Naughty Cupid หัวใจไร้สี บทส่งท้าย END (3/08/13)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Naughty Cupid หัวใจไร้สี บทส่งท้าย END (3/08/13)  (อ่าน 52960 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 8 (6/07/13)
«ตอบ #30 เมื่อ06-07-2013 21:10:32 »

-8-


   เป็นโชคดีของพวกเขาทั้งสองที่ไม่มีใครคิดจะพูดถึงเรื่องนั้นอีก ต่างคนก็ต่างทำเหมือนว่าลืมมันไปแล้ว หรือไม่ มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริงและปล่อยให้สัปดาห์นั้นเวียนหมุนไปอีกครั้ง และเมื่อถึงวันเสาร์ ภรัณยูก็ชวนนภทีป์ให้ออกไปซื้อของด้วยกันอีก เพราะปกติแล้วของสดต้องซื้ออย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง ภรัณยูคงตั้งใจจะให้อีกฝ่ายคุ้นชินกับชีวิตสามัญชนคนธรรมดากระมัง นั่นคือสิ่งที่รติคิดเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวคะยั้นคะยอให้นภทีป์ออกไปข้างนอกด้วยกันจนสำเร็จแม้ฝ่ายคนถูกชวนจะไม่ได้อยากไปเลยก็ตาม

   ของสดที่ภรัณยูซื้อมาคราวก่อนทำให้เจ้าของห้องต้องไปเปิดหาเมนูพื้น ๆ ในอินเตอร์เน็ตและลองลงมือทำด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้พวกมันเน่าเสีย กว่าจะหมดตู้ได้ก็ได้เผชิญกับการลองผิดลองถูกกับรสชาติอาหารที่เดี๋ยวก็เค็มไปเดี๋ยวก็หวานไป แถมห้องครัวยังเละเทะด้วยคราบส่วนประกอบอาหารไปหลายรอบ ทำเอานภทีป์ไม่สามารถหาเวลามานั่งกอดเข่าซึมเซาอย่างที่เคยทำได้เลย

   “แต่ว่า เราจะได้เจอกันหลายวันแบบนี้ ผมลองถามสูตรอาหารจากแม่มาเยอะ ๆ ดีไหมนะ” ภรัณยูลูบคางขณะทบทวนวันที่ เพราะตั้งแต่วันจันทร์เขาจะได้หยุด 3 วันเพราะเทศกาลสงกรานต์ ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องมาที่ห้องของนภทีป์ทุกวัน ระหว่างนั้นก็ควรจะทำตัวเป็นประโยชน์เสียบ้าง

   “ถ้านายจะทำความสะอาดครัวให้ฉันด้วย อยากจะทำอะไรก็ทำไปสิ” นภทีป์ตอบพลางกลอกตา เจ้าผู้ชายคนนี้คงไม่รู้เลยสินะว่าคราบน้ำมันบนพื้นกระเบื้องมันนรกแตกขนาดไหน กว่าจะเช็คจนหมดคราบได้ เรียกว่าล้างครัวเลยน่าจะง่ายกว่า

   “เรื่องทำความสะอาดผมไม่ยั่นหรอก” ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะขณะยื่นมือไปรับของจากนภทีป์ซึ่งกำลังควานหากุญแจห้องในกระเป๋า ทว่าเมื่อจับลูกบิดกลับพบว่ามันไม่ได้ล็อคอยู่ เจ้าของห้องมุ่นคิ้วเพราะมั่นใจว่าตนเองล็อคห้องเรียบร้อยแล้ว และรติยังเช็คก่อนไปอีกด้วย และนั่นทำให้เขาเกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมา มวนในท้องก่อตัวขึ้นเพราะความกังวลว่ามีสิ่งใดอยู่หลังประตูบานนี้กันแน่

   เขาตัดสินใจเปิดมันออกเพราะภรัณยูเริ่มมองมาด้วยความสงสัย

   “สวัสดีที ผมมารออยู่นานแล้วนะ” เสียงทักทายที่คล้ายจะเป็นมิตรแต่กลับให้ความรู้สึกคลื่นเหียนเอ่ยต้อนรับคนทั้งสองเมื่อเดินเข้าไปในห้อง นภทีป์หยุดกึกที่หน้าประตูทันทีเมื่อมองเข้าไปและพบว่าผู้มาเยือนกำลังยุ่มย่ามกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขา “แต่ทีก็รอบคอบขึ้นเยอะเลยนะ ใส่รหัสเอาไว้ด้วย” เจ้าตัวชี้ไปที่หน้าจอlcdซึ่งมีช่องให้กรอกรหัสประดับอยู่กลางจอ

   นภทีป์ไม่พูดอะไรและเดินเข้าไปกดปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนรีบเดินเข้าห้องครัวไปอย่างเงียบ ๆ และสีหน้าไม่ต้อนรับแขก

   หลังจากปิดประตูแล้ว ภรัณยูก็เลิกคิ้วมองคนที่เหลืออยู่ในห้องซึ่งเป็นคนเดียวกับที่มาเยือนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วและทำให้นภทีป์เกิดอาการประหลาดขึ้นมา

   “คุณ...”

   “หืม? อ้อ นายเมื่อคราวก่อน” ฝ่ายนั้นก็จำเขาได้เช่นกัน “เป็นเพื่อนของทีหรือ? เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเขามีเพื่อนเป็นเด็กมหาลัยด้วย ทำให้คิดถึงอดีตเลยนะ” ว่าแล้วชายหนุ่มแปลกหน้าก็หัวเราะซึ่งภรัณยูก็แค่ยิ้มไปด้วยตามมารยาทเพราะเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าอีกคนหนึ่งกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ และเสียงอันดังที่เจ้าตัวตั้งใจทำนั้นก็คล้ายกำลังพูดกับนภทีป์มากกว่าเขา

   รติแอบมองสถานการณ์ด้านนอกแล้วบินมาเกาะที่ไหล่นภทีป์ซึ่งกำลังจัดของเข้าตู้เย็นอย่างเอื่อยเฉื่อยเหมือนถ่วงเวลาตัวเอง

   “ทำไมนายไม่ไล่เจ้านั่นออกไปซะเลย”

   “คิดว่าเขาจะไปหรือไง” เสียงตอบของนภทีป์คล้ายจะไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้และตั้งใจจะทำเหมือนอีกคนไม่มีตัวตนจนกว่าฝ่ายนั้นจะถอดใจกลับไปเอง แต่สิ่งที่นภทีป์รู้ก็ถ่ายทอดมาถึงรติด้วย นั่นคือ...คน ๆ นั้นจะไม่มีทางกลับไปด้วยตนเองจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ เพียงแต่...คน ๆ นั้นต้องการอะไรกันล่ะ? ในเมื่อเขาได้ทุกอย่างไปหมดแล้ว หมดเสียจนตัวนภทีป์เองรู้สึกเหมือนตนเองไม่เหลืออะไรอยู่เลยแม้สักอย่างเดียว ตัวเขายังมีอะไรให้ฝ่ายนั้นยื้อแย่งไปอีก ทั้งที่คิดว่า...จะไม่ต้องเจอกันอีกแล้ว...

   “ฉันชื่อตฤณ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เสียงแนะนำตัวของตฤณเดินทางกระทบใบหู รติเบ้หน้าพลางคิดว่าตนเองคงต้องทำอะไรสักอย่างอีกแล้ว แต่จะทำอะไรดีล่ะ?

   “ว่าแต่...มีธุระกับคุณทีหรือครับ?” ภรัณยูว่าพลางเอาของเดินเข้ามาให้ถึงในครัวและเห็นนภทีป์กำลังนั่งบนพื้นพลางจัดของด้วยท่าทางเหมือนหุ่นหมดลาน ชายหนุ่มหันกลับไปมองผู้ชายที่แนะนำว่าตนเองชื่อตฤณอีกครั้งและเริ่มสงสัยว่าสองคนนี้มีอดีตกันอย่างไรกันแน่ เพราะดูเหมือนมันจะส่งอิทธิพลกับนภทีป์ได้พอ ๆ กับภาพวาดรูปทะเลที่เคยวาดสมัยมัธยม

   “อะไรกัน ทียังจัดของไม่เสร็จอีกหรือ? ยังเฉื่อยชาเหมือนเดิมเลย” ตฤณยื่นหน้าเข้ามาพลางหัวเราะเสมือนว่าตนเองมีส่วนร่วมในกิจกรรมด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ ซ้ำถ้อยคำที่ใช้ก็ดูเหมือนเจ้าตัวรู้จักกันนภทีป์เป็นอย่างดีมาระยะหนึ่งแล้ว

   ถึงอย่างนั้นนภทีป์ก็ไม่นำพาต่อการสนทนา เขาเบือนหน้าหนีและลุกเดินออกไปข้างนอก แต่ในจังหวะที่ผ่านประตูก็กลับถูกโอบเอวรั้งไว้

   “เดี๋ยวสิ จะโกรธผมอีกนานเท่าไหร่กัน?” ตฤณยิ้มพลางถามโดยไม่ได้แสดงอาการว่าสำนึกผิดเลย ช่างเป็นพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับคำถามเสียจริง...

   “ถ้าคุณรู้ว่าผมโกรธ ทำไมยังกล้าโผล่หน้ามาอีก” หากนภทีป์ถลึงตามองด้วยคงจะทำให้อีกฝ่ายยอมล่าถอยได้อยู่ แต่เจ้าตัวกลับหลบตาและพูดประโยคนั้นอย่างแผ่วเบา มันแสดงถึงสภาวะที่ยังเอาชนะไม่ได้และต้องการหลีกหนี ซึ่งสำหรับตฤณแล้ว อีกฝ่ายก็เหมือนกระต่ายตัวน้อยที่ทำเป็นขนตัวนิ่งไม่รู้ร้อนหนาวแต่ที่จริงแล้วกำลังหวาดกลัวสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจนไม่กล้าขยับ

   “ก็ผมอยากเจอทีนี่นา...” เสียงกระซิบกระซาบที่จงใจให้บุคคลที่สามได้ยินสะกิดใจภรัณยูอย่างน่าประหลาด ทั้งความสนิทสนมที่มากจนผิดปกติ และท่าทางขัดขืนอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของนภทีป์ มองไปแล้ว...มันไม่ต่างกับ...คนรักกำลังง้องอนกันเลยสักนิด...

   เขากระแอมขึ้นขัดจังหวะอย่างจงใจและมองปฏิกิริยาของตฤณที่ดูจะไม่ได้กระอักกระอ่วนกับการกระทำของตนแม้แต่น้อย กลับกัน เจ้าตัวยังหันมายิ้มให้โดยแฝงแววเย้ยหยันอยู่เล็กน้อย

   หรือผู้ชายคนนี้จะคิดว่าเขาเป็นคนรักใหม่ของนภทีป์?

   ที่จริงมันดูจะไม่ใช่ธุระของเขาเลยสักนิด แต่เมื่อเหตุการณ์มาเกิดตรงหน้าอย่างนี้ ไม่สอดเสียหน่อยก็คงไม่ได้กระมัง

   เมื่อคิดอย่างนั้น ภรัณยูก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปดึงนภทีป์ออกห่างมาอย่างสุภาพ

   “คือว่า...เดี๋ยวพวกเราจะต้องเริ่มเรียนกันแล้วนะครับ” ภรัณยูทำเป็นกระซิบโดยจงใจให้ตฤณได้ยินบ้าง เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าพวกเขายังไม่พร้อมจะต้อนรับขับสู้ในตอนนี้ นภทีป์เองก็อึ้งไปชั่วขณะก่อนจะรีบพยักหน้าเออออไปกับภรัณยูเมื่อได้ยินเสียงรติกระตุ้น

   “ตอนนี้ฉันมีงานต้องทำ” เขาว่าเรียบ ๆ

   “อืม...อย่างนั้นหรือ?” ตฤณว่าพลางมองภรัณยูและนภทีป์สลับกันไปมาสักพักก็ยิ้มกว้าง “แต่ว่านะที ผมมีเรื่องอยากจะพูดด้วยจริง ๆ นะ ถ้าเป็นไปได้ เรานัดพบกันตามลำพังสักครั้งได้ไหม?” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น ตฤณก็จับมือนภทีป์ไว้หลวม ๆ และก็น่าแปลกที่อยู่ ๆ ถ้วยพลาสติกที่วางไว้บนชั้นใกล้ ๆ ก็ตกใส่เท้าตฤณอย่างพอดิบพอดี แม้มันจะไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้แต่ก็ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งตกใจได้

   นภทีป์เหลือบสายตาไปมองรติที่นั่งกอดอกทำหน้าขุ่นใจบนชั้นวางของ

   “ไล่กลับไปซะทีสิ!” เจ้าของร่างกายเล็กพอ ๆ กับเด็กทารกทำเสียงขัดใจใส่เขา

   “เรื่องนั้น...” ถึงอย่างนั้น...เขารู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่นิดหน่อย ทำไม...ถึงไม่กล้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาดกันนะ ควรจะปฏิเสธสิ ควรจะบอกให้ชัดเจนไปเลยว่าไม่อยากจะเห็นหน้าอีกแล้ว... “...ผมต้องการกุญแจห้องคืนก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”

   ตฤณทำเสียงจี๊จ๊ะในคอก่อนจะกลอกตาแล้วเดินถอยออกไป

   “ผมขอเก็บไว้เป็นตัวประกันจนกว่าเราจะได้คุยกันตามลำพังก็แล้วกัน” ชายหนุ่มว่าแล้วยิ้มมีเลศนัยให้ภรัณยูก่อนจะผละจากไปโดยมีรติตามไปปิดประตูถึงที่

   นภทีป์รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเมื่อฝ่ายนั้นจากไปแล้ว ถึงอย่างนั้นการที่เขาไม่กล้าพูดปัดอย่างตรงไปตรงมาคงเพราะเขายังมีเยื่อใยอยู่หรือเปล่า? ซ้ำท่าทีของตฤณนั้น...ก็เหมือนว่าต้องการจะคืนดีจากใจจริง เพราะอย่างนั้นด้วยกระมัง...เขาถึงได้ลังเล แต่พร้อม ๆ กับความอึดอัดใจที่ต้องเผชิญหน้ากับตฤณ นภทีป์กลับพบว่าตนเองโล่งใจอยู่นิดหน่อยที่มีภรัณยูอยู่ด้วย

   ...

   ภรัณยู...

   เมื่อทวนชื่อเจ้าตัวอีกครั้ง นภทีป์ก็รู้สึกได้ทันทีว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าวเพราะเจ้าของชื่อนั้นกอดเขาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ดึงตัวเขาคืนมาจากตฤณได้สำเร็จ

   “...ปล่อยได้แล้ว...”

   “เอ๋ อ...ขอโทษครับ” ภรัณยูปล่อยมือทันทีพลางเกาท้ายทอยเก้อ ๆ เพราะเพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่ากำลังกอดอีกฝ่ายอยู่จนถึงเมื่อครู่ “เอ่อ...ผู้ชายคนเมื่อกี้...”

   นภทีป์หันมองคู่สนทนาครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ เอาเถอะ...บอกไปก็คงไม่เป็นไร

   “เขา...ก็เหมือนนายนั่นแหละ ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่มาขอให้ฉันสอนเทคนิควาดรูปให้”

   คล้ายว่าหลาย ๆ อย่างต่อกันได้อย่างพอดี ทำให้ภรัณยูกระจ่างขึ้นมาถึงปฏิกิริยาการกัดกันในช่วงแรกของนภทีป์ เพราะตฤณเคยอยู่ในสถานะเดียวกับเขา เคยใกล้ชิด และเรียกเจ้าตัวด้วยชื่อเล่นอย่างสนิทสนม ดูจากรูปร่างแล้วก็ใกล้เคียงกัน วิธีการพูดก็คล้ายกันนิดหน่อย ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของทั้งสองในปัจจุบันจึงเหมือนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น แต่... นภทีป์คงไม่อยากจะรับเขาไว้เพราะทำให้คิดถึงคน ๆ นั้นกระมัง ทว่ากลับต้องกัดฟันรับเอาไว้เพราะอนุทินเป็นคนพูดให้

   ถึงตอนนี้...นภทีป์อาจจะกำลังมองดูเขาด้วยสายตาแบบนั้นก็ได้ สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงว่าจะเหมือนอีกคนหนึ่ง

   “ขอโทษ...”

   “นายจะขอโทษฉันทำไมอีก?”

   ภรัณยูใช้เวลาครู่หนึ่งในการมองนภทีป์ที่หมุนตัวกลับมาหาตนเอง ไม่รู้ว่าอะไรดลใจแต่เขาก็ยื่นมืออกไปสัมผัสใบหน้าอีกฝ่ายและก็รู้สึกเบาใจขึ้นที่ไม่เห็นท่าทีของการลังเลและอยากผลักไสแบบที่เจ้าตัวแสดงออกเมื่อตฤณสัมผัส นภทีป์เพียงมุ่นคิ้วมองเขาคล้ายกำลังไม่เข้าใจว่ากำลังทำอะไรอยู่เท่านั้น

   “วันสงกรานต์พวกเราออกไปเที่ยวกันสักวันเถอะนะ”

   “หา...?” การเปลี่ยนอารมณ์และหัวข้ออย่างกะทันหันของภรัณยูทำให้ผู้ฟังชะงักไปชั่วขณะ

   “ก็ข้างนอกเขาเล่นน้ำกัน ออกไปเดินเล่นสักรอบให้ตัวเปียกก็น่าสนุกดีนี่ ดูเหมือนคุณเองก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนอยู่แล้ว คงจะไม่ได้เล่นสงกรานต์มานานหลายปีแล้วล่ะสิ” ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะร่าเสมือนว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นเลย และเมื่อพูดจบ เขาก็จับมือนภทีป์ก่อนจูงให้เดินเข้าไปในห้องทำงานด้วยกัน “แต่ตอนนี้คงจะต้องเรียนก่อนสินะ”

   เจ้านี่...จงใจหรือไง...

   นภทีป์มองอีกฝ่ายที่กำลังทำตัวร่าเริงเกินเหตุแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ แต่แล้วเขาก็ลอบยิ้มออกมานิด ๆ

   ที่จริงแล้ว...มันก็ไม่เลวนักหรอกนะ...

   เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนเองหลังจากภรัณยูปรากฏตัวขึ้น จริงอยู่ว่ามันไม่ได้ชัดเจนนัก แต่คน ๆ นี้ทำให้เขารู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ จากที่ตั้งกำแพงไว้สูงลิ่ว เจ้าตัวก็ยิ้มร่าแล้วฝ่ากำแพงเข้ามาอย่างง่ายดาย แม้ตอนแรกจะเป็นอนุทินที่ช่วยต่อบันไดไว้ให้ก็ตาม

   กระทั่งเมื่อครู่...ต่อหน้าคนที่ไม่อยากจะพบเจอมากที่สุดเพราะข้างในตัวเขายังคงหวั่นไหวไปกับท่าทางสุภาพและรุกเข้าหาอย่างไม่เกรงกลัว แต่ภรัณยูก็สามารถดึงเขากลับมาได้และปัดความรู้สึกอึดอัดที่อบอวลอยู่ให้มลายหายไปอย่างรวดเร็ว

   เป็นความสามารถพิเศษของเจ้าตัวหรือยังไงกันนะ?

   ท่าทางของนภทีป์ที่เริ่มเอนเอียงมีหรือจะรอดพ้นสายตาของรติไปได้ เจ้าตัวบินวนอยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ได้พาตัวเข้าไปขัดขวางการสนทนาอันเรียบง่ายนั้นแต่อย่างใด และเมื่อเห็นการโอนอ่อนผ่อนตามที่นภทีป์ไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็นนอกจากอนุทินแล้ว รติก็ยิ้มกว้างออกมา

---------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 8 (6/07/13)
«ตอบ #31 เมื่อ06-07-2013 21:11:11 »

เมื่อวันสงกรานต์ดำเนินมาถึง นภทีป์ก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงเอ็ดตะโรจากด้านนอกซึ่งเป็นประจำอย่างนี้ทุกปีจนกว่าจะหมดช่วงเทศกาล ความจริงแล้วเขามักจะสงสัยอยู่เสมอว่าทำไมทุกคนจึงต้องตื่นเช้ามาเพื่อเล่นน้ำและนอนเช้าเพราะก๊งเหล้าโต้รุ่ง แต่ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็ได้พบว่าตนเองก็ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมแปลกประหลาดเหล่านั้นเช่นกัน

   สิ่งที่ต้อนรับเขาอยู่หน้าประตูหลังเสียงออดไม่ใช่กล่องข้าวเหมือนวันอื่น ๆ แต่เป็นปืดฉีดน้ำขนาดเล็กจิ๋วเหมือนของเด็กเล่นและสายน้ำสั้น ๆ ที่ถูกยิงออกมาเปียกเสื้อยืดเป็นวงสีเข้ม

   “สวัสดีปีใหม่ไทย” ภรัณยูยิ้มเริงร่าราวกับแสงอาทิตย์เจิดจ้าในยามเที่ยงวันกลางฤดูร้อน “ดูสิ ผมไปขอสูตรอาหารของแม่มาแล้ว ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะมาทำอาหารที่ห้องคุณแทนนะ” พร้อมกับประโยคนั้น ชายหนุ่มก็ชูกระดาษสีขาวแกว่งไปมาตรงหน้า กระดาษแผ่นนั้นอยู่ในซองพลาสติกที่เปียกน้ำเป็นหย่อม ๆ เช่นเดียวกับเสื้อผ้าของเจ้าตัวที่ทั้งเปียกและเปื้อนไปด้วยสีขาวของแป้ง ดูเหมือนระหว่างการเดินทางมาที่นี่จะต้องผ่านสมรภูมิอย่างโชกโชน ทำให้ตอนนี้พื้นหน้าห้องมีแต่หยดน้ำที่ไหลจากเสื้อยืดและกางเกงยีนส์

   “ก่อนที่นายจะทำอาหาร ฉันว่านายควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะดีกว่า” นภทีป์ทำหน้าละเหี่ยใจก่อนจะถูกสะกิดจากด้านหลังและพบว่ารติเอาผ้าขนหนูมายื่นให้ถึงมือ เขารับมันแล้วยื่นให้กับคนด้านนอกห้องทันที “เช็ดให้หมาด ๆ แล้วค่อยเข้ามาล่ะ”

   “อ...ครับ ๆ” แม้จะรู้สึกแปลกใจว่านภทีป์เตรียมพร้อมผ้าจนหนูให้เขาเพราะรู้ล่วงหน้าหรือเปล่า แต่ภรัณยูก็เก็บความสงสัยนั้นไว้แล้วบิดน้ำออกจากเสื้อก่อนจะรีบผ้าขนหนูมาซับผมและร่างกายท่อนบนโดยยื่นปืนฉีดน้ำสองกระบอกให้เจ้าของห้องถือแทน เมื่อเห็นว่าน้ำหยดน้อยลงแล้วเขาก็ก้าวเข้าไปในห้องและถอดรองเท้ากับถุงเท้าออกก่อนสลัดเสื้อยืดออกไปด้วย

   นภทีป์เบือนหน้าไปทางอื่นและทำเป็นเดินไปวางปืนฉีดน้ำ

   “เห...หุ่นดีแฮะ” แต่รติกลับไม่ให้ความร่วมมือในการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับร่างกายของอีกฝ่าย เจ้าตัวพิจารณาอย่างเปิดเผยพลางวิจารณ์ให้บุคคลเดียวที่ได้ยินเสียงของตนฟังไปด้วย

   ที่จริงแล้วนภทีป์ก็รู้ว่าตนเองไม่น่าจะตื่นเต้นไปกับร่างกายอีกฝ่าย เพราะผู้ชายเปลือยบนเดินไปเดินมานั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทว่า...กับภรัณยูเขากลับรู้สึกเขินแปลก ๆ ชอบกล กับตฤณเขายังไม่เคยรู้สึกอะไรตอนอีกฝ่ายถอดเสื้อเลยด้วยซ้ำ นั่นคงเพราะตฤณไม่ได้ร่างกายกำยำอะไรมากมายกระมัง เพียงแต่สูงโปร่งและดูดีสายตาคนทั่วไป ส่วนภรัณยูมีรูปร่างแบบนักกีฬาที่ออกกำลังเป็นประจำก็เลย...ดูแตกต่าง...กระมัง?

   เขาส่ายหัวกับตนเองที่พยายามหาคำอธิบายความรู้สึกอย่างไร้ประโยชน์ มันช่างไร้สาระเสียจริงที่มาจริงจังกับเรื่องทำนองนี้

   “เปลี่ยนกางเกงด้วยสิ นายกำลังทำห้องฉันแฉะไปด้วยน้ำแล้วนะ” ชายหนุ่มร่างเล็กตัดสินใจเลิกคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องและเดินไปหยิบผ้ามาเช็ดถูพื้น

   “ที มองขึ้นมาหน่อยสิ”

   หืม?

   เพราะได้ยินเสียงเรียกของรติจากเหนือศีรษะจึงเงยตามเสียงขึ้นไปดูว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร และมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ภรัณยูกำลังถอดกางเกงยีนส์ออกราวกับจงใจ

   ...!!!

   “น...นายมาถอดตรงนี้ทำไม!” นภทีป์หน้าแดงวาบแล้วร้องออกไปโดยลืมไปเสียสนิทว่าการที่ผู้ชายจะเปลี่ยนกางเกงต่อหน้ากันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

   “หวา! ขอโทษครับ!” ภรัณยูเองก็ตกใจเช่นกันที่นภทีป์ดูจะตกอกตกใจกับเรื่องสามัญอย่างนี้ แต่บางทีเจ้าตัวอาจจะถือก็เป็นได้จึงรีบตะโกนขอโทษแล้วกระโดดเหยง ๆ ทั้งที่ติดขากางเกงยีนส์เข้าห้องนอนไปพร้อมกระเป๋าใส่เสื้อผ้า และปิดประตูทันทีอีกฝ่ายจะได้ไม่เขินอายไปมากกว่านี้

   รติหัวเราะงอหายจนแทบจะร่วงลงมาจากกลางอากาศ เรียกสายตาจากผู้เสียหายให้ตวัดมองอย่างไม่พอใจระคนเขินอายจนแทบพูดไม่ออก

   “นายอย่างกับสาวน้อยอินโนเซนส์แน่ะ” ปีกเล็ก ๆ พยุงร่างกายให้ตั้งตรงกลางอากาศขณะรติพูดประโยคนั้นปละหัวเราะออกมาอีกครั้ง

   “หุบปากไปเลย มันแผนการของนายใช่ไหม” นภทีป์กัดฟันพูดแล้วก้มลงเช็ดน้ำต่อ

   “แผนการอะไรกัน เรื่องบังเอิญเท่านั้นเองน่า” รติโบกไม้โบกมือ “แต่ความจริงนายก็คิดอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ว่าภรัณยูเป็นคนที่ดูดีจนน่าจะเนื้อหอม?”

   ผู้ฟังเม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา

   ใช่สิ...บางทีเขาก็เผลอคิดแบบนั้นเหมือนกัน ภรัณยูดูไม่เหมือนคนที่มีแฟนเลยสักนิด เพราะนอกจากวันทำงานก็จะมาหมกตัวอยู่ที่นี่ โทรศัพท์ก็ไม่เคยมีมาหา ทำให้เขานึกสงสัยว่าผู้ชายที่ภายนอกดูดี นิสัยก็ไม่ได้แย่อะไร ซ้ำยังเทคแคร์เก่ง ทำไมจึงยังไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตน จะว่าเพราะแฟนไม่ติดต่อไม่เรียกร้องก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะภรัณยูเป็นคนประเภทที่น่าจะถูกชอบได้ง่าย คนเป็นแฟนต้องมีหึงหวงบ้างเป็นธรรมดา อย่างน้อยก็ต้องโทรมาเช็คแหละว่าครูสอนเป็นผู้ชายจริง ๆ หรือเปล่า...

   ไม่มีแฟน...จริง ๆ น่ะหรือ?

   “นั่นแน่ เริ่มคิดมากล่ะสิ” เสียงทักพร้อมสายตารู้ทันของรติทำให้นภทีป์หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง

   “หยุดพูดไปเลย!” พร้อมกับที่ตะโกนออกไป ก็ขว้างผ้าในมือใส่เจ้าตัวปากมากไปด้วย ทว่า...

   แปะ...

   ...

   ความเงียบครอบคลุมชั่วขณะหลังจากเสียงเปิดประตูและเสียงผ้าแฉะกระทบใบหน้า และจนกระทั่งผ้าผืนนั้นค่อย ๆ ไหลลงไปตามแรงดดึงดูดของโลก ก็ปรากฏสีหน้าตกใจระคนแปลกใจจากเบื้องหลังผืนผ้า จนกระทั่งเสียงของผ้าเปียกตกกระทบพื้นจึงมีการขยับตัวอีกครั้ง โดยภรัณยูก้มลงไปเก็บผ้าขึ้นมาแล้วนำมายื่นให้เจ้าของทั้งที่ใบหน้ายังแสดงความสงสัยอยู่ไม่คลายว่าทำไมตนเองจึงถูกผ้าโยนใส่ทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยได้

   “...ทำไมไม่สวมเสื้อ?” แทนที่จะพูดถึงเรื่องผ้าเช็ดพื้น นภทีป์กลับเลี่ยงไปพูดถึงเรื่องการแต่งกายของอีกฝ่ายที่เป็นกางเกงขาสั้นเท่าเข่าและไม่สวมเสื้อแทนเพราะไม่อยากจะมานั่งอธิบายว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่จริง...ภรัณยูอาจจะได้ยินเสียงเขาเหมือนกำลังทะเลาะกับตัวเองด้วยซ้ำ

   “ก็เดี๋ยวจะไปทำอาหาร เดี๋ยวมันจะเปื้อนน้ำมันน่ะครับ”

   “ถ้านายไม่สวมเสื้อ ที่โดนน้ำมันก็จะเป็นเนื้อนายเองนั่นแหละ”

   พอถูกเตือนเช่นนั้น แทนที่ภรัณยูจะเดินไปหาเสื้อใส่ เจ้าตัวกลับยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้เจ้าของคำเตือนและยิ้มจนตาหยี

   “ถึงคุณจะชอบทำหน้าดุแต่พอพูดแบบเป็นห่วงด้วยหน้าแบบนั้นก็น่ารักไปอีกแบบนะครับ” พร้อมกับที่พูด ภรัณยูก็ยื่นมือมาประคองใบหน้าและใช้ปลายนิ้วโป้งขยี้ตรงปมหัวคิ้ว แต่เขาเองก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อนภทีป์ไม่ได้ปัดมือเขาออก แต่กลับมองกลับมาด้วยสีหน้าตกตะลึง “...อ่า...ผมไปสวมเสื้อดีกว่า จะได้ไม่โดนน้ำมันลวกเอา กินเสร็จแล้วก็ออกไปเล่นน้ำด้วยกันนะ” พอถูกจ้องกลับมาแบบนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกเขิน ๆ ขึ้นมาบ้างจึงผละตัวออกและรีบเดินกลับเข้าไปในห้องนอนแล้วเอาเสื้อยืดออกมาสวมก่อนพาตัวเองเข้าครัวไป

   ฝ่ายนภทีป์ยังคงนั่งอยู่กับที่เหมือนมึนงงไปชั่วขณะกับการกระทำที่เหนือความคาดหมายไปไกล เขายกมือขึ้นแตะหัวคิ้วตนเองและพบว่าตอนนี้มันไม่ได้ขมวดเข้าหากันแล้ว

   “ที นายหน้าแดงไปถึงหูแล้วนะ” รติมากระซิบที่หูทำให้สติของนภทีป์กลับมาสู่ร่างตนเองอีกครั้ง ทำให้ครั้งนี้ผ้าเช็ดพื้นถูกโยนใส่ได้ถูกคนอย่างแม่นยำ

---------------------->

   ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้นภทีป์อารมณ์บูดกว่าเดิม แต่หลังจากที่เขาเข้าครัวไปทำอาหารจนกระทั่งถึงตอนนี้ที่ลากอีกฝ่ายออกมาเล่นน้ำด้วยกันได้สำเร็จ นภทีป์ก็เอาแต่ทำหน้าเหมือนไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลา หรือว่าอาหารที่เขาทำมันจะรสชาติแย่มาก ที่จริงแล้ว...เขาก็แค่คลุมไม่ทั่วก็เลยจืดไปหน่อยเท่านั้นเอง ส่วนอาหารผัดก็เผลอใส่น้ำตาลมากไปนิดหน่อย แต่รวม ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้นไม่ใช่หรือ?

   ภรัณยูเหลือบสายตามองคนข้างตัวซึ่งกุมปืนฉีดน้ำกระบอกเล็กไว้ในมือและจับจ้องไปข้างหน้านิ่งเสียจนไม่มีใครกล้าสาดน้ำใส่

   “คุณที...อย่าทำหน้าถมึงทึงแบบนั้นสิครับ” เขากระซิบเบา ๆ แล้วหันไปยิ้มรับเมื่อถูกป้ายแป้งบนแก้ม ตอนนี้สภาพของเขากับอีกฝ่ายผิดกันอย่างลิบลับ เพราะตัวภรัณยูเปียกปอนไปด้วยน้ำจนเปียกแฉะตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมถึงรอยแป้งที่ป้ายทั้งผม หน้า และเสื้อผ้าทั้งจากมือหญิง ชาย และเด็ก ๆ ที่มีแป้งในมือ แต่นภทีป์มีน้ำเปียกแค่เป็นจุด ๆ จะมากก็เฉพาะบนผมและไหล่ และไม่มีแป้งเลยแม้แต่จุดเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะเมื่อมีคนเข้ามาหาเพื่อจะสาดน้ำหรือปะแป้ง เจ้าตัวก็จะหันมองด้วยใบหน้าขุ่นใจอย่างไม่ปิดบังจนล่าถอนกันไปหมด

   นภทีป์ปรายสายตามองภรัณยูครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ

   เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำหน้าแบบนั้นเสียหน่อย แต่หลังจากถูกปฏิบัติในแบบที่ไม่กล้าสบตาอีกคนตรง ๆ เขาจะทำหน้าแบบไหนได้อีกล่ะ?

   น้ำหยดเล็กกระทบใบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้นภทีป์หันมองต้นทางของสายน้ำเล็ก ๆ นั้นและพบว่ามันคือปากกระบอกปืนฉีดน้ำของภรัณยูนั่นเอง

   “ออกไปข้างนอกทั้งที สนุกกับมันดีกว่านะ” ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มกว้าง “เรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่ดีก็โยนมันทิ้งไป แล้วพอกลับถึงห้องผมจะฟังคุณบ่นเต็มที่เลย”

   “ฉันรู้สึกว่าพวกเรากำลังเสียเวลาเปล่า” นภทีป์เปิดปากพูดอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ แต่เมื่อถูกง้อถึงขนาดนี้ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรผิดก็อดจะสงสารไม่ได้ จึงเลือกหัวข้อสนทนาที่เป็นเรื่องของพวกเขาสองคน “ฉันบอกให้นายมาหาที่ห้องเพื่อฝึกฝนต่อไม่ได้ให้มาเล่นเสียหน่อย นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าตลอด 1 เดือนมานี้นายยังไม่ได้ใช้อุปกรณ์อะไรเลยนอกจากดินสอกับยางลบ”

   “...นั่นมันก็...” ภรัณยูเกาท้ายทอยตามความเคยชินก่อนหัวเราะแหะ ๆ “ก็จริงนะ...ผมเองก็ไม่ได้มีเวลาเถลไถลมากขนาดนั้นด้วยสิ” เพราะที่จริงแล้วแม้จะจบฝึกงานแต่เขาก็ยังต้องมุมานะกับการเรียนอันเข้มข้นของปีสุดท้ายซึ่งต้องเผชิญหน้ากับโปรเจคยักษ์ใหญ่ที่เป็นเสมือนประตูขวางกั้นระหว่างภายในรั้วมหาวิทยาลัยกับโลกภายนอก ดังนั้นเวลา 1 ปีที่ได้รับมา ที่จริงมันอาจจะมีไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำไป

   “ถ้าอย่างนั้นพวกเราน่าจะกลับห้องแล้วก็...”

   “แต่ว่า ผมอยากเห็นคุณยิ้มบ้างนี่นา”

   ...?

   นภทีป์เงยหน้ามองคนข้างตัวพลางมุ่นคิ้ว นี่เขาหน้าเหมือนเสือขนาดนั้นเลยหรือไง?

   เมื่อถูกมอง ภรัณยูก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพูดเรื่องน่าอายออกไปเสียแล้ว เขาเบือนหลบตาไปทางอื่นพลางยิ้มเขิน ๆ และกลอกตาคิดคำพูดอื่นที่เหมาะสมกว่า

   “ผมไม่รู้ว่าคุณทีเจอกับเรื่องอะไรมาแล้วก็ไม่คิดจะถามด้วยถ้าคุณไม่อยากเล่า แต่คุณดู...ไม่ค่อยมีความสุข ดังนั้นผมก็เลย...”

   “...นายนี่มันเด็กจริง ๆ เลยนะ” เสียงถอนหายใจตามมาหลังประโยคนั้นก่อนผู้พูดจะว่าต่อ “คนเราพอโตขึ้นมันก็ต้องมีเรื่องในใจกันเป็นธรรมดา ไม่ใช่จะหัวเราะเริงร่าเป็นเด็ก ๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ตลอดเวลาเสียหน่อย การที่นายเอาแต่ยิ้มร่าเป็นคนบ้าตลอดเวลาแบบนั้นต่างหากที่ประหลาด”

   เผิน ๆ แล้วมันเหมือนคำเสียดสี แต่ดูจากท่าทางการเบือนหน้าหนีพร้อมกับแก้มเจือสีแดงจาง ๆ นั้นก็อนุมานได้ทันทีว่าเจ้าตัวกำลังเขินจึงได้พูดออกมาแบบนั้น

   “ความจริง...คงเพราะผมพ้นช่วงที่รู้สึกเป็นทุกข์ใจมาแล้วล่ะมั้งครับ” ภรัณยูยิ้มบางพลางดึงนภทีป์ให้หลบมอเตอร์ไซค์ที่ตามหลังมาก่อนพูดต่อ “อย่างที่ผมเคยเล่าให้คุณฟังในตอนนั้น ที่พ่อกับแม่คาดหวังให้ผมเรียนจบวิศวะและทำงานในสายงานวิศวะในบริษัทที่พ่อทำงานอยู่ ทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำเลย ผมคิดมาตลอดว่าไม่มีใครเข้าใจความต้องการของผม และหากผมเชื่อฟังคำของพ่อแม่ ทุก ๆ อย่างก็จะไปได้ด้วยดีเสมอ มันคงจะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว...ถ้าผมทำตามความต้องการของคนที่หวังดีกับผม”

   นภทีป์ฟังพลางหลุบตาลงต่ำ ทำไมเขาถึงรู้สึกอิจฉาขึ้นมานะ...

   คงเพราะว่าเขาไม่เคยมีชีวิตอย่างนั้นก็เป็นได้ ชีวิตที่มีคนหวังดีถึงขนาดพยายามปูทางให้ มันอาจจะน่าอึดอัดแต่สำหรับเขาแล้ว...มันแสดงว่าตนเองมีคนที่รักอยู่ไม่ใช่หรือ?

   มือของเขาถูกบีบเบา ๆ ระหว่างที่ภรัณยูเงียบไป

   “ผม...ดูเหมือนว่าจะคิดผิด ผมทำเรื่องเลวร้ายลงไปเพราะคิดว่าไม่มีใครเข้าใจและไม่มีใครอยากให้ผมทำในสิ่งที่ตัวเองรักและอยากจะทำ ผมคิดว่าตัวเองถูกผูกมัดด้วยโซ่ตรวนของความรัก”   

   โซ่ตรวนของความรักคือโซ่ที่แสนหนักอึ้ง แม้มันจะเต็มไปด้วยความหวังดีและความปรารถนาดีอย่างเหลือประมาณ แต่ด้วยข้ออ้างเหล่านั้น ผู้คนจึงสามารถบังคับควบคุมคนที่ตนเองมอบความรักให้ได้อย่างใจต้องการ ลูกกับพ่อแม่ สามีกับภรรยา คนรัก เพื่อน ศิษย์และครู ล้วนแต่ถูกผูกโยงไว้ด้วยโซ่ตรวนที่เรียกว่าความรักที่แต่ละข้อถักสานขึ้นด้วยความคาดหวัง

   ทั้งน่าสังเวชและน่าอิจฉาไปในเวลาเดียวกัน...

   “แล้วไม่จริงหรอกหรือ?”

   “ก็คงจะจริงล่ะมั้งครับ” ภรัณยูหัวเราะ “เพราะรักถึงได้อยากให้ผมได้ดี เรื่องนั้นผมเข้าใจ แต่ผมก็รักตัวเองเหมือนกัน เพราะแบบนั้นถึงได้เป็นเรื่องขึ้นมา แม่โกรธผมเอาเรื่องเลย แต่ในที่สุดดูเหมือนพ่อกับแม่ก็เข้าใจความต้องการของผม”

   ดูเหมือน...มันจะไม่ได้ทำให้ภรัณยูมีความสุขเท่าไหร่ นภทีป์รู้สึกเช่นนั้นแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ว่ารู้สึกเช่นไร

   “ถ้าหากตกลงกันด้วยดีได้ มันคงจะทำให้ผมมีความสุขมากกว่านี้ ตอนแรกผมเป็นทุกข์กับมันมากทีเดียว ทั้งเรื่องที่ไม่รู้จะเดินหน้าต่อไปยังไงและที่ทำไม่ดีลงไปเพราะความเห็นแก่ตัว”

   “ก็ไม่ถึงขั้นเห็นแก่ตัวเสียหน่อย นายก็แค่พยายามให้พ่อแม่เข้าใจสิ่งที่นายอยากจะพูดจริง ๆ ไม่ใช่หรือไง และเท่าที่เห็นตอนนี้พวกเขาก็สนับสนุนนายดีนี่”

   ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำอาหารมาเผื่อแถมจดสูตรและวิธีทำอาหารแบบละเอียดมาให้ขนาดนี้หรอก...
   “ก็คงแบบนั้นแหละครับ ตอนนี้พวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่บีบคั้นผมอีกแล้ว ก็แค่พยายามพิสูจน์ให้พ่อกับแม่เห็นว่าผมทำได้ภายในระยะเวลา 1 ปีนี้เท่านั้นเอง นั่นคือเรื่องเดียวที่ผมกังวลแต่ว่าก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเป็นทุกข์ ดังนั้นผมถึงยิ้มได้อย่างสบายใจไง” ภรัณยูพูดจบก็หัวเราะออกมา

   นภทีป์เองก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามโดยไม่ได้หันมองหน้า

   “นายอยากรู้อะไรล่ะ?”

   “ครับ?”

   “ก็ที่นายเล่าเรื่องของตัวเองออกมา ไม่ใช่เพราะอยากให้ฉันเล่าบ้างหรือไง ไหน ๆ นายก็พยายามถึงขนาดนั้นฉันจะพูดเท่าที่ฉันพูดได้สักเรื่องก็แล้วกัน” เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา เพราะมันคือการเปิดเผยตัวตนให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ชิดซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหลีกเลี่ยงมานานไม่ว่ากับใคร กระทั่งกับอนุทินซึ่งเคยสนิทกันเขาก็ไม่เคยพูดแบบนี้ให้ได้ยิน

   ภรัณยูกลอกตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอ้อมแอ้มพูดอย่างไม่แน่ใจ

   “คนที่...ชื่อตฤณ...”

   ก็ไม่ได้เกินเลยกว่าที่คิดไว้

   นภทีป์ไหวไหล่ก่อนจะเล่าเท่าที่ตนเองพอพูดได้อย่างเต็มปาก

   “เขาเคยมาก้มหัวขอให้ฉันสอนงานให้เหมือนนายนั่นแหละ แต่ตฤณน่ะต่างจากนายเพราะเขามีพรสวรรค์ล้นเหลืออยู่แล้ว แค่ไม่คุ้นชินกับพื้นฐานศิลปะก็เลยพลิกแพลงไม่ได้มาก แต่ก็...เรียนรู้ได้เร็วจนน่าตกใจ แต่อย่างเข้าใจผิดล่ะ ฉันไม่ได้คิดว่านายกับเขาเหมือนหรือต่างกันตรงไหนหรอก ฉันก็แค่ยอมรับนายไว้เพราะคุณทินเป็นคนขอเท่านั้นเอง” พอนภทีป์พูดออกมาแบบนั้น ผู้ฟังก็หัวเราะแหะ ๆ ซึ่งแสดงว่าเจ้าตัวกำลังคิดแบบนั้นอยู่จริง ๆ “แต่ก็นั่นแหละ...เพราะเรียนรู้เร็วแล้วก็มีฝีมือ ไม่นานก็ได้รับการทาบทามจากบริษัทที่มีชื่อพอตัว เขาก็เลยแยกตัวจากฉันไปตั้งแต่เมื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้ว”

   ภรัณยูพยักหน้ารับ แต่นั่นไม่ได้รวมถึงความสัมพันธ์ที่น่าสงสัยระหว่างทั้งสองที่เขาเห็นก่อนหน้านี้...

   “ดูเหมือนจะสนิทกันมาก คงจะทำให้คุณใจหายสินะครับ?”

   ชั่ววินาทีหนึ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกว่าเห็นสายตาแสดงความเจ็บปวดลึก ๆ จากอีกฝ่าย แต่ไม่นานก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

   “ก...” ก่อนที่นภทีป์จะได้พูดอะไรต่อ เสียงริงโทนของเจ้าตัวก็ดังขึ้น ชายหนุ่มร่างเล็กหยิบซองพลาสติกที่ใส่โทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาดูและพบว่าเบอร์โทรไม่คุ้นตาจึงหยิบออกมากดรับด้วยความสงสัยว่าเป็นใคร ทว่าเสียงจากต้นสายก็ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ

   “ที อาทิตย์หน้าเรามาเจอกันหน่อยนะ ผมจะไปรับที่ห้อง”

   โซ่ตรวนของความรักมันช่างแสนหนักอึ้ง...

TBC

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 9 (8/07/13)
«ตอบ #32 เมื่อ08-07-2013 18:24:24 »

-9-


   กลิ่นชาหอมกรุ่นช่างเข้ากับยามเช้าอันแสนสงบ ตฤณนั่งทอดหุ่ยอยู่ในร้านกาแฟเล็ก ๆ ใกล้ที่พักของนภทีป์ซึ่งสมัยก่อนพวกเขาเคยมาด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ในสมัยที่...ทั้งเขาและนภทีป์ยังคงเป็นคนพิเศษของกันและกัน พอคิดถึงตอนนั้นทีไรก็อดขำไม่ได้ นภทีป์ที่แสนเย็นชาและขี้หงุดหงิดกลับขี้อายและประหม่าอย่างไม่น่าเชื่อซ้ำยังเชื่อคนง่ายอีกด้วย...เพราะอย่างนั้นจึงถูกปั่นหัวเอาง่าย ๆ เช่นกัน

   อย่างเช่นเมื่ออาทิตย์ก่อน เขาโทรไปนัดอีกฝ่ายและบอกว่าจะไปรับที่ห้อง ทันทีที่บอกอย่างนั้นเจ้าตัวก็รีบปฏิเสธและบอกว่าจะออกมาหาด้วยตัวเอง

   มันก็คงเพราะไม่อยากให้เขาเข้าไปในอาณาเขตส่วนตัวอีกกระมัง?

   ตฤณหัวเราะในลำคอก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งเหนือประตู นภทีป์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่พอใจก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามโดยบอกปัดบริกรที่เข้ามาบริการด้วยน้ำเสียงห้วนสั้นจนฝ่ายนั้นรีบล่าถอยออกไปเพราะเข้าใจว่าลูกค้าอารมณ์ไม่ดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ท่าทางเช่นนี้ของนภทีป์เป็นการแสดงออกเพื่อป้องกันตัว และมีเพียงคนสนิทกันเท่านั้นจึงจะเข้าใจ

   แล้วเจ้าคนนั้นจะเข้าใจหรือเปล่านะ?

   ชายหนุ่มคิดถึงคนที่ตนเองเจอในห้องของนภทีป์ขึ้นมา ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเล็ก ๆ

   “ยังชอบทำหน้าแบบนั้นไม่เปลี่ยนเลยนะ” ตฤณหันเหความสนใจตนเองจากคนแปลกหน้าในความคิดมายังคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะ

   “...คุณต้องการอะไร”

   “อย่าใช้คำถามเย็นชาแบบนั้นสิ ผมนัดทีออกมาเจอกันตัวต่อตัวแบบนี้ ทียังไม่เข้าใจอีกหรือ?” หลังคำถาม ตฤณก็ส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มด้วยดวงตาเป็นประกายทำให้ผู้มองถึงกับเผลอกลั้นหายใจกับสิ่งที่ตนเองคาดเดา นภทีป์ใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อทบทวนความตั้งใจของตนเองว่าจะไม่ใจอ่อนกับผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็ยังอดมีความหวังขึ้นมาไม่ได้ กระนั้นความหวังก็ไม่อาจทำให้เขายินยอมโกหกตนเองว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย อดีตนั้นคือบทเรียนสำคัญที่ครั้งเดียวก็เพียงพอ

   “เลิกพิรี้พิไรได้แล้ว ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรสำคัญและตั้งใจจะก่อกวนผม ก็คืนกุญแจห้องผมมาแล้วเราจะได้แยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเองกันเสียที” นภทีป์พูดจบก็เบือนสายตาออกไปด้านนอก

   ตฤณแสร้งถอนหายใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแสดงการจำนน

   “เอาล่ะ ผมจะไม่ทำให้คุณขุ่นใจแล้ว ทีจริงที่ผมกลับมากรุงเทพก็เพราะบริษัทที่ผมทำงานด้วยส่งผมกลับมาให้อยู่ที่สำนักงานใหญ่ ดังนั้นถ้าช่วง 2 เดือนนี้การทำงานของผมไปได้ด้วยดีผมก็จะได้อยู่ที่นี่เป็นการถาวร”

   “บอกเรื่องนั้นกับผมทำไม?” แม้คำพูดของตฤณจะไม่ได้มีสิ่งใดน่าขุ่นเคือง ทว่าสำหรับนภทีป์ที่มีกรณีกันอยู่นั้นไม่ว่าอะไรก็ขุ่นเคืองขึ้นมาได้ โดยเฉพาะ...เรื่องของบริษัทแห่งนั้น ชายหนุ่มเม้มปากจนเป็นเส้นตรงหลังจบคำถามของตนเองและขึงสายตามองอีกฝ่ายเสมือนว่าตนกำลังถูกเยาะเย้ยถากถาง ทำให้ตฤณรีบยกมือขึ้นมาเป็นสัญญาณยอมแพ้และรีบพูดแก้ตัว

   “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณไม่พอใจนะ แต่นั่นคือเหตุผลของผมจริง ๆ ที คุณน่าจะเลิกโกรธผมเรื่องนั้น...”

   ปึง!

   “คุณขโมยมันไปจากผม! ยังกล้าพูดแบบนี้ออกมาอีกหรือ!” เสียงตะโกนของนภทีป์ประสานกับเสียงฝ่ามือที่กระแทกลงบนโต๊ะ แก้วชาของตฤณสั่นไหวเล็กน้อยก่อนสงบเงียบเช่นเดิม เป็นโชคดีที่ตอนเช้าในวันธรรมดาอย่างนี้ไม่มีลูกค้าคนอื่นนอกจากพวกเขา การกระทำเหล่านี้จึงไม่ตกเป็นเป้าสายตาของใครนอกจากบริกรไม่กี่คน “ผมต้องการกุญแจห้องของผมคืน และคุณก็ควรหายไปจากชีวิตผมอย่างถาวรด้วย!”

   กริ๊ง...

   กุญแจห้องดอกเล็กสีเงินถูกชูขึ้นตรงหน้าเจ้าของ นภทีป์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนเอื้อมมือออกไปคว้าด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเกิดเปลี่ยนใจหรือคิดล้อเล่นอะไรอีก

   “แล้วก็นี่...” หลังคืนกุญแจห้องไปแล้ว ตฤณก็ยื่นของอีกสิ่งหนึ่งให้ มันคือทรัมป์ไดรฟ์สีดำซึ่งดูไม่ต่างจากทรัมป์ไดรฟ์อันอื่น ๆ แต่สิ่งที่บรรจุอยู่ภายในคือสิ่งที่มีความหมายต่อพวกเขาทั้งสองเท่า ๆ กัน “ผมคืนให้ ถ้าคุณยังต้องการมันอยู่ แล้วถือว่าเราหายกันได้ไหม?”

   นภทีป์มองสิ่งนั้นด้วยสายตากังขาต่อจุดประสงค์ของเจ้าของ สิ่งที่อยู่ในนั้นคือสิ่งที่ตฤณนำติดตัวไปหลังแยกจากเขาอย่างแน่นอน ทว่า...ทำไมถึงมาคืนให้เอาตอนนี้ เพราะใช้ประโยชน์จากมันจนพอใจแล้ว หรือเพราะอยากคืนดีจริง ๆ และอยากจะให้เขายกโทษให้...

   “ที คุณเคยบอกบ่อย ๆ ว่าผมมีความคิดเหมือนเด็ก ๆ ที่ใจร้อนเอาแต่ได้ ผมมีอิสระมาตลอดไม่ว่าต้องการอะไรก็ได้มาอย่างง่ายดายผมจึงไม่เห็นความสำคัญของสิ่งที่มี ใช่...ผมเป็นแบบนั้น ผมรู้แล้วและอยากได้โอกาสแก้ตัว” ตฤณวางทรัมป์ไดรฟ์ลงในมือนภทีป์ก่อนจะบีบมือข้างนั้นเบา ๆ “ให้โอกาสผมได้ไหม?”

   ...

   สีหน้าและสายตาของตฤณดูจริงใจจนแทบไม่เหลือวี่แว่วของนิสัยหยิบโหย่งอย่างที่เจ้าตัวเป็นอยู่เสมอ

   นภทีป์นิ่งคิดอยู่นานทั้งที่ยังถูกจับมืออย่างนั้น แต่แล้วกลับรู้สึกถึงแรงดึงเบา ๆ ที่ชายเสื้อ และเมื่อเขาก้มลงมองก็พบว่ารติกำลังดึงชายเสื้อด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก อาจเป็นครั้งแรกก็เป็นได้ที่เห็นสีหน้าอย่างนี้จากรติ ทั้งที่เจ้าตัวมักจะทำหน้าระรื่นและหาเรื่องคุยหยอกเขาอยู่เสมอ กระนั้นการเตือนของรติก็ทำให้เขาได้สติกลับคืนมาและรีบดึงมือออกจากการเกาะกุมของตฤณ

   “ผมต้องกลับห้องแล้ว ลาก่อนตฤณ”

   “เพราะภรัณยูหรือเปล่า?”

   ...?

   นภทีป์ชะงักเท้าก่อนหันกลับมามองผู้พูด

   “เขาดูเหมือนผมอยู่นะ แล้วก็คงจะมาขอให้คุณสอนงานให้เหมือนกันใช่ไหม?” ตฤณรู้ว่าตนเองเดาถูกอย่างไม่ต้องสงสัย “แล้วเมื่อจบบทเรียนแล้วจะเป็นยังไงล่ะ? เขาก็จะไปจากคุณ ที...ไม่มีใครแทนที่ผมได้หรอกจริงไหม? และผมก็ไม่ชอบด้วยที่เห็นเขาอยู่ใกล้คุณ และ...เพราะแบบนั้นผมถึงเผลอพูดหยาบคายแบบนั้นไป...” ชายหนุ่มเคาะปลายนิ้วบนโต๊ะพลางเสสายตาไปทางอื่นเหมือนแสดงความประหม่าออกมาด้วยท่าทาง ซึ่งเจ้าตัวไม่เห็นและไม่ได้ยินรติซึ่งบินขึ้นมาขวางหน้านภทีป์และตะโกนตื้อให้กลับห้องได้แล้ว

   แต่แม้จะมีรติคอยเตือนสติ ท่าทางของตฤณก็ทำให้นภทีป์รู้สึกหนักใจขึ้นมา เพราะว่ายังมีเยือใยอยู่กระมัง...ที่จริงแล้วเรื่องมันก็เพิ่งผ่านมาไม่นาน และตลอดเวลาหลังจากนั้นเขาก็ได้แต่หมกตัวในห้องและคิดทบทวนเรื่องเก่า ๆ เพราะอย่างนั้นจึงยังตัดใจไม่ได้...

   แม้จะถูกหักหลังแต่การรักและไว้ใจใครสักคนก็ทรงอิทธิพลยิ่งกว่าความโกรธเคือง

   “ที ผมต้องการคุณ”

   นภทีป์กำหมัดแน่นเพื่อไม่ให้ตนเองโอนอ่อนผ่อนตามคำพูดอันอ่อนโยนเหล่านั้น

   “...ขอโทษ...” ถึงจะรู้ว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่นภทีป์ก็ไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไรเพื่อตัดจบบทสนทนาเหล่านี้ เขารีบหันหลังและเดินออกไปจากร้านโดยไม่สนใจสายตาบริกรที่มองมาเลย

------------------------>

   “เจ้านั่นต้องคิดอะไรอยู่แน่ ๆ คนอย่างนั้นไว้ใจไม่ได้หรอก” รติบ่นอุบอิบหลังจากออกมาจากร้านแล้วบินไปเกาะบนไหล่นภทีป์ซึ่งอาแต่เงียบอยู่ตลอดทาง “นายคงไม่ได้กำลังใจอ่อนอยู่หรอกนะ ลืมแล้วหรือยังไงว่าเจ้านั่นทำอะไรเอาไว้ เจ้านั่นเอาสิ่งที่ควรจะเป็นของนายไป แล้วแถมยังทิ้ง...”

   “นายก็ทิ้งฉันไปเหมือนกัน”

   รติชะงักก่อนจะเถียงทันที

   “มันเหมือนกันซะที่ไหน! ฉันเลือกไม่ได้นะ!”

   “แต่สุดท้ายทั้งนายทั้งตฤณก็ไม่ต่างกัน ไม่จริงหรือไง ให้ความหวังฉันแล้วก็จากไปดื้อ ๆ สุดท้ายเจ้านั่นก็คงเหมือนกัน...”

   ใช่...ภรัณยูก็คงจะเหมือนกัน ฝ่ายนั้นมาหาเขาเพียงเพื่อจะทำตามความฝันของตัวเอง และตัวเขาก็เป็นเพียงสะพาน...เหมือนทุกที อนุทินเองก็ดูถูกใจภรัณยูมาก เรียกได้ว่าอนาคตของเจ้าตัวค่อนข้างสดใสหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด แล้วจากนั้นเขาจะเป็นยังไงต่อไป?

   นภทีป์ไม่ได้พูดตอบโต้รติอีกแม้อีกฝ่ายจะพร่ำบ่นไม่หยุดเหมือนคนแก่ตรงข้ามกับรูปร่างหน้าตาในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งพวกเขากลับมาถึงห้อง นภทีป์ก็พบว่าตนเองมีแขกยืนรออยู่หน้าประตู

   “คุณทิน?”

   “ที? ไปไหนมาน่ะ ฉันโทรมาหาตั้งหลายครั้งตั้งแต่เมื่อคืน”

   เมื่อคืน?

   “ขอโทษครับ คือว่า...” นภทีป์พยายามนึกทบทวนว่าทำไมเขาจึงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ เดี๋ยวสิ เมื่อเช้าเขาก็ตั้งใจจะหยิบมันออกมาด้วยแต่ก็ตัดสินใจวางทิ้งไว้ในห้องเพราะ... “มือถือผมแบตหมดแล้วบังเอิญว่าผมมีนัดก็เลยไม่ได้ชาร์ตไว้และทิ้งไว้ในห้อง”

   อนุทินเลิกคิ้วกับท่าทางสำนึกผิดจนเกินพอดีของลูกพี่ลูกน้อง ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้นสินะ?

   “เข้าห้องกันก่อนเถอะ มีอะไรค่อยว่ากันทีหลัง” เมื่อเจ้าตัวว่าอย่างนั้น นภทีป์จึงเปิดประตูแล้วพาอนุทินเข้าไปข้างใน พวกเขานั่งลงที่โต๊ะตัวเตี้ยกลางห้องโดยไม่มีเครื่องดื่มต้อนรับใด ๆ และอนุทินก็ไม่ได้เรียกร้องถึงมัน แค่เพียงยกถุงกระดาษที่ถือติดมือมาวางลงบนโต๊ะแล้วลุกเดินเข้าครัวด้วยตัวเอง “ขนมที่แม่ซื้อติดมือกลับมาน่ะ ตอนสงกรานต์ไปเที่ยวที่ต่างจังหวัดก็เลยเอาของฝากกลับมาเยอะแยะจนคนในบ้านกินกันไม่หวาดไม่ไหว” ชายหนุ่มว่าขณะเดินผ่านประตูเข้าไปในครัวและเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม แต่เขาก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็น

   ของสดหลายอย่างถูกยัดไว้ในตู้เย็นอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบนัก แต่ก็มีร่องรอยของการถูกใช้สอยไปบ้างอย่างละนิดละหน่อย นอกจากนั้นยังมีนมและน้ำผลไม้ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นนภทีป์จะสนใจตุนไว้ในตู้เย็นเลยสักครั้ง และตอนที่มาคราวก่อนก็ดูเหมือนจะเป็นโรคเก็บตัว ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่น่าจะยินยอมออกไปซื้อของเหล่านี้ด้วยความสมัครใจได้ด้วยซ้ำ

   “หัดทำอาหารหรือ?” เขาตะโกนถามออกมาขณะรินน้ำผลไม้ลงแก้วสองใบ

   “นั่น...ที่จริงแล้วภรัณยูทำน่ะครับ”

   ภรัณยู?

   อนุทินรู้สึกแปลกใจอยู่เล็ก ๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อและยกน้ำออกมา

   “เจ้าเด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ? ฝีมือก้าวหน้าขึ้นบ้างไหม ดูมีแววหรือเปล่า?” เขาเปลี่ยนหัวข้อไปหาพัฒนาการของภรัณยูแทน นภทีป์จึงนิ่งคิดไปนิดหน่อยแล้วหันไปหยิบกระดาษออกมาปึกหนึ่ง เขายื่นมันให้อนุทินอย่างเงียบ ๆ ให้เจ้าตัวพิจารณาเอาเอง “อืม...ใช้ได้นี่ ฉันไม่เก่งเรื่องลายเส้นอะไรแบบนี้เหมือนเธอหรอกนะ แต่อย่างที่ฉันเคยบอก เขามีดีอยู่ในตัวซึ่งเธอเองก็รู้จริงไหม?”

   นภทีป์พยักหน้า สิ่งที่อนุทินมองไว้ไม่เคยผิดพลาดสักครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้จะใช้เวลาเพียงเดือนเดียวและฝึกฝนอย่างจริงจังต่อเนื่องเพียง 2 สัปดาห์แรก แต่ภรัณยูก็ก้าวหน้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ เจ้าตัวอาจจะไม่ได้มีเส้นที่พลิ้วไหวสวยงามเหมือนพวกนักวาดมืออาชีพที่ฝึกฝนเป็นสิบปี แต่แสงสีที่ตกแต่งบนภาพสเก็ตซ์ทำให้รู้ได้ว่าภรัณยูมีเซนส์ทางด้านนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

   “จริงสิ แล้วคนนั้นล่ะ...อืม...ที่เคยมาเรียนกับเธอก่อนที่ฉันจะไปต่างประเทศ ชื่ออะไรกันนะ? ตฤณ...ใช่ไหม?” เมื่อเอ่ยชื่อนั้นขึ้น อนุทินก็เห็นว่าท่าทีของนภทีป์แปลกไปอย่างเห็นได้ชัด “เขาเลิกไปแล้วหรือ? หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ชายหนุ่มหรี่ตาลง

   หลังจากนภทีป์รับสอนผู้ชายที่ชื่อตฤณเพียงไม่กี่เดือน เขาก็ต้องไปต่างประเทศและเพิ่งได้กลับมาทำให้ไม่รู้ถึงความเป็นไปของทางนี้เลยนอกจากที่พ่อแม่ของเขาเล่าให้ฟัง ที่จริงแล้ว เขาก็สงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะแม้นภทีป์จะชอบเก็บตัวและไม่สุงสิงกับใครนัก แต่ก็ไม่เคยออกอาการต่อต้านคนอื่นอย่างที่แสดงออกกับภรัณยูเลยสักครั้ง

   “ตฤณ...ได้งานทำแล้วก็เลยไม่มีเวลามาเรียนอีกน่ะครับ” นภทีป์เลือกจะพูดเพียงเศษเสี้ยวเดียวของความจริงทั้งหมดแม้จะถูกรติสะกิดข้างตัวเหมือนอยากจะให้เล่าให้อนุทินฟังก็ตาม

   แต่เขาจะกล้าพูดออกไปได้ยังไง...ในเมื่อเป็นเขาเองที่ไม่ฟังคำของอีกฝ่าย...

   ครั้งแรกที่อนุทินพบกับตฤณ ชายหนุ่มก็บอกกับเขาว่าผู้ชายคนนี้กลิ้งกลอกและไว้ใจไม่ได้ ให้ระวังตัวเอาไว้ แต่เพราะเขาเห็นว่าตฤณมีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงจึงเมินเฉยต่อคำเตือน จนกระทั่งตัวเขาถลำลึกลงไปในความมุ่งมาดที่ไม่สิ้นสุดนั้น และเมื่อตื่นขึ้นจึงได้รู้ว่าตนเองช่างโง่เขลาอย่างไม่น่าให้อภัย

   เพราะอย่างนั้น...ถึงพูดออกไปไม่ได้...

   “อ้อ...” อนุทินรับคำอย่างเรียบง่ายแล้วกวาดสายตาไปบนกระดาษในมืออีกครั้ง “ในเมื่อเขาได้งานทำแล้วก็แสดงว่าฝีมือการสอนสั่งของเธอได้ผล ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไว้วางใจเรื่องภรัณยูได้”

   “เอ่อ...ทำไมถึงอยากจะได้ภรัณยูขนาดนั้นล่ะครับ? บริษัทของคุณแค่เปิดรับสมัครงานก็มีคนมาให้เลือกแล้ว ไม่ต้องลำบากมานั่งรอเด็กที่จะจบมิจบแหล่แบบนี้เลย”

   “มันก็จริง แต่ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มยิ้มบาง “คนเก่งน่ะหาได้ทั่วไป อย่างที่เธอว่า แค่เปิดรับสมัครก็มีคนมีฝีมือมากมายเข้ามาให้เลือก ทุกบริษัทก็ต้องการคนแบบนั้นเพราะมันสะดวกที่ได้คนเก่งมาทำงานให้โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลยนอกจากจ่ายเงินเดือนและป้อนงานให้เรื่อย ๆ แต่ว่านะ ที พรสวรรค์น่ะไม่ใช่สิ่งที่จะมองเห็นได้ในแวบแรกเสมอไป คนบางคนที่เติบโตช้ากว่าคนอื่น ๆ จะมีโอกาสขันแข่งได้น้อยลง มันก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาหรอกที่เป็นแบบนั้น แต่องค์กรต่าง ๆ ก็ไม่ต้องการพวกเขาเช่นกัน เพราะพรสวรรค์ที่ได้รับการขัดเกลาจนเปล่งประกายแล้วเท่านั้นจึงจะมีมูลค่า เธอไม่คิดหรือว่าหินที่ยังไม่ถูกขัดเกลาก็อยากได้โอกาสที่จะกลายเป็นเพชรเหมือนกัน ถ้าหากภรัณยูเป็นคนที่เอาแต่ฝันแล้วนั่งเฉย ๆ ให้โอกาสมาหา ฉันก็คงไม่นึกสนใจหรอก แต่กลับกัน เขาเป็นคนที่มุ่งมั่นและพยายามดิ้นรนจนได้พบกับเธอ ดังนั้นฉันจึงคิดว่าเขาคู่ควรจะได้รับโอกาสอันแสนล้ำค่านี้ ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะท้อถอยก่อนถึงเส้นชัยหรือไม่ก็ต้องดูกันต่อไป”

   ที่อนุทินพูดมาทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลเพียงไม่กี่ส่วนของทั้งหมด เพราะตัวเขาก็ไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาถึงขนาดอุ้มชูคนทุกคนที่อยากพบโอกาสได้ เรื่องของภรัณยูอาจจะพูดได้อีกอย่างว่าเป็นเรื่องของดวง เพราะภรัณยูมาขอความช่วยเหลือจากนภทีป์ และเขาได้เห็นโอกาสสำหรับตัวนภทีป์ด้วยเช่นกัน ในช่วงเวลาที่นภทีป์เข้าใจว่าตัวเองสิ้นหวังและไม่ต้องการสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ คือช่วงเวลาที่เจ้าตัวต้องการใครบางคนมากที่สุด ใครสักคนที่จะทำให้ชีวิตนี้ได้มีโอกาสพบพานกับแสงสว่างของการเป็นที่ต้องการอีกครั้ง คนเราไม่อาจอยู่ตัวคนเดียวในโลกนี้ได้ หากคนสองคนที่หวังจะได้รับโอกาสของชีวิตมาพบกัน พวกเขาจะนำพากันไปได้ไกลสักเพียงใดนะ...

   “ภรัณยูเป็นคนโชคดีจังนะครับที่มีคนใจบุญแบบคุณบนโลกนี้ด้วย” นภทีป์ประชดนิด ๆ เพราะรู้สึกอิจฉาภรัณยูขึ้นมา เหมือนกับว่าใคร ๆ ก็อยากจะผลักดันเจ้าตัว ดูแค่ภายนอกก็รู้ได้เลยว่าฝ่ายนั้นเป็นคนที่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากคนรอบข้างอยู่เสมอ ช่างตรงข้ามกับเขาราวฟ้ากับเหว

   “คนเราจะโชคดีก็ต่อเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดีนั่นแหละ” อนุทินหัวเราะเบา ๆ “ทีเองก็ไม่ใช่คนโชคร้ายเสียหน่อย”

   ...

   นภทีป์อ้าปากคล้ายจะตอบอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป

   ชั่วขณะหนึ่งที่เขาเผลอคิดเปรียบเทียบภรัณยูกับตฤณ ผู้ชายคนนั้น...ก็เป็นคนที่ได้รับความรักความเอาใจใส่เหมือนกัน ตฤณจะคิดว่าตัวเองโชคดีด้วยหรือเปล่าที่มาพบกับเขา และเป็นโชคร้ายของเขาหรือเปล่าที่พบกับอีกฝ่าย เขาเป็นคนที่...ไม่โชคร้ายจริง ๆ น่ะหรือ?

   “คิดว่า...คนทุกคนควรได้รับโอกาสอีกครั้งหรือเปล่าครับ?” อยู่ ๆ นภทีป์ก็ยิงคำถามที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับบทสนทนาออกมา

   “ก็ไม่เสมอไป อยู่ที่ว่าคน ๆ นั้นพยายามไขว่คว้าหาโอกาสมากแค่ไหน” อนุทินตอบไปตามเนื้อผ้าโดยไม่ได้ไถ่ถามเหตุผล

   “งั้นหรือครับ...”

   “อืม...อ้อ ฉันต้องกลับแล้วล่ะนะ วันนี้โดดงานมาได้แค่แปบเดียว” เขาว่าพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง “กินขนมให้อร่อยล่ะ แบ่งให้ภรัณยูด้วยก็ได้ถ้าเธอไม่ติดใจจนกินมันหมดเสียก่อน” ว่าจบก็หัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าบอกไม่ถูกบอกนภทีป์คล้ายกำลังตอบกลับมาว่าตนเองไม่ได้ตะกละตะกรามถึงขนาดนั้น

   หลังอนุทินกลับไปและนภทีป์กำลังจะเอาขนมไปเก็บ รติก็โผล่ขึ้นมาขวางหน้าพลางกอดอกและทำหน้าบูดบึ้งบอกบุญไม่รับ

   “มีอะไรอีกล่ะ? อยากกินขนมหรือไง?” นภทีป์มุ่นคิ้วเมื่อเห็นท่าทางประหลาดของอีกฝ่าย

   “นั่นน่ะ นายพูดถึงตฤณอยู่ใช่หรือเปล่า?”

   ...

   “นายคิดจะให้โอกาสคนพรรค์นั้นจริง ๆ หรือ?” รติยังคงจี้ถามต่อไปโดยที่นภทีป์ทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ยอมตอบคำถามแม้สักคำถามเดียว

   เขาตั้งใจจะทำตามคำแนะนำของอนุทิน...

   คนที่ต้องการโอกาส ก็ต้องแสดงออกว่าตนเองพยายามไขว่คว้าโอกาสมากแค่ไหน หากว่าตฤณทำให้เขาเห็นว่าเจ้าตัวพยายามจริง ๆ บางที...เขาก็อาจจะ...

   ความคิดของนภทีป์ แม้รติจะไม่สามารถหยั่งรู้แต่ก็คาดเดาได้ ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจแม้สักนิด กลับยิ่งวิตกกังวลมากกว่าเดิมเสียอีก

-------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 9 (8/07/13)
«ตอบ #33 เมื่อ08-07-2013 18:25:05 »

   “เอ้า! ครั้งนี้ผมพยายามทำให้พลาดน้อยที่สุดเลยนะ!” ภรัณยูที่มาเรียนเช่นเดิมในวันเสาร์อาสาทำอาหารกลางวันเหมือนที่เคยทำเมื่อช่วงสงกรานต์และเอาของสดในตู้เย็นออกมาจัดแจงสับ ๆ หั่น ๆ ด้วยท่าทางที่เรียกได้ว่าเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนคนจับมีดไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ หน้าตาของเนื้อและผักที่ถูกหั่นและเด็ดดูเละ ๆ อยู่เล็กน้อย แต่สีสันหลังปรุงสุกก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ เพียงแต่...

   “เนื้อไก่นี่คงไม่ได้สุกนอกดิบในเหมือนคราวก่อนอีกนะ?” นภทีป์ทำหน้าระอาใจเมื่อคิดถึงคราวก่อนที่ไม่ว่าจะผัดหรือทอด ภรัณยูก็ทำให้มันข้างนอกสุกหอมแต่ข้างในยังเป็นเนื้อดิบแดง ๆ ได้ทั้งนั้น จะว่าเป็นพรสวรรค์อีกข้อหรือว่าเจ้าตัวไม่มีเซนส์เรื่องอาหารเลยดีนะ?

   “แม่ผมจดมาให้กระทั่งความแรงของไฟและช่วงเวลาขนาดนี้น่าจะไม่มีปัญหานะครับ” เจ้าตัวมองโน้ตที่ละเอียกยิ่งกว่าครั้งก่อน คงเพราะไปเล่าให้แม่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกระมัง แต่นภทีป์ก็ยังรู้สึกว่าตนเองควรจะหายาแก้ท้องเสียหรือยาถ่ายพยาธิมาเตรียมเอาไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด

   เขาตักกับข้าวใส่จานก่อนจะชิมรสชาติ

   ...

   และหันไปดื่มน้ำตามทันที

   “นี่นายโยนกระปุกเกลือลงไปในกระทะหรือไง!”

   “เอ๋! แต่ว่าผมใส่น้อยลงแล้วนะ...” ภรัณยูรีบตักชิมดูก่อนจะสำลักแค่ก ๆ “แบบนี้ผมเอาไปใส่น้ำเพิ่มดีกว่า น่าจะช่วยได้บ้าง”

   “ช่างมันเถอะ ตักข้าวเยอะ ๆ ก็พอแล้ว” นภทีป์กลอกตาแล้วดึงให้ภรัณยูนั่งลง “แค่นายทำกับข้าวก็เสียเวลาจะแย่ เดี๋ยวต้องทำความสะอาดครัวอีก นายชะล่าใจเรื่องความฝันของตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า จนป่านนี้นายยังใช้แต่ดินสออยู่เลยนะ”

   “จริงด้วยสิ...แต่ช่วงนี้คุณทีดูมีเนื้อมีหนังขึ้นหน่อย เพราะอาหารของแม่ผมอร่อยถูกปากสินะ?” รอยยิ้มสดใสจริงใจของภรัณยูดูจะมั่นใจมากว่าสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของตนเอง ซึ่งเจ้าตัวก็เข้าใจไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูกนัก เพราะที่จริงแล้วนภทีป์เริ่มมีอะไรกินมากกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนกว่าเดิม และสภาพจิตใจก็ดีกว่าเมื่อเดือนก่อนนี้ร่างกายจึงไม่ทรุดโทรมอิดโรยอย่างที่พบกันครั้งแรก

   “แต่นอกจากเรื่องทำอาหารก็ดูเหมือนจะทำได้ทุกอย่างเลยนี่ ทั้งเรียนเก่ง เล่นกีฬาก็ดี เรื่องศิลปะก็พอใช้ได้” พูดไปแล้วก็น่าอิจฉาอยู่ไม่น้อย

   “ผมดูเหมือนแบบนั้นหรือครับ?” ภรัณยูเลิกคิ้วก่อนจะเกาท้ายทอยแล้วหัวเราะเก้อ ๆ “ที่จริงแล้วตอนเด็ก ๆ น่ะผมเรียนภาษาอังกฤษแย่มากเลยล่ะ จนเดี๋ยวนี้ก็ยังแย่อยู่ดีแค่พอกล้อมแกล้มได้เท่านั้นเอง พวกเลขกับคณิตก็เข้าใจยากอยู่ในช่วงแรก ๆ ผมก็เลยต้องพยายามทำแบบฝึกหัดบ่อย ๆ ก็เลยจับจุดได้บ้างน่ะครับ เรื่องกีฬาก็ไม่เชิงว่าเก่งแต่ตอนผมอยู่ม.ต้นผมเป็นเด็กตัวผอม ๆ แห้ง ๆ ไม่มีเรี่ยวมีแรง เลยโดนเพื่อนจับไปเล่นบาสบ้างบอลบ้างด้วยกันทุกเย็น ไป ๆ มา ๆ ผมก็ตัวสูงใหญ่ขึ้นมาได้ขนาดนี้น่ะ คงเพราะญาติฝ่ายแม่ผมรูปร่างใหญ่กันด้วยล่ะมั้งครับ”

   “เท่าที่ฟังแล้ว...ดูเหมือนนายจะไม่เก่งอะไรมาแต่เกิดเลยสักอย่างนะ...” นภทีป์ไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำสีหน้ายังไงดีหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด จะว่าน่าสมเพชก็ไม่ใช่ เพราะภรัณยูก็ทำทุกสิ่งที่ตัวเองเหมือนไม่ถนัดได้ดีเทียบเท่ากับคนทั่ว ๆ ไป แต่คิดอีกแง่...เจ้าตัวอาจจะทำได้ดีแต่ไม่รู้ตัวหรือถ่อมตนก็ได้

   “ผมถึงอิจฉาคุณไง”

   ...?

   “อิจฉาฉัน? ฉันไม่ใช่พวกหัวดีหรือเล่นกีฬาเก่งหรอกนะ”

   “แต่ว่า คุณทีก็มีสิ่งที่ทำได้ดีกว่าคนอื่น ๆ อยู่นี่นา เทียบกับผมที่ทำได้หลายอย่างแต่ทำได้แบบธรรมดา ๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรแล้ว มันน่าอิจฉาออกไม่ใช่หรือ?”

   พูดอะไรน่ะ...

   นภทีป์มองอีกฝ่ายพลางมุ่นคิ้ว เพราะเมื่อคิดแล้วเขาก็ยังคงรู้สึกว่าเจ้าตัวน่าอิจฉามากกว่า เพราะถึงเขาจะมีสิ่งที่โดดเด่นอยู่กับตัวแต่ก็แทบจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ซ้ำยังมีคนที่ทำได้เหมือนกันอยู่มากมาย การต้องขันแข่งกับคนอื่นโดยที่ไม่มีใครสนับสนุนแทบจะผลาญพลังใจของเขาไปหมดสิ้น เพราะอย่างนั้นเขาจึงเหนื่อยและท้อถอยง่ายในหลาย ๆ ครั้ง แต่ภรัณยูนั้นต่างกัน แม้จะต้องเผชิญกับความกดดันมาตลอดชีวิตแต่ก็พยายามที่จะวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

   ความจริงแล้ว...เจ้าตัวคงจะเหนื่อยอยู่เหมือนกับเขา เพียงแต่ไม่แสดงออกและไม่ยอมล้มอยู่เฉย ๆ

   เป็นคนที่เปล่งประกายด้วยความหวังอยู่เสมอ...เพราะอย่างนั้นจึงได้น่าอิจฉายังไงล่ะ...

   “ไปทำความสะอาดครัวกันเถอะ” นภทีป์ตัดบทสนทนาแล้วหยิบจานเปล่าลุกขึ้นหลังเห็นว่าภรัณยูเองกินอิ่มแล้วเช่นกัน

   “อ...เอ๋ ครับ” ชายหนุ่มร่างสูงรีบลุกขึ้นและยกจานกับข้าวไปเข้าตู้เย็นด้วย

   นภทีป์ประจำอยู่ที่อ่างล้างจาน ซึ่งจานชามที่ต้องล้างไม่ได้มีมากนัก ที่หนักเห็นจะเป็นกระทะกับหม้อที่ใช้ทำอาหารซึ่งเต็มไปด้วยคราบมันของอาหาร

   “ใกล้หมดแล้วสิ” เจ้าตัวว่าหลังจากยกขวดน้ำยาล้างจานขึ้นมาและรู้สึกถึงน้ำหนักอันเบาหวิว

   “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะซื้อมาให้ตอนขามาก็แล้วกัน” ภรัณยูอาสาขณะกำลังก้มลงเช็ดคราบน้ำมัน เนื้อและผักที่กระเด็นลงพื้น ทำอาหารทีไร ครัวก็เลอะเทอะทุกครั้งไป เพราะเขามือหนักเกินไปหรือไม่มีความสามารถเรื่องทำอาหารจริง ๆ กันนะ? ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้แต่ก็ก้มหน้าก้มตาเก็บเศษของสดที่ตกเกลื่อนพื้นใส่ถุงขยะเหมือนทุกครั้ง หลังจากพื้นสะอาดดีแล้วนภทีป์ก็เก็บล้างเสร็จพอดี

   ต้องขอบคุณวิทยาการของเครื่องครัวที่พัฒนาขึ้นทำให้การเก็บล้างหลังทำอาหารเป็นเรื่องง่ายดายกว่าสมัยก่อนหลายเท่า

   เป็นประโยคยอดฮิตของแม่ทีเดียว

   “แต่ว่า คุณทีก็เหมาะกับผ้ากันเปื้อนเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มเอ่ยชมโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ผู้ฟังกลับขัดเขินขึ้นมาจึงลดมือลงเช็ดกับผ้ากันเปื้อนสีอ่อนโดยไม่ได้ตอบอะไร แต่เมื่อนภทีป์หมุนตัวกลับมาหลังเก็บภาชนะเข้าที่หมดแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งดึงขาทำให้เกิดเสียหลักอย่างกะทันหัน นภทีป์เบิกตากว้างเมื่อพบว่าตนเองกำลังจะล้มลงบนพื้น และไม่ทันจะมีเวลาคิดว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ

   เสียงรติหัวเราะคิกคักแว่วอยู่ข้างหูเมื่อร่างกายของเขาล้มลงจนถึงจุดที่น่าจะกระแทก แต่กลับไม่ได้รู้สึกเจ็บสักเท่าไหร่

   “เป็นอะไรหรือเปล่า?” ภรัณยูที่ยังไม่ได้ลุกขึ้นจากพื้นไถลตัวเข้ามารองไว้ได้พอดี แม้จะไม่สามารถรับไว้ได้ทั้งหมดแต่อย่างน้อยนภทีป์ก็เจ็บแค่ส่วนหัวเข่ากับฝ่ามือที่ลงพื้นไปเต็ม ๆ และเมื่อนภทีป์เงยหน้าขึ้นก็พบว่าสีหน้าแสดงความเป็นห่วงของอีกฝ่ายอยู่ใกล้กว่าที่คิดไว้มาก

   ...!!!

   “ฉ...ฉันไม่เป็นไร ออกไปได้แล้ว!” นภทีป์ตกใจลนลานเสียจนละล่ำละลักตะโกนแล้วผลักภรัณยูออกไป แต่เดี๋ยวสิ...ทำไมเขาต้องตกใจขนาดนี้ด้วยล่ะ?

   “ดูเหมือนพื้นแถวนั้นจะยังลื่นอยู่สินะ? เดี๋ยวผมจะเช็ดให้ใหม่ก็แล้วกัน ขอดูหน่อยสิว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ภรัณยูเข้าหาด้วยความห่วงใยแต่การกระทำนั้นกลับทำให้นภทีป์เผลอถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่ในเวลาต่อมาก็เหมือนจะตั้งสติได้จึงรีบส่ายศีรษะ

   “ฉันไม่ได้เจ็บอะไรตรงไหน นายรีบไปเช็ดพื้นต่อดีกว่า” หลังพูดจบ เขาก็รีบผุดลุกขึ้นโดยไม่สนใจตัวต้นเหตุที่บินวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ รติยังคงหัวเราะร่าอย่างสมใจที่ทำให้เขาล้มได้สำเร็จ แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรแต่นภทีป์ไม่ชอบใจเอาเสียเลย เขาพยุงตัวลุกขึ้นแต่หัวเข่าที่กระแทกพื้นก็ทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก อีกทั้งฝ่ามือก็แดงเถือกทำให้เท้ากับเคาท์เตอร์ไม่ถนัด

   ภรัณยูเข้ามาช้อนใต้แขนช่วยพยุงขึ้น

   “ไม่เห็นต้องทำเป็นไม่เจ็บเลยนี่ครับ ผมยินดีบริการอยู่แล้ว” ชายหนุ่มทำพูดทีเล่นทีจริงแล้วยิ้มกว้างขณะช่วยพานภทีป์เข้าไปนั่งในห้องก่อนจะถือวิสาสะพับกางเกงอีกฝ่ายขึ้นเพื่อดูรอยช้ำ และพบว่าที่หัวเข่ามีรอยสีแดงม่วงประดับอยู่ “ผมจะไปเอาผ้ากับน้ำแข็งมาให้” ว่าจบเจ้าตัวก็เดินเข้าครัวไปก่อนกลับมาพร้อมผ้ากับห่อน้ำแข็งในไม่กี่นาทีต่อมาเพื่อให้นภทีป์ประคบรอยช้ำด้วยตัวเอง

   “แหม ๆ เป็นห่วงเป็นใยมากเลยนะเนี่ย” รติทำท่าล้อเลียนหลังจากภรัณยูกลับเข้าครัวไปเพื่อทำความสะอาดในจุดที่นภทีป์ล้มลง

   “ก็เป็นนิสัยประจำตัวอยู่แล้วนี่” นภทีป์ตอบกลับโดยพยายามไม่คิดอะไรมาก

   “ตฤณยังไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย”

   “อย่าเอาไปเทียบกันนะ!”

   “เทียบอะไรหรือครับ?” ไม่รู้ว่าทำไม แต่ภรัณยูมักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะทุกที นภทีป์จึงอ้าปากค้างจากประโยคเมื่อครู่ก่อนจะกระแอมครั้งหนึ่งแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “น่าแปลกจังนะ ตรงนั้นไม่มีรอยเปื้อนเลยแท้ ๆ หรือว่าคุณทีจะล้มเพราะเพลีย?”

   “ก็...อาจจะ...” คนบาดเจ็บตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง เขาจะบอกได้ยังไงว่าเป็นฝีมือของคนที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียง ดูเหมือนรติก็จะรู้ความลำบากใจของเขาจึงได้หัวเราะเยาะอยู่ไม่ไกลให้รำคาญแต่ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้

   “ถ้าอย่างนั้นผมจะออกไปซื้อยาแก้ฟกช้ำมาให้ก่อน แล้ววันนี้ผมจะรีบกลับให้คุณได้มีเวลาพักมาก ๆ หน่อย แล้วผมจะลองถามแม่ว่าให้คุณกินอะไรถึงจะดี” ความกระตือรือร้นของภรัณยูน่าปลื้มปิติจนบอกไม่ถูก นั่นคือสิ่งที่รติแสดงท่าทางให้เห็นจนโอเว่อร์ “นั่งรอเฉย ๆ แปบเดียว เดี๋ยวผมกลับมานะ” เจ้าของร่างสูงคว้ากระเป๋าเป้แล้วเดินลิ่ว ๆ ออกไปจากห้องหลังจบประโยคทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน

   คำพูดของรติหวนกลับมาในความคิดคำนึงอีกครั้ง

   จริงสิ...ตฤณไม่เคยสนใจจะทำอะไรแบบนี้เลย ที่จริงแล้วตั้งแต่ตฤณเข้ามาในชีวิตของเขาจนกระทั่งคบกันและเลิกราจากกันไป เขาแทบจะเป็นฝ่ายดูแลทุกอย่างเสียด้วยซ้ำ คงเพราะว่าดูแลตัวเองมาตลอดกระมัง...จึงไม่รู้สึกแปลกอะไรที่จะต้องดูแลคนอื่นด้วย ทำให้ไม่คุ้นชินเมื่อเป็นฝ่ายถูกดูแล การเอาใจใส่ของภรัณยูทำให้รำคาญในช่วงแรก ๆ ก่อนจะเริ่มลำบากใจเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบรับความหวังดีอย่างไร มันน่าอึดอัดเสียยิ่งกว่าการอยู่กับคนที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างตฤณเสียอีก แต่พร้อม ๆ กับความอึดอัด...เขากลับรู้สึกยินดีอยู่ลึก ๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรและมีเหตุผลอะไร

   บางทีเขาคงจะเริ่มคิดกระมังว่า...การถูกดูแลก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่...

   สายตาของนภทีป์ยังคงจับจ้องอย่างเหม่อลอยไปยังบานประตูราวกับกำลังเฝ้ารออีกคนหนึ่งกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ

   นั่นเป็นท่าทีที่ทำให้รติพึงพอใจอย่างมาก ตอนนี้เจ้าตัวมั่นใจแล้วว่าภรัณยูนี่ล่ะที่จะทำให้นภทีป์ตัดขาดจากตฤณได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแต่...เขายังไม่แน่ใจนักว่าภรัณยูจะยินยอมให้ความร่วมมือด้วยหรือไม่ เจ้าตัวไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาเป็นพิเศษ และความห่วงใยของฝ่ายนั้นก็คล้ายจะเป็นนิสัยประจำตัวอย่างที่นภทีป์ว่าจริง ๆ ถ้าหากเจ้านั่นมีความรู้สึกพิเศษให้นภทีป์สักนิดล่ะก็ เขาจะไม่ยอมละทิ้งโอกาสงาม ๆ นี้แน่นอน

TBC

ออฟไลน์ irksome

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 9 (8/07/13)
«ตอบ #34 เมื่อ08-07-2013 19:50:38 »

ไม่เอาตฤน  :serius2: อย่าใจอ่อนนะที
ดูไว้ใจไม่ได้  o18 เกลียดคนประเภทนี้

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 9 (8/07/13)
«ตอบ #35 เมื่อ09-07-2013 00:25:58 »

เม้นท์สามตอนเลย
ทั้งรัณและที เหมือนค่อย ๆ เริ่มพยายามปรับตัวเข้าหากันได้ทีละนิด ๆ แล้วนะ
โดยเฉพาะรัณ ที่เริ่มคุ้นชินนิสัยของที ทำให้รับมือกับอารมณ์แปรปรวนของทีได้มากขึ้น
นายตฤณ คนที่แล้วที่ทีเคยสอน ที่แท้ เป็นคนรักเก่าของทีนี่เอง มิน่า ทีถึงหมดอาลัยตายอยากขนาดนั้น
ดูแล้วเป็นคนที่ไม่น่าคบเอาซะเลย ไม่มีความจริงใจ เล่ห์เพทุบายเยอะ ทำตัวเหมือนตัวเองอยู่เหนือคนอื่น
เคยขโมยผลงานของทีไปด้วยรึเปล่า แต่กลับมาหาทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีทีท่าสำนึกผิดสักนิด ด้านจริง ๆ
แต่ที่ทำให้รู้สึกอึดอัด และไม่เข้าใจยิ่งกว่า คือ การแสดงออกของทีเนี่ยแหละ
ตอนแรกทีต่อต้านรัณ เพราะทำให้นึกย้อนถึงนายตฤณ ที่เคยทำให้เจ็บเอาไว้ เลยเข็ดขยาด ไม่อยากเจ็บอีก
แต่พอนายตฤณ คนที่ทำร้ายตัวเองจริง ๆ โผล่มา พร้อมงอนง้อ ขอคืนดี  ทีกลับจะโอนอ่อนตามง่าย ๆ
ทั้งที่ย้ำเตือนตัวเองว่าเคยได้รับบทเรียนเลวร้ายจากอีกฝ่ายมาแล้ว ทั้งรติที่คอยตามเตือนตลอดเวลา
ที่สำคัญ พี่ทิน ที่เตือนตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว แล้วสุดท้าย ทีก็ต้องเจ็บอย่างที่พี่ทินเตือนจริง ๆ
แต่ทำไมครั้งนี้ทีก็ยังจะใจอ่อน ยอมเชื่อง่าย ๆ คิดว่าเค้ามีความจริงใจขอโอกาส แค่หมอนั่นเล่นละครหลอกตาก็เชื่อ
แล้วจะให้โอกาสนายตฤณพิสูจน์ตัวเองเนี่ยนะ ถ้าเค้ารักทีจริง เค้าจะทำร้ายทีตั้งแต่ครั้งแรกเหรอ
ทีเหมือนไม่ใช่แค่รักนายตฤณนะเนี่ย เหมือนหลงซะด้วยซ้ำ แพ้ทางนายตฤณ โดนปั่นหัวตลอดเลย
หวังว่ารัณและรติ จะช่วยให้ทีไม่หลงเชื่อนายตฤณง่าย ๆ และสามารถตัดใจจากนายตฤณได้จริง ๆ ทีเถอะนะ
ขอบคุณค่ะ  :3123: :L1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2013 10:13:43 โดย TIKA_n »

ออฟไลน์ jinjin283

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 934
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 9 (8/07/13)
«ตอบ #36 เมื่อ09-07-2013 22:11:36 »

ยิ่งอยากยิ่งอยากรู้ว่าตฤณเคยทำอะไรทีไว้บ้างคะเนี่ย
บางทีก็เหมือนทำทีเจ็บช้ำมากมาย แต่ทีก็ยังไปเจอตฤณ
แล้วไม่เหมือนจะโกรธเท่าไหร่ แหมอยากรู้ๆอะ
ตอนนี้พระเอกเราเท่อะ แทคแครดีมากมาย
คุณทีใจอ่อนบ้างแล้วด้วยจะมีลุ้นๆเร็วๆนี้ใช่ไหมคะ ^^

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 10 (12/07/13)
«ตอบ #37 เมื่อ12-07-2013 18:37:11 »

-10-


   “เหนื่อยหรือเปล่าคะคุณพี่ที่น่ารัก” พิณาลัยวิ่งเข้ามาต้อนรับเมื่อพี่ชายกลับมาจากทำงาน ซึ่งเป็นอย่างนี้ประจำทุก ๆ วันหลังจากผู้พี่ทำงานครบ 1 เดือนเป็นต้นมาจนคล้ายเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องผิดแปลกน่าประหลาดแต่อย่างใด แต่เหตุผลนั้นเป็นเพราะทุกครั้งที่ภรัณยูกลับมาจากที่ทำงานมักจะมีของกินจุบจิบจากละแวกที่ทำงานกลับมาฝากเสมอ และพิณาลัยก็มีความสุขกับของฝากเหล่านี้เสียด้วย

   “เดี๋ยวก็อ้วนหรอกเราน่ะ แก้มเลยย้วยแล้วนะ” ภรัณยูแกล้งดึงแก้มน้องสาวก่อนยื่นถุงขนมให้ “วันนี้พี่เจอร้านไหมอยู่ในซอยน่ะ เพราะหาขนมให้เราเนี่ยทำให้พี่ช่ำชองเส้นทางรอบบริษัทหมดแล้วรู้หรือเปล่า”

   “แหม ก็พ่อไม่ยอมซื้อให้นี่ บอกแต่ว่ามีร้านขนมอร่อยเยอะ พี่รัณนี่แหละใจดีที่สุดแล้ว” ว่าจบ เด็กสาวก็เขย่งขึ้นหอมแก้มพี่ชายครั้งหนึ่งเป็นรางวัลซึ่งทำให้ฝ่ายพี่เลิกบ่นในทันที

   “อย่าไปทำแบบนี้กับหนุ่มอื่นล่ะ” เขาว่าพลางหัวเราะ

   “หนูรู้หรอกน่า” พิณาลัยหัวเราะคิกคักแล้วพาตัวเองไปยังโซฟาพร้อมกับวุ้นกรอบที่พี่ชายนำมาฝาก “พรุ่งนี้พี่ต้องไปเรียนอีกแล้วสินะ ทำงานสลับกับเรียนศิลปะทุกวันแบบนี้จะดีเหรอคะ? หนูน่ะแค่ช่วงกิจกรมกีฬาสีที่แทบจะไม่ได้มีวันพักหนูยังแทบแย่แหน่ะ แถมครูของพี่ก็เข้มงวดเกินไปด้วย ให้การบ้านพี่กลับมาทำทั้งที่ต้องทำงานทุกวันแท้ ๆ แต่จะว่าไป ช่วงหลัง ๆ หนูไม่เห็นพี่ทำการบ้านเลยนี่นา?”

   ก็จริงแฮะ...

   ระยะหลังไม่เห็นว่านภทีป์จะยัดการบ้านให้ทำเลยสักชิ้น มีแค่ช่วงเดือนแรกเท่านั้นที่โดนบังคับให้ทำแต่หลังจากนั้นก็แค่ฝึกฝนในช่วงเวลาเสาร์อาทิตย์

   แบบนี้จะดีหรือเปล่านะ...เพราะตอนแรกนภทีป์เป็นคนบอกเองว่าเขาต้องฝึกฝนตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ฝีมือคงที่ให้เร็วที่สุด แต่การกระทำของเจ้าตัวกลับค่อย ๆ ผ่อนคลายความเข้มงวดลงเรื่อย ๆ เหมือนกับว่ากำลังสนใจสิ่งอื่นนอกจากเรื่องนี้อยู่อย่างไรอย่างนั้น

   เป็นเรื่องของผู้ชายที่ชื่อตฤณหรือเปล่า?

   ตั้งแต่คน ๆ นั้นปรากฏตัวขึ้น ท่าทีของนภทีป์ก็ดูแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด กระสับกระส่าย กังวล และเหม่อลอยอยู่บ่อย ๆ ไม่รู้ว่าทั้งสองคนเคยมีความสัมพันธ์กันแบบไหนมาก่อน แต่ที่แน่ ๆ ตฤณมีอิทธิพลกับนภทีป์มากทีเดียว อาจจะมากกว่าภาพวาดซึ่งนำพาเขามาพบกับอีกฝ่ายก็ได้...พอคิดแบบนั้นภรัณยูก็พบว่าตนเองไม่พอใจขึ้นมานิดหน่อย เพราะเขาต้องใช้เวลาและความอดทนไปมากมายเพื่อที่จะทำให้นภทีป์หันกลับมาทำดีด้วย และดูเหมือนตฤณจะเห็นต้นเหตุของความยากลำบากในช่วงแรก ๆ นั้นเอง

   ซ้ำหลังจากช่วงสงกรานต์เป็นต้นมา เขาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่ตฤณคล้ายจงใจมาเยี่ยมเยียนนภทีป์เอาเวลาที่เขาไปเรียนอยู่เสมอ

   อย่างเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตฤณปรากฏตัวขึ้นในช่วงกลางวันที่เขากำลังทำอาหารและนภทีป์กำลังตรวจงาน เจ้าตัวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในห้องราวกับเป็นเรื่องธรรมชาติและใช้สายตาแปลก ๆ มองมาที่เขา หากจะให้บรรยาย ภรัณยูคิดว่ามันใกล้เคียงกับสายตาที่แสดงความเหนือกว่าทางด้านสถานะ แต่เป็นสถานะไหนกันล่ะ?

--------------------------->

   และในวันถัดมาก็เป็นไปดังที่เคยเป็น เพียงแต่ตฤณมาเสียตั้งแต่เช้าราวกับว่าไม่มีการมีงานทำเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา นภทีป์ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่บางครั้งก็แสดงสีหน้าลำบากใจออกมาเมื่อตฤณเริ่มทำตัวใกล้ชิด

   “ผมก็แค่บอกว่าจะให้โอกาส อย่าทำตัวเหมือนผมอภัยให้ทั้งหมดแล้วนะ”

   ภรัณยูได้ยินเสียงนภทีป์กระซิบเช่นนั้นกับตฤณตอนที่กำลังก้มลงปาดหมึกสีดำจากปลายพู่กันลงบนภาพที่ลงเส้นเรียบร้อยแล้ว

   “แค่นั้นก็ดีแล้ว ผมแค่อยากจะอยู่ใกล้ ๆ ทีเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้นเอง”

   เมื่อชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมอง เขาก็เห็นนภทีป์กำลังเบือนหน้าไปอีกทางพร้อมทั้งเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง สีหน้าคล้ายกำลังขัดแย้งในตัวเองอยู่ไม่รู้ว่าควรจะคล้อยตามหรือขัดขืน แต่เมื่อนภทีป์เลื่อนสายตามายังเขา ภรัณยูก็หลุบตาลงทำงานของตัวเองต่อไปราวกับไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้าง แต่ดูเหมือนตฤณจะรู้ว่าเขากำลังฟังอยู่จึงพูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง

   “แต่รู้สึกแปลกดีนะที่มีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย”

   “ถ้ารู้ตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยก็เลิกทำตัวเหมือนเด็กเพิ่งหย่านมเสียที” นภทีป์ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์แทน ซึ่งน่าจะปลอดภัยจากการเซ้าซี้มากกว่าการนั่งพื้น ตฤณจึงหันกลับมาที่ภรัณยูที่อยู่ถัดไปอีกมุมหนึ่งของโต๊ะตัวเตี้ยและจ้องมองภาพที่เจ้าตัวกำลังปาดพู่กันอย่างคนไม่เคยชิน ภาพที่ถูกปาดไปแล้วดูเละเทะอยู่นิดหน่อยจากปลายพู่กันที่สะบัดเกินจากขอบที่กำหนดไว้

   “นึกถึงสมัยที่เริ่มหัดวาดแรก ๆ เลยแฮะ” ตฤณทำเป็นพูดเสียงระรื่นให้เจ้าของผลงานได้ยิน

   “คุณเริ่มหัดกับคุณทีเหมือนกันหรือครับ?” ภรัณยูคร้านจะแสร้งไม่สนใจต่อจึงเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาจากภาพวาด ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ถนัดที่จะทำตัวเป็นศัตรูกับใครสักเท่าไหร่ การที่ต้องมาตั้งธงว่าจะไม่ญาติดีกับใครสักคนโดยเฉพาะจึงเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจเป็นอย่างยิ่ง

   “เปล่าหรอก ฉันวาดมานานพอสมควรแล้วล่ะ ตั้งแต่ประถมได้ล่ะมั้ง” ชายหนุ่มผู้ไม่ได้เป็นทั้งศิษย์และครูกล่าวพลางเอนตัวไปด้านหลังและใช้มือยันพื้นไว้ “แต่ฉันไม่เคยใช้พู่กันแบบเป็นจริงเป็นจังหรอกนะ เหมือนว่าพอโตขึ้นก็หัด cg เลย ทียังชอบติอยู่บ่อย ๆ ว่าฉันใช้ทางลัดจนเป็นนิสัย”

   ก็เข้ากับบุคลิกอยู่...

   ภรัณยูคิดในใจ เพราะจากสายตาของเขา ตฤณเป็นผู้ชายที่ให้ความรู้สึกไม่เหมือนคนที่ทำตามขั้นตอนและตามแบบแผนของใคร หากมีเส้นทางให้ลัดก็ลัดให้เลาะก็เลาะ คาดเดาได้ยากว่าคิดจะทำอะไร อาจจะเป็นเพราะอย่างนั้นก็ได้ที่ตฤณดูไม่ใช่คนน่าไว้วางใจสักเท่าไหร่

   “ขุดทางลัดจนเป็นนิสัยด้วย” นภทีป์แทรกขึ้นมาเบา ๆ จากมุมหนึ่งและเสสายตาไปยังคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งเปิดขึ้นมาเมื่อครู่

   ภรัณยูมั่นใจว่านั่นเป็นถ้อยคำต่อว่ามากกว่าประโยคบอกเล่าทั่วไป เพราะน้ำเสียงและท่าทางของผู้พูดมีร่องรอยของความไม่สบอารมณ์อยู่หลายส่วน

   ทั้งที่ไม่ชอบใจตฤณมากขนาดนั้น แต่ทำไมถึงยังต้อนรับให้อยู่ใกล้ตัว เขาไม่เข้าใจฝ่ายนั้นเลยสักนิด

   “แล้ว...เอ่อ...” เพราะบทสนทนาขาดช่วงทำให้สถานการณ์เริ่มน่าอึดอัด ชายหนุ่มจึงต้องหาหัวข้อที่จะพูดต่อไป “ทำไมถึงมาเรียนกับคุณทีล่ะครับ?” ดูเหมือนนภทีป์จะเคยบอกเขาว่าตฤณเป็นคนที่มีพรสวรรค์และเรียนรู้ได้เร็ว แต่กลับไม่มีพื้นฐานที่แน่นพอ นั่นเป็นสาเหตุที่นภทีป์มองเห็นหรือที่เจ้าตัวคิดกันแน่?

   “เอาจริง ๆ เลยนะ” ตฤณทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ฉันมันพวกเด็กสปอยล์ ใคร ๆ ก็อยากเอาใจ จะวาดจะเขียนอะไรก็มีแต่เสียงชื่นชม แต่ก็น่าแปลกใช่ไหมล่ะ ทั้งที่มีคนชื่นชมขนาดนั้นแต่กลับไม่สามารถเทียบเคียงกับพวกมืออาชีพได้เลย คนรอบตัวฉันไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างเต็มปาก นั่นแหละปัญหาของฉัน” เขาว่าจบก็ไหวไหล่ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ภรัณยูรู้สึกอย่างอีกฝ่ายพูดออกมาด้วยความคิดจริง ๆ ของตนเอง ไม่ได้ให้ความรู้สึกเสแสร้งแกล้งทำเหมือนกับบทสนทนาอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ ซึ่งเมื่อฟังจบแล้ว เขาก็พบว่าตฤณแตกต่างกับตนเองในทุก ๆ ด้านกระทั่งการสนับสนุนจากคนรอบตัว ตฤณมีคนมากมายพร้อมจะหยิบยื่นทุกอย่างที่ต้องการให้อย่างไร้เงื่อนไข ทำให้มองเห็นความเป็นจริงของโลกได้ช้าและได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมจึงไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ในขณะที่เขาถูกกีดกันในสิ่งที่อยากทำ ทำให้ความจริงของโลกสำหรับเขาไม่ได้สว่างสดใสสักเท่าไหร่และไม่มีอะไรไปดังใจหวัง

   แล้วนภทีป์ล่ะ?

   เจ้าตัวไม่ค่อยจะพูดเรื่องเกี่ยวกับตัวเองสักเท่าไหร่ ทำให้ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเคยเจอกับอะไรมาบ้าง สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับนภทีป์มีอยู่น้อยนิดทั้งที่รู้จักกันมาเกือบสองเดือนแล้ว

   อนุทิน...เป็นคนที่น่าจะรู้เกี่ยวกับชีวิตของนภทีป์มากที่สุด แต่ก็ไม่ได้พบกันอีกเลยหลังจากครั้งแรก ส่วนตฤณ...จะรู้มากแค่ไหนกันนะ? และเขาควรจะถามหรือเปล่า?

   “ฉันหิวแล้ว นายพักไปทำกับข้าวก่อนก็แล้วกัน” ในที่สุดเสียงระฆังก็เคาะเป๊งตอนเที่ยงวันพอดิบพอดี นภทีป์ปิดหน้าอีเมลของตนเองแล้วหันมาบอกให้ภรัณยูวางมือไปทำอาหารมาให้กิน ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งพ่อครัวจำเป็นก็ยินดีตอบรับเป็นอย่างยิ่งเพราะนั่งหลังขดหลังแข็งไม่กล้าขยับตัวเสียหลายชั่วโมง ภรัณยูจึงวางพู่กันอย่างรวดเร็วและพาตนเองเข้าครัวโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว

   “มีพ่อครัวประจำตัวแล้วดูสะดวกสบายขึ้นเยอะเลยนะ”

   “ถ้าพ่อครัวจะมีเซนส์เรื่องรสชาติสักหน่อย” นภทีป์ตอบก่อนลุกตามเข้าไปในครัว หลังจากให้ภรัณยูปู้ยี่ปู้ยำกระเพาะอยู่ระยะหนึ่ง เจ้าตัวก็คิดได้ว่าหากตนเข้าไปควบคุมกระบวนการทำอาหารด้วยน่าจะทำให้อีกฝ่ายเลิกมือลื่นทำเครื่องปรุงหกใส่จานกับข้าวเสียที “คุณรออยู่ที่นี่แหละ” เขาพูดเช่นนั้นเมื่อเห็นการขยับตัวของตฤณจากหางตา และเมื่อพูดจบ รติก็ทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่สำทับแม้ตฤณจะไม่เห็นการกระทำนั้นก็ตาม

   ภรัณยูหยิบเนื้อและผักออกมาจากตู้เย็นก่อนวางลงบนโต๊ะเตรียมอาหาร ท่าทางการหยิบจับอุปกรณ์ไม่ได้ดูทะมัดทะแมงขึ้นกว่าเดิมเลยสักนิด แม้แต่การประคองมีดก็ยังน่าหวาดเสียวเช่นเคยจนนภทีป์อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปจัดการเองแม้จะไม่ได้ชำนาญกว่าสักเท่าไหร่

   “นายอึดอัดหรือเปล่า?” อยู่ ๆ คำถามก็ถูกส่งมาโดยที่ผู้ฟังไม่ทันตั้งตัว แต่ก็สามารถอนุมานได้ว่าอีกฝ่ายถามเกี่ยวกับอะไร

   “ก็...ไม่หรอกครับ ที่จริงคุณทีน่าจะอึดอัดมากกว่า”

   นภทีป์มุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนภรัณยูจะพูดต่อ

   “ผมอาจจะซอกแซกมากเกินไปก็ได้ แต่คุณทีดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบเขาสักเท่าไหร่ ถ้าหากว่าอึดอัดใจ...พูดออกมาตรง ๆ ไม่ดีกว่าหรือครับ?”

   “นั่นมันปัญหาของฉัน นายไม่ต้องมากังวลแทนหรอก”

   “ผมต้องกังวลแทนสิ”

   ถูกเถียงกลับมาแบบนี้ นภทีป์ก็ชะงักไปชั่วขณะ และเพราะอาการชะงักนั้นทำให้ภรัณยูเพิ่งจะรู้ตัวเช่นกันว่าตนเองพูดอะไรที่ดูไม่เหมาะสมออกไปเสียแล้ว

   “ผมหมายถึง...พวกเราก็รู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้ว การที่ผมจะเดือดร้อนแทนคุณบ้างก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือ?” ขณะที่พูด ภรัณยูก็เสตาไปทางอื่นคล้ายขัดเขินอยู่นิด ๆ “แต่ว่า ถ้าหากคุณไม่อยากพูด เอาไว้เราอยู่กันตามลำพังผมจะฟังคุณระบายออกมาแทนดีไหม?” ชายหนุ่มยิ้มกว้างหลังจบประโยค

   “นายฟังคนอื่นระบายใส่ตลอดเวลาไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือไง? ระวังคนอื่นเขาเข้าใจผิดล่ะ” นภทีป์ถอนหายใจ ความใจดีของภรัณยูยังคงน่าปลื้มใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าตัวแสดงออกกับทุก ๆ คนเป็นปกติวิสัย ซึ่งเขาจะไม่แปลกใจเลยหากเจ้าตัวจะทำให้พวกผู้หญิงคิดมากโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้านี่หักอกคนโดยไม่เจตนามากี่ครั้งแล้วนะ?

   “ผมไม่ใช่เครื่องระบายแบบหยอดเหรียญนะครับ” ภรัณยูตอบกลับพลางทำหน้าปุเลี่ยน “แล้วผมก็ไม่ได้พูดแบบนี้พร่ำเพรื่อกับทุกคนเสียหน่อย ก็...กับคนที่ผมสนิทใจเป็นพิเศษ...” ประโยคหลังเจ้าตัวพูดอุบอิบและเบาลงเรื่อย ๆ กระนั้นรติก็ได้ยินอย่างชัดเจนทีเดียว

   อะหือ...

   ท่าทางจะมีใจเหมือนกันแฮะ

   “สนิทใจเป็นพิเศษ ฟังน่ารักกรุบกริบเชียวนะ”

   รติทวนคำพลางหัวเราะจากบนชั้นวางจาน ทำให้นภทีป์ซึ่งตอนแรกได้ยินไม่ชัดนักตอนนี้ได้ยินทุกคำพูดที่ถูกรีเพลย์ได้อย่างแจ่มแจ้งเสียจนรู้สึกแปลก ๆ ในอกขึ้นมาวูบหนึ่ง

   “...นายจัดการที่เหลือก็แล้วกัน” ว่าแล้วชายหนุ่มร่างเล็กก็ผลักเขียงพร้อมเนื้อที่หั่นเสร็จแล้วไปหาภรัณยูที่กำลังตั้งกระทะใบเล็กก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องทันที

   “เอ๋ อ...ได้ครับ” อีกคนหนึ่งได้แต่ทำหน้าเหวอและตอบรับไปโดยที่ไม่เข้าใจว่าตนเองพูดอะไรผิดหูอีกฝ่าย กระนั้นในวินาทีต่อมาเจ้าตัวก็ถอนหายใจและคิดว่าตนเองคงไม่เป็นที่ต้อนรับเสียยิ่งกว่าตฤณอีกกระมัง สถานะของเขาก็เป็นเพียงเด็กนักเรียนฝีมือห่วย ๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้เต็มใจจะสอนตั้งแต่แรก ไม่น่าแปลกเลยที่จะถูกตฤณมองด้วยสายตาที่เหนือกว่าแบบนั้น

   ท่าทีของนภทีป์และภรัณยูที่เหมือนจะเข้าใจกันไปคนละทางทำให้รติอยากเอาหัวโขกเต้าหู้ให้ตายคาผนัง สองคนนี้ดูเป็นตัวเลือกที่ลำบากลำบนจริง ๆ ให้ตายสิ!

   ใครที่ไหนเป็นคนกำหนดว่ากามเทพสามารถผูกสมัครรักใครได้ง่ายดายด้วยศรรักปักอก เขาจะได้ลากไปเป็นพยานช่วยประท้วงสรวงสวรรค์ได้อย่างเต็มปากว่าขอเพิ่มออพชั่นเป็นคันธนูกับลูกศรด้วย แต่เมื่อคิดถึงสถานะของตนเองแล้วเขาก็ไม่ใช่กามเทพจริง ๆ เสียหน่อย เฮ้อ...แบบนี้ก็ต้องใช้ความพยายามจากร่างกายที่ไม่มีใครมองเห็นและไม่มีใครได้ยินเสียงเอาเองล่ะมั้ง...

------------------------>

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 10 (12/07/13)
«ตอบ #38 เมื่อ12-07-2013 18:37:50 »

ตฤณมองตามนภทีป์ที่เดินออกมาจากครัวด้วยสีหน้าที่แปลกไปจากเดิม ไม่ใช่ไม่พอใจแต่คล้ายกำลังสับสนเขาก็รู้ได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับความรู้สึกของอีกฝ่ายซึ่งมันก่อร่างสร้างตัวมาสักระยะหนึ่งแล้วอย่างที่เขาเคยคาดเดาเอาไว้ ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด

   เจ้าเด็กคนนั้นคิดจะมาแทนที่เขาจริง ๆ หรือ?

   เขาหยักรอยยิ้มที่มุมปากก่อนลุกขึ้นและเดินไปหาเจ้าของห้อง

   “ผมคงต้องกลับก่อนนะที เพราะถ้าผมอยู่ต่อนักเรียนของคุณอาจจะเรียนไม่รู้เรื่องก็ได้” ชายหนุ่มว่าพลางหัวเราะในคออย่างมีเลศนัย สายตาเหลือบมองผ่านวงกบประตูเข้าไปในครัวซึ่งภรัณยูกำลังทำหน้าที่ของตนเองอย่างซื่อสัตย์และขันแข็ง

   “ในเมื่อรู้ตัวก็ดีแล้ว ทีหลังถ้าจะมาก็มาวันธรรมดาดีกว่า” นภทีป์เองก็เห็นด้วย เพราะเมื่อตฤณมาก็มักจะชวนเขาคุยหลาย ๆ เรื่อง และถ้าเขาทำเป็นไม่ใส่ใจก็จะหันไปคุยกับภรัณยู ซึ่งทำให้เจ้าตัวไม่มีสมาธิทำในสิ่งที่ต้องทำและวอกแวกอยู่ตลอดเวลา

   “ที่ผมมาวันเสาร์อาทิตย์นี่เพราะเห็นแก่คุณหรอกนะ เพราะเราเคยผิดใจกันมาก่อนการอยู่กับผมตามลำพังคงทำให้คุณกระอักกระอ่วนไม่ใช่น้อย แต่ในเมื่อคุณออกปากอนุญาตเองแบบนั้นผมคงคาดหวังได้ใช่ไหม?” หลังจากพูดเช่นนั้น ตฤณก็โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ทว่าทันใดนั้นเองที่ฝาหม้อสแตนเลสใบเล็กตกลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังกังวานไปทั่วห้อง ทั้งตฤณและนภทีป์ต่างชะงักเพราะเสียงนั้น รวมถึงภรัณยูที่กำลังทำอาหารอยู่ก็สะดุ้งหันมามองด้วยความประหลาดใจ

   รตินั่งไขว้ห้างอยู่บนชั้นวางพลางยิ้มเยาะคนที่เสียโอกาสงาม ๆ

   ภรัณยูดูจะตกใจอยู่เล็ก ๆ ที่หันมาเจอเข้ากับภาพของตฤณและนภทีป์ที่ใกล้ชิดกันเสียจนพาให้คิดไปไกล และยิ่งตกใจมากขึ้นที่ตฤณดูจะไม่ได้ใส่ใจสายตาของเขาสักนิด เพราะอาการชะงักคงอยู่เพียงไม่กี่วินาที และเมื่อเวลาเริ่มเดินต่อ เจ้าตัวก็ไม่รอช้าที่จะออกแรงดึงตัวนภทีป์เข้าประชิดก่อนแนบริมฝีปากจูบอย่างรวดเร็ว

   คนอื่น ๆ ทั้งนภทีป์ ภรัณยู และรติต่างตกตะลึงพรึงเพริดกับการกระทำอันอุกอาจไม่เกรงกลัวต่อสายตาประชาชี จนกระทั่งตฤณปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ บรรยากาศของห้องก็ยังตกอยู่ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่ง

   “ค...”

   “แล้วผมจะมาเยี่ยมอีก ถึงผมจะติดงานวันธรรมดาก็เถอะ” ชายหนุ่มหยุดคำพูดของนภทีป์ด้วยปลายนิ้วที่เกลี่ยบนริมฝีปากที่ยังเผยอค้าง “สอนให้สนุกนะครับ ที...” และแถมรอยจูบอีกรอยบนแก้มหลังคำลาก่อนจากไปพร้อมกับเสียงประตูที่ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นจากภวังค์

   ทั้งภรัณยูและนภทีป์ไม่มีใครกล้าขยับตัวหรือเปล่งเสียงใด ๆ มีเพียงรติเท่านั้นที่พะงาบ ๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่พูดไม่ออก

   “...อ...อาหาร...เสร็จแล้วนะครับ” คนที่ทำลายความเงียบก่อนคือภรัณยู ชายหนุ่มพูดเช่นนั้นก่อนจะรีบหมุนตัวกลับไปยังกระทะและช้อนใส่จานด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ

   สุดท้ายนอกจากประโยคนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอื่นเลยจนกระทั่งต่างคนต่างจัดการมื้ออาหารของตนจนเสร็จเรียบร้อย กระทั่งรติยังนั่งเงียบไม่ไหวติงเหมือนยังช็อคไม่หาย ถึงอย่างนั้นการที่นภทีป์กินได้น้อยกว่าปกติก็ทำให้ภรัณยูอดทักขึ้นมาไม่ได้

   “ไม่หิวหรือครับ?”

   “...ก็ประมาณนั้น”

   “...คุณที ผมถามอะไรได้ไหม?” เมื่อเห็นว่านภทีป์ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธเขาจึงพูดต่อ “คือ...ผมก็ไม่ได้รังเกียจเรื่อง...แบบนั้น หมายถึง...ถ้าคุณกับเขาเป็นอะไรที่...มากกว่าที่ผมคิดไว้ผมก็จะไม่มองคุณต่างไปจากเดิม ดังนั้นผมอยากจะให้คุณตอบผมตามตรง เพราะผมรู้สึกเป็นห่วง ทั้งเรื่องที่คุณมีท่าทีแปลก ๆ แล้วก็หลาย ๆ อย่าง และถ้าผมก้าวก่ายมากเกินไปผมก็ขอโทษด้วย”

   นภทีป์ชั่งใจอยู่สักพักก่อนที่รติจะสะกิดแล้วพยักหน้า

   “ถ้าฉันตอบได้จะตอบก็แล้วกัน”

   ภรัณยูถอนหายใจเบา ๆ เพราะเมื่อครู่นึกกลัวอยู่ในใจว่าจะถูกปฏิเสธและถูกกีดกันอีก เขายังคงจำช่วงแรก ๆ ได้ที่ไม่ว่าจะพูดอะไรก็เหมือนจะทำให้อีกฝ่ายโมโหอยู่เสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนภทีป์ก็อ่อนข้อให้มากขึ้น กระนั้นตฤณก็ทำให้เจ้าตัวตกอยู่ในสภาพคล้ายกับเมื่อราว ๆ สองเดือนก่อน ทำให้เขานึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อยกับปฏิกิริยาตอบรับที่แปรปรวนเหมือนพายุ

   “คุณกับตฤณ...เอ่อ...”

   “ใช่” อาจจะเป็นเพราะอาการอ้ำอึ้งของคนถาม นภทีป์จึงตอบให้อย่างรวดเร็วเพราะไม่รู้ว่าถึงขั้นนี้แล้วจะปิดบังต่อไปทำไม “และไม่ใช่”

   ...?

   ชายหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้วหลังได้รับคำตอบที่คล้ายจะชัดเจนแต่ก็คลุมเครือ

   “หรือว่า...จะเกี่ยวกับรูปภาพรูปนั้น?” เป็นคำถามที่เมื่อภรัณยูพูดออกไปเจ้าตัวก็รู้สึกทันทีว่าตนเองได้ทำสิ่งที่โง่มาก เพราะสีหน้าของนภทีป์เปลี่ยนจากกระแกกระอ่วนกลายเป็นเศร้าหมองก่อนเจ้าตัวจะทำเสมือนกำลังกล้ำกลืนก้อนความรู้สึกบางอย่างลงคอไปและเปลี่ยนสีหน้ากลับเป็นเหมือนเดิม

   “ไม่ใช่...เขาไม่รู้จักภาพนั้นด้วยซ้ำไป ที่จริงแล้ว นายเป็นคนแรกที่พูดถึงมันกับฉัน”

   ภรัณยูนึกว่าเขกหัวตัวเองขึ้นมาตงิด ๆ

   มันก็ไม่น่าจะใช่อยู่แล้วเพราะภาพนั้นนภทีป์วาดขึ้นสมัยมัธยมต้น ตอนนั้นเจ้าตัวไม่น่าจะรู้จักกับตฤณ เพราะจากปากคำของตฤณที่พูดถึงเหตุผลที่มาเรียนกับนภทีป์ นั่นเป็นเพราะอยากจะพัฒนาฝีมือตัวเองให้สามารถอยู่ในวงการมืออาชีพได้ แสดงว่าทั้งสองต้องอายุมากพอจะคิดเรื่องเหล่านี้แล้วจึงได้มาพบกันโดยที่ภรัณยูยังไม่รู้ว่าไปพบกันได้ยังไงและเมื่อไหร่

   “พวกเราคบกันอยู่ระยะหนึ่ง...ไม่ได้ยาวนักหรอก ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องหลังจากที่เขามาเรียนกับฉัน และ...ฉันก็โอนอ่อนไปตามความเอาแต่ใจของเขา”

   ดูเหมือนว่า...ก่อนเขาจะพบกับนภทีป์ เจ้าตัวเคยเป็นคนขี้ใจอ่อนเอาเรื่อง เพราะตฤณมีบุคลิกที่เอาใจตัวเองเป็นหลัก การอยู่กับคนแบบนั้นได้ต้องใจเย็นพอสมควร หรือไม่ก็ปล่อยให้อีกคนทำตามใจไปโดยพยายามไม่เอามาเป็นอารมณ์มากนัก สำหรับนภทีป์คงเป็นกรณีหลัง คือปล่อยอีกคนทำตามใจอยาก ส่วนตัวเองก็แค่ปล่อยทุกอย่างเลยตามเลย แต่...จากประโยคนั้นมันหมายถึงว่าทั้งสองคนเลิกรากันไปแล้วหรือ?

   ทำไมกันล่ะ?

   หรือว่านภทีป์จะเกิดหมดความอดทนขึ้นมา? เพราะท่าทางของตฤณไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเจ้าตัวเป็นฝ่ายบอกเลิก ดังนั้นคงจะเป็นนภทีป์ที่ขอเลิก

   “แล้วพวกคุณสองคน...”

   “เอาเป็นว่าตอนนี้ไม่ใช่ก็แล้วกัน” เจ้าตัวตัดบทเอาดื้อ ๆ เพราะคร้านจะยืดเยื้อกับประเด็นนี้ ที่จริงแล้ว นภทีป์กำลังเริ่มสงสัยตัวเองว่าทำไมในชีวิตเขาถึงมีแต่เรื่องที่พูดถึงแล้วไม่มีความสุข และหลาย ๆ ครั้งก็ไม่อยากจะพูดถึงอดีตสักเท่าไหร่ ทั้งที่คนอื่น ๆ รู้สึกดีทุกครั้งที่เล่าถึงประสบการณ์ในวันวานของตนกันทั้งนั้น

   “เขาคงจะยังชอบคุณมากนะครับ” เพราะหากไม่ได้รักชอบ ก็คงจบกันแล้วจบกันไป เหมือนกับเขาและวริยา...ที่คบกันได้เพียงไม่นานต่างคนต่างก็เข้าใจว่าพวกเขาไม่อาจไปกันได้เลย ไม่ใช่ว่านิสัยเข้ากันไม่ได้แต่เหมือนใจเป็นได้แค่เพื่อน ดังนั้นการที่ตฤณยังกลับมาหาและตั้งตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกทั้งพยายามจะคืนดีอย่างนี้ ไม่น่าจะตีความเป็นอื่นไปได้...

   นภทีป์เงียบไปนานก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่งสั้น ๆ

   “ถ้านายคิดแบบนั้นก็ตามใจ แต่สำหรับฉันอาจจะต้องดูต่อไปอีกหน่อย”

   ดูต่อไปอีกหน่อย?

   แปลว่าตั้งใจจะคืนดีด้วยเพียงแต่ต้องการความมั่นใจหรือ?

   ภรัณยูเริ่มสงสัยขึ้นมารำไรว่าทั้งสองคนเลิกรากันไปด้วยเหตุใด เพราะเรื่องการนอกใจหรือว่าความห่างเหิน...เพราะดูเหมือนตฤณเองก็เพิ่งกลับมากรุงเทพ แปลว่าก่อนหน้านี้ไปอยู่ต่างจังหวัดมาหรือไม่ก็อาจจะต่างประเทศ เขาเองก็เคยได้ยินอยู่บ่อย ๆ ว่าระยะทางเป็นสาเหตุได้เหมือนกัน

   กระนั้นการที่ได้ยินว่านภทีป์ยังคงมีเยื่อใยให้ตฤณอยู่หลายส่วนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกขุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย ครึ่งหนึ่งอาจจะเพราะเขาไม่ค่อยชื่นชอบตฤณนัก แต่อีกเหตุผล...เขายังคงไม่มีคำตอบ ได้แต่บอกกับตนเองว่ามันคือความสนใจในตัวนภทีป์เหมือนกับตอนที่หลงใหลในภาพวาดภาพนั้น และยังรวมกับความห่วงใยที่มีต่อคนรู้จัก มันน่าจะมากพอที่จะทำให้รู้สึกเช่นนั้นขึ้นมาได้บ้าง

   “นายจะไม่ถามหรือว่าทำไมถึงเลิกกัน?”

   คำถามที่ภรัณยูหลีกเลี่ยง นภทีป์กลับพูดขึ้นมาด้วยตัวเอง และเมื่อถูกมองกลับด้วยสายตาแสดงความสนเท่ห์ ชายหนุ่มร่างเล็กก็เกิดหน้าแดงวูบและบอกปัดทันที

   “ช่างมันเถอะ ฉันก็แค่สงสัย”

   “ถ้าคุณอยากจะตอบ ผมก็อยากถามนะ” ภรัณยูยิ้มบาง

   “ฉันไม่อยากตอบ เก็บของได้แล้วจะได้ฝึกต่อ” หลุดปากไปแล้วแต่พอถูกถามความมั่นใจนภทีป์ก็กลับถอยฉากอย่างรวดเร็ว ผู้ถามจึงจำต้องยินยอมทำตามคำสั่งโดยไม่ติดใจเอาความเพราะเขาเองก็ไม่ได้คิดจะไล่ต้อนให้จนมุมแต่แรก รติที่เฝ้ามองอยู่รู้สึกสนุกขึ้นมานิดหน่อยกับปฏิกิริยาที่ดูจะสปาร์คกันติดบ้างไม่ติดบ้างแต่ก็ยังมีประกายไฟให้เห็นอยู่นิด ๆ พอคาดหวังได้

   แต่สายตาเป็นประกายวิบวับของรติไม่ได้ทำให้นภทีป์รู้สึกดีด้วยสักนิด

------------------------------------->

   เสียงฝนตกดังเข้ามาเมื่อเจ้าของห้องเงยหน้ามองนาฬิกาและพบว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว การที่เสียงฝนดังเข้ามาถึงด้านในได้แปลว่าคงตกหนักมากทีเดียว นภทีป์มุ่นคิ้วและชะเง้อมองออกไปด้านนอกผ่านระเบียงเล็ก ๆ ที่มีผ้าม่านบดบังทัศนียภาพไปบางส่วน สายฝนที่ตกลงมาค่อนข้างถี่แต่ไม่มีวี่แววว่าจะหนักกว่านี้ ชั่วขณะที่คิดเช่นนั้นมันก็กลับเพิ่มความรุนแรงในทันทีราวกับกลั่นแกล้ง

   “นี่มันยังไม่หมดหน้าร้อนเลยไม่ใช่หรือไงกัน?” เขาเปรยลอย ๆ กับตัวเอง

   “พายุเข้าน่ะครับ เมื่อวานผมได้ยินข่าวพยากรณ์อากาศอยู่ แต่ไม่คิดว่าจะเข้ามาถึงที่นี่เร็วขนาดนี้” ภรัณยูมองออกไปด้านนอกด้วยสายตาแสดงความกังวล เพราะตอนนี้ใกล้จะถึงเวลากลับบ้านแล้ว แต่ถ้าฝนตกหนักเขาคงจะกลับตามเวลาไม่ได้เพราะไม่ได้ติดร่มมาด้วย

   “แล้วนายจะกลับบ้านยังไงกันล่ะ? บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ให้ค้างหรอกนะ” นภทีป์รีบกันท่าไว้ก่อน เพราะเขารู้สึกเหมือนรติกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่จากท่าทางระริกระรี้ที่ผิดปกติ และเมื่อพูดออกไปอย่างนั้น รติก็ทำแก้มป่องและมุ่นคิ้วอย่างขัดอกขัดใจ

   ภรัณยูหัวเราะ

   “แต่พรุ่งนี้ผมก็ต้องมาที่นี่ตอนเช้าอยู่ดี ถ้าวันนี้ต้องกลับดึกเพราะติดฝนแล้วมาเช้าพรุ่งนี้ผมจะขาดทุนเอาน่ะสิ” เขาเริ่มเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ไม่ได้จริงจัง

   “นายไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยน แปรงสีฟัน ผ้าขนหนูอีก” ทันทีที่นภทีป์อ้างเช่นนั้น ใบปลิวใบหนึ่งก็ตกลงมาจากลังที่กระดาษใช้แล้วกองทับกันอยู่ในลักษณะหมิ่นเหม่ ใบปลิวที่ทำจากกระดาษอย่างดีพิมพ์สีสวยงามเลื่อนตัวไปบนพื้นอีกเล็กน้อยก่อนจะสงบนิ่ง แต่ภรัณยูก็เห็นการเคลื่อนไหวของมันและขยับไปหยิบขึ้นมาก่อนยิ้มกว้างเพราะมันคือใบปลิวของห้างสรรพสินค้าข้าง ๆ นี้เอง แม้สิ่งที่นภทีป์ว่ามาจะไม่ใช่รายการลดราคาและไม่ปรากฏในใบปลิว แต่ก็สามารถหาซื้อได้ทั้งหมดจากที่นั่น

   เจ้าของห้องอ้าปากค้างเพราะชะงักจากการหาข้ออ้าง ก่อนจะถลึงตามองเจ้าเพื่อนในจินตนาการตัวดีที่นอนเท้าคางอยู่บนกองกระดาษ

   “ฉันให้นายยืมร่มก็ได้!”

   “แบบนั้นผมก็มีสิทธิที่จะป่วยเพราะละอองฝนอยู่ดี ผมจะโทรบอกที่บ้านว่าขอค้างที่นี่” ภรัณยูตัดสินใจโดยไม่ฟังเสียงเจ้าของห้องแม้แต่น้อย เสียงหัวเราะของรติแว่วมากระทบโสตประสาทนภทีป์ที่ได้แต่มองตามนักเรียนของตนซึ่งกำลังเดินไปหาเป้เพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ

   “นายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!?” เขาหันไปถามรติแล้วรีบผลุนผลันลุกตามภรัณยู “เดี๋ยวก่อน! ฉันยังไม่ได้อนุญาตเลยนะ!”

   “ก็ผมไม่มีทางเลือกแล้วนี่ครับ ผมต้องไปทำงานทุกวันแล้วก็มาเรียนในวันหยุด ก็ต้องดูแลร่างกายตัวเองให้พร้อมมากกว่าปกติ คุณเองก็คงไม่อยากให้ผมป่วยจนมาไม่ไหวจริงไหมล่ะครับ?” เจ้าของร่างสูงใหญ่ส่งคำถามกลับมาด้วยสีหน้าจริงจังและซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยม แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะหลงลืมประเด็นบางอย่างไปที่ทำให้นภทีป์รู้สึกกระอักกระอ่วนจนถึงตอนนี้

   “ฉันเคย...คบกับผู้ชายนะ...” เขาจำต้องเปิดประเด็นนี้ทั้งที่ไม่อยาก ทั้งนี้เพื่อเตือนให้ภรัณยูรู้ว่าพวกเขาไม่สมควรจะใกล้ชิดกันมากเกินควร

   อีกฝ่ายเงียบไปหลังจากนภทีป์พูดประโยคนั้นออกมาก่อนจะกลอกตารอบหนึ่งและยกมือเกาท้ายทอยอย่างที่ทำอยู่ประจำ

   “ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียหายอะไร”

   หา?

   นภทีป์มุ่นคิ้วขณะที่ภรัณยูพูดต่อเสมือนว่าหัวข้อนี้เป็นเรื่องแสนปกติธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป

   “ถึงคุณจะเคยคบกับใครมา ผมก็ไม่คิดว่าคุณน่ารังเกียจหรือเป็นคนประหลาดหรอก อีกอย่าง ผมว่ามันทำให้คุณดูเป็นคนธรรมดามากกว่าที่ผมคิดไว้”

   “ม...หมายความว่ายังไง?” ไม่รู้ว่าทำไม แต่ประโยคหลังทำให้ผู้ฟังรู้สึกตงิด ๆ อยู่ในใจโดยไม่ทราบสาเหตุ เหมือนกำลังถูกเหน็บแนมชอบกล

   “ก็คุณทีน่ะ ตอนแรกดูหดหู่และเหมือนตั้งกำแพงอยู่ตลอดเวลา มอง ๆ ไปคล้ายป้อมปราการที่พร้อมยิงจรวดนำวิถีใส่ข้าศึกทุกวินาที แต่ต่อมาพอเข้าไปในกำแพงได้ก็เจอเข้ากับค่ายกักกันเชลย ออกนอกลู่ทางทีไรเป็นต้องโดยดุเอาทุกที จะว่าเหมือนมีดาบปลายปืนจ่อจะทิ่มคอหอยก็ใกล้เคียงอยู่ ถ้าให้พูดรวม ๆ ก็เหมือนกับเมืองเล็ก ๆ ที่มีอาวุธครบมือและไม่ยอมให้ใครผ่านเข้ามาได้โดยง่ายนั่นแหละครับ” ภรัณยูเปรียบเทียบด้วยสีหน้าครุ่นคิดและกลอกตาไปมาเป็นบางครั้ง “แต่ว่า...ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะไม่มีหัวใจเหมือนคนปกติแน่ ๆ ดังนั้นการที่คุณทีสามารถมีความรักกับใครสักคนได้ก็แสดงว่าเนื้อแท้แล้วคุณเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง”

   การเปรียบเทียบของภรัณยูทำให้ทั้งนภทีป์และรติอึ้งไปตาม ๆ กัน ก่อนที่รติจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาจนสุดเสียงและไม่แคร์สายตาใครเพราะไม่มีใครได้ยินหรือเห็นตัวเองอยู่แล้ว มีแต่นภทีป์เพียงคนเดียวที่ทั้งฉุนทั้งอายจนแทบแทรกแผ่นดิน

   “หุบปากไปเลยนะ!” เขาหลุดปากตวาดใส่รติ

   “อ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะ...”

   “นายก็ด้วย!” ภรัณยูถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อนภทีป์ตวาดขึ้นมาอีกคำรบหนึ่งแต่เหมือนกำลังดุคนสองคนในเวลาเดียวกันทั้งที่มีเขาเพียงคนเดียว กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจจะแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น กลับถลันเข้าไปแย่งยื้อโทรศัพท์มือถือของภรัณยูที่เจ้าของตั้งใจจะโทรกลับบ้าน “พอแล้ว! ถ้าคิดจะล้อเล่นกับฉันนายก็กลับไปเลยไป ฝนจะตกแดดจะออกฉันก็ไม่สนใจแล้ว!”

   ทุกถ้อยคำของนภทีป์ดูเหมือนจะโกรธเคืองอย่างจริงจัง ซึ่งหากเป็นภรัณยูในตอนแรกที่พบกันคงจะรีบล่าถอยออกไปอย่างว่องไวเหมือนตอนที่ถูกตวาดเรื่องภาพวาดและถุงยางอนามัย ทว่าการใกล้ชิดเป็นเวลานานทำให้เขาสามารถแบ่งอาการตวาดของนภทีป์ได้เป็นสองแบบคือ ตวาดเพราะโกรธ และ ตวาดเพราะอาย ซึ่งแบบหลังนั้นมักจะแถมเอฟเฟคสีแดงของเลือดฝาดบนแก้มด้วยเหมือนอย่างในเวลานี้

   คนตัวสูงกว่าอาศัยความได้เปรียบของร่างกายยืดแขนขึ้นจนสุดทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถยื้อแย่งของในมือได้ นภทีป์ยิ่งโมโหที่เจ้าเด็กเมื่อวานซืนกล้าดื้อแพ่งใส่แบบนี้จึงโถมตัวเข้าใส่จนเกือบจะเสียหลักไปทั้งคู่ ภรัณยูโอบแขนตัวเองรอบเอวบางเพื่อป้องกันอีกฝ่ายจะล้มใส่โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก

   “ผมรู้แล้ว ๆ ผมขอโทษ” เขาพูดเช่นนั้นพร้อมหัวเราะร่า เป็นครั้งแรกที่นภทีป์กับเขาตอบกันในลักษณะนี้และมันทำให้รู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “เวลาคุณโกรธแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบแฮะ”

   ...

   “...จ...!” นภทีป์หน้าแดงแทบจะใกล้เคียงลูกตำลึง และเมื่อเจ้าตัวเงื้อหมัดขึ้น รติก็รีบยกมือปิดตาทันที เขาไม่อยากเห็นฉากนี้เลยจริง ๆ ให้ตายสิโรบิน “เจ้าบ้า!” เสียงด่าสั้น ๆ ดังขึ้นพร้อมกับเสียกำปั้นกระทบใบหน้าอย่างจัง ตามด้วยเสียงโอดครวญของเจ้าของใบหน้าผู้โชคร้ายซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ในวินาทีนั้นเองว่าคำใดเป็นคำต้องห้ามสำหรับผู้ชายคนนี้

TBC

โอ้ คุณพระ มัวแต่นั่งทำพอร์ตสมัครงาน ลืมอัพนิยาย :'D

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 11 (15/07/13)
«ตอบ #39 เมื่อ15-07-2013 17:03:55 »

-11-


   ผ้าชุบน้ำเย็นสัมผัสบนรอยช้ำเขียวพาให้ทั้งร่างสะดุ้งไหวด้วยความเจ็บที่แล่นปราดถึงก้านสมองก่อนจะกลั่นออกมาเป็นเสียงครางในคอที่ลอดไรฟันให้ได้ยินเพียงเล็กน้อย ครั้งสุดท้ายที่เขาเคยได้รอยช้ำแบบนี้มันเมื่อไหร่กันนะ อาจจะไม่เคยเลยก็ได้เพราะเท่าที่จำได้เขาไม่เคยมีเรื่องวิวาทกับใคร และพวกลูกบาสลูกบอลก็ไม่เคยอัดใส่เบ้าตาเขาอย่างจังขนาดนี้

   ภรัณยูรู้สึกเวทนาตัวเองขึ้นมาเมื่อเปิดตาข้างที่เหลือมองคนที่กำลังประคบให้ตนเองด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เจ้าตัวเพิ่งจะอนุญาตให้เขาค้างที่นี่ได้โดยที่เหตุผลไม่ได้เกี่ยวกับสายฝนที่เพิ่งซาลงไป แต่เป็นเพราะรอยช้ำบนใบหน้าของเขาที่อาจจะทำให้ทางบ้านตกใจแม้มันจะไม่ได้ดูน่ากลัวมากนักก็ตาม

   “ให้ตายสิ” นภทีป์สบถสั้น ๆ แล้วผละออกหลังจากให้ภรัณยูจับผ้าประคบด้วยตัวเอง

   “ผมควรจะเป็นคนพูดคำนั้นมากกว่านะ” คนเจ็บร้องอุทธรณ์ “หวังว่าวันจันทร์มันจะจางลง ไม่อย่างนั้นผมต้องโดนเจ้าวิชกับชลถามซักไซ้แน่ แต่นั่นมันก็คงหลังจากที่พ่อแม่และน้องสาวซักไปแล้วคนละรอบล่ะนะครับ” ว่าจบภรัณยูก็หัวเราะให้ตัวเอง

   “นายหาเรื่องเองนะ” นภทีป์กล่าวก่อนจะกอดอกแล้วเสมองรติที่ยังขำไม่หยุด เขานึกสงสัยจริง ๆ ว่าเจ้าตัวแบบนี้จะขำจนขาดใจตายได้ไหม

   “ถ้าหากมันเป็นแผนการของผมล่ะ? เพื่อที่จะได้ค้างกับคุณ”

   หืม?

   ชายหนุ่มเจ้าของห้องมุ่นคิ้วอย่างเคร่งเครียดขณะจ้องมองเจ้าของประโยค แต่แล้วในนาทีต่อมาเจ้าตัวก็ส่ายศีรษะ

   “นายไม่เหมือนตฤณสักนิด อย่างนายน่ะคิดอะไรแบบนั้นออกมาไม่ได้หรอก”

   “แปลว่าเขาเคย...หรือเปล่าครับ?”

   “ก็ประมาณนั้น” พร้อมกับการตอบคำถาม นภทีป์ก็ลุกขึ้น “ฉันจะไปเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้ แต่พอดีห้องฉันไม่มีโซฟาแบบในการ์ตูนหรือนิยาย ดังนั้นนายนอนบนพื้นไปก็แล้วกัน”

   ภรัณยูมองพื้นห้องที่ไม่ได้น่านอนเอาเสียเลย ซ้ำยังมีบริเวณให้ยืดตัวแค่ไม่มากเพราะเกรงจะไปถีบเอากองกระดาษเข้าและพวกมันอาจถล่มลงมาทับเขาตายก็ได้ ชายหนุ่มวางผ้าที่ใช้ประคบตาไว้บนตักเพราะความเย็นของผ้าหายไปหมดแล้วเพราะความอุ่นจากมือและเบ้าตาของเขา กระนั้นมันก็ช่วยได้ดีพอสมควร ตอนนี้เบ้าตาไม่รู้สึกปวดมากแล้วแต่เวลาเปิดเปลือกตาก็ยังรู้สึกขัด ๆ อยู่

   เขาเดินไปห้องน้ำเพื่อดูว่าใบหน้าตนเองเป็นเช่นไร ตอนที่หลอดไฟสว่างขึ้น ภาพใบหน้าก็ปรากฏบนกระจก และมันดูไม่ได้แย่อย่างที่คิด คงต้องขอบคุณนภทีป์ที่ไม่ใช่คนเรี่ยวแรงเยอะและไม่เคยต่อยตีอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ทำให้มันแค่บวมช้ำเล็กน้อยและน่าจะหายในเวลาไม่นาน

   ชุดแปรงฟันที่หน้ากระจกเตือนให้ชายหนุ่มนึกได้ว่าตนเองยังไม่ได้ซื้อสิ่งที่ควรจะซื้อเลย...

   “คุณที ผมจะออกไปห้างสักเดี๋ยวก่อนที่มันจะปิด” เขาตะโกนบอกแล้วเดินไปทางประตู

   “เดี๋ยวสิ นายจะออกไปทั้งที่ตาบวมแบบนั้นน่ะนะ?” นภทีป์ซึ่งขนหมอนและผ้าห่มออกมาพอดีรีบเดินเข้ามารั้งไว้และมองพิจารณาใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความกังวลว่าคนข้างนอกจะเข้าใจผิดว่าตนเองชื่นชอบการทำร้ายร่างกายลูกศิษย์ลูกหา

   “ผมแค่จะออกไปซื้อแปรงสีฟันกับเสื้อผ้าสักชุด อย่างน้อยก็...กางเกงใน...”

   ...

   “...ก็ได้...นั่นมันของจำเป็นนี่นะ...” นภทีป์จำยอมด้วยเหตุผลและเดินออกไปสวมรองเท้า “ฉันจะไปด้วยก็แล้วกัน แต่แค่ไปเดินเป็นเพื่อนเท่านั้นนะ”

   ภรัณยูยิ้มบางแล้วรับคำอย่างง่าย ๆ คืนนั้นหลังจากซื้อของเสร็จ พวกเขาก็คุยกันเรื่องพัฒนาการของตัวภรัณยูอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน ชายหนุ่มหันศีรษะไปทางโต๊ะคอมพิวเตอร์ของนภทีป์ ประตูที่เปิดสู่ห้องนอนของนภทีป์อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก เขาเห็นอีกฝ่ายนอนอ่านหนังสือโดยไม่ได้หลับไปในทันที แต่หลายครั้งที่แอบเหลือบมองมายังเขาเช่นกันแต่ทุกครั้งเขาก็จะทำเป็นนอนหลับไปแล้วและลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อฝ่ายนั้นหันกลับไปอ่านหนังสือเช่นเดิม กระทั่งตัวเจ้าของห้องปิดไฟเข้านอน ภรัณยูจึงได้หลับตาลงและหลับไปจริง ๆ

------------------------>

   “แกไปเดินชนหมัดใครเข้าน่ะ?” ถ้อยคำทักทายแรกของวันช่างน่าประทับใจ ภรัณยูมองชลชาติพลางยิ้มแหยเพราะรู้ว่าตัวเองคงหนีคำถามไม่พ้น รอยช้ำที่ควรจะหายก่อนวันจันทร์กลับจางหายไปไม่มากอย่างที่คิด ภรัณยูจงใจหลบหน้าพ่อกับแม่ด้วยการกลับดึกในวันอาทิตย์ซึ่งโชคดีที่สามารถหลบสายตาของพิณาลัยได้ด้วย กระนั้นเขาก็ไม่สามารถหลบจากเพื่อน ๆ ของตนเองพ้น

   “คงไม่ใช่ว่าไปลวนลามสาวเลยโดนชกเข้าให้หรอกนะ?” วิชชุกรว่าพลางดันแว่นที่เพิ่งตัดให้เข้าที่ ซึ่งมันกลายเป็นส่วนประกอบที่ทำให้คำพูดเจ้าตัวดูน่าหมั่นไส้ขึ้นอีกระดับหนึ่ง

   ภรัณยูได้แต่หัวเราะโดยไม่กล้าตอบความจริง เพราะหากบอกว่านภทีป์เป็นคนชก ต้องโดนถามแน่ ๆ ว่าไปทำอะไรเข้า ซึ่งคำตอบของเขาอาจจะทำให้เพื่อน ๆ มองกลับมาด้วยสายตาแปลกประหลาดได้ สองคนนี้คงไม่เข้าใจหรอกกระมัง...ความรู้สึกที่อยากแหย่ผู้ชายด้วยกันน่ะ...

   เสียงเคาะคีย์บอร์ดดังเป็นจังหวะตลอดช่วงที่ภรัณยูเงียบไป ทำให้วิชชุกรและชลชาติละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังพิมพ์โปรเจควิจัยของช่วงฝึกงานขึ้นมามองหน้ากัน สายตาของพวกเขากำลังถามกันและกันว่าเพื่อนของพวกเขากำลังแอบมีความลับเรื่องชู้สาวหรือเปล่า โดยเฉพาะการอมยิ้มกับตัวเองแบบนั้นมันเหมือนท่าทางของผู้ชายที่มีปั๊ปปี้เลิฟเลยไม่ใช่หรือ?

   “พวกแกมองหน้าฉันทำไมกัน?” ภรัณยูเงยหน้าขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเงียบผิดปกติ

   “อ...เอ้อ...เปล่า ๆ ฉันกำลังดูว่าไอ้วิชมันเขียนอะไรในรายงานบ้าง” ชลชาติรีบปฏิเสธ

   “แล้วแกจะมาดูของฉันทำไมวะ ส่วนของแกมันคือโปรเจคแรกไม่ใช่หรือไง?” วิชชุกรผลักชลชาติให้กลับไปที่ของตัวเอง “อีกอาทิตย์เดียวก็ได้หยุดแล้วสินะ พอเปิดเรียนก็ต้องเตรียมเรื่องโปรเจคจบกับรายงานผลการฝึกงานอีก” เจ้าตัวยืดแขนขึ้นเพื่อคลายความเมื่อยขบ

   “แล้วไม่ต้องออกภาคสนามแล้วหรือ?” ภรัณยูเลิกคิ้ว เพราะตอนรับโปรเจคมา วิชชุกรเป็นคนจัดตารางงานและระยะหลังเขาก็แค่เดินตามตารางของเพื่อนไปโดยไม่ได้ถามว่างานเสร็จสิ้นเมื่อไหร่

   “ฉันกำลังทำบทสรุปแล้วเดี๋ยวจะไปคุยกับพี่หัวหน้าแผนกนี่แหละ ถ้ามันครบสมบูรณ์แล้วก็ไม่ต้องออก แต่ถ้ายังขาดเรื่องผลอยู่ก็ต้องออกอีกสักวันก็น่าจะครบพอดี” วิชชุกรดันแว่นตัวเองอีกครั้งพลางมุ่นคิ้วเพราะยังไม่เคยชิน “แล้วแกเขียนส่วนแรกของรายงานไปถึงไหนแล้ว?”

   “ก็ใกล้เสร็จแล้วล่ะ มีข้อมูลอยู่แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง อย่างว่า ใครจะให้ข้อมูลเชิงลึกของบริษัทกับพวกเด็กฝึกงานกัน แค่โครงสร้างบริษัทยังมีแต่พนักงานในแผนกเลย” ชายหนุ่มไหวไหล่แล้วหันไปมองชลชาติซึ่งกำลังไล่นิ้วไปบนแผ่นกระดาษที่ใช้บันทึกผลของโปรเจคแรกไว้ “หลังจากจบฝึกงานแล้วพวกแกจะไปเที่ยวกันสินะ? ระวังเลยเวลาลงทะเบียนเรียนเทอมหน้าล่ะ”

   “ก็แค่ 2-3 วันเท่านั้นแหละ ปฏิทินการศึกษามันออกมาแล้วนะ แกไม่ได้ดูหรือไง?”

   “ออกแล้วหรือ?”

   “ออกตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แกไปทำอะไรอยู่น่ะ?” วิชชุกรถามพลางเคาะปลายนิ้วบนปุ่มเอนเทอร์ ภรัณยูจึงนิ่งคิดไปสักพักหนึ่งและนึกได้ว่าช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาค่อนข้างจะให้ความสนใจกับเรื่องของนภทีป์มากกว่าเรื่องงานและการเรียน

   ถ้าเขาพูดออกไปแบบนี้ต้องโดนด่าแหง ๆ ...

   “ก็...เรื่องเดิม ๆ” เขาตอบอ้อมแอ้ม

   “งานวาดรูปน่ะหรือ? แล้วไปถึงไหนแล้วล่ะ?”

   “เรื่องนั้น...”

   “เอ้า ๆ ถ้ามีเวลาคุยกันขนาดนี้ท่าทางจะว่างกันนะ” พนักงานในแผนกซึ่งมีหน้าที่ดูแลเด็กฝึกงานเดินเข้ามาในห้องแล้วพูดเย้าแหย่ชายหนุ่มทั้งสาม “รายงานเป็นยังไงกันบ้าง หัวหน้าว่างแล้วนะแต่อีกเดี๋ยวจะมีประชุม ถ้าจะไปปรึกษาก็รีบหน่อยนะจ๊ะ”

   “หัวหน้าอยู่ได้ถึงกี่โมงครับ?” วิชชุกรหันไปสนทนากับผู้ดูแล ภรัณยูจึงหลุดพ้นจากคำถามที่เขาไม่กล้าตอบสักเท่าไหร่ และชลชาติก็ไม่ได้คิดจะซักไซ้แบบนั้นด้วย สิ่งที่เจ้าตัวสงสัยยังคงเป็นเรื่องที่ดูไร้สาระยิ่งกว่าเช่นเคย

   “ผู้หญิงที่ชกแกน่ะ สวยหรือเปล่าวะ?”

--------------------------->

   นภทีป์จ้องมองเสื้อยืดสีขาวที่กองอยู่ตรงมุมหนึ่งด้วยสายตาเหนื่อยใจ เสื้อตัวนี้เป็นไซส์ของผู้ชายตัวใหญ่ มันไม่มีทางเป็นของเขาได้อยู่แล้ว แน่นอนว่ามันเป็นของผู้ชายคนหนึ่งที่เคยมาค้างคืนและ...ลืมทิ้งเอาไว้ตอนที่เร่งรีบออกไปในตอนเย็นของวันอาทิตย์เมื่อมองออกไปและพบว่าฟ้ากำลังครึ้มลงจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน หากวันจันทร์ไม่ต้องไปทำงานเจ้าตัวคงไม่รีบถึงขนาดนั้น

   เฮ้อ...

   ก็ยังดีกว่าลืมกางเกงในแหละนะ...

   “นายกำลังคิดอยากให้เจ้านั่นลืมกางเกงในไว้แทนหรือเปล่า?” รติเอ่ยถามก่อนจะโดนเสื้อยืดสีขาวที่ยังมีกลิ่นเจ้าของสะบัดตัวคลุมเพราะแรงเหวี่ยง

   “ยิ่งวันยิ่งลามกนะนายน่ะ”

   “อย่าเพิ่งฉุนสิ ที” รติมุดออกมาจากเสื้อแล้วหัวเราะ “แต่เจ้านั่นคงดีใจนะที่นายซักเสื้อให้”

   “ใครบอกว่าฉันจะทำ?”

   “หรือนายจะทิ้งไว้แบบนี้จนถึงวันเสาร์? ฉันว่ามันจะสกปรกเกินไปหน่อยล่ะมั้ง” เจ้าของร่างกายเล็กจิ๋วทำหน้าอี๋แล้วพาตัวเองออกจากเสื้อด้วยท่าทางขยะแขยงที่เห็นได้ชัดว่าเสแสร้งแกล้งทำให้เกินจริงไปอย่างนั้น “แถมมันจะทำให้คิดได้ว่า...นายเขินอายเกินกว่าจะซักเสื้อผ้าให้เขาด้วยนะ”

   “แล้วทำไมฉันจะต้องเขินกับเรื่องซักเสื้อผ้าด้วย” นภทีป์เดินมาหยิบเสื้อขึ้นจากพื้นแล้วโยนลงไปในตะกร้าเตรียมซัก ซึ่งไม่ใช่เพราะประโยคหลังของรติ แต่เป็นเพราะเจ้าตัวทนไม่ได้ที่จะอยู่ในห้องซึ่งหมกเสื้อที่ยังไม่ซักไว้ตรงมุมหนึ่ง มันดูซกมกเกินไป...

   “แล้วนั่นนายจะออกไปไหนน่ะ?” รติเลิกคิ้วเมื่อเห็นนภทีป์เดินไปสวมรองเท้า

   “เดินดูอะไรนิดหน่อย”

   “เอ๋!? นายจะออกไปคนเดียว?”

   “มันแปลกหรือไง?” เจ้าของคำถามมุ่นคิ้ว ทำให้รติรีบส่ายหน้าพั่บ ๆ แล้วบินตามไปโดยไม่คิดจะทักอะไรอีก เพราะหากนภทีป์รู้ตัวว่านี่เป็นครั้งแรก...ที่เจ้าตัวออกจากห้องด้วยความเป้าหมายที่ไม่ได้สำคัญอะไร เจ้าตัวอาจจะหันหลังกลับเจ้าห้องทันทีก็ได้ ไม่ใช่จ่ายค่าอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่เพราะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหมดตู้ ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นปัจจัยสี่ขาดหายไปเลยแต่นภทีป์ยังคงยืนยันที่จะออกไปข้างนอก...เพียงลำพังโดยไม่ใช่เพราะภรัณยูตะล่อม...เพื่อที่จะเดินดูอะไรนิดหน่อย...

   หากให้เขาตอบคำถามของนภทีป์ล่ะก็...ใช่ มันแปลกมาก!

   ไอ้อาการฮิคิโคโมริมันหายไปเมื่อไหร่กัน!?

   แน่นอนว่ารติทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ในใจและปล่อยให้นภทีป์ทำตามความต้องการ ก้าวเท้าออกไปนอกประตูด้วยความตั้งใจของตัวเอง แค่ตัวคนเดียว...และไม่มีท่าทางหงุดหงิดใจเมื่อสัมผัสกับแสงแดดร้อนระอุและที่โล่งกว้างไร้หลังคากำบัง

   แต่...สุดท้ายจุดหมายของนภทีป์ก็จบลงที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดี...

   แม้จะน่าผิดหวังอยู่นิดหน่อยแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย

   นภทีป์เดินวนไปทีละแผนกอย่างใจเย็น ไม่ได้รีบร้อนหยิบของไปจ่ายเงินและกลับห้องอย่างเคย บางครั้งก็หยุดมองของบางอย่างเพื่อตัดสินใจก่อนโยนของบางชิ้นลงไปในตะกร้า รติร่อนลงไปนั่งด้านในตะกร้าและมองดูขนมขบเคี้ยวจำพวกเจลาติน ก่อนจะตามด้วยน้ำหวานเข้มข้นอีกขวดหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวก็เดินวนไปหาแผนกอื่นเหมือนเดินเล่นอย่างไร้จุดหมาย

   “จะจัดเลี้ยงหรือ?” เขาเอ่ยถามเพราะอดไม่ไหว

   “เปล่า ก็แค่นึกอยากกินขึ้นมา” นภทีป์ตอบก่อนสูดจมูกฟืดและยกมือขึ้นขยี้เบา ๆ เหมือนรู้สึกคันยิบ ๆ อยู่ข้างในจนน่ารำคาญ คงเพราะเครื่องปรับอากาศของห้างสรรพสินค้าที่เย็นจัดกว่าในห้องทำให้เขาคัดจมูก ปกติเขาก็เป็นโรคแพ้อากาศอยู่แล้วจึงไม่น่าแปลกใจอะไร ชายหนุ่มเดินต่อไปและหยิบกระดาษทิชชู่ห่อใหญ่ยัดใส่ตะกร้าเพราะนึกได้ว่าที่ห้องเหลืออีกไม่กี่ม้วน

   “ของมันชักจะเยอะแล้วนะ” รติขยับไปนั่งที่ขอบตะกร้าเมื่อห่อทิชชู่ถูกยัดใส่เข้ามาจนไม่มีที่ให้นั่ง “เฮ้ ๆ ! ช่วงนี้นายไม่มีงานเข้าเลยนะ เอาเงินที่ไหนมาซื้อพวกนี้ได้ล่ะเนี่ย!” เจ้าตัวโบกมือเล็ก ๆ ไปมาเมื่อเห็นนภทีป์กำลังจ้องมองไส้กรอกอย่างพิจารณา

   “เมื่อต้นเดือนคุณทินโอนเงินเข้ามาให้แล้วน่ะ”

   อ้อ...จริงสินะ เมื่อแรกรับปากจะสอนงานให้ภรัณยู อนุทินก็บอกว่าจะให้เงินรายเดือนเป็นค่าสอนส่วนหนึ่ง แต่ว่า...

   “เงินมัน...นอนอยู่ในธนาคารนะ...”

   คล้ายว่านภทีป์เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ จึงยืดตัวขึ้นจากตู้ใส่ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์และยืนนิ่งไปชั่วครู่จนกระทั่งพนักงานยื่นถุงไส้กรอกที่เพิ่งสั่งไปให้ ชายหนุ่มยื่นมือไปรับและหย่อนมันลงตะกร้า ระหว่างที่เดินออกมาจากบริเวณนั้นเจ้าตัวมองของในตะกร้าคล้ายตกในภวังค์

   ตอนแรกเขาแค่คิดจะมาซื้ออะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ทำไมของมันถึงได้เยอะแบบนี้ได้นะ...

   “นายเฝ้าของอยู่ตรงนี้แปบนึงแล้วกัน” อย่างไรหยิบมาแล้วก็คงต้องซื้อ นภทีป์จึงวางตะกร้าลงในมุมหนึ่งของห้างใกล้ ๆ กับแคชเชียร์และรีบเดินออกไปกดเงินที่ธนาคารซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

   รติกอดอก มองพฤติกรรมแปลกประหลาดนั้นอย่างไม่อาจเข้าใจได้ ที่จริงแล้วมันไม่แปลกที่จะซื้อของเยอะ ๆ เพราะการเดินซื้อของโดยไม่กำหนดเป้าหมายมักจะจบลงแบบนี้เสมอ มันเป็นเรื่องปกติสามัญของการช็อปปิ้ง แต่ที่แปลกคือ...นภทีป์ไม่เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้มาก่อนเลย อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาที่เขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับอีกฝ่าย คงเพราะแต่ไหนแต่ไรนภทีป์มักจะคิดมากก่อนที่จะลงมือทำ หลาย ๆ ครั้งจึงคิดจนไม่ได้ทำ กระทั่งการซื้อของก็คิดรายการไว้ในใจและซื้อเท่าที่คิดเท่านั้น

   แบบนี้...มันเรียกว่าใจลอยหรือเปล่า?

   เขาไม่ทันจะได้คำตอบให้คำถามของตัวเอง นภทีป์ก็กลับมาเสียแล้วพร้อมกับเงินที่เพียงพอกับค่าสินค้า เจ้าตัวรีบยกตะกร้าออกไปชำระเงินโดยไม่เดินดูอะไรต่ออีก เพราะเกรงว่าหากเดินต่อคงจะซื้อของมากขึ้นแน่ ๆ แม้แต่นภทีป์เองก็ยังสงสัยว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ตอนที่หยิบแต่ละชิ้นขึ้นมา...

   ขณะที่ฟังเสียงติ๊ด ๆ ของเครื่องสแกนบาร์โค้ด นภทีป์ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังตู้ไอศกรีมและเห็นไอศกรีมแบบเดียวกับที่ภรัณยูซื้อประจำ

   ซื้อไปสักอันให้เจ้านั่นแล้วกัน...

   ขณะที่คิดเช่นนั้นและเอื้อมมือลงไปหยิบ นภทีป์ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาคิดอะไรตอนที่ซื้อของเหล่านั้น ใช่...เขาคิดว่า...บางทีภรัณยูอาจจะชอบก็ได้ เพราะมันคือของที่เขาชอบเช่นกัน...

   นภทีป์หดมือกลับจากตู้ไอศกรีมและยกขึ้นปิดปากตนเอง พวงแก้มระบายด้วยสีแดงระเรื่อจนรติเองก็ยังสังเกตเห็นได้

   “ทั้งหมด 568 บาทค่ะ”

   เสียงเล็กใสของพนักงานสาวเรียกทำให้นภทีป์สะดุ้งจากห้วงความคิดของตน

   “อ...ครับ?”

   “ทั้งหมด 568 บาทค่ะ” หญิงสาวอายุน้อยทวนคำอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม นภทีป์ยื่นแบงค์ในมือให้อีกฝ่ายและรวบถุงมาถือไว้ เมื่อได้รับเงินทอนแล้วเขาก็ยัดเหรียญเศษและแบงค์ย่อยลงไปในกระเป๋าพร้อมกับใบเสร็จก่อนสาวเท้ากลับห้องตัวเองอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหญิงสาวพนักงานได้เห็นท่าทางแปลก ๆ ของเขาเพราะเธอคล้ายจะยิ้มกึ่งหัวเราะอยู่ในที

   มันช่าง...น่าอับอายจริง ๆ ...

--------------------------->

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 11 (15/07/13)
« ตอบ #39 เมื่อ: 15-07-2013 17:03:55 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 11 (15/07/13)
«ตอบ #40 เมื่อ15-07-2013 17:05:05 »

   “ฮัดชิ้ว!”

   ให้ตายสิ...ไม่น่าชะล่าใจเลย...

   นภทีป์คิดกับตนเองหลังจากขยี้จมูกจนแดง จากวันนั้นเขาคัดจมูกมาสองวัน และอยู่ ๆ ก็เริ่มจามและอึดอัดเพราะหายใจไม่ออกยิ่งกว่าเดิม

   ตฤณเท้าคางมองนภทีป์ที่จามออกมาด้วยนัยน์ตาขบขันก่อนจะกลิ้งม้วนทิชชู่ไปให้

   “น่าตลกตรงไหนกัน?” ชายหนุ่มร่างเล็กถามแล้วดึงทิชชู่ออกมาซับจมูกตัวเอง “แล้ววันนี้คิดยังถึงมาซะค่ำ หรืองานของคุณมันมีเวลาว่างเยอะ”

   “ผมอยากมาพบคุณต่างหาก” ตฤณตอบพลางยิ้ม “แต่คุณไปติดหวัดมาจากไหนได้ล่ะเนี่ย ทั้งที่ไม่ค่อยออกไปข้างนอกแท้ ๆ”

   “คงเพราะละอองฝนเมื่อวันก่อนล่ะมั้ง” นภทีป์ขยี้ปลายจมูกอีกครั้ง “ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วที่ผมจะไม่สบายเอาง่าย ๆ แค่เพราะอากาศเปลี่ยนกะทันหันนิด ๆ หน่อย ๆ” ว่าจบเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ระเบียงซึ่งพาดแขวนผ้าให้ตากแดดตากลมจนแห้งสนิท นภทีป์รู้สึกโชคดีที่มรสุมผ่านไปแล้ว ไม่อย่างนั้นผ้าชุดนี้คงจะยังไม่แห้ง ระหว่างที่คิดเช่นนั้นก็ตลบผ้าลงมาจากราวจนหมดแล้วนะมากองไว้ในห้อง

   การนั่งเฉยของตฤณทำให้รำคาญขึ้นมานิดหน่อย...

   แน่นอนว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายเกิดมาก็มีคนบริการจึงไม่เคยมีใจคิดบริการใคร มันเป็นนิสัยประจำตัวที่ทำให้ดูเป็นคนเห็นแก่ตัวได้ง่าย ๆ นภทีป์นึกสงสัยว่าแต่ก่อนเขาทนกับนิสัยแบบนั้นของตฤณได้อย่างไร แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันช่างขัดหูขัดตา

   “ถ้าว่างนักก็ช่วยกันหน่อยสิ” เขาโยนผ้าส่วนหนึ่งไปให้คนว่างงาน

   “ครับ ๆ คุณดุขึ้นหรือเปล่านะ” ชายหนุ่มหัวเราะแล้วรับผ้าไม่กี่ชิ้นที่ถูกปั้นโยนมาอย่างแม่นยำ เขาสะบัดมันให้คลี่ลงบนพื้นด้วยท่าทางของคนที่ไม่เคยหยิบจับงานบ้านมาก่อนเลยในชีวิต แม้กระทั่งการพับผ้าก็พับเป็นแต่ผ้าชิ้นสี่เหลี่ยมเท่านั้น

   ตฤณจับเสื้อกางลงบนพื้นตามแบบที่นภทีป์ทำ และพับทีละส่วนตามที่ตาเห็น

   ทว่า...

   “ผมคงไม่มีพรสวรรค์เรื่องแบบนี้เท่าไหร่” เสื้อผ้าที่ผ่านมือของตฤณแม้จะถูกพับอย่างถูกวิธีก็ยังดูยับย่นแปลกตาตามประสาคนไม่เคยทำ

   “ทำบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชำนาญ ของแบบนี้ฝึกง่ายกว่าวาดรูปเยอะไม่ใช่หรือ?” เจ้าของห้องไม่นำพาต่อคำบ่นและจดจ่ออยู่กับการพับผ้าไปทีละชิ้น ในช่วงเวลานั้น ฝ่ายผู้ช่วยก็หยิบผ้าชิ้นต่อไปแต่เจ้าตัวกลับสังกตถึงความผิดปกติบางอย่าง นั่นคือเสื้อยืดสีขาวที่ไซส์ใหญ่กว่าขนาดร่างกายของนภทีป์อย่างเห็นได้ชัด ดูจากขนาดแล้วน่าจะใหญ่กว่าเขาเล็กน้อยด้วยซ้ำ

   หรือว่า...

   “ที เสื้อตัวนี้...?”

   นภทีป์เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกก่อนจะมุ่นคิ้วแล้วถอนหายใจ

   “ของภรัณยูน่ะ คุณคงจำได้สินะ เจ้าเด็กมหาลัยตัวใหญ่ ๆ ที่มาให้ผมสอน” การตอบของนภทีป์ดูเป็นธรรมชาติจนน่าแปลกสำหรับตฤณ กับผู้ชายที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกและสร้างโลกส่วนตัวอย่างแน่นหนา ทำไมจึงพูดถึงสิ่งของของคนอื่นที่อยู่ในบ้านตัวเองเหมือนกับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาแบบนั้นได้?

   แล้วเสื้อตัวนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

   ในไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็ได้คำตอบ

   “เมื่อคืนวันเสาร์ เขามาค้างที่นี่เพราะติดฝนกลับบ้านไม่ได้”

   “ค้างคืน?”

   “ใช่ มีอ...” เมื่อเงยหน้าขึ้นไป นภทีป์ก็ต้องชะงักเพราะตฤณขยับเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน เรียกว่าใกล้มากเกินไปเสียด้วยซ้ำ...

   “แล้ว...เขานอนเตียงเดียวกับคุณหรือเปล่า?”

   “เปล่า เขานอนบนพื้นตรงที่คุณนั่งเมื่อครู่...” สีหน้าของตฤณในสายตานภทีป์ดูขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อย แม้ประโยคหลังจะทำให้สีหน้าเช่นนั้นคลายลงบ้างแล้วก็ตาม

   “ที ผมไม่ชอบเขา”

   หา?

   “ผมไม่ชอบที่เขามายุ่งกับคุณ คุณยัง...เป็นของผมอยู่นะ” ตฤณคว้าข้อมือนภทีป์แล้วดึงให้เข้ามาใกล้เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังถอยหลังหนี “ที...”

   “...ไม่ใช่”

   ...

   เสียงปฏิเสธแผ่วเบาทำให้ทุกอย่างสงบนิ่ง

   “...พวกเราไม่ใช่อะไรของกันและกันทั้งนั้น...ผมยังไม่ได้ตกลงว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม” ดวงตาของชายหนุ่มร่างเล็กหลุบต่ำ เขามักจะไม่กล้าจ้องตาคนตรง ๆ โดยเฉพาะเวลาที่พูดเรื่องทำนองนี้ แพขนตาปิดบังแววใสที่ไหวระริกในดวงตาของเขา

   “แต่ว่าคุณก็อนุญาตให้ผมอยู่ใกล้ ๆ จริงไหม?” ปอยผมถูกเกลี่ยเบา ๆ ด้วยปลายนิ้ว “ผมรู้ว่าคุณยังคิดถึงผมมาตลอดนะที ตอนนี้ไม่เห็นต้องทำใจแข็งเลยนี่ ผมก็สัญญาแล้วว่าจะคืนให้หมดทุกอย่าง แล้วผมก็คืนให้แล้วจริงไหม? ดังนั้น...”

   “ไม่” นภทีป์ยกมือขึ้นกันใบหน้าอีกฝ่ายเมื่อมันโน้มเข้ามาใกล้ “ยังไม่หมดทุกอย่าง มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่คุณคืนให้ผมไม่ได้ และคุณเองก็รู้ดี”

   “...ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการให้ผมทำยังไง?”

   “ไม่ต้องทำอะไร...” นภทีป์พูดพลางหันไปคว้าทิชชู่เพิ่มก่อนสั่งน้ำมูกปืดใหญ่ เขารู้ว่าการทำอย่างนี้มันขัดมู้ดสิ้นดี แต่ทำอย่างไรได้ หวัดมันไม่เลือกเวลาเสียหน่อย “ก็แค่...อย่าพยายามเรียกร้องมากเกินไป เพราะคุณก็รู้ว่าเวลามันย้อนกลับไม่ได้และผมเองก็ต้องการ...เวลาตัดสินใจ...”

   “ถ้าอย่างนั้น แค่ตอนนี้ก็ได้ ทำให้ผมมั่นใจหน่อยสิว่าทียังมีแค่ผมคนเดียว”  ตฤณไม่ละความพยายามง่าย ๆ ครั้งนี้เขาผลักนภทีป์จนเสียหลักลงบนพื้นและใช้น้ำหนักตัวโถมเข้าใส่ แน่นอนว่านภทีป์ไม่สามารถใช้เรี่ยวแรงต่อกรได้ทั้งด้วยกำลังกายที่ลดถอยลงเพราะอาการหวัด รวมถึงความตกตะลึงในความมุมานะและเอาแต่ใจของตฤณซึ่งเขาไม่ได้เตรียมใจรับ แต่แล้ว...

   โป๊ก!

   เสียงของแข็งกระทบกะโหลกประหนึ่งระฆังช่วยชีวิต กล่องพลาสติกใสไม่หนักมากนักที่ถูกวางอย่างหมิ่นเหม่บนกองกระดาษเพื่อทับไม่ให้มันปลิวตอนเปิดประตูระเบียงกลับตกลงมาบนศีรษะของตฤณอย่างพอดิบพอดี ชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายถึงกับนั่งกุมหัวเพราะถึงน้ำนักจะไม่มากแต่มันก็เอาสันลงตรงส่วนหลังของกะโหลกที่บอบบางอย่างพอดิบพอดีราวกับจงใจ

   นภทีป์มองขึ้นไปและเห็นรตินั่งอยู่ตรงนั้น

   เป็นครั้งแรกก็ว่าได้...ที่เขานึกขอบคุณที่ตนเองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง...

   “นี่มันอะไรกันเนี่ย!” ตฤณร้องเมื่อตั้งสติได้อีกครั้งแล้วมองกล่องพลาสติกใบนั้นอย่างโกรธเคือง “คุณยังไม่เลิกนิสัยวางของระเกะระกะอีกหรือไงกัน”

   “ถ้าคุณไม่ไปกระแทกถูกตั้งกระดาษมันคงไม่ตกลงมาหรอกนะ” นภทีป์ได้ทีก็ต่อว่ากลับไปบ้างแล้วทำเป็นหน้าบึ้งเดินไปหยิบกล่องวางเทินที่เดิม ทั้งที่ในใจกำลังโล่งอก...เขาไม่ชอบเลยตอนที่ตฤณเริ่มเป็นอย่างนี้ แม้แต่ตอนที่คบหากัน ตฤณมักจะเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ถามความสมัครใจของเขาสักนิด ในตอนนั้นมันก็ไม่ได้แย่อะไรมากมายแต่ตอนนี้...ที่พวกเขายังมีเรื่องค้างคากันอยู่ มันกลายเป็นสิ่งที่น่าอึดอัดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเอาแต่ใจตัวแบบเดิมอีกครั้ง

   ตฤณต้องใช้เวลานวดศีรษะอยู่นานกว่าจะหายเจ็บตรงที่โดนกระแทก ซึ่งระหว่างนั้นนภทีป์ก็บอกให้เจ้าตัวไปหาผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบในขณะที่ตนพับผ้าที่เหลือ และเมื่อนาฬิกาบอกเวลา 2 ทุ่ม ตฤณก็ขอตัวลากลับไปเพราะตอนเช้าต้องไปทำงาน

   รติบินลงมาจากตั้งกระดาษหลังตฤณจากไปแล้ว เจ้าตัวบ่นอุบอิบโดยที่ผู้ฟังจับใจความไม่ได้และไม่ได้สนใจจะฟังเสียด้วยซ้ำ

   “นายน่ะปล่อยตัวเกินไปแล้วนะ!” แต่อยู่ ๆ เสียงบ่นงึมงำก็กลายเป็นการตะโกนด้วยเสียงเล็ก ๆ น่าเอ็นดูที่ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงพูดปกติของคนทั่วไป

   “ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาจะกล้าทำแบบนั้น!” นภทีป์สวนก่อนจามอีกคำรบ “ให้ตายสิ พอเป็นหวัดแล้วสมองฉันมันแล่นช้าไปหมด” เขาไม่ถูกกับอาการหวัดเลยสักนิด เพราะพอเป็นขึ้นมาทีไรก็มักจะมึนเบลอและทำอะไรได้เชื่องช้ากว่าเก่า กระทั่งการวาดรูปก็ออกมาเป๋ ๆ ปัด ๆ เหมือนคนเมาไม่มีผิด

   “ถ้าจามใส่หน้าไปเลยน่าจะสนุกนะ” คำแนะนำของรติทำให้ผู้ฟังบิดริมฝีปากด้วยความรู้สึกแหยงอยู่ลึก ๆ ให้ตายเขาก็ไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นหรอก

   “สกปรก...” เขาว่าก่อนกุมศีรษะซึ่งดูเหมือนจะไม่มีไข้ ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกเพลียจนอยากนอนขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา นภทีป์ไม่รู้ว่าจะฝืนตัวเองต่อไปทำไมในสภาพนี้จึงเข้านอนไปทั้งอย่างนั้นพลางคิดในใจว่า หวัดนี่มันช่างเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตจริง ๆ

TBC

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 12 (19/07/13)
«ตอบ #41 เมื่อ19-07-2013 13:41:00 »

-12-


   เสียงออดดังขึ้นหลังจากปลายนิ้วกร้านสัมผัสกับปุ่มบนผนัง ทว่ากลับไม่มีการตอบรับจากภายในแม้จะผ่านไปนานสองนานแล้ว แท้ว่านภทีป์จะคืบคลานมาเปิดประตูช้าเป็นปกติแต่ครั้งนี้เหมือนจะนานผิดปกติจนน่าแปลกใจ ภรัณยูตัดสินใจกดออกอีกครั้ง และคราวนี้เขาได้ยินเสียงคลิกเบา ๆ เป็นสัญญาณของการปลดล็อคประตู แต่...หลังจากปลดล็อคแล้วประตูก็ไม่ได้เปิดออก ชายหนุ่มมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันเพราะรู้สึกผิดสังเกต เขาเอื้อมมือไปยังลูกบิดประตูก่อนจะค่อย ๆ หมุนอย่างช้า ๆ เพื่อให้เกิดเสียงน้อยที่สุด

   แสงจากภายนอกลอดผ่านเข้าไปในห้องมืดสนิทพร้อมกับเงาของผู้มาเยือนที่ทอดยาวไปบนพื้น น่าแปลกที่หน้าประตูไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว และภายในห้องก็ไม่มีสิ่งใดดูผิดปกติ ประตูห้องนอนของนภทีป์เองก็หับปิดอยู่เช่นเดียวกับประตูครัวและห้องน้ำ

   ภรัณยูชะเง้อคอมองลูกบิดที่อีกฝั่งประตู...ก็ไม่มีอะไร...

   แล้วใครปลดล็อคประตูให้เขาล่ะ?

   ประตูปิดลงช้า ๆ อย่างเงียบเชียบ ชายหนุ่มพยายามไม่นึกสงสัยสิ่งที่เกิดขึ้นโดยคิดว่านภทีป์อาจจะลืมล็อคประตูและเขาอาจจะหูฝาดไปเอง หรือไม่ฝ่ายนั้นอาจจะเดินมาปลดล็อคแล้วกลับไปนอนต่อ อย่างไรนภทีป์ก็เป็นคนที่เข้าใจยากอยู่แล้ว พฤติกรรมเช่นนั้นจึงไม่น่าแปลกอะไรนัก

   “คุณที?” เขาขานเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบรับ แต่มีเสียงบางอย่างดังขึ้นหลังประตูห้องนอน ภรัณยูจึงเดินไปที่หน้าประตูก่อนจะยืนชั่งในอยู่สักครู่หนึ่ง เพราะการอยู่ ๆ ก็เปิดเข้าไปในห้องนอนคนอื่นเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมากแม้จะไปมาหาสู่กันจนคุ้นเคยแล้วก็ตาม แต่ตอนที่ชายหนุ่มกำลังยืนมองบานประตูสีขาวครีมนั้นเขาก็พบว่ามันแง้มอยู่เล็กน้อยทำให้เกิดช่องว่างระหว่างประตูและวงกบ ภรัณยูดันบานประตูช้า ๆ ทำให้เขาได้เห็นสภาพภายในห้องซึ่งยังคงเหมือนกับวันที่เขามานอนค้างที่นี่และมองผ่านประตูที่เปิดอ้า

   นภทีป์นอนนิ่งอยู่บนเตียง หันหลังให้ประตู เปิดแอร์เย็นฉ่ำ และห่มผ้าจนเกือบปิดศีรษะ

   “คุณที เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ?” ภรัณยูถือวิสาสะเดินเข้าไปถึงตัวและสะกิดปลุก เจ้าของห้องปรือตาขึ้นมาเล็กน้อยก่อนเหลือบมองผู้บุกรุกด้วยสายตาแสดงความรำคาญ กระนั้นก็ยังขยับลุกขึ้นและกุมศีรษะตัวเองด้วยท่าทางคล้ายมึนงงและต้องการเวลาลำดับความคิดตัวเอง

   “นาย...เข้ามายังไง?”

   “คือ...ประตูมันไม่ได้ล็อคน่ะครับ” เมื่อได้ยินคำตอบ นภทีป์ก็เลื่อนสายตามองไปทางด้านหลังภรัณยูและพบตัวการอยู่ที่นั่น รติคงจะเห็นว่าเขาไม่ตื่นเสียทีเลยไปปลดล็อคกระมัง...มันช่วยไม่ได้ที่เขารู้สึกเพลียจนไม่รู้สึกถึงเสียงออดเลย

   “อ้อ...อืม...ฉันจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน...” ว่าแล้วชายหนุ่มร่างเล็กก็ขยับตัวลงจากเตียงในสภาพโงนเงนยืนไม่มั่นคงทำให้ภรัณยูต้องเข้าประคองก่อนจะรู้สึกแปลกที่ลมหายใจของอีกฝ่ายซึ่งเป่ารดบนอกของตนมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติเล็กน้อย ซ้ำปฏิกิริยาตอบรับก็ไม่รุนแรงเหมือนวันก่อน ๆ “นายจะเข้ามากอดฉันทำไม ออกไปห่าง ๆ ได้แล้ว” นภทีป์พูดเพียงแค่นั้นด้วยเสียงเนือย ๆ แล้วผละตัวออก

   “เดี๋ยวก่อน” ภรัณยูรั้งอีกฝ่ายไว้ก่อนอังมือกันหน้าผากและแก้ม “เป็นไข้อยู่ไม่ใช่หรือครับ? ตอนนี้อย่าเพิ่งอาบน้ำดีกว่า เดี๋ยวผมจะเอาน้ำอุ่นกับผ้าเช็ดตัวมาให้” ว่าแล้ว เขาก็ดันนภทีป์กลับไปที่เตียงและกดให้นั่งลงโดยที่เจ้าตัวไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืน ตอนที่ภรัณยูหมุนตัวออกไป นภทีป์จึงคลำตัวเองดูบ้างและพบว่ามีไข้จริง ๆ มิน่าเล่าจึงได้รู้สึกเมื่อยเนื้อตัวไปหมดจนแทบไม่อยากลุก นี่มันเพราะประมาทเองแท้ ๆ ...ทั้งการออกไปตากละอองฝนที่เพิ่งหยุดตกเพื่อซื้อของเป็นเพื่อนภรัณยู รวมถึงการไม่ยอมกินยาทั้งที่เริ่มเป็นหวัดเพราะคิดว่าคงจะแค่หวัดธรรมดาและเดี๋ยวก็คงหายไปเอง การเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเป็นเวลานานและกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะทำให้ภูมิคุ้มกันของเขาลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด ผลจึงกลายเป็นอย่างนี้เข้าจนได้

   เสียงภรัณยูเดินไปเดินมาอยู่ข้างนอกทำให้นภทีป์ระลึกได้ว่ายังมีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย เขาพยายามลุกขึ้นอีกครั้งแต่อีกฝ่ายก็เปิดประตูเข้ามาพอดีพร้อมกับกะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูผืนใหญ่

   “ผมหาผ้าเช็ดตัวที่เล็กกว่านี้ไม่ได้เลย คงต้องใช้แก้ขัดไปก่อน”

   “ในลิ้นชักนั่นมีผืนเล็กกว่านี้อยู่” นภทีป์ชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าขนาดย่อม ทำให้ภรัณยูพบผ้าขนหนูที่ยาวประมาณหนึ่งช่วงแขนและค่อนข้างบาง

   “ถอดเสื้อออกสิครับ”

   หา?

   ถึงจะยังมึนงงอยู่ แต่คำสั่งนั้นก็ทำให้นภทีป์ต้องหยุดคิด

   “ผมจะเช็ดตัวให้” ภรัณยูพูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจ จากนั้นจึงเดินไปปิดสวิตช์เครื่องปรับอากาศ

   “...ไม่...ฉันจะจัดการเอง นายออกไปรอข้างนอก”

   “แค่ถอดเสื้อให้ผมเช็ดตัวให้เท่านั้นเอง ผมไม่ทำอะไรมากกว่านั้นหรอก” ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะให้กับความกังวลเล็ก ๆ ของคู่สนทนา กระนั้นนภทีป์กลับไม่ได้โล่งใจขึ้นแม้แต่น้อย เพราะเขาไม่ได้คิดว่าภรัณยูจะทำอะไรกับเขาอยู่แล้ว เพียงแต่...มันน่าอายก็เท่านั้น...

   “นายกำลังคิดลึกอยู่ล่ะสิ” รติเข้ามากระซิบ

   “ไม่ใช่...” นภทีป์ตอบลอดไรฟันเพราะเกรงว่าภรัณยูจะได้ยิน

   “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นเป็นไร ผู้ชายถอดเสื้อให้กันเห็นเป็นเรื่องปกติจะตาย”

   ถ้าแค่ถอดเสื้อผ้ามันก็เรื่องหนึ่ง...แต่เจ้านั่นจะเช็ดตัวให้ด้วย นี่สิที่ทำให้คิดหนัก การถูกสัมผัสร่างกายโดยบุคคลอื่นไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้คุ้นชินได้โดยง่าย กระนั้นรติก็คะยั้นคะยอข้างหูว่าหากเขาไม่ยินยอมก็เหมือนเป็นการประกาศทางอ้อมว่ากำลังคิดลึกกับภรัณยูอยู่ การถูกครหาเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากจะรับได้เหมือนกัน นภทีป์จึงจำใจยินยอมรับความหวังดีโดยถอดเสื้อของตัวเองออกและนั่งนิ่งอยู่บนเตียง

   ภรัณยูยิ้มมุมปาก พยายามกลั้นขำกับความเขินอายที่แสดงออกผ่านใบหน้า

   เขาขยับเข้าไปใกล้และชุบน้ำด้วยผ้าผืนเล็ก เมื่อบิดพอหมาด ๆ แล้วก็ค่อย ๆ สัมผัสลงบนผิวเนื้อซีดขาวเพราะไม่ค่อยได้พบเจอแสงแดด น้ำอุ่นที่ถูกชะโลมบนผิวกายค่อย ๆ กลายเป็นเย็นเมื่อผืนผ้าเลื่อนผ่านไปไม่นาน และมันได้พัดพาอุณหภูมิร้อนรุ่มของพิษไข้ไปด้วยเล็กน้อย

   หลังจากเช็ดร่างกายด้านบนเสร็จแล้วภรัณยูก็เลื่อนมาที่ขา เพราะนภทีป์สวมกางเกงขาสั้นจึงไม่ต้องให้ถอดออก กระนั้นเมื่อชายหนุ่มเลื่อนผ้าเข้าไปใต้ขากางเกง เขาก็รู้สึกถึงอาการสะดุ้งเล็ก ๆ

   “ที่เหลือฉันจัดการเองได้แล้ว หรือนายอยากจะเห็นผู้ชายเปลือย” นภทีป์ผลักมืออีกฝ่ายออกแล้วยึดผ้ามาถือเอง เขาคงไม่อาจใจกว้างถึงขนาดจะให้ภรัณยูเข้ามารุกล้ำที่ลับของตนได้

   “ก็ไม่แน่นะครับ” แต่แล้วภรัณยูกลับทำให้สมองของนภทีป์มึงงไปชั่วขณะ ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะก่อนจะยิ้มจนตาหยี “คุณบอกว่าผมควรสเกตซ์ภาพให้มาก ๆ เพื่อเรียนรู้แสงเงาจากรูปทรงที่หลากหลาย แต่ว่า...ทั้งที่คุณทีอยู่ใกล้ตัวที่สุด ผมกลับยังไม่เคยสเกตซ์ภาพคุณเลย อืม...การสเกตซ์รูปร่างคนควรเริ่มจากภาพเปลือยก่อนใช่หรือเปล่า ดังนั้นการเห็นคุณเปลือยสักครั้งก็ไม่น่าเสียหาย”

   ไม่รู้ว่าภรัณยูรู้หรือไม่ ว่าตอนที่นภทีป์มีไข้มักจะไม่สามารถทำความเข้าใจประโยคยาว ๆ ที่ต้องใช้ความเป็นเหตุเป็นผลมาตอบโต้ได้ ทำให้จำต้องยืนฟังอีกฝ่ายพูดจนจบประโยคโดยไม่สามารถจับใจความได้มากนักนอกจากเรื่องสเกตซ์ภาพเปลือย

   “ผมล้อเล่น” พอเห็นปฏิกิริยาที่ค่อนไปทางมึนงงและสับสน ภรัณยูก็หลุดหัวเราะออกมาอีกคำรบและจำต้องหยุดพักการหยอกล้อแต่เพียงเท่านี้ เพราะสมองของนภทีป์คล้ายจะรับรู้ได้ช้ามากเสียจนน่าสงสาร พอคิดเปรียบเทียบกับเจ้าตัวตอนปกติที่มักจะขึงหน้าตึงใส่เขาและบางครั้งก็ตวาดใส่ราวกับเขาทำผิดร้ายแรงจนไม่น่าให้อภัย นภทีป์ในเวลานี้ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง

   ถึงอย่างนั้นเขาก็ชอบในเวลาปกติมากกว่า...

   ชายหนุ่มร่างสูงล่าถอยออกไปเพื่อให้เจ้าของห้องได้มีเวลาส่วนตัว ซึ่งช่วงเวลาที่ถูกทิ้งว่างไว้นั้น สมองของนภทีป์ก็เรียบเรียงประโยคที่ได้ยินก่อนหน้าอย่างช้า ๆ ลูกนัยน์ตากลอกไปมาเล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่งตามด้วยอาการเบิกตาโพลงพร้อมกับพวงแก้มที่แดงซ่านเกินกว่าผลของไข้หวัด นภทีป์อ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างตอบโต้กลับไปแต่มันก็เกินกว่าความสามารถของสมองในเวลานี้ รวมถึงผู้ฟังก็ไม่อยู่รอฟังคำต่อว่าแล้ว ทำให้เจ้าตัวได้แต่ฮึดฮัดอยู่คนเดียว

   “นายในตอนนี้นี่ท่าทางจะสู้รบปรบมือกับใครเขาไม่ไหวซะล่ะมั้ง...” รติทอดสายตามองกึ่งอาดูรกึ่งสงสารแต่ก็ยังแฝงด้วยความขบขัน

   “ไม่ต้องพูดมากเลย!” แม้จะกลับมาตวาดใส่คนอื่นได้อีกครั้ง แต่ผลของมันก็ทำให้เกิดอาการไอค่อกแค่กจนคันคอยิบ ๆ นภทีป์เลือกที่จะถนอมเสียงของตนเองไว้และหันไปจัดการกับสิ่งที่ตนเองควรทำในเวลานี้ นั่นคือทำความสะอาดร่างกายในที่ลับและเปลี่ยนเสื้อผ้า

--------------------------->

   ตอนที่นภทีป์เดินออกมาจากห้องก็เดินไปยังห้องครัวทันทีเพราะแน่ใจว่าภรัณยูน่าจะกำลังทำอาหารเช้าให้ตนอยู่ เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มร่างสูงก็สะดุ้งนิดหน่อยแล้วหันมายิ้มแหย นภทีป์มุ่นคิ้วก่อนชะเง้อมองในหม้อด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรจึงได้แสดงท่าทางเช่นนั้นออกมา และเขาก็พบว่าภายในหม้อมีน้ำที่กำลังเดือดปุด ๆ พร้อมกับดันเอาเม็ดข้าวสีขาวลอยฟ่องขึ้นมาและจมหายไป

   “นาย...พยายามจะทำข้าวต้ม?”

   “ก็ประมาณนั้นครับ...แต่ว่า...” ภรัณยูหันกลับไปมองหม้อที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนข้าวต้มเสียที ทั้งที่เขาคิดมาตลอดว่ามันเป็นเมนูที่ทำง่ายที่สุดแล้วแท้ ๆ

   “นายใส่ข้าวสารลงไป?”

   ...

   พ่อครัวจำเป็นพยักหน้าหงึกหงักแล้วยืนเหงื่อแตกซิกอยู่หน้าเตาไฟฟ้า ก่อนจะเหลือบมองคนป่วยที่ดูเหมือนเหนื่อยใจอยู่ในที

   “เอาเถอะ ต้มสักชั่วโมงก็คงกินได้” นภทีป์คร้านจะอารมณ์ขุ่นกับเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขอบคุณพิษไข้ที่ทำให้เจ้าตัวหงุดหงิดไม่ขึ้น อารมณ์ของเขาใกล้เคียงคำว่าเหนื่อยหน่ายเสียมากกว่า เพราะอย่างไรก็คาดหวังกับเซนส์การทำอาหารของภรัณยูได้ยาก ผิดกับเซนส์ด้านศิลปะอย่างลิบลับ คนเราเนี่ย...ไม่มีทางเก่งไปเสียทุกอย่างจริง ๆ สินะ?

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมออกไปซื้อโจ๊กแบบกึ่งสำเร็จรูปมาดีกว่า เดี๋ยวคุณหิวแย่” ภรัณยูว่าอย่างนั้นแล้วรีบหมุนตัวออกไป แต่ก็ถูกรั้งเอาไว้

   “ไม่ต้องหรอก วันก่อนฉันไปห้างก็เลยซื้อของมาตุนไว้แล้ว” หลังพูดจบ นภทีป์ก็ปล่อยมืออีกฝ่ายแล้วเดินไปที่ตู้เก็บของแห้ง โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปซองหนึ่งถูกนำมาฉีกใส่ถ้วยเซรามิกใบย่อมในขณะที่คนทำกำลังสูดหายใจฟืดฟาดและขยี้ปลายจมูกด้วยความรำคาญ คนที่ได้แต่มองจนถึงเมื่อครู่ทนมองต่อเฉย ๆ ไม่ไหวจึงดึงมาทำเองก่อนที่เจ้าของโจ๊กจะทำน้ำมูกหยดลงไปแทนน้ำร้อน

   ในที่สุดทั้งสองก็ตัดสินใจปล่อยให้ข้าวโดนต้มต่อไปจนกว่าจะได้ข้าวต้มอย่างที่ต้องการ และมานั่งกินโจ๊กอยู่ที่โต๊ะเตี้ยในห้อง

   “จริงสิ ตั้งแต่ตอนนี้ไปอีกประมาณ 3 สัปดาห์ ผมจะได้หยุดยาวก่อนเปิดเรียนแล้วนะครับ”

   “อืม...นายก็ต้องมาเรียนอยู่ดี หรือว่านายคิดจะขอหยุด?” นภทีป์ถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่อนุญาตแน่นอน แต่คิดอีกที...สภาพเขาเป็นอย่างนี้ควรจะหยุดสักสัปดาห์ดีไหมนะ ไม่อย่างนั้นคงได้ติดกันนัวเนีย

   “ผมคงขอแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะเวลาของผมมีน้อย ถ้าเปิดเรียนผมก็ต้องยุ่งกับโปรเจค ดังนั้นผมเลยคิดว่าในเมื่ออยากจะฝึกให้เต็มที่ ผมน่าจะมาค้างที่นี่จนกว่าจะ...” ภรัณยูพูดได้แค่นั้นก็ต้องชะงักเพราะผู้ฟังเกิดสำลักไอขึ้นมาจนต้องรีบคว้าน้ำดื่มส่งให้ “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

   นภทีป์ต้องใช้เวลาอยู่นานเพื่อสงบอาการของตนเองและสูดหายใจลึก

   “ทำไมจะต้องมาค้างที่นี่ด้วย แล้วตั้งสามสัปดาห์ บ้านช่องไม่มีให้นอนหรือยังไง”

   “ไม่ดีหรือ? ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปมา แล้วตอนนี้คุณก็ไม่ค่อยสบายด้วย มีคนอยู่ด้วยจะดีกว่าไม่ใช่หรือครับ?” ผู้พูดกล่าวด้วยใบหน้าและน้ำเสียงใสซื่อไร้เล่ห์กล ทั้งยังเลิกคิ้วสูงราวกับกำลังสงสัยว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดตรงไหน “อีกอย่าง ผมก็เคยค้างที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว ผมนอนบนพื้นเหมือนเดิมก็ได้ คิดเสียว่ามีคนช่วยเฝ้าบ้านตอนค่ำไงครับ”

   มันก็จริง...ผู้ชายสองคนค้างด้วยกันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลย ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเริ่มจะ...

   นภทีป์เม้มริมฝีปากพลางนึกเหตุผลที่จะนำมาคัดง้าง

   “คราวก่อนผมลืมเสื้อไว้ด้วยนี่นา”

   “ฉันซักให้ไปแล้ว” คำตอบสวนกลับมาอย่างรวดเร็วด้วยความปากไวโดยที่เจ้าตัวไม่ทันยั้งคิด เมื่อตอบจบประโยคก็ถึงกับกลั้นหายใจและละล่ำละลักพูดต่อ “...มันเห็นเหงื่อ! แล้วฉันก็ไม่ชอบให้อะไรมาหมกไว้ในบ้านฉันนาน ๆ ด้วย” แต่พอพูดส่วนที่เหลือออกไปนภทีป์ก็นึกเสียใจขึ้นมาเพราะการตะโกนทำให้คอของเขาเริ่มคันยิบ ๆ จนไอติดกันอีกหลายครั้งกว่าจะหยุดได้

   “ผมเข้าใจแล้ว” ภรัณยูหัวเราะแล้วช่วยลูบหลังคนป่วย “เอาเป็นว่าไม่มีปัญหา งั้นผมจะกลับไปเอาเสื้อผ้าก่อน เริ่มคืนนี้เลยก็แล้วกัน”

   “เดี๋ยว...”

   “จะว่าไป เพราะคุณทีป่วยอยู่หรือเปล่านะถึงได้ซื้อขนมมาเต็มตู้แบบนั้น” แต่แล้วอยู่ ๆ ภรัณยูก็เปลี่ยนหัวข้อเอาเสียดื้อ ๆ ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นหัวข้อที่ทำให้นภทีป์นึกอยากกลับไปนอนมุดผ้าห่มบนเตียงพอ ๆ กับหัวข้อแรก เพราะขนมพวกนั้นเขาก็ซื้อมาเพราะคิดถึงอีกฝ่ายเช่นกัน

   “...ฉันจะกินอะไรมันหนักอวัยวะส่วนไหนของนายไม่ทราบ” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น นภทีป์ก็หลบตาเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมทั้งพวงแก้มที่มีสีเลือดระบายอยู่เรื่อ ๆ

   “ครับ ๆ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แค่แปลกใจเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มยิ้มบางแล้วเก็บชามที่อีกฝ่ายกินเสร็จแล้วไปหลังบ้านพร้อมกับปิดเตาไฟฟ้าเมื่อเห็นว่าข้าวน่าจะใช้ได้แล้ว ถึงอย่างนั้นก็ต้องทิ้งมันไว้จนกว่าจะถึงมื้อเที่ยง ถึงตอนนั้นคงจะต้องอุ่นอีกรอบ

   นภทีป์ได้แต่ถอนหายใจกับตนเองเมื่อภรัณยูหันไปสาละวนกับเรื่องในครัว นับวัน เขาก็ยิ่งรู้สึกตัวว่าเข้าหน้าอีกฝ่ายยากขึ้นทุกที จนกระทั่งหลัง ๆ แทบไม่มีเรื่องใดเลยที่พวกเขาจะสามารถพูดคุยกันได้อย่างปกติและเป็นธรรมชาติ เพราะไม่ว่าประเด็นอะไร ก็ทำให้เขาอยากหลีกเลี่ยงไปเสียหมด บางทีเขาเองก็รู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจมากเกินไปหรือเปล่า ทั้งที่มันไม่ใช่ความผิดของภรัณยูแม้แต่น้อยที่เกิดมาเป็นคนเอาใจใส่คนอื่น และมักจะอยากรู้อยากเห็นว่าอีกคนหนึ่งคิดอะไรอยู่ ถึงอย่างนั้นมันก็สวนทางกับนิสัยของเขาที่ไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายในขอบเขตของตนเองมากจนเกินไป

   เม็ดยาหลังอาหารหล่นลงบนโต๊ะก่อนที่รติจะนั่งลงข้างเม็ดยาเม็ดนั้นโดยไม่พูดอะไร แค่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเหมือนกำลังสุขใจเล็ก ๆ

   สีหน้าแบบนั้นทำให้ผู้มองคร้านจะถามหาคำตอบเพราะหน่ายที่จะโดนแซวเอาในเวลาอย่างนี้ นภทีป์จึงโยนเม็ดยาลงคอพร้อมกับดื่มน้ำตามโดยไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน

   แต่แล้วรติก็อดเงียบเฉยอยู่ไม่ได้

   “ถึงกับขอค้างเลยนะเนี่ย”

   “ก็แค่ขี้เกียจเดินทางเท่านั้นเองไม่ใช่หรือไง” พอรติพูดขึ้นมา นภทีป์ก็นั่งเงียบไม่ไหวเช่นกันจึงได้สวนกลับทันทีด้วยเสียงแผ่วเบาและค่อนข้างแหบเล็กน้อยเพราะสภาพลำคอที่ไม่ปกติ

   “คิดแง่ดีสิที เขาเป็นห่วงนายออกนะ”

   “ถ้าฉันป่วยจนสอนเขาไม่ได้ เขาก็ต้องจบไปแบบตามใจพ่อแม่เหมือนเดิมน่ะสิ”

   “ถ้าแค่นั้นคงไม่บริการขนาดนี้หรอก เขาพยายามฝึกทำอาหารด้วยนะ ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิตด้วยซ้ำ แล้วมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ชายแบบเขาด้วย”

   “ผู้ชายทำอาหารแปลกตรงไหน เดี๋ยวนี้ผู้ชายส่วนใหญ่ทำอาหารพื้น ๆ ได้ไม่เห็นแปลก”

   ว่ารติจะพูดอะไรออกมา นภทีป์ก็หาข้ออ้างอื่นมาค้านทุกครั้งจนต่างคนต่างจนคำพูด รติจึงถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อนหน่ายแล้วกอดอกพลางบ่นอุบอิบ

   “นายนี่หัวดื้อชะมัดเลย แต่ก่อนนายออกจะน่ารักแท้ ๆ”

   พอพูดถึงเรื่องอดีต พลันสายตาของนภทีป์ก็ขึงขวางขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้เห็นปฏิกิริยาเช่นนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ก่อนที่จะได้ถกเถียงกันต่อ ภรัณยูก็เดินออกมาจากห้องครัวเหมือนระฆังห้ามศึก

   “ผมขอกลับไปเอาของที่บ้านก่อนนะครับ สัก...2 หรือ 3 ชั่วโมงน่าจะกลับมาถึง ถ้าผมมาช้าคุณทีจะอุ่นข้าวต้มกินไปก่อนก็ได้ แต่ถ้าผมมาทันข้าวเที่ยงผมจะเอากับข้าวที่บ้านมาฝากด้วย” ภรัณยูว่าขณะมองนาฬิกา และคิดถึงกับข้าววันนี้ว่าแม่ทำอะไรไว้บ้าง รู้สึกว่าจะมีของที่ไม่แสลงคอสำหรับคนป่วยอยู่ด้วยเพราะพ่อก็เริ่มมีอาการหวัดขึ้นมาเหมือนกัน ดังนั้นนภทีป์น่าจะกินกับข้าวต้มได้อย่างสบาย ๆ

   ขณะที่คิดเรื่องเปื่อยอยู่นั้น ภรัณยูก็เดินออกไปสวมรองเท้าและสะพานเป้ขึ้นบ่าโดยไม่ได้สนใจเสียงประท้วงของเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย

   นภทีป์ฮึดฮัดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนั่งปลง

   เขาคิดไปเองหรือยิ่งวันภรัณยูก็ยิ่งแปลกไปกันนะ แรก ๆ เจ้าตัวกลัวเขาไปเสียทุกอิริยาบถ จะขยับ จะอ้าปาก จะเคลื่อนไหวก็เกรงกลัวว่าเขาจะดุอยู่เรื่อย ๆ แต่มาตอนนี้ ปฏิกิริยาของเขาคล้ายจะกลายเป็นของสนุกสำหรับอีกฝ่าย และบางครั้งภรัณยูก็ทำเหมือนว่าเลิกเกรงกลัวการต่อว่าของเขาไปแล้ว แม้จะตามใจเขาอยู่เหมือนเดิมแต่ก็มีบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสนิทชิดเชื้อมากขึ้น

   แบบนั้น...ดูคล้ายตฤณขึ้นมานิดหน่อย...หรือเปล่า?

--------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 12 (19/07/13)
«ตอบ #42 เมื่อ19-07-2013 13:42:29 »

 ความกระตือรือร้นของภรัณยูสร้างความแปลกใจให้กับครอบครัวเป็นอันมาก แม้เจ้าตัวจะเป็นเด็กกิจกรรมมาแต่เดิม กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่เคยเห็นชายหนุ่มเก็บของใส่กระเป๋าด้วยท่าทางที่มีความสุขถึงขนาดนี้มาก่อน ราวกับว่ากำลังจะไปทริปพิเศษซึ่งเฝ้ารอมานานแสนนาน ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่ไปเก็บตัวฝึกพิเศษสามสัปดาห์เท่านั้นเอง มันควรจะเป็นเรื่องน่าเบื่อด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ?

   แต่...ตั้งสามสัปดาห์เชียว?

   “ไม่คิดจะอยู่บ้านบ้างเลยหรือยังไงกัน นายรัณ แล้วบอกพ่อเขาหรือยังน่ะเรื่องนี้” เพลงพิณพับเสื้อให้ลูกชายพลางเอ่ยถาม ใจจริงเธอไม่เห็นด้วยเลยที่จะปล่อยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปพักค้างคืนกับคนที่เธอไม่รู้จักมักจี่ ถึงจะรู้ว่าลูกชายปกป้องตัวเองได้แน่นอนก็ตามที “แล้วครูสอนพิเศษนี่ยังไงกันนะ รู้ว่าเราเพิ่งจะได้วันหยุด ก็เรียกไปอยู่ด้วยจนถึงเปิดเทอมเชียว”

   “ผมเป็นคนขอเองแหละครับ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะไม่กลับบ้านหรอก คิดว่าจะขอกลับมาอยู่บ้านวันอาทิตย์แทน จะได้พร้อมหน้าทั้งครอบครัวบ้าง” ภรัณยูแก้ต่างให้นภทีป์พร้อมกับหาเหตุผลที่จะทำให้แม่ของตนอารมณ์ดีขึ้นไปในตัว ซึ่งเพลงพิณก็คล้ายจะคลายความขุ่นใจลงได้เล็กน้อย

   “แหม เดี๋ยวนี้พี่ปากหวานน่าดูเลย ติดมาจากคุณทีคนนั้นหรือเปล่า คงมีเสน่ห์น่าดูเลยใช่ม้า~” พิณาลัยทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามประสาเด็กสาวเมื่อคิดถึงชายหนุ่มในฝัน

   แต่เป็นที่น่าเสียดาย...เพราะนภทีป์ไม่ใช่คนประเภทเดียวกับที่พิณาลัยกำลังจินตนาการถึงเลยแม้แต่น้อย กระนั้น เพราะไม่อยากทำลายความฝันน้องสาว ภรัณยูจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป

   “อย่าไปติดนิสัยเสีย ๆ มาแล้วกัน พวกจิตรกรจะมีมุมมองประหลาด ๆ กันอยู่ด้วย” เพลงพิณยังไม่วายหาเรื่องบ่นขึ้นมาอีกจนได้

   “คุณทีไม่ใช่คนไม่ดีหรอกครับ” ชายหนุ่มหัวเราะ “เอาไว้ถ้ามีโอกาสผมจะพามาแนะนำให้รู้จักบ้าง แต่อาจจะยากหน่อยก็ได้”

   “ทำไมกัน ไม่อยากมาบ้านเราขนาดนั้นเลยหรือยังไง?”

   “ไม่ใช่แบบนั้นครับ” ภรัณยูรีบแก้ต่างให้เมื่อแม่เริ่มขึ้นเสียงไม่พอใจ “แต่คุณทีค่อนข้างจะชอบเก็บตัวทำงาน แม่ก็น่าจะรู้นี่ครับ พวกจิตรกรน่ะ” การแก้ต่างของเขาช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้มาก แม้ความจริงแล้วนภทีป์จะไม่ได้เก็บตัวทำงานอย่างที่กล่าวอ้างก็ตาม ที่จริงแล้วตัวภรัณยูก็ยังนึกสงสัยอยู่ว่าสาเหตุจริง ๆ ที่ทำให้นภทีป์เป็นคนเก็บตัวนั้นคืออะไร แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะนิสัยส่วนตัว แต่ส่วนที่เหลือน่าจะเป็นเรื่องอื่น เพราะดูเหมือนระยะหลังนภทีป์ก็ไม่ได้รู้สึกแย่มากนักกับการต้องออกไปข้างนอกเพียงลำพัง

   นั่นมันหมายความว่า สิ่งที่กดทับอยู่ในใจได้บรรเทาเบาบางลงบ้างแล้วหรือเปล่า?

   ภรัณยูอดคิดเข้าข้างตนเองขึ้นมาวูบหนึ่งไม่ได้ ว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตัวเขาที่แทรกเข้าไปในชีวิตของอีกฝ่าย แม้ว่าจะเป็นการเข้าข้างตัวเองเพียงวูบเดียว ภรัณยูกลับชอบความคิดนั้นและแอบอมยิ้มอยู่เพียงลำพังกับสิ่งที่ไม่พูดออกไปให้ใครรับรู้

   ภรัณยูใช้เวลาอยู่ที่บ้านนานกว่าที่คิดไว้ เพราะตอนแรกเขาคิดจะเอาไปกี่ชุดแล้วซักเวียนใส่ แต่เพลงพิณกลับไม่เห็นด้วยและบังคับให้เอาไปหลายชุดเผื่อไม่พอใช้ อีกทั้งยังออกไปซื้อสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน และผ้าขนหนูให้ใหม่หมด ราวกับว่าลูกชายของเธอกำลังจะไปเข้าค่ายเก็บตัวนักกีฬา ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่ไปค้างห้องคนอื่นซึ่งมีเครื่องอุปโภคพื้นฐานครบครัน

   กว่าที่ทุกอย่างจะพร้อมสรรพตามความเห็นของเพลงพิณ เวลาก็บ่ายคล้อยเสียแล้ว

   “ผมต้องรีบไปแล้วนะครับ” ภรัณยูว่าขณะที่เพลงพิณยังเอาแต่ตรวจตรากระเป๋าของเขา “ตอนนี้คุณทีไม่ค่อยสบาย ผมไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียวนาน”

   “โห...พี่ห่วงคุณทีคนนี้จังเลยนะ แอบมีกุ๊กกิ๊กกันหรือเปล่าเนี่ย” พิณาลัยอดไม่ได้ที่จะแซวขึ้นมา

   “แก่แดดไปแล้วนะเราน่ะ” ชายหนุ่มหยอกแก้มน้องสาวในเชิงหยอก “จริงสิ ผมเอาอาหารบางส่วนไปด้วยนะครับ เพราะกว่าจะไปถึงคงค่ำพอดี”

   “จะเอาก็เอาไปสิ แต่ต้องไปอุ่นเอาเองนะ” เพลงพิณยังคงไม่มีปัญหากับเรื่องอาหารการกิน ในที่สุดเธอก็ผละจากกระเป๋าเสื้อผ้าไปจัดแจงเรื่องอาหารแทน ทำให้ภรัณยูสามารถปิดกระเป๋าได้ในที่สุด ส่วนพิณาลัยก็ช่วยผูกถุงใส่เครื่องอุปโภคชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แม่ไปซื้อมาให้ไว้กับหูกระเป๋า เมื่อเพลงพิณนำอาหารที่เหลือมาส่ง ภรัณยูก็รีบถือโอกาสร่ำลาครอบครัวแล้วออกเดินทางทันที

   แต่ตอนที่เดินออกไป พ่อก็สวนกลับเข้ามา ดูเหมือนว่าพ่อจะลากลับเร็วกว่าปกติเพราะอาการป่วยดูไม่ค่อยดีกระมัง?

   “จะไปไหนน่ะ? ทำไมแบกของเยอะแยะแบบนั้น?” ภูริชมองลูกชายพลางเลิกคิ้ว แม้จะรู้สึกเหนื่อยและเพลียจากการทำงานแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะซักไซ้การกระทำที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

   “ไปค้างที่ห้องของคุณทีน่ะครับ พ่อจำได้ไหม คนที่เป็นครูสอนศิลปะผม”

   “อ้อ อืม...จำเป็นต้องไปค้างเลยหรือ?” ชายวัยกลางคนมุ่นหัวคิ้วเข้าหากัน “แกเพิ่งจะจบฝึกงาน เรื่องรายงานเรียบร้อยแล้วหรือยัง ที่จริงพ่อก็ไม่ได้คัดค้านหรอกนะที่แกจะทำอะไรตามใจบ้าง แต่ก็อย่าลืมสิ่งที่สำคัญต่อตัวแกเองด้วยล่ะ”

   “เรื่องรายงานส่วนของผม ผมทำเสร็จแล้วล่ะครับ ที่เหลือก็รอชลชาติกับวิชชุกรเอามารวมกัน ไม่ต้องห่วงหรอกครับพ่อ” ภรัณยูอธิบายให้พ่อของตนคลายใจ “อีกอย่าง ผมอยากจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มากที่สุด นอกจากนี้คุณทีก็กำลังป่วยอยู่ด้วย เขาอยู่คนเดียวก็น่าสงสารนะครับ”

   ภูริชพยักหน้ารับรู้ก่อนไอออกมานิดหน่อย

   “รีบเข้ามากินข้าวปลาเถอะค่ะจะได้กินยาแล้วนอน ตัวคุณเองก็ป่วยอยู่ก็ยังจะฝืนไปทำงานอีก” เพลงพิณเดินออกมาลากตัวภูริชเข้าบ้านแล้วหันไปทางภรัณยู “เราก็เหมือนกัน ไปดูแลคนป่วยก็ดีอยู่แต่อย่าไปติดมาอีกคนเสียล่ะ นี่ก็ใกล้เปิดเทอมแล้ว ดูแลตัวเองดี ๆ หน่อย”

   สุดท้ายเขาก็ไม่อาจหนีพ้นการบ่นว่าของแม่ได้ ชายหนุ่มแค่เพียงหัวเราะกลับไปแล้วบอกลาอีกครั้งก่อนเร่งรีบเดินทางอย่างที่ตั้งใจ

   กระนั้นถนนในกรุงเทพมหานครก็ไม่ได้เป็นใจสักเท่าไหร่

   กว่าเขาจะกลับถึงห้องของนภทีป์ก็ปาเข้าไปเสีย 1 ทุ่มกว่า และพบว่านภทีป์ไม่ได้ล็อคประตูห้องไว้ เจ้าของห้องนั่งหลับอยู่ที่โต๊ะตัวเตี้ยสำหรับทำงาน แม้จะเปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่ก็ยังมีเหงื่อออกเป็นเม็ดเล็ก ๆ ทั้งใบหน้า ถัดไปไม่ไกลมีชามใส่ข้าวต้มวางอยู่ แม้จะถูกกินจนหมดชามแต่จากรอยเปื้อนรอบ ๆ ก็เดาได้ว่าเจ้าตัวตักมาไม่มากนัก ภรัณยูถอนหายใจกับตัวเองและคิดขอโทษอีกฝ่ายอยู่ในใจที่กลับมาช้ากว่าที่คาดไว้หลายชั่วโมง นภทีป์เองก็คงจะเอาแต่รอเขาจนถึงเมื่อครู่กระมัง

   “คุณที เข้าไปนอนในห้องดีกว่านะครับ” ภรัณยูสะกิดอีกฝ่ายพลางคลำหน้าผาก ดูเหมือนว่าไข้จะไม่สูงแต่คงเพราะเพลียมากกว่าจึงได้หลับไป

   นภทีป์ปรือตาขึ้นมองช้า ๆ ก่อนจะมุ่นหัวคิ้ว

   “ทำไมกลับมาช้า”

   “พอดีผมไม่ได้บอกที่บ้านไว้ก่อนว่าจะมาค้าง เขาก็เลยซักไซ้กันใหญ่น่ะครับ” ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะร่า “แต่พอผมบอกว่าจะกลับบ้านวันอาทิตย์ ที่บ้านก็เลยไม่ว่าอะไร จริงสิ ผมเอากับข้าวที่บ้านมาด้วย กินแต่ข้าวต้มจืด ๆ คงเบื่อ ถ้ามีกับด้วยน่าจะช่วยให้เจริญอาหารขึ้น”

   “ไม่เอา...ฉันอิ่มแล้ว”

   “ไม่ได้นะครับ กินน้อยแบบนั้นจะเอาพลังงานที่ไหนไปสู้กับเชื้อโรค”

   “ฉันง่วง...” พูดจบนภทีป์ก็ลุกขึ้นเตรียมจะเข้าห้องนอน ทำให้ภรัณยูต้องรีบเดินเข้าไปคว้าตัวแล้วขืนให้กลับมานั่งที่เดิม

   “แม่ผมอุตส่าห์ทำมาให้ทั้งที อีกอย่างคุณยังไม่ได้กินยาด้วยนี่? ผ่านนี้ข้าวต้มละลายไปหมดแล้ว” ภรัณยูพูดอย่างนั้นได้เต็มปากเพราะรอบตัวนภทีป์ไม่มีแก้วน้ำตั้งอยู่เลย จะกินยาได้อย่างไรถ้าไม่ได้ดื่มน้ำตาม นภทีป์ดูไม่ใช่คนที่จะอดทนต่อรสขมของเม็ดยาเสียด้วย

   “นายเป็นพ่อของฉันหรือยังไงกัน”

   “ผมเป็นนักเรียนของคุณต่างหาก ถ้าคุณป่วยหนักผมก็ลำบากน่ะสิ” ภรัณยูลองพูดแล้วแสร้งทำเสียงจริงจัง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของนภทีป์ที่คล้ายจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเขาก็หัวเราะออกมา “ล้อเล่นน่ะครับ จริงอยู่ว่าผมจะลำบากถ้าคุณป่วย แต่ผมเป็นห่วงตัวคุณมากกว่าเรื่องนั้นหลายเท่า” หลังพูดจบเจ้าตัวก็ผินหลังเข้าครัวไปโดยไม่ได้หันกลับมามองปฏิกิริยาตอบรับ ซึ่งนับเป็นโชคดีของนภทีป์ เพราะตอนนี้ใบหน้าของเขากำลังแดงซ่านไปด้วยเลือดฝาดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพิษไข้แม้แต่น้อย

   “...ทำเป็นพูดดีไป...” เพราะอดที่จะกระดากอายอยู่คนเดียวไม่ไหว นภทีป์จึงงึมงำออกมาเบา ๆ เพื่อบรรเทาอาการหัวใจเต้นแปลก ๆ ของตนเอง

   “นายก็เอาแต่พูดดีเหมือนกันนั่นแหละน่า” รติบินมานั่งบนศีรษะนภทีป์พร้อมกับพูดแจ้ว ๆ อย่างเป็นต่อ “เอาแต่บอกว่าเขาใจดีกับทุกคนบ้างล่ะ เป็นนิสัยติดตัวบ้างล่ะ แต่พูดจริง ๆ เลยน้า~ เห็นชัด ๆ ว่าเจ้านั่นห่วงนายมากกว่าคนอื่นหลายเท่า” เจ้าตัวจงใจเน้นประโยคหลังล้อเลียนคำพูดของภรัณยูเมื่อครู่นี้ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสมใจเสียจนนภทีป์นึกว่าสะบัดเจ้าตัวให้ตกแอ่กลงพื้นสักครั้ง เพียงแต่การขยับศีรษะตอนนี้มีแต่จะทำให้เวียนหัวมากขึ้นเท่านั้น และเขาก็ยังไม่มีเรี่ยวแรงจะไปต่อปากต่อคำ จึงจำต้องปล่อยให้รติได้ใจไปก่อน

   เสียงติ๊งของไมโครเวฟดังขึ้นนาน ๆ ครั้ง ไม่รู้ว่าภรัณยูอุ่นอาหารไปกี่อย่าง แต่ทุกครั้งที่เสียงเตือนของไมโครเวฟดัง นภทีป์จะต้องมุ่นคิ้วและอดนับจำนวนไม่ได้

   จนกระทั่งอาหารพร้อมเสิร์ฟ ภรัณยูก็ลำเลียงอย่างละนิดละหน่อยขึ้นมาบนโต๊ะ ทำให้วันนี้กับข้าวทั้งหมด 4 อย่าง ซึ่งเจ้าตัวไม่ลืมตักข้าวต้มพูนชามมาส่งให้นภทีป์ถึงมือ

   “กินให้อร่อยนะครับ”

   “มันจะไปอร่อยได้ยังไง...” เจ้าของชามข้าวต้มบ่นอุบอิบ ตอนป่วยอย่างนี่ไม่ว่ากินอะไรก็ชืดลิ้นไปเสียหมด ทำได้จริง ๆ ก็แค่กินกันตายเท่านั้นเอง

   “อย่าพูดอย่างนั้นสิ ถ้ากินไม่หมดผมจะจับป้อนนะ”

   “ฝันไปเถอะ!” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เพราะถูกขู่หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ นภทีป์จึงรีบกินเข้าไปอย่างรวดเร็วแทบจะลืมเคี้ยวสร้างความขบขันให้แก่ผู้เฝ้ามองเป็นอย่างมากแต่เจ้าตัวก็ได้แต่กลั้นหัวเราะเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายโมโหจนเลิกกินไปเสียดื้อ ๆ

   ระหว่างมื้ออาหาร เพราะนภทีป์มัวแต่มุ่งมั่นกับการจัดการข้าวต้มลงท้องอย่างยากลำบากจะฝืนใจทน ทำให้ความเงียบปกคลุมพวกเขาทั้งสองจนกระทั่งภรัณยูถามคำถามขึ้นมาข้อหนึ่ง

   “คุณทีรำคาญผมหรือเปล่า?” คำถามนั้นเรียกให้ผู้ฟังเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมก็เอาแต่ตื้อคุณไปทุกเรื่องแล้วก็ทำตัวเอาแต่ใจ พอมาคิดดู...ผมคงจะทำตัวให้คุณรำคาญมากแน่ ๆ”

   “รู้ตัวก็ดีแล้วนี่” พอตอบออกไปอย่างนั้น สีหน้าภรัณยูก็คล้ายจะลำบากขึ้นมา แม้ว่าเจ้าตัวจะทำเป็นยิ้มเก้อแล้วเกาท้ายทอยอย่างเคยก็ตาม ทำให้นภทีป์ต้องพยายามเค้นสมองอันพร่าเลือนของตนเองเพื่อหาคำตอบที่ดีกว่าออกมา “แรก ๆ มันก็...น่ารำคาญอยู่ แต่ฉันคิดว่าฉันทำตัวให้ชินกับมันได้ไม่ยาก อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ไม่ได้รำคาญใจสักเท่าไหร่แล้ว...” คำตอบของเขาทำให้ภรัณยูยิ้มกว้างขึ้นจนเจิดจ้าเหมือนกับครั้งแรก ๆ ที่อีกฝ่ายมายืนอยู่ที่หน้าบานประตูพร้อมเสียงอรุณสวัสดิ์ทักทายยามเช้า

   เพียงแต่รอยยิ้มนั้นได้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปซึ่งเขาอธิบายไม่ถูก

   “ถ้าคุณทีไม่รำคาญผมมาก ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่คืนนี้ผมจะไปนอนเป็นเพื่อนในห้องนะครับ”

   “...อ...อะไร...ไม่ได้!” คำขอที่ถูกส่งมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้นภทีป์ปรับอารมณ์แทบไม่ทัน “นายก็นอนตรงทางเดินไปเหมือนเดิมสิ”

   “แต่นอนนอกห้องมันรู้สึกหวิว ๆ ยังไงอยู่นะครับ” ภรัณยูมองประตูที่เชื่อมกับระเบียงสำหรับตากผ้า “ถ้ามีตัวอะไรโผล่ออกมาตรงนี้ผมได้หัวใจวายกันพอดี” เขาพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงจัง เพราะไม่ว่าใครก็คงเคยจินตนาการว่าจะมีผีหรือตัวประหลาดปรากฏตัวที่หน้าต่างหรือประตูระเบียงตอนกำลังนอนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่ว่าภรัณยูจะอ้างอะไรออกมา นภทีป์ก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิเสธลูกเดียวแม้ว่าจะเริ่มคันคอยุบยิบจนไอแล้วก็ตาม แต่ไม่ว่าจะไม่ยินยอมอย่างไร ภรัณยูก็ยังพาตัวเองเข้าไปปูที่นอนบนพื้นข้างเตียงจนได้


TBC

ช่วงนี้ปั่นงานหลายอย่างพร้อมกันลืมอัพนิยายตลอดเลยค่ะ orz

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 12 (19/07/13)
«ตอบ #43 เมื่อ19-07-2013 19:29:29 »

กรี๊ดดด เพิ่งได้มีเวลามาอ่านแบบสิบสองตอนรวด
เรื่องนี้น่ารักมากเลยค่ะ แต่แอบไม่ชอบใจนายตฤณเลยอะ
ไม่ชอบจริงๆ น่าหมันไส้มาก
ทีอย่าไปใจอ่อนเชียวนะ
รัณน่ารักขนาดนี้

รอมาต่อนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

 :mew3:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 12 (19/07/13)
«ตอบ #44 เมื่อ19-07-2013 20:33:26 »

เรื่องน่ารักจัง แต่ปมเยอะเชียว

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 12 (19/07/13)
«ตอบ #45 เมื่อ19-07-2013 20:59:29 »

ที เริ่มหวั่นไหวกับความดี ความจริงใจของรัณแล้ว แม้จะเพิ่งนิดหน่อยก็ยังดี
ชอบรัณแบบนี้จังแฮะ เหมือนที่ทีคิด แรก ๆ ดูรัณกลัวทีมากเกินไป
แต่เดี๋ยวนี้เหมือนจะรับมือกับนิสัยของทีได้มากขึ้น กล้าขัดใจ กล้าต่อปากต่อคำมากขึ้นด้วย
ว่านิสัยแบบที เหมาะกับรัณที่เป็นอย่างนี้ที่สุดนั่นแหละ
แต่ไม่อยากให้ที เอารัณไปเปรียบกับนายตฤณ เลยนะ
ยิ่งถ้าเริ่มรู้สึกกับรัณ เพราะมีส่วนคล้ายนายตฤณเนี่ย ไม่ดีเลย
อะไรจะดีขึ้นกว่านี้ ถ้านายตฤณเลิกมาวุ่นวายกับทั้งคู่ซะที เบื่อนายคนนี้จริง ๆ
ขอบคุณคนเขียนค่ะ  :L2: :3123:

ออฟไลน์ jinjin283

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 934
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 12 (19/07/13)
«ตอบ #46 เมื่อ20-07-2013 00:08:26 »

ขยับความสัมพันธมาอีกคั้นแล้วหรือป่าวคะเนี่ย
 คุณทีดูจะอ่อนใหเยอะเลย นอนในห้องด้วย
จะดีมากเลยถ้าขยันมานอนบนเตียงด้วยกัน ฮ่าๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 12 (19/07/13)
«ตอบ #47 เมื่อ20-07-2013 10:30:28 »

อย่างยาว.....ทีเริ่มออกสังคมแล้ว

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 12 (19/07/13)
«ตอบ #48 เมื่อ20-07-2013 12:30:03 »

อ้าวววว ดิ้นสิ ตอนต่อไปอยู่ไหน !!!

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 13 (21/07/13)
«ตอบ #49 เมื่อ21-07-2013 08:18:05 »

-13-


   ในช่วงที่ภรัณยูเข้าค่ายอยู่กับนภทีป์ ก็มีปรากฏการณ์ที่บ่งบอกถึงความก้าวหน้า นั่นคือ...เป็นครั้งแรกที่นภทีป์พูดขึ้นมาว่า

   “ฉันจะสอนนายใช้ของพวกนี้” จากนั้นชายหนุ่มร่างเล็กก็ชี้ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์และเมาส์ปากกาที่วางนิ่งอยู่ตรงนั้นมานานจนเหมือนเฟอร์นิเจอร์มากกว่าอุปกรณ์สำหรับทำงาน แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของภรัณยูไปไกล เขาคิดมาตลอดว่านภทีป์หวงของเหล่านั้นมากเกินกว่าจะให้เขาแตะต้องพวกมัน แม้ในความเป็นจริงอีกฝ่ายจะทำเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นแต่ก็มีท่าทีเหมือนไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ ดังนั้น การที่อยู่ ๆ นภทีป์ก็พูดแบบนั้นออกมาจึงกลายเป็นนิมิตรหมายที่ดีในหลาย ๆ ด้าน

   “ดูเหมือนว่าฝีมือเธอจะคงที่แล้วสินะ อย่างนี้ค่อยน่าลุ้นหน่อย” อนุทินกล่าวพลางลูบคางตนเองอย่างพึงพอใจ วันนี้เป็นวันหยุดของเขาและไม่มีโปรแกรมอะไรจึงได้แวะมาดู และก็พบว่าไม่น่าผิดหวังเลยสักนิด ภรัณยูสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงพรสวรรค์ที่เขาต้องการให้อีกฝ่ายขัดเกลาด้วย จากการดูผลงานและพูดคุยกัน ภรัณยูมีความช่างสังเกตและเก็บรายละเอียดได้ดี เขาชอบพรสวรรค์ในข้อนั้นของเจ้าตัว ซึ่งคงต้องขอบคุณความอ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นของภรัณยูซึ่งทำให้พรสวรรค์ข้อนี้เบ่งบานขึ้นเรื่อย ๆ

   “ใครว่าคงที่กัน” ไม่ทันที่ภรัณยูจะแสดงความดีใจกับความสำเร็จขั้นแรก คำพูดของนภทีป์ก็ทำให้เขาหงอลงทันที “ฉันก็แค่คิดว่าถึงเวลาแล้วที่นายจะรู้จักของพวกนี้เอาไว้ ยิ่งรู้จักเร็วก็ยิ่งมีเวลาฝึกฝนนาน อย่ามาทำเป็นได้ใจ เข้าใจหรือเปล่า?”

   “...ครับผม...”

   อนุทินขำขันกับการโต้ตอบของทั้งสองคน นานมาแล้วที่เขาไม่ได้เห็นลูกพี่ลูกน้องของตนเองมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใคร แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะนับตฤณ ผู้ชายที่เขาไม่ถูกชะตานับแต่แรกพบและเคยเตือนนภทีป์ไปแล้วก่อนที่เขาจะไปต่างประเทศ แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าผู้ชายคนนั้นได้ออกไปจากชีวิตนภทีป์เสียแล้ว ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องดีและเขาก็ไม่คิดจะถามหาต้นสายปลายเหตุ

   ตอนนี้น้องชายของเขาได้พบเจอเพื่อนใหม่ที่ไว้ใจได้ มันคือเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว

   “ว่าแต่ เธอหายดีแล้วหรือ?” อนุทินเอ่ยถาม

   “ตอนนี้คิดว่าหายดีแล้วครับ” นภทีป์ตอบพลางหันไปถลึงตาใส่ภรัณยูอย่างเงียบ ๆ เพราะปากเปราะไปบอกเรื่องที่เขาป่วยเพราะละอองฝนกับอนุทิน

   “ยังไงก็เถอะ ต้องขอบคุณนะที่เธอมีคนดูแลที่ดี” ชายหนุ่มหัวเราะและหันไปมองภรัณยู “ถึงขนาดมานอนค้างด้วยแบบนี้ที่บ้านไม่ว่าอะไรหรือ?”

   “ไม่หรอกครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมก็กลับบ้านวันหนึ่ง ตกลงกันไว้ว่าให้กลับวันอาทิตย์แทนน่ะครับ”

   “ดูเหมือนเรื่องทางบ้านของเธอคงจะไปได้ดีแล้ว?”

   “ก็เหมือนจะเป็นแบบนั้นน่ะครับ” ภรัณยูหัวเราะแล้วเกาท้ายทอยขณะรอเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ส่งเสียงครางออกมาเหมือนคนที่เพิ่งตื่นนอนหลังจากหลับไปนาน และเมื่อหน้าจอเปิดพร้อมใช้งานนภทีป์ก็จัดการต่อสายเมาส์ปากกาเข้ากับตัวเครื่องแล้วให้ภรัณยูทำความคุ้นชินกับอุปกรณ์ชนิดใหม่

   แต่การฝึกฝนความคุ้นเคยของภรัณยูก็ช่างเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายเกินจะบรรยาย เริ่มจากการบังคับเมาส์ปากกาที่แม้จะมีรูปร่างคล้ายปากกาจริง ๆ ที่ค่อนจะป้อมไปหน่อย แต่กลับบังคับได้ยากกว่ามากเพราะเขาต้องใช้มือบังคับในขณะที่ตามองจอ มันไม่ใช่เรื่องที่จะคุ้นเคยได้ง่าย ๆ เลย โปรแกรมวาดภาพที่นภทีป์ให้ใช้ฝึกเป็นโปรแกรมที่ค่อนข้างจะพื้นฐานและมีอุปกรณ์หลายแบบ ยิ่งทำให้เขารู้สึกมึนงงยิ่งกว่าตอนลากทดลองมือเฉย ๆ เสียอีก และปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ...การมีสายตาสองคู่จ้องมองมาที่แผ่นหลัง ถึงแม่ในความเป็นจริงพวกเขากำลังมองหน้าจออยู่ก็ตาม แต่การทำบางอย่างทั้งที่มีคนมองดูอย่างเอาจริงเอาจังก็ทำให้เขาเกร็งไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรนอกจากขีด ๆ เขี่ย ๆ ไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย

   “ลองใช้หลาย ๆ อย่างสิ” นภทีป์เริ่มสั่งเพราเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ขีดเขี่ยไม่เป็นรูปทรง พอเหมือนจะวาดอะไรเป็นรูปร่างขึ้นมาก็กดลบไปหมดทันที

   “เอ่อ...คือว่า...”

   “นี่ไง ตรงนี้คือแถบอุปกรณ์” ปลายนิ้วของนภทีป์ชี้ไปยังด้านหนึ่งของจอซึ่งมีเครื่องมือมากมายหลายแบบปรากฏอยู่ ภรัณยูจำต้องทำตามแม้อยากจะทักท้วงบางอย่างขึ้นมา แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่สามารถวาดอะไรที่เป็นรูปร่างชัดเจนได้เลย

   อุปกรณ์บนแผงถูกนำมาใช้ทีละอย่าง ๆ แต่แม้จะใช้ความพยายามมากแค่ไหน ชายหนุ่มผู้เป็นนักเรียนก็ไม่อาจตั้งสมาธิกับการประยุกต์ใช้ของเหล่านี้ได้

   “นายใช้ผสมผสานกันบ้างสิ ใช้เป็นอย่าง ๆ แบบนี้ชาติไหนจะใช้เป็น” ผู้คุมยังคงกอดอกสอนฉอด ๆ อยู่ข้างตัวโดยไม่ได้เอะใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงดูเกร็ง ๆ ฝืน ๆ ชอบกล

   จนกระทั่งบังเกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศกดดัน ทั้งนภทีป์และภรัณยูจึงหันไปมองต้นเสียงและพบว่าอนุทินกำลังขำขันอยู่คนเดียวโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ

   “...น่าตลกตรงไหนกันครับ...” นภทีป์มุ่นคิ้วถาม

   “อา...ขอโทษ” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่อนุทินก็ยังหัวเราะต่อไปสักครู่หนึ่งแล้วจึงสงบลงและพูดต่อ “ที เธอไม่คิดหรือว่าภรัณยูเขากำลังเกร็งเพราะเธอจ้องเขาเขม็ง”

   ที่จริงเพราะคุณทั้งสองคนนั่นแหละครับ...

   ภรัณยูอยากตอบออกไปใจจะขาดแต่ก็เงียบเอาไว้เพราะเห็นว่าอย่างน้อยอนุทินก็เข้าใจความรู้สึกของเขา

   “แต่ถ้าไม่จ้องแล้วเขาจะ...”

   “ลองคิดดูสิว่าเธอชอบหรือเปล่าที่มีคนมามองเธอเวลาทำงานน่ะ?”

   “...” นภทีป์จนคำพูดไปในบัดดล ครั้นจะอ้าปากคัดค้านก็ชะงักก่อนจะกัดริมฝีปากเพราะพูดไม่ออก คิด ๆ ไปแล้วก็จริงอย่างว่า เวลาตัวเขากำลังทำงานหรือกระทั่งช่วงที่กำลังหัดวาดก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะอดทนรวบรวมสมาธิให้เป็นปกติท่ามกลางสายตาของคนอื่น “แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ?”

   “ออกไปเดินเล่นข้างนอกกันหน่อยดีไหม? ไหน ๆ วันนี้ก็บอกที่บ้านแล้วว่าจะกลับค่ำ ๆ แล้วพวกเราก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนกันสองคนนานแล้วนี่”

   คำชวนของอนุทินทำให้คนที่ถูกชวนลังเลอยู่นิดหน่อย เพราะเขาไม่ค่อยอยากจะออกไปสักเท่าไหร่ หากจะพูดจริง ๆ ก็คือ เขาไม่ค่อยชินที่จะอยู่กับอนุทินตามลำพังมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เพราะญาติผู้พี่คนนี้มักจะคาดเดาใจของเขาได้เสมอเสียจนบางครั้งก็น่าอึดอัดเพราะไม่อาจปกปิดอะไรไว้ได้เลย โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง สิ่งที่อยู่ในใจเขาก็ยิ่งถูกมองเห็นได้อย่างชัดเจน

   แต่เมื่อหันไปมองหน้าภรัณยู ชายหนุ่มตัวโตเหมือนหมีกลับกำลังมองกลับมาเหมือนขอร้องให้เขาตอบรับคำชวนนั้น

   ...

   “...ครับ...ก็ได้...” นภทีป์ตอบรับในที่สุด แต่ไม่ใช่เพราะสายตาขอร้องจากภรัณยู ทว่าเขารู้ดีว่าหากไม่ตอบรับ อนุทินก็ต้องหาวิธีพูดให้ยินยอมได้อยู่ดี

   ทั้งสองพากันเดินออกมาจากห้องโดยทิ้งภรัณยูไว้เพียงลำพัง แน่นอนว่ารติก็ตามติดนภทีป์ไปด้วย ประโยคข้างต้นจึงไม่ได้ผิดไปจากความจริงแต่อย่างใด

   อนุทินเดินนำไปจนถึงลิฟต์และรอให้นภทีป์เดินตามเข้ามา พวกยังคงตกอยู่ในความเงียบจนกระทั่งถึงพื้นล่าง และความเงียบเหล่านั้นทำให้นภทีป์รู้สึกอึดอัดใจ และยิ่งน่าอึดอัดมากขึ้นที่รติก็พลอยเงียบไปด้วย เจ้าตัวนั่งบนไหล่ของเขาและเอาแต่จ้องมาจากด้านข้างราวกับจงใจกลั่นแกล้ง

   “แถวนี้มีร้านกาแฟที่นั่งได้นาน ๆ ไหมนะ?”

   คำถามที่ถูกส่งมาทำให้ผู้ฟังถึงกับสะดุ้งเพราะไม่ทันตั้งตัว ท่าทางเช่นนั้นยิ่งบ่งบอกว่ามีพิรุธเสียจนไม่อาจปิดบังได้

   “...มีครับ เดินออกไปอีกหน่อยแล้วก็...เลี้ยวเข้าซอยข้าง ๆ” มันคือร้านที่ตฤณนัดเขาออกไปพบนั่นเอง ร้านนั้นเป็นร้านที่พวกเขาเคยไปด้วยกันนาน ๆ ครั้งสมัยที่ตฤณยังมาฝึกพิเศษอยู่กับเขา แต่ที่จริงแล้วมันก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสถานที่แห่งความทรงจำเพราะสิ่งเดียวที่นภทีป์ประทับใจในร้านนั้นก็คือบรรยากาศอันเงียบสงบกับบริกรที่ไม่วุ่นวายคอยถามไถ่ว่าจะรับอะไรเพิ่มหรือไม่ทุก ๆ  ครึ่งชั่วโมง

   “เดี๋ยวซื้ออะไรไปฝากภรัณยูเขาด้วยดีกว่า ทิ้งให้อยู่ห้องคนเดียวนาน ๆ ถ้าไม่มีอะไรติดมือกลับไปก็จะใจร้ายไปสักหน่อย”

   “แต่คุณทินเป็นคนแนะนำว่าให้เขาอยู่ตามลำพังดีกว่านี่ครับ”

   ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะแล้วจึงตอบ

   “นั่นก็ถูก แต่ฉันก็อยากให้เขารู้สึกดี ๆ กับเธอนะ ที”

   “...ทำไมกันล่ะครับ เดี๋ยวพอเรียนจบก็ทางใครทางมันแล้ว”

   ใช่...มันจะเป็นแบบนั้น เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็จะกลายเป็นความทรงจำ พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ห่างเหินกันไปและอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องมาพบกันอีก

   “ฉันเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ? ว่าอยากจะได้เขาเข้าทำงานด้วย ถ้าเธอยังยืนยันจะทำงานกับฉัน คงจะไม่ทางใครทางมันง่าย ๆ หรอกมั้ง?” ข้อเท็จจริงที่นภทีป์เพิ่งนึกออกจากการเตือนของอนุทิน ทำให้เจ้าของร่างเล็กนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ คิดทบทวนและพบว่าอีกฝ่ายเคยพูดอย่างนั้นจริง ๆ เพียงแต่ในเวลานั้นเขาไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะกำลังอารมณ์เสียกับภาระที่ถูกโยนกองมาให้โดยไม่เต็มใจรับ

   “แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ได้เกี่ยวไม่ใช่หรือ ว่าเขาจะคิดยังไงกับผม” เสียงพูดแผ่วเบาคล้ายไม่มั่นใจของนภทีป์ทำให้อนุทินหรี่ตาลงด้วยความข้องใจ

   ก่อนหน้านี้เขาคิดมาตลอดว่าญาติผู้น้องคนนี้คงจะโอนอ่อนผ่อนตามภรัณยูได้ไม่ยาก เพราะอุปนิสัยคนละขั้วของทั้งสองมันช่างเข้าล็อคกันอย่างพอดี กระนั้น ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายยามพูดถึงเจ้าหนุ่มคนนั้นคล้ายลังเลที่จะเชื่อมั่นในความคิดและความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ

   มันมีอะไรบางอย่างสินะ?

   นั่นคือเสียงที่กระซิบในสมองของอนุทิน

   ที่จริงก็ไม่น่าแปลกอะไร ภรัณยูมีบุคลิกภาพที่น่าคบหาและเข้าถึงได้ง่าย ผู้ที่อยู่ใกล้ ๆ มักจะเปิดใจให้โดยไม่รู้ตัว แต่สำหรับนภทีป์ การเปิดใจให้คนอื่นยังคงเป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุนั้น...บางส่วนในใจของนภทีป์คงกำลังกลัวว่าตนเองกำลังจะถลำเข้าไปในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกว่าเดิม

   “ที ภรัณยูเขาเป็นยังไงบ้าง?”

   “ครับ?” ชายหนุ่มร่างเล็กมุ่นคิ้วก่อนจะทบทวนคำถามในใจและตอบด้วยท่าทางที่ไม่มั่นใจนัก “ก็...ชอบจุ้นเรื่องคนอื่นมากเกินไป น่ารำคาญนิดหน่อย แต่ก็...ไม่ได้เลวร้ายอะไร”

   มุมปากอนุทินยกขึ้นเล็กน้อยด้วยความคิดที่บังเกิดขึ้นในหัว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

   และจนกระทั่งถึงร้านกาแฟ ทั้งสองก็เลือกมุมสงบด้านในนั่งทอดหุ่ยอยู่ด้วยกัน อนุทินสั่งกาแฟแก้วหนึ่งส่วนนภทีป์ที่ไม่ชื่นชอบรสขมเลือกน้ำผลไม้ปั่นเพื่อดับกระหายและดับร้อน แม้รติจะอยากเรียกร้องเครื่องดื่มให้ตนเองบ้างแต่แน่นอนว่าไม่มีใครให้ความสนใจ

   “อะไรกัน ทีกับภรัณยูนายยังซื้อขนมเผื่อจนเงินเกินงบ ทีกับฉันกลับงกเนี่ยนะ” รติประท้วงเมื่อเห็นว่านภทีป์ไม่ยอมทำตามใจตนเอง ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่รู้เหตุผล ดังนั้นการประท้วงก็เป็นเพียงการแซวให้อีกฝ่ายเขินอายเล่นในยามที่ตนเองว่างจนไม่รู้จะทำอะไร แต่แล้ว...การแซวของรติกลับได้ผลเกินคาดเมื่อใบหน้าของนภทีป์ค่อย ๆ แดงขึ้นหลังจบประโยค

   อาการยุกยิกที่น่ารำคาญในอกเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยก่อนหน้านี้ ทว่าในเวลานี้มันกลับชัดเจนเกินกว่าคำว่าคิดไปเอง

   มันอะไรกันนะ...

   เป็นครั้งแรกที่นภทีป์นึกถามตัวเองขึ้นมา ก่อนจะรีบหยุดความคิดทั้งหมดเพราะกลัวว่าตนเองจะรู้คำตอบอยู่แล้ว และคำตอบนั้นเขาก็กลัวเกินกว่าจะยอมรับมัน

   “เป็นอะไรหรือเปล่า?” อนุทินถามขึ้น “หรือว่าไข้กลับเพราะตากแดด?”

   “เปล่าครับ...ผมคิดว่าคงเพราะอากาศร้อนเฉย ๆ” นภทีป์ตอบปัดและชิงดีดรติออกจากไหล่ก่อนเจ้าตัวจะพูดอะไรขึ้นมาอีก

   “โถ่เอ๊ย แค่นี้ทำเป็นเขินไปได้” แต่ปากของรติก็ไม่อาจจะถูกผนึกได้โดยง่าย เจ้าของร่างเล็กจิ๋วกระพือปีกที่หลังของตนแล้วบินขึ้นไปกลางอากาศก่อนที่ปลายนิ้วของนภทีป์จะทำร้ายร่างกายเล็ก ๆ ของตน “ที่จริงมันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นเสียหน่อย นายก็แค่กลัวไปเองแท้ ๆ”

   นภทีป์ทำได้เพียงตอบโต้ด้วยสายตา เพราะอนุทินนั่งอยู่ตรงข้าม แม้จะอยากบอกให้รติเลิกพูดเรื่องนี้มากแค่ไหน แต่รติก็กลายเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่อาการถลึงตาและเสียงเอ็ดของเขาไม่อาจทำอะไรได้ ทำไมคนรอบตัวเขาถึงกลายเป็นแบบนั้นไปหมดนะ!

   “อ้าว ขนมเค้กมาแล้ว ลองกินดูไหม?” อนุทินเห็นว่านภทีป์เริ่มทำสีหน้าแปลก ๆ จึงตั้งใจจะหาประเด็นเบา ๆ มาคั่นกลางระหว่างความเงียบ แม้เขาจะรู้ดีว่าญาติผู้น้องของตนไม่ได้พิสมัยของหวานเป็นพิเศษ แต่ไม่ว่าเขาจะชวนอีกฝ่ายกินอะไร เจ้าตัวก็ยอมกินตามทุกที ซึ่งมันใช้เปิดประเด็นใหม่เกี่ยวกับอาหารที่กินอยู่ได้ และหลังจากคำชวนไม่นาน นภทีป์ก็ยกช้อนขึ้นด้วยความเกรงใจก่อนจะตักชิมตามที่ถูกเชิญ สีหน้าของนภทีป์ดูปกติอีกครั้งและกลายเป็นการครุ่นคิดหาคำตอบว่าควรจะพูดเกี่ยวกับรสชาติอย่างไร

   ความจริงแล้ว...มันก็เป็นมุมหนึ่งที่น่าเอ็นดูของอีกฝ่ายซึ่งเขามักจะใช้เวลาที่พวกเขาอยู่ตามลำพังและไม่มีอะไรพูดคุยกันมากนัก

   “ก็...หวานดีนะครับ รสส้มมันปะแล่ม ๆ ...” ไม่รู้ว่าเป็นคำชมหรือไม่ แต่มันก็ช่วยให้บรรยากาศเมื่อครู่คลายลงไปอย่างรวดเร็ว

   “ถ้าอย่างนั้นซื้อรสนี้ไปฝากภรัณยูก็แล้วกัน”

   แล้วทันใดนั้น บรรยากาศแบบเดิมก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง...

   รติขำขันอย่างออกหน้าออกตาโดยไม่พูดถึงเหตุผล กระนั้นในใจของเขาก็รู้ว่าทางด้านนภทีป์นี้ชัดเจนจนเกินพอ เหลือแต่ทางภรัณยู...ว่าเจ้าตัวจะคิดอย่างไร

-------------------------------------------->

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 13 (21/07/13)
« ตอบ #49 เมื่อ: 21-07-2013 08:18:05 »





ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 13 (21/07/13)
«ตอบ #50 เมื่อ21-07-2013 08:19:44 »

ในที่สุดความพยายามของภรัณยูก็สัมฤทธิ์ผล เขาสามารถวาดเป็นเส้นร่างที่เบี้ยวไปกว่าที่คาดไว้นิดหน่อยแต่อย่างน้อยก็พอมองได้ว่ามันคือภาพของสุนัขตัวหนึ่ง แต่ในขณะที่คิดจะปรับปรุงให้หายเบี้ยว ก็มีเสียงออดเรียกจากหน้าประตู ภรัณยูต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงได้รู้สึกตัวว่านั่นคือออดของห้องนภทีป์แต่ก็ยังลังเลที่จะเดินไปเปิดรับ เพราะตอนนี้นภทีป์ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไร แต่เมื่อเสียงออดดังเป็นครั้งที่สาม ชายหนุ่มก็ตกลงใจที่จะเดินไปเปิดประตูเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงมีธุระสำคัญ และไม่อยากให้คนข้างห้องเดินออกมาด่า

   “หืม? วันนี้นายมาที่นี่ด้วยหรือ?”

   ตฤณนั่นเอง ฝ่ายนั้นยืนอยู่หน้าประตูพลางหุบยิ้มเมื่อพบว่าคนที่มาเปิดรับไม่ใช่คนที่คาดหวัง ทว่าในวิทนาทีต่อมาเจ้าตัวก็ปั้นยิ้มได้อีกครั้งแม้จะดูแปลกตาไปสักน่อยก็ตาม

   “ช่วงนี้ผมอยู่ที่นี่ทุกวันน่ะครับ...ยกเว้นวันอาทิตย์”

   “อ้อ...มาค้างนี่เอง” ตฤณแทรกตัวเข้ามาในห้องโดยไม่รอคำเชิญ “ดูเหมือนทีจะไม่อยู่ น่าเสียดายจริง ฉันว่าจะมาบอกข่าวดีแท้ ๆ”

   “ข่าวดี...อะไรหรือครับ?” ภรัณยูมุ่นคิ้ว เขาไม่คิดว่านภทีป์จะยินดีนักกับข่าวของตฤณ ความสัมพันธ์ของทั้งสองดูไม่ดีสักเท่าไหร่แม้นภทีป์จะไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลยก็ตาม ถึงอย่างนั้นบางส่วนในใจของเขาก็กำลังสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่ก่อตัวอยู่ลึก ๆ มันคือความไม่พึงพอใจเมื่อคิดว่าทั้งสองจะพบกันและหันกลับมาคืนดีและใกล้ชิดกันอย่างเดิม ข่าวดีของตฤณ...อาจจะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ในอดีตก็เป็นได้

   “บริษัทที่ฉันทำงานอยู่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มจำนวนพนักงานและให้มาประจำที่สำนักงานที่กรุงเทพ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ลงมาเซอร์เวย์ แน่นอนว่าจะมีการเปิดรับพนักงานใหม่หลายอัตราและในแผนกที่ฉันอยู่ก็ด้วย” ตฤณว่าพลางโคลงศีรษะ “ทีคงจะดีใจที่ได้ยิน”

   หมายถึง...นภทีป์จะไปทำงานที่เดียวกับตฤณอย่างนั้นหรือ?

   สิ่งที่ยุกยิกอยู่ข้างในอกค่อย ๆ ขยายตัว ภรัณยูรู้ว่าเขาและนภทีป์ไม่มีอะไรที่จะสานต่อความสัมพันธ์กันได้เลย เมื่อเขาจบคอร์สตามที่อนุทินต้องการ พวกเขาก็เหมือนไม่มีอะไรต่อกันอีก ต่างคนต่างก็มีเส้นทางของตนเอง ระยะหลังนี้เขาจึงเริ่มคิด...จะเป็นอย่างไรหากเขาเองก็ไปทำงานกับอนุทินเช่นกัน คน ๆ นั้นให้ความเอ็นดูกับเขาเป็นอย่างมากและหากแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ อนุทินก็คงยอมสนับสนุน ซึ่งมันจะทำให้ทั้งเขาและนภทีป์ยังคงสามารถใกล้ชิดกันได้ต่อไป

   ทว่า...หากนภทีป์ไปกับตฤณแล้ว...พวกเขาก็คงจะจบลงที่เดิม...

   “ผมคิดว่า...เขาอาจจะไม่อยากไปกับคุณแล้วก็ได้” ภรัณยูพลั้งปากพูดออกไปโดยไม่ทันคิด แต่ก็ทำให้ตฤณชะงักไปได้ชั่วขณะหนึ่งก่อนมุ่นคิ้วถาม

   “ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”

   “คือ...ช่วงนี้ผมใกล้ชิดกับคุณที ก็อย่างที่คุณรู้...ผมก็เลยรู้อะไรหลายอย่าง ผมเห็นว่าคุณทีต้องการทำงานกับบริษัทของลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งและตอนนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงทดลองงานน่ะครับ” ไม่รู้ว่าการพูดออกไปแบบนี้จะดีหรือไม่ แต่ภรัณยูก็รู้สึกว่ามันช่วยให้อุ่นใจได้บ้าง และเมื่อตฤณได้ยินอย่างนี้แล้วก็คงจะยอมล่าถอยไป แต่เขาก็คิดผิดเมื่อคู่สนทนาหัวเราะออกมา

   “นั่นมันเป็นหนทางเวลาทีจนตรอกเท่านั้นเอง คิดว่าเขาไม่เคยพูดให้ฉันฟังเรื่องนี้หรือ?”

   เหมือนกับโดนตอกหน้า ภรัณยูหุบยิ้มโดยทันที

   “นายรู้หรือเปล่า ว่านี่เป็นงานที่ทีอยากจะได้มาตลอดและไม่ใช่ว่าวาดรูปสวยนิด ๆ หน่อย ๆ จะเข้าทำงานได้ แต่มันคือตลาดมืออาชีพที่มีการแข่งขันสูง โอกาสที่พยายามจะไขว่คว้ามาเยือนตรงหน้าอีกครั้ง มีหรือที่ทีจะไม่ยอมรับไว้” คำพูดของตฤณก็มีเหตุผล ความใฝ่ฝันของคนเรานั้นมีหลากหลาย แต่หนึ่งในนั้นจะต้องมีคำว่าชื่อเสียงและความมั่นคงเป็นหลักอย่างแน่นอน และนภทีป์เองก็น่าจะเป็นเช่นนั้น...

   ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองควรจะตอบโต้อะไรอีก ที่จริงแล้วเขาไม่มีอะไรจะตอบโต้กลับไปได้เลย ในใจของเขารู้ว่าตฤณมีอิทธิพลกับนภทีป์อย่างชัดเจน และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาที่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งซึ่งพยายามไล่ตามความฝันของตนเองเหมือนกับเด็กน้อยที่ไล่จับผีเสื้อ ถึงแม้ว่าจะไล่จับผีเสื้อได้ แต่เขาก็ไม่มีทางเป็นเจ้าของทุ่งดอกไม้ที่ผีเสื้ออาศัยอยู่ได้

   สิ่งที่เขาต้องการในตอนแรกนั้น...เป็นเพียงความฝันเล็ก ๆ เท่านั้นเองไม่ใช่หรือ? ซึ่งในตอนนี้มันน่าจะเพียงพอแล้ว

   “เอ่อ...แล้ว...จะเริ่มเมื่อไหร่หรือครับ?” คำถามของภรัณยูเรียกให้ตฤณเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เขาจึงรีบสำทับด้วยเหตุผลที่นึกขึ้นได้ “เผื่อว่าคุณทีจะถาม ผมจะได้ตอบได้”

   “อ้อ” ผู้ฟังหัวเราะในคอ “ยังไม่มีกำหนดการณ์หรอก ตอนนี้มีการวางแผนหลาย ๆ อย่างแล้วฉันที่เป็นแค่พนักงานก็แค่ได้ข่าวมาอีกที แต่เป็นข่าวที่เชื่อถือได้ บอกทีให้เตรียมตัวไว้แล้วกัน แล้วเดี๋ยวฉันจะมาบอกข่าวเรื่อย ๆ นายเองก็ฝึกหนักเข้าล่ะ บางทีนายอาจจะมีโอกาสนิด ๆ ก็ได้ที่จะไปที่นั่น” ท้ายประโยคฟังแล้วไม่เหมือนการให้กำลังใจแม้สักนิด แต่ภรัณยูก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจเพราะเขารู้ว่าตฤณเองก็ไม่ได้ชอบหน้าเขานักเช่นกัน

   “ผมจะบอกให้ แล้วมีอะไรอีกไหมครับ?”

   “ที่จริงฉันคิดว่าจะรอบอกเองน่ะ” เจ้าตัวจงใจพูดเช่นนั้นเพื่อดูปฏิกิริยาของภรัณยูซึ่งเหมือนจะมีความไม่พอใจสะท้อนออกมานิด ๆ “แต่ก็เอาเถอะ ฉันเองก็มีงานมีการเหมือนกัน ฝากบอกทีเรื่องงานแล้วก็ฝากบอกด้วยว่าฉันเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่แล้ว ถ้าจะติดต่อก็โทรมาเบอร์นี้ล่ะ” ว่าจบ ตฤณก็ยื่นนามบัตรให้แล้วโบกมือลาก่อนจากไปโดยไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ เป็นพิเศษอีก

   ภรัณยูมองนามบัตรอย่างลังเลแล้ววางมันลงข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ซึ่งนภทีป์จะเห็นได้ในทันทีที่กลับมาถึง เขารู้ว่าทำไมตฤณจึงต้องให้นามบัตรไว้ เพราะระยะนี้นภทีป์ไม่ค่อยยอมรับสายโทรศัพท์ของใครโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เบอร์ที่ตนเองไม่รู้จัก ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เขาขุ่นใจได้อยู่ดี

   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เรื่องที่รู้อยู่แล้วว่านภทีป์จะต้องตอบรับคำเชิญชวนของตฤณอย่างแน่นอน...

------------------------------>

   เพราะอยากจะให้เวลาภรัณยูปรับตัวกับอุปกรณ์ใหม่ได้สะดวกใจ อนุทินจึงรั้งนภทีป์ไว้เสียจนถึงช่วงเย็นและพามาส่งที่คอนโดมิเนียมก่อนที่ตนเองจะกลับ

   ถึงอย่างนั้น ก่อนจะปลีกตัวกลับไป อนุทินก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดเรื่องภรัณยูขึ้นมา

   “มันคงจะดีถ้าเขายังมุ่งมั่นอยากจะทำงานนี้ต่อไป ทีเองก็เจอบ่อย ๆ นี่นะ คนที่อยากจะทำแต่พอถึงเวลาจริงกลับเลิกไปเสียดื้อ ๆ เพราะเบื่อบ้าง ขี้เกียจบ้าง นี่มันก็ร่วม 3 เดือนแล้วตั้งแต่เริ่มเรียน นับว่ามีความอดทนสูงใช้ได้ทีเดียว” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อให้นภทีป์เป็นคนสอน ประโยคเหล่านี้อนุทินจงใจละเว้นไว้แล้วนึกขำกับตนเอง “บางทีถ้าเขาเกิดท้อถอยหรือเบื่อหน่ายขึ้นมาก็น่าจะเป็นช่วงเวลานี้ล่ะมั้ง?”

   “ก็ไม่แน่หรอกครับ บางคนก็ทำไปหลายปีแล้วก็เกิดเบื่อได้เหมือนกัน” อย่างเช่นเขาเป็นต้น นภทีป์ก็มีประโยคที่ละเว้นไม่ยอมพูดออกมาเช่นกัน แต่ถึงอยากพูดก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะสาเหตุที่เขาเหนื่อยหน่ายนั้นไม่ใช่เพราะเกลียดงานที่ทำ แต่เพราะช่วงอารมณ์ของตัวเขาเองต่างหาก

   จะว่าไป...เขาไม่ได้วาดรูปอย่างจริงจังมาเกือบ 4 เดือนแล้วสินะ...

   เป็นการเว้นช่วงที่นับว่าไม่ได้นานผิดปกติ หากเทียบกับเรื่องที่เคยเกิดในอดีตซึ่งทำให้เขาไม่สามารถวาดรูปได้เป็นปี ๆ แม้สุดท้ายจะกลับมาวาดได้เหมือนเดิมแต่เขาก็ไม่สามารถย้อนกลับไปมองภาพวาดที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวเหล่านั้นได้...ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งมันจะกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งผ่านทางผู้ชายคนหนึ่งซึ่งต้องการจะเดินทางสายเดียวกันและมีมันเป็นแรงบันดาลใจชิ้นสำคัญ

   หลังจากอนุทินกลับไปแล้ว นภทีป์ก็กลับขึ้นห้องของตนเองและคิดว่าป่านนี้ภรัณยูจะกำลังทำอะไรอยู่ แน่นอนว่าความคิดของเขาถูกรติเอ่ยทักตามเคย

   “กำลังคิดถึงภรัณยูอยู่ล่ะสิ?”

   “อย่าสู่รู้ให้มากนักได้ไหม ฉันชักจะรำคาญแล้วนะ” ถึงจะรู้แก่ใจดีว่าพูดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่บางครั้งเขาก็อยากให้รติรู้จักคำว่าเงียบเสียบ้าง

   ให้ตายสิ...นิสัยเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิด อย่างนี้เขาจะหลอกตัวเองว่าเป็นแค่เรื่องล้อเล่นของสมองตัวเองหรือภาพในจินตนาการได้อีกหรือ?

   ตอนที่ทั้งสองกลับไปถึงห้อง พวกเขาก็เห็นภรัณยูกำลังจ้องหน้าจอเขม็งและเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูแม้แต่น้อย นภทีป์เดินไปยืนมองจากด้านหลังโดยไม่ส่งเสียงรบกวนและพบว่าเจ้าตัวกำลังพยายามดราฟภาพถ่ายของสุนัขและแมวซึ่งเล่นกันอย่างน่ารักน่าชัง สงสัยว่าจะไปหามาจากอินเทอร์เน็ตกระมัง?

   จากภาพบนจอมอนิเตอร์ สายตาของนภทีป์ก็เลื่อนไปมองข้าง ๆ และสะดุดเข้ากับนามบัตรของใครบางคนจึงเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดู ตอนนั้นเองที่ภรัณยูรู้สึกตัวและหันมองตามมือเหมือนกำลังงงงวยก่อนจะหยุดที่ใบหน้าของเขาโดยไม่พูดอะไร

   “ตฤณมาหรือ?” เจ้าของห้องเอ่ยถามพลางขยับมือที่ถือนามบัตรเล็กน้อย

   “...ครับ คือ...เขาฝากให้คุณ”

   “อ้อ...” แค่คำตอบรับสั้น ๆ ที่ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษ ในตอนนี้คล้ายว่าความรู้สึกยึดติดกับตฤณได้บางเบาเจือจางลงไปบ้างแล้ว เป็นสิ่งที่นภทีป์ยังอดแปลกใจตนเองไม่ได้

   “แล้วก็...เหมือนจะมีข่าวมาบอกด้วยครับ” ภรัณยูอ้อมแอ้มพูดคล้ายว่าไม่เต็มใจแต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนิ่งฟังจึงพูดต่อ “เขาบอกว่า...บริษัทของเขาจะมีการ เอ่อ...ขยายตำแหน่งงาน...สาขา...อะไรสักอย่าง บางทีคงจะเปิดรับสมัครพนักงานเพิ่ม”

   เรียวคิ้วของผู้ฟังมุ่นเข้าหากันอย่างครุ่นคิดและคล้ายว่าจะมีความขุ่นใจปะปนอยู่หลายส่วน สีหน้าของนภทีป์ไม่ได้กำลังบ่งบอกว่าดีใจกับข่าวที่ได้ยินซึ่งมันทำให้ภรัณยูรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก

   “นายได้กินอะไรหรือยัง?” นภทีป์เปลี่ยนหัวข้อโดยไม่แสดงอาการสนใจเพิ่มเติม

   “อ...คือ...” พอพูดขึ้นมาภรัณยูก็เพิ่งนึกได้ว่านอกจากอาหารเช้าแล้วเขาก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยเพราะมัวแต่คร่ำเคร่งกับการฝึกใช้เมาส์ปากกาให้คล่องมือ กระเพาะของเขาร้องโครกทันทีที่ชายหนุ่มเงยหน้ามองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะคอมพิวเตอร์ “ผมไม่รู้เลยว่าเวลาขนาดนี้แล้ว”

   เจ้าของคำถามแรกฟังพลางเม้มปากนิด ๆ เพราะเกิดรู้สึกเขินขึ้นมาเมื่อคิดจะทำสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ นภทีป์ได้แต่พยายามทำให้ตนเองสงบใจลงเพื่อไม่ให้ภรัณยูรู้สึกผิดสังเกต

   “แล้วคุณทีกินอะไรมากหรือยังครับ?” เพราะเห็นว่าคู่สนทนาเอาแต่เงียบ เขาจึงถามกลับบ้าง “ถ้ายังผมจะลองไปดูในตู้เย็นว่ายังเหลืออะไรอยู่บ้าง”

   “ไม่ต้องหรอก ฉัน...ซื้อมาฝากแล้ว” ว่าจบ นภทีป์ก็ยื่นถุงในมือให้โดยเบนสายตาไปทางอื่น “แล้วก็ขนมเค้กด้วย ที่จริงเป็นความคิดของคุณทินน่ะ”

   ภรัณยูเลิกคิ้วมองของฝากพลางยิ้มขันกับท่าทางของนภทีป์ที่บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกกระดาก อาจจะเพราะไม่ค่อยได้ซื้ออะไรให้ใครบ่อย ๆ กระมัง โดยเฉพาะเขาที่นภทีป์แทบไม่เคยทำดีด้วยเลย การที่อยู่ ๆ ก็ซื้อของให้จึงทำให้รู้สึกขัดเขินอยู่ไม่น้อย

   “ขอบคุณครับ แต่คุณทีเป็นคนเลือกใช่ไหม?” เขาลองถาม

   “...ก็ประมาณนั้น คุณทินเขาบอกว่าไม่รู้ว่านายชอบกินอะไร ฉันอยู่กับนายมาสักพักแล้วน่าจะรู้ดีกว่า” นภทีป์ตอบแล้วเลื่อนสายตากลับมามองคู่สนทนาก่อนจะรีบพูดต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องหน้าตนพลางยิ้มกริ่มแปลกตา “รีบไปกินซะทีสิ!”

   “ครับผม!” ภรัณยูทำท่าตะเบ๊ะล้อเลียนแล้วเดินไปหยิบจานจากในครัว

   ระหว่างที่ภรัณยูจัดการกับมื้ออาหารของตนเองอย่างหิวโหย นภทีป์ไปนั่งดูงานที่ภรัณยูทดลองทำในวันนี้ไปพลาง ๆ

   รตินั่งอยู่บนไหล่นภทีป์และหันมองภรัณยูเป็นระยะ เขาติดใจสงสัยจริง ๆ ว่าภรัณยูคิดยังไงกับนภทีป์กันแน่ เพราะฝ่ายนั้นคุ้นชินกับการตามอกตามใจคนอื่น จึงไม่ค่อยแสดงความต้องการที่แท้จริงออกมาอย่างชัดแจ้ง จึงนับว่าเป็นคนที่อ่านได้ยากคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่เดิมรติก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองมองคนอื่นได้เก่งอยู่แล้วด้วย บางที...หากเขาได้เซนส์สักครึ่งของอนุทินคงจะได้คำตอบไปนานแล้ว

   “เฮ้อ...”

   “ถอนหายใจอะไรของนาย” นภทีป์กระซิบถามพลางมุ่นคิ้ว

   “เรื่องของฉันน่า ถึงจะกลายเป็นตัวอะไรแบบนี้ไปแล้วฉันก็ยังมีเรื่องอึดอัดใจได้เหมือนกันนะ” เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่รติพูดถึงความรู้สึกของตนเองออกมาตรง ๆ ทำให้ผู้ฟังนึกแปลกใจว่าอีกฝ่ายไปกินอะไรผิดสำแดงมา ไม่สิ...รติกินอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นมันเกิดอะไรที่ทำให้เจ้าตัวประหลาดนี่อึดอัดใจได้นะ?

   “ไม่ต้องเล่าให้ฉันฟังก็ได้ ฉันไม่ว่าง”

   “เจ้าคนใจร้าย เพราะมีเพื่อนอย่างนายน่ะสิฉันถึงได้กลุ้มอยู่นี่ นายเคยคิดไหมว่าอยากจะเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ด้วยตัวเองบ้างน่ะ”

   “ฉันไม่ได้ขอให้นายมาวุ่นวายกับเรื่องของฉันเลยนะ!”

   “ถ้าอย่างนั้นนายกล้าบอกภรัณยูไหมล่ะว่านายรู้สึกยังไงอยู่น่ะ!”

   คำถามที่ถูกสวนกลับมาทำให้นภทีป์ถึงกับอึกอักไปไม่ถูก มันเป็นเรื่องยากจนแทบจำเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนอย่างเขาพูดเรื่องแบบนั้นออกมา อีกอย่าง...ตัวนภทีป์เองก็ยังไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าตนเองจะคาดหวังได้สักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่า...การผิดหวังเสียแต่เนิ่น ๆ อาจจะดีกว่าก็ตามที...

   “ให้ตายสิ ถ้าเจ้าเด็กนั่นเปิดเผยตัวเองมากกว่านี้ก็ดีหรอก” รติบ่นอุบอิบ

   “ฉันไม่เห็นว่าคนอย่างภรัณยูจะปิดบังอะไรตรงไหนนี่”

   “ผมทำไมหรือครับ?”

   เสียงที่แทรกผ่านเข้ามาโดยไม่ทันคาดคิดทำให้ทั้งรติและนภทีป์ถึงกับสะดุ้งโหยง แต่ภรัณยูเห็ยเพียงนภทีป์คนเดียวที่เกร็งตัวเหมือนคนมีชนักติดหลัง

   “ฉันแค่...” เจ้าของร่างเล็กกลอกตาคิดหาคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง “...บ่นอะไรอยู่คนเดียว ก็แค่นั้น”

   “เกี่ยวกับคุณตฤณหรือครับ?” ภรัณยูพลั้งปากถามออกไปก่อนจะก้มหน้าและเกาท้ายทอยแก้เก้อเมื่อเห็นสีหน้านภทีป์คล้ายสงสัยในเจตนาของตน “ก็...ดูเหมือนคุณตฤณจะอยากให้คุณไปอยู่ด้วย หมายถึง...ทำงานด้วยกันน่ะครับ แล้วคุณก็เคยบอกว่าอยากจะให้โอกาส...”

   “เปล่า...ฉันไม่ได้กำลังคิดเรื่องนั้น” นภทีป์รีบปฏิเสธก่อนภรัณยูจะเข้าใจผิดไปไกล “ฉันไม่คิดว่าตฤณจะเปลี่ยนตัวเองได้จริง ๆ หรอก เขาก็คงแค่ชอบเอาชนะแล้วการที่ฉันจะยอมอภัยให้ก็คงจะเป็นหนึ่งในสัญญาณว่าฉันยังคงแพ้ทางเขาอยู่เหมือนเดิม”

   “ถ้าอย่างนั้นแปลว่าคุณจะไม่กลับไปคบหากับเขาหรือครับ?” แม้จะเป็นเรื่องน่าแปลกที่อยู่ ๆ ภรัณยูก็สงสัยเรื่องแบบนี้ขึ้นมา แต่นภทีป์ก็คิดว่าคงเพราะเจอกับตฤนและเจ้าตัวได้พูดอะไรบางอย่างกับภรัณยูกระมัง

   “ก็ไม่แน่ใจ...” เขาไม่แน่ใจจริง ๆ เพราะแม้จะไม่รู้สึกยึดติดกับตฤณมากเหมือนแต่ก่อนแล้ว กระนั้นก็ยังคงมีความหวังเล็ก ๆ ว่าตนเองจะไม่ต้องเผชิญกับความผิดหวังซ้ำซาก ในตอนนี้นภทีป์จึงไม่อาจแน่ใจกับอะไรได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เพราะไม่กล้าที่จะแน่ใจ

   “แล้วถ้ามีคนอื่นชอบคุณล่ะ? คุณจะเลือกเขาหรือคุณตฤณมากกว่า”

   วันนี้ภรัณยูดูแปลกมาก เพราะไม่เคยรุกถามเขาอย่างจริงจังขนาดนี้มาก่อน

   “นายจะรู้ไปทำไม มันเรื่องไร้สาระ...” นภทีป์พูดไม่ทันจบประโยคดี ภรัณยูก็คว้าข้อมือเจ้าตัวไว้ก่อนที่จะลุกเดินหนีไปเหมือนทุกครั้งที่ไม่อยากตอบคำถาม พวกเขาหยุดนิ่งอยู่ท่านั้นชั่วขณะหนึ่งเหมือนต่างคนต่างก็กำลังทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นและจะเป็นอย่างไรต่อไป ก่อนที่ภรัณยูจะพูดประโยคหนึ่งออกมาซึ่งทำให้ทั้งนภทีป์และคนนอกอย่างรติตกตะลึงพรึงเพริดไปตาม ๆ กัน

   “จะเป็นไปได้ไหม ถ้าเกิดว่าผม...จะชอบคุณ...”

TBC

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 13 (21/07/13)
«ตอบ #51 เมื่อ21-07-2013 08:55:01 »

อุ๊บบบบบ ตอนต่อปายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 13 (21/07/13)
«ตอบ #52 เมื่อ21-07-2013 11:26:53 »

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ให้ตายสิ ให้ตายสิ
รัณรุกแล้วเว้ยเฮ้ยยยยยยยยย
ลุ้นมากอะ
คุณเซียรีบมาต่อให้ด่วนเลยนะคะ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 13 (21/07/13)
«ตอบ #53 เมื่อ21-07-2013 12:07:46 »

คนอย่างตฤนนี่น่ารังเกียจซะจริง
แล้วทีก็ยังไม่ยอมตัดให้ขาดอีก

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 13 (21/07/13)
«ตอบ #54 เมื่อ21-07-2013 16:33:23 »

ทีเริ่มรู้สึกอะไร ๆ กับพระเอกของเราแล้วใช่มั้ยเนี่ย  :m3: แต่เบื่อนายตฤณ น่ารำคาญ มาวุ่นวายอยู่ได้
ดีที่ ที เริ่มจะตัดใจ ไม่ให้ความสนใจนายตฤณได้มากขึ้นแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย
แล้วยิ่งรัณของเราเอง ออกอาการหึงหวงทีอย่างไม่รู้ตัว มันเป็นการบ่งบอกว่าชอบทีเข้าให้แล้วชัด ๆ
เมื่อความรู้สึกเริ่มจะตรงกัน แต่ยังไม่มีใครเป็นฝ่ายยอมรับความรู้สึกนั้นก่อน ก็ไม่มีประโยชน์สินะ
เลยกลายเป็นรติ และ นายตฤณ เป็นตัวกระตุ้นอย่างดีของทั้งคู่เลย
โดยเฉพาะนายตฤณ เพราะที ที่แม้จะรู้อยู่แล้วว่าถ้าให้อภัยก็เท่ากับแพ้ทางนายตฤณต่อไป
แต่ทำไมถึงยังไม่แน่ใจ ว่าจะกลับไปหานายตฤณมั้ย ไม่เข้าใจทีเลยแฮะ
แต่ก็เพราะอย่างนั้นแหละเนอะ ทำให้รัณของเรา ยอมรับแล้วบอกความรู้สึกตัวเองกับที
เพราะไม่อยากเสียทีไปให้นายตฤณสินะ ขึ้นอยู่กับทีแล้ว ว่าจะตัดสินใจยังไง
ขอบคุณคนเขียนค่ะ  :L2: :3123:

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 14 (23/07/13)
«ตอบ #55 เมื่อ23-07-2013 14:25:49 »

-14-


   จะเป็นไปได้ไหมที่ผมจะชอบคุณ...

   ชอบคุณ...

   ชอบคุณ...

   เสียงสะท้องก้องของประโยคสั้น ๆ ยังคงติดตรึงอยู่ในสมอง ผู้ฟังพยายามที่จะคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น ทว่าสายตาและท่าทีของคนพูดกลับไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังพูดเล่นเลยสักนิด แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่ทันได้คาดคิดเช่นนี้ย่อมไม่มีทางที่นภทีป์จะตอบโต้กลับไปได้ในทันที ที่สุดแล้วบทสนทนาของพวกเขาจึงจบลงที่ตรงนั้นโดยไม่มีอะไรเพิ่มเติม...

   หลังจากพูดสิ่งที่อยากพูดแล้ว ภรัณยูก็ยังคงทำตัวตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งทำกับข้าวรสชาติประหลาด ฝึกฝนใช้งานคอมพิวเตอร์ และช่วยล้างจาน ซักผ้า ไปตามเรื่องตามราว ผิดกับนภทีป์ที่ผิดแปลกไปอย่างชัดเจน เขาไม่อาจทำตัวปกติได้หลังจากได้ยินถ้อยคำที่ใกล้เคียงกับการสารภาพรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากคนใกล้ตัวซึ่งเขารู้ตัวว่ากำลังมีความรู้สึกพิเศษด้วย

   นับจากวันนั้น นภทีป์ก็เริ่มรู้สึกเหมือนตนเองขาดอากาศหายใจอยู่บ่อย ๆ เมื่อภรัณยูเข้ามาใกล้ซ้ำยังไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย

   เมื่อใดก็ตามที่ถูกเรียกชื่อ นภทีป์มักจะสะดุ้งและหัวใจเต้นระรัวจนหยุดไม่ได้

   และเรื่องที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ...เรื่องที่ภรัณยูยังคงยืนยันที่จะนอนในห้องเดียวกับเจ้าของห้อง และนภทีป์ไม่สามารถหาเหตุผลไล่เจ้าตัวออกไปได้ ทุก ๆ คืน ภรัณยูมักจะนอนหลับไปอย่างงรวดเร็วในเวลาเดิมเสมอ ส่วนนภทีป์เป็นคนที่นอนหลับยากเป็นทุน จึงได้แต่พลิกไปมาบนเตียงอย่างกระสับกระส่ายและเผลอเกร็งตัวเป็นระยะเมื่อได้ยินเสียงการขยับตัวของอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะเป็นบ้า เขานอนหลับไม่สนิทและว้าวุ่นใจอยู่ตลอดเวลา

   สาเหตุสุดท้ายที่ทำให้นภทีป์รู้สึกคล้ายกำลังกลายเป็นระเบิดเวลาลูกย่อม ๆ นั่นคือตัวการใหญ่ รติ สิ่งที่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นอะไร ไม่ใช่ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต สิ่งที่ตั้งฐานะให้ตนเองว่าเป็นกามเทพผู้ไร้ศรรักคอยก่อกวนเขาอยู่ตลอดเวลาไม่ว่างเว้นราวกับถึงเวลาเอาคืนอย่างสาสมกับความผิดที่นภทีป์ไม่อาจรู้ได้ว่าตนเองไปทำอะไรให้อีกฝ่ายเก็บกดถึงขนาดนี้

   รติแทบจะไม่เคยเงียบเลยเมื่อเขาเกิดปฏิกิริยาบางอย่างกับการกระทำของภรัณยู และเขาก็ไม่อาจตอบโต้กลับไปได้เมื่อมีคนอยู่ด้วยทำให้เจ้าตัวยิ่งได้ใจ และไม่รู้ว่าทำไม...เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามจะหันไปเอ็ดใส่รติ ภรัณยูก็มักจะมองมาที่เขาและยิ้มให้อย่างมีความหมาย

   เขาอยากจะ...กลายเป็นระเบิดไปจริง ๆ ให้รู้แล้วรู้รอด...

   อย่างไรก็ดี ช่วงเวลาอันยากลำบากของนภทีป์กำลังจะผ่านไป เพราะในที่สุดก็มาถึงวันเสาร์สุดท้ายที่ภรัณยูจะค้างแรมที่นี่ จากนั้นเจ้าตัวก็จะมาเฉพาะเสาร์และอาทิตย์เช่นเดิม

   ชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุกำลังจัดของใส่กระเป๋าพลางฮัมเพลงในคอในขณะที่นภทีป์นั่งกินข้าวไปพลางก็ถลึงตาใส่รติไปพลาง

   “น่าเสียดายแฮะ วันสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกันใกล้ชิดแล้วสินะ” รติทำเสียงเล็กเสียงน้อยพลางใช้ศอกกระทุ้งแก้มอีกคนเบา ๆ “นายนี่ใจร้ายจริง ๆ เขาอุตส่าห์เปิดเผยขนาดนี้อย่างที่นายต้องการแล้ว นายกลับไม่ยอมตอบรับหรือปฏิเสธให้ชัดเจนบ้าง”

   “มันเป็นความต้องการของนายต่างหาก” นภทีป์ตอบลอดไรฟันให้เบาที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

   “ถ้านายไม่ได้ต้องการทำไมนายถึงไม่ตอบปฏิเสธไปล่ะ? จะพูดว่า ฉันไม่ได้ชอบนาย หรือ ฉันไม่สนใจคนอย่างนายหรอก ก็ได้นี่นา?”

   คำถามของรติทำให้คนตอบเกิดอึกอัก เพราะถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในหัวของเขาแม้แต่น้อย จนถึงตอนนี้ นถทีป์ก็ยังคงนึกไม่ออกว่าควรจะตอบภรัณยูอย่างไร เพราะเขาไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรกันแน่ สิ่งที่เขารู้สึกกับภรัณยูมันคือความรู้สึกใกล้ชิด สนิทใจ และสบายใจ คิดว่าการมีอีกฝ่ายอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่ได้แย่อะไรจึงไม่ได้คาดหวังไปมากกว่านั้น ไม่เคยจินตนาการกระทั่งว่า หากเขาทั้งสองคบหากันจะเป็นเช่นไร มันก็แค่...ความรู้สึกดีเพียงผิวเผิน เหมือนกับเด็กวัยรุ่นที่มีคนเอาอกเอาใจจึงได้ติดคนที่เอาใจตน

   นภทีป์คอยนึกถามตัวเองเป็นบางครั้งในเวลาที่นอนไม่หลับว่าตนเองมีดีอะไรที่ตรงไหน ทำไมภรัณยู...ซึ่งน่าจะมีคนชื่นชอบมากมายจึงได้มาชอบคนอย่างเขาได้

   เขาจะแน่ใจได้อย่างไร...ว่ามันไม่ใช่เพียงความคิดชั่ววูบหรือแค่อยากลองของไปอย่างนั้น...

   “คุณที”

   ...!!

   “...อ...อะไร” เมื่อได้ยินเสียงเรียกขาน เขาก็ยังคงสะดุ้งเอาง่าย ๆ อยู่ดี หัวใจของเขาเต้นตึกตักจนนึกกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน

   “ไม่สบายหรือเปล่าครับ?” ภรัณยูเลิกคิ้วพลางมองมาด้วยสายตาสงสัยระคนเป็นห่วง ทำให้นภทีป์เพิ่งรู้ว่าใบหน้าตนเองร้อนวูบวาบเหมือนถูกอังด้วยของร้อน

   “เปล่า นายเก็บของเสร็จแล้วหรือไงถึงมีเวลามาห่วงคนอื่นเขาน่ะ”

   “ยังหรอกครับ ผมจะถามพอดีว่าเห็นของของผมลืมไว้ตรงไหนหรือเปล่า ถ้าลืมเสื้อไว้อีกคุณทีคงบ่นผมอีกแน่ ๆ” ชายหนุ่มร่างสูงว่าเช่นนั้นพลางเกาท้ายทอยตนเองด้วยสีหน้ายิ้มเก้ออย่างเคยก่อนกระซิบอุบอิบกับตนเอง “หวังว่าจะไม่ลืมอะไรน่าอายไว้นะ...”

   “ถ้าลืมไว้อีกสงสัยคราวนี้ฉันจะยึดเสื้อนายไว้ดมตอนนอนแหง ๆ” แน่นอนว่าประโยคนั้นไม่ได้ออกมาจากปากของนภทีป์แต่เป็นรติที่กำลังทำท่ากอดตัวเองอย่างโหยหาและจู๋ปากทำท่าจุ๊บ ๆ อย่างน่าหมั่นไส้ หรือหากให้พูดตรง ๆ คือเป็นวาจาและท่าทางที่ใกล้เคียงคำว่าโรคจิตจนแทบแยกไม่ออก

   นภทีป์ต้องอาศัยความอดทนอย่างมากที่จะไม่หันไปโยนอะไรใส่อีกฝ่าย และควบคุมน้ำเสียงตนเองให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้

   “ถ้าฉันเจออะไรของนายจะเก็บเอาไว้ให้ก็แล้วกัน”

   “แย่จังนะครับ วันสุดท้ายแท้ ๆ แต่ผมกลับเอาแต่จัดของของตัวเอง”

   “ถ้านายไม่จัดของของนาย แล้วนายอยากจะทำอะไร?”

   “ก็...ทำกิจกรรมอะไรร่วมกันล่ะมั้งครับ” ภรัณยูพูดออกไปโดยไม่ได้มีใจคิดอกุศล เขาคิดอย่างที่พูดคือพวกเขาทั้งสองน่าจะหาอะไรทำร่วมกันก่อนจากบ้าง เหมือนกับเพื่อนเวลาที่ไปเข้าค่ายค้างแรมด้วยกันทำนองนั้น ทว่าคำพูดที่ชวนให้คิดไปอีกแง่หนึ่งโดยไม่มีการแถลงไขให้กระจ่าง ได้กระตุ้นให้นภทีป์คิดไปในเส้นทางที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีรติเปิดประเด็นอยู่ข้างหู

   “ก...กิจกรรมอะไรของนาย!” นภทีป์ทนเงียบต่อไปไม่ไหวจึงต้องตะโกนออกมา

   “เอ๋ ผมพูดอะไรผิดหรือครับ?” แต่เมื่อได้ยินคำถามสวนกลับพร้อมสีหน้ากังขาชัดเจน เขาก็รู้ว่าตนเองพลาดไปเสียแล้ว และก่อนที่ภรัณยูจะเดาออกว่าเขาคิดอะไร นภทีป์ก็รีบละล่ำละลักแก้ตัวจนลิ้นแทบพันกัน

   “ไม่...ไม่มีอะไร ฉันหมายถึง...นายคิดว่าพวกเราควรทำกิจกรรมอะไรกันในเวลาแบบนี้?”

   ภรัณยูโคลงศีรษะเล็กน้อยพลางใช้ความคิด

   “อย่างเช่น...ออกไปเดินซื้อของกันล่ะมั้งครับ ของสดในตู้ก็หมดแล้ว แถมขนมที่คุณทีซื้อมาก็ด้วย...” พอพูดถึงขนม ชายหนุ่มก็ยิ้มเกรงอกเกรงใจ “ขอโทษนะครับที่ผมกินเสียเยอะ คราวนี้ผมจะซื้อคืนก็แล้วกัน คุณทีชอบขนมพวกเยลลี่ใช่ไหมครับ?”

   “ม...”

   นภทีป์เกือบจะตอบออกไปแล้วว่าไม่ต้องซื้อมาคืน แต่ภรัณยูจะต้องถามแน่ ๆ ว่าเพราะอะไร

   เขาจะตอบออกไปได้ยังไงว่าจงใจซื้อมาให้ตั้งเยอะแยะขนาดนั้น!

   “...ไม่ต้องก็ได้...ฉันอยากกินเมื่อไหร่เดี๋ยวก็ไปซื้อมาเองนั่นแหละ”

   “แต่ผมเกรงใจนะครับ มารบกวนตั้งนานแถมยังใช้เงินคุณทีซื้อของกินอีก ผมแทบจะไม่ได้ช่วยออกอะไรเลย” บางครั้งนิสัยของภรัณยูก็เหมือนการพยายามต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม ความหวังดีและความขี้เกรงใจกำลังบีบให้นภทีป์ต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยาก “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจัดกระเป๋าเสร็จแล้วเราออกไปด้วยกันนะครับ คุณทีอยากกินอะไรบอกมาได้เลยเดี๋ยวผมจะซื้อให้เอง”

   และเพราะเหตุนั้น...ผนวกกับความปากแข็ง พวกเขาจึงต้องออกไปที่ห้างสรรพสินค้าด้วยกันในตอนบ่ายจนได้ และทันทีที่ไปถึง ภรัณยูก็พาเดินไปที่โซนขนมขบเคี้ยวโดยไม่สนใจโซนอื่นเลย

   ชายหนุ่มแทบจะกวาดขนมจำพวกเจลาตินลงตะกร้าหมดทุกยี่ห้อ หลังจากนั้นยังหยิบพุดดิ้งและวุ้นคาราจีแนนผสมวุ้นมะพร้าวใส่ลงตะกร้าอีกด้วย

   “พอแล้วน่า นายคิดจะให้ฉันเป็นเบาหวานตายหรือยังไง” นภทีป์รีบรั้งมืออีกฝ่ายไว้ก่อนที่จะเอื้อมไปหยิบของเพิ่มจากกอีกชั้นข้าง ๆ

   “อ...ก็จริงนะครับ...ถ้าอย่างนั้นไปดูพวกเครื่องดื่มกัน” ว่าแล้วภรัณยูก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายคว้ามือของนภทีป์เดินตรงไปยังชั้นเครื่องดื่มซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านใน

   “นายคิดยังไงน่ะ อยู่ ๆ ถึงมาซื้อข้าวของให้ฉันแบบนี้ คิดว่าตัวเองเป็นเสี่ยหรือยังไง?”

   ภรัณยูหัวเราะเมื่อถูกเรียกว่า เสี่ย

   “เบี้ยเลี้ยงตอนฝึกงานของผมเอง ที่จริงแล้วผมคิดว่าจะพาคุณไปเลี้ยงอาหารเพื่อตอบแทนที่คุณดูแลผมมาตลอด แต่ก็ไม่มีจังหวะเลยแถมผมก็ไม่รู้จักร้านอาหารดี ๆ เท่าไหร่ด้วย จะพาไปเลี้ยงอะไรแพง ๆ เบี้ยเลี้ยงผมก็อาจจะไม่พอ สุดท้ายผมก็เลยลังเลมาจนถึงตอนนี้น่ะครับ” ท่าทางการพูดของภรัณยูดูจริงจังกับสิ่งที่คิดเป็นอย่างมาก ทั้งที่ตัวนภทีป์เองไม่เคยคิดเลยว่าตนเองได้ดูแลอีกฝ่ายจนน่าประทับใจถึงขนาดนั้น

   “ถ้านายอยากเลี้ยงฉันจริง พาไปกินบุฟเฟ่ต์นานาชาติก็พอแล้ว”

   “อยากกินจริง ๆ หรือครับ?”

   พอถูกถามกลับมา นภทีป์ก็เงยหน้าขึ้นมองคนข้างตัวด้วยสายตาเคลือบแคลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดคล้ายกับกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญ

   “นายไม่ต้อง...”

   “เอาไว้ผมทำงานเป็นหลักเป็นฐานก่อนได้ไหมครับ?”

   หา?

   นภทีป์กะพริบตาปริบ ๆ ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเอาจริง

   “ก็เงินเดือนเดือนแรกผมตั้งใจจะให้พ่อกับแม่ ดังนั้นเดือนที่สอง ผมจะเอามาเลี้ยงคุณทีก็แล้วกัน” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น ภรัณยูก็ยิ้มกว้างแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ดังนั้นก่อนผมจะได้งาน คุณทีต้องขุนตัวเองให้อ้วนกว่านี้นะครับ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่คุ้มเอา”

   อ...เอาจริงจริง ๆ หรือ?

   “แต่ว่าฉัน...”

   “สัญญาแล้วนะครับ”

   อยู่ ๆ ก็โดนมัดมือชกเอาอย่างนี้ นภทีป์ก็ถึงกับมึนงงไปพักใหญ่ และระหว่างที่กำลังเรียบเรียงความคิดของตัวเองอยู่ ก็เป็นจังหวะให้ภรัณยูหยิบขวดน้ำหวานใส่ตะกร้าไปอีกขวด

   “เอาล่ะ คราวนี้ก็ไปดูพวกของสดกันเถอะ ถึงผมจะเลี้ยงขนมคุณเป็นการตอบแทนก็จริงแต่คุณก็กินของไม่มีประโยชน์แบบนี้ทั้งวันไม่ได้หรอกนะครับ”

   “รู้แล้วน่า! นายเป็นพ่อฉันหรือไง!”

   ระยะหลังนี้นอกจากภรัณยูจะกล้าท้าทายเขามากขึ้นแล้ว เจ้าตัวยังเริ่มทำตัวเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขามากขึ้นด้วย แต่ถึงอย่างนั้น...นภทีป์กลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด ไม่เหมือนกับการที่มีคนคอยบงการให้ทำนั่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา เพราะภรัณยูมักจะทำเหมือนว่าทุก ๆ อย่างเป็นเรื่องสบาย ๆ เหมือนกับคนที่สนิทใกล้ชิดกันคอยดูแลกันเท่านั้นเอง

   ถ้าอย่างนั้น พวกเขาสนิทกับในฐานะไหนล่ะ?

   “น่าจะเป็นแฟนมากกว่าล่ะมั้ง” ราวกับได้ยินเสียงของความคิด รติตอบออกมาได้ตรงจังหวะเสียจนน่าหันไปบีบคอให้หยุดพูด เพราะคำพูดของรติได้กระตุ้นให้เขาเผลอคิดตามจนหน้าแดงขึ้นมาอีกคำรบ ความกระดากอายแผ่ซ่านไปทั้งร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทั้งนี้...เป็นเพราะเขาเองก็คิดขึ้นมาชั่วแวบหนึ่งว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเข้าใกล้คำนิยามนั้นเข้าไปทุกที

   ในนาทีที่กำลังพยายามคิดแก้ต่างให้สมองตนเอง มือของนภทีป์ก็ถูกคว้าจับอีกครั้งโดยฝ่ามือใหญ่ที่ให้ความรู้สึกอุ่นวาบแม้จะอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นเฉียบ

   “ไปทางนั้นกันเถอะครับ หรือว่าอยากจะซื้ออะไรอีก?” ภรัณยูถามพลางมองขึ้นไปบนชั้นที่เห็นอีกฝ่ายเหม่อมองอยู่ก่อนจะพบว่ามันเป็นชั้นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ “ผมไม่เห็นรู้เลยว่าคุณชอบดื่มเหล้าด้วย แต่ผมว่าพวกไวน์รสผลไม้ก็อร่อยดีนะครับ เคยดื่มเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่”

   “ฉันก็แค่เคยกินนิดหน่อย...” นภทีป์ตอบเสียงอุบอิบแล้วพยายามดึงมือกลับเพราะเห็นว่ามีพนักงานห้างบางคนกำลังมองมาและอมยิ้ม

   “ถ้าอย่างนั้นจะซื้อไปสักขวดไหมครับ?”

   “ไม่เป็นไร มันสิ้นเปลืองจะตาย แล้วนายก็ปล่อยมือฉันได้แล้ว ฉันไม่ใช่เด็กหลงทางนะ”

   “ผมคิดว่าจับไว้ดีกว่า” ยิ่งพยายามดึงมือออก ภรัณยูก็กลับยิ่งจับแน่นขึ้นซ้ำยังยิ้มกริ่มเหมือนมีเลศนัยอยู่ในใจ และคำตอบก็เฉลยออกมาเมื่อชายหนุ่มก้มลงเพื่อกระซิบบอกเหตุผล “เวลาคุณทีหน้าแดงแบบนี้ ผมคิดว่าดูน่ารักดีน่ะครับ”

   “เงียบไปเลยนะ!” นภทีป์ดันหน้าอีกฝ่ายออกแล้วเผลอตะโกนเสียงดังลั่นจนคนรอบข้างหันมามองพวกเขาเป็นจุดเดียว ในวินาทีนั้น นภทีป์แทบอยากจะมุดเข้าไปและกลืนเป็นส่วนหนึ่งกับชั้นวางสินค้าให้รู้แล้วรู้รอด แต่สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงการเดินตามแรงฉุดของภรัณยูซึ่งดูจะไม่สะทกสะท้านต่อสายตาคนรอบข้างแม้แต่น้อย จนกระทั่งพวกเขาออกมาพ้นระยะแล้ว มือที่กุมอยู่ก็คลายออกเล็กน้อย

   นภทีป์เอาแต่ก้มหน้าเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ แม้กระทั่งตอนที่ภรัณยูถามว่าจะซื้อนมกับไข่ไปด้วยหรือไม่

   “โกรธผมหรือเปล่า?”

   เพราะไม่ได้รับคำตอบและไม่มีการตอบสนองกับคำถามใด ๆ ภรัณยูจึงเกรงว่าตนเองจะทำให้อีกฝ่ายโกรธขึ้นมาจริง ๆ

   ...

   “คุณที...ถ้าคุณไม่ชอบผมจะไม่ทำอีก...”

   ...

   ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยมือและเดินนำหน้าไปดูของต่อ

   “นายทำให้เขาหงอแล้วนะดูสิ!” รติตะโกนใส่นภทีป์เหมือนคนถูกขัดใจอย่างร้ายแรง ซึ่งที่จริงแล้ว...เขาก็กำลังขัดใจอยู่ ขัดใจมากเสียด้วย ทั้งที่ภรัณยูแสดงออกชัดเจนถึงขนาดนี้ แต่กลับเป็นนภทีป์เสียเองที่ตั้งใจจะยื้อความไม่แน่นอนให้คงอยู่ต่อไป ถ้าเพียงแต่ตอบรับสักนิด ทอดสะพานสักหน่อย อะไร ๆ มันคงจะไปได้สวยแล้วแท้ ๆ เชียว หากเขาเป็นวิญญาณที่เข้าสิงคนได้ รติคงไม่ลังเลที่จะเข้าสิงนภทีป์และรวบรัดทุกสิ่งทุกอย่างให้เดินหน้าต่อไปไม่ค้างคาอยู่อย่างนี้แน่นอน

   ถึงอย่างนั้นนภทีป์กลับไม่สามารถทำอย่างที่รติต้องการได้ เพราะมันไม่ใช่ความหวังของเขามาตั้งแต่แรกที่จะได้รับความรู้สึกพิเศษจากภรัณยู และสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เหมือนกับว่าเป็นเพียงสถานการณ์และความใกล้ชิดที่นำพาไปเท่านั้น

   ยังมีความลังเล ไม่มั่นใจ และกังวลไหลเวียนอบอวลอยู่ทั่วเสียจนกลายเป็นความหม่นหมองมากกว่าประกายสดใสสว่างจ้าอย่างที่คนมีความรักทั่วไปบรรยายเอาไว้

   “โถ่เอ๊ย เข้าไปบอกว่ายังไม่โกรธก็ยังดีน่า!” เพราะเห็นนภทีป์ยังคงนิ่ง รติจึงรบเร้าและผลักอีกฝ่ายให้เดินเข้าไปหาภรัณยูแล้วคุยให้รู้เรื่อง

   ถึงแม้นภทีป์จะไม่อยากทำ แต่ก็จำยอมเพราะหากเงียบต่อไปแบบนี้มีแต่จะมองหน้ากันลำบากเสียเปล่า ๆ อย่างไร...ก็ต้องเจอกันอีกหลายเดือน

   เขาสูดหายใจลึกเมื่อเดินเข้าไปเทียบข้างและกระแอมเบา ๆ จนภรัณยูหันมาหา

   “เอ่อ...คือ...ผมไม่รู้ว่าคุณทีอยากกินอะไร ผมก็เลย...” แล้วก็เหมือนทุกครั้งที่ภรัณยูมักจะเป็นฝ่ายพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาก่อนโดยทำเป็นว่าไม่ได้รู้สึกขัดเคืองใจกับการกระทำของเขาเลย ไม่ว่ามันจะดูไร้เหตุผลหรือไร้สาระมากแค่ไหนก็ตาม

   แม้แต่ตอนที่เจอกันแรก ๆ เขามักจะใส่อารมณ์กับอีกฝ่ายราวกับว่าภรัณยูไม่มีหัวใจ แต่เจ้าตัวก็จะทำเพียงแค่ยิ้มรับและปล่อยให้เขาสงบลงก่อนเปลี่ยนเรื่องพูดไปเสียเฉย ๆ ไม่แม้แต่จะเรียกร้องคำขอโทษหรือพยายามยัดเยียดความคิดของตัวเองกลับมา

   “ฉันกินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ” และนภทีป์ก็มักจะฉวยโอกาสเช่นนั้นเพื่อจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ตนเองไม่อยากพูดเช่นกัน...เขากลืนคำพูดทั้งหมดที่คิดไว้เมื่อครู่ลงคอไปอย่างง่ายดาย และปล่อยให้ความปกติสุขดำเนินไปอีกครั้งโดยทำเป็นว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย

   แบบนี้เหมือนเขากำลังขี้โกงอยู่หรือเปล่า?

----------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 14 (23/07/13)
«ตอบ #56 เมื่อ23-07-2013 14:27:04 »

หลังจากซื้อของกันเสร็จ เวลาก็ผ่านไปจนบ่ายคล้อย ภรัณยูจึงรีบเก็บของที่เหลือเพื่อจะได้กลับถึงบ้านก่อนค่ำมืดซึ่งจะทำให้ทางบ้านเป็นห่วง

   “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ภรัณยูบอกลาเมื่อนภทีป์ออกมาส่งถึงหน้าคอนโดมิเนียม “คุณทีก็อย่ากินแต่ขนมนะครับ ถ้าไม่รู้จะกินอะไรผมจะส่งสูตรอาหารของแม่มาให้ทางอีเมล์ แล้วก็...พวกผักอย่างทิ้งไว้นานนะครับเดี๋ยวมันจะเหี่ยวหมด เนื้อถ้าเห็นสีเขียว ๆ ก็...”

   “พอ ๆ นายกำลังจะกลับบ้านนะไม่ได้จะไปต่างประเทศ แล้วก่อนที่นายจะมาค้าง ฉันก็อยู่คนเดียวของฉันมาตลอด คิดว่าจะดูแลตัวเองไม่เป็นหรือไง?”

   ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะแหะ ๆ พลางเกาท้ายทอยเมื่อถูกปางห้ามพูดเข้าไป

   “แล้วเจอกัน...อาทิตย์หน้านะครับ” เขาเลือกที่จะทิ้งท้ายด้วยประโยคง่าย ๆ แล้วจึงเดินจากมา เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดตามหลัง ภรัณยูก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองก่อนถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก มันเหมือนกับว่าเขาได้ทำบางอย่างผิดพลาดไปแต่ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นอะไร เพียงแต่ว่าสิ่งนั้นได้ทำให้เกิดกำแพงสูงใหญ่ขวางกั้นระหว่างตัวเขาและนภทีป์ให้ห่างไกลยิ่งกว่าเดิม

   ระหว่างที่ลงลิฟต์ ก็รู้สึกเหมือนความมั่นใจตกฮวบลงไปด้วย

   บางทีนภทีป์คงจะไม่ชอบกระมัง...ที่ถูกบอกว่าชอบทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คิดอะไรด้วยเลย บางที...มันคงจะน่ารำคาญที่เขาคอยตามตื้อและรบเร้า...

   อา...นี่มันงี่เง่าจริง ๆ

   ภรัณยูกลับบ้านโดยที่ยังคิดเรื่องนี้ไม่ตก เขาไม่ได้แสดงความลำบากใจต่อหน้านภทีป์เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายอึดอัด ที่จริงแล้ว เขาเพียงแต่คิดว่า หากบอกออกไปเสียและได้ฟังคำตอบ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบรับหรือปฏิเสธก็สามารถยอมรับได้ ทว่า...มันกลายเป็นสิ่งที่ค้างคาใจเพราะนภทีป์ไม่ยอมตอบเลยและทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้พูดอะไรออกไปในวันนั้น

   แต่อันที่จริงแล้ว ภรัณยูพอจะสัมผัสได้อยู่ว่ามีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไปแม้นภทีป์จะไม่ยอมแสดงออกตรง ๆ คล้ายกับการตีตัวออกห่าง แต่เมื่อพิจารณาดู มันใกล้เคียงกับความลังเลจนทำอะไรไม่ถูกเสียมากกว่า มันทำให้เขารู้สึกว่า...การกระทำที่ไม่ได้คิดอย่างถี่ถ้วนของตนได้ทำให้ไม่สามารถใกล้ชิดอีกฝ่ายอย่างบริสุทธิ์ใจได้อีกต่อไป

   ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดอกุศล แต่นภทีป์อาจจะคิดว่าเขาคิดก็เป็นได้...

----------------------------->
   
   “ยินดีต้อนรับกลับสู่บ้านหลังเล็กที่แสนอบอุ่นค่า~” ทันทีที่ภรัณยูก้าวเข้าบ้าน พิณาลัยก็เดินออกมารับหน้าพร้อมโคนไอศกรีมยี่ห้อดังที่เพิ่งกินข้างในหมดไปหมาด ๆ และทำท่าเหมือนกำลังยิงพลุกระดาษสีในงานเลี้ยงด้วยโคนไอศกรีมอันนั้นเอง ก่อนที่เธอจะร้องกรี๊ดลั่นบ้านเพราะภรัณยูโน้มใบหน้าลงมาแล้วคาบโคนไอศกรีมที่เธออุตส่าห์บรรจงเก็บไว้กินท้ายสุดไปเสียดื้อ ๆ

   “ยังชอบเก็บโคนไว้กินทีหลังเหมือนเดิมเลยนะ” ชายหนุ่มเคี้ยวโคนกร้วม ๆ แล้วเลียปลายนิ้วตบท้ายให้น้องสาวเจ็บใจเล่น “แล้วแม่ไปไนล่ะ? พ่อยังไม่กลับจากงานหรือ?”

   “วันนี้พ่อโดนเพื่อนชวนออกไปกินข้าวด้วยกันแล้วก็ชวนแม่ไปด้วย ส่วนหนูขี้เกียจไปนั่งกลางวงผู้ใหญ่ก็เลยขออยู่เฝ้าบ้านดีกว่า” พิณาลัยตอบพลางทำหน้ายู่เพราะยังขุ่นเคืองเรื่องขนมของโปรด “แต่วันนี้พี่กลับมาเร็วนะคะ ปกติพี่น่าจะกลับค่ำกว่านี้นี่นา แถมเป็นวันสุดท้ายที่จะค้างที่นั่นแล้วด้วย”

   “ก็เพราะว่าเป็นวันสุดท้ายน่ะสิก็เลยทำอะไรมากไม่ได้ แค่เก็บของกับไปช่วยซื้อของตุนที่ห้องก็แทบหมดเวลาแล้ว ก็เลยกลับมาเลย” ภรัณยูเดินขึ้นห้องนอนตัวเองโดยมีน้องสาวเดินตามหลัง

   “แล้วคุณทีของพี่เป็นยังไงบ้าง? พี่โดนดุเยอะหรือเปล่า?”

   “วันนี้ถามมากผิดปกตินะเราน่ะ”

   “ก็แหม...ท่าทางพี่แปลก ๆ นี่นา ดูหมอง ๆ ยังไงไม่รู้ ถึงจะเป็นคุณทีที่พี่แสนเคารพรัก แต่ถ้ามาแกล้งพี่ชาย หนูก็ไม่ยอมหรอกนะ” เด็กสาวแสร้งทำสีหน้าจริงจังแล้วกอดอกเต๊ะท่าเลียนแบบหน้าปกการ์ตูนเรื่องหนึ่ง “แล้วตกลงว่า...มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

   “จะไปมีอะไรได้ยังไงล่ะ สงสัยพี่คงแค่เหนื่อย” บางครั้งภรัณยูก็รู้สึกว่าควรเชื่อคำที่เขาพูดกันมา ว่าผู้หญิงมีเซนส์ที่ดีเยี่ยม

   “แล้วหลังจากนี้พี่ก็จะไปวันเสาร์กับอาทิตย์เหมือนเดิมเหรอคะ? แบบนี้ก็แทบไม่มีเวลาอยู่บ้านเลยน่ะสิ วันจันทร์ถึงศุกร์ก็ต้องไปมหาลัยด้วยนี่นา” ถึงแม้ว่าพอเปิดเทอม ทั้งเธอและพี่ชายต่างก็ต้องไปเรียนเหมือนกัน แต่กระทั่งวันหยุดยังไม่ได้หยุด พิณาลัยก็เกรงว่าพี่ชายของตนเองจะป่วยเอาได้ แม้ว่าช่วงปิดเทอม 3 เดือน ภรัณยูจะสามารถรอดพ้นจากเหล่าเชื้อโรคมาได้ก็ตาม

   “ปีสุดท้ายไม่ต้องไปบ่อยขนาดนั้นหรอก หน่วยกิตพี่ก็เก็บเกือบครบหมดแล้ว เหลืออยู่แค่ไม่กี่ตัวแล้วก็ทำโปรเจคจบเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มลูบผมน้องสาวแล้วทิ้งตัวลงเตียงพลางยืดเส้นยืดสาย “วันนี้มีข่าวเย็นหรือเปล่า? ถ้าแม่ลืมทำไว้ให้เดี๋ยวพี่บรรเลงให้กินดีไหม?”

   พิณาลัยเบะปากทันที

   “ไม่เอา หนูไม่อยากท้องเสีย แม่ทำกับข้าวไว้เรียบร้อยแล้วด้วย ส่วนข้าวอีกสักพักก็สุกแล้ว”

   “ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ขอกลิ้งสักพักจะลงไปกินด้วยนะ” คำพูดบอกเป็นนัย ๆ ว่าตอนนี้อยากพักคนเดียว เด็กสาวที่พอจะอนุมานได้จึงล่าถอยออกไปแล้วบอกว่าเมื่อข้าวสุกจะขึ้นมาเรียกอีกที และเมื่อน้องสาวออกไปจากห้องแล้ว ภรัณยูก็ถอนหายใจออกมา

   อาทิตย์หน้า...นภทีป์จะทำหน้ายังไงนะ เมื่อเจอเขา...

---------------------------->

   ในเวลานั้น ภรัณยูไม่ได้รู้เลยว่า อีกฝั่งหนึ่งก็มีความกังวลใจในแบบของตนเองอยู่เหมือนกัน

   นภทีป์ได้แต่นั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะเตี้ย มีเพียงลูกนัยน์ตาที่กลอกไปมาเหมือนกำลังค้นหาบางสิ่งที่ติดอยู่ในสมองของตนเอง

   “เลิกทำหน้าประหลาดแบบนั้นได้แล้วน่า ถ้านายไม่อยากจะทำให้เขารู้สึกไม่ดีก็ตอบรับให้รู้แล้วรู้รอดไปสิ” รติโคลงหัวด้วยความเหนื่อยอกเหนื่อยใจ “นายก็รู้ตัวเองดีอยู่แล้วนี่”

   “นายว่ามันจะดีจริง ๆ หรือ?”

   “ทำไมถามแบบนั้นล่ะ?”

   ชายหนุ่มเม้มปากพลางสูดหายใจลึก

   “นายจำไม่ได้หรือว่าทำไมภรัณยูถึงมาหาฉัน เขาก็แค่...ประทับใจภาพวาดและคิดว่าฉันจะช่วยให้เขาสามารถเดินทางสายเดียวกันได้ บางที...มันก็แค่ความประทับใจแบบเดียวกัน พอเขาพึงพอใจในสิ่งที่ได้แล้วก็จะไม่มีเหตุผลให้ต้องใกล้ชิดผูกสัมพันธ์กันอีก”

   รติมุ่นคิ้วและคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนวดขมับตัวเองด้วยมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้าง

   “ที่นายพูดถึงอยู่น่ะ คือตฤณหรือเปล่า? นี่นายคิดว่าภรัณยูเหมือนเจ้านั่น?”

   “ก็มันจริงใช่ไหมล่ะ? นายเองก็ไม่มีอะไรรับประกันนี่ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่จบลงเหมือนเดิม แล้วตอนนี้ตฤณก็ยัง...” ผู้ชายคนนั้นเป็นอีกสาเหตุที่เขาลังเล แม้จะบอกกับภรัณยูไปว่าตฤณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่ใจจริงเขาก็ยังรู้สึกเกรงใจหากว่าตนเองด่วนตัดใจไปเสียก่อนในเมื่ออีกฝ่ายต้องการโอกาสแก้ตัว ถ้าหากว่าครั้งนี้ตฤณจริงจังล่ะ? จะกลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายทำร้ายเจ้าตัวหรือเปล่า?

   “ถ้าอย่างนั้น แปลว่านายจะปล่อยให้ค้างคาแบบนี้ต่อไป?”

   “ฉันแค่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงเท่านั้นเอง โอ๊ย! นายทำอะไรเนี่ย!” นภทีป์ตวาดใส่รติเมื่อโดนปากกาด้ามหนึ่งโยนใส่ศีรษะ

   “นายนี่มันไร้ความโรแมนติกสิ้นดี เคยอ่านพวกนิยายประโลมโลกบ้างไหม หรือละคร หรือ...บทกวี นายเข้าใจคำว่าความรักหรือเปล่าเนี่ย!” รติพรั่งพรูคำถามออกมาแล้วมองคู่สนทนาเสมือนกำลังมองสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในโลกที่จะพบเห็นได้ “มันไม่ใช่ว่าเพราะเกรงใจ หรือเพราะถูกเรียกร้อง ถึงได้คบหากันในฐานะแฟนนะ นายก็แค่ขี้เกียจยุ่งยาก ไม่อยากคิดอะไรให้มากความ ถึงได้ถูกเจ้าตฤณจูงจมูกเอาง่าย ๆ ไม่ใช่หรือไง หัดคิดอะไรเองซะบ้างสิ ความกระตือรือร้นน่ะมีบ้างไหม?”

   อยู่ ๆ รติก็วางท่าเหมือนพ่อกำลังสั่งสอนลูกชายหัวอ่อน ทำเอานภทีป์ผงะไปพักหนึ่งก่อนจะตั้งสติได้

   “ก็เพราะแบบนั้นฉันถึงได้กำลังคิดอยู่นี่ไงล่ะว่าจะทำยังไงดี แทนที่นายจะมาหาเรื่องต่อว่าฉัน นายควรจะช่วยคิดบ้างสิ นายเป็นคนต้นคิดให้ภรัณยูมาอยู่ที่นี่นะ!”

   “นั่นก็เพราะฉันอยากให้นายเลิกยึดติดกับอดีตซะที!”

   “แล้วนายจะรับผิดชอบยังไงถ้ามันกลับไปเป็นเหมือนเดิม!”

   รติอึกอักกับคำถามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือก ใช่สิ...เขาจะเอาอะไรมาพิสูจน์ได้ว่าอนาคตจะไม่ซ้ำรอยเดิมกับอดีต มันเป็นแค่ความมั่นใจของเขาเท่านั้นเอง...แต่ความมั่นใจของสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงคงไม่มีความหมายอะไรกับอีกฝ่ายเลย

   “ที่ฉันจะพูดก็คือ...นายน่าจะเชื่อในสิ่งที่ใจของนายรู้สึกบ้าง ก็แค่นั้น”

   นภทีป์รับฟังรติเงียบ ๆ แต่ถึงจะรับฟัง เขาก็ยังคิดแย้งอยู่ในใจว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่พูดเลย...

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 14 (23/07/13)
«ตอบ #57 เมื่อ23-07-2013 18:19:38 »

แม้ว่าในตอนนี้จะไม่ได้โผล่ออกมา แต่ก็เกลียดตฤณอะ
ฮือออออ ไม่ชอบเลยคนแบบนี้
ทีก็นะ จะไปลังแลอะไรกับผู้ชายแบบนั้นกัน

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 15 (25/07/13)
«ตอบ #58 เมื่อ25-07-2013 12:12:32 »

-15-


   การเปิดเทอมของปีสุดท้ายค่อนข้างจะแตกต่างกับการเปิดเทอมของปีอื่น ๆ อยู่สักเล็กน้อย เพราะในปีนี้พวกเขาจะต้องพบเจอกับศึกหนักนั่นคือโปรเจคที่จะส่งผลต่ออนาคตของพวกเขาอย่างชัดเจน  ภรัณยูคิดว่าตนเองคงจะผ่านจุดนี้ได้ไม่ยากเกินไปนัก แค่เพียงต้องขยันมากกว่าปกติหลายเท่าเท่านั้นเอง...

   เมื่อชั่วโมงของการแจกแจงงานมาถึง เขาก็ต้องหนักใจเพราะโปรเจคจะให้จับกันเป็นคู่ทำกันสองคน ยกเว้นว่าจะเหลือคนสุดท้ายที่หาคู่ไม่ได้จริง ๆ จึงจะสามารถรวมกลุ่มสามคนได้ และปีของเขาก็มีครบจำนวนคู่เสียด้วย ทำให้ภรัณยูต้องโดนดีดออกมาโดดเดี่ยวเพราะชลชาติและวิชชุกรจับคู่กันเรียบร้อยตั้งแต่ตอนคุยก่อนจบฝึกงานแล้ว เพียงแต่...เขาจำไม่ได้เลยว่าคุยเรื่องนี้กันตอนไหน

   “ก็แกมัวแต่นั่งเหม่อ พวกเราก็เลยคิดว่าแกไม่มีความเห็นน่ะสิ” วิชชุกรว่าตอนที่ภรัณยูมองทั้งสองด้วยสายตาเสมือนลูกหมาถูกทิ้ง

   “พวกเราก็เลยจับคู่กันเพราะนึกว่าแกมีคู่อยู่แล้ว” ชลชาติเสริมก่อนจะพาดแขนบนบ่าเพื่อน “แต่ถ้าแกไม่มี เดี๋ยวพวกฉันช่วยหาเองน่า แกน่ะเรียนเก่ง นิสัยดี คุยง่าย แถมหัวอ่อน ใคร ๆ ก็คงอยากจับคู่ด้วยทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวฉันกับไอ้วิชจะช่วยสแกนให้เอง”

   “พอเลย ๆ ไอ้หัวอ่อนนั่นมันหมายความว่ายังไง แล้วจะมาสแกนอะไร จับคู่ทำโปรเจคจบนะไม่ใช่หาคู่เดท ฉันว่าฉันหาเองน่าจะดีกว่า” ภรัณยูไม่ไว้ใจพวกเพื่อน ๆ ของตนชั่วขณะ เพราะถึงแม้เขาจะเข้ากับคนอื่นง่าย แต่ในหมู่เพื่อนร่วมชั้นปีก็มีคนที่เขาไม่อยากจะข้องแวะด้วยเหมือนกัน

   “แต่ฉันว่าฉันรู้จักคนดีกว่าแกนะ” วิชชุกรยืนยันจะเป็นพ่อสื่อให้ได้ “ถึงจะเป็นแค่การจับคู่ทำงาน แต่ถ้าแกได้คู่ไม่ดีคะแนนก็พลอยแย่ไปด้วย เผลอ ๆ จะไม่ได้จบเอา...” ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังบ่นยืดยาวไปตามปกติวิสัย เสียงก็พลันชะงักเมื่อมองผ่านไปด้านหลังของคู่สนทนา ทำให้ภรัณยูและชลชาติต้องหันกลับไปมองด้วยความสงสัยว่าข้างหลังของพวกตนมีอะไรอยู่กันแน่

   หญิงสาวหน้าตาแฉล้มคนหนึ่งกำลังมองมายังพวกเขาพลางแย้มยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ

   “ฉันมารบกวนหรือเปล่า?”

   “เอ่อ...เปล่าหรอก พวกเรากำลังคุยเรื่องคู่ทำโปรเจคอยู่น่ะ” ภรัณยูตอบกลับไปตามตรงพลางมองอีกฝ่ายตอบด้วยสายตาสงสัย “ว่าแต่เธอมีอะไรหรือ วริยา?”

   เท่าที่เขาจำได้ ตั้งแต่เลิกคบกันในฐานะแฟน พวกเขาก็แทบจะไม่ได้คุยกันตรง ๆ อีกเลยนอกจากเวลาที่ทำงานกลุ่มแล้วบังเอิญได้อยู่กลุ่มเดียวกันเท่านั้น แล้วทำไมวันนี้วริยาจึงเดินมาคุยกับพวกเขาเองโดยที่เพื่อนเอาแต่นั่งเชียร์อยู่ห่าง ๆ ด้วยสายตามีความหมายแบบนั้น?

   “คือว่า...” หญิงสาวเกาแก้มเขิน ๆ ก่อนจะพูดเหมือนไม่แน่ใจนัก “ฉันเห็นว่าพวกเธอมีกัน 3 คน แล้ว...ฉันก็ยังไม่มีคู่ทำงาน ฉันเองก็แบบว่า...โดนทิ้งน่ะ”

   อ้อ...

   ทั้งสามตอบรับในใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

   “เจ้าสองคนนี่จับคู่กับเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน เหลือแต่ฉันนี่แหละถ้าเธอสะดวกใจนะ” ภรัณยูว่าก่อนที่เขาจะรู้สึกเหมือนแว่วเสียงผิวปากมาจากกลุ่มของวริยา ซึ่งหญิงสาวก็หันไปถลึงตาใส่เพื่อน ๆ ของตนเองแล้วจึงหันกลับมาหาชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง

   “ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งชื่อเธอไปแล้วกัน แล้ว...เธอยังเก็บเบอร์ฉันไว้ใช่ไหม ถ้ามีหัวข้อที่อยากทำก็โทรมาบอกได้นะ จนกว่าจะถึงอาทิตย์หน้าน่ะ”

   “โอเค แล้วฉันจะโทรไป แล้วเธอมีหัวข้อที่คิดไว้หรือยัง?”

   “มีแล้วนิดหน่อย แต่ฉันอยากลองเลือกดูก่อน ถ้างั้น...ฉันไปกินข้าวก่อนนะ” วริยาบอกลาไปด้วยประโยคง่าย ๆ ก่อนเดินตามเพื่อน ๆ ไปและทำท่าเหมือนขู่จะทุบตีเพื่อนของตนด้วยท่าทางที่ไม่จริงจัง ภรัณยูได้แต่ยืนงงงันกับภาพที่เห็น แต่เขาก็พอจะอนุมานได้ว่าหญิงสาวคงโดนเพื่อน ๆ แกล้งเอากระมัง

   “ถ่านไฟเก่าคุเหรอวะ?” ชลชาติสะกิดถาม

   “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ” ชายหนุ่มผู้เป็นหัวข้อกลอกตา เขากับวริยาไม่มีทางไปกันได้อยู่แล้ว หลังจากคบกันระยะหนึ่งทุก ๆ สิ่งก็บ่งบอกได้ชัดเจนและพวกเขาก็เห็นตรงกันถึงได้เลิกรากันไปและกลายเป็นเพื่อนธรรมดาอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นคงเรียกว่าถ่านไฟเก่าไม่ได้ด้วยซ้ำ

   “วริยาอาจจะไม่ได้คิดแบบแกก็ได้นี่” วิชชุกรลุกขึ้นแล้วสะพายเป้สีดำประจำตัว “ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าเนื้อหอมในหมู่สาว ๆ ขนาดนั้น วริยาอาจจะนึกเสียดายขึ้นมาก็ได้”

   “พอเลย ๆ นอกจากเรื่องส่วนตัวของฉันแล้วพวกแกไม่มีเรื่องอื่นจะพูดแล้วหรือยังไง ไป ๆ ไปกินข้าวจะได้ไปเรียนต่อ” ภรัณยูจำต้องบอกปัดทุกข้อสงสัยแล้วเดินลิ่ว ๆ นำไปโรงอาหารของคณะเพราะเหนื่อยจะตอบคำถามซอกแซกของเพื่อนจอมว่างงานทั้งสองคนซึ่งดูจะเป็นห่วงเป็นใยกับชีวิตของเขาเหลือเกิน แต่แล้วอยู่ ๆ ภรัณยูก็เกิดสงสัย...หากเขาบอกทั้งสองไปว่าตนเองสารภาพรักกับผู้ชายจะเป็นยังไง? ทั้งวิชชุกรและชลชาติคงจะบีบคอเขาให้คายชื่อของคน ๆ นั้นออกมาแน่ ๆ ...

   พอคิดถึงเรื่องนั้น ภรัณยูก็เผลอถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เมื่อคิดว่าวันเสาร์นี้ก็จะต้องไปเผชิญหน้ากับนภทีป์ ซึ่งไม่อาจรู้ได้เลยว่าเจ้าตัวจะพอใจหรือไม่กับสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไป

   แต่การถอนหายใจของภรัณยูกลับให้ความคิดเห็นอีกแบบกับเพื่อนทั้งสองคน

   วิชชุกรและชลชาติหันไปมองหน้ากันก่อนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งทั้งสองก็เห็นตรงกันโดยไม่มีข้อสงสัยอื่นเลยแม้แต่น้อย

   “ถ่านไฟเก่าแหง ๆ เลยว่ะ”

-------------------------------->

   เสียงออดหน้าประตูเรียกให้นภทีป์งัวเงียออกไปเปิดพลางนึกสงสัยว่าทำไมวันนี้ภรัณยูจึงมาเร็วนัก รติเองก็แซวไปตามเรื่องอย่างคะนองปากซึ่งหลังจากผ่านมาเกือบอาทิตย์ นภทีป์ก็เริ่มจะทำใจได้ว่าตนเองควรทำหูทวนลมไปเสียและเปิดประตูรับตามปกติ ทว่าเมื่อบานประตูเปิดออก เขาก็ถึงกับตาสว่างพร้อมกับเสียงของรติที่เงียบกริบไปอย่างกะทันหันเพราะเห็นผู้มาเยือน

   “ทำหน้าเหมือนเห็นผีเลยนะ ที” ตฤณยิ้มกว้างแล้วพาตัวเองแทรกผ่านบานประตูเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมหลีกทางเสียที “ได้นามบัตรของผมหรือยัง?”

   “...ภรัณยูให้มาแล้ว คิดยังไงถึงมาแต่ไก่โห่” นภทีป์มุ่นคิ้วแล้วปิดประตู

   “ก็อีกเดี๋ยวผมจะต้องไปทำงาน แบบว่า...ล่วงเวลาน่ะ แต่ผมก็สงสัยว่าทำไมทีถึงไม่โทรหาเสียที ก็เลยมาหาถึงที่ เผื่อว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะ...” ตฤณจงใจเว้นคำหลังจากนั้นแบบที่สามารถเข้าใจได้ตรงกันโดยไม่ต้องพูดให้มากความ ทำให้นภทีป์นึกหงุดหงิดขึ้นมา

   “เขาไม่ใช่คนแบบนั้น ที่จริงควรจะบอกว่าเป็นคนซื่อตรงเหมือนไม้บรรทัดเสียมากกว่า” นั่นคือคำนิยามเดียวที่นภทีป์นึกออกเกี่ยวกับภรัณยูจริง ๆ ทั้งซื่อและตรงไปตรงมาจนไม่รู้ว่าควรสรรหาคำใดมาอธิบาย แต่เพิ่งมาระยะหลังนี้เองที่นภทีป์เริ่มรู้สึกว่าในความซื่อของภรัณยูก็มีบางอย่างแทรกอยู่ด้วย...

   “อยู่ด้วยกันบ่อยจนเริ่มปกป้องกันได้เต็มปากแล้วสินะ?”

   “คิดจะแขวะกันหรือยังไง?”

   “เปล่า ๆ ผมไม่ได้เจตนาแบบนั้น” ตฤณยกมือทั้งสองขึ้นยอมแพ้ “แต่ผมก็มีสิทธิหึงจริงไหม?”
   ...

   “นายมาที่นี่เพื่อกวนประสาทฉันหรือไง?” นภทีป์เลี่ยงสิ่งที่ไม่อยากพูดถึงไปอย่างง่ายดาย แต่แล้วเขาก็นึกออก “หรือว่าเรื่องบริษัทของนาย?”

   “ใช่ คุณสนใจหรือเปล่า?”

   คำถามของตฤณเป็นสิ่งที่นภทีป์ยังไม่ได้ตัดสินใจ เขายังคงลังเลว่าจะรับข้อเสนอดีหรือไม่ ถึงอยากจะรับแต่ก็ยังนึกตะขิดตะขวงใจเพราะคนที่ทำให้เขาพลาดจากการที่อยากได้ก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านี้เอง ความขุ่นเคืองใจยังคงก่อตัวอย่างเงียบ ๆ แต่ก็เบาบางลงไปมากแล้ว นภทีป์จึงไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งมันทำให้ตฤณมีความคาดหวังขึ้นมาได้บ้าง

   “เอาไว้ถึงเวลาค่อยมาถามอีกทีดีกว่า มันยังไม่แน่นอนไม่ใช่หรือไง?”

   “ก็ค่อนข้างแน่นอนแล้วนะ ที คุณลังเลเพราะภรัณยูหรือเปล่า?” สายตาของตฤณคล้ายพยายามจะเจาะลึกเข้าไปในใจของบุคคลที่ตนสนทนาด้วย ซึ่งมันทำให้นภทีป์เริ่มอึดอัด

   “ผมยังไม่ได้ตกลงคบกับคุณอีกครั้ง ดังนั้นคุณไม่มีสิทธิมาหึงหวงผมหรอกนะ ตฤณ” ชายหนุ่มร่างเล็กเบือนหน้าหนีจากการกดดันตรงหน้า แต่แล้วกลับถูกดึงรั้งให้หันกลับไปมองอีกครั้ง

   “ไม่เอาน่า ผมเคยเป็นเจ้าของคุณนะ ที และผมก็ยังไม่ได้ตกลงใจยินยอมที่จะปล่อยคุณไปด้วย”

   สถานการณ์เริ่มไม่น่าไว้วางใจ นภทีป์กลอกตามองหารติซึ่งเจ้าตัวก็บินวนไปวนมาอย่างร้อนรนเพราะครั้งนี้ตฤณจงใจยืนห่างจากทุก ๆ สิ่งที่จะบังเอิญตกใส่ศีรษะตนเอง หากมีอะไรถูกโยนข้ามห้องมามันจะกลายเป็นเรื่องผิดสังเกตไปได้ในทันที ทำให้รติไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก

   “คุณเป็นคนทำให้พวกเราต้องเลิกรากันเองนะ ลืมแล้วหรือยังไงว่าตัวเองทำอะไรเอาไว้” นภทีป์หยิบยกความผิดเก่ามาอ้างและพยายามขืนตัวออก

   “แต่ผมก็คืนให้แล้วนี่จริงไหม? ภาพของคุณทั้งหมดที่ผมเอาไปด้วย...”

   “แต่คุณก็ยังไม่ได้คืนสิ่งสำคัญที่สุด!”

   เสียงตวาดของนภทีป์ทำให้ตฤณชะงักไปครู่หนึ่ง

   “ผมยังพยายามไม่พออีกหรือที่จะทำให้คุณอภัยให้? ผมหาทางให้คุณได้สิ่งที่คุณต้องการ พยายามที่จะอยู่ใกล้ชิด คุณยังต้องการอะไรอีก?” น้ำเสียงของตฤณไม่ได้อ่อนโยนกระเง้ากระงอดเช่นคำพูดแม้แต่น้อย มันติดไปทางข่มขู่เสียมากกว่า ซึ่งมักจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเจ้าตัวเริ่มอารมณ์ไม่ดีเพราะถูกขัดใจ

   “ผมบอกแล้วว่าต้องการเวลา ดังนั้น...”

   “คุณที วันนี้คุณลืมล็อก...ประตู...”

   เสียงที่แทรกผ่านเข้ามากลางวงอย่างกะทันหันเรียกให้คนทั้งสองที่อยู่ในห้องรวมถึงรติหันไปมองทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้เปลี่ยนท่าทางการกระทำ ทำให้ภรัณยูได้แต่ยืนอึ้งค้างอยู่ตรงนั้นเพราะไม่รู้ว่าตนเองมาผิดเวลาหรือถูกจังหวะกันแน่

   “ดูเหมือนนักเรียนของคุณจะมาแล้ว” เสียงของตฤณอ่อนลงเล็กน้อย “เรื่องของเราเอาไว้คุยกันทีหลังก็แล้วกัน” ว่าจบ เจ้าตัวก็กดรอยจูบลงบนริมฝีปากของบุคคลในอ้อมแขนและอีกรอยบนต้นคอก่อนจะผละออกแล้วเหยียดยิ้มให้กับผู้มาเยือน

   กระทั่งตอนที่ตฤณจากไปแล้ว ทั้งภรัณยูและนภทีป์ก็ยังคงนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น

   “...ฉันจะไปอาบน้ำ นายจะทำอะไรก็ทำไปก่อนแล้วกัน” การถูกกระทำเสมือนถูกลวนลามทำให้นภทีป์รู้สึกเหมือนมองหน้าอีกฝ่ายไม่ติด เขาเดินเลี่ยงผ่านไปทางห้องน้ำโดยไม่เงยหน้ามองภรัณยูเลยแม้แต่แวบเดียวกระนั้นกลับถูกรั้งแขนเอาไว้อย่างเงียบ ๆ

   ชายหนุ่มเลื่อนสายตาจากมือที่จับแขนตนเองขึ้นไปยังใบหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะตกตะลึงในวินาทีต่อมาเมื่อได้ยินคำขอที่ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากผู้ชายคนนี้

   “ผมขอจูบคุณได้ไหม?”

   “...ฉ...ฉันยังไม่ได้แปรงฟันนะ” หลังจากหลุดปากพูดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่ทันคิด นภทีป์ก็แทบจะอยากบีบคอตัวเองที่ปล่อยข้ออ้างสิ้นคิดออกมาได้ และหากเขามองไม่ผิด ภรัณยูก็คล้ายกำลังกลั้นขำกับเหตุผลของเขาอยู่ด้วย ต่างกับรติที่ปล่อยก๊ากออกมาโดยไม่ไว้หน้ากันสักนิด “ก็ฉันเพิ่งจะตื่น! ดังนั้นนายปล่อยมือได้แล้วฉันจะได้ไปอาบน้ำเสียที!”

   ภรัณยูยอมปล่อยโดยไม่ร้องอุทธรณ์ใด ๆ แม้จะเพิ่งถูกตะโกนใส่หน้าโดยที่ตนเองไม่ได้ทำผิดอะไรเลย กระนั้นก็ยังมีคำถามที่ทำให้นภทีป์อยากจะแทรกตัวหายเข้าไปในกำแพงตามมาอีก 1 ประโยค

   “แปลว่าคุณไม่ปฏิเสธสินะครับ?”

   ให้ตายสิ...ให้ตายสิ!

   แน่นอนว่านภทีป์ไม่ได้ตอบคำถามนั้นและถลาเข้าห้องน้ำก่อนอีกฝ่ายจะมีคำถามต่อ ทำให้ตอนนี้เขาเอาแต่นั่งหน้าแดงอยู่บนชักโครกและสบถกับตัวเองในใจ กระทั่งเสื้อผ้าก็ยังไม่ได้ถอด ฟันฟางก็ยังไม่ได้แปรง เพราะหัวใจเจ้ากรรมไม่ยอมหยุดเต้นระรัวเสียที เมื่อเงยหน้ามองกระจกที่อยู่ตรงข้ามโถชักโครก นภทีป์ก็นึกอยากตะโกนถามตนเองว่าที่เขาตกอยู่ในสภาวะอย่างนี้เพราะอะไรกันแน่ เพราะถูกตฤณจูบ หรือเพราะถูกจูบต่อหน้าภรัณยู หรือเพราะคำถามของภรัณยูที่เพิ่งถามออกมาเมื่อครู่

   ทุก ๆ อย่างคล้ายจงใจเกิดขึ้นต่อเนื่องกันเสียจนเขาไม่อาจตัดสินได้ว่าใครที่มีอิทธิพลกับเขามากกว่ากัน

   ฝ่ามือทั้งสองยกขึ้นกุมหน้า เขารู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นไข้ไปอีกรอบเสียให้ได้

   “ยังไม่อาบน้ำอีกหรือ? นายนั่งอยู่แบบนี้มาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ” รติบินข้ามช่องว่างด้านบนประตูเข้ามาในห้องน้ำเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมออกมาเสียที

   “ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่าเข้ามาในนี้น่ะ!” นภทีป์ตะโกนออกไปอย่างลืมตัวก่อนรีบตะครุบปิดปากตนเองแล้วกระซิบต่อ “นี่มันบริเวณส่วนตัวนะ เข้าใจไหม!?”

   “ก็ฉันนึกว่านายตกส้วมไปแล้วน่ะสิ รีบ ๆ อาบแล้วออกมาแล้วกัน” รติว่าก่อนจะหรี่ตาอย่างมีเลศนัย “เผื่อว่าจะมีหนังสดให้ดูน่ะนะ”

   หนังสดบ้าบออะไรกันล่ะ!

   นภทีป์นึกอยากจะตะโกนถามกลับไปให้รู้แล้วรู้รอด ติดแต่หากตะโกน ด้านนอกก็จะได้ยิน เขายังไม่อยากให้ภรัณยูมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ เพราะคำพูดพรรค์นั้น

   แต่ปัญหาหนักใจตอนนี้ไม่ใช่เรื่องคำพูดเพียงอย่างเดียว นภทีป์ยังคงทำใจที่จะตอบคำถามของภรัณยูไม่ได้จึงได้ฆ่าเวลาอยู่ในห้องน้ำต่อไป ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจหนีปัญหาไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะอย่างไรก็ต้องอาบน้ำและออกไปจากห้องที่อุดอู้นี้เสียที

   และไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขาก็ต้องมานั่งเผชิญหน้ากันที่คนละฝั่งของโต๊ะทำงานตัวเตี้ยซึ่งเป็นโต๊ะฝึกงานของภรัณยูมาตลอดสามเดือน

   “...เอ่อ...” เพราะภรัณยูเอาแต่เงียบและมองเขาโดยไม่ยอมพูดอะไร นภทีป์จึงจำต้องส่งเสียงขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ “วันนี้นายเงียบแปลก ๆ นะ ไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือยังไง?” ใช่...มันแปลกจริง ๆ ปกติภรัณยูควรจะชวนเขาคุยสิ!

   ชายหนุ่มร่างสูงเกาท้ายทอยพลางเสสายตามองขึ้นไปบนเพดานและกลอกตาหาเหตุผลอยู่ครู่หนึ่ง

   “ผมไม่รู้ว่า...มันจะเหมาะสมหรือเปล่า ไม่รู้ว่าคุณจะ...รังเกียจผมไหมกับสิ่งที่ผมพูดออกไป ถ้าคุณไม่ได้ชอบผม ผมก็อยากจะให้บอกตรง ๆ ผมคิดว่าผมรับมันได้”

   นภทีป์ไม่เคยเห็นภรัณยูแสดงความกังวลใจออกมาตรง ๆ อย่างนี้เลย มันเหมือนกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งเคยสารภาพรักกับคนที่ตัวเองชอบและรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อเลยไม่ใช่หรือ? สำหรับคำตอบของอีกฝ่าย มันทำให้หัวใจของนภทีป์เต้นตึกตักขึ้นมาอีกครั้ง

   “...ฉันยังไม่ทันจะได้ตอบ...นายก็ขอจูบแล้วเนี่ยนะ...”

   “เพราะว่าผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรม”

   หา?

   สายตาแสดงความกังขาจ้องตรงไปยังเจ้าของคำตอบคลุมเครือ คล้ายกำลังออกคำสั่งให้อีกฝ่ายขยายความคำตอบของตนให้ชัดเจนขึ้น

   “ทั้งผมและคุณตฤณต่างก็เป็นคนที่เฝ้ารอการตัดสินใจของคุณ แต่ว่า...ทำไมถึงมีเขาคนเดียวที่มีสิทธิถึงเนื้อถึงตัวคุณล่ะ?”

   การขยายความยิ่งทำให้ผู้ฟังตกตะลึงพรึงเพริด ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดไปไกลถึงขนาดนี้กับเรื่องเล็กน้อยที่เขาไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเลย

   “ถ้าอย่างนั้น นายจะบอกว่า ถ้าให้นายจูบด้วยถึงจะเท่าเทียม?” นภทีป์ถามย้ำเพื่อความมั่นใจเผื่อว่าตนเองจะแปลความผิดไป แต่ภรัณยูกลับพยักหน้า

   “นอกเสียจากว่าคุณจะปฏิเสธผมอย่างชัดเจน ผมก็จะไม่รบเร้าอีก”

   “จูบเลย จูบเลย จูบเลย~” เสียงใสอย่างอารมณ์ดีจนเกินพิกัดของรติดังแว่วเข้าหูในขณะที่นภทีป์พยายามประมวลผลคำพูดทุกคำอย่างตั้งอกตั้งใจ

   แบบนี้มันเหมือนการบังคับเอาเลยไม่ใช่หรือ? เขามีทางเลือกแค่...ยอมให้จูบ หรือบอกปฏิเสธไปตรง ๆ แต่ว่า...การปฏิเสธมันไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลย...

   นภทีป์กำขากางเกงของตนแน่น หากเป็นไปได้เขาอยากจะก้าวผ่านวินาทีนี้ไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนภรัณยูจะไม่ยอมให้ความร่วมมือ สายตาจริงจังของอีกฝ่ายทำให้เขาอึกอักพูดอะไรไม่ออกและไม่อาจหาข้ออ้างอื่นใดได้

   “...เข้าใจแล้ว...จูบ...ก็ได้...” ถึงจะรู้สึกเสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่นภทีป์ก็ตัดสินใจตอบรับคำขอและพยายามเตือนตัวเองว่ามันก็แค่การแตะริมฝีปากกันเท่านั้นเอง

   ถึงอย่างนั้นคำตอบของเขากลับทำให้รอยยิ้มกว้างสดใสปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคำขอที่ชวนให้ลำบากใจข้อนั้น

   “ถ้าอย่างนั้น ผมขออนุญาตนะครับ” ภรัณยูขยับเข้ามาใกล้ในทันทีทำให้นภทีป์รับปิดเปลือกตาลงและนั่งรอด้วยใจที่เต้นระส่ำ

   ลมหายใจกรุ่นกลิ่นยาสีฟันและหมากฝรั่งขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้บนปลายจมูก หากว่าลืมตาขึ้นตอนนี้คงจะได้เห็นใบหน้าคมของชายหนุ่มอย่างใกล้ชิด ทำให้นภทีป์เกร็งเปลือกตาแน่นกว่าเดิมด้วยเกรงว่าตนเองจะเผลอมองผ่านออกไป

   ไม่กี่วินาทีต่อมา ริมฝีปากของเขาก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นร้อนก่อนตามด้วยริมฝีปากที่แนบประกบลงมาอย่างช้า ๆ และเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ

   ยิ่งบดเบียดแน่นขึ้น นภทีป์ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงการตอบรับของตนเองที่เป็นธรรมชาติอย่างน่าเหลือเชื่อ

   ภรัณยูไม่ได้แทรกลิ้นเข้ามา เพียงแต่กดริมฝีปากแนบแน่นและเปลี่ยนเอียงมุมบ้าง ผละออกบ้างและแนบสนิทอีกครั้ง บ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวไม่มีประสบการณ์อะไรแบบนี้มาก่อนเลย ต่างกับตฤณที่ครั้งแรกก็จู่โจมเขาจนไม่มีโอกาสถอยเสียแล้ว

   หลังจากผ่านไปนาทีกว่า ๆ ภรัณยูก็ขยับถอยออก ทำให้นภทีป์ยอมลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเพราะอีกฝ่ายตวัดแขนกอดตัวเขาเข้าไปและเม้มริมฝีปากลงบนคอโดยไม่ให้สัญญาณใด ๆ แม้แต่คำเดียว

   นภทีป์เกือบอุทานไม่เป็นภาษา แต่เพราะอารามตกตะลึงทำให้เขาได้แต่เกร็งตัวนิ่งไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้วจนกระทั่งเป็นอิสระ

   “ผมคงจะไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ใช่ไหม?” ภรัณยูเกาท้ายทอยตนเองด้วยสีหน้าแหย ๆ ซึ่งขัดกับกับการกระทำเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจน แต่คำถามนี้กลับทำให้นภทีป์ตอบอะไรไม่ออก ใบหน้าของเขาแดงขึ้นและแดงขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะสุกก่ำไปทั้งใบหน้า แม้แต่เจ้าตัวเองยังรู้ว่าเลือดฝาดทั้งร่างกายแทบจะขึ้นไปกองอยู่บนพวงแก้มและใบหูเสียหมด หากว่าตอนนี้มีเทอร์โมมิเตอร์ นภทีป์เชื่อว่าคงวัดอุณหภูมิบนหน้าเขาได้สูงกว่าปกติสัก 1-2 องศา

   “...ถ...ถ้าพอใจแล้วก็ไปฝึกต่อได้แล้ว...” ตอนแรกเขาตั้งใจจะตวาด ทว่าเสียงที่ออกมากลับแผ่วหวิวเหมือนไม่ยอมออกมาพ้นลำคอ ทำให้เจ้าตัวรีบก้มหน้างุดเพื่อปิดซ่อนความอายที่แสดงออกกระทั่งทางน้ำเสียง

   “แต่ว่าเรายังไม่ได้กินข้าวเช้ากันเลยนะครับ” ชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุบอกกล่าวเสียงซื่อแล้วชี้สำรับบนโต๊ะ “ผมขอกินก่อนได้ไหม?”

   ตอนนี้...นภทีป์เริ่มสงสัยแล้วว่า ผู้ชายตรงหน้าเขาเป็นแค่คนซื่อตรงเกินไปจริง ๆ หรือว่าเสแสร้งแกล้งซื่อให้เขาหวั่นไหวเล่นกันแน่!

   แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร ในเวลานี้ก็มีบุคคลหนึ่งที่ปลาบปลื้มใจกับสถานการณ์ปัจจุบันราวกับคุณแม่ที่ได้เห็นลูกสาวออกเรือน

   รตินั่งกอดอกอยู่บนชั้นวางหนังสือ และหลังจากเห็นหนังสดเต็มสองลูกตาอย่างที่คาดหวัง แม้จะผิดจากที่คิดไปสักหน่อยแต่ก็หยวน ๆ ได้ในฐานะของขั้นเริ่มต้น ตอนนี้ภรัณยูรู้จักรุกเร้าเอาสิ่งที่ต้องการบ้างแล้ว เมื่อรวมกับความใกล้ชิดและการยินยอมเปิดใจ คงยากหากตฤณจะทำคะแนนได้ทัน ที่เหลือก็เพียงแต่...จะทำอย่างไรให้นภทีป์ยอมรับตนเองได้อย่างเต็มใจเสียที...

-------------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 15 (25/07/13)
«ตอบ #59 เมื่อ25-07-2013 12:13:14 »

แต่ทั้งที่ดูเหมือนอะไร ๆ จะดีขึ้นและเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ก็กลับมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับภรัณยู เพราะในวันเสาร์ต่อมา...เจ้าตัวก็หายหน้าไปโดยไม่ได้บอกไม่ได้กล่าว นภทีป์ตื่นมาเฝ้ารอตั้งแต่ตอนสายด้วยความกระวนกระวายเพราะภรัณยูมาสายกว่าปกติ ทว่าจนถึงตอนเที่ยงก็ยังไม่มีวี่แววจนชายหนุ่มเริ่มโมโหขึ้นมา

   “เจ้านั่นหายไปไหนกันนะ!” นภทีป์สบถแล้วเดินไปคล้ายโทรศัพท์มือถือ ทำท่าเหมือนพยายามโทรออก แต่เมื่อจ้องหน้าจออยู่ชั่วครู่หนึ่งเขาก็วางมันลง

   เขาเพิ่งรู้ตัว...ว่าตนเองไม่มีเบอร์โทรของภรัณยู และอีกฝ่ายก็ไม่มีเบอร์ของเขาเหมือนกัน...

   เพราะปกติแล้ว...ภรัณยูไม่เคยผิดนัด เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยเห็นความสำคัญของการติดต่อนอกเหนือจากการพบหน้ากันในวันหยุด

   “หรือว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี?” รติคาดเดาในทางร้าย เพราะนิสัยตรงต่อเวลานั้นเป็นปัจจัยที่ทำให้อดคิดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นทำไมจึงไม่ยอมมาเสียที

   “อย่าพูดเรื่องแบบนั้นได้ไหม คนดวงแข็งอย่างภรัณยูคงไม่โดนอะไรเฉี่ยวชนเอาง่าย ๆ หรอก” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ใจของนภทีป์ก็เริ่มจะอยู่ไม่สุขเอาจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาไม่อาจหาทางติดต่ออีกฝ่ายได้ในเวลาอย่างนี้ คงไม่มีอะไรที่จะทำให้ใจของเขาสงบลงได้

   นภทีป์ได้แต่หาอะไรทำอยู่ในห้องโดยพยายามไม่คิดถึงเรื่องเวลา แต่วันนี้เวลากลับผ่านไปช้าอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ละวินาทีที่ผ่านไปมันช่างน่าอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

   จนกระทั่งตอนบ่าย ที่ไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ชายหนุ่มร่างเล้กจึงตัดสินใจออกไปข้างนอกและจุดม้ายปลายทางก็คือห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้คอนโดมิเนียมนั่นเอง ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าตนเองอยากจะซื้ออะไร แต่บางที...การอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ไม่รู้จักอาจจะสามารถกำจัดความรู้สึกอ้างว้างที่อยู่ลึก ๆ นี้ได้ทำให้ใจของเขาหยุดคิดเรื่องเหลวไหลเสียที

   เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำของห้างสรรพสินค้ายังคงทำให้โพรงจมูกระคายเคืองเช่นเดิม แต่นภทีป์ก็พยายามไม่ใส่ใจและเดินดูของไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้หยิบจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กระทั่งรติที่มักจะพูดมากอยู่เสมอ วันนี้ก็ยังเงียบจนผิดปกติ

   และเมื่อล่วงเลยมาถึงช่วงเย็น นภทีป์ก็ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากนอนนิ่งอยู่บนเตียงและกางหนังสือการ์ตูนเก่าเก็บอ่านฆ่าเวลา

   สุดท้ายแล้ว...วันนั้นก็หมดไปโดยไม่มีอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว ราวกับวนเวียนในความฝันที่ไม่สิ้นสุดและไม่มีอยู่จริง กระนั้นในในก็ยังคาดหวังว่าในวันพรุ่งนี้จะได้เห็นใบหน้าและรอยยิ้มนั้นเป็นสิ่งแรกของวัน ในเวลานี้ นภทีป์ไม่ได้นึกเอะใจเลยว่าตนเองกำลังคิดถึงภรัณยูมากกว่าที่เคย เพราะเป็นครั้งแรก...ครั้งแรกจริง ๆ ที่ไม่ได้พบกันนานกว่า 6 วัน ลึก ๆ ในใจของเขา...รู้สึกคล้ายว่าตนเองเป็นกระต่ายที่ถูกทิ้งไว้ในกรงอันเงียบเหงา ได้แต่นอนรอว่าจะมีใครสักคนหยิบยื่นน้ำและอาหารมาให้

   ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แล้วที่เวลาเดินไป แต่นภทีป์ก็นอนไม่หลับเลยตลอดคืนนั้น แม้ว่าจะมีบางช่วงเวลาที่สมองเคลิ้มไปกับบรรยากาศเงียบสงบ ทว่ากลับสะดุ้งตาสว่างทันทีที่ได้ยินเสียงขยับเพียงเล็กน้อยทั้งจากตัวเอง จากรติ และสิ่งอื่น ๆ ภายนอก

   เพราะห้องนอนไม่มีหน้าต่าง นภทีป์จึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว และไม่ได้สนใจกระทั่งจะหันมองนาฬิกาเรือนเล็ก ๆ ที่ตั้งข้างเตียง เพราะถ่านของมันหมดไปนานแล้ว จึงไม่น่าจะบอกเวลาได้และกลายเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้นเอง

   ในระหว่างที่นภทีป์กำลังจะเคลิ้มไปอีกครั้งเพราะความอ่อนเพลียจากการอดนอนตลอดคืน ก็เกิดเสียงออดดังทำให้เขาสะดุ้งตัวโยนจนแทบจะเด้งผลุงขึ้นจากเตียง

   “สงสัยจะมาแล้วล่ะมั้ง?” รติตั้งข้อสงสัยเพราะเจ้าตัวก็หมกอยู่ในห้องนอนเช่นเดียวกันจึงไม่ได้รับรู้บรรยากาศภายนอกแม้แต่น้อย

   นภทีป์แทบจะไม่รอฟัง เขารีบเร่งเดินออกไปที่ประตูโดยลืมไปเสียสนิทว่าต้องวางมาดสุขุมเอาไว้

   ทว่าเมื่อประตูเปิดออก ความผิดหวังก็ถาโถมเข้าใส่เสียจนเรี่ยวแรงที่รวบรวมได้เมื่อครู่ได้ระเหิดหายไปจนเกือบหมด

   “เพิ่งตื่นหรือ? วันนี้สายกว่าปกติเยอะเลยนะ” ตฤณทักทายแล้วมองเข้ามาในห้อง “หรือว่าเพราะภรัณยูไม่มาก็เลยนอนเพลิน?”

   “เจ้านั่นไม่มาตั้งแจ่เมื่อวานแล้ว คงจะท้อใจไปแล้วล่ะมั้ง?” นภทีป์ว่าแล้วเปิดทางให้ตฤณเข้ามาในห้องเพราะคร้านจะวางท่าต่อต้าน ตอนนี้เขาแทบไม่เหลือพลังงานจะทำอะไรกระทั่งจะหงุดหงิดใส่อีกฝ่าย

   เพราะผิดหวังหรือ?

   ทำไมถึงได้ผิดหวังกันล่ะ?

   นภทีป์เม้มปากแล้วสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัว

   “นี่มันกี่โมงแล้ว?” เขาเอ่ยถามขณะเดินเข้าห้องน้ำ

   “เที่ยง ทำไมหรือ? อ้อ หิวล่ะสิ” ตฤณตอบพลางหัวเราะ แต่ผู้ฟังกลับไม่ได้รู้สึกขบขันไปด้วย เขากำลังคิดว่า...เวลาป่านนี้...วันนี้ภรัณยูก็คงจะไม่มาอีกกระมัง...

   “แล้วคุณมีธุระอะไรกันล่ะ? ความจริงน่าจะติดต่อมาหลังจากเรื่องที่ว่าแน่นอนแล้วนะ มาบ่อย ๆ แบบนี้ไม่เปลืองเงินค่ารถหรือไง?”

   ตฤณเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม

   “ผมมีรถของตัวเองนานแล้วนะ อยากไปนั่งรถกินลมกันไหมล่ะ?”

   หากเป็นเวลาปกติ นภทีป์คงปฏิเสธ ทว่า...

   “ก็ได้...”

   คำตอบที่ออกมาอย่างเลื่อนลอยสร้างความแปลกใจให้ทั้งตฤณและรติ และรวมถึงตัวนภทีป์เองด้วย ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้สึกว่าไม่อยากจะเฝ้ารออยู่เฉย ๆ โดยไม่มีจุดหมาย ยังไงมันก็แค่...ออกไปนั่งรถเล่น ยังดีกว่าจะต้องหาเรื่องมาพูดคุยกับอีกฝ่ายเพื่อฆ่าเวลาทั้งที่เขากับเจ้าตัวไม่ได้มีความทรงจำที่ดีต่อกันให้นึกถึงมากสักเท่าไหร่ ที่จริงแล้ว...พอคิดถึงเรื่องเก่า ๆ เขาก็ต้องรู้สึกอยากจะสลัดมันทิ้งเสียทุกครั้งไป แต่ก็ยังทำไม่ได้เพราะกลัวว่าตนเองจะไม่เหลืออะไรให้คิดถึงได้อีก เพราะอย่างนั้น...มันถึงได้ค้างคาอยู่แบบนี้...ทั้งตฤณและเขา...

   นภทีป์เดินตามตฤณออกไปข้างนอกโดยไม่สนใจเสียงของรติที่โวยวายง้องแง้งข้างหูแทบตลอดเวลา แต่เมื่อลงลิฟต์มาจนถึงชั้นล่าง ตฤณก็กลับชะงักเท้าทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองไปด้วย

   ภรัณยูยืนอยู่ข้างหน้าลิฟต์...เหงื่อท่วมเต็มตัวและกำลังหอบเหมือนเพิ่งวิ่งมาเป็นระยะทางไกล

   “วันนี้...จะออกไปข้างนอกหรือครับ?” ชายหนุ่มร่างสูงมองทั้งสองด้วยสายตาที่แสดงหลากหลายความรู้สึก

   “ก็ไปนั่งรถเล่นน่ะ โทษทีนะ วันนี้นายคงมาเสียเที่ยวแล้ว” ตฤณแสดงความเหนือกว่าออกมาทางสายตาและรอยยิ้มโดยไม่ปิดบัง “รีบไปกันเถอะที เราจะได้ไปหาอะไรกินกันด้วย” ว่าจบ เจ้าตัวก็ดึงมือนภทีป์ให้เดินตามไป และนภทีป์ก็เอาแต่ก้มหน้าเดินตามไม่ขัดขืนสักนิด

   “เดี๋ยวสิครับ” ภรัณยูดึงมือนภทีป์อีกข้างไว้ “วันนี้มันเป็นวันของผมไม่ใช่หรือ? เราตกลงกันไว้อย่างนั้นและมีคุณอนุทินเป็นพยานด้วย”

   “เพราะอย่างนั้นนายเลยคิดจะมาก็มาหรือจะไม่มาก็ไม่มาใช่ไหมล่ะ!” อยู่ ๆ นภทีป์ก็รู้สึกจี๊ดขึ้นมาเพราะคำพูดนั้น จึงตอบโต้กลับไปโดยอัตโนมัติ เหมือนคำพูดเหล่านี้อัดอั้นอยู่ในอกมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ยังหาทางออกไม่ได้จนกระทั่งถึงตอนนี้

   “ผมไม่ได้ตั้งใจจะหายไปเฉย ๆ นะ แต่ว่าผมไม่มีเบอร์ติดต่อคุณเลย” เสียงของภรัณยูอ่อนลงเล็กน้อยเพราะรู้ว่าเป็นความผิดของตนเอง และไม่คิดว่านภทีป์จะโกรธถึงขนาดนี้

   “จะหาข้ออ้างอะไรก็ตามใจ แต่วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์” เสียงตัดบทห้วน ๆ ของนภทีป์บ่งบอกได้ว่า ‘ไม่มีอารมณ์’ จริง ๆ เจ้าตัวสะบัดมือออกจากการเกาะกุมแล้วเดินไปทางตฤณ “ไปกันเถอะ ผมหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว” แม้ว่ามันดูเหมือนการประชดเป็นเด็ก ๆ แต่นภทีป์ก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้แสดงท่าทีเหล่านี้ออกมาได้เลย ในใจของเขาคุกรุ่นไปด้วยความโกรธเคืองที่ไร้สาเหตุ

   ทำไมถึงโกรธขนาดนี้กันล่ะ?

   คำถามนั้นทั้งนภทีป์และภรัณยูต่างก็ถามตนเองอยู่ในใจ

TBC

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด