกครับ ถ้าคุณยังไม่เอาหน้าผากของคุณออกไปจากหน้าผากของผม

          “ผมบอกแล้วไงครับว่าผมไม่ได้เป็นอะไร ก็แค่ยืนเหม่อ” ชาพยายามทำเสียงให้ติดหงุดหงิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อกลบเกลื่อนความความเขินที่พยายามจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ “ผมว่าคุณรีบไปโรงเรียนดีกว่านะ ผมเองก็ต้องรีบไปแล้วด้วย”

          ว่าจบก็พยายามเดินหนีไป แต่ไอ้คุณชายกลับรั้งมือไว้เสียอย่างนั้น และพอจะหันไปหมายจะต่อว่า ปากที่อ้าไว้กลับไร้เสียงออกมา เพราะไม่คิดว่าจะเห็นสีหน้าเป็นห่วงของอีกฝ่าย

          “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านายกลุ้มเรื่องอะไร ถ้าไม่อยากบอกฉันก็จะไม่ถามหรอกนะ เพียงแต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ฉันยินดีจะช่วย เข้าใจไหม”

          ชาค้างไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าให้

          “ดี ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนจริงๆล่ะ” วินยิ้มระรื่นเมื่อได้คำตอบที่ตนพอใจ ก่อนจะจากไปอย่างเร่งรีบ ในขณะที่ชาเอาแต่ยืนมองทั้งที่ตัวเองก็บอกว่ารีบแท้ๆ

          บ้าจริง!

          ชายหนุ่มจับข้อมือตรงที่วินจับก่อนหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงเพราะกลัวใครจะมาเห็นสีหน้าของตนที่ตอนนี้คงแดงจนไปถึงหู

          “ทำแบบนี้ผมก็เลิกชอบคุณไม่ได้สิ...” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหลับตาลงแล้วหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อปรับอารมณ์ให้กลับมาเข้าที่

          เขายอมรับว่ารู้สึกดีมากจริงๆ แต่ทั้งอย่างนั้น บางส่วนในใจกลับร่ำร้องสิ่งอื่นอีก...สิ่งที่เขาไม่ได้รับจากวินมาเกือบสี่ปีแล้ว และมันก็เป็นสิ่งที่จากนี้ไปก็คงไม่มีทางได้มาแน่ๆ ถ้าทุกอย่างยังเป็นแบบนี้ต่อไป

          เพราะไอ้เด็กบ้านั่นมันพูดขึ้นมา ถึงทำให้เรารู้สึกแบบนี้...

 

          “วันนี้เป็นอะไรเนี่ยชา” อาจารย์สอนยูโดถามชาที่ดูเหม่อๆจนโดนคู่ที่สู้ด้วย ทุ่มเอาๆจนท่าทางน่าจะช้ำไปหมดแล้ว “ปกติเราไม่ได้เหยาะแหยะแบบนี้นี่ แล้วนี่อะไร จับคู่กับใครก็แพ้เอาๆ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ครูจะไม่ให้เธอซ้อมต่อแล้วนะ”

          ผมอยากเจ็บตัวครับ...จะให้พูดแบบนี้ได้เรอะ บ้าสิ

          “ขอโทษครับ” ชายหนุ่มตอบเพียงแค่นั้น ก่อนจะเริ่มตั้งใจเพราะกลัวจะโดนให้เลิกซ้อมจริงๆ

          ‘ถ้าอยากเมื่อไหร่ก็มาหาผมก็ได้ครับ’

          คำพูดของเด็กชายตัวน้อยแล่นผ่านหัว ความรู้สึกสับสนจนถึงเมื่อครู่หายวับ และเปลี่ยนเป็นความโกรธแทน ทำไมเขาจะต้องยอมจำนนต่อเจ้าเด็กนั่นด้วยล่ะ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งกับวินอีก ยิ่งไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวเข้าไปใหญ่

          แต่พอยิ่งนึกต่อต้าน ความต้องการของร่างกายก็ยิ่งร่ำร้องจนชวนปวดหัว จะให้เขายอมโดนคนอื่นทำร้ายแบบอ้อมๆอย่างที่ทำอยู่ก็ไม่สามารถทำได้ตลอดด้วย อีกทั้ง แม้จะอิ่มเอม แต่ก็ไม่ได้เติมเต็มอย่างที่เคยได้รับจากวินเลยสักนิด

          แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี

 

          อย่าง ที่รู้กันว่าการจะไปสู่จุดมุ่งหมายที่สูง อุปสรรคขวากหนามก็เยอะตาม ยิ่งมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบเป็นกระบุง ทั้งลูกน้อง ทั้งกิจการมืดและมืดมาก ทั้งวางแผนจะล้างกิจการที่ว่าอีก ไหนจะเรื่องเรียนที่ต้องเรียนหนักกว่าเด็กคนอื่นอีกเป็นเท่าตัว ต่อให้เก่งอย่างไรก็ถือเป็นการที่หนักหนาสาหัสสำหรับเด็กอยู่ดี

          “ไง”

          แม้จะทำน้ำเสียงหรือสีหน้าให้ร่าเริงมากแค่ไหน แต่คนที่อยู่กันมานานและแอบชอบมาตั้งนานอย่างชา มีหรือที่จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังย่ำแย่มากแค่ไหน อย่างน้อยๆขอบตาที่ดำเป็นหมีแพนด้านั่นก็เป็นหลักฐานอย่างดีว่าอีกฝ่ายนอนไม่พอมานานแค่ไหน

          “ดูแย่มากเลยนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยทักหลังจากอีกฝ่ายกลับมาจากโรงเรียน ซึ่งทำท่าเหมือนจะเลื้อยมากกว่าเดิน

          “อะไรกัน แค่นี้เอง ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” อีกฝ่ายเอ่ยเมื่อเห็นสีหน้าของลูกน้อง “นายไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”

          “จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงล่ะครับ สภาพอย่างกับผีตายซากแบบนี้” ชาอดพูดขึ้นไม่ได้ “คุณน่าจะลดงานลงบ้าง อย่างน้อยก็พอให้มีเวลานอนได้สักห้าหกชั่วโมงก็ยังดี”

          “ก็นอนตั้งสี่ชั่วโมงแล้วไง ไม่เป็นอะไรหรอก” พูดไปเซไปอย่างกับคนเมา ใครเขาจะเชื่อ

          “ผมว่าลดภาระตัวเองลงไปหน่อยก็ดีนะครับ ให้ผมช่วยก็ได้” หนุ่มหน้านิ่งอดเสนอตัวไม่ได้

          “ไม่ต้องหรอก นายเองก็มีงานของนายเหมือนกันไม่ใช่หรือไง ก็พอๆกับฉันนี่” เด็กหนุ่มโบกมือ “แถมนายเองก็มีเรื่องกลุ้มของนายอยู่ไม่ใช่หรือไง ไว้จัดการให้เรียบร้อยก่อนเถอะ แล้วค่อยมาช่วยฉัน”

          ชาได้แต่นิ่ง เขาจะไปจัดการไอ้เรื่องนั้นได้ยังไงล่ะ จะให้พูดหรือไงว่า ‘ผมชอบคุณ ได้โปรดคบกับผมแล้วใช้แรงกายทั้งหมดของคุณโถมเข้าหาผมที’ เรอะ อย่างกับมันจะง่ายอย่างนั้นล่ะ

          “เฮ้อ” วินถอนหายใจเสียงดัง “เอาเถอะ ขอบใจนะที่เป็นห่วงฉัน แต่ฉันมีวิธีระบายความเครียดของฉันอยู่แล้วล่ะน่า”

          “อะไรครับ”

          ไม่รู้ว่าเพราะชาใช้น้ำเสียงกระสันมากไปหรือเปล่า เด็กหนุ่มถึงได้มองด้วยความหวาดระแวงปนลำบากใจจะตอบ

          “...สัญญาหรือเปล่าว่าถ้าบอกแล้วนายจะไม่เอาไปฟ้องแม่ฉัน”

          “มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือครับ” ลองกำชับให้เขาเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ เขานึกออกอยู่แค่สองเรื่องคือเกี่ยวกับเดียร์ ไม่ก็ไปทำตัวสำมะเลเทเมา ซึ่งอย่างหลังเขาไม่เคยเห็นว่าวินจะทำ เพราะแค่เวลานอนก็จะไม่มีอยู่แล้ว “แต่ไม่ว่าจะร้ายแรงยังไง ผมก็ไม่บอกใครหรอกครับถ้าคุณสั่ง ผมเป็นลูกน้องคุณนี่ครับ ไม่ได้เป็นลูกน้องของคุณมาริสาสักหน่อย”

          ผมจะรักษายิ่งชีพแม้ว่าจะโดนทรมานมากแค่ไหนก็ตาม นั่นมันความสุขของผมเลยล่ะครับ

          ดูวินจะลังเลอยู่พอควร แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอก “ถ้าอย่างนั้น วันนี้เที่ยงคืน นายไปรอฉันที่ประตูหลังบ้านก็แล้วกันนะ”

          นี่ขนาดคิดว่ากำลังทำเรื่องไม่ดีอยู่นะ แต่หัวใจเจ้ากรรมดันเต้นระรัว แถมยังตื่นเต้นจนเกือบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่เลยทีเดียว ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่านี่มันไม่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘เดท’ แท้ๆ


____________________________
บ้านใครหนาวแล้วบ้าง บ้านคนเขียน....ร้อนมากเลย =_=

ออฟไลน์ real port

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 206
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ Psycho

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
แนวร่วมรสนิยมเดียวกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเชียวนะเดียร์

ออฟไลน์ DoubleBass

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 448
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
เดียร์นี่เด็ดแต่เด็ก

ปล.บ้านคนอ่านก็ร้อนจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lovegoldfish

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ความลับไรง่ะ  :hao4:
ที่ชาอดมาตลอด 4 ปีนี้คือ วินไม่ไม่แสดงบทโหดใช่เปล่า ชาเลยอดอยาก o22

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
ตอนแรกวินก็ดูดีนี่ ไหงมาโหดซะได้  :ruready

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
โอ๊วว.ว.ว..ววรอตอนต่อไป อยากอ่านคู่2คนนี้ตั้งแต่ตอนแรกๆแล้ว

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 47
         
          ชาหันมองไปรอบๆตัว ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนที่แสนจะเงียบสงัด ตรงบริเวณหลังโรงเรียนของวิน ซึ่งเป็นพื้นที่รกร้างที่มีหญ้าคาขึ้นเป็นหย่อมๆ กับสิ่งก่อสร้างที่วางทิ้งไว้ด้านข้าง เสาไฟที่มีเพียงสองดวงช่วยส่องให้เห็นพื้นที่โดยรอบได้อย่างชัดเจน และในตอนนี้มีเพียงเขากับวินอยู่กันสองคนเท่านั้น

          “นายไปแอบอยู่หลังเสาคอนกรีตแถวนั้นแล้วห้ามออกมาเด็ดขาดเลยนะ ดูอย่างเดียวพอ เข้าใจไหม” วินสั่งพลางชี้ไปยังกองเสาที่วางนอนเป็นพะเนิน “ห้ามส่งเสียงด้วย”

          คนฟังได้แต่เลิกคิ้วและพยักหน้ารับ ทำตามแล้วรออยู่ไม่นาน ชาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่เดินเข้ามาหาจากอีกฝั่ง ดูจากรูปร่างหน้าตา น่าจะอายุพอๆกับวิน แต่ละคนหน้าตาท่าทางหาเรื่องกันมาแต่ไกลเลยทีเดียว

          “ไอ้คุณชายสี่ตา กล้ามากนะที่บังอาจแย่งน้องเอ๋ไปจากฉัน” คนที่เดินนำแถวมาเอ่ยเสียงกระโชกโฮกฮากพลางชี้หน้าวิน เล่นเอาชาเกือบจะลุกออกไป แต่ยั้งทันเพราะจำคำสั่งได้ “วันนี้ไม่สั่งสอนรุ่นน้องอย่างแกให้รู้สำนึก ฉันไม่เลิกเฟ้ย”

          “โถ ผู้หญิงเขาไม่รักแกเองแล้วมาโทษฉันได้ไง” วินเอ่ยยียวน ซึ่งเป็นท่าทีที่ชาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย “แล้วคิดหรือว่าพาพวกมาแค่นั้นจะทำอะไรฉันได้”

          “ปากวอนตีนไม่เลิกนะแก” คนเดิมว่าพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “อยากได้นัก จัดให้โว้ย”

          ด้วยความที่มักจะรักษาคำสั่งยิ่งชีพ เขาจึงไม่ทำอะไรนอกจากมอง อีกทั้งเขาเองก็รู้ดีว่าแค่หกเจ็ดคน ไม่คณามือพ่อแว่นแรงควายของเขาหรอก

          แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เขาหวนนึกถึงใบหน้าของวินตอนที่จับตนทุ่มเสียอยู่หมัดได้ เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำจนกระทั่งได้มาเห็นอีก

          “ฮ่าๆ แค่เนี้ย อ่อนเป็นบ้า” วินหัวเราะพร้อมกับชกสวนอีกฝ่ายเข้าเบ้าหน้าอย่างจัง ส่งผลให้อีกฝ่ายหงายล้มลงไปกองกับพื้น “เอ้า อย่ามัวแต่นอน แค่นี้มันไม่พอหรอกนะ”

          ชาตาค้างมองความโหดเหี้ยมของเจ้านายที่ถึงขนาดอีกฝ่ายลุกไม่ไหวแล้วยังจะลาก ขึ้นมาซ้ำแบบกะให้ไม่ต้องลุกขึ้นมาอีกเลย และทั้งที่ทำเรื่องโหดร้ายอยู่แท้ๆ แต่ใบหน้าของวินกลับดูมีความสุขเสียเหลือเกิน

          ....

          ชายหนุ่มขย้ำเสื้อตรงอกแน่น ความรู้สึกบางอย่างทำท่าจะระเบิดออกมารอมร่อ แต่ก็ต้องทนและพยายามไม่มองสิ่งที่เกิดขึ้น…ขืนมองของก็ขึ้นกันแถวนี้พอดี

          อยากโดนทำเป็นบ้า โอ๊ย

          กินเวลาไม่นาน ฉากฆาตกรรหมู่ก็จบลง เหลือเพียงคนเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางซากคนสลบ รอยยิ้มเย็ยเหยียดกว้างกับผลงานตรงหน้า นี่ถ้าอาบเลือดอีกหน่อยคงเหมือนฆาตกรโรคจิตเป็นแน่

          “นี่หรือครับ วิธีระบายความเครียดของคุณ”

          เหมือนวินจะลืมไปเสียแล้วว่าชาอยู่ด้วย ท่าทางกระอักกระอ่วนเหมือนทำตัวไม่ค่อยถูกนัก อีกทั้งยังดูรู้สึกผิดนิดหน่อยด้วย

          “อืม” เด็กหนุ่มตอบรับสั้นๆ “ไอ้ให้ทำตัวดีๆ อดทนนานๆ มันก็อดไม่ได้บ้างนี่นา ต่อให้ซ้อมตอนเรียนวิชาต่อสู้มันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดีนี่”

          “…แต่คุณก็มีลูกน้องตั้งเยอะ เอาสักคนมาเป็นที่ระบายอารมณ์ก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นจะต้องออกมาเสี่ยงทำแบบนี้เลย” เช่นผมเป็นต้น

          “ฉันไม่ทำหรอก” วินเอ่ยเสียงเฉียบ “ไม่ว่าจะเพราะอะไร ฉันไม่มีวันจะทำร้ายลูกน้องตัวเองเด็ดขาด”

          ชาไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังซึ้ง หรือกำลังเสียใจอยู่กันแน่

          “อีกอย่าง ฉันไม่ชอบหาเรื่องใครก่อน นายก็รู้ เรื่องให้ไปใช้กำลังก่อนน่ะ ฉันไม่เอาหรอก…ยกเว้นถ้าอีกฝ่ายจะมาหาเรื่องก่อนน่ะนะ…” ไม่ว่าเปล่ามีฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ให้คนมองใจระทวยเล่น “ถึงนานๆจะมาสักที แต่ก็หายเครียดไปเยอะเลยล่ะ…เพราะงั้นนายห้ามบอกแม่นะ ไม่งั้นโดนห้ามแน่ๆ มีหวังฉันเครียดตาย”

          ชายหนุ่มจ้องมองเจ้านายที่กำชับด้วยท่าทีหวาดผวา ก่อนจะพยักหน้าให้อย่างเก้ๆกังๆ

          “ขอบใจนะ ฮะๆ ฉันคิดอยู่แล้วว่าถ้าเป็นนายล่ะก็ต้องเชื่อได้แน่” วินกลับมาเริงร่าเป็นคนเดิมอีกครั้งก่อนจะตบหลังชาเสียแรง “เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ยังไงฉันก็หาทางให้ตัวเองได้อยู่แล้ว นายก็จัดการเรื่องของนายไปเถอะ”

          ถ้ามันง่ายแบบคุณก็ดีสิครับ…

          ดวงตาเรียวมองแผ่นหลังของคนที่เดินนำกลับบ้าน อย่างน้อยเขาก็ได้รู้เรื่องดีๆแล้วว่าวินมีวิธีระบายความเครียดด้วยสิ่งที่เขาอยากได้รับ ติดแค่ว่าวินคงไม่มีทางนำมาใช้กับเขาแน่นอนแล้วนี่น่ะสิ

          บ้าจริง…

 

          “ไงฮะ ทนไมได้แล้วเหรอ”

          ชาชักสีหน้าใส่ แม้จะไม่พอใจอย่างไรก็ไม่อาจต้านความต้องการเอาไว้ได้ แต่กว่าจะหาทางติดต่อเดียร์และคุยกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด แม้เดียร์จะอยู่บ้านเดียวกับวินก็จริง แต่เพราะคนอื่นล้วนแต่จับตามองในฐานะลูกเมียน้อยที่อาเขตรักกว่าใครเพื่อน อีกทั้งตัวชาเองก็อยู่ในบ้านพักส่วนของคนใช้ คนในบ้านนี้เองก็ไม่ใช่น้อยๆ จะติดต่อให้ลับหูลับตาคนนับว่าลำบากเอาเรื่อง เพราะอย่างนั้น ชาถึงลงทุนนัดเดียร์ในวันไปเรียนแบบนี้แทน

          “คงลำบากน่าดูเลยสินะครับ กว่าจะเอาจดหมายมาให้ผมได้” เด็กชายเอ่ยพลางหยิบจดหมายนัดที่ชาแอบส่งให้ ขึ้นมาคืนเจ้าของ “นี่ถ้าผมไม่โดนแกล้งแล้วกระเป๋าไปตกอยู่ที่เท้าคุณ คุณก็คงส่งจดหมายนี่ให้ผมไม่ได้แน่”

          “เลิกนอกเรื่องได้แล้ว” ชาพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ “นายต้องการอะไรถึงจะช่วยฉัน แล้วไอ้ช่วยที่ว่า มันจะทำได้จริงๆเรอะ”

          “เดี๋ยวสิครับ” เดียร์ค้านเสียงเฉียบ “เรื่องช่วยน่ะ ผมช่วยแน่ แต่ก่อนอื่น ผมอยากจะให้คุณเข้าใจก่อน”

          คนฟังนิ่วหน้า “อะไร”

          “ที่ผมทำแบบนี้เพราะอยากเป็นเพื่อนกับคุณนะ” ซึ่งนั่นเป็นประโยคที่ทำให้เขาถึงกับหน้าเบี้ยว “ก็คนที่ชอบแบบนี้มันไม่มีเลยนี่นา”

          ใครมันจะผิดปกติแต่เด็กเหมือนอย่างแกกันล่ะ...แต่จะไปว่ามันก็เหมือนโดนตัวเองด้วยแฮะ...

          “แล้วก็บอกไว้ก่อนเลยว่า ไอ้เรื่องตำแหน่งผู้นำของบ้านอะไรนั่น ผมก็ไม่คิดจะเอาหรอก สบายใจได้เลย” เด็กชายพูดต่อราวกับอ่านความคิดของอีกฝ่ายได้ “ขืนเป็นผู้นำ ผมก็อดใช้ชีวิตแบบลำบากยากเข็ญพอดีสิ”

          ใจจริงเขาก็ไม่อยากจะเชื่อนัก แต่ตอนนี้ชักสองจิตสองใจ เพราะไอ้คนพูดมันดูมีอินเนอร์ดีเหลือเกิน

          “และผมก็ไม่คิดจะแย่งพี่วินไปจากคุณด้วย” คราวนี้คนฟังถึงกับหน้าเหวอ “ถ้าพี่เขารังแกผมก็ว่าไปอย่าง...แต่ไอ้บ้านั่นแม่งเลี้ยงดูปูเสื่อผมซะดิบดี ผมก็ไม่เข้าใจว่าพี่เกิดกินอะไรผิดสำแดงมา แต่ที่แน่ๆ ผมขยะแขยงมากๆ...แต่ถึงพี่วินจะรุนแรงจริงๆ ผมก็ไม่คิดกับเขาเกินนั้นหรอก ก็แค่เครื่องมือทรมานตัวเองที่แสนสะดวกและได้อารมณ์ก็เท่านั้น”

          ชาไม่แน่ใจว่าตนควรจะโกรธเรื่องที่เดียร์เรียกวินว่าไอ้บ้า หรือควรจะสยองกับคำพูดและสีหน้าที่ดูจะอยากโดนทำร้ายเข้าถึงจิตของเดียร์ดี

          “...นี่นายเป็นมาโซคิสม์จริงๆเรอะ” แม้จะแสดงออกมาขนาดนี้ แต่ชาก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดี

          “นี่ผมยังพิสูจน์ให้เห็นไม่พออีกหรือครับ” เด็กชายถามกลับด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “ถ้าคิดว่าผมโกหกก็ซัดผมให้เต็มแรงเลยสิ”

          “พูดง่ายนะ” ถึงจะอยากทำจริง แต่ให้ทำในที่สาธารณะที่มีคนเดินกันขวักไขว่ มีหวังได้โดนรุมประชาทันฑ์ข้อหาทำร้ายเด็กเป็นแน่

          “เอาเป็นว่าไอ้เรื่องพิสูจน์น่ะช่างมันเถอะ” เด็กชายโบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องข้อตกลงของเราล่ะครับ”

          ชายหนุ่มจ้องหน้าเด็กตัวน้อย ว่ากันตามตรงตอนนี้เขาชักเริ่มกลัวอีกฝ่ายมากกว่า เพราะสายตาของเดียร์ในตอนนี้ไม่ใช่สายตาของคนอ่อนต่อโลกและไม่กล้าสู้คนอย่างที่มักเป็น แต่เป็นสายตาของสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องเหยื่ออยู่ต่างหาก แถมยังเป็นการมองเหมือนต้องการหยอกเล่นเสียด้วย

          “ฉันตกลง” เสียงทุ้มดังอย่างตื่นตระหนกเมื่ออยู่ๆเด็กชายก็ลุกขึ้นออกจากม้านั่งในสวนสาธารณะ “ฉันไม่เข้าใจ นายจะอยากมีเพื่อนไปทำไม…”

          เด็กชายทำหน้าคล้ายไม่อยากเชื่อในคำพูดเท่าใดนัก ก่อนจะถอนหายใจออกมา เล่นเอาคนมองเกือบของขึ้น

          “ผมเองก็อึดอัดเป็นเหมือนกันนะครับ ถึงจะชอบก็เถอะ” เดียร์เอ่ยคำฟังดูลักลั่นย้อนแย้งกันเอง “ผมอยากจะมีเพื่อนคุยในเรื่องที่เราคุยกันได้ทุกเรื่องนี่นา ไม่ว่าจะเป็นความสุขจากการโดนพูดเหยียดหยามพร้อมโดนทำร้าย เวลาโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่เจ็บปวดหรือรังเกียจมันชวนให้ตื่นเต้นมากแค่ไหน แล้วถ้าได้แบ่งปันความสุขนี้ให้คนอื่นฟังได้ด้วย มันคงจะดีจนหาใดเปรียบเลยล่ะครับ”

          ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจจะอยากถอยห่างไอ้เด็กบ้านี่ไปแล้ว เสียแต่ชากลับรู้สึกเห็นด้วยนี่ล่ะ

          “ก็จริงของนาย” แม้กระนั้น น้ำเสียงกลับไม่บ่งบอกว่ารู้สึกอย่างที่พูดนัก เพราะยังนึกระแวงไม่เลิก “แล้วไง ฉันยอมเป็นเพื่อนนายแล้ว เรื่องที่ตกลงล่ะ”

          “ใจเย็นๆสิครับ” เสียงหวานบอกอย่างใจเย็น “ขืนผมบอกตอนนี้ คุณก็อาจจะไม่ทำตามสัญญาผมในทันทีก็ได้นี่จริงไหม”

          ชาได้แต่กัดฟัน

          “เอาเป็นว่า อย่างน้อยเราก็มาทำความรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้นดีกว่านะครับ” เดียร์ว่าพลางยื่นมือเล็กออกมา ทำเอาชาต้องมองแล้วมองอีกเพราะไม่แน่ใจว่านี่มันมือเด็กผู้ชายจริงหรือเปล่า “แล้วรับรองว่าของตอบแทนคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม”

          ซึ่งเขาก็ไม่คิดหรอก ว่ามันจะคุ้มจนกระอักขนาดนี้...

 

          ความคิดพลันหยุดลงเมื่อมาถึงตรงช่วงนี้ หากเป็นเมื่อตอนที่มีวินอยู่ข้างกาย เขาอาจจะไม่กลัวที่จะต้องคิดต่อ ความรู้สึกโหยหามันล้นปรี่จนทรมานและมีความสุขจนมั่วไปหมด แต่เพราะรู้สึกคิดถึงเสียมากกว่า จึงไม่กล้าจะคิดต่อ เพราะกลัวจะเป็นบ้าไปเพราะอยากจนลงแดงนี่ล่ะ

          อีกทั้งเพราะแค้นไอ้ต้นเรื่องสุดกำลังแบบไม่สามารถหาทางระบายได้ด้วยนี่ล่ะ คิดแล้วก็ยังแค้นไม่หายเลย...บอกว่าเป็นเพื่อนกัน แล้วทำไมถึงกล้าทำกันแบบนี้ได้นะ

          ชายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าทางเข้าอพาร์ตเมนต์ของตน พอมาย้อนคิดดูก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะสามารถเดินมาถึงตรงที่หวังได้ แม้ตอนนี้มันจะถอยกลับจนน่ากลัวก็ตาม

          ดวงตาเรียวเหม่อมองอย่างเลื่อนลอย การต้องอดทนอย่างไม่รู้จุดจบมันชวนให้ทรมานยิ่งนัก เมื่อใดกันที่จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างเก่า...กลับไปหาคนที่คิดถึงอย่างสุดหัวใจ...

          ไอ้เจ็บน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้เหงานี่สิ...แย่กว่ากันเยอะ ถ้าต้องมีชีวิตอยู่คนเดียวแบบนี้ ยอมโดนเกลียดเพื่อให้อยู่กับคุณตลอดไปยังจะดีกว่า…หรือไม่โดนทำร้ายก็ยอม เอ้า นี่ต่อรองแบบขาดทุนสุดๆเลยนะ!

          “บ้าจริง” ชายหนุ่มด่าตัวเองเสียงค่อย ยิ่งทำร้ายตัวเองก็มีแต่จะส่งผลตรงข้าม “ถ้าเป็นคุณล่ะก็ ต่อให้มาอ่อนโยนหรือทำดีด้วยผมก็ยอมอยู่หรอกนะ…”

          “งั้นหรือ”

          ก่อนที่จะยื่นบัตรไปเปิดประตูอพาร์ตเมนต์ เสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็ดึงมือของชาเอาไว้เสียก่อน และพอหันไปเห็นก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่า ถึงกับขยี้ตาตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบเพราะไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง

          “...จะขยี้อีกนานไหม ถ้านานฉันจะได้กลับ”

          “เดี๋ยวก่อนสิครับ” ชาร้องเสียงหลงพร้อมกับโดดเข้าไปตะปบไหล่อีกฝ่ายอย่างลืมตัว และทันทีที่เห็นสายตาคมที่จ้องกลับมา ก็เล่นเอาใจเต้นไม่เป็นส่ำ มือที่จับก็เด้งกลับอย่างรวดเร็วเหมือนโดนไฟลวก “ข…ขอโทษครับ”

          วินเพียงแต่นิ่งมอง ไม่ได้ว่าอะไรที่อีกฝ่ายทำตัวตื่นแม้แต่น้อย ทำเอาคนที่หวังจะโดนดีสักนิดถึงกับปิดอาการผิดหวังไม่มิด

          “มีอะไรอย่างนั้นหรือครับถึงได้มาที่นี่” เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่เงียบ ชาจึงเอ่ยถามออกมาเพราะทนไม่ได้ ดวงตาเรียวเลื่อนลงต่ำหลบอีกฝ่าย ไม่อยากจะมองนานๆเนื่องด้วยยังงอนเรื่องก่อนหน้า บวกกับถ้ามอง ไอ้ที่โกรธๆคงหายหมด แล้วเปลี่ยนเป็นอยากจะสไลด์เข้าไปแทบเท้าเป็นแน่

          “มีธุระนิดหน่อยที่โรงงาน” เสียงทุ้มตอบห้วนๆ ฟังดูเย็นชาและไร้อารมณ์ “เลยมาหานายเป็นของแถม”

          ใครฟังแล้วคิดยังไงไม่รู้ล่ะ แต่ตอนนี้ความโกรธมันเริ่มจะมลายหายไปทุกที...บ้าจริง อย่าพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้สิครับ ผมยังโกรธคุณอยู่นะ!

          “ดูท่าทางจะสบายดีนี่” หลังจากเงียบกันไปอีกพักใหญ่ คราวนี้วินก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น และเป็นคำพูดที่ทำให้คนฟังถึงกับงอนออกนอกหน้า

          “ดูตรงไหนหรือครับถึงเห็นว่ายังสบายดี” ชาสวนกลับเสียงขุ่น อยากจะร้องไห้ใส่เสียเหลือเกิน เสียแต่ตอนนี้ดันดีใจที่ได้เจอหน้าจนร้องไห้ไม่ออกนี่แหละ แถมยังต้องสะกดอารมณ์ตัวเองไม่ให้โผเข้าหาอีกฝ่ายด้วย “ผมว่าผมเข้าใจว่าคุณแค่สายตาสั้นเสียอีก”

          แต่ไอ้เรื่องกวนบาทานี่ ไหนๆก็มีโอกาสแล้ว ก็ขอสักหน่อยเหอะ

          วินชักสีหน้า อ้าปากหมายจะด่า แต่กลับไม่มีการบรรเลงเพลงหวานให้ชาได้สมใจหวัง เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ใจเย็น ชาก็นึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง ไม่เข้าใจว่าทำไมหนุ่มแว่นถึงเอาแต่อดทนแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน พูดไม่ทันจบก็โดนตบบ้องหูเข้าแล้ว

          แต่นี่อะไร เอาแต่ยืนนิ่งแล้วจ้องหน้ากันเนี่ยนะ...ถึงจะจ้องด้วยสีหน้าไม่พอใจก็เถอะ แค่นี้มันจะไปได้อารมณ์ที่ไหนกันล่ะ

          “อะไร นี่นอกจากสายตาจะแย่แล้วหูยังแย่ลงด้วยหรือ นี่ก็ยังไม่ทันจะถึงเลขสามเลยนะครับ หูตาฝ้าฟางอย่างกับคนแก่ไปได้” ชาเริ่มทำการยั่วโมโหแบบไม่ติดเบรค

          แต่ขนาดนั้นแล้วยังจะเงียบ จนคนด่าเริ่มกลับเป็นฝ่ายโมโหแทน

          “ทำไมถึงเอาแต่เงียบอยู่ได้!” ชาเริ่มขึ้นเสียงอย่างเหลืออด กระนั้นก็ยังกดเสียงไม่ให้ดังจนเกินไป “คุณตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ถึงมาหาผมแบบนี้กันน่ะ แค่จะมายืนนิ่งเป็นรูปปั้นมองผมอยู่อย่างนี้งั้นหรือไง...พูดอะไรบ้างสิ! ลืมพกปากมาหรือไง หา ไอ้แว่น!”

          ชายหนุ่มยืนหอบมองเจ้านายที่ยังไม่มีการเปลี่ยนสีหน้า วินยังคงนิ่ง แต่ชาก็ดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังระงับอารมณ์เอาไว้อยู่ และนั่นยิ่งทำให้คนมองโมโหหนัก แซวก็แล้ว ด่าก็แล้ว พ่อคุณแกก็ไม่ทำอะไรเลย คนที่อุตส่าห์หวังว่าจะได้รับความรุนแรงบ้างถึงกับเศร้าแบบไม่ปิดบังเลยทีเดียว

          ตอนที่เห็นวินขยับตัว ความหวังก็ก่อเกิดขึ้นบนใบหน้า แต่หนุ่มแว่นไม่ได้ทุบ ตบ เตะ หรือแม้กระทั่งหยิกอย่างที่ชาหวัง อีกฝ่ายเพียงแต่ชี้หน้าวินด้วยท่าทีเหนือกว่าเท่านั้น

          “จบเรื่องทั้งหมดเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมาเคลียร์กับนายทั้งต้นทั้งดอกเลย...รวมถึงที่ด่าฉันเมื่อกี้ด้วย”

          บางทีอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ ถ้าหน้าเดียร์ไม่ลอยแว้บมาพร้อมกับคำพูดนั่น

          ไม่ว่าเมื่อไหร่ คุณก็เห็นเขาเป็นที่หนึ่งตลอดสินะ...

          “…คุณไม่คิดว่าตัวเองจะผิดบ้างหรือครับ” ด้วยความน้อยอกน้อยใจเหลือทน เลยอดพูดออกมาไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้รับกลับทำให้หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่า

          “สำหรับนาย ฉันไม่เคยผิดอยู่แล้วว่ะ” วินว่าหน้านิ่ง ก่อนจะส่งเสียงเดาะลิ้นใส่ “อย่าคิดว่าฉันจะทิ้งหมาที่ตัวเองเก็บมาง่ายๆนะ ลองว่าตัดสินใจเก็บมาแล้ว ฉันก็เลี้ยงจนกว่ามันจะตายกันไปข้างนั่นล่ะ”

          ชาเพียงแต่เงียบ ฟังผ่านๆอาจจะดูเหมือนดูถูกเหยียดหยาม แต่สำหรับเขามันไม่ต่างจากขอแต่งงานเลยสักนิด แล้วจะไม่ให้รู้สึกเขินจนอยากจะบ่ายหน้าหนีได้อย่างไร แต่ดวงตาคมที่จ้องกลับมาสะกดให้เขาขยับตัวไม่ได้ มันช่างชวนให้รู้สึกโหยหาและคิดถึงยิ่งกว่าสิ่งใด จนนึกเสียดายหากจะหลบตา

          “คุณนี่มันขี้โกงจริงๆ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแผ่วเบาจนแทบจะละลายไปกับสายลม “คิดว่าพูดแค่นั้นแล้วผมจะยอมหรือไง”

          แต่เอาจริงๆนะ บ้าเอ๊ย! ยอมตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว

          “ทำไมฉันต้องสนด้วยว่าหมาของฉันมันจะยอมหรือไม่ยอมวะ ฉันเป็นเจ้าของ จะทำอะไรกับแกก็ได้โว้ย” ยิ่งฟัง ชาก็เริ่มระทวยแปลกๆ “...สรุปแล้วนายชอบเดียร์หรือเปล่า”

          หมดอารมณ์กันเลยทีเดียว จะให้ซึ้งให้นานกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้

          “เปล่าครับ” ชาตอบอย่างอ่อนใจ “ผมเห็นเขาเป็นเพื่อน ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วครับ”

          แต่ตอนนี้ลดขั้นมันไปเยอะละ...ไอ้เด็กผีนั่น มีโอกาสเมื่อไหร่จะชำระแค้นบ้าง คอยดู!

          “แล้วทำไมนายถึงสนับสนุนให้เดียร์รักกับสิทธิ์ ทั้งที่นายก็รู้ว่าฉันเกลียดมัน”

          “ผมไม่ได้สนับสนุนครับ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างสุดจะทน ความน้อยใจพุ่งทะยานออกมาอย่างเก็บไม่อยู่ อาจเพราะอดทนไว้นานแล้ว พอมาเห็นหน้าเจ้าตัว เขื่อนมันเลยทะลักโดยที่ไม่อาจห้ามเอาไว้ได้ “ไม่สิ ว่ากันตามตรง ผมก็อยากจะให้คุณเดียร์ไปจากชีวิตคุณเหมือนกันนั่นล่ะ จะไปกับใครยังไงก็ได้ อย่างน้อยก็ให้ห่างจากคุณ!”

          หนุ่มแว่นเบิกตามองอย่างไม่อยากจะเชื่อหูนัก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยต่อว่าต่อขานอะไรเมื่อเห็นสีหน้าของชาที่ดูเจ็บปวดเหลือเกิน

          “ไม่ว่าเมื่อไหร่ คุณก็เห็นคุณเดียร์มาก่อนเสมอ...ไม่เคยหันมามองผมบ้างเลย...” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยตัดพ้อ ในตอนนี้เขาไม่อยากจะมองหน้าวินนัก สิ่งเดียวที่อยู่สมองตอนนี้คืออยากจะระบายออกมาให้หมด “ผมก็แค่รักคุณ...ผมไม่ได้หวังว่าจะได้รับความรักตอบ แค่อยากให้คุณเชื่อใจผมบ้าง สนใจผมสักครึ่งของที่คุณสนใจเดียร์บ้างสิครับ ผมเป็นหมาของคุณไม่ใช่หรือไง ไม่มีหมาตัวไหนมันทรยศความเชื่อใจของเจ้านายหรอกนะครับ”

          ว่าจบก็ก้มหน้าหอบหายใจและหลับตาปี๋ พอระบายออกมาหมดก็ชักเริ่มกลัวและอยากจะสาปส่งตัวเองขึ้นมา ไอ้อันนี้มันแย่กว่าตอนหลอกด่าวินไปหลายขุม นี่ก็ดันพล่ามออกไปหมดเปลือก แถมยังใส่อารมณ์เสียเต็มที่ จะมากลับลำบอกว่าล้อเล่นก็คงไม่ทันแล้ว

          “นายบอกว่ารักฉันหรือ”

          คนพลั้งปากก่อนถึงกับกระตุก ใบหน้าแดงวูบกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า แค่คำปฏิเสธเท่านั้นที่เขาไม่อยากได้ยิน

          “ฉันถามว่า แกรักฉันเรอะ หา!”

          “คะ...ครับ!” เนื่องจากอายจนทนไม่ได้ แม้จะไม่อยากตอบก็ต้องตอบ เพราะไม่อย่างนั้น มีหวังคุณชายแกคงตะเบ็งเสียงดังกว่าเดิม คราวนี้ละ ได้อายกว่าเดิมอีก...ถึงมันจะชวนให้รู้สึกดีนิดๆก็ตามเถอะนะ...

          วินทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อนัก หนุ่มแว่นอ้าปากค้างเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่ออกมากลับเป็นเสียงถอนหายใจแทน

          “ที่เที่ยวทำตัวกวนโมโหฉัน เที่ยวคุยกับเดียร์แบบสนิทสนมออกนอกหน้าทั้งที่รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ผู้ชายคนไหนมาทำกับน้องชายฉัน เพราะอยากให้ฉันสนใจนาย...เพราะนายรักฉัน...อย่างงั้นเรอะ”

          สิ่งเดียวที่ชาทำได้ในตอนนี้คือพยักหน้า ตอนนี้อายจนร้อนไปหมด แต่พอได้ยินเสียงถอนหายใจของวินอีกครั้ง ใจมันก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

          กลัวที่จะโดนเกลียด...แต่กลัวยิ่งกว่าคือการโดนปฏิเสธ

          เขาหวังไว้แค่ว่าอย่างมาก วินก็จะแค่รังเกียจในสิ่งที่เขาทำ ไอ้เรื่องมาหวังให้วินมารักเนี่ย แทบจะไม่เคยคิด...ก็ลองมีอุปสรรคตัวโตอย่างเดียร์ ใครมันจะไปกล้าหวัง

          “ฉันถามใหม่นะ แค่นั้นจริงๆหรือเปล่า”

          คำถามนี้ทำเอาเผลอเงยหน้ามอง ดูท่าทางวินจะดูหงุดหงิดไม่น้อย นั่นทำให้คนมองตัวสั่น และรีบพยักหน้าตอบรับไป...แต่วินกลับหงุดหงิดขึ้นมากกว่าเดิมจนชาเริ่มสงสัยแทน

          “แค่นั้นจริงๆเรอะ” คราวนี้มีกำหมัดแน่นเหมือนขู่ ซึ่งชาก็รู้และในตอนนี้ก็ไม่ได้อยากให้โกรธสักนิด แต่เขายอมรับว่าอดดีใจจนออกนอกหน้าไม่ได้จริงๆ “ฉันให้โอกาสอีกครั้ง”

          “ครับ...ผมรักคุณ...จริงๆนะครับ ไม่ได้โกหกสักหน่อย” ด้วยความที่เข้าใจว่า อีกฝ่ายคงจะไม่เชื่อ ว่าลูกน้องที่อยู่กันมานานแถมยังเป็นผู้ชายจะมาเอ่ยสารภาพรัก ชาจึงยอมรวบรวมความกล้าตอบออกไปอีกครั้ง

          แต่ดูเหมือนเขาจะเดาใจคุณชายแกผิดอีก วินถึงได้หงุดหงิดจนหน้าเบี้ยว

          “คนอย่างแกนี่มัน...” เห็นหมัดที่ยกขึ้นมาถึงกับเผลอยิ้มทั้งที่รู้ว่านั่นเป็นการยั่วโมโหอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ได้รับกลับทำให้ชาถึงกับผงะ

          เพราะแทนที่จะได้รับแรกกระแทกจากหมัดแสนรัก กลับโดนลูบหัวแทน เท่านั้นยังไม่พอ คนที่ออกอาการโมโหจนถึงเมื่อครู่ได้หายไปเสียแล้ว ตอนนี้เหลือแต่เพียงพ่อแว่นที่ยิ้มได้สดใสและชวนแสบตาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน

          “นายนี่มันน่ารักเหลือเกินนะ”

          อยากได้คำชมนะ แต่ถ้ามาอย่างนี้ล่ะก็....สยองโว้ย!!

          “ฮ่าๆๆ นั่นล่ะที่ฉันอยากเห็นมาตั้งนาน โอ๊ย” วินหัวเราะด้วยความสะใจเมื่อเห็นชาทำท่าจะเป็นจะตายเหมือนเพิ่งเห็นของแสลงที่สุดในชีวิตมาหมาดๆ “ก็เป็นซะอย่างนี้นี่นะ”

          “...หมายความว่าไงครับ” หลังจากพยายามลบภาพเมื่อครู่ออกจากหัวจนสำเร็จ ก็เอ่ยถามอย่างสงสัยสุดขีด

          วินไม่ตอบ เขาเพียงแต่ตีหน้าหน่ายใส่ ก่อนจะถอนหายใจอีก

          “นายน่ะ เลิกแกล้งทำเป็นยั่วโมโหฉันได้แล้ว” แล้วก็เปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ “ถ้าอยากให้สนใจหรือทำอะไร ก็บอกตรงๆสิวะ มัวแต่ทำอ้อมโลกแล้วใครมันจะไปตรัสรู้ได้กันล่ะ”

          “ของแบบนี้จะให้พูดกันง่ายๆได้ยังไงล่ะครับ” ชาว่าเสียงสั่น ก่อนจะออกอาการเศร้า “ถ้าพูดแล้วความสัมพันธ์ในตอนนี้จะหายไป ใครมันจะกล้า ผมไม่ได้เข้มแข็งเหมือนคุณนะ...”

          เงียบไปพักใหญ่ ทีแรกชาคิดว่าจะโดนด่ากลับเสียแล้ว แต่วินกลับไม่มีคัดค้านแต่อย่างใด ไม่แม้แต่จะแสดงอาการไม่พอใจให้เห็นด้วย ยิ่งทำให้ชาเริ่มเป็นห่วงวินขึ้นมาแทน

          “ก็จริงของนาย” คราวนี้กลับเห็นด้วยอย่างที่ไม่ค่อยจะเป็นนัก เล่นเอาชาถึงกับหน้าเหวอ “เอาเป็นว่าหลังจากนี้ ถ้าอยากให้สนใจก็บอก แล้วฉันจะทำเท่าที่นายต้องการเลย”

          มันไม่พอ...จะให้พูดแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า!

          “อย่ามาโกหกผมเสียให้ยากเลยครับ เดี๋ยวถึงเวลาคุณก็สนใจแต่เดียร์อยู่ดี” เพราะโดนมานานเลยอดน้อยใจใส่ต่อไม่ได้ “อย่างผม คุณก็ดีแค่ทำร้ายใส่เท่านั้นล่ะ”

          “อ้าว ไม่ใช่ว่าชอบอยู่แล้วหรอกเรอะ เห็นง้อหมัดง้อเท้าฉันประจำ”

          คราวนี้ถึงตื่นตระหนกแบบเก็บอาการไม่อยู่เลยทีเดียว




___________________________________________
XD

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
อิอิ แสดงว่าวินรู้ทันชามาตลอดสินะคะ  :hao3:

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
วินพูดเล่นหรือรู้ว่าชอบจริงกันแน่เนี่ย 55+

ออฟไลน์ oilzii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
ว้ายยยยยยคุณชาาาา :hao7:

ออฟไลน์ Psycho

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
วินเนียนอะรู้ทั้งรู้ทำเนียน

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 48

          มันต้องเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ๆ...อย่างเขาน่ะหรือจะรู้

          ชาจ้องมองร่างสูงตรงหน้าด้วยใบหน้าที่สงบนิ่งอย่างที่มักเป็น แม้ในใจจะลุกเป็นไฟก็ตาม แต่อีกฝ่ายเองก็นิ่งพอกันจนเขาเองก็บอกไม่ได้ว่าเมื่อครู่นี้ พูดจริงหรือแสร้งทำว่ารู้กันแน่

          “ฮะๆ พูดอะไรของคุณน่ะ ที่ผมทำไปเพราะแค่อยากให้คุณสนใจผมเท่านั้นเอง...มะ...ไม่ได้ชอบสัก หน่อย...คนบ้าที่ไหนเขาจะชอบโดนทำร้ายกันละครับ” ชารีบแก้ตัวเสียงขุ่นด้วยความกลัวและเผลอตัว แต่พอเห็นวินทำหน้าเบื่อหน่ายเต็มทนพร้อมถอนหายใจออกมาเสียดัง คนฟังก็เริ่มใจคอไม่ดีแปลกๆ

          “ไม่ชอบจริงๆเรอะ”

          ตอนนี้หนุ่มหน้านิ่งชักเริ่มลังเล ใจจริงก็อยากพูด แต่อีกใจก็กลัวอย่างบอกไม่ถูก แม้ท่าทีของวินในตอนนี้จะไม่มีอาการขยะแขยงหรือแสดงอาการหวาดกลัวเลยก็ตาม

          “ถ้าไม่ชอบก็ไม่ชอบ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่อมพะนำ หนุ่มแว่นจึงเป็นฝ่ายพูดก่อนอย่างอ่อนแรง “ถ้าอย่างนั้น หลังจากนี้เป็นต้นไปฉันจะเลิกใช้กำลังกับนายตลอดชีวิต...”

          “ไม่นะครับ!” ชาปิดปากตัวเอง ใบหน้าถอดสีเมื่อเผลอหลุดปากออกไป และนั่นทำให้หนุ่มแว่นเผยยิ้มชั่วร้ายออกมา

          “อ้าว ทำไมล่ะ ในเมื่อนายใจกล้าบอกรักฉัน แล้วจะให้ฉันทำร้ายคนที่บอกรักตัวเองลงได้ยังไงกันเล่า” วินพูดอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเลิกคิ้วและเงยหน้ามอง “ถ้าชอบโดนเตะก็ว่าไปอย่าง”

          “ชอบครับ!” ณ ตอนนี้ ไม่ว่าจะเพราะอีกฝ่ายหลอกให้พูดหรือไม่ แต่ถ้าต้องโดนเหมือนก่อนหน้าไปตลอดชีวิต เขายอมกัดลิ้นตายดีกว่า “ผม...ผมชอบครับ...โดยเฉพาะเวลาโดนคุณทำร้าย...”

          วินไม่ได้ตอบกลับอะไรออกมา นั่นทำให้ใจของชายหนุ่มพะว้าพะวงหนักข้อ จนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า…

          “ฮะๆๆ”

          แต่เสียงหัวเราะนั่น ทำเอาเผลอมองขึ้นมาอย่างงงงวย ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหัวเราะเอาเป็นเอาตาย ยิ่งทำให้ชาลนลานจนทำตัวไม่ถูก

          “ให้ตาย กว่าจะยอมพูดออกมานะ ต้องให้ฉันพูดอยู่ตั้งนาน” หลังจากขำจนสาแก่ใจ ก็เอ่ยคำที่ทำให้ชางงเป็นที่สุด “เป็นไงบ้างล่ะ หลังจากสารภาพบาปที่อัดอั้นมานานแล้ว”

          ชาเบิกตามอง...พูดแบบนั้นเหมือนกับรู้อยู่นานแล้วเลยสิ

          “ให้ตายสิ นี่เห็นฉันโง่มากนักหรือไง” วินขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจออกมา “นึกว่าฉันไม่รู้ล่ะสิว่าที่แกเที่ยวกวนโมโหฉันเพราะอะไร ไม่ใช่แค่เรียกร้องความสนใจหรอก จริงไหม”

          ตอนนี้คนฟังได้แต่ใบ้กิน แน่ล่ะ ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วกันล่ะ ก็ไม่เห็นจะแสดงท่าทางเหมือนรู้เลยนี่ แต่จากสีหน้าที่หงุดหงิดและเบื่อหน่ายสุดกำลัง บ่งบอกให้ชารู้ว่าวินพูดความจริงแน่นอน

          “...ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...”

          หนุ่มแว่นนิ่วหน้าคล้ายไม่อยากจะพูดเท่าใดนัก “…นายจำครั้งแรกที่ฉันทำร้ายนายได้ไหม”

          “ตอนที่ทุ่มผมน่ะหรือครับ”

          “ไม่ๆ ไม่ใช่ตอนนั้น” หนุ่มแว่นรีบโบกมือปฏิเสธ “เอ่อ…หมายถึง ช่วงตอนที่นายเริ่มสนิทสนมกับเดียร์น่ะ”

          พูดถึงก็สะพรึงขึ้นมาทันที ก็นั่นเป็นช่วงที่เขาหยุดรำลึกความหลังเพราะมันกระตุ้นต่อมมาโซฯขึ้นมานี่ล่ะ

          “เดี๋ยวสิ…คุณจะบอกว่าคุณรู้…ตั้งแต่แรก…”

          “เออ” วินกระแทกเสียงใส่ “นายก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าฉันเกลียดการทำร้ายลูกน้องตัวเองมากแค่ไหน ตอนที่ฉันพลั้งมือไปชกนายครั้งแรก แล้วนายวิ่งหนี…พอดีฉันตามนายไปด้วยน่ะ…ทีแรกฉันก็นึกว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นนายยิ้มหลังจากโดนฉันชกเสียอีก…ก็เลยแอบดูจนแน่ใจ...”

          ยิ่งฟัง ชาก็ยิ่งอยากจะมุดดินหนี

          “ถ…ถ้ารู้ตั้งแต่แรกทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะครับ” ชายหนุ่มถามเสียงสั่น ตอนนี้ไม่แน่ใจว่ารู้สึกอาย หรือมีความสุขกันแน่

          “ก็ฉันนึกว่านายอาจจะชอบเดียร์จนไม่สนว่าจะเจ็บตัวนี่หว่า ใครมันจะไปกล้าคิดว่าแกมันจะชอบโดนทำร้ายกันเล่า” วินชักเริ่มเบื่อมากขึ้นทุกที “ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ฉันก็ไม่ต้องมาหงุดหงิดที่แกเอาแต่ทำตัวครึ่งๆกลางๆกับเดียร์หรอก แล้วก็ไม่ต้องมาอดทนด้วย”

          ยังไม่ทันจะได้ถามว่าสิ่งที่วินอดทนคืออะไร ชาก็ต้องบ่ายหน้าหนีจากดวงตาคมที่จ้องมองมา มันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงแปลกๆ อีกทั้งยังร้อนไปทั้งตัวเหมือนมีใครมาจุดไฟแถวๆหน้าด้วย

          แต่หนีได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนมือหนาจับคางให้หันกลับมาเสียอย่างนั้น

          “อย่าหัน” พอทำหน้าจะสะบัดหนีก็เจอคำสั่งที่ไม่อาจขัด…และทั้งที่เขินใจจะขาด แต่กลับไม่อาจละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้…ไอ้อะไรๆที่เก็บเอาไปก็เริ่มพุ่งออกมาจนทะลัก “ชอบไม่ใช่หรือไง โดนบังคับแบบนี้น่ะ”

          “คุณ…มันขี้โกง” ถึงปากจะบอกแบบนั้น แต่สีหน้ากลับปลื้มปริ่มเหลือคณาประดุจได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเสียอย่างนั้น

          “แค่กับนายเท่านั้นล่ะ” เสียงทุ้มบอกอย่างแผ่วเบา เล่นเอาคนฟังหัวใจจะละลาย ยิ่งอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ชาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็นของเหลวเข้าทุกที “กับคนอื่นฉันไม่ทำหรอกนะ”

          ชาได้นิ่งเงียบ ส่วนหนึ่งเพราะทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้ในหัวมันหมุนติ้วไปหมด ยิ่งดวงตาคมที่จ้องมองมาตรงๆยิ่งทำให้อารมณ์ภายในมันตีกันไปหมด แถมในตอนนี้อีกฝ่ายก็ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เสียจนเหมือนกับจะจูบ

          “ดะ...เดี๋ยวสิครับ...นี่มันข้างนอกนะ เดี๋ยวก็มีคนเห็นหรอก” ถึงตอนนี้จะไม่มีใคร แต่ชาก็มั่นใจว่าลุงยามที่เฝ้าอยู่ตรงหน้าทางเข้าก็ยังอยู่แน่ เผลอๆอาจจะกำลังมองอยู่ด้วย

          “ฉันไม่สนหรอกนะ แต่นายน่ะ สนด้วยหรือไง” คำพูดยอกย้อนนั้นเต็มไปด้วยความดูถูก แต่คนฟังกลับใจสั่นจนแทบเข่าอ่อน “ไม่ใช่ว่ามันยิ่งทำให้ได้มีอารมณ์หรอกเหรอ”

          ไม่ว่าเปล่ามีมาพิสูจน์กันซึ่งๆหน้า ทำเอาชาสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าโจมตีจุดนั้นแบบไม่สนใจชาวบ้านกันขนาดนี้ และจากที่พยายามข่มอารมณ์ มันก็เลยทะลักออกมาทั้งที่ไม่อยาก ทำเอาซาบซ่านกับความสุขไปทั้งกาย

          “นั่นไง ทำเป็นเล่นตัวไปได้ ใจจริงก็อยากมานานแล้วไม่ใช่หรือไง” วินเยาะ โดยที่มือก็ยังคงอยู่ที่เดิม “ถ้าอยากให้หยุดก็พูดสิ ว่าไม่ชอบ แล้วฉันจะหยุด”

          “...พูดง่ายนะครับ…” เสียงทุ้มดังแหบพร่า ใบหน้าเรียวแดงระเรื่อ เสียงลมหายใจดังติดๆขัดๆ และสะดุ้งเมื่อโดนมือของอีกฝ่ายบีบแน่น “ผมจะกล้าห้ามคุณ...ได้ยังไงกันล่ะ”

          วินเพียงแต่เลิกคิ้วให้ ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าใกล้ยิ่งขึ้น จนชาได้ยินเสียงลมหายใจของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน ไออุ่นจากอีกฝ่ายที่กระทบเข้าใบหน้าทำเอาตัวเองร้อนไปด้วย จนถึงที่สุดแล้ว ชาก็หลับตาเพราะทนมองไม่ไหวอีกต่อไป…และไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว…

          .....

          ความรู้สึกที่โดนปลุกปั่นจนเกือบจะถึงที่สุดโดนปล่อยเสียเฉยๆ ทำเอาชาเผลอลืมตามองด้วยความประหลาดใจ และยิ่งประหลาดใจกว่าเมื่อเห็นวินถอยห่างออกไป

          “ฉันบอกแล้วไงว่าไว้จบเรื่องก่อนแล้วจะมาสะสางกับนายทีหลัง” วินยิ้มให้อย่างคนมีชัย ท่าทางจะสะใจเหลือคณาที่ได้เอาคืน “เพราะงั้น ก็ทนไปก่อนละกัน”

          ชาได้แต่อึ้ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะทำแบบนี้ได้ ยิ่งทำให้ใจที่เต้นรัวๆอยู่แล้ว ยิ่งแทบจะทะลักออกมาจากอกเลยทีเดียว...ก็ถ้าจะทรมานให้ค้างคากันแบบนี้ มาโซฯที่ไหนจะไม่ปลื้มกันบ้างเล่า!

          “อีกไม่นานแล้วล่ะ เพราะงั้น เตรียมใจรอไว้ได้เลย รับรองว่าเจอทั้งต้นทั้งดอกแน่” วินบอกทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปโดยไม่รอให้ชาได้เอ่ยลา ปล่อยให้ยืนเมาความสุขที่ค้างคาอยู่เช่นนั้น

          “บ้าจริง” ชาเอ่ยเสียงเบา อยากจะทรุดลงไปกองกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอด แต่ขาก็ดันแข็งแรงเกินเสียอีก เลยเผ่นหนีขึ้นห้องแทนเพราะเห็นแล้วว่าลุงยามประจำอพาร์ตเมนตกำลังมองมา ด้วยสายตาที่อึ้งตะลึงงัน “อึก...”

          กว่าจะสงบสติอารมณ์และร่างกายได้ ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอใจเย็นและตั้งสติได้แล้วก็รีบจัดการหยิบมือถือขึ้นมา

          “เรื่องที่ให้ตามไปถึงไหนแล้ว...ฉันไม่ได้จะลงโทษนายสักหน่อย ถามความคืบหน้าเฉยๆ” ชาถามโดยพยายามทำให้เสียงนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ดูเหมือนจะนิ่งไปหน่อยจนดูเหมือนกำลังโมโหแทน เลยทำให้คนในสายปากสั่นใส่

          “กะ...ก็เรียบร้อยแล้วล่ะครับ เขาบอกว่าอยากจะให้ทำเมื่อไหร่ก็บอกมาได้เลย พร้อมเสมอ เขาเองก็ให้ความร่วมมือเต็มที่อยู่แล้ว” ดรตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าใดนัก “ว่าแต่นะครับ ทำแบบนี้จะดีหรือครับ เราจะทำไปทำไมหรือครับ ผมยังอยากมีชีวิตอยู่นานๆนะ”

          ชาไม่ได้ตอบในทันที ยิ่งทำให้หนุ่มผิวเข้มกังวลหนัก แต่หากดรมาเห็นสีหน้าของชา เขาคงไม่ต้องวิตกจริตโดยใช่เหตุก็เป็นได้ เพราะคำตอบของชานั้น ไม่ได้ช่วยให้คนฟังโล่งใจเลยสักนิด

          “มีโอกาสได้จับทั้งเสือทั้งมังกร แล้วทำไมจะไม่ดีล่ะ”

 

          “ไง เรียบร้อยดีใช่ไหม” วินเอ่ยถามคนที่รอตนอยู่ตรงรถที่จอดไว้อีกฝั่ง แม้จะเพิ่งอิ่มเอมกับการแกล้งคนมา แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ เพราะกลัวมารดาแสนดีจะรู้ว่าตนแอบดอดมาที่นี่ เพื่อทำสิ่งที่บ้าที่สุด และอาจจะโดนมาริสาพิโรธจนบิดหูหลุดด้วย

          “เรียบร้อยครับ วันนี้ลูกน้องที่ตามคุณเป็นคนสนิทของผมพอดี เพราะงั้นสบายใจได้เลย เรื่องที่คุณมาที่นี่ ไม่มีทางถึงหูคุณมาริสาแน่” ธานินทร์ตอบเสียงระรื่น “ว่าแต่ ไปเยี่ยมคุณชาเป็นยังไงบ้างครับ เขาสบายดีใช่ไหม สรุปแล้วที่เขาทำไปเพราะอะไรกันแน่หรือครับ ไม่ใช่อย่างที่ผมหรือคุณวินเข้าใจหรอกหรือ”

          ธานินทร์ถามรัวพร้อมกับทำหน้าเหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด ถ้าเขาไม่มั่นใจจริง ไม่มีทางเดินแผนนี่หรอก เดี๋ยวหาข้ออ้างเวลาจวนตัวไม่ได้กันพอดี

          “เอาเป็นว่ามันเป็นแค่ความเข้าใจผิดกันเฉยๆน่ะ” วินเลี่ยงที่จะตอบความจริง เพราะขี้เกียจอธิบายยาว “แล้วเรื่องที่เราจะทำกันน่ะ จัดการได้เร็วที่สุดเท่าไหร่”

          ธานินทร์ยิ้มกว้าง สิ่งที่รอมานานกำลังจะสำเร็จลงสักที

          “ทันทีที่ต้องการเลยครับ”

 

          แม้จะตั้งใจไว้แล้ว แต่ตอนที่รู้ว่าต้องออกไปเที่ยวข้างนอกนั้น เดียร์ก็อดรู้สึกหวั่นไม่ได้ กลัวเหลือเกินว่าเดทของคุณชายจะเหมือนเมื่อก่อนตอนเจอกันแรกๆ ถ้าวกกลับไปเป็นแบบนี้อีก ต่อให้นึกรักยังไงก็อดตีหน้ายี้ใส่ไม่ได้อยู่ดี

          ไอ้รักก็ส่วนรัก แต่ของไม่ชอบ จะให้ทำใจชอบก็คงไม่ได้อยู่ดี…เพราะฉะนั้น ครึ่งทางนี่แหละ ดีแล้ว

          เดียร์จ้องมองเสื้อผ้าตรงหน้า ซึ่งตัวหนึ่งเป็นชุดของผู้ชาย ส่วนอีกตัวเป็นแบบระบุเพศไม่ได้ คิ้วบางมุ่นเข้าหาอย่างเคร่งเครียด เพราะกำลังคิดไม่ตกว่าจะใส่ตัวไหนไปดี…และก็ต้องประหลาดใจกับตัวเองสุดตัวที่มานั่งคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้

          “อย่างกับคนบ้าเลยแฮะ”

          ทั้งอย่างนั้นกลับหุบยิ้มไม่ลง…แม้แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะนึกถึงตอนใบหน้าของสิทธิ์ที่เคยนึกหงุดหงิดก็กลับไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว…ยิ่งถ้าถือแส้ร่วมด้วยยิ่งหุบยิ้มไม่ลงเลยทีเดียว

          ในขณะที่กำลังแช่มชื่นอยู่กับความสุขกับตัวเอง เสียงข้อความเข้าก็ดังขัดอารมณ์ขึ้นมาเสียก่อน แต่ทันทีที่เห็นข้อความและผู้ส่ง ริมฝีปากสีหวานก็ฉีกกว้างกว่าเดิม นิ้วเรียวเล็กกดปุ่มกลับด้วยความเร็วแสง และส่งกลับไปหาอีกฝ่ายทันที ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับเร็วเสียจนเดียร์ยังไม่ได้วางมือถือลง ข้อความในคราวนี้ทำเอาเด็กหนุ่มนิ่วหน้า และหมายจะโทรกลับไป

          ก๊อกๆ

          แต่ดูเหมือนจะทำไม่ได้เสียแล้ว

          “...มีอะไรครับ” หลังจากโยนมือถือลงเตียงเพราะตกใจกับเสียงเปิดประตูทั้งที่ตนยังไม่ได้อนุญาต เดียร์ก็ถามสิทธิ์เสียงหวั่น...ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตนกำลังดีใจ หรือเพราะยังพะวงกับธุระที่ค้างคาเมื่อครู่

          สิทธิ์ไม่ตอบคำถาม ดวงตาเรียวกวาดมองไปทั่วห้องก่อนจะหยุดลงตรงชุดที่วางไว้บนเตียง มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ และแสดงอาการดั่งผู้มีชัยจนคนมองรู้สึกตื่นเต้นตาม

          “นี่บ้านฉัน ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉันนี่ จริงไหม” เสียงทุ้มเยาะใส่ ทั้งยังสืบเท้ารุกเข้าหาจนร่างเล็กถอยหนีอย่างตื่นกลัว แต่สิทธิ์ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากมองแบบเหลือบตาลงมา “ดูท่าทางจะอยากไปเที่ยวกับฉันมากเลยล่ะสิ”

          “พูดอะไรของคุณ” อย่ามาอ่านใจด้วยสายตาดูถูกแบบนั้นกันสิครับ เดี๋ยวผมก็แอ๊บแตกกันพอดี อ๊า~~ “ผมก็แค่เลือกเสื้อตามปกติของผม ไม่ได้คิดอะไรถึงคุณสักหน่อย”

          “เหรอ” สิทธิ์ย้อนถามเสียงสูง “ถ้างั้น ก็ใส่ชุดนี้ละกัน แล้วพรุ่งนี้ไม่ลงมาก่อนแปดโมง ฉันจะเข้ามาลากเธอไปอาบน้ำเอง”

          ทำสิครับ ทำเลย!! เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะปิดมือถือและถอดถ่านนาฬิกาให้หมดเลย!!!

          “วะ...ไว้เตือนตัวเองเถอะ” เดียร์กระชากเสียงใส่ก่อนจะก้มหน้าและหันหลังใส่ เกิดอีกฝ่ายเห็นใบหน้าที่เก็บอาการดีใจนี้ไว้ไม่อยู่ มีหวังโดนรู้ความจริงเข้าพอดี “ผมน่ะตื่นเช้าทุกวันอยู่แล้ว คุณต่างหาก จะลุกออกจากเตียงไหวหรือเปล่าเถอะ”

          “เฮอะ เดี๋ยวก็รู้” เสียงทุ้มตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีสบายๆเหมือนต้องการยั่วอารมณ์อีกฝ่าย ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ…

          และทันทีที่ประตูห้องปิด เดียร์ก็ต้องปิดปากเพราะกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่

          บ้าเอ๊ย อยากกระโดดเข้าไปให้ตบจัง อ๊ากก อยากโดนมองด้วยสายตาเมื่อกี้อีกนานๆจัง!!!

          ซึ่งแน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่า คนที่อยู่หลังประตูเองก็มีอาการไม่ต่างจากตนเลยสักนิด ทันทีที่ปิดประตูออกมา สิทธิ์ถึงกับทรุดลงตรงนั้นพร้อมกับเอาหน้าซุกกับเข่าของตัวเองจนตัวแทบจะ ม้วนเป็นวงกลม

          บ้าเอ๊ย พูดอะไรของเราออกไปวะ น่าอายชะมัด

          ถึงจะคิดแบบนี้ แต่อาการตื่นเต้นกลับพุ่งจนทำให้เวียนหัว และยังแอบนึกเสียดายนิดๆที่ไม่ได้เข้าไปกลั่นแกล้งอีกฝ่ายให้พอเป็นพิธี แต่ขืนทำไปมากกว่านี้สิ มีหวังเก็บกิเลศที่อยากจะลงมือให้หนำใจเอาไว้ไม่ได้กันพอดี

          เมื่อไหร่ถึงจะสามารถทำตามใจได้อย่างสบายใจกันสักทีนะ...

 

          ทั้งที่ตั้งใจจะตื่นให้สายแล้วแท้ๆ แต่คงเพราะตื่นเต้นมากไป เลยทำให้สะดุ้งตื่นเอาเสียตอนตีห้า และทั้งที่พยายามจะข่มตาหลับ ในหัวก็คิดสารพัดถึงเรื่องเดทที่กำลังจะมาถึง ยิ่งทำให้นอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ ท้ายที่สุด ก็เลยได้แต่ตื่นมาแช่น้ำและแต่งตัวอย่างเอื่อยเฉื่อยแทน...และทั้งที่ทำตัว อืดอาดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คู่เดทกลับไม่เห็นจะมาหาตามที่นัดไว้เลย

          เดียร์มองนาฬิกาในมือถือที่บอกเวลาแปดโมงสิบนาที ใจจริงเขาก็คิดว่าพ่อหมีแกไม่น่าจะตื่นทันอย่างที่ว่าไว้นักหรอก แต่อีกใจก็นึกหวั่นกลัวจะอดเที่ยว เขารึอุตส่าห์ตั้งตารอว่าสิทธิ์คิดจะทำอะไรเซอร์ไพรส์ตน ถ้าอดไป คงรู้สึกเสียดายเป็นที่สุด

          แต่จะให้พุ่งออกไปดูอีกฝ่าย มันก็เหมือนกับว่าเขาอยากไปน่ะสิ...โอเค เขาอยากไป แต่ด้วยสถานการณ์ ขืนเขาทำแบบนี้ก็ดูแปลกกันพอดีสิ เพราะฉะนั้น เขาจึงได้แต่ทนรอ...รอ....และรอ...จนเกือบจะเก้าโมง

          “คุณสิทธิ์...”

          อย่างน้อย เดียร์ก็เห็นว่ามันนานพอที่เขาควรจะสงสัย อีกทั้งพอลงไปถามก้องกับฤทธิ์ ทั้งสองกลับบอกให้เขาเป็นคนไปเรียกเอง แสดงว่านี่คงเป็นแผนตาหมียักษ์อย่างไม่ต้องสงสัย...และเขาก็เลิกสงสัยทันทีที่เปิดประตู หลังจากเรียกอีกฝ่ายอยู่นานแล้วไม่ตอบ

          สิทธิ์นอนตะแคงหันมาทางประตู จากสีหน้าบ่งบอกว่าตื่นนานแล้ว แต่ยังใส่กางเกงนอนอยู่ และเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแขนที่แน่นทึบพร้อมหน้าท้องที่แม้จะไม่ได้มีซิกแพ็คชัดเจน แต่ก็ดูน่าลูบชวนมองเป็นยิ่งนัก ดวงตาคมเป็นประกายคล้ายกับกำลังส่งสัญญาณบางอย่าง ที่ทำให้คนมองเผลอใจเต้น

          ใครมันจะไปคิดว่าจะทำเซอร์ไพรซ์กันตั้งแต่ห้องนอนเล่า!!

          “พอดีฉันขี้เกียจลุก” คุณชายเอ่ยอิดออด เหมือนไม่อยากจะไปเต็มทนทั้งที่เดทนี้ตัวเองเป็นคนเริ่ม “มาฉุดฉันขึ้นไปหน่อย”

          เดียร์ได้แต่อ้าปากค้างและถอยหนี เพราะกลัวจะเผลอเข้าไปหาอย่างที่โดนสั่ง ร่างบางสั่นระริกเพราะต้องอดทนต่อความต้องการในใจ

          “ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย” เดียร์กดเสียงต่ำแล้วหันหน้าเปี่ยมสุขไปอีกทาง “ลุกเองสิ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องไป”

          “เหรอ ถ้างั้นไม่ไปก็ได้” อีกฝ่ายตอบรับง่ายจนต้องหันขวับ “ก็นอนอยู่บนเตียงกันทั้งวันเลยล่ะกัน”

          จริงๆฟังแล้วก็ดูธรรมดาอยู่หรอก ยกเว้นว่าสิทธิ์เอามือตบเตียงเหมือนเป็นการบอกกลายๆว่าเดียร์ต้องไปนอนด้วย

          เดียร์ปั้นหน้านิ่ง การไม่รู้ว่าต้องทำสิ่งใดต่อนั้นเป็นเรื่องที่ชวนระทึกมาก เด็กหนุ่มขยำชายเสื้อแน่น เขารู้ว่าถ้าเข้าไปฉุดจะต้องมีหลุมขุดรออยู่แน่ แต่การอยู่เฉยๆก็มีหลุมดักรอเหมือนกัน เสียแต่เขาต้องมาลุ้นว่าหลุมไหนมันน่าลงกว่านี่ล่ะ

          แต่ดูเหมือนเวลาการเลือกจะมีไม่นานนัก...หรืออันที่จริงพ่อหมียักษ์แกมีตัวเลือกอยู่ในใจอยู่แล้วมากกว่ากระมัง

          “เพราะเธอเอาแต่เงียบนั่นล่ะ” ว่าจบก็ลุกขึ้นกระชากร่างเล็กเข้ามาหา แล้วใช้ทั้งมือและปากซุกไซ้ไล่เรียงไปทั่วอย่างกับคนอดอยากยังไงยังงั้น

          “ดะ...เดี๋ยวสิ” เด็กหนุ่มร้องเสียงตื่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่โดนมือปลาหมึก แต่เพราะแรงบีบของมือกับการกระทำที่ไม่มียั้งแรงเหมือนจะขยี้ให้เขาแหลกคามือ ทำเอาอารมณ์ที่พยายามสะกดพุ่งกระฉูด...ซึ่งถ้ามากกว่านี้ล่ะก็ มีหวังไม่ต้องออกไปจริงๆแน่ “ผมก็จะไปฉุดคุณอยู่แล้วไง ปล่อยนะ”

          แน่นอนว่าสิทธิ์ไม่ได้ทำตามในทันที เขายังคงใช้มือบีบสะโพกอีกฝ่ายแน่น จากนั้นก็บรรจงกัดลงตรงซอกคอขาวเต็มแรงสลับกับไล้เลียผิวกายด้วยริมฝีปากอุ่น จนเสียงหวานดังเครืออยู่ในลำคอด้วยความเจ็บปนหฤหรรษ์ แต่กระนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะทุบอีกฝ่ายเป็นการประท้วง แม้ว่าอันที่จริงอยากจะเปลี่ยนเป็นกอดรัดและร้องขอให้มากกว่านี้ก็ตาม

          “เดี๋ยวฉันมา” พอได้อย่างที่พอใจก็ผละไปห้องน้ำเสียดื้อๆ ปล่อยให้เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่หน้าประตู โดยไม่สนใจแม้แต่จะมอง

          เดียร์ เอามือปิดปากตัวเอง แม้ไม่ต้องมองกระจก เขาก็รู้ดีว่าในตอนนี้ใบหน้าของตัวเองแดงก่ำแค่ไหน มือบางลูบไปยังต้นคอของตนที่โดนอีกฝ่ายกัด ซึ่งเกิดเป็นรอยฟันบางๆ ความร้อนผ่าวและแรงกัดก่อนหน้ายังคงติดตรึงไม่หาย แรงกระหายนั้นทำให้เกิดรอยจ้ำขึ้นอย่างชัดเจน ราวกับเป็นการตีตราแสดงความเป็นเจ้าของให้ใครที่มาเห็นได้รับรู้

          “บ้าจริง เดี๋ยวก็ดีแตกจริงๆหรอก” เด็กหนุ่มบ่นก่อนจะมองรอยจ้ำที่คอในกระจก ท่าทางต่อให้ใส่เสื้อคอปกก็คงจะปิดรอยนี้ไม่ได้อยู่ดี ก็พ่อหมีแกเล่นทำคิสมาร์คซะสูงเหมือนจงใจโชว์ขนาดนี้นี่ “เฮ้อ”

          ดวงตากลมมองตัวเองในกระจก สีหน้าของตนในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากการโดนเอาเฆี่ยนฟาดหลังเลยชัดๆ เล่นเอานึกประหลาดใจตัวเองที่จะยังมีความรู้สึกดีกับเรื่องแบบนี้ได้

          “มันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่แฮะ”

 

          แน่นอนว่าในขณะเดียวกัน สิทธิ์ได้แต่โหยหวนอยู่ในใจ เขาก็ยอมรับอยู่หรอกว่าไอ้ที่ทำไปน่ะ อินเนอร์ล้วนๆ แต่ไม่คิดว่าจะเตลิดไปถึงขั้นลวนลามยามเช้าเลยสักนิด นี่ถ้าห้ามใจเอาตัวไม่อยู่ มีหวังได้นอนเตียงทั้งวันอย่างที่บอกอีกฝ่ายไปแล้ว

          “บ้าจริง” ชายหนุ่มนั่งด่าตัวเองอยู่บนพื้นห้องน้ำ พลางมองสองมือที่ใช้ขย้ำขยี้อีกฝ่ายเสียหนำใจ ทีแรกเขากะแค่ว่าจะดึงอีกฝ่ายเข้ามารัด แล้วแกล้งทำเป็นจูบเท่านั้น...เท่านั้นจริงๆ แต่พอเห็นใบหน้าหวานดูทรมานคล้ายกับจะร้องไห้ ก็ไม่รู้ผีห่าซาตานอะไรเข้าสิง ยังดีที่ไล่ผีออกจากร่างทัน ก่อนที่จะเผลอกินลูกกวางน้อยไปทั้งตัว

          แต่พอนึกถึงสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่าย ซึ่งแม้ดูแล้วจะยังหวาดหวั่นกับสิ่งที่ตนทำ แต่ก็ไม่แสดงอาการรังเกียจเท่าเมื่อก่อน(?) ทั้งยังใบหน้าเขินอายที่ตนแอบเห็นเพียงแว้บๆนั่นก็ช่วยให้ชายหนุ่มรู้สึกใจชื้นขึ้นมา ว่าแผนของตัวเองได้ผลดีอย่างที่หวัง

          คงอีกไม่นานแล้วสินะ…



______________________________

หมดบทตาชาแล้ว ลาก่อย~~ (โดนตบ)

อัพส่งท้ายปีเก่า ฮาๆ ทีแรกว่าจะอัพตั้งกะวันอาทิตย์แล้วงับ แต่พอดีไปเที่ยวมายังไม่ได้แก้อะไรเลย แถมยังไม่ว่างด้วย เลยล่วงมาถึงวันนี้ ;w;

ปิดปีใหม่แล้ว ก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านโชคดีมีชัยในปีใหม่ ขอให้เรื่องร้ายๆหายไปกับปีเก่า มีความสุขกันในปีใหม่ตลอดทั้งปี ไปเที่ยวที่ไหนก็ขอให้เดินทางปลอดภัยงับ =w=

ส่วนทางนี้ก็ไม่ได้ไปไหนหรอก ;w; พอดีรีบทำปฏิทินแจกอยู่ ไม่รู้จะทันไหม ไหนจะต้องเตรียมรวมเล่มด้วย...สรุปทำงานข้ามปีใหม่นี่ล่ะ =_=
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2015 06:43:15 โดย musddmp »

ออฟไลน์ Maiiz Ellfiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
งั้นสิ  วินรู้มานานแล้วด้วย  สมใจเลยสิชา

ส่วนคู่เอกเราก็แน่มากกกก  อ่านไปยิ้มไปเลย ฮ่า ฮ่า  กำลังดึงสิทธิ์เข้าสู่ทางสายเอสอย่างสมบูรณ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2014 22:20:35 โดย Maiiz Ellfiez »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด