ตอนที่ 17วันชาติขับรถพาโรจน์มาสมัครงานและสัมภาษณ์ที่กรุงเทพ ฯตามที่นัดกันไว้ แต่โรจน์เดินกลับออกมาจากห้องสัมภาษณ์ด้วยรอยยิ้มกว้าง จนคนรอต้องทักด้วยความประหลาดใจ
“ดีใจอะไรขนาดนั้น”
“ดีใจสิ ได้อยู่ชัยนาทต่อ”
“ห๊ะ” วันชาติสงสัย แต่โรจน์กลับชวนไปเดินห้างสรรพสินค้าและกินอาหารมื้อเที่ยง
“ทำไมล่ะ” วันชาติยังไม่หายสงสัย
รอยยิ้มกว้างยังไม่หายไป “ก็เงินไม่ถึงสองหมื่น”
“อ้าว ไหนทีแรกบอกว่าเงินดี”
“นั่นแหละ” โรจน์บอกยิ้มๆ วันชาติเลยส่ายหน้า
“ที่จริงไม่อยากมาทำแต่แรก แต่เพราะไม่อยากขัดใจที่บ้านล่ะสิ”
โรจน์หัวเราะเบา ๆ
“เป็นครูถึงเงินจะน้อย ทั้งไม่เจริญก้าวหน้า อย่างที่เขาว่ากัน ว่าลูกศิษย์เป็นดอกเตอร์แล้ว แต่ครูยังอยู่ประถมอยู่เลย แต่พอมาคิดดู มันน่าภูมิใจออก”
วันชาติยิ้มขำ
.....ตั้งแต่แรกมา ก็คิดมาตลอดว่าโรจน์รักอาชีพครู มีก็แต่พี่ตาลนี่แหละ ที่ให้ยังไงก็ไม่เข้าเค้าว่าจะเป็นครู อาจารย์ได้เลยสักนิด....
กินอาหารเสร็จก็พากันเดินเล่นในห้างจนกระทั่งบ่ายจัด วันชาติก็ขับรถไปส่งโรจน์ที่บ้าน ตั้งใจว่าจะกลับมานอนที่บ้านพี่ชาย พรุ่งนี้เช้าถึงจะไปรับโรจน์ที่บ้าน
“ต่อจะแวะเข้าบ้านโรจน์มั้ย”
“แล้วแต่โรจน์แล้วกัน ผมน่ะยังไงก็ได้”
โรจน์พยักหน้า “เข้าไปสวัสดีพ่อกับแม่นิดนึงก็แล้วกันนะ”
วันชาติแวะเข้าไปในบ้านของโรจน์เพียงนิดนึงตามที่โรจน์บอก แล้วก็ฝ่ารถติดกลับมาที่บ้านพี่ชาย
หกโมงแล้ว แต่บ้านยังปิดเงียบ วันชาติก็ไขกุญแจเปิดบ้านแล้วถอยรถเข้าไปจอด
มีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างตามมาจอดเทียบที่หน้าบ้านทันที
หนุ่มคนซื่อส่งยิ้มกว้าง พร้อมยกมือที่ถือถุงของสดขึ้นสวัสดี
“ฉันกำลังซื้อผักอยู่ปากซอยตอนที่เห็นรถพี่ ยังคิดว่าพี่จะมาค่ำ ๆ”
“ทีแรกก็กะอย่างนั้นแหละ แต่พอเดินเข้าบ้านเขาแล้วมันไม่คุ้น สวัสดีพ่อแม่เขาแล้วก็กลับมาเลย”
มาถึงตอนนี้ คิดว่าฟางจะต้องรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
แต่หนุ่มฟางไม่ได้แสดงอาการว่ารู้หรือไม่รู้ วันชาติบอกแค่นี้ก็พยักหน้ารับทราบแค่นี้
ไขกุญแจเปิดประตูบ้านก็รีบเอาของเข้าไปวางไว้ในครัว แล้วเปิดบ้าน
“มึงทำอะไรให้พี่กูกิน”
วันชาติถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กของตัวเองเดินตามเข้ามา
“ปลาเนื้ออ่อนทอดราดน้ำปลา กับต้มยำกุ้งครับ พี่บอกว่าเผื่อพี่วันชาติจะกินแกล้มเหล้า”
วันชาติยักคิ้ว
“พี่กูนี่ช่างรู้ใจ แล้วปกติเขากินแค่นี้ทุกวันเหรอ”
“ไม่หรอกครับ ปกติจะกินแต่น้ำพริก ส่วนของทอดเปลี่ยนไปเรื่อย ๆบางวันเป็นปลาทู บางวันไข่เจียว”
วันชาติที่เดินขึ้นไปบนบ้านตะโกนลงมา “เฮ้ย กูก็กินน้ำพริกเป็นเหมือนกันนะโว้ย”
“ก็พี่เขากลัวว่าพี่วันชาติจะเบื่อ” ฟางตอบขำ ๆ
“เบื่ออะไร มีอยู่ก็ยกออกมาวางเลยน้อง”
“พี่จะกินเลยเหรอ”
“ยังหรอก รอพี่ตาลก่อนก็ได้”
วันชาติตะโกนบอกแล้วเข้าห้องไป
ฟางทำงานบ้านไปเรื่อย ขณะที่วันชาติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ลงมาดูโทรทัศน์ รอตาลาไตกลับบ้าน
“ยังไม่กินข้าวกันอีกหรือ”
“ยังไม่ได้กิน ฉันเคยกินข้าวคนเดียวที่ไหน” วันชาติตอบพลางยักคิ้วหลิ่วตา พี่ชายได้แต่ส่ายหน้า วันชาติเลยพูดต่อ “ฟางมันไม่กินพร้อมฉันอยู่แล้ว”
พี่ชายเดินไปล้างมือน้องชายก็เดินตามไปคุย ขณะที่ฟางหันไปอุ่นต้มยำแล้วยกวางบนโต๊ะ เสร็จก็เลี่ยงไปทำอย่างอื่น
ทุกอย่างราบเรียบ จนวันชาติคนช่างพูดช่างเล่าต้องทัก
“มันไม่กินข้าวพร้อมพี่เหมือนกันเหรอ”
ตาลาไตส่ายหน้า “ไม่หรอก”
“อ้าว....” วันชาติทำหน้าตาสงสัย “ทำไมล่ะ พี่หัวโบราณขนาดไม่กินข้าวพร้อมเมียตั้งแต่เมื่อไหร่”
ตาลาไตถึงกับสำลักข้าว ส่วนฟางที่ยังเก็บหนังสือที่วันชาติวางทิ้งไว้ที่หน้าโทรทัศน์ก็ยังได้ยินที่วันชาติพูด ใบหน้าถึงกับร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
คนช่างทัก ช่างถามมองหน้าคนนี้ที มองหน้าคนนั้นทีแล้วส่ายหน้า
“ช้าชิบหาย”
“วันชาติ มึงนี่พูดเยอะไปแล้ว” พี่ชายปราม แต่วันชาติทำท่ายักไหล่เว่อร์ ๆ หันไปถามฟาง
“ถ้าไม่มีอะไร แล้วทำไมไม่กินพร้อมกูกับพี่”
“ไม่ละครับ พ่อไม่ให้ผมกินโต๊ะเดียวกับเจ้านาย”
ตาลาไตพยักหน้ากับน้องชาย ขณะที่น้องชายได้แต่ส่ายหน้า
“พ่อไอ้ฟางนี่ กลับไปต้องสนทนากันยาวสักหน่อยแล้ว แล้วพี่ก็บ้าจี้ ยอมให้มันเรียกพี่ว่าเจ้านายด้วย”
ตาลาไตทำหน้าตาเหมือนจะบอกน้องชายว่าฟางอาจเป็นคนหัวอ่อน แต่บางเรื่องก็ดื้อเกินกว่าจะพูดเหมือนกัน
สุดท้ายวันชาติก็หันมาโวยพี่ชาย “อย่าบอกนะว่านอนคนละห้อง”
“ฉันแค่มาทำกับข้าวแล้วกลับหอ ที่วันนี้ค้างก็เพราะพี่มาหรอก” ฟางบ่นให้ได้ยิน
พอข้าวมื้อเย็นผ่านไป วันชาติก็เริ่มชงเหล้า เดินออกไปนั่งบนโต๊ะหินอ่อนเหมือนเคย ฟางยกกับแกล้มตามไปวางให้ แล้วกลับมาเก็บจานชามล้างแล้วค่อยกินข้าว ตาลาไตก็หยิบหนังสือพิมพ์มานั่งอ่านอยู่ที่โต๊ะกินข้าว
ถึงจะไม่ได้กินข้าวพร้อมกัน แต่ก็ยังอยู่ใกล้กันได้
โทรศัพท์มือถือของตาลาไตดังขึ้น เจ้าตัวลุกไปหยิบมา
บางคำ บางประโยค ทำให้ฟางต้องวางช้อน
“ใครเป็นอะไรครับ”
“ดาบมงคลถูกลูกชายยิงตาย”
“ใครถูกใครยิงตายนะ” วันชาติโผล่พรวดเข้ามาในบ้าน
“ดาบมงคล เคยทำงานอยู่ในชุดเดียวกัน เมื่อเย็นแกไปตามลูกชายที่ร้านเกม กลับบ้านมาทะเลาะกัน มันเอาอาวุธของดาบมายิงแกเอง”
“ติดเกมขนาดฆ่าพ่อได้เลยหรือวะเนี่ย” วันชาติบ่นพึมด้วยความไม่เข้าใจ
เด็กบ้านอื่นกูไม่รู้ แต่เด็ก ๆที่สวนบ้านกูมันไม่มีใครติดเกมสักคน มีแต่รีบตื่นเช้ามาช่วยพ่อแม่รดน้ำผักแล้วไปโรงเรียน เลิกเรียนก็รีบกลับมาช่วยพ่อแม่มันทำงาน
“แล้วพี่จะไปรดน้ำศพเขาหรือเปล่า”
“ก็เย็นพรุ่งนี้น่ะแหละ เลิกงานแล้วจะไป”
วันชาติพยักหน้ารับรู้เพราะตัวเองก็จะไปรับโรจน์แต่เช้า แล้วก็จะกลับชัยนาท แต่กลับนึกขึ้นได้อีกเรื่อง
“เพื่อน ๆพี่จะไปกันหมดเลยหรือเปล่า ให้ฉันไปด้วยดีมั้ย”
ตาลาไตตบไหล่น้องชาย “ไม่เป็นไรหรอก กูออกมาแล้วก็จริง แต่ดาบแกก็ดีกับกูมาตลอด”
วันชาติยังไม่หายสงสัย “แกอยู่ในกลุ่มที่มาบ้านเมื่อวันนั้นหรือเปล่า”
“เปล่า”
น้องชายหมดคำถามเดินกลับไปกินเหล้าที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านเหมือนเดิม
“พี่จะไปจริง ๆหรือครับ”
ฟางถามเบา ๆ
“ไปสิ ไม่เคยได้ยินที่โบราณเขาบอกหรือ เกิดไม่ไปก็ได้ แต่งไม่ไปไม่เป็นไร แต่ถ้าตายต้องไปเพื่อขออโหสิกรรม”
ทั้งที่ใจยังนึกเป็นห่วง ว่าคนอื่นจะมองตาลาไตอย่างไร แต่ฟางก็ยังคลี่ยิ้มให้กำลังใจ
“ไปกินข้าวให้เสร็จ แล้วไปอ่านหนังสือทำรายงานของเราเถอะ พี่ก็จะอ่านหนังสือเหมือนกัน”
ดังนั้นเมื่อวันชาติเดินกลับเข้าบ้านอีกครั้งถึงได้เห็นว่า ฟางกับตาลาไตต่างก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะกินข้าว
.... เพราะ 2 คนนี้เขาเป็นแบบนี้ มันถึงได้เป็นความรักแบบเอื่อย ๆ ไหลเรื่อยเหมือนน้ำเย็น .....แล้วกูล่ะ
ตั้งแต่เห็นฟาง ก็เอาแต่คิดถึงแต่เดล
ห้ามปากตัวเองไม่รู้กี่ครั้งว่าอย่าถามถึง
งานศพของดาบมงคลเต็มไปด้วยตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ ส่วนตาลาไตสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงสีดำ เมื่อจุดธูปไหว้ขออโหสิดาบมงคลเสร็จก็ถอยออกมานั่งข้างนอก ประมวลลูกชายคนโตของดาบเดินตามมานั่งข้าง ๆ
“พ่อบอกว่าพี่ตาลโดนคนใส่ร้ายจนต้องลาออก”
ตาลาไตหันไปมองหน้าชายหนุ่มคนที่มีอายุอ่อนกว่ากันไม่เกินปี และที่ผ่านมาก็แทบไม่เคยได้คุยกัน เพียงแต่เคยเห็นหน้ากันและรู้ว่านี่คือลูกชายคนโตของนายตำรวจอาวุโสเท่านั้น
ประมวลพูดเบา ๆเหมือนกลัวว่าจะมีใครได้ยิน
“เขาบอกว่า เพื่อนพี่น่ะแหละที่เป็นคนทำ”
ตาลาไตพยักหน้า ฉลองอยู่ข่ายผู้ต้องสงสัยมาตั้งแต่แรก เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้เลือกที่จะใส่ร้ายกัน
เมื่อคำถามนับล้านข้อที่หลับอยู่มุมหนึ่งของสมองเริ่มตื่นขึ้นมา ประมวลก็เปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่น
“แล้วตอนนี้พี่ทำอะไร”
“สอนหนังสือน่ะ”
“เหรอ ก็ดีนะพี่ ลูกศิษย์คงกลัวพี่น่าดู”
“ไม่หรอก” ตาลาไตตอบยิ้ม ๆเมื่อมองตามสายตาของประมวลไปที่กลุ่มคนที่เพิ่งมาถึง มีฉลองรวมอยู่ในกลุ่มด้วย "เพิ่งได้สอนแทนครั้ง 2 ครั้ง ยังไม่ได้ลงเต็มตัว ต้องรอเทอมหน้า”
ประมวลชวนตาลาไตคุยไปเรื่อย ๆ ส่วนฉลองพอจุดธูปไหว้ดาบมงคลเสร็จก็เดินมานั่งข้าง ๆ
“ถ้ากูเป็นมึงกูจะไม่มางานนี้”
ประมวลที่นั่งอยู่อีกด้านของตาลาไตขยับนั่งตัวตรง แต่ตาลาไตตอบนิ่ง ๆ
“กูก็แค่มาจุดธูปขออโหสิ เดี๋ยวก็กลับ”
“เออ กูพูดกับมึงตามตรงเลยนะ ใคร ๆก็รู้ว่ามึงออกจากราชการเพราะอะไร แล้วมึงมาอย่างนี้ คนเขาจะมองว่าดาบแกเป็นเหมือนมึง”
“พ่อบอกเสมอว่าพี่ตาลเป็นตำรวจที่ดี” ประมวลพูดแทรกขึ้นมาเฉยๆ “และเพราะดีเกินไป ถึงได้โดนคนใส่ร้าย”
ฉลองชี้หน้าประมวล “มึงต้องรู้ด้วยว่าการจะกล่าวหาใครมันต้องมีหลักฐาน”
ตาลาไตขยับตัว หันไปบอกประมวล “ช่างเถอะ ยังไงกูก็ลาออกมาแล้ว งานใหม่ที่ทำอยู่ก็เป็นงานที่ดี ไม่ต้องตากแดดตากฝน หรือต้องวิ่งฝ่าดงกระสุนปืนอีก มึงไปอยู่เป็นเพื่อนแม่มึงเถอะ”
พอประมวลลุกไป ตาลาไตถึงได้หันมาบอกเพื่อน “ไม่เห็นต้องถือเป็นอารมณ์โกรธ มันเพิ่งเสียพ่อไป น้องก็ติดคุก มันแค่พูดไปตามที่พ่อมันบอกไว้เท่านั้น”
ฉลองกระแทกเสียงในลำคอ ตาลาไตพูดต่อ
“อย่างที่มึงว่าน่ะแหละ ทุกอย่างต้องว่ากันไปตามหลักฐาน แล้วมึงไม่ต้องกลัวว่ากูจะมาทำให้ดาบแกเสื่อมเสีย เดี๋ยวกูก็จะไปแล้ว มึงควรจะไปดูแลหัวหน้าจะดีกว่า”
ฉลองลุกไปหาหัวหน้า แต่ก็มีนายดาบตำรวจที่เกษียณราชการเข้ามานั่งข้าง ๆ ตาลาไตยกมือไหว้ นายดาบตำรวจอาวุโสชวนคุยเรื่องพระเครื่อง ซึ่งตาลาไตพอจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ไม่ได้สะสม ก็เลยได้แต่เออ ๆออ ๆตามไป
เมื่อพระเริ่มสวดตาลาไตที่คิดว่าจะลากลับก่อนยังกลับไม่ได้ เพราะกลุ่มนายตำรวจอาวุโสชวนคุย และที่คิดว่าจะกลับตอนพักสวด ก็ยังไม่ได้ลุกเพราะนายดาบตำรวจคนนี้ ยังชวนคุยเรื่องพระเครื่องต่อไปอีก จนกระทั่งพระสวดเสร็จ แกก็แตะที่ข้อมือกึ่งบังคับให้ตาลาไตลุกตามออกมาจนถึงรถคันเก่า
“มีสำนวนฝรั่งเขาบอกว่า โลกนี้มีคนอยู่ 2 ประเภทคือ Take กับ Give คนที่รู้จักแต่ Take จะร่ำรวยกินอิ่ม แต่คนที่รู้จัก Give จะนอนหลับสบาย”
“ผมไม่ใช่ทั้ง 2 อย่าง ผมเป็นแค่คนที่ถูกเขาจับมัดไว้แล้วโยนลงมาจากเรือ”
“งั้นเราก็ต้องไม่ยอมจมน้ำตาย เรามีสมอง เรารู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้ไม่ต้องจมน้ำตาย”
ตาลาไตจ้องมองนายดาบตำรวจที่เพิ่งรู้จักกันและเว้นวรรคการแนะนำชื่อของตัวเองไว้ ทั้งสังเกตว่ารอบตัวมีตำรวจที่อยู่ในวัยเกษียณอายุราชการยืนอยู่หลายคน บางคนอยู่ในกลุ่มที่คุยเรื่องพระเมื่อครู่ แต่บางคนก็ไม่ใช่
แต่ดูท่า นายดาบตำรวจคนที่กำลังยืนคุยอยู่ด้วยกัน จะต้องเป็นหัวหน้ากลุ่ม
“พี่อยากให้ผมทำอะไร”
นายดาบตำรวจหัวเราะเบา ๆทั้งตบไหล่กว้าง “ตาลาไตไม่ใช่คนแรกที่ต้องออกจากราชการไปพร้อมกับรอยเปื้อนที่ไม่ได้ทำ”
ตาลาไตจ้องมองนายดาบตำรวจที่เล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ “ตอนนั้นมงคลยังเป็นจ่า แต่โดนกล่าวหาว่ารับเงินจากคนร้ายคดีฆาตกรรม หลักฐานพร้อม มันขอร้องเขาว่าลูกยังเล็ก เพื่อให้อยู่ในเครื่องแบบต่อไป ทั้งที่มันไม่ได้รับเงินแต่มันต้องไปกู้เงินจากทุกคนที่มันรู้จักเอามาคืนหลวง แต่ยังไม่พอ มงคลต้องสละสิทธิ์ที่จะสอบเลื่อนขั้น สุดท้ายมันก็เกษียณไปกับยศนายดาบ”
ตาลาไตรู้สึกถึงแรงดันที่อยู่ในอก ขณะที่พยักหน้ารับรู้
“มันไม่สำคัญหรอกว่า ที่อยู่บนบ่าจะเป็นแถบ เป็นดาบ เป็นดาว หรือช่อกัลปพฤกษ์ แต่คนเราทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรี ยิ่งเราเป็นคนที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ การถูกกล่าวหาว่าทำผิดแม้เพียงเล็กน้อย มันก็หนักหนาเกินกว่าที่จะรับไว้ได้”
ตาลาไตไม่เพียงแค่คิดถึงดาบมงคล แต่ยังคิดถึงดาบตำรวจในละแวกบ้านที่พ่อใหญ่เล่าว่าเกษียณราชการกลับมาอยู่บ้านได้ไม่เท่าไหร่ก็ฆ่าตัวตาย
“คนที่ยอมถอย พวกมันก็จะยอมถอยให้เหมือนกัน แต่น้องไม่ใช่”
“ผมเพียงแต่สงสัยว่าทำไมต้องเป็นผม”
นายดาบตำรวจพยักหน้า “บางทีมันก็แค่เราเป็นคนดีที่ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา แต่พี่เชื่อว่าไม่นานคำตอบมันจะไปหาน้องเอง และขอให้รู้ว่าตำรวจแก่ ๆกลุ่มหนึ่งมีความหวังดี และเป็นห่วง อยากให้ระวังตัว”
ตาลาไตขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ว่าบรรดาอดีตเพื่อนร่วมงานทุกคนล้วนเป็นคนแปลกหน้า
การฝึกที่เหน็ดเหนื่อย การทำงานที่ยากลำบาก การเคียงบ่าเคียงไหล่ในเวลาคับขัน ไม่สามารถรับรองได้ว่าจะไม่มีการหักหลังกัน
---จบตอนที่ 17---
อีก 2 ตอนจะจบภาคแรก ขอบคุณทุกความเห็น ทั้งในเรื่องนี้ และในเรื่องที่จบไปแล้ว ซึ่งเราแวะกลับไปอ่านเสมอ
ยังคงมีข้อบกพร่องมากมายให้เราแก้ไข
ขอบคุณมากครับ
พบกันวันพฤหัสบดีนะครับ ส่วนตอนพิเศษวันศุกร์น่ะ .... 
ไจฟ์กับที