Naughty Cupid หัวใจไร้สี บทส่งท้าย END (3/08/13)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Naughty Cupid หัวใจไร้สี บทส่งท้าย END (3/08/13)  (อ่าน 53112 ครั้ง)

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 15 (25/07/13)
«ตอบ #60 เมื่อ25-07-2013 20:11:12 »

โอ๊ยย
มีลางสังหรณ์ว่า
เรื่องมันจะยุ่งเหยิงกว่าที่คิดเอาไว้ เง้ออ
เกลียดตฤตจริงๆ

ออฟไลน์ jinjin283

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 934
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 15 (25/07/13)
«ตอบ #61 เมื่อ26-07-2013 19:26:15 »

คุณทีโกรธแบบนี้แล้วจะเป็นยังไงต่อนะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 16 (27/07/13)
«ตอบ #62 เมื่อ27-07-2013 13:31:05 »

-16-


   กว่านภทีป์จะกลับมาถึงห้องก็บ่ายแก่เพราะโดนตฤณพาไปกินร้านอาหารที่อยู่ไกลจนแทบไม่เคยได้ยินชื่อ ถึงอย่างนั้นรสชาติและบรรยากาศก็ทำให้อารมณ์เขาดีขึ้นบ้าง และตฤณก็ไม่ได้ชวนคุนเรื่องขัดหูขัดใจทำให้การใช้เวลาเรื่อยเปื่อยดำเนินไปด้วยดี และหากไม่มีรติคอยบ่นอยู่ข้าง ๆ เขาคงจะลืมเรื่องภรัณยูไปสนิทใจ ซึ่งตอนนี้ชื่อนั้นทำให้เขารู้สึกโมโหน้อยลงแล้ว

   หากคิดดี ๆ ภรัณยูก็คงจะมีธุระของตัวเองบ้างเหมือนกัน และไม่สามารถติดต่อได้เพราะเขาไม่เคยให้เบอร์มือถือเลย

   แต่ตวาดใส่ไปอย่างนั้น...คงทำให้ภรัณยูไม่อยากจะมามากกว่าเดิม...

   พอคิดว่าหลังจากนี้อีกฝ่ายจะไม่มาหาตนเองอีก นภทีป์ก็เกิดรู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาในอก แต่ก็เตือนตนเองว่าคงจะไม่เกิดเรื่องอย่างนั้น เพราะภรัณยูยังต้องพึ่งพาอาศัยเขาอยู่ เรื่องงาน...เรื่องอาชีพอาร์ตติส...เป็นเพียงสองสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายต้องติดแหมะอยู่กับเขา หากมีแต่ตัวเขาโดยไม่มีเงื่อนไขอะไร...ภรัณยูจะยังมาอยู่หรือเปล่า ถึงแม้ปากจะพูดว่าชอบแต่เอาเข้าจริง ใครจะไปรู้ได้ถึงจิตใจ

   ขณะที่เดินกลับห้อง นภทีป์ก็คิดเรื่องเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ ก่อนที่ความคิดทั้งหมดจะหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่นั่งขดเหมือนเด็กถูกทิ้งอยู่หน้าประตูห้องตัวเอง

   ทำไมถึงยังไม่กลับ?

   หากเป็นเขา ถูกเมินใส่แบบนั้นคงกลับบ้านไปแล้ว แล้วทำไม...

   “คุณที?” ในช่วงที่นภทีป์มัวแต่ยืนตะลึง ภรัณยูก็เงยหน้าขึ้นมามองก่อนยิ้มกว้าง “กลับมาแล้วหรือครับ?”

   “...นายสติไม่ดีหรือยังไง...” นภทีป์เดินเข้าไปไขประตูห้องและโบกมือให้อีกฝ่ายถอยออกไปจากบานประตูก่อนจะพากันเข้าไปในห้อง

   “เพราะผมเห็นว่าคุณทีโกรธที่รอผมแล้วไม่มา บางที...ถ้าผมรอคุณบ้างคงจะช่วยให้หายโกรธได้น่ะครับ” เป็นวิธีที่ดู...เด็กอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็จริง...มันทำให้เขาหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง “อีกอย่าง...ผมไม่อยากให้เวลาเสียเปล่า ก็เลยนั่งสเก็ตซ์ภาพอยู่หน้าห้องไปด้วย” ว่าแล้วภรัณยูก็ส่งกระดาษที่ยับย่นไปเล็กน้อยให้ดู ภาพสเก็ตซ์ทิวทัศน์ที่มองเห็นจากระเบียงดูรกไปด้วยหมู่ตึกและมีรายละเอียดไม่มากนัก เป็นแค่ภาพที่ใช้ฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ จึงมีบางจุดที่ดูไม่สมดุลกันแบบแปลก ๆ

   “แล้ว...ทำไมเมื่อวานถึงไม่มา แล้ววันนี้ยังมาช้าอีก” นภทีป์ถือกระดาษแล้วทำเป็นพิจารณารูปวาดเพราะไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

   “คือ...เทอมนี้ผมต้องทำโปรเจคจบ แล้วปรากฏว่าหัวข้อที่ผมกับเพื่อนคิดด้วยกันส่งไปไม่ผ่าน ก็เลยต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมน่ะครับ ที่จริงผมก็คิดจะไปหาข้อมูลวันธรรมดา แต่วันพรุ่งนี้ต้องเสนอหัวข้อใหม่แล้วเพื่อนของผมก็เลยลากไปหอสมุดแล้วช่วยกันคิดหัวข้อมาหลาย ๆ อัน วันนี้ผมก็เลยตื่นสายแล้วก็ยังต้องโทรคุยตกลงกับเพื่อนให้เรียบร้อยถึงจะมาได้น่ะครับ” ภรัณยูบอกเหตุผลพลางเกาท้ายทอยตนเองแล้วหัวเราะแหะ ๆ “หลังจากนี้ผมอาจจะเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยขึ้น ดังนั้น...จะเป็นไปได้ไหมถ้าผมจะขอเบอร์โทรของคุณ”

   “มันก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ถ้ามันจำเป็นขนาดนั้น” โดยที่นภทีป์ไม่ทันจะพูดอะไร รติก็จัดการตัดสินใจให้เสร็จสรรพซ้ำยังวางท่าจริงจังจนน่าหมั่นไส้

   “แต่ถ้าคุณไม่สะดวก...ผมก็คงได้แต่บอกไว้ก่อนเพราะอาจจะหายไปกะทันหัน...”

   “...ก็ได้...เอามือถือนายมาสิ” ถึงแม้จะยังอิด ๆ ออด ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการติดต่อกันไม่ได้ในเวลาฉุกเฉินมันทำให้รู้สึกแย่จริง ๆ

   นภทีป์กดเบอร์ตัวเองใส่ลงไปแล้วยิงใส่โทรศัพท์มือถือด้วยเพื่อบันทึกเบอร์อีกฝ่ายไปในตัว จากนั้นจึงส่งคืนให้แก่เจ้าของ

   “หลังจากนี้มีอะไรก็โทรมาบอกก่อนก็แล้วกัน”

   “ขอบคุณครับ” ภรัณยูยิ้มกว้างขณะรับโทรศัพท์มือถือคืน “จริงสิ...วันนี้คุณออกไปข้างนอกกับคุณตฤณมาใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นวันว่าง ๆ ผมจะพาคุณออกไปบ้าง”

   หา?

   ความสงสัยแสดงออกมาทางสีหน้านภทีป์อย่างโจ่งแจ้ง ก่อนจะนึกออกว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนภรัณยูตั้งเงื่อนไขเอาแต่ใจอะไรไว้

   มันหมายความว่า ไม่ว่าเขาจะตอบรับสิ่งใดที่ตฤณหยิบยื่นให้ ถึงจะยินยอมหรือไม่ เขาก็ต้องยอมให้ภรัณยูทำแบบเดียวกันทุกอย่างเลยหรือ!?

   ทั้ง ๆ ที่นภทีป์ไม่ได้ถามออกไป และแค่คิดอยู่ในใจ แต่รอยยิ้มของภรัณยูก็เหมือนกำลังตอบคำถามที่ตนเองไม่ได้ยินได้อย่างดี

----------------------------->

   แต่แล้ว ทุก ๆ อย่างก็เป็นไปอย่างที่ภรัณยูคาดไว้ นั่นคือ...เขาไม่อาจปลีกเวลามาหานภทีป์ในวันหยุดได้ ตอนเย็นวันศุกร์จึงโทรบอกนภทีป์ไว้ล่วงหน้าซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่านภทีป์ต้องรู้สึกผิดหวังอยู่ลึก ๆ และไม่ยอมแสดงออก เพียงแต่บอกให้อีกฝ่ายขยันมาก ๆ และฝึกปรือฝีมือตลอดเวลาเท่านั้น

   “พรุ่งนี้ภรัณยูไม่มาหรือ?” รติเห็นสีหน้าของนภทีป์ก็รู้ได้ทันที

   “ใช่ วันอาทิตย์ด้วย” เจ้าตัวกดโยนโทรศัพท์มือถือไปบนเตียงแล้วเดินเข้าไปในครัว และหยิบเครื่องแกงจืดที่เพิ่งซื้อมาออกจากตู้เย็น

   “งั้นสองวันนี้นายก็ต้องเหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวหัวใจน่ะสิ”

   “ทำไมฉันจะต้องเป็นแบบที่นายว่าด้วย วันปกติฉันก็อยู่คนเดียวก็ไม่เห็นจะเดือดเนื้อร้อนใจตรงไหน” ชายหนุ่มร่างเล็กมุ่นคิ้วขณะโยนเครื่องแกงจืดลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดได้ที่ แล้วหันไปหยิบเครื่องปรุงใส่ตามแบบไม่ได้กะปริมาณก่อนจะรู้ตัวในวินาทีต่อมาว่าใส่เกลือมากเกินไปหน่อย เขากลอกตากับตัวเองแล้วเติมน้ำเพิ่มลงไปทั้งที่น้ำที่ใส่ตอนแรกก็เผื่อไว้เยอะอยู่แล้ว

   เมื่อครู่เขาเผลอใจลอยหรือยังไงนะ...

   “แล้วถ้าตฤณมาล่ะ?” รติเลิกคิ้วถาม

   ...

   นภทีป์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

   “ไม่รู้สิ แต่ฉันบอกไปแล้วว่าถ้าจะมาอีกครั้งก็เอาความคืบหน้ามาด้วย อย่ามาเปล่า ๆ เพราะมันเสียเวลา ดังนั้นตฤณคงจะไม่มาอีกสักระยะ” ที่จริงแล้ว...ระยะนี้เขารู้สึกไม่ค่อยอยากเจอหน้าตฤณสักเท่าไหร่ แม้จะเข้าหน้าได้มากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ยินดีจะพบกันอยู่ดี เพราะนอกจากคดีเก่าแล้ว ตอนนี้เจ้าตัวยังมาคะยั้นคะยอขอคำตอบจากเขาเรื่องงานอีก การพบกันรังแต่จะทำให้อึดอัดใจทั้งสองฝ่ายเปล่า ๆ

   รติทำเสียงตอบรับในคอพลางมองนภทีป์เทแกงจืดลงชาม

   ข้าวเก่าที่เหลือจากเมื่อวานถูกโยนเข้าไมโครเวฟไปอย่างง่าย ๆ และไม่กี่นาทีต่อมา อาหารเช้าเวลาเที่ยงก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมเสิร์ฟ

   แต่สุดท้าย...เมื่อกินอาหารเสร็จ นภทีป์ก็เกิดรู้สึกเหงาขึ้นมาจริง ๆ ตามที่รติว่า มันเหมือนกับว่ากลายเป็นกิจวัตรไปแล้วที่วันเสาร์อาทิตย์จะต้องมีใครคนหนึ่งมาอยู่ด้วย เขาเกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่า ช่วงเวลาที่เอาแต่เก็บตัวอยู่คนเดียวนั้นเขาทำอะไรไปบ้าง ทำไมจึงอยู่เพียงลำพังได้เป็นวัน ๆ โดยไม่รู้สึกอะไรและไม่ต้องการใครให้มาอยู่ข้างกายแม้แต่คนเดียว แต่ในเวลานี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น...

   นภทีป์เก็บล้างจานชามเพื่อฆ่าเวลาแต่มันก็ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที และในที่สุด...เมื่อไม่อาจหาอะไรทำเพื่อผ่านช่วงเวลาอันน่าเบื่อไปได้อีก เขาจึงได้ทำในสิ่งที่แม้แต่รติยังต้องตกตะลึง นั่นคือ...การนั่งหน้าคอมพิวเตอร์และเปิดโปรแกรมวาดรูปพร้อมหยิบเมาส์ปากกาขึ้นมาถือไว้ในมือ

   นั่น...คิดจะวาดรูปหรือ?

   รติคิดในใจแต่ไม่กล้าออกปากถาม เพราะเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันและกลับไปนั่งจับเจ่าเหมือนเดิม

   นภทีป์เปิดไฟล์เก่าขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร แต่ไฟล์ที่ถูกเปิดกลับไม่ใช่ไฟล์ของตัวเอง มันคือภาพสุนัขบิด ๆ เบี้ยว ๆ ที่ภรัณยูวาดขึ้นตอนที่พยายามทำความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ใหม่

   กระทั่งเจ้าตัวยังสงสัยว่าทำไมตนเองจึงเปิดภาพนี้ขึ้นมา...

   “นายจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ?” เขาหันไปถามรติซึ่งเงียบผิดปกติ ทั้งที่หากเป็นเวลาอื่น เจ้าสิ่งที่ระบุไม่ได้ว่ามีชีวิตหรือไม่คงล้อเลียนเขาเรื่องนี้ไปนานแล้ว “อย่างน้อยนายก็คงพูดว่า ‘แหม ถึงกับเปิดภาพขึ้นมาดูแทนตัวเลยเหรอ?’ อะไรประมาณนั้น”

   “เดี๋ยวนี้นายอ่านใจฉันได้เลยเหรอ?” รติยิ้มแหย

   “ก็นายทำแบบนั้นตลอดนี่ ระยะหลัง ๆ น่ะ” ว่าไป นภทีป์ก็เปิดเลเยอร์ใหม่ขึ้นมาและเริ่มร่างภาพสุนัขพันธุ์เดียวกันในคอมโพสเดียวกัน

   “ที่จริง ฉันแปลกใจมากกว่าที่นายวาดรูปอีกครั้ง นายไม่ได้วาดมานาน...” รตินับนิ้วเล็ก ๆ ของตัวเอง “...4 เดือนแล้ว”

   “การที่ฉันอยากทำอะไรบางอย่างมันน่าแปลกใจขนาดนั้นเชียว?” แม้จะพูดเช่นนั้น เจ้าตัวก็ยังคงร่างภาพต่อไป การเว้นวรรคมานานทำให้มือฝืดเสียจนการร่างภาพก็ยังไม่ได้ดั่งใจ ความจริง...เขาอาจจะควรกลับไปฝึกมือกับดินสอและกระดาษแทนภรัณยูเสียกระมัง แต่หากว่าเคยทำได้ครั้งหนึ่งแล้วมันก็จะฝังอยู่ในทุกอณู ด้วยเหตุนั้น เมื่อนภทีป์ทบทวนตัวเองไม่นานเขาก็สามารถใช้งานอุปกรณ์คู่อาชีพได้คล่องมากขึ้นจนเกือบจะเท่าสมัยที่ทำงานเป็นประจำ ซึ่งตอนนี้ก็ถึงขั้นตอนของการลงสีแล้ว

   มันก็แปลกดี...ที่การวาดรูปสุนัขตัวนี้ เขาแอบคิดอยู่คนเดียวว่า มันช่างคล้ายภรัณยูอย่างบอกไม่ถูก คงเพราะท่าทางการอ้าปากแลบลิ้นอย่างอารมณ์ดีนั่นกระมัง

   ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังทำอะไรอยู่ นภทีป์อดคิดเรื่อยเปื่อยไปถึงอีกคนหนึ่งไม่ได้

   ซึ่งนภทีป์คงจะไม่รู้ ว่าภรัณยูเองก็กำลังหาข้อมูลทำโปรเจคโดยคิดถึงตนอยู่เช่นกัน

   ในเวลานั้น ภรัณยูนั่งอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ กลิ่นกระดาษอบอวล และแสงไฟสว่างจ้าเพียงพอต่อการเพ่งมองหนังสือแม้จะอยู่ในช่องระหว่างตู้ ตรงหน้าชายหนุ่มคือตั้งหนังสือเล่มหนากองใหญ่ มีทั้งหนังสือความรู้ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย รายงานการวิจัยของรุ่นพี่ รวมถึงวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง นั่นยังไม่นับรวมตัวอย่างรายงานการวิจัยที่ขอยืมมาจากคณะด้วย ทำให้เจ้าตัวเริ่มเมาตัวหนังสือหลังจากเปิดผ่านมาหลายเล่มและต้องอ่านอย่างรวบรัดรวดเร็วเพื่อนำไปซีร็อกส์และเอาไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาพิจารณา

   “อย่าทำหน้าง่วงแบบนั้นสิรัณ ฉันเห็นแล้วง่วงตามไปด้วยเลยนะ” ว่าแล้วหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็หาวหวอด การตื่นเช้ากลายเป็นเรื่องที่แสนยากลำบากของเด็กมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันหยุดที่เธอและเขาควรจะได้นอนหลับสบาย ตื่นสาย และดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน

   “ก็ช่วยไม่ได้นี่ พอหัวข้อผ่านก็ต้องหาข้อมูลต่อทันที เมื่อคืนฉันก็เสิร์ชอินเตอร์เน็ตทั้งคืนจนแทบไม่ได้นอน” ภรัณยูนวดหัวตา เขาไม่เคยคิดเลยว่าการทำโปรเจคเพื่อจบมหาวิทยาลัยจะยากลำบากตั้งแต่เริ่มแบบนี้ แล้วเขาจะทำตามที่เคยตกลงกับนภทีป์และอนุทินได้ยังไงกันล่ะ

   “เทอมนี้นอกจากวิจัยนายก็ลงเพิ่มอีกสองตัวเองนะ คนเก่งนี่น่าอิจฉาจัง ฉันยังต้องลงตั้งสี่ตัวแหน่ะ เทอมหน้าจะได้สบาย ๆ” วริยาโอดครวญ

   “ก็เธอดรอปไปหลายตัวตอนเทอมแรก ๆ นี่นา ฉันบอกว่าจะติวให้ก็ไม่เอา”

   “แหม ตอนนั้นฉันกับนายไม่ได้สนิทสนมกันเลยนะ แล้วนายก็ไม่จะติวให้ฉันคนเดียวเสียหน่อย แต่หมายถึงติวรวมทั้งห้องต่างหาก ถ้านายเป็นแฟนฉันตั้งแต่ตอนนั้นฉันคงให้ติวตัวต่อตัวไปนานแล้ว อีกอย่าง ฉันคิดว่าจะลงทันซัมเมอร์ด้วย บางตัวกลับไม่เปิดตอนซัมเมอร์ซะอย่างนั้น” หญิงสาวพองแก้มก่อนจะอมยิ้ม “เรื่องเก่า ๆ น่ะช่างมันเถอะ นายรู้หรือยังว่าฉันมีแฟนใหม่แล้วล่ะ เขาทำงานอยู่ที่เดียวกับพี่ของฉันก็เลยรู้จักกันมาสักพักแล้ว เพิ่งจะคบกันเมื่อไม่นานมานี้เอง ถ้านายจะหึงฉันตอนนี้ก็ไม่สายเกินไปหรอกนะ” เธอหยอกล้อกับภรัณยูพลางหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นชายหนุ่มปั้นสีหน้าไม่ถูก

   “ตอนนี้ฉันก็...มีคนที่ชอบอยู่เหมือนกัน” พอพูดถึงเรื่องนี้ภรัณยูก็อดเปรยขึ้นมาไม่ได้ หากพูดให้วริยาฟังคงไม่เป็นไรกระมัง เพราะวริยาไม่ได้มีนิสัยช่างสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นมากนัก ส่วนมากจะแค่รับฟังไว้เฉย ๆ แล้วไม่นานก็ลืมไปเอง

   “รักข้างเดียวหรือ?” ผู้ฟังเอ่ยถาม เพราะน้ำเสียงของคนพูดฟังไม่เหมือนคนที่กำลังมีปั๊บปี้เลิฟแม้แต่น้อย คล้ายว่ากำลังเตรียมใจผิดหวังมากกว่า

   “ไม่รู้สิ บางทีฉันก็แน่ใจนะว่าเขามีใจให้อยู่บ้าง แต่เขาก็แสดงออกแบบอึดอัดใจชอบกล” ชายหนุ่มไหวไหล่ “มันคงจะดีถ้าฉันอ่านใจคนได้เก่งกว่านี้”

   “ถ้านายทำได้เก่งกว่านี้นายจะน่ากลัวเกินไปนะ” วริยาไม่เห็นด้วย เพราะตลอดเวลาที่คบกัน ภรัณยูแทบจะอ่านใจเธอได้ทะลุปรุโปร่งและเดาอารมณ์ได้ถูกไปเสียเกือบทุกเรื่อง จนแม้แต่เธอเองยังแอบคิดขึ้นมาเป็นบางครั้งว่า บางทีภรัณยูอาจจะมีความสามารถพิเศษเรื่องการอ่านใจด้วยพลังจิตก็เป็นได้ “อ๊ะ แต่ว่า นายอย่าไปบอกเรื่องที่นายมีคนอื่นที่กำลังชอบกับใครนะ ฉันก็ยังไม่ได้บอกเพื่อนเหมือนกันว่ามีแฟนแล้ว”

   “ทำไมกันล่ะ?” ภรัณยูเลิกคิ้วงงงวย

   “ก็...พวกในกลุ่มฉันน่ะนะ เหมือนจะพยายามเอาใจช่วยให้ฉันกับนายคืนดีกันน่ะสิ” วริยาเท้าคางพลางกลอกตา “พวกเขาบอกว่านายหน้าตาดี บ้านก็ฐานะไม่ได้ย่ำแย่ แถมนิสัยไม่เลวร้าย ฉันไม่ควรจะปล่อยให้นายไปเป็นของคนอื่นน่ะ กลายเป็นความผิดของฉันไปเสียอีก”

   อ้อ...

   เพราะอย่างนี้เองคนในกลุ่มจึงได้ผลักไสวริยาออกมาเพื่อให้มาจับคู่กับเขา สงสัยว่าจะวางแผนไว้กับชลชาติและวิชชุกรด้วยกระมัง สองคนนั้นถึงได้รีบจับคู่กันนัก

   หรือจะเป็นเรื่องบังเอิญ? เพราะสองคนนั้นดูจะประหลาดใจที่วริยาโผล่มาพอสมควร บางทีเรื่องสองคนนั้นคงเป็นความผิดของเขาเองจริง ๆ ที่มัวแต่เหม่อตอนคุยงานกัน

   “ฉันจะเซอร์ไพรซ์ตอนรับปริญญา ถึงตอนนั้นนายพาคนที่นายชอบมาด้วยสิ” วริยาทำตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น แต่ภรัณยูกลับรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะรับปากได้ เพราะนภทีป์คงไม่ยินดีสักเท่าไหร่...หากถูกพามาเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน ซ้ำตอนนี้เขายังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะยอมให้เขาอยู่ในฐานะที่เกินเลยกว่าปัจจุบันนี้หรือไม่ ดูจากนิสัยนภทีป์แล้ว บางทีมันอาจจะค้างคาอยู่อย่างนี้อย่างไม่มีกำหนดก็เป็นได้

---------------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 16 (27/07/13)
«ตอบ #63 เมื่อ27-07-2013 13:32:04 »

นภทีป์ผ่านวันเสาร์และวันอาทิตย์ไปด้วยความรู้สึกอ้างว้างแปลก ๆ กระนั้นการได้ฆ่าเวลาด้วยสิ่งที่เขารักก็ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างดูไม่เลวร้ายอย่างที่คิด เขายังคงนึกแปลกใจที่ตนเองหันกลับมาวาดรูปอีกครั้งได้เร็วกว่าครั้งอื่น ๆ ที่ทอดทิ้งไปเป็นปี ๆ จนแทบจะลืมสิ่งที่เคยทำได้ไปหมดสิ้น ถึงกับต้องทบทวนวิชาขนานใหญ่กว่าจะเข้าที่เข้าทาง แต่เพราะครั้งนี้กลับมาทำได้เร็วจึงไม่ต้องทบทวนฝีมือมากนัก

   แต่เมื่อเข้าสู่วันปกติธรรมดาที่เขาต้องอยู่คนเดียวเป็นประจำอยู่แล้ว ความรู้สึกแปลก ๆ ก็หวนกลับมาอีก แบบนี้เรียกว่านิสัยติดคนหรือเปล่านะ?

   นี่เขาติดภรัณยูไปเสียแล้วหรือ?

   นภทีป์คิดกับตนเองขณะมองดูหน้าจอซึ่งปรากฏภาพสุนัขซึ่งเขาบรรจงตกแต่งจนเกือบเหมือนของจริง มันรู้สึกเขินขึ้นมาชอบกลที่ตั้งชื่อไฟล์ภาพว่า Paranyu แต่นั่นเป็นเพราะเขาคิดว่าสุนัขตัวนี้ดูเหมือนอีกฝ่าย และเขาก็เอาภาพเก่าของเจ้าตัวมารีเมคต่างหาก นภทีป์แก้ตัวกับตนเองเช่นนั้นก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงออด

   “ไม่ใช่ตฤณหรอกน่า” รติว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้ากังวล

   “ฉันยังไม่ได้ถามสักคำ”

   “คิดว่าฉันไม่รู้ใจนายหรือไง” เจ้าตัวหัวเราะแล้วดันนภทีป์ไปทางประตู “ไป ๆ ไปเปิดรับแขกก่อนเขาจะคิดว่าไม่อยู่ห้อง”

   นภทีป์มุ่นคิ้ว นึกสงสัยความกระตือรือร้นที่ผิดแปลกจากปกติ แต่ก็เดินไปเปิดประตูตามคำสั่งแต่โดยดีก่อนจะยืนค้างอยู่ตรงนั้นเมื่อได้เห็นผู้มาเยือนที่ไม่คาดฝัน

   ภรัณยูเกาท้ายทอยพลางยิ้มขวยเขินเมื่อเห็นเจ้าของห้องปั้นสีหน้าไม่ถูกเมื่อพบตน

   “คือว่า...วันนี้ผมมีเรียนแค่ครึ่งวันเช้าน่ะครับ ก็เลยคิดว่า ถ้าวันเสาร์อาทิตย์ไม่มา ผมน่าจะมาวันธรรมดาได้” เจ้าตัวว่า “ผมขอเข้าไปได้หรือเปล่า?”

   นภทีป์พยักหน้าหงึกหงักแล้วรีบหลีกทางเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะมา ซ้ำการมาเยือนครั้งนี้ยังทำให้ใจของเขาพองโตเสียจนแทบจะคับอก

   “แล้วงานโปรเจคของนายล่ะ?”

   “ก็...คิดว่าน่าจะหาได้พอสมควรแล้ว ตอนนี้ก็เลยรอให้อาจารย์ลองพิจารณาข้อมูลดูก่อนน่ะครับ ถ้าหากว่าโอเคก็จะเริ่มทำได้เลย” ภรัณยูพูดไปก็วางเป้ลงบนโต๊ะแล้วเหลือบไปเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์เปิดทิ้งไว้ บนหน้าจอมีภาพปรากฏอยู่ทำให้เจ้าตัวนึกอยากรู้อยากเห็นเพราะไม่เคยเห็นภาพ CG ของนภทีป์มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว และเมื่อเขาก้าวเข้าไปใกล้หน้าจอ นภทีป์ก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองเปิดอะไรทิ้งไว้

   “เดี๋ยว!” เจ้าตัวตะโกนออกมาสั้น ๆ แล้วโผเข้าไปหมายจะปิดหน้าต่างโปรแกรมแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะภรัณยูเข้าไปถึงเสียก่อนและรับตัวนภทีป์ที่โผเข้ามาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะจนรติเผลอผิวปากหวือเพราะอดใจไม่ไหว

   “อ๊ะ” เจ้าของร่างสูงส่งเสียงออกมาเพียงสั้น ๆ เมื่อเห็นภาพก่อนจะยิ้ม “แบบนี้ผมก็อายแย่เลยน่ะสิ พอเทียบกับคุณแล้วฝีมือผมไม่ติดฝุ่นเลย”

   คนที่จะอายควรเป็นฉันมากกว่า!

   นภทีป์คิดในใจทั้งที่ยังถูกกอดไว้อย่างนั้น

   “ฉันก็แค่ว่าง เพราะนายไม่ยอมมานั่นแหละ” เขาว่าแล้วเอื้อมมือไปปิดหน้าต่างโปรแกรมทันที “แล้วนายจะมาทำอะไร...” พอถามออกไปนภทีป์ก็รู้สึกว่าตนเองโง่มาก เพราะมันชัดเจนอยู่แล้วว่าภรัณยูมาเพื่อจุดประสงค์เดิมนั่นคือการพัฒนาฝีมือทางด้านการวาด ซึ่งจนถึงตอนนี้ เจ้าตัวเพียงแค่ต้องการเวลาและตัวอย่างที่ดีพอเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ เขาแทบจะไม่ต้องสอนอีกแล้ว

   “ผมมาหาคุณไง” แต่คำตอบที่ได้รับกลับยิ่งทำให้อึ้ง

   นภทีป์อ้าปากพะงาบ ๆ ก่อนจะรีบตั้งสติ

   “ถ้ามีเวลาพูดไร้สาระ ก็ไปฝึกมือต่อเดี๋ยวนี้เลย!” เขาตวาดเสียงลั่นแล้วรีบดึงตัวเองออกจากอ้อมแขนอีกฝ่ายเพราะรู้สึกว่าท่าทางที่เป็นอยู่กับสถานการณ์ดูล่อแหลมเสียจนตนเองยังอกคิดลึกไม่ได้ ยิ่งหันไปเห็นหน้ารติที่ยิ้มจนตาหยีเขาก็ยิ่งอายจนอยากฝังตัวเองลงไปในพื้นห้อง

   แต่ภรัณยูก็ยอมปล่อยมือง่าย ๆ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้พลางเปิดหน้าต่างโปรแกรมขึ้นมา และ...มันก็ยังมีภาพเดิมแปะอยู่ในนั้น

   “นายจะ...” พอคิดจะต่อว่า นภทีป์ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเป็นคนบอกให้อีกฝ่ายไปฝึกต่อเอง ดังนั้นการเปิดโปรแกรมมันจึงไม่ใช่ความผิดแต่อย่างใด “รีบปิดมันไปได้แล้ว มัวแต่ดูรูปงานจะเดินไหม!”

   “แต่ผมอยากใช้เป็นแบบนี่ครับ”

   “ก็หาภาพอื่นสิ ในเครื่องฉันมีตั้งเยอะตั้งแยะ”

   “แปลว่าให้ผมค้นไฟล์ของคุณได้หรือครับ?”

   เป็นอีกคำถามที่ทำให้เจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์อึกอักพูดไม่ออก แต่แล้วก็มีข้ออ้างที่แวบเข้ามาในหัวซึ่งมันค่อนข้างเข้าท่า

   “นายควรจะหาแนวทางลายเส้นของตัวเองสิ ถ้านายหัดจากการเดินตามฉัน งานของนายจะไม่มีเอกลักษณ์ของตัวเองแล้วจะพัฒนาได้ยากถ้าหากว่าต่อไปฉันกับนายไม่ได้ใกล้ชิดกันเหมือนในตอนนี้แล้ว ฉันหมายถึง...ไม่มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์น่ะ...” นภทีป์รีบเปลี่ยนคำพูดท้ายประโยคเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของภรัณยูที่ทำหน้าเหมือนกำลังจะโดนทอดทิ้ง

   “แล้ว...คุณว่าผมควรจะลองดูงานของใครดี?” ถึงแม้นภทีป์จะอยากให้เขามีเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ภรัณยูก็ยังไม่มั่นใจถึงขนาดนั้น และคิดว่าหากมีแบบอย่างที่เข้ากับแนวทางของตนคงจะสามารถนำมาปรับปรุงเป็นแบบของตนเองได้ หรืออย่างน้อยก็เห็นอีกฝ่ายเป็นเป้าหมายที่จะไปให้ถึง

   นภทีป์ได้ยินดังนั้นจึงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่และพยายามคิดถึงศิลปินทั้งในไทยและต่างประเทศที่ตนเคยเห็นผลงานหรือติดตามอยู่ ก่อนขยับเข้าไปครองเมาส์หนูข้างคีย์บอร์ด เปิดเบราว์เซอร์ขึ้นมาและเข้าไปในเว็บไซต์รวมผลงานนักวาดซึ่งตัวเขาเองก็มีผลงานลงอยู่ ในบล็อกของนภทีป์มีรายชื่อนักวาดชั้นแนวหน้าหลายคนรวมถึงผลงานของนักวาดที่ยังไม่มีชื่อมากนักแต่ผลงานเข้าตา หลังจากเลือกอยู่นาน นภทีป์ก็กดปิดที่ตนเองเห็นว่ายังไม่ค่อยเหมาะแล้วเหลือผลงานที่น่าจะใช้ได้จำนวนหนึ่ง

   “นายลองเลือกเอาจากในนี้แล้วกัน” ว่าแล้ว นภทีป์ขยับถอย แต่กลับถูกดึงแขนไว้ทำให้เสียหลักเอนลงไปข้างหน้า และตอนที่จะหันไปต่อว่านั้นเอง ภรัณยูก็พูดสวนขึ้นมา

   “คุณที...ไม่ได้รู้สึกไม่ดีใช่ไหมครับ ที่ผมมาหาแบบนี้”

   เอ๋!?

   “ทำไมฉันจะต้องรู้สึกไม่ดี?”

   “ก็ตั้งแต่ตอนที่ผมบอกว่าชอบคุณ ดูเหมือนคุณจะไม่อยากเข้าใกล้ผมสักเท่าไหร่” ภรัณยูพูดพลางยิ้มแห้ง “ถ้าทำให้คุณลำบากใจ...”

   “ฉันไม่ได้ลำบากใจ...สักหน่อย...” นภทีป์เบาเสียงลง

   “จริงหรือครับ?”

   ...

   “ฉันจะโกหกไปทำไม เรื่องที่นาย...ชอบฉัน...จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้แย่อะไรเสียหน่อย” ถึงแม้มันจะไม่ใช่การตอบรับแต่ก็ทำให้ภรัณยูยิ้มกว้างอย่างเบิกบานเสียจนผู้มองยังอดใจเต้นไม่ได้ “ดังนั้น...นายปล่อยมือฉันได้แล้ว ฉันจะไปหาอะไรกิน...!!!” พูดยังไม่ทันจบประโยค นภทีป์ก็ชะงักเพราะรู้สึกถึงริมฝีปากที่ฉกวูบลงมาบนผิวแก้มอย่างรวดเร็วและถอนออกไปพร้อมเสียงหัวเราะ

   “ผมจะออกไปซื้ออะไรมาให้ก็แล้วกัน ตอนเดินเข้ามาผมเจอร้านอาหารร้านใหม่ ดูน่าอร่อยอยู่” ภรัณยูลุกจากเก้าอี้แล้วดึงให้นภทีป์นั่งแทนก่อนหยิบกระเป๋าเงินใส่กระเป๋ากางเกงแล้วรีบเดินออกไปโดยที่นภทีป์ยังไม่หายอึ้งจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

   ...!!!!!!

   หากว่าสามารถตะโกนร้องได้ นภทีป์คงทำอย่างไม่ลังเล แต่เพราะไม่สามารถทำได้ เขาจึงนั่งเงียบและกรีดร้องอยู่ในใจ

   “น่าอิจฉาจังเลยนะ มีหอมแก้มกันด้วย”

   “เงียบไปเลยนะ!” นภทีป์ตวัดเสียงใส่แบบคนพาล แต่รติกลับยิ่งหัวเราะมากขึ้นจนแทบจะกลิ้งไปมาบนชั้นวางของได้

   “แล้วนายจะเอายังไงล่ะ? ภรัณยูจริงจังมากเลยนะ นายคิดว่าจะถ่วงเวลาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเขาหันไปหาคนอื่นเลยหรือยังไง?” รติพยายามกลั้นขำแล้วพูดเรื่องจริงจัง แต่พอเห็นใบหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกของอีกฝ่ายก็เผลอหัวเราะออกมาอีกจนได้

   “เจ้านั่นจะชอบคนอื่นหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับฉันนี่” พูดเอง ใจก็สั่นไหวเอง ในตอนนี้ส่วนหนึ่งของนภทีป์รู้แล้วว่าตนเองไม่อาจทำใจผิดหวังได้ เพราะอย่างนั้นจึงไม่ยอมรับสิ่งที่ถูกหยิบยื่นให้ แต่ถึงอย่างนั้น อีกส่วนหนึ่งก็กลับยอมรับไปแล้วอย่างเงียบ ๆ

   ถ้าหากว่า...ภรัณยูหันไปสนใจคนอื่นแทนเขา..เขาจะรู้สึกยังไง?

   นภทีป์คิดกับตนเองและพยายามที่จะไม่คิดถึงมันในเวลาเดียวกัน

   “เฮ้ ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ขึ้นมานายจะหัวเราะไม่ออกเอานะ” ความกังวลของนภทีป์ให้รติหวาดหวั่นไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ “ที่จริงนายก็น่าจะถามไปตรง ๆ เลยดีกว่า ว่าเจ้านั่นแน่ใจแล้วหรือยัง ตัวนายเองก็ชอบเจ้าหนูนั่นใช่ไหมล่ะ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา”

   “ภรัณยูคงจะแน่ใจอยู่แล้วล่ะมั้ง?”

   เจ้าตัวเป็นคนที่โอนอ่อนตามคนอื่นจนกลายเป็นนิสัย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตรงไปตรงมากับความรู้สึกตราบใดที่ความรู้สึกนั้นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ดังนั้นการแสดงออกของภรัณยูก็บอกให้รู้แล้วว่าเจ้าตัวแน่ใจขนาดไหน ถึงอย่างนั้น...คนที่ไม่แน่ใจกลับเป็นตัวเขาเอง

   เพราะตฤณหรือเปล่า...

   ก่อนหน้านี้อาจใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว

   สำหรับเขา ตอนนี้ตฤณเหมือนกับเป็นคนนอกที่มีความทรงจำร่วมกันในช่วงหนึ่งของชีวิต มันอาจจะฝังอยู่ในความทรงจำไปอีกนานแสนนานแต่ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดมากมายอีกต่อไป ตอนนี้การตัดสินใจเหลือแต่...เขากับภรัณยูเท่านั้น...

   เหลือแต่ความหวาดกลัวของเขา...ที่ยังไม่กล้าก้าวออกไป

   “แล้ว...?”

   “แล้วอะไร?” นภทีป์หันไปมองรติพลางมุ่นคิ้ว

   “แล้วจะเป็นยังไงต่อ...” ระหว่างที่รติกำลังพูด เสียงริงโทนของโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดจังหวะ แต่มันไม่ใช่เสียงโทรศัพท์มือถือของนภทีป์ เพราะมันดังออกมาจากกระเป๋าเป้ที่เปิดแง้มอยู่ของภรัณยู ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความลังเลก่อนที่นภทีป์จะจำยอมเดินไปเปิดกระเป๋าเพราะริงโทนดับไปครั้งหนึ่งก่อนจะเริ่มต้นดังอีกครั้ง บางที...อีกฝั่งของสายคงจะมีธุระด่วนกระมัง

   “สวัสดีครับ”

   “เอ๋? นั่น...ใครคะ?”

   เสียงผู้หญิง?

   “เอ่อ...เพื่อนของภรัณยูครับ...” นภทีป์ไม่แน่ใจว่าตนเองควรวางตัวในฐานะไหนจึงแทนตัวด้วยคำที่ง่ายที่สุด “ตอนนี้เขาออกไปข้างนอก แต่อีกเดี๋ยวคงกลับเข้ามา”

   “อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นฝากบอกให้รัณโทรกลับมาหาวริยาด้วยนะคะ” เสียงหวานใสที่ปลายสายว่าก่อนจะกดตัดไป นภทีป์จึงเลื่อนโทรศัพท์มือถือออกจากหู และก่อนที่หน้าจอจะดำมืด เขาก็เหลือบเห็นชื่อและภาพของหญิงสาวคนเมื่อครู่ ชื่อที่ใช้บันทึกดูสนิทสนม อีกทั้งภาพที่ใช้แทนตัวก็เป็นภาพถ่ายที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองจนเกินปกติ นภทีป์รู้สึกเหมือนลมหายใจติดขัดขั่วขณะ และแม้หน้าจอจะดับไปแล้ว เขาก็ยังคงจ้องมองมันราวกับว่าอุปกรณ์สื่อสารในมือนี้จะสามารถตอบคำถามที่ประเดประดังในใจของเขาได้

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 16 (27/07/13)
«ตอบ #64 เมื่อ27-07-2013 14:33:08 »

นั่นไง
แล้วคราวนี้คุณทีของเราจะทำยังไงต่อไปกันนะ อิอิ
รอลุ้นนนนน แอร๊ยย

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 16 (27/07/13)
«ตอบ #65 เมื่อ27-07-2013 15:02:11 »

ที เริ่มหวั่นไหวกันรัณมากขึ้น ทุกวัน ๆ แล้วนะ แต่ไม่ยอมรับใจตัวเองซะที
แอบน่ารักนะเนี่ย มีการทำภาพ หมาน้อย Paranyu ซะด้วย ไม่เจอตัว แต่ใจคิดถึงตลอดสินะ
รัณ โผล่มาเซอร์ไพรส์ น่ารักจัง แหม มาขโมยจุ๊บ(แก้ม) ที แบบเนียน ๆ นะ ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย
ดีใจ ที่ ทีคิดได้แล้วว่า ตฤณ ไม่ใช่คนสำคัญที่ทำให้ไม่กล้ารับความรู้สึกของรัณ
เพียงแค่คนสองคน อยู่ที่ ที จะกล้าที่จะลองเสี่ยงกับรักครั้งใหม่รึเปล่าเท่านั้นแหละนะ มีรติ คอยพูดเป่าหูนี้ ดีจัง
ทั้งที่ ที ก็ ยังสับสนอยู่แท้ ๆ ทำมั้ย ทำไม แฟนเก่ารัณต้องโทรมาตอนนี้ด้วยเนี่ย
รู้สึกว่าเรื่องแฟนเก่าของรัณ ต้องมาทำให้ ที เข้าใจผิดแน่ ๆ ล่ะ ถึงจะมีแฟนใหม่แล้ว แต่ยังปิดบังอยู่ก็เป็นเรื่องสิ
รึถ้าทีกังวลที่รติพูด กลัวว่ารัณ จะไปชอบคนอื่น แล้วตอบรับรัณ ก็ดีสินะ
แต่ดูแล้ว นิสัยซึน ๆ อย่างที คงจะยาก มีหวังโมโห แล้วรีบผลักไสรัณให้ไปหาผู้หญิ่งแน่เลยอ่ะ  :mew5:
ต้องติดตามตอนต่อไป ขอบคุณคนเขียนค่ะ  :L2: :3123:

ออฟไลน์ jinjin283

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 934
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 16 (27/07/13)
«ตอบ #66 เมื่อ27-07-2013 18:20:30 »

คุณทีหึงใช่ไหมคะเนี่ย
รัณรีบกลับมาตอบคำถามไวๆนะ
อยากจะรู้ว่าคุณทีจะแสดงอาการหึงยังไง

ออฟไลน์ lonesomeness

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 16 (27/07/13)
«ตอบ #67 เมื่อ27-07-2013 19:30:29 »

วู้ววๆ รับรักเลยสิคะคุณที รับเลยย

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 17 (30/07/13)
«ตอบ #68 เมื่อ30-07-2013 13:03:36 »

-17-


   เสียงผู้หญิงคนนั้นยังคงชัดเจนในหัว และหลังจากภรัณยูกลับมา เขาก็บอกไปตามตรงว่ามีคนโทรมาหา จากนั้น...ภรัณยูก็คว้าโทรศัพท์ออกไปที่ระเบียงด้วยท่าทางรีบรนระคนคาดหวัง สีหน้าตอนที่คุยกับอีกฝั่งของสายดูสดใสชื่นมื่นอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นมัน...สีหน้าที่ใช้พูดคุยกับคนสนิทใกล้ชิดไม่ใช่หรือ? ซ้ำวิธีเรียกก็ยังไม่เหมือนคนในครอบครัวและคล้ายว่าจะเป็นมากกว่าเพื่อน

   เพราะจนถึงวันนี้...เป็นครั้งแรกที่ภรัณยูมีคนโทรมาหาระหว่างอยู่กับเขา คงไม่ใช่ว่าเพราะเจ้าตัวมีเพื่อนน้อยแน่ ๆ แต่น่าจะเพราะ...ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าภรัณยูออกมาทำอะไรในวันแบบนี้ สนิทกันถึงขนาดนั้นจะปกปิดเรื่องเรียนพิเศษเป็นความลับไปทำไม?

   ตอนที่เขาถาม...ภรัณยูก็บอกว่าเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น...

   แต่ท่าทาง...กลับบอกว่ามีมากกว่าที่เห็น...

   ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ นภทีป์ก็รู้สึกคล้ายมีก้อนหินจุกอยู่ในปอด มันทั้งหนักและอึดอัด เขาไม่อยากให้ภรัณยูคิดว่าตนเองเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการไปเสียทุกเรื่อง และพยายามบงการชีวิตอีกฝ่าย ทว่าความรู้สึกคล้ายอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของก็ผลักดันอยู่ลึก ๆ ให้อยากจะแสดงความหวงออกมาและบอกให้อีกคนหนึ่งรู้ว่าตนเองไม่พึงพอใจที่เจ้าตัวไปข้องแวะใกล้ชิดกับคนอื่น

   “เลิกทำหน้าเหมือนท้องผูกซะทีเถอะ ฉันเห็นแล้วอยากจะท้องผูกตามไปด้วย” รติว่าทั้งที่ตัวเขาไม่มีทางจะท้องผูกได้อีกแล้ว

   “แล้วนายจะมามองทำไมกันล่ะ” นภทีป์ตอบกลับขณะเก็บกองกระดาษที่เพิ่งล้มลงมาเมื่อครู่ขึ้นไปตั้งไว้บนกล่องเหมือนเดิม บางที...คงจะต้องเอาไปชั่งกิโลขายสักทีกระมัง เขาคิดอย่างนั้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ในรอบหลายเดือน เพราะเอาเข้าจริง นภทีป์ก็ยังเสียดายผลงานเก่า ๆ ของตนเอง เพียงแค่ยิ่งวันมันก็ยิ่งทบ เมื่อรวมกับส่วนของภรัณยูมันจึงยิ่งกองสูงเสียจนเริ่มจัดเก็บลำบาก

   “ที ดูนี่สิ” ในขณะที่เขากำลังคดิว่าจะทำอย่างไรกับกระดาษที่หากล่องใส่ไม่ได้ รติก็เรียกให้หันไปมองอีกทางหนึ่งโดยไม่บอกเหตุผล

   ปึกกระดาษปึกหนึ่งวางอยู่บนพื้นข้างตู้ ซึ่งหากไม่สังเกตคงไม่ทันได้เห็น ท่าทางของมันเหมือนถูกทิ้งเอาไว้อย่างลวก ๆ หรือไม่ก็คงตกลงมาจากชั้น นภทีป์เดินเข้าไปดูเพราะไม่คุ้นตากับสิ่งนี้เลย กระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรถูกเย็บติดกันด้วยแม็กซ์เป็นปึกหนา 20 กว่าแผ่น ร่องรอยบนแผ่นกระดาษบ่งบอกว่ามันผ่านการถ่ายเอกสารมา คล้ายว่า...จะเป็นข้อมูลสำหรับการศึกษาบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ

   “นี่คงไม่ใช่แผนการของนายอีกนะ?” เขาหันไปถามรติ เพราะเจ้าตัวเคยมีคดีที่แอบเอากระดาษวาดรูปของเขาไปใส่กระเป๋าเป้ของภรัณยูโดยพลการ และครั้งนี้ รติก็อาจจะแอบเอาเอกสารออกมาจากกระเป๋าภรัณยูก็ได้ แต่รติกลับรีบปฏิเสธทันควัน

   “ฉันจะไปทำแบบนั้นทำไมกันล่ะ นี่มันของสำคัญของเจ้านั่นนะ เอาออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าได้ซะที่ไหน”

   แม้จะได้ยินคำปฏิเสธ แต่นภทีป์ก็ยังเหลือบมองรติด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ

   “ถ้าอย่างนั้นคงตกลงมาจากกระเป๋าตอนเก็บของล่ะมั้ง...” ปกติแล้ว ภรัณยูจะเอากระเป๋าโยนไว้ตรงมุมนี้ และบางครั้งก็เปิดอ้าเพื่อหยิบของแล้วลืมปิด ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่ามันจะตกลงมาตอนที่เจ้าตัวไม่ทันได้ระวัง และกระดาษก็กระจายเต็มห้องแทบจะเป็นปกติจึงไม่ได้สังเกต

   “เอาไปให้ดีไหม?” ถึงจะไม่ใช่ผลงานของตนเอง แต่รติก็ยินดีจะไหลไปตามน้ำ เขาแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะเห็นภาพนภทีป์ไปหาภรัณยูถึงมหาวิทยาลัย บางที มันคงจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนพัฒนาขึ้นกว่าเดิมบ้าง อย่างน้อยภรัณยูก็จะได้มั่นใจว่าอีกฝ่ายใส่ใจตนเองอยู่

   “แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาเรียนที่ไหนนี่? แล้วเดี๋ยวอีกไม่กี่วันภรัณยูก็คงจะมาที่ห้องอีก ถึงตอนนั้นค่อยเอาให้ก็ได้” การเดินทางออกไปข้างนอกยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับนภทีป์ โดยเฉพาะการไปในสถานที่ที่ตนไม่รู้จัก ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย และในสังคมที่ไม่คุ้นใจ เขาจึงได้พยายามหาข้ออ้างที่จะไม่ต้องทำเช่นนั้น เพราะอย่างไรภรัณยูก็ต้องมาหาเองในสักวันหนึ่งอยู่ดี

   “ไม่คิดว่าเป็นของจำเป็นเลยหรือ? บางทีอาจจะเป็นของที่ต้องส่งให้อาจารย์ภายในวันนี้ก็ได้นะ หรือว่านายจะไม่รู้สึกผิดถ้าเจ้านั่นไม่ผ่านโปรเจค”

   นภทีป์อึกอัก รู้สึกเหมือนกำลังถูกคำพูดทิ่มแทงใจว่าตนเองเป็นคนเย็นชาไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่น และเขาก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาต่อกรกับข้อครหาได้

   “...ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเขาเรียนที่ไหน ถ้าโทรไปถามแล้วภรัณยูเกิดกำลังนั่งอยู่ในห้องเลกเชอร์ ฉันก็จะกลายเป็นต้นเหตุให้โดนอาจารย์ดุเอาไม่ใช่หรือไง?”

   รติกลอกตาไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบเห็นตราปั๊มบนกระดาษหน้าแรกที่ยภทีป์ถืออยู่

   “ดูที่ใบปะหน้านั่นสิ นั่นมันตราปั๊มของมหาวิทยาลัยนี่” เมื่อได้ยินรติว่าเช่นนั้น นภทีป์ก็ก้มงมองและเห็นว่าใบปะหน้าซึ่งเป็นข้อมูลของหนังสือมีตราประทับของมหาวิทยาลัยประดับอยู่ มันค่อนข้างชัดเจนแม้จะผ่านการถ่ายเอกสารมาแล้ว ซ้ำยังเป็นชื่อมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจึงคาดเดาจากตัวอักษรได้ไม่ยากนัก ทำให้สุดท้ายแล้ว นภทีป์ก็ไม่อาจหาข้ออ้างใดให้ตนเองได้อีก เขาต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งในใจของเขาก็อยากจะไปพบภรัณยูเหมือนกัน อยากจะเห็น...สีหน้าดีใจของอีกฝ่าย...

   ใบหน้าของนภทีป์แดงขึ้นเมื่อคิดถึงใบหน้าที่เกลื่อนด้วยรอยยิ้ม

   “เดี๋ยวค่อยไปตอนกินข้าวเสร็จแล้วกัน” เขาว่าอย่างนั้นเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายที่ก่อตัวในอกและเดินเข้าครัวไปหยิบกับข้าวในไมโครเวฟออกมา

---------------------------->

   อีกด้านหนึ่ง...ภรัณยูกำลังค้นกระเป๋าตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทั้งที่จำได้ว่าเอาเอกสารใส่ไว้ในกระเป๋า แต่เอาเข้าจริงกลับหาไม่เจอ

   มันหายไป!

   ชายหนุ่มถึงกับกุมขมับและพยายามคิดว่าตนเองอาจจะไปทำตกหล่นไว้ที่ไหนบ้าง เย็นวันนี้อาจารย์ที่ปรึกษานัดเขากับวริยาให้ไปพบเพื่อดูข้อมูลโดยรวม เมื่อวานนี้วริยาอุตส่าห์โทรมาบอกว่าอาจารย์ว่างวันนี้พอดีและอาจจะไม่ว่างดูให้อีกเป็นอาทิตย์ ดังนั้น หากข้อมูลเบื้องต้นยังไม่เพียงพอในวันนี้ เขาจะต้องรอไปอีก 1 สัปดาห์และอาจจะทำงานได้ช้ากว่ากลุ่มอื่น ๆ ที่เสนอหัวข้อผ่านไปก่อนนานแล้ว

   ทั้งที่ตั้งใจว่าจะรีบทำให้เสร็จแล้วจะได้ว่างไปหานภทีป์บ่อย ๆ ...

   “เป็นอะไรไปหรือรัณ?” วริยาสะกิดเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าซีดเหมือนไปกินอะไรผิดสำแดงมา “ชลชาติกับวิชชุกรออกไปนานแล้วนะ พวกเขาบอกว่าเธอเอาแต่หาของก็เลยไม่ยอมตามออกไปเสียที ทำอะไรหายหรือ? อยากให้ฉันช่วยหาไหม?”

   “คือว่า...” ภรัณยูก้มหน้าอย่างสำนึกผิดก่อนสารภาพ “ฉันหาไม่เจอว่าเอางานที่ซีร็อกซ์มาไปไว้ที่ไหนชุดหนึ่ง แถมยังเป็นชุดสำคัญด้วย...”

   “แบบนั้นก็ไม่มีไปให้อาจารย์ดูน่ะสิ” หญิงสาวใจหายวาบก่อนที่สมองจะทำงานอย่างรวดเร็ว “แต่จำได้ใช่ไหมว่าเอามาจากเล่มไหนบ้าง?”

   “ก็พอจะจำได้อยู่...”

   “ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ ตอนบ่ายเธอไม่มีเรียนสินะ ส่วนฉันมีเรียนวิชาหนึ่ง ฉันจะโดดเรียนไปช่วยรวบรวมส่วนที่ทำหายไป”

   “โดดเรียน? แต่ว่า...”

   “มันไม่ใช่วิชาสำคัญขนาดนั้นหรอก เป็นวิชาเสริมที่ฉันลงไว้ดึงเกรดเท่านั้นเอง” วริยายิ้มกว้างให้อีกฝ่ายสบายใจ “แล้วโปรเจคเราก็ต้องทำด้วยกันสองคนใช่ไหม? ดังนั้นถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ต้องช่วย ๆ กัน ฉันรู้ว่ารัณเป็นคนมีความรับผิดชอบ ไม่ได้ตั้งใจจะหาข้ออ้างอู้งานอยู่แล้ว จริงไหม?”

   “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปที่หอสมุดก่อนตอนหลังเที่ยง แล้วพอเธอว่างก็ตามไปแล้วกัน” เมื่อตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะ ภรัณยูก็ใจชื้นขึ้น อย่างน้อยก็น่าจะมีงานไปให้อาจารย์เชยชมได้ทันเวลา

   และเมื่อเขาจัดการกับอาหารเที่ยงเรียบร้อย ชายหนุ่มก็แยกตัวจากวิชชุกรและชลชาติซึ่งกำลังจะไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาของตนเองและมุ่งตรงไปยังหอสมุด เขาเริ่มจากการเสิร์ชหาชื่อหนังสือที่พอจะจำได้ด้วยคอมพิวเตอร์ภายในหอสมุดแห่งนั้นและจดรหัสอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าชื่อหนังสือที่จำได้ราง ๆ มีที่คล้ายกันอยู่หลายเล่ม และคราวก่อนเขาก็ต้องเปิดหาเอาจากเล่มที่คล้ายกันเหล่านี้จนกระทั่งได้สิ่งที่ต้องการ ถึงจะท้ออยู่บ้างที่ต้องมารวบรวมใหม่ แต่ก็ต้องขอบคุณความทรงจำของเขาที่ยังค่อนข้างชัดเจน หากเปิดผ่านก็น่าจะจำได้ทันทีว่าเอาส่วนไหนมาบ้าง แม้ว่าบางส่วนอาจจะต้องสุ่มเอาก็ตาม

   วริยาตามมาหลังจากนั้นไม่นาน ตอนที่วริยามาถึง ภรัณยูก็กำลังขนกองหนังสือมาตั้งไว้บนโต๊ะพอดีทำให้หญิงสาวไม่ต้องเสียเวลาไปเดินขนหนังสือด้วย

   แต่พอถึงเวลาค้นคว้าจริง ๆ สมาธิและจิตใจของวริยากลับไม่ได้อยู่กับหนังสือที่นำมาวางไว้ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าตัวเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์มือถือของตนด้วยท่าทางเหมือนกำลังเฝ้ารอใครบางคนหรืออะไรบางอย่างและภาวนาให้มันมาถึงโดยเร็วด้วยความกระวนกระวาย

   “มีอะไรหรือเปล่า?” ภรัณยูเงยหน้าขึ้นถามเพราะเห็นสีหน้ากังวลของอีกฝ่าย

   “...ก็นิดหน่อย...” วริยาเม้มปาก

   “ถ้าหากว่าจะทำให้สบายใจขึ้น ฉันก็ยินดีรับฟังนะ” พอภรัณยูพูดอย่างนั้น สีหน้าของวริยาก็คล้ายจะคลายความเคร่งเครียดลงไปบ้าง และระบายด้วยความเขินอายแทน หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มพูดด้วยเสียงแผ่วหวิวเพราะไม่อยากให้ใครอื่นได้ยิน

   “จำคนที่ฉันเลยเล่าให้ฟังได้หรือเปล่า? แฟนที่ฉันคบด้วยตอนนี้ที่เป็นเพื่อนของพี่น่ะ” ภรัณยูพยักหน้ารับช้า ๆ แล้วฟังเสียงอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...ก่อนหน้านี้พวกเราโทรคุยกันบ่อย ๆ ไม่ฉันโทรไปก็เขาโทรมา เฉลี่ยก็ 2-3 วันต่อครั้ง หรือวันละครั้งก็แล้วแต่จะมีเวลา แต่ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนเขาก็ไม่เคยโทรมาหาฉันอีกเลย วันที่ฉันเล่าเรื่องเขาให้เธอฟังนั่นเขาก็ไม่ได้โทรมา 2 วันแล้วแต่ฉันก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะมันก็ปกติ แต่หลังจากนั้น...ถึงฉันจะโทรไปเขาก็บ่ายเบี่ยงว่ายังไม่ว่างตลอด เสียงเหมือนไม่อยากจะคุยกับฉันเลย ตอนนี้ฉันก็เลยเริ่มคิดน่ะสิว่า...ฉันไปทำอะไรไม่ดีเข้าหรือเปล่า? นิสัยฉันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?”

   ในมุมมองของภรัณยูที่เคยคบกับวริยามาก่อน เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ก็เป็นคนธรรมดา ไม่ได้เลวร้ายอะไร มีงอนบ้าง กระเง้ากระงอดบ้าง แต่จะไม่อาละวาดและไม่โมโหร้าย ส่วนใหญ่ก็แค่บ่นอุบอิบไปตามประสาหรือไม่ก็ไม่ยอมพูดด้วยเป็นวัน ๆ แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็จะอารมณ์ดีราวกับพลิกฝ่ามือ เขายังนึกไม่ออกเลยว่า อะไรในตัววริยาที่ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจได้

   “อาจจะแค่ติดงานจริง ๆ ก็ได้นี่”

   “เขาอยู่แผนกเดียวกับพี่ของฉันนะ แล้วพี่ก็บอกว่าช่วงนี้ที่แผนกค่อนข้างว่างด้วยซ้ำไป” วริยาทำสีหน้าหมองเศร้า เธอรู้สึกว่าแฟนของตนเองกำลังห่างหายจากไป ซึ่งมันคงจะดีถ้าเขาเป็นคนตรงไปตรงมาเหมือนภรัณยู เพียงแต่ผู้ชายคนนี้มักจะชอบยิ้มเจื่อน ๆ และขี้อายเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาอย่างที่ใจคิด และการหลบเลี่ยงที่จะพูดคุยคงเป็นวิธีตีจากของคนประเภทนั้นกระมัง?

   ภรัณยูไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไรต่อ เพราะดูจากสถานการณ์แล้ว คงคิดได้แต่ในแง่ลบเท่านั้น หวังแต่ว่าแฟนของวริยาจะติดต่อกลับมาในเร็ว ๆ นี้และขอให้เป็นข่าวดี

   เสียงริงโทนของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในความเงียบ วริยาเป็นคนแรกที่สะดุ้งแต่เมื่อเธอมองไปยังโทรสัพท์มือถือของตนเองกลับพบว่ามันนอนนิ่งสงบ ซ้ำริงโทนยังไม่ใช่ของตน แต่เป็นของภรัณยู

   ชายหนุ่มแปลกใจที่มีคนโทรมาหาในเวลานี้จึงกดรับและเดินเลี่ยงไปหามุมสงบโดยผ่านประตูออกไปยังทางเชื่อมด้านนอกซึ่งไม่ได้ไกลจากโต๊ะที่พวกเขานั่งกันนัก

   “คุณที เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” ภรัณยูทั้งประหลาดใจและดีใจที่เห็นชื่อคนโทรเข้า เขาไม่คิดว่านภทีป์จะเป็นคนติดต่อมาก่อนในวันแบบนี้ที่ไม่น่ามีอะไรพิเศษ “เอ๋ งานของผม ตกอยู่ในห้องของคุณทีเองหรือครับ? แล้วตอนนี้อยู่หน้ามหาวิทยาลัย?”

   สิ่งที่ได้ยินยิ่งทำให้ประหลาดใจ นภทีป์มาถึงหน้ามหาวิทยาลัยเพียงเพื่อจะนำงานมาส่งให้เขาอย่างนั้นหรือ?

   ภรัณยูยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ ความลิงโลดบังเกิดขึ้นภายในใจเสียจนอยากกระโดดกอดอีกฝ่ายที่ปลายสายโทรศัพท์

   “จะเข้ามาหรือครับ? ที่จริงผมออกไปหาก็ได้” เขาไม่อยากจะรบกวนนภทีป์มากเกินไป ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยืนยันว่าจะเข้ามาหาข้างในเอง “ถ้าอย่างนั้น...เอ่อ...คุณทีเรียกมอเตอร์ไซค์บอกว่าจะมาหอสมุด พอมาถึงแล้วก็ขึ้นมาที่ชั้น 3 ผมอยู่ตรงใกล้ ๆ ตู้หนังสือหมวด b น่ะครับ” ภรัณยูบอกทางอย่างรวบรัดเท่าที่จะทำได้ เพราะนภทีป์ไม่ชอบความยุ่งยาก เขาเกรงว่าเจ้าตัวจะเกิดรำคาญจนตัดบทเปลี่ยนใจเสียก่อน

   หลังจากบอกเส้นทางเรียบร้อย ภรัณยูก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมกับริมฝีปากที่แย้มยิ้มไม่ยอมหุบจนวริยาอดทักไม่ได้

   “คนที่แอบชอบข้างเดียวคนนั้นหรือเปล่า?” เธอกระซิบถาม

   “ก็...ประมาณนั้น” เขาเกาท้ายทอยพลางยิ้มเขิน

   “มีโทรหาแบบนี้ท่าทางว่าจะไปได้สวยนะ น่าอิจฉาจัง” วริยาเท้าคางพลางถอนหายใจกับเรื่องของตนเอง ตอนนี้เธอกำลังอิจฉาภรัณยูอยู่จริง ๆ

   แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที โทรศัพท์มือถือของวริยาก็ดังขึ้นบ้าง

   ทั้งสองมองหน้ากันพลางอมยิ้มให้กัน

   “ความอิจฉาของเธอน่ากลัวใช่เล่น” ภรัณยูหยอกเพื่อนสาวขณะที่เธอแลบลิ้นใส่แทนคำตอบแล้วรีบหยิบโทรศัพท์วิ่งออกไปในจุดเดียวกับที่ภรัณยูยืนคุยโทรศัพท์เมื่อครู่ จากจุดที่พวกเขานั่งอยู่จะสามารถมองออกไปที่ตรงนั้นได้อย่างชัดเจนเพราะมีเพียงกระจกใสกั้น

   ในตอนแรก สีหน้าของวริยาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวัง ทว่าผ่านไปเพียงไม่นานใบหน้าของหญิงสาวก็กลับเต็มไปด้วยความกังวลและสงสัยคล้ายว่ากำลังมีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้น และเมื่อผ่านไปแค่ 10 นาที วริยาก็กดตัดสายแล้วเดินกลับมาเข้ามาด้านในด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ภรัณยูสังเกตเห็นตอนที่เธอเดินเข้ามาใกล้ว่ามือของเธอกำโทรศัพท์มือถือแน่นและสั่นน้อย ๆ และเมื่อวริยาเงยหน้าขึ้น เขาก็ได้เห็นดวงตาแดงก่ำและน้ำตาหยดใสรื้นล้นอยู่ หญิงสาวฝืนยิ้มด้วยริมฝีปากที่สั่นเทาและสูดหายใจลึก

   “ช่วย...พาฉันไปที่ลับตาคนหน่อยได้ไหม...”

----------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 17 (30/07/13)
«ตอบ #69 เมื่อ30-07-2013 13:05:00 »

นภทีป์ซ้อนมอเตอร์ไซค์จากหน้ามหาวิทยาลัยมาจนถึงหอสมุดโดยทีรติเกาะตามหลังมาเพราะบินตามมอเตอร์ไซค์ไม่ทัน และเมื่อมาถึง เขาก็ได้แต่เงยหน้ามองสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตกรุ่นกลิ่นอายความขลังของมหาวิทยาลัยชื่อดังและเก่าแก่ ภายในหอสมุดแห่งนี้คงอัดแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมากซึ่งนั่นรวมถึงสายตาที่จะส่งมายังคนแปลกหน้าซึ่งไม่ได้สวมเครื่องแบบด้วย

   “เข้าไปได้แล้วน่า” รติคะยั้นคะยอ

   “รู้แล้ว ไม่ต้องมาเร่งเลย” นภทีป์ว่าพลางมองรอบตัว ซึ่งมีนักศึกษาบางคนมองมายังเขา แม้ในดวงตาเหล่านั้นจะไม่ได้นึกแปลกใจเพราะคิดว่าเป็นนักศึกษาปริญญาโทก็ตาม

   ชายหนุ่มร่างล็กตัดสินใจเดินเข้าไปในตัวอาคารและพบกับประตูแบบสแกนบัตรซึ่งตัวเขาไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเดินไปหาเคาท์เตอร์และจ่ายค่าผ่านประตูจึงสามารถผ่านเข้าไปได้โดยสะดวก

   ทีนี้ก็ขึ้นชั้น 3 ...

   นภทีป์ทวนแล้วเดินไปที่บันได พอถึงชั้น 3 ก็มองหาตู้หมวด b ซึ่งก็ไม่ยากนักเพราะตู้ตั้งเรียงตามอักษร และหมวดต้น ๆ ก็อยู่ใกล้กับบันได แต่เมื่อเขามองไปรอบด้าน กลับไม่พบภรัณยูอยู่ที่โต๊ะตัวไหนเลย มีแต่คนแปลกหน้าอยู่ทั้งนั้น...

   “เจ้านั่นคงไม่ได้บอกชั้นผิดหรอกนะ” รติบินวนรอบหนึ่งแล้วกลับมาหาหลังจากที่ไม่เจอตัวภรัณยูเช่นกัน

   นภทีป์ตัดสินใจโทรหาแม้ว่าจะอยู่ในหอสมุดก็ตาม และทันใดนั้น เสียงริงโทนคุ้นหูก็ดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไปเพราะเจ้าของไม่ยอมรับสาย หรือ...ไม่อยู่รับ เพราะเขาเดินตามเสียงและพบว่ามันมาจากโต๊ะที่มีของวางเกลื่อนแต่ไม่มีคนนั่ง ซ้ำเวลานี้ นักศึกษาคนอื่น ๆ ในหอสมุดก็กำลังส่งสายตามายังเขาด้วยความรำคาญ นภทีป์จึงต้องยอมกดตัดสายเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะรอสายต่อไป

   เขากวาดตามองสิ่งของบนโต๊ะ มีกระเป๋าของภรัณยูวางอยู่กับกองหนังสือที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ และฝั่งตรงข้ามก็มีกระเป๋าเล็ก ๆ สีสันสดใสที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของหญิงสาว

   หรือจะเป็นคนเดียวกับที่โทรมาวันนั้น?

   อยู่ ๆ นภทีป์ก็ฉุนกึกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ในหัวสมองเริ่มสงสัยว่าทั้งสองคนหายไปไหนในเวลาเดียวกันอย่างนี้ ซ้ำยังทิ้งของมีค่าไว้ทั้งคู่ด้วย แปลว่ากิจกรรมที่จะทำด้วยกันไม่อยากจะให้มีอย่างอื่นเข้ามารบกวนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือหรือ?

   ทั้งที่เขาโทรมาบอกว่าจะมาหาเนี่ยนะ!?

   นภทีป์นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อสงบจิตสงบใจพยายามที่จะไม่คิดมาก เขาหยิบปึกกระดาษที่ภรัณยูลืมไว้ออกมาจากกระเป๋าและวางมันลงบนโต๊ะพลางคิดในใจว่าตนเองควรจะกลับเลยดีหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้น ความอยากรู้อยากเห็นก็มีมากกว่า

   เขาอยากจะรู้..ว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง และมีความสัมพันธ์แบบไหนกับภรัณยู ถึงแม้จะพยายามเตือนตนเองว่าเขาไม่ได้มีสิทธิจะไปหึงหวงเลยสักนิดก็ตาม

   “อาจจะแค่ไปห้องน้ำก็ได้” รติตั้งข้อสินนิษฐานที่มองโลกในแง่ดีที่สุด ทว่ามันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นนักเพราะมันไม่มีเหตุผลที่จะไปห้องน้ำทั้งคู่และทิ้งของมีค่าไว้กลางแจ้งโดยไม่มีคนเฝ้า

   นภทีป์ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ และนั่งกอดอกเงียบ ๆ เพราะเขารู้สึกได้ถึงก้อนเขม่าสีดำที่ลอยฟุ้งอยู่ภายในใจลึก ๆ และไม่ว่าเขาจะพยายามไม่สนใจมันสักเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น

   นานถึง 15 นาที ที่นภทีป์นั่งนิ่งไม่ไหวติง จนกระทั่งได้ยินเสียง “อ๊ะ” เบา ๆ จากรติซึ่งมองผ่านไปด้านหลังของเขา นภทีป์จึงหันมองตามก่อนจะได้เห็นภาพที่ทำให้ก้อนเขม่าดำในใจเกาะกลายเป็นตะกอนหนักอึ้งทันที

   ภรัณยูพยุงหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาด้วยกันด้วยท่าทางใกล้ชิด ที่จริงแล้ว...เรียกว่าทั้งสองกำลังกอดกันเดินน่าจะเข้ากับสถานการณ์เสียกว่า นภทีป์กำมือแน่นและขบริมฝีปากอย่างแรงโดยไม่ทันรู้ตัว จนกระทั่งภรัณยูเงยหน้าขึ้นมาเห็นและเบิดตากว้างด้วยท่าทางตกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งทันที

   “เดี๋ยว! คุณที นี่มัน...”

   เสียงของภรัณยูดังลั่นห้องสมุดเพราะลืมตัว แต่นภทีป์ไม่ได้สนใจหันกลับไปฟัง เขาเดินจ้ำจากไปโดยไม่สนใจกระทั่งสายตาจากคนรอบข้างที่มองมาเพราะเสียงตะโกน และไม่สนใจเสียงของภรัณยูที่กำลังเรียกตนเองจากข้างหลังหรือเสียงของรติที่ขอให้หยุดฟัง นภทีป์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองลงมาถึงข้างล่างตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเป้าหมายของเขาคือประตูหอสมุดที่เปิดออกสู่โลกกว้าง โชคดีที่วินมอเตอร์ไซค์มีเกาะกลุ่มอยู่ไม่ไกลจากหอสมุดนัก นภทีป์วิ่งข้ามถนนโดยแทบไม่ได้หันมองรถด้วยซ้ำเพียงเพื่อที่จะไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

   และเมื่อออกมาถึงหน้ามหาวิทยาลัย นภทีป์ก็ไม่ลังเลเลยที่จะเรียกรถแท็กซี่เพื่อกลับห้องของตนเอง สถานที่ซึ่งเปรียบเสมือนป้อมปราการของเขา

   “ที นายน่าจะ...”

   “หุบปาก” เขาส่งเสียงลอดไรฟันเพื่อให้รติเงียบเสีย

   ในตอนนี้ เขาไม่พร้อมจะรับฟังอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่อบอวลอยู่รอบตัวเหลือแต่ความผิดหวังที่รุนแรง เหมือนกับที่รติเคยทิ้งเขาไป เหมือนที่ตฤณเคยหักหลังเขา สุดท้ายภรัณยูเองก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่น ๆ ที่เห็นเขาเป็นแค่เครื่องมือฆ่าเวลาเท่านั้น

   เมื่อถึงคอนโดมิเนียม นภทีป์ก็ตรงดิ่งขึ้นไปถึงห้องของตนเอง ทว่า...กลับมีคนรอเขาอยู่ที่นั่น

   ตฤณกำลังทำท่าเหมือนจะกลับเพราะมาไม่เจอเจ้าของห้อง แต่ก็บังเอิญพบกับเจ้าตัวที่เดินดิ่งมาทางตนอย่างพอดิบพอดี

   “ออกไปไหนมาหรือ?” เขาเลิกคิ้วถามแต่กลับพบว่านภทีป์ไม่คิดจะตอบ ชายหนุ่มร่างเล็กเดินผ่านตฤณไปราวกับอีกฝ่ายไม่มีตัวตนและไขประตูห้องด้วยความรีบเร่งจนผิดสังเกต ในตอนแรก นภทีป์คิดจะเข้าห้องคนเดียวแต่พอคิดจะปิดประตู ตฤณก็เข้าขวางและแทรกตัวตามเข้ามาเมื่อผนวกกับอารมณ์ของนภทีป์ที่ไม่คิดจะเล่นแง่อะไรในตอนนี้ ตฤณจึงเข้ามาอยู่ในห้องอย่างง่ายดาย

   “อยากพูดอะไรก็รีบพูดมา แล้วก็รีบกลับไปด้วย” นภทีป์ยืนอยู่กลางห้องแล้วมองไปยังแขกของตนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

   “ก็แค่มาเยี่ยมเท่านั้นเอง ไม่ได้หรือ? ไปอารมณ์เสียอะไรมาน่ะ?” ผู้มาเยือนมุ่นคิ้ว เขาแทบจะนับนิ้วได้ว่ากี่ครั้งที่นภทีป์มีอาการแบบนี้ มันไม่ได้เกิดอยู่บ่อย ๆ และมักจะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าตัวผิดหวังรุนแรงและไม่สามารถหาทางระบายออกได้ “อย่าบอกนะว่า...เพราะเด็กที่ชื่อภรัณยู?”

   ชื่อเสียงภรัณยูทำให้นภทีป์รู้สึกเหมือนเส้นประสาทในสมองกระตุก

   “ไม่ใช่เรื่องของคุณ ถ้าจะมาหาเรื่องก็กลับไปเดี๋ยวนี้เลย” ว่าจบ นภทีป์ก็หมุนตัวไปทางห้องนอน ป้อมปราการด่านสุดท้ายของตนแต่กลับถูกฉุดจากด้านหลังด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่อาจต้านทาน ตฤณล็อคเขาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างและบังคับให้หันมาเผชิญหน้า

   “ทำไมจะไม่ใช่เรื่องของผม ลืมไปแล้วหรือว่าใครกันที่เป็นเจ้าของคุณน่ะ”

   “พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว คุณก็รู้ว่าตัวเองทำอะไรไว้ คุณเอาสิ่งที่ผมต้องการไป! ถึงจะพยายามแก้ตัวยังไงมันก็ทดแทนสิ่งที่ทำไม่ได้!” พอพูดถึงเรื่องอดีต นภทีป์ก็ยิ่งโมโหมากขึ้นและเพิ่มระดับของเสียงไปตามระดับอารมณ์ “พอกันทีกับทุก ๆ อย่างที่คุณเสแสร้งว่าใส่ใจ! ทั้งคุณ ทั้งเจ้าบ้านั่น มันก็เหมือน ๆ กันหมด ก็แค่สนุกกับท่าทีของผมก็เท่านั้น ดังนั้นรีบไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”

   “คุณคิดว่าผมกับเขาเหมือนกันหรือ?” โทนเสียงของตฤณเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนออกแรงบีบข้อมืออีกฝ่ายแรงขึ้นและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ทั้งที่นั่นมันอภิสิทธิ์ของผมไม่ใช่หรือ ที่จะเป็นคนทำให้คุณปั่นป่วนไปกับทุกการกระทำของผม รู้ไหมว่าทำไมผมถึงขโมยงานของคุณไป ทั้งผลงานและอาชีพ เพราะว่าคุณกำลังจะเดินล้ำหน้าผมไปยังไงล่ะ คุณกำลังจะก้าวเข้าไปในโลกที่ผมคว้าจับไม่ได้ คิดหรือว่าผมจะยินยอม ผมจะต้องเป็นคนที่อยู่ที่นั่นและทำให้คุณเจ็บปวด ดีใจ เสียใจ คุณจะไม่มีวันเดินล้ำผมไปได้และอยู่ใต้เงาของผมไปจนกว่าผมจะพอใจ นั่นมันก็เหมาะกับคนอย่างคุณอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ที? คนที่เอาแต่โทษโชคชะตาแบบคุณน่ะ”

   “หุบปากนะ!” นภทีป์ตะโกนกร้าวด้วยเรี่ยวแรงที่มีเหลือ “ออกไป...ออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีก ทั้งนายทั้งภรัณยู ออกไปให้หมด!” เพราะรู้ว่าตฤณพูดความจริง ตลอดชีวิตของเขาเอาแต่โทษโชคชะตาที่ทำให้ตนเองต้องประสบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะมีพรสวรรค์ติดตัวมา แต่ก็ไม่อาจก้าวเดินไปอย่างที่ใจต้องการได้ สุดท้ายก็ได้แต่ย่ำอยู่กับที่เพราะความหวาดกลัว

   และเพราะรู้...ถึงได้ทรมาณ...และปฏิเสธทุก ๆ คนที่เข้ามาหา

   ไม่อยาก...จะเจอใครอีกแล้ว...

   “ไม่เป็นไรหรอกที แค่ทำตัวสบาย ๆ และปล่อยให้ผมควบคุมทุกอย่างเหมือนเดิมก็พอ” ข้อเสนอของตฤณช่างหอมหวาน ไม่จำเป็นต้องคิดอะไร ไม่จำเป็นต้องเชื่ออะไร แค่ปล่อยให้แต่ละวันผ่านไปอย่างไร้ความหมายเหมือนตุ๊กตาตั้งประดับตัวหนึ่ง

   หูของเขาแว่วเสียงทุบประตูรัวจากด้านนอก แต่ตฤณก็ไม่ยอมให้เขามีโอกาสคิดถึงเสียงนั้นและโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ นภทีป์รู้สึกคล้ายตนเองกำลังจะถูกดูดกลืนเข้าไปในเงาอันมืดมิด สูงใหญ่ และเย็นเยียบ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่โดนตฤณกกกอด ผู้ชายคนนี้มีความปรารถนาที่จะเป็นเจ้าของอย่างแรงกล้า เป็นอย่างนี้...มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว และไม่เคยเปลี่ยนไปเลย

   สำหรับตฤณ...เขาเป็นแค่สิ่งของอีกชิ้นหนึ่งเท่านั้น...

   แล้วสำหรับภรัณยู เขาเป็นอะไรกันล่ะ?

   “ปล่อยคุณทีเดี๋ยวนี้นะ!” ในห้วงความคิดอันสับสน เสียงกร้าวของชายหนุ่มร่างสูงก็ดังแทรกเข้ามาและกระชากเงามืดออกไปจากสายตา นภทีป์จึงได้เห็นแสงสว่างที่ลอดผ่านประตูเข้ามา สติของเขากระซิบให้รู้ว่ารติเป็นคนเปิดประตูปล่อยภรัณยูเข้ามาในห้อง และตอนนี้ผู้ชายสองคนก็กำลังกระชากคอเสื้อจ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ รอยยิ้มบนริมฝีปากของตฤณแสยะออกอย่างคนที่มีดีกรีเหนือกว่า ในขณะที่แววตาของภรัณยูเต็มไปด้วยความเดือดดาลราวกับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ถูกแย่งของสำคัญ

   เสียงตะโกนอื้ออึงดังผ่านหูไปมาก่อนที่ภรัณยูจะเงื้อหมัดขึ้นและชกหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ออมแรง นภทีป์ไม่เคยเห็นภรัณยูตอนใช้กำลังมาก่อนเลย และไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายแสนสุภาพและหัวอ่อนคนนั้นจะกลายเป็นแบบนี้เพียงเพราะสิ่งที่ตฤณกระทำ

   “อย่าเข้ามาใกล้คุณทีอีก!” ภรัณยูประกาศเสียงลั่นตอนที่ตฤณวิ่งออกไปเพราะรู้ว่าแลกหมัดไม่คุ้มกับตัวเอง แต่ก็ยังไม่วายสบถทิ้งท้าย

   รติปิดประตูไล่หลัง ทำให้ความสงบหวนกลับมาอีกครั้ง...

   นภทีป์รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่โอบรัดรอบตัวหลังจากความเงียบครอบคลุม

   “ไม่เป็นอะไรนะครับ ไม่ได้ถูกทำอะไรรุนแรงใช่หรือเปล่า?” ภรัณยูกระซิบถามข้างหู ทว่ากลับไม่ได้รับคำตอบ นภทีป์เม้มปากจนเป็นเส้นตรงและรวบรวมกำลังออกแรงผลักอีกฝ่ายออกไปก่อนหันหลังเข้าห้องนอนและปิดประตูตามแทบจะในทันที

   “กลับไปก่อนเถอะ” เขาส่งเสียงผ่านประตู

   “เดี๋ยวสิคุณที ฟังผมอธิบายก่อน...”

   “ฉันไม่อยากฟัง!” นภทีป์ตะโกนขัด “...ตอนนี้...ยังไม่อยากฟัง...” เขาพูดเช่นนั้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งกอดเข่าพิงประตูพลางซบหน้าผากลงกับท่อนแขนตนเอง

   ในเวลานี้...เขาอยากจะอยู่คนเดียว ยังไม่อยากจะพบใครหรือฟังอะไรจากใครทั้งนั้น

   “...ถ้าอย่างนั้น วันพรุ่งนี้ได้ไหมครับ?” ภรัณยูเอ่ยถามแต่อีกฝ่ายก็ยังคงเงียบ “แล้วถ้าเป็นมะรืน...หรืออาทิตย์หน้าก็ได้ ผมจะมาหาจนกว่าคุณจะยอมให้พบ”

   แม้จะได้ยินอย่างนั้น แต่นภทีป์ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขาเฝ้ารออยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งภรัณยูยอมล่าถอยกลับไปเอง และเมื่อผ่านไปราว ๆ ชั่วโมงหนึ่งจึงแง้มประตูออกดู ทำให้รติรีบแทรกตัวเข้ามาในห้องนอนก่อนที่นภทีป์จะหับประตูปิดเช่นเดิม

   เจ้าของร่างกายเล็กจิ๋วและรูปกายคล้ายกามเทพลอยตัวอยู่กลางอากาศพลางมองคนที่ตนอยากจะช่วยเหลือซึ่งเอาแต่ก้มหน้าอยู่หน้าประตูโดยไม่ขยับเขยื้อน หากเขาเป็นกามเทพจริง ๆ มันคงจะดีกว่านี้และง่ายดายกว่านี้ แค่เพียงยิงศรปักอกก็ทำให้คนสองคนรักกันได้โดยไร้เงื่อนไข แต่ความจริง...เรื่องของหัวใจนั้นแสนซับซ้อน มีเหตุผลมากมายที่จะทำให้คนรักกันได้และเกลียดชังกันได้ มีเหตุผลมากมายที่จะทำให้เจ็บปวด โกรธเกรี้ยว และผิดหวัง ซึ่งทั้งหมดนี้...ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของความรักเช่นกัน

   ไม่มีทางใดจริง ๆ หรือ ที่จะสามารถรักได้โดยไม่ต้องมีน้ำตา...

TBC

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 17 (30/07/13)
« ตอบ #69 เมื่อ: 30-07-2013 13:05:00 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 17 (30/07/13)
«ตอบ #70 เมื่อ30-07-2013 17:35:24 »

โอยยย
ทีก็ฟังรัณเขาก่อนสิ
ด่วนสรุปเองแบบนี้ได้ยังไงงงงงง ฮืออออ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 18 (1/08/13)
«ตอบ #71 เมื่อ01-08-2013 13:56:27 »

-18-


   วริยานั่งมองใบหน้าด้านข้างของแฟนเก่าตนเองที่เอาแต่ถอนหายใจมาตั้งแต่ถึงมหาวิทยาลัย เธอไม่เคยเห็นภรัณยูเป็นแบบนี้มาก่อน แม้กระทั่งในช่วงเวลาที่คบกัน เธอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะหลังจากวันนั้นที่อยู่ ๆ แฟนของเธอก็โทรมาขอบอกเลิกเพราะที่จริงเขาแอบชอบพี่สาวของเธอแต่ไม่กล้าที่จะสารภาพความในใจ มันก็ผ่านมาได้สามวันแล้วที่ภรัณยูดูหมองเศร้าและกลับบ้านเร็วทุกวัน

   “ฉันเป็นต้นเหตุสินะ” หญิงสาวเปรยระหว่างที่กำลังคุยเรื่องงานกันแล้วสมาธิของภรัณยูกลับล่องลอยออกไปนอกหน้าต่าง

   “อะไรหรือ?” ภรัณยูได้ยินเสียงวริยาเพียงแว่ว ๆ แต่เขาก็รีบหันกลับมาพลางเลิกคิ้วถาม

   “เรื่องที่ทำให้เธอไม่สบายใจอยู่ตอนนี้ไง ทั้งที่ฉันควรจะเป็นคนอกหักคนเดียว แต่กลับทำให้รัณเดือดร้อนไปด้วย” วริยาปิดหนังสือตรงหน้าลง “พรุ่งนี้เป็นวันหยุด พวกเราพักเรื่องโปรเจคสักวันแล้วไปหาเขาด้วยกันไหม? ฉันจะอธิบายให้เขาเข้าใจเอง”

   “ไม่ต้องหรอก...ความจริงมันเป็นความผิดชอบฉันเองที่ทำตัวไม่ชัดเจนมาแต่แรก เพราะแบบนั้นเลยทำให้เขาไม่มั่นใจ” ยิ่งพูดภรัณยูก็ยิ่งดูห่อเหี่ยว “แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันคิดว่าถ้าคราวนี้ทำให้เขามั่นใจได้ ทุกอย่างก็คงจะดีเหมือนเดิมเอง คุณทีก็แค่...ต้องการเวลาน่ะ”

   สิ่งที่ภรัณยูพูดไปเหมือนกับการหาข้ออ้างให้ตนเองรู้สึกมีกำลังใจเท่านั้น เพราะเมื่อเขาแวะเวียนไปหาที่ห้องเมื่อมีเวลาว่าง ก็มักจะพบประตูห้องที่ปิดสนิทเพราะเจ้าของไม่ต้องการต้อนรับแขกคนใด ซึ่งการเข้าไม่ถึงตัวอีกฝ่ายก็ทำให้ชายหนุ่มท้อแท้ไปบ้างเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นภรัณยูก็ยังพยายามที่จะสลัดความท้อแท้ของตนเองออกไปและไปหานภทีป์ทีห้องเหมือนวันที่ผ่าน ๆ มา และในวันนี้...เขาก็ยังคงต้องผิดหวังกลับไปเช่นเดิม เพราะประตูห้องของนภทีป์ปิดสนิทและลงกลอนแน่นหนา ให้ความรู้สึกเย็นชาและอ้างว้างจนน่าเศร้า...

---------------------------->

   ทางด้านนภทีป์เองก็หดหู่ไม่แพ้กัน เขาเอาแต่ขังตนเองอยู่ในห้องและใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่แตกต่างจากที่ผ่านมาเลยแม้แต่น้อย

   ทำไมมันถึงกลับมาที่จุดเดิมอีกนะ...

   “ที...นายจะทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?” รติเอ่ยถามเมื่อล่วงเข้าวันที่สี่ภรัณยูเทียวไปเทียวมาได้สามวันแล้ว และทุก ๆ วันก็ได้แต่ยืนมองประตู พยายามพูดเกลี้ยกล่อมทั้งที่รู้แก่ใจดีว่านภทีป์ไม่ได้ยินเสียงของตน ทำเช่นนั้นอยู่หลายชั่วโมงก่อนจะกลับไป ดูไปแล้วก็ทั้งน่าสงสารและน่าสังเวช แต่คนที่เป็นต้นเหตุกลับฝังตัวเองในความมืดและหลบหลังประตูห้องนอน

   รติถอนหายใจแล้วร่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ ในท่ากอดเข่าแบบเดียวกัน

   “นายจำได้หรือเปล่า...สมัยที่ฉันยังไม่ใช่แค่เพื่อนในจินตนาการของนาย เป็นคนจริง ๆ ที่ได้ไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน ตอนนั้นนายยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ร่าเริงแจ่มใส ถึงจะดูหม่นหมองกว่าเด็กวัยเดียวกันหลายคนก็ตาม แต่นายก็ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ไม่ใช่หรือ?”

   “...” นภทีป์ยังคงเงียบกริบ ไม่ยอมพูดอะไรและเป็นผู้ฟังอยู่ฝ่ายเดียว

   “บางทีคงเป็นความผิดของฉันเองก็ได้ ที่ทำให้นายกลายเป็นแบบนี้”

   คราวนี้นภทีป์หันมองสิ่งที่อยู่ข้างตัวพลางมุ่นคิ้วเล็กน้อยคล้ายกำลังส่งคำถามที่ไร้เสียง

   “นายคิดว่าตัวเองคือคนที่ถูกทิ้งไว้เสมอใช่ไหมล่ะ เพราะทุก ๆ คนต่างก็ทอดทิ้งนายไปหมด และนอกจากพ่อกับแม่ของนาย ฉันก็คือคนแรก...ที่ทิ้งนายไป”

   ดวงตาสีดำหลุบลงภายใต้แพขนตา นภทีป์เม้มปากแล้วซุกหน้าลงกับท่อนแขนเหมือนกำลังบอกว่าตนเองไม่ได้รู้สึกขัดแย้งกับความเห็นของอีกฝ่ายเลย เขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ รู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกทอดทิ้ง เป็นฝ่ายที่ต้องเฝ้ารอและดิ้นรนอยู่เสมอ เพราะอย่างนั้นจึงได้รู้สึกเหนื่อย...จนอยากอยู่เฉย ๆ และไม่ต้องคิดอะไรอีก แค่ปล่อยให้เวลาผ่านไปก็เพียงพอ

   “ขอโทษนะที...ที่ฉันไม่เคยบอกนายเลย ทั้งที่ฉันรู้มาตลอดว่าตัวเองเป็นอะไรและก้าวเข้าใกล้ความตายไปทุกขณะ ตอนที่ฉันอยู่โรงพยาบาลและได้แต่เฝ้ารอช่วงเวลาสุดท้าย นอกจากพ่อกับแม่ของฉันแล้วก็มีแต่นายที่แวะเวียนมาเยี่ยม คอยให้กำลังใจ และให้ความหวังว่าฉันจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เหมือนที่ผ่านมา” รติเงยหน้าขึ้นมองเพดานที่ว่างเปล่า “ฉันยังเด็ก ยังใช้ชีวิตได้ไม่นานพอ มันทำให้ฉันกลัวที่จะต้องตายและได้แต่หลอกตัวเองว่าจะไม่เป็นอะไร เพราะอย่างนั้นฉันจึงไม่เคยพูดถึงมัน”

   “นายบอกฉันตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา” เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่นภทีป์ยอมปริปาก แต่เสียงที่ล่วงผ่านลำคอก็เบาหวิวเสียจนแทบไม่เป็นคำ

   “เพราะเรื่องนั้นนายถึงได้เกลียดฉันใช่หรือเปล่า? และเกลียดสิ่งที่ฉันทิ้งไว้ด้วย” ดวงตาของนภทีป์ไหวระริกเมื่อรติพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา “อาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวของฉันก็ได้ที่ตอนนั้นสนับสนุนให้นายวาดภาพนั้น และบอกว่าถ้านายชนะเลิศมันจะเป็นกำลังให้ฉันหายดีได้เหมือนกัน”

   ภาพในหัวของนภทีป์เริ่มหมุนกลับไปในวัยเด็ก พวกเขาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นที่น่าจะมีอนาคตสดใส คนหนึ่งมีพรสวรรค์ที่ชัดเจน ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นเด็กที่ทุกคนรักใคร่ แต่แล้ววันหนึ่งภาพที่วาดไว้ก็เริ่มปริร้าว เมื่ออาการป่วยซึ่งติดตัวมาแต่กำเนิดของรติกำเริบหนักและต้องเข้าโรงพยาบาลแต่ยิ่งวันอาการก็ยิ่งแย่ลงเพราะเจ้าตัวอยากจะใช้ชีวิตแบบคนปกติจึงไม่ยอมรักษาอย่างต่อเนื่อง

   นภทีป์ในเวลานั้นเองก็ยังไร้เดียงสา...อยากให้เพื่อนหายดีจึงได้ยอมทำทุกอย่างกระทั่งการประกวดวาดภาพซึ่งตอนแรกไม่ได้นึกสนใจนัก เพียงเพราะเชื่อคำพูดที่ว่า หากตนชนะเลิศ รติก็คงมีกำลังใจต่อสู้และหายดีในไม่ช้า เขาไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดจะสูญเปล่า

   ในวันที่ได้รับรางวัล นภทีป์ไม่ได้วิ่งไปกอดพ่อแม่เพราะเขาไม่มี เขาไม่ได้วิ่งกลับบ้านเพราะที่นั่นคงไม่มีใครยินดีกับเขา แต่กลับตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาล เพื่อที่จะนำรางวัลไปมอบให้เพื่อนรักเพียงคนเดียวของตนด้วยความเชื่อว่ามันจะเป็นยารักษาและทำให้เพื่อนคนนี้กลับมาวิ่งเล่นกับตนเองได้อีกครั้ง ทว่า...ภาพวาดที่ปริร้าวได้แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อเขาพบกับเตียงอันว่างเปล่าและคำบอกเล่าทั้งน้ำตาจากพ่อและแม่ของรติว่าเขาเพิ่งจะลาจากโลกนี้ไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เอง

   ตั้งแต่นั้นมา...นภทีป์ก็ไม่เคยมองภาพวาดภาพนั้นของตนเองอีกเลย...

   มันได้กลายเป็นบาดแผลที่กรีดลึก คอยตอกย้ำเขาอยู่เสมอว่าโลกนี้โหดร้ายเพียงใด แม้ว่าจะคาดหวังอย่างสุดจิตสุดใจ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้

   “ความจริงแล้ว...ฉันก็แค่อยากให้มันเป็นตัวแทนของฉัน เหมือนกับว่าฉันยังคงมีชีวิตอยู่ตราบใดที่นายยังคงมองดูมันด้วยความภาคภูมิใจ” รติคลี่ยิ้มบางดูไม่เข้ากับรูปลักษณ์ในเวลานี้แม้แต่น้อย แต่เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับที่เขายิ้มให้กับนภทีป์ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต “น่าเสียดายนะ...ที่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่นายรังเกียจที่สุดในโลกนี้ แต่ฉันก็ยังดีใจที่มันได้นำคนที่ดีมาหานาย”

   นภทีป์รู้ว่ารติกำลังพูดถึงภรัณยูจึงเงียบไปอีกครั้ง

   “ทำไมนายถึงไม่ยอมฟังเขาล่ะ?” แต่ครั้งนี้ รติกลับถามคำถามที่ต้องการคำตอบ

   ...

   คนที่ควรตอบเงียบอยู่นานราวกับกำลังรวบรวมคำพูดอย่างช้า ๆ เพื่อที่จะสามารถอธิบายในสิ่งที่ตนเองคิดออกมาได้อย่างครบถ้วน

   “เพราะฉันพอจะเข้าใจ...ล่ะมั้ง...” นภทีป์เลือกคำตอบสั้น ๆ “ถึงจะไม่ใช่ภรัณยูก็เถอะ...ใครจะไปทำเรื่องน่าเกลียดกันสองต่อสองแล้วทิ้งของเกลื่อนกลาดแบบนั้น แถมยังกลับมาพร้อมพยุงอีกคนมาด้วย มองก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา ดังนั้น...”

   ...มันก็แค่การเข้าใจผิดชั่ววูบ

   นภทีป์กลืนคำหลังลงคอไป แต่รติก็สามารถเดาได้ไม่ยาก

   “แต่นายก็ยังขังตัวเองแล้วผลักภาระไปให้ภรัณยูเป็นคนสำนึกผิดแทนหรือ?”

   นภทีป์รู้ว่าการกระทำของตนเองไร้สาระขนาดไหน และเหมือนกับการหนีความจริง เอาแต่อยู่กับตัวเองและทำเหมือนว่าเป็นความผิดของคนอื่น ปล่อยให้อีกฝ่ายต้องทุกข์ใจเพราะคิดว่าตนเองเป็นคนที่ทำผิดและสมควรได้รับการลงโทษ

   แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรนอกจากนี้

   นภทีป์ยกมือทั้งสองขึ้นกุมหน้าแล้วขมริมฝีปาก

   “...ฉันก็เป็นคนแบบที่ตฤณว่าจริง ๆ ไม่ใช่หรือ? เอาแต่โทษคนอื่น เอาแต่โทษโชคชะตา ได้แต่โกรธในสิ่งที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ ทั้งเรื่องของพ่อแม่ ฉันโกรธพวกเขาที่ทิ้งฉันไป ทำให้ฉันต้องไปอยู่กับลุงที่ไม่ดูดำดูดีฉันสักนิด ฉันโกรธนายที่ตายไปทั้งที่ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น โกรธภาพวาดที่เป็นตัวแทนของนายที่ทำให้ฉันคิดถึงเรื่องนายอยู่ตลอด โกรธตฤณที่แย่งงานของฉันไปทั้งที่...ถ้าฉันกระตือรือร้นกว่านี้ ไม่ปล่อยให้ตฤณจัดการตามใจไปเสียทุกอย่างมันคงจะไม่เกิดขึ้น ทั้งคุณทินที่ไม่อยู่ข้างฉันในเวลาที่ต้องการ แค่เพราะเขาเองก็มีชีวิตของตัวเองเช่นกัน แล้วก็ยังภรัณยู...ฉันโกรธเขาเพียงแค่เพราะเขาเอาใจใส่คนอื่นแบบเดียวกับฉัน”

   ถ้อยคำที่นภทีป์พูดออกมาทั้งหมด เหมือนกับการระบายความในใจที่สั่งสมไว้เป็นเวลานานจนกลายเป็นตะกอนสีดำที่อัดแน่น แม้จะเทน้ำลงไปสักเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมละลายหายไป และรอเวลาที่จะขยายตัวมากขึ้นและมากขึ้นจากตะกอนที่เกิดใหม่ในแต่ละวัน

   “ฉันเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และได้แต่กลัวว่าสักวันหนึ่งภรัณยูจะเกลียดฉันและสุดท้ายก็ทิ้งฉันไปเหมือนกับคนอื่น ๆ”

   “นายจะผลักไสทุกคนที่เข้าหาเพียงเพราะความกลัวของนายเองไม่ได้หรอกนะ” รติบินขึ้นไปบนบ่าแล้วลูบศีราะอีกฝ่าย “เพราะสุดท้ายก็จะเหลือนายเพียงลำพัง นายจะต้องอยู่คนเดียวไปตลอด มันไม่ได้แตกต่างจากการถูกทิ้งเลยไม่ใช่หรือ? ก็แค่คราวนี้นายเป็นฝ่ายทิ้งคนอื่นเท่านั้นเอง”

   “ก็มีนายอยู่ไม่ใช่หรือไง...”

   รติหัวเราะขื่นในคอเมื่อได้ยินคำนั้น

   “ฉันเองก็ไม่ได้อยู่กับนายตลอดไปหรอก ที่จริง...ฉันอาจจะหายไปในเร็ว ๆ นี้ก็ได้ ตอนนั้นนายจะคิดว่าฉันทอดทิ้งนายอีกหรือเปล่า?”

   นภทีป์เหลือบมองอีกฝ่ายและส่งสายตาถามถึงเหตุผล รติจึงถอนหายใจเฮือก

   “มันมีเหตุผลนะที่ฉันซึ่งควรจะตายไปแล้วมาปรากฏตัวต่อหน้านายในช่วงเวลาที่นายโดดเดี่ยว ฉันมีตัวตนขึ้นมาเพราะความอ้างว้าง ความเหงา และความปรารถนาที่จะมีใครสักคนเคียงข้าง มีแต่ฉันที่ช่วยนายได้ เพราะอย่างนั้นฉันจึงได้มาที่นี่ เพราะว่านายต้องการฉันแม้ว่าจะไม่ได้อยากพบฉันเลยสักนิดก็ตาม แต่ว่า...นายจะไม่ต้องการฉันอีกต่อไปเมื่อนายไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้”

   “แต่ว่าฉัน...”

   “นายชอบภรัณยูใช่ไหมล่ะ เพราะว่าชอบมากถึงได้โกรธที่รู้สึกว่าตนไม่ได้สำคัญไปมากกว่าคนอื่น ๆ และกับคนอื่น ๆ ที่นายโกรธ นั่นก็เพราะว่านายรักพวกเขา เพราะว่ารักถึงได้โกรธที่ไม่สามารถรักในแบบที่คาดหวังต่อไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนบางคนที่อยากอยู่ข้างนายนะ แล้วนายก็รู้ดี ตอนนี้นายถึงได้ไม่รู้สึกว่ามีตัวเองเพียงลำพัง นายก็แค่พยายามที่จะทำเหมือนว่าเป็นแบบนั้นเพราะว่ากลัว”

   หลังจากรติพูดจบ ร่างกายนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป จากรูปกายคล้ายเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ขยายออกกลายเป็นเด็กผู้ชายในวัยมัธยมต้นในแบบที่นภทีป์จดจำได้ รติในร่างกายเดิมของตนทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เพื่อนในวัยเด็กและมองออกไปที่บานประตู

   “ภรัณยูมาถึงแล้วนะ นายจะไม่ออกไปหาหน่อยหรือ?”

   พร้อมกับประโยคคำถาม เสียงออดก็ดังขึ้น โดยปกติแล้วนภทีป์จะนั่งฟังเสียงออดจากประตูบานนั้นและซุกตัวอยู่ในห้องนอนโดยไม่ได้ออกไปเปิดรับ เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยรู้เลยว่าภรัณยูพูดอะไรบ้างตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมา เขาได้แต่ภาวนาอยู่ในใจขอให้เสียงออดนั้นยังคงดังอยู่ทุกวัน มันเหมือนกับคำปลอบใจเดียวที่เขามีในเวลาอย่างนี้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เสียงออดเงียบหายไป เมื่อนั้น...ภรัณยูก็คงจะจากไปอย่างไม่หวนคืน

   รติวางมือลงบนบ่าแล้วบีบเบา ๆ

   “ไม่เป็นไรหรอก ครั้งนี้ฉันสัญญา”

   นภทีป์ไม่รู้ว่าตนเองจะเชื่อมั่นกับคำสัญญานั้นได้แค่ไหน แต่หากคิดดี ๆ แล้ว...เขาไม่อยากจะให้ภรัณยูจากไปเฉย ๆ แบบนี้ และคิดแต่ว่าตนเองเป็นคนที่ทำผิดทั้งที่ความจริงแล้วคนผิดคือเขา

   เขามองไปทางรติ และเมื่อเห็นท่าทางการพยักหน้าอย่างมั่นใจจึงลุกขึ้นและเปิดประตูห้องนอนออกไป

   ตอนแรก เสียงของภรัณยูไม่ได้ผ่านเข้ามาถึงหูของนภทีป์เลย แต่เมื่อไปยืนตรงหน้าประตู เสียงของอีกฝ่ายก็ชัดเจนขึ้น

   “...ผมขอโทษ คุณที เปิดประตูหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากจะอธิบายให้เข้าใจ...”

   ภรัณยูเอาแต่เรียกชื่อของเขา และพูดซ้ำไปมาว่าขอโทษ ตลอดสามวันมานี้ ภรัณยูพูดแบบนี้อยู่เป็นชั่วโมง ๆ เลยหรือ?

   ตอนที่นภทีป์แนบใบหน้ากับประตูเพื่อมองคนที่อยู่ด้านนอกผ่านตาแมว เขาก็เห็นชายหนุ่มคนเดิมที่เคยมาหาเขาและอ้อนวอนอย่างนี้ ภรัณยูยังคงเป็นคนที่มีความพยายามโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำตัวแย่แค่ไหนเหมือนเดิม ทั้งที่ตอนเจอกันครั้งแรก...เขาก็ไม่ใช่คนที่ให้ภาพลักษณ์ว่าเป็นคนดีสักเท่าไหร่เลย

   “คุณที ผม...”

   “พอแล้ว...”

   ในที่สุด นภทีป์ก็เปล่งเสียงให้พ้นลำคอออกไปได้หลังจากยืนทำใจอยู่นานเกือบชั่วโมง และเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ภรัณยูได้ยินเสียงของคนที่ตนอยากจะพบ

   ชายหนุ่มร่างเล็กเอื้อมมือไปที่ลูกบิดประตู แต่ก็ยังไม่วายหันกลับไปมองด้านหลังและเห็นว่ารติยังคงยืนอยู่ที่ประตูห้องนอนพลางส่งยิ้มให้ ทำให้นภทีป์ใจชื้นพอมากที่จะปลดกลอน บิดลูกบิดอย่างช้า ๆ และเปิดออกไปสู่โลกภายนอกซึ่งมีคนคนหนึ่งเฝ้ารออยู่

   ภรัณยูนิ่งค้างไปนานก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง

   “คือว่าผม...”

   “ก็บอกว่าพอแล้วไง...ฉันเข้าใจแล้ว...” นภทีป์มุ่นคิ้วแล้วเดินหลีกทางให้ แม้ต้องใช้เวลาพิจารณาอยู่สักพักเพราะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ภรัณยูก็ไม่ลังเลที่จะตอบรับคำเชิญที่ไม่คิดว่าจะได้

   แบบนี้ดีแล้วใช่ไหม?

   นภทีป์ถามตัวเองแล้วหันหลังกลับเข้ามาในห้องโดยที่ภรัณยูเดินตามหลังมาติด ๆ ท่าทางของเจ้าตัวบ่งบอกว่ายังไม่มั่นใจเต็มร้อย ว่านภทีป์จะเข้าใจสิ่งที่ตัวเองอยากสื่อจริง ๆ จึงอยากจะหาโอกาสอธิบาย แต่นภทีป์ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีกแล้ว สำหรับเขา...การที่ภรัณยูมาที่นี่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพราะนั่นแสดงถึงความเอาใส่ใจที่อีกฝ่ายมีให้ตน ซึ่งนั่นมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว...ใช่ไหม...

   พร้อมกับคำถามในใจ นภทีป์ก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังประตูห้องนอน ที่ซึ่งรติยืนอยู่ ทว่า...มันกลับว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ที่นั่น...

   ไม่มีเลย...

   ‘แต่ว่า...นายจะไม่ต้องการฉันอีกต่อไปเมื่อนายไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้’

   มันหมายถึงอย่างนี้เองหรือ...

   เมื่อใจของเขาเปิดรับใครบางคนอีกครั้ง เมื่อนั้นรติจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

   “คุณที?”

   เขาได้ยินเสียงภรัณยูเรียกจึงหันไปมองทั้งที่สมองยังเลื่อนลอย และรู้สึกคล้ายตื่นจากความฝันที่ดำมืดยาวนาน ทว่าสีหน้าของภรัณยูกลับไม่ได้แสดงถึงความยินดีแม้แต่น้อย มันระคนไปด้วยความประหลาดใจและคำถามมากมายที่แสดงออกทางดวงตา

   “คุณที...ร้องไห้ทำไมหรือครับ?”

   เอ๋?

   นภทีป์ขยับมือขึ้นแตะใบหน้าตนเอง และพบว่ามันเปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำ

   “ผมขอโทษ คุณที ผมขอโทษ อย่าร้องไห้แบบนี้สิ” ภรัณยูดึงตัวเขาเข้าไปกอดจนแน่นเหมือนกับว่าอยากจะดูดกลืนเอาร่างกายของเขาเข้าไปพร้อมกับความเศร้าทั้งหมดที่อบอวลอยู่ตอนนี้

   อุ่น...เหลือเกิน...

--------------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 18 (1/08/13)
«ตอบ #72 เมื่อ01-08-2013 13:57:12 »

   นภทีป์ตัดสินใจเล่าเรื่องของรติให้ภรัณยูฟัง แน่นอนว่าเป็นเรื่องในอดีต ไม่ใช่เรื่องราวในปัจจุบันที่เขาเห็นรติในแบบที่ไม่ใช่มนุษย์จนถึงเมื่อไม่กี่นาทีก่อน และถึงแม้ภรัณยูจะไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเรื่องของรติเกี่ยวข้องกับที่นภทีป์ร้องไห้ยังไง เขาก็ยังตั้งอกตั้งใจฟังโดยไม่ขัดจังหวะ และจนถึงจุดจบของเรื่องราว ภรัณยูจึงได้รู้ว่าคนที่นภทีป์พูดถึงไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว และนั่นอาจจะเป็นสาเหตุของน้ำตาก็เป็นได้

   “ภาพวาดนั่นคงจะหมายถึง...”

   “ภาพที่นายเห็นที่โรงเรียนนั่นแหละ” ชายหนุ่มร่างเล็กว่าพลางเอนพิงแผ่นอกอีกคนหนึ่ง ตอนนี้เขานั่งอยู่บนตักของภรัณยูซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าทำไมมาจบลงที่ท่าแบบนี้ได้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะพยายามโอ๋เขาเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ จึงได้จับนั่งตักและกอดโอ๋จนกระทั่งหยุดร้องไห้ไปเอง เป็นวิธีปลอบใจที่ไม่ได้เรื่องได้ราวเอาเสียเลย แต่ถึงอย่างนั้น...นภทีป์กลับชอบมันมากกว่าคำพูดปลอบใจอื่น ๆ ที่เคยได้ยินมา

   “ผมขอโทษ” ภรัณยูก้มหน้าด้วยท่าทางสำนึกผิด

   “ทำไมนายจะต้องขอโทษด้วย?”

   “เพราะว่าผมเอาเรื่องภาพวาดมารบกวนคุณที ถึงได้ทำให้นึกถึงเรื่องแบบนั้นขึ้นมาอีก ผมทำให้คุณทีรู้สึกไม่ดีหลายเรื่องขนาดนี้...ก็เลยรู้สึกแย่น่ะครับ”

   “ก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่...” นภทีป์ตอบพลางหลุบตาลง “ที่จริงแล้ว...ฉันดีใจที่นายมา...” ถึงจะรู้สึกเขินอยู่เล็ก ๆ แต่ก็ทำใจพูดออกไปได้ในที่สุด

   “จริงหรือ?”

   “ก็ใช่น่ะสิ นายมันพวกช่างตื้อ ทำเอาฉันไม่มีเวลาคิดเรื่องแย่ ๆ เสียตั้งนาน”

   “แล้วคุณทีอยากฟังเรื่องของผมบ้างหรือเปล่า?” ภรัณยูถามด้วยรอยยิ้มสดใส “อย่าง...เรื่องครอบครัว หรือ...วริยา เพราะผมรู้สึกว่าผมรู้หลาย ๆ เรื่องของคุณแล้ว แต่คุณกลับไม่เคยถามเรื่องของผมบ้างเลย บางทีผมก็อยากให้ถามนะครับ”

   “นายอยากจะเล่าอะไรก็เล่ามาสิ” ถ้าจะให้เป็นคนเริ่มถาม นภทีป์ก็ไม่ถนัดสักเท่าไหร่ เพราะมันทำให้เขาดูเหมือนคนชอบซอกแซกเรื่องชาวบ้านและมันทำให้เขารู้สึกรำคาญตัวเองไปด้วย

   “ถ้าอย่างนั้นเรื่องวริยาก็แล้วกัน คุณทีจะได้ไม่เข้าใจผิด”

   พอภรัณยูพูดถึงเรื่องเก่า นภทีป์หน้าบูดทันตา

   “ก็บอกแล้วไงว่าเข้าใจแล้ว จะหาเรื่องกันหรือไง”

   “แต่ผมอยากพูดนี่ครับ คุณทีเป็นคนบอกเองว่าอยากเล่าอะไรก็เล่า” นภทีป์โดนย้อนคำก็อึกอักไปชั่วครู่แล้วจึงนิ่งไป

   “ก็ตามใจ”

   ภรัณยูอมยิ้มนิด ๆ แล้วกระชับแขนโอบเอวอีกฝ่ายแน่นขึ้นเล็กน้อย

   “ผมกับวริยาเคยคบกันมาก่อน แต่ผมไม่ได้โกหกคุณทีหรอกนะที่ว่ายังไม่มีแฟน เพราะตอนที่ผมเจอคุณที ผมกับวริยาก็เลิกกันไปแล้ว พวกเราเหมือนกับคู่ในอุดมคติจนทำเพื่อน ๆ อิจฉา ถึงวริยาจะไม่ได้เก่งเรื่องเรียนมากมายแต่ก็เป็นคนที่หน้าตาดี นิสัยดี ใครเห็นก็รักใคร่เอ็นดู เพราะแบบนั้นล่ะมั้งผมถึงได้ตกลงกับด้วยตอนที่วริยาบอกว่าสนใจผม ก็แปลกดีนะครับเพราะเรื่องมันเกิดขึ้นปุบปับมาก ก่อนหน้านั้นพวกเราแทบจะไม่ได้คุยกันเลยแท้ ๆ” พอพูดถึงเรื่องเก่า ๆ สีหน้าของภรัณยูก็ดูผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก นภทีป์จึงนึกอิจฉาขึ้นมาเพราะเขาไม่เคยคิดถึงอดีตของตนเองด้วยสีหน้าแบบนั้นเลย

   “แล้วทำไมถึงเลิกกันล่ะ?”

   “อยากรู้แล้วสินะครับ”

   นภทีป์รู้สึกว่าตนเองพลั้งปากครั้งร้ายแรง มันเป็นความอยากรู้ที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและแค่คิดในใจเท่านั้น ไม่ได้คิดเลยว่าจะเผลอพูดออกมาจริง ๆ

   ภรัณยูหัวเราะขำขันเมื่อเห็นคนในอ้อมแขนตนเองก้มหน้าลงอีกครั้งเพราะความเขินอายจนพูดอะไรไม่ออก ที่จริง...นภทีป์อาจจะกำลังอยากตะคอกใส่เขาอยู่ก็ได้ แต่ไม่กล้าทำเพราะเพิ่งผ่านช่วงที่ไม่ดีมากระมัง เจ้าตัวจึงไม่อยากจะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวโดยใช่เหตุ

   “อืม...ที่จริงสาเหตุคงมาจากที่ตอนคบกัน พวกเราไปทริปแล้วก็ดื่มเหล้า ส่วนมากจะกรึม ๆ บางคนก็เมาเป๋ กลุ่มของผมกับวริยานั่งอยู่ใกล้ ๆ กัน แล้วเหมือนพวกวริยาจะคุยกันว่าแต่ละคนสนใจผู้ชายคนไหนอยู่ แล้ววริยาก็ตอบว่าสนใจผมเลยถูกเพื่อนยุเอาน่ะครับ คนกำลังเมาก็ยุขึ้นง่าย พวกเราก็เลยไปแฟนกันไปแบบงง ๆ เบลอ ๆ ทั้งสองฝ่าย แต่ตอนคบกันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร เป็นที่อิจฉาเสียด้วยซ้ำ เพราะนิสัยผมก็แบบนี้ นิสัยวริยาก็ไม่ได้ขี้หึงขี้วีน ถ้าแต่งงานกันคงเป็นสามีภรรยาตัวอย่างเลยก็ได้ แล้วเพื่อน ๆ ก็ล้อแบบนั้นบ่อย ๆ ด้วย” ภรัณยูเกาท้ายทอยเขิน ๆ “แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เหมือนว่า...มันมีบางอย่างไม่ใช่ล่ะมั้งครับ ต่างคนต่างก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น เพราะต่างก็ไม่ก้าวก่ายเรื่องของอีกคน ทำเหมือนกับว่าแค่คบกันอย่างผิวเผิน สุดท้าย พอผ่านไป 1 ปี ผมกับวริยาก็เลยคุยกันว่าความสัมพันธ์ของพวกเรามันควรจะเป็นยังไงต่อไป”

   ฟังดู...ประหลาดดี...

   นภทีป์รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ

   เพราะเท่าที่ฟัง มันเหมือนกับว่าทั้งสองต่างก็เป็นคนที่คนอื่นอยากพบเจอในชีวิตคู่ แต่เมื่อโคจรมาพบกันเอง ก็กลับกลายเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกันไปเสียอย่างนั้น ทำให้ไม่อาจดึงดูดเข้าหากันได้และจบลงที่การเป็นเพื่อน คอยเฝ้าดูและช่วยเหลือกันและกัน

   “ผมกับวริยาตัดสินใจเลิกกันเพราะคิดว่าเป็นเพื่อนน่าจะดีกว่าน่ะครับ จะได้เปิดโอกาสให้แต่ละคนได้พบกับคนที่ชอบจริง ๆ แล้วผมก็...มาพบกับคุณไง”

   อยู่ ๆ ภรัณยูก็วนเข้าประเด็นหลักที่ทำให้นภทีป์เผลอหน้าแดงวาบ

   “ล...แล้วทำไมวันนั้นนายถึงไปทำเขาร้องไห้ได้ล่ะ?” เขารีบเบี่ยงกลับประเด็นเดิม

   “อันนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวนะครับ คร่าว ๆ ก็บอกได้แค่...เจอกับผู้ชายที่ไม่เห็นค่า...ล่ะมั้งครับ”

   อกหักนี่เอง...

   นภทีป์แปลเป็นภาษาบ้าน ๆ ในใจ

   “แล้วนายเสียดายหรือเปล่า?”

   “ครับ?” ชายหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้วขณะฟังคำถามที่ตนไม่เข้าใจชัดเจน

   “ก็...ที่เลิกกับวริยา เธอเป็นผู้หญิงที่ดีไม่ใช่หรือ? นายรู้สึกเสียดายหรือเปล่าที่ไม่ได้คบกัน ทั้งที่...ถ้าคบกับวริยา นายคงจะไม่ต้องเจอกับคนแบบฉัน...”

   “เจอคนแบบคุณก็ไม่ได้แย่นี่ครับ”

   “แล้วยังไงต่อล่ะ?” นภทีป์เอยถามพลางลูดหายใจลึกเพราะสิ่งที่จะพูดต่อไปนั้นมันช่างยากเหลือเกินที่จะเค้นออกมาจากสมองและปล่อยให้มันออกจากปากได้ “ฉันรู้ว่าไม่มีสิทธิพูดแบบนี้ แต่ว่า...นายคิดจะทำให้ฉันดีใจไปวัน ๆ แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ ถ้านายไม่ได้คิดอะไรพิเศษกับฉัน นายก็ควรจะเลิกทำแบบนี้ได้แล้ว เพราะมันทำให้ฉัน...คิดเข้าข้างตัวเอง...นิดหน่อย...”

   “แล้วคุณทีคิดอะไรกับผมหรือเปล่า?”

   “ทำไมนา...”

   “ผมเองก็คิดมากเหมือนกัน...เรื่องของคุณที ทั้งตอนที่คุณตฤณมาหา แล้วก็เวลาที่คุณชอบโมโหใส่ผมด้วย ผมไม่รู้เลยว่าคุณคิดยังกับผม เพราะคุณชอบทำเหมือนว่ากำลังรำคาญ และบางทีก็เหมือนว่ายังมีเยื่อใยกับคุณตฤณอยู่ ผมยิ่งใจฝ่อกว่าอีก”

   “ม...” นภทีป์คิดจะเถียงว่าตนเองไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อคิดดูแล้ว...เขาก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ และรติก็ต่อว่าเอาบ่อย ๆ เสียด้วย “...แล้วตอนนี้มันชัดเจนไม่พอหรือไงกันล่ะ”

   “ถ้าอย่างนั้น ถ้าผมพูดแล้วคุณก็ต้องพูดเหมือนกัน ตกลงไหมครับ?” ข้อเสนอของภรัณยูค่อนข้างยุติธรรม แต่สำหรับคนที่ไม่ถนัดเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาแบบนภทีป์ มันก็กลายเป็นเรื่องยากที่ดูไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

   “แล้วทำไมฉันจะต้อง...”

   “จะได้ชัดเจนทั้งคู่ไงครับ ไม่ดีหรือ?”

   ...

   นภทีป์เถียงข้ออ้างนี้ไม่ออก เปิดโอกาสให้ภรัณยูได้เริ่มก่อน

   “ผมชอบคุณ กรุณาคบกับผมนะครับ”

   “อ...”

   “ตาคุณแล้วนะ”

   ...

   นภทีป์อึกอักเหมือนเรียบเรียงคำพูดไม่ถูกอยู่หลายวินาที และสายตาของภรัณยูก็กำลังเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ซ้ำยังไม่สามารถลุกหนีได้ทำให้นภทีป์ตกอยู่ในสภานการณ์คล้ายคนร้ายที่กำลังถูกสอบสวนโดยล็อคติดอยู่กับเก้าอี้ที่แข็งแรงจนดิ้นไม่หลุด

   “...ฉัน...ก็ชอบนาย...” เขาตอบอุบอิบพลางก้มหน้าลงต่ำ ถ้าหากหลุดจากแขนภรัณยูไปได้คงจะมุดลงไปในพื้นห้องแน่นอน

   “แล้ว...?”

   “ฉัน...” ชายหนุ่มร่างเล็กสูดหายใจอีกหลายเฮือกและกลอกตาไปมา ตอนนี้หน้าของเขาร้อนไปหมดจนเหมือนว่าแม้แต่สมองของเขาก็ถูกนึ่งจนสุก แต่นภทีป์ก็สามารถเค้นคำพูดที่ภรัณยูต้องการออกมาได้ในที่สุด “...ฉันตกลง...คบกับนาย...”

   หลังจากจบประโยคนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ อีก ภรัณยูขยับตัวอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ โน้มใบหน้าเข้าใกล้ และประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากที่สั่นเทา...ราวกับกำลังสาบานรักกระนั้น...

   แบบนี้สินะ...คือสิ่งที่นายต้องการ...รติ

   เพราะว่าฉัน...ไม่รู้สึกโกรธหรือเศร้าอีกแล้ว...


TBC

ตอนหน้าส่งท้ายแล้วค่า~

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 18 (1/08/13)
«ตอบ #73 เมื่อ02-08-2013 21:41:12 »

ว้าย ๆ ๆ   :m3: :m3:  ดีใจจังเลย คบกันแล้ว เป็นแฟนกันแล้ว เย้ ๆ
ชอบตอนนี้ที่สุด คุยกันเคลียร์ ๆ ให้เข้าใจกันไปเลย
ผู้ชายอย่างรัณยังมีอีกมั้ย อิจฉาคุณทีนะเนี่ย
แต่รติ จะหายไปเลยเหรอ คิดถึงนะ  :mew6:
เรื่องนี้จริง ๆ ต้องยกความดีความชอบให้รติเลยนะเนี่ย
เราเป็นคุณทีคงร้องไห้โฮ ที่จะไม่ได้เจอเพื่อนที่แสนดีอีกแล้ว
แต่ได้คนรักที่แสนดีอย่างรัณมาอยู่เคียงข้าง คงไม่ต้องเหงาอีกแล้วเนอะ
ตอนหน้าส่งท้ายแล้ว คู่นี้จะมีฉากหวาน ๆ บ้างมั้ยน้า
รอตอนส่งท้ายนะค้า ขอบคุณคนเขียนค่า  :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Naughty Cupid หัวใจไร้สี 18 (1/08/13)
«ตอบ #74 เมื่อ02-08-2013 22:05:19 »

โอ๊ยยยยย
น่ารักมากๆ กรี๊ดกร๊าดดดดดด
ชอบอะ ชอบ
ตอนหน้าจบแล้วเหรอ ว้าาาา

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
บทส่งท้าย


   บรรยากาศตึงเครียดอบอวลอยู่ในห้อง และคล้ายกับมีม่านบาง ๆ กั้นขึงระหว่างคู่สนทนาสองฝั่งของโต๊ะ ฝ่ายหนึ่งมุ่งมั่นจริงจัง อีกฝ่ายเคร่งขรึมครุ่นคิด ทั้งสองฝ่ายต่างมีกองเชียร์ข้างตัวฝั่งละหนึ่งคน ส่วนที่เหลือก็เป็นคนกลางเฝ้ามองสถานการณ์

   ภรัณยูคงจะไม่หนักใจมากนัก หากไม่ใช่ว่าฝั่งหนึ่งคือพ่อของเขา และอีกฝั่งคืออนุทิน

   หลังจากเขาตกลงคบกับนภทีป์ มันก็ผ่านมาได้ 4 เดือนแล้วและตอนนี้เขาก็กำลังเริ่มต้นเทอม 2 ซึ่งจะต้องเริ่มมองหางานล่วงหน้าเพื่อที่เรียนจบก็จะมีงานทำพอดี จะเรียกว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตก็ว่าได้ เพราะแบบนั้นกระมัง อนุทินซึ่งได้พบกันเพียงนาน ๆ ครั้งจึงเปรยขึ้นมาในวันหนึ่งว่าน่าจะถึงเวลาแล้ว จากนั้นก็บอกว่าจะมาคุยเรื่องงานของเขาที่บ้าน

   แน่นอนว่าพ่อและแม่ของเขาค่อนข้างหนักใจ...เพราะในตอนแรกคิดว่าลูกชายตนเองไม่น่าจะประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ได้เนื่องจากไม่ได้แสดงออกถึงพรสวรรค์ที่ชัดแจ้งแบบคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน ที่พวกเขาปล่อยให้ลูกชายทำตามที่ต้องการก็เพื่อที่จะให้เจ้าตัวได้มีโอกาสทำในสิ่งที่อยากทำ ทว่า...มันกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง เมื่ออยู่ ๆ ก็มีคนมายืนตรงหน้าพวกเขาและบอกว่าต้องการภรัณยูไปร่วมงานด้วย

   นามบัตรของอนุทินดูน่าเชื่อถือ ซ้ำคนที่มีด้วยกันก็ยังเป็นครูที่สอนงานอาร์ตติสให้ เพียงแต่ครั้งนี้นภทีป์วางตัวในฐานะผู้เฝ้ามองเหมือนกับพิณาลัย จึงไม่ต้องถามต่อไปว่าภรัณยูอยู่ฝ่ายไหน เจ้าตัวนั่งข้างอนุทิน และยืนยันความตั้งใจให้พ่อและแม่ได้รู้อย่างมาดมั่น

   “แกอยากทำจริง ๆ หรือรัณ?” ภูริชหันไปถามลูกชาย

   “ครับ ผมอยากจะทำในสิ่งที่ผมรักและสามารถเป็นประโยชน์กับคนรอบข้างได้ แต่ไม่ใช่ว่างานของพ่อไม่ดีหรอกนะครับ...”

   พิณเพลงไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่เพราะเธอเป็นคนออกปากเองว่าหากมีใครสักคนที่ว่าจ้างภรัณยูจากความสามารถของเจ้าตัวจริง ๆ ก็จะยอมให้ทำในสิ่งที่ต้องการ ครั้นจะปฏิเสธในเวลาแบบนี้ก็เหมือนกลืนน้ำลายตัวเอง เธอจึงปิดปากเงียบและนั่งข้างสามีอยู่เฉย ๆ

   เสียงถอนหายใจเหยียดยาวของภูริชเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามาถึงจุดสิ้นสุดของการต่อสู้ ชายวัยกลางคนขยี้หัวตาเล็กน้อย เขายังคงพิจารณาเรื่องงานของอนุทิน งานสายการพิมพ์และการออกแบบดูจะไม่ได้อยู่ในขอบเขตความรู้ของเขาทำให้หนักใจอยู่พอสมควร แต่สิ่งที่อนุทินหยิบยกมาพูดกลับไม่ได้เน้นเรื่องงานพิมพ์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของครอบครัวมากนัก แต่เน้นเรื่องงานออกแบบซึ่งเกี่ยวข้องกับธุรกิจมัลติมิเดียมากกว่า ซึ่งมันทำให้ภูริชยิ่งตัดสินใจยากเพราะมันอยู่ห่างไกลจากชีวิตของเขาจนแทบจินตนาการไม่ออก

   อาชีพสมัยนี้มันเยอะขึ้นจนตามไม่ทันจริง ๆ ...

   “ถ้าแกคิดว่าดีก็ตามใจแกแล้วกัน” ในที่สุด ภูริชก็ยกสิทธิให้กับลูกชายเพื่อตัดสินชีวิตตัวเอง “ยังไงก็ตาม มันเป็นธุรกิจประเภทใหม่ที่ยังไม่เป็นที่นิยมสำหรับคนไทย คิดว่าจะไปได้ดีจริง ๆ หรือ?”

   “ในความเป็นจริงแล้วเราก็ยังต้องการการสนับสนุนจากหลาย ๆ ส่วน แต่ที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่ที่จะให้โอกาสลูก ๆ ของตัวเองให้ได้ลองได้ทำในสิ่งที่พ่อแม่ไม่เคยทำมาก่อน” อนุทินคลี่ยิ้มบาง “ถึงอย่างนั้นในต่างประเทศ ธุรกิจประเภทนี้ได้รับความนิยมสูงมาก และผมเองก็ประสานงานกับบางบริษัทของต่างประเทศอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าสิ่งที่ผมลงทุนลงแรงไปจะไม่สูญเปล่าครับ”

   “ในเมื่อคุณยืนยันแบบนั้นผมก็คงไม่เหลืออะไรจะคัดค้าน” บรรยากาศตึงเครียดคลายตัวลงอย่างรวดเร็วเมื่อภูริชปล่อยวางความกังวล

   การเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี ทั้งที่ต้องขอบคุณอนุทินที่เป็นคนออกหน้าให้ และพ่อแม่ของภรัณยูก็ไม่ใช่พวกคัดค้านหัวชนฝาโดยไม่ฟังเหตุฟังผล

   เมื่อถึงเวลาลากลับ ภรัณยูก็ออกมาส่งอนุทินที่หน้าบ้านพร้อมการแต่งกายที่เหมือนกำลังจะออกไปข้างนอกเช่นกัน

   “จะไปไหนหรือ ให้ฉันไปส่งไหม?” อนุทินเสนอตัวแล้วชี้ไปที่รถ

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคิดว่าจะพาคุณทีไปแบบสบาย ๆ คงจะนั่งรถเมล์กันไปน่ะครับ” ชายหนุ่มว่าแล้วหันไปกุมมือนภทีป์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งเจ้าตัวก็สะดุ้งและชักมือกลับทันทีเพราะรู้สึกอายสายตาอนุทิน แม้ว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องนี้มาสักระยะแล้วก็ตาม “จริงสิ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

   “อะไรหรือ?” อนุทินเลิกคิ้วมอง

   “ผมสงสัยมานานแล้ว...ผมมีอะไรที่ทำให้คุณสนอกสนใจหรือครับ? ทั้งที่ผมเองไม่รู้เลยว่าตัวเองมีดีอะไร แต่คุณก็ช่วยเหลือผมตั้งแต่เริ่มแรก”

   ชายหนุ่มผู้ถูกถามคลี่รอยยิ้มขำ

   “นั่นสินะ...พูดง่าย ๆ คือเธอมีพรสวรรค์คล้ายกับพวกนักวิจารณ์นั่นแหละ เพียงแต่ขาดความรู้พื้นฐานที่จะไปตัดสินคนอื่นเท่านั้นเอง” อนุทินหัวเราะหลังกล่าวจบ

   “เพราะแบบนั้นถึงให้ผมเรียนกับคุณทีหรือครับ?” ภรัณยูรู้สึกแปลกนิดหน่อยที่ตนเองถูกเปรียบเทียบกับพวกนักวิจารณ์ เพราะเขารู้สึกว่าคนเหล่านี้ดูน่ากลัวชอบกล ที่สามารถตัดสินสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในผลงานออกมาได้เป็นฉาก ๆ ราวกับมองทะลุเข้าไปได้ถึงก้นบึ้ง

   “แต่ว่าเธอก็ยังอยากจะทำงานด้านวาดเขียนใช่ไหม?”

   “เอ่อ...ครับ...” เขาตอบรับแม้จะลังเลในวินาทีแรก เพราะอย่างไรมันก็คือสิ่งที่เขารักและอยากจะทำมาตั้งแต่แรก ไม่ได้นึกอยากจะเป็นคนวิจารณ์งานใครเลย

   “ถ้าอย่างนั้นก็ขยันเข้าหน่อยล่ะ ช่วงที่หายไปทำโปรเจคฝีมือของเธอไม่พัฒนาขึ้นเลย บอกไว้ก่อนว่าในเวลางานฉันค่อนข้างเข้มงวดนะภรัณยู” ขณะที่พูดประโยคนั้น สีหน้าอนุทินก็ดูจริงจังขึ้นมาเสียจนภรัณยูเผลอขยับถอยหลังเพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายทำหน้าตาดุดันมาก่อน ตอนนี้ภรัณยูเดาไม่ยากแล้วว่าทำไมนภทีป์ถึงไม่ถูกกับลุงของตัวเอง ท่าทาง...พ่อของอนุทินคงจะทำหน้าแบบนั้นตลอดเวลาเลยกระมัง...

   พอทำให้อีกคนใจฝ่อสำเร็จแล้วอนุทินก็หัวเราะร่าอีกครั้งก่อนลากลับ

   “งั้น...เราจะไปกันหรือยังครับ?” ภรัณยูหันไปถามคนข้างตัว

   “จะไปวันนี้จริง ๆ หรือ? รายงานสัมมนาของนายไปถึงไหนแล้ว?” นภทีป์มุ่นคิ้วถามเพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเจ้าตัวยังหัวปั่นกับการหาหัวข้ออยู่หยก ๆ

   “แต่คุณสัญญาแล้วนะครับว่าจะไปที่นั่นด้วยกันถ้าผมได้ทำงานกับคุณอนุทินแน่นอนแล้ว แล้วหลังจากนี้ผมกลัวว่าจะไม่ว่างจนกว่าจะจบสัมมนาด้วย”

   ชายหนุ่มร่างเล็กถอนหายใจ

   “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ”

   เมื่อตัดสินใจได้ ทั้งสองก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์ด้วยกัน ภรัณยูยังคงจดจำสายรถเมล์ที่เดินทางไปได้อย่างแม่นยำเพราะแม้จะในช่วงทำโปรเจค เขาก็ยังคงไปที่นั่นอยู่บ่อย ๆ

   ซึ่งที่นั่นคือ...

   โรงเรียนเก่าของนภทีป์นั่นเอง...

-------------------------->

   ภาพวาดภาพนั้นยังคงตั้งอยู่ที่เดิมที่เคยอยู่ สีสันสดสวยที่จืดจางไปเล็กน้อยเพราะแสงแดดไม่ได้บดบังความงดงามที่มันเคยมี ท้องฟ้าสีคราม ทะเลสะท้อนแสงแดด และหาดทรายขาวสะอาด ความรู้สึกฮึกเหิมและมุ่งมั่นที่เคยรู้สึกยังคงอยู่ที่ตรงนี้

   รอยยิ้มปรากฏบนเรียวปากของนภทีป์อย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน

   เขารู้สึกได้ถึงช่วงเวลานั้น ที่เขามีความหวังอันเจิดจ้า เป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่ต้องกังวลถึงเรื่องของอนาคต รู้เพียงแต่ว่าวันพรุ่งนี้จะสดใสเหมือนกับทุก ๆ วัน

   นภทีป์เบือนหน้ามองคนข้างตัว ฝ่ายนั้นกุมมือเขาจนแน่นโดยไม่พูดอะไร แค่เพียงทอดสายตาไปข้างหน้า มองดูท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที้ถูกจำกัดไว้ในกรอบเล็ก ๆ เหมือนเวลาที่มองท้องฟ้าผ่านหน้าต่าง แม้จะได้เห็นเพียงส่วนเดียวแต่ก็สามารถจินตนาการถึงสีครามที่ระบายอยู่ทั่วผืนฟ้าได้

   เขาเกือบจะลืมไปแล้ว...ความรู้สึกในเวลาที่จับพู่กันที่ระบายสีลงบนแผ่นกระดาษ ราวกับได้รับสิทธิในการเป็นผู้สร้างสรรค์โลกใบเล็ก ๆ ซึ่งผู้คนมากมายจะได้สัมผัส และตอนนี้สีสันมากมายในหัวใจของเขาที่เคยเลือนหายจืดจางเหมือนภาพวาดเก่า ๆ ที่ผ่านแดดฝนมาหลายฤดูก็ค่อย ๆ ถูกแต่งแต้มจนสดสวยอีกครั้ง

   “กลับกันเถอะ” นภทีป์เอ่ยปากชวนและภรัณยูก็ไม่ปฏิเสธ

   “พอเห็นแล้วก็นึกอยากวาดขึ้นมาบ้างเลยนะครับ” นั่นคือความรู้สึกแรกที่ชายหนุ่มอยากจะทำในเวลานี้ และมันก็ไม่ต่างกับคนที่อยู่ข้างตัวสักเท่าไหร่

   “นั่นสินะ...ฉันอาจจะลองวาดอีกครั้งก็ได้”

   ภรัณยูเลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างแปลกใจ

   “ถ้าอย่างนั้นผมไปดูที่ห้องได้ไหม?”

   “อยากจะไปเมื่อไหร่ก็ตามใจ” หลังจากที่นภทีป์พูดจบ ภรัณยูก็เห็นริ้วแดงบนแก้มอีกฝ่ายพร้อมกับรู้สึกถึงสัมผัสของโลหะชิ้นเล็ก ๆ ที่ถูกยัดเข้ามาในฝ่ามือ เมื่อเขาก้มลงมองก็พบว่ามันคือกุญแจดอกหนึ่ง เมื่อผนวกกับคำพูดก่อนหน้าภรัณยูจึงเดาได้ทันทีว่ามันคือกุญแจห้องของนภทีป์นั่นเอง ชายหนุ่มยิ้มกว้างของแก้มแทบปริ และเมื่อเห็ฯอีกฝ่ายรีบเดินจ้ำหนีไปเพราะความอายเขาก็สาวเท้าตามอย่างรวดเร็วและชะลอเทียบข้างโดยไม่พูดอะไร ในเวลานี้...เหมือนกับว่าพวกเขาไม่ต้องการคำพูดอะไรระหว่างกันอีกแล้ว

   ไม่จำเป็นต้องบอกเล่า ไม่จำเป็นต้องส่งเสียง

   ไม่เป็นไร...เพราะจากนี้ไป ผมจะเฝ้ามองสีสันของคุณเอง และพวกมันจะบอกเล่าเรื่องราวของคุณอย่างเงียบงันและงดงาม


end




เฮ~ จบแล้วค่า~
นิยายเรื่องนี้มันช่างบ่งบอกว่าเซียร์ไม่ถนัดแนวรักกุ๊กกิ๊กเอาซะเลย :'D แต่ก็อยากจะเขียนแนวนี้บ้างนะคะ ดูกรุบกริบบ้างอะไรบ้าง 555 ดังนั้นคงจะพยายามเขียนแนวรักให้มากขึ้น(หน่อย) /ต้องกินน้ำตาลบ่อยๆไหมนะ 5555

สำหรับผู้ที่สนใจ เรื่องนี้จะเปิดจองอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 สิงหา จนถึง 20กันยา นะคะ ใครอยากเก็บไว้ลูบไล้ก็เตรียมตัวได้เลยค่า ^ ^ b

ปล. เรื่องที่ทีกับรัณคบกันทางครอบครัวยังไม่รู้นะคะ (คิดว่าคงจะใส่ไว้ใจตอนพิเศษเพราะมีคนรีเควสว่าอยากเห็นคุณแม่พิณเพลงกรี๊ดบ้านแตก :'D)

ออฟไลน์ lonesomeness

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
จบเร็วมากเลยง่าาาาา แต่ชอบๆๆ
เป็นความรักที่ดูอบอุ่นดี

อ่านแล้วอบอุ่นหัวจายย~   :-[ :hao5:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
โอ้
จบแล้ววว ขอบคุณสำหรับเรื่อราวดีๆอีกหนึ่งเรื่องนะคะ
ตอนแรกก็ไม่คิดเหมือนกันว่าคุณเซียร์จะเขียนอะไรแบบนี้
เพราะเรื่องที่ผ่านมาก็โหดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน 555555
รอผลงานเรื่องต่อไปนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
ID ห้องซื้อขาย TBL-623-969


ระยะเวลาการจอง 5สิงหาคม 2556 - 20 กันยายน 2556

 
Naughty Cupid หัวใจไร้สี


ภาพปก






สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่<<<

ข้อมูลหนังสือ

ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar (เช่นเดิม)
ราคา : 320บาท/เล่ม (รวมค่าส่งแบบลงทะเบียนแล้วค่ะ) สำหรับผู้ที่ต้องการใส่กล่อง เพิ่มอีก 10 บาทนะคะ


สำหรับนิยายเรื่องนี้ นอกจากจะนำไปวางที่ร้านหลังจากปิดจองแล้วยังมีกำหนดการณ์ออกบูธด้วยตัวเองในงาน ตลาดฟิค 14กันยายน และ คอมมิคอเวนิว 20 ตุลาคม 2556 ด้วยค่ะ
ถ้าหากว่าท่านใดสะดวกไปงานดังกล่าวจะรอไปซื้อที่งานก็ได้นะคะ ^ ^ จะมีส่วนลดสำหรับค่าส่งไปรษณีย์ให้ค่ะ

สามารถติิดตามข่าวสารอื่นๆได้ที่ https://www.facebook.com/ZiarNovel นะคะ


---------------------------------------
รายละเอียดการโอนเงิน

 
บัญชีออมทรัพย์
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาซอยประชาสงเคราะห์ 30
ชื่อบัญชี นางสาว อลิสา เทพนะ
เลขบัญชี 102-234896-9
หลังจากโอนเงินแล้ว ขอให้ส่งรายละเอียดการจองมาที่ tsuki_himeแอทhotmail.com โดยระบุข้อมูลตามนี้นะคะ

 
หัวข้อ : [สั่งจอง] Naughty Cupid หัวใจไร้สี (จะพิมพ์เฉพาะชื่อไทยหรืออังกฤษก็ได้ค่ะ)

รายละเอียด
เรื่อง + จำนวนชุด(ถ้าสั่งมากกว่า 1 ชุด) :
ชื่อ-นามสกุล(ผู้สั่ง) :
ที่อยู่ :
หลักฐานการโอน : (สแกนมาจะดีที่สุดค่ะ หรือถ้าสแกนไม่ได้ก็ขอเลขที่สลิปค่ะ)
วัน+เวลาโอนตามสลิป :
------------------------------------------

สำคัญ! ผู้ที่แจ้งทางเมลล์แล้ว เซียร์จะมีการแจ้งตอบกลับไป ดังนั้นใครที่เซียร์ำไม่ตอบกลับภายใน 1 อาทิตย์อย่าชะล่าใจ เพราะมันหมายความว่าเซียร์ไม่ได้รับเมลล์ของท่านนะคะ

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
ชอบค่ะ แนวเรื่องน่าติดตามมากมาย ขอบคุณนักเขียนที่แบ่งปันนะคะ :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
หน้าปก ภรัณยูบึ้กมากกกกกก555

ออฟไลน์ jinjin283

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 934
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
จบไวจังคะ นึกว่าภรัณยูจะโดนแกล้งอีกน่อย ฮ่าๆ

ออฟไลน์ loverken

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
 :katai2-1:
อบอุ่นมากค่ะ เรื่องนี้

Anyann

  • บุคคลทั่วไป
สนุกมากเลยค่ะเรื่องนี้! เป็นเรื่องที่อบอุ่น เห็นถึงการพัฒนาของความรู้สึกตัวละครได้เรื่อยๆเลย

น่ารักมากๆเลยค่ะ จริงๆอยากอ่านฉากสวีทมากกว่านี้นะคะ แต่ถ้าไม่ได้ก็เก็บไว้จินตนาการเอาเองก็ล่ะกัน 555

ไว้จะไปหาผลงานเรื่องอื่นๆของคุณเซียร์ดูเพิ่มนะคะ เขียนได้ดีมากเลยค่ะ

vevi

  • บุคคลทั่วไป
ลุ้นเหมือนกันนะ รัณใจเย็นเกิ๊น
เรียบๆกันทั้งคู่เลย
อยากอ่านรัณกับทีให้คู่นี้เค้ากุ๊กกิ๊ก งุงิๆบ้างคะ  :-[
 
ขอบคุณผู้เขียนคะ :pig4:

ออฟไลน์ Ra poo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
น่ารักมาก อ่านไปเขินไปเลยค่ะ

อุ่นหัวใจ  :L2:

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
เขินตอนสุดท้ายยยย
มียงมียัดกุญแจ นึกว่าทีจะตายด้าน555

WednesdayAugust

  • บุคคลทั่วไป
ชอบจังเลยค่ะ รู้สึกเหมือนเห็นอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นนิสัยและความคิดของตัวเองสะท้อนอยู่ในตัวที แต่ที่แย่คือเรายังก้าวผ่านไปไม่ได้แบบทีนี่แหละ ชอบภาษาและการบรรยายด้วยค่ะ เรียบง่ายแต่งดงาม ชอบอีกอย่างคือตอนแรกดูไม่ออกเลยใครเมะใครเคะ เพิ่งมาพอดูออกกลาง ๆ เรื่อง แอบสารภาพตอนเปิดเรื่องมาแรกๆ ตอนเจอกันใหม่ๆ นึกว่ารัณจะเคะ 555

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ

ออฟไลน์ Raina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
อ่านจบ ดีใจที่สมหวังกัน คาใจเรื่องรติเรื่องเดียวค่ะ ตอนแรกคิดว่าเป็นเหมือน imaginary friend มากกว่า แต่มีหลายตอนที่ทำให้คิดว่าอาจจะไม่ใช่ก็ได้ อย่างเช่นตอนที่มีคนมาปลดล็อคประตูให้ตอนที่นอนป่วยอยู่

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
น่ารัก โดยเฉพาะรติ น่ารักที่สุดเลย แต่ถ้าไม่มีอนุทินสงสัยเรื่องนี้จะเดินต่อไม่ได้ ต้องยกนิ้วให้คนเจ้าวางแผนอย่างอนุทินด้วยสินะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด