สวัสดีตอนเช้า^^
13 ลักกี้นัมเบอร์ของโจ๊กเกอร์ครับ
--------------------
stolen heart
รักนิดๆ แต่รักนานๆ
13 ดาน่า
ผมรักวันอังคารสีชมพู ยะฮู้ววววววว!!!
9.00 น. ออกจากห้องเลคเชอร์จบภาคทฤษฎี อาจารย์ให้เวลาเตรียมของหนึ่งชั่วโมงก่อนลงครัวภาคปฎิบัติ
"ณิช เอามาก่อน กูจดเครื่องปรุงไม่ทัน" ไอ้ซุปตลอดศก
"ทุกทีล่ะมึง อย่าให้ใครยืมต่อเดี๋ยวหาไม่เจออีก เอาไปให้กูครัว 4 นะเว้ย ไม่ใช่ครัว 2"
"เออน่า" ซุปรับคำก่อนหายไปกับกลุ่มเพื่อน
เห็นหลังกล้วยไหวๆ เรียกไม่ทันได้แต่อ้าปากค้าง ไม่คุยกันตั้งแต่วันนั้นแล้ว โทรศัพท์ก็ไม่รับเป็นบ้าอะไรฟะ
เชียง น้ำ ผม กับเพื่อนผู้หญิงชื่อ 'ออย' เรา 4 คนในห้องเก็บเครื่องเทศ
"กูล่ะงงเต๊ก ทำไมเชรี่ยกล้วยแม่งเปลี่ยนไปเซคนั้นเฉยเลยวะ"
"เป็นกูๆ ก็ไป โรสเตอร์มีอาจารย์ฝรั่งมาสอน เห็นว่าจากกอร์งเดงเบลอปารีสด้วย คลาสนั้นคลาสเดียวม้วนเดียวจบ เราวนไปก็ไม่เจอแล้ว" น้ำ
"ห่านจิก เห็นจารย์เชฟฝรั่งดีกว่ากู ว่าจะเอาท็อปแข่งกับพวกนั้นซักหน่อย" เชียงบ่นผิดหวังจะให้กล้วยช่วยดึงคะแนน
"น่าเชียง กูว่าจารย์เฮดเชฟเรานี่ล่ะเปลี่ยน มันไม่ได้อยากเปลี่ยนเองซะหน่อย โบ๊ทกับน้ำหวานกลุ่มนั้นยังต้องย้ายเลย" ผมพูดตามความเข้าใจ เพราะเห็นเพื่อนเก่งๆ ระดับท็อปจากกลุ่มอื่นก็ถูกสับเปลี่ยนไปเรียนโรติเซอร์ด้วยเช่นกัน
ครั้งนี้เราแยกเรียน 4 ห้องปฏิบัติการ อบ ต้มเปื่อย ผัด ทำซอส พวกผมจับฉลากได้ซอสก่อน กล้วยอยู่ในกลุ่มด้วยแต่เปลี่ยนออยมานั่งคู่กับผมแทน
"เออว่ะ กูก็ว่าอยู่" เชียงเข้าใจหลังจากกรอกตาครุ่นคิดอยู่นาน
"มึงไฝว้ไม่คิดทุกทีแหละเชียง กูล่ะเบื่อจริงๆ อ้อณิช แล้วคุยกับกล้วยว่าไง รับทุนหรือเปล่า หายเฮิร์ตยัง" น้ำแขวะเชียงก่อนถามผม
ลมพัดสันหลังหวะเย็นวูบลืมเลยเรา จำได้ว่าโยนให้ดิวดูแล จากนั้นยังไม่ได้ติดตามผลใดๆ วิก้าจะปล้ำยอดชายนายนิธิหรือยังก็ไม่รู้
"ไปดูวันที่มึงบอกโน่นแล้ว ไล่กูออกจากห้องบอกอยากอยู่คนเดียว เจอดิวเลยฝากมันดู...นั่นแหละ" ผมยิ้มแห้งรอรับโชคชะตากรรม โดนยำจากสองคนนี่ชัวร์
"อะไรนะ ยกให้ไอ้ดิวกับอีวิก้าดูแล? ปล่อยมันไปได้ยังไง ตั้งเท่าไหร่ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ มึงไม่บอกกูบ้าง" เชียงโวย
"เชรี่ยเอ้ย! วิก้าแม่งจะงาบเพื่อนกูรึเปล่าไม่รู้ ยิ่งหล่อๆ อยู่ด้วย" น้ำคิดเหมือนผม ซึ่งคงไม่มีทาง 3 คนนั้นเพื่อนกันตั้งแต่ ม.ต้น โอกาสกินกันเองช่วงอกหักไม่น่าบังเกิด ผมยังเชื่อความเป็นชายชาตรีเช่นกล้วยอยู่โข
"ก็บอกอยู่ว่าพวกกูไม่อยู่ ไม่ดูมันเองก็ต้องโทรบอกบ้างซิวะ เพื่อนรักมันรึเปล่าเนี่ย"
"กูโทร! แล้วมึงอยู่ไหนเชียง ไปบ้านไอ้น้ำแม่งไม่ชวนกูซักคำ" ผมโวยเชียงกลบเกลื่อน มัวแต่ดูหนังกับพวกพี่ กลับมาซดเหล้าผลไม้เมาปลิ้นจากนั้นก็โน่นนี่ตามประสาจนลืมเกลอนิธิเจ้าเก่า
'กูลืม!' อยากตะโกนใส่หน้าแต่ไม่กล้า
"แล้วดูหน้ามันวันนี้ซิ ตูดเป็ดชิบหาย เข้าไม่ติดเลยสัด" เชียงกระแทกกระปุกน้ำพริกเผาไม่สบอารมณ์
"เอาน่า อย่างน้อยมันก็มาเรียนไง" น้ำอะลุ้มอล่วยจับมือเชียง
"มีอะไรกล้วยมันก็บอกมาเองหรอก" ผมใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ตั้งใจว่าหลังเรียนเสร็จจะติดตามถามข่าวคราวเพื่อนรักอย่างจริงจังเสียที
"โอเคได้ มีอะไรเกิดขึ้นความผิดมึงเลยณิช" เชียงชี้หน้า
"อ้าววววว!" ข้าพเจ้าอีกแล้ว
"น่า ดูๆ กันไป ขิงผงทางซ้าย หยิบ!" น้ำชี้สั่งเชียงที่ตัวสูงกว่า
"ณิช! ผงกะหรี่ใช้ถุงไหน?" ออยร้องถามจากฟากโน้น
"คร้าบ! ดูให้" ผมถึงได้ผละจากสองเกลอไปช่วยเพื่อนผู้หญิง
---
-----
ห้องสโมสรนักศึกษา แหล่งสิงสถิตย์เหล่าเซเลปรูปงาม วาณิชวิ่งเข้าวิ่งออกทุกวันจนหัวหมุน ดีที่อยู่ใกล้โรงอาหารและร้านค้าสหกรณ์ จึงแอบอ้างซื้อของอย่างเนียนๆ ไม่ให้เพื่อนโดยเฉพาะเชียงกับน้ำไม่สงสัยได้
"ณิช วันนี้ฟู้ดทำอะไร?" เฮียมังกรทักก่อนใครทุกที
"มีอะไรกินวะ?" อันนี้พี่แฮงค์
"บ่ายนี้ทำแกงกะหรี่ วันนี้กลุ่มผมเรียนซอส"
"แกงกะหรี่อินเดียหรือญี่ปุ่น พี่ชอบญี่ปุ่น ทำเผื่อด้วย" พี่มังกร
"ใสเจียเสียใจ วันนี้เมนูอินตะละเดียครับ"
"อินเดียกูกิน จัดมะ!" พี่แฮงค์เป็นคนร้องสั่ง แล้วก็สุมหัวกับพวกสภานักศึกษา 4-5 ต่อไป ปล่อยคนตัวสูงสวมแว่นเท่ๆ ก้าวมาหาผม
"ซอสเหรอ?" ดึงหลบไปมุมห้อง แอบคุยกันสองต่อสองอีกแล้ว
"เพิ่งทำซอสเปรี้ยว กลิ่นมะนาวหอมชื่นใจเปล่า"
"อือ...เข็ดฟันแฮะ"
"555 ก้มใกล้ไปล่ะ เหม็นกลิ่นครัวจะตาย" พยายามดันร่างท่านรองออกห่าง ถ้าอยู่กันแค่สามปริ๊นซ์จะไม่ว่า มีคนอื่นอยู่ด้วยชักเขินๆ มือไม้หาที่วางไม่เจอ
"ฮิ้วววว! หวีดหวานเกินไปแล้วพวก" พี่มังกรเป่าปาก เล่าเอาทุกคนหันพรึ่บ
"เกรงใจประธานเยี่ยงกูบ้าง" พี่แฮงค์เข้ม
"ไม่ต้องห่วง กำลังประชุมส่งงานรุ่นน้อง อีกเดือนกว่าๆ ไอ้แฮงค์มันก็จะหมดหน้าที่ล่ะ ตามสบายครับ" พี่พวกนั้นบลั๊ฟกันเอง
มีปากหูตาจมูกลิ้นกายใจใช้ทำอย่างอื่นบ้างก็ได้นะครับ ผมไม่ถือ
"ได้ข่าวว่าฟู้ดทำซอสเหรอ หวานรึเปล่าวะกริช" ใครสักคนในกลุ่มน่าจะชื่อพี่อั๋นเอ่ยถาม
"อืม..." คนพาดแขนกับบ่าผมตอบรับในลำคอ
"วิดวิ้ว! ซอสหวานด้วยเว้ย"
"คนหรือซอสวะ 555" แซวกันไป พี่มังกรกับพี่แฮงค์ก็หัวเราะกับเขาด้วย สนุกบนความเดือดร้อนของคนอื่นไม่เคยพลาด
---
"พี่มังกร ไหนว่ามีลูกพลับ?" ผมตัดบทร้องถามเฮียเกาหลี
"ก็มาเอากะพี่ซิวะ กริชมันจะมีอะไร มาเร้วๆ เจ้าเหมียว เมี้ยวๆๆ" พี่มังกรชูถุงลูกพลับตากแห้งหลอกล่อผม ของโปรด ไม่ส่งข้อความบอกวาณิชไม่วิ่งมาให้เมื่อยตุ้มหรอก
"เหมียวพ่อง! อยากตายรึไง" เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง เพิ่มแรงกดที่บ่าหนักหลายเท่าอีก
"โอ้ววววว! ท่านรองโหดเว้ย"
"555 มึงตายแน่มังกร"
"ฮิ้ว! หวงจริงมึง" เอาแล้ว (x///x) ทั้งคณะ
บอสชี้หน้าคาดโทษเพื่อนตัวเอง ยังเงียบสไตล์เดิมแต่ระบายยิ้มกว้าง ดันร่างผมเข้ามุมห้องสุดทางนี้ กางแขนล็อคตัวไว้
"ไม่ต้องไปฟัง เย็นนี้พี่กลับช้า ณิชหิวก็กินก่อน แล้วอยากได้อะไรมั้ย ซื้อมาฝาก"
"บอกเป็นรอบที่ร้อยแปดแล้วคร้าบ" ธุระของบอสเล่นซะหอบ ความถี่ของหัวใจเต้นรุนแรงเกินมาตรวัด
"ตอนเย็นอาจจะนาน ไม่อยากให้รอ"
"ก็ผมบอกจะรอไง"
"ไม่ต้องรอ ห้ามรอ"
"โอเค ผมเอาข้าวกลับห้อง หิวจะกินเอง ถึงห้องแล้วจะไลน์ไปบอกนะครับ" ยังไงก็ต้องกลับมานอนห้องเรา จะอะไรนักหนาครับบอส หน้าข้าพเจ้าหุบไม่ลงแล้ว
"หึหึ ไว้ว่างๆ เราค่อยไปหาอะไรกินกัน"
"ชวนพวกพี่ไปด้วยซิ"
"ไม่ แค่เรา"
ณิชน้อยพูดไม่ออก ก้มงุดอยากมุดหนี เลือดมีเท่าไหร่วิ่งขึ้นหน้าหมด ถูกมือใหญ่รั้งเอวเข้าชิด จมูกปากผมจะชนลำคอแกร่งรอมร่อ สูดกลิ่นผิวคนตรงหน้าอย่างระทึกตึกตักเต็มเหนี่ยว
เพิ่งนึกขึ้นได้ในบัดนี้เองว่าพี่กริชชอบออกคำสั่งเล็กๆ แฝงอยู่ในประโยคเสมอ เหมือนถามต้องการคำตอบแต่จงใจให้เลือกอย่างที่ตัวเองต้องการ บังคับอยู่ในทีนั่นล่ะว่าง่ายๆ
กระทั่งสายตาจับจ้องนิ่งงันราวงูจงอางหวงไข่ มือใหญ่เอื้อมจับให้อยู่ชิดใกล้ทุกครั้ง ซึ่งผมก็ชอบนะ รู้สึกถูกหวงแหน ถูกใส่ใจโดยไม่รู้ตัว
"ไว้ณิชสอบเสร็จก่อนก็ได้ มีร้านที่อยากพาไปดู...อยากอยู่กับณิช" ท้ายประโยคก้มมากระซิบข้างหู อยากอยู่อะไรมากมายขนาดนั้น นอกจากเรียนแล้วชีวิตประจำวันช่วงนี้ของผมก็หมดไปกับบอสกริชนี่ล่ะ สิงเข้าท้องดีกว่าไหมครับท่าน
"เฮ้ย! จะดินโน่งดินเน่อร์อะไร เอางานให้เสร็จก่อนนะเว้ย" พี่แฮงค์รู้ด้วย
"ระวังนะณิช ไปสองต่อสองเดี๋ยวหมาป่ากัดตาย พี่ไปด้วยดีกว่า" พี่มังกรเสนอแบบมือที่สามจอมเสือกทุกที
"อ้าว เขาไปกินไก่ไม่ใช่ปลา จะพกก้างทำไมวะมังกร" พี่พวกนั้น
"ก้างอย่างกูอยากไป สอใส่เกือกน่ะรู้จักเปล่า 555" พี่มังกรไม่ยั้ง
"ฮิ้วววว ดินเนอร์ใต้แสงเทียน จิบไวน์นิดแล้วก็...จุบุๆ"
ผมกัดปากขวยเขินอยากกลั้นใจตาย อย่าบอกว่ารู้วงในกันหมดแล้ว เรื่องของเราชักจะเลยเถิดเกินไปล่ะ
"เงียบไปเลยพวกมึง!" ท่านบอสหันไปดุเพื่อน ทันเห็นหูแดงๆ เหมือนกัน
"ผมไปดีกว่า ต้องเตรียมของเยอะแยะ ทิ้งเพื่อนไว้" วาณิชลิ้นพันกัน
"อืม...ไว้จะโทรไป"
"ครับ ถ้าไม่ได้รับคือยังไม่เสร็จนะ จารย์เซคันด์เซคนี้ดุมาก"
"หึหึ"
รอยยิ้มสว่างไสวกว่าทุกวัน แววตาหลังแว่นวิบวับมีชีวิตชีวากว่าทุกครั้ง ผมคงติดเชื้อไข้ฟีเว่อร์เจ้าชายกฤษดาภินิหารเต็มขั้น
---
ได้ยินเสียงโห่ฮิ้วแซวไม่เลิกจากกลุ่มตัวประกอบในห้องระงม
"ฮิ้ว! พี่โทรหานะคร้าบ"
"รอเค้านะตะเอง วู้วววว"
"กูเคยแต่ได้ยิน 3 วันจากนารีเป็นอื่น นี่จะห่างแค่ 3 ชั่วโมง สั่งลาซะมดขึ้นเลยว่ะ"
"รอพี่ก่อนนะจ๊ะเบบี๋จ๋า"
ได้ยินเสียงดุดังตามหลัง "หยุด-เห่า!"
สับเท้าวิ่งเร็วตัดอาการใจเต้นรัวในอก ความสุขพองล้นเป็นลูกบอลลูนใบใหญ่ เท้าลอยละล่องผ่านขนมปุยฝ้ายแสนหวาน
---
-----
ทว่าใดๆ ในโลกล้วนมีตาชั่งไว้ถ่วงวัดเทียบความสมดุลเสมอ เอนเอียงมากไป อีกข้างก็ต้องหาบางอย่างมาแทนที่เพื่อคันชั่งจะได้ไม่ดีดตัวโก่งเสียระนาบ และช่วงเวลานั้นมักจะมาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย
คิดว่าเรื่องร้ายๆ จะมีแค่ในนิยาย ทว่าผมจำสายตาจิกร้ายคู่นั้นได้ดี หญิงสาวแสนสวยที่ชื่อว่า ‘ดาน่า’
ตอนเย็น...ขณะไขประตูเข้าห้องคอนโดบอสก็ไลน์มาบอก 'รถเพิ่งเสร็จ กำลังจะออกจากอู่' ผมยิ้มกว้างกับมือถืออันใหม่ที่เจ้านายยัดเยียดให้ ไม่ได้สนใจบานประตูห้องนอนใหญ่ที่เปิดแกรก...
“นั่นเธอทำอะไรน่ะ!” อั้ยยะ ผู้หญิง ใครวะ???
“หือ?” หันกลับไปดูต้นเสียง
หญิงสาวน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน น่าจะเป็นพี่ไม่เกิน 1-2 ปี สวมเสื้อสายเดี่ยวสีดำกับเดฟยีนรัดรูปสีชมพูพาสเทล
ชุดสวยดี แต่นึกขึ้นได้ว่านี่ห้องบอสตูนี่หว่า มาจากห้องนอนใหญ่พื้นที่สุดหวงเสียด้วย ขนาดผมอยู่ที่นี่ยังไม่เคยเดินเข้าไปเลย จะทำความสะอาดห้องก็ไม่อนุญาตเช่นกัน (มีแค่เช้าวันที่นอนตื่นแบบมึนๆ กับสายวันที่เมามากวันนั้นเท่านั้นเอง)
“ฉันถามว่าเธอเป็นใคร กำลังทำอะไร?” เสียงแหวดังมากพอๆ กับก้าวเท้าฉับๆ มากอดอกอวดมะลิทะลักอยู่ตรงหน้า
“เอ่อ...ขะ...ข้าวครับ กับข้าว” หลบโฟรโมสต์ทิ่มตา รโหฐานหรือไม่นั้นเราฝ่ายชายควรสำนึกให้เกียรติฝ่ายหญิงเสมอ จะสวยไม่สวย อกเล็กอกใหญ่ก็ตามที
“อ๋อ เด็กร้านข้าว เสร็จแล้วก็ไปซิ”
“ครับ” รับคำง่ายๆ ชั่งใจชั่วครู่ว่าห้องของเรา S701 ไม่ผิดแน่จึงก้าวผ่านจะเข้าห้องเล็กของตัวเอง
“เอ๊ะ! เธอนี่ จะเข้าไปทำไมห้องนี้ ประตูอยู่โน่น ฉันบอกออกให้ออกไปไง” ตะโกนพลางชี้หมับ เล็บชมพูใสเคลือบเพชรเม็ดเล็กวับวิบ ถ้าให้ดีนางไม่สมควรมีกิริยานางร้ายรุ่นเล็กตามละครตบจูบเยี่ยงนี้
“ผมอยู่ที่นี่ครับ ห้องนี้ นี่กุญแจ” ชูหลักฐานให้เห็นเต็มๆ ตา
คีย์การ์ดและกุญแจทุกบาน ร้อยสร้อยเส้นยาวกว่าทุกดอกคือทองเหลืองดอกเล็กพร้อมกระดิ่งเล็กดังกรุ๋งกริ๋งแกว่งล่อสายตา มองดูคล้ายตุ๊กตาประดับพวงกุญแจมากกว่าจะเป็นตัวไขเสียเอง
ฝ่ายนั้นคลายจากกอดอกมายื่นหน้าค้างเติ่ง ตื่นตระหนกดวงตาเบิกโพลงเล็กน้อยแต่พองาม นึกชมในใจว่ายังดีที่เป๊ะทั้งใบหน้าและท่าทาง
“อ้อ...เธอนี่เอง” กอดอกอีกครั้ง คราวนี้ก้าวเข้าใกล้สำรวจตัวผมจริงจัง มองหัวจรดเท้าสลับเท้าจรดหัว ไม่ชอบอากัปกิริยานี้เลย...ไม่ชอบเอามากๆ ตั้งแต่ประโยคแรกโน่นแล้ว
“ครับ?”
“คนที่กริชแอบมอง...” ย่างช้าๆ นวยนาดทางซ้าย
“หือ?” อะไรนะ
“ตามสตอล์กเกอร์มาตลอด...คอยเฝ้าเป็นปีๆ” หมุนตัวกลับมาหยุดนิ่งประจันหน้าผมพอดี
บ่ใช่ล่ะคุณผู้หญิง ถึงจะหน้าตาดีค่อนทางฝรั่ง ผิวขาวซีดเด็กเผือก นิสัยเอ๋อๆ ขี้หลงขี้ลืมเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ถึงกระนั้นนายวาณิชก็จิตใจดีเป็นศรีสังคม ไม่ซกมกรักสะอาด แถมมีน้ำใจกับเพื่อนพ้องโดยเฉพาะสัตว์ร่วมโลกโดยเฉพาะหมาและแมวเป็นอาจิณนะขอรับ
เด็กกะโปโลเช่นนี้ควรค่าให้บอสกริชตามส่องตามซอกแซกได้อย่างไร ไม่มีทางเป็นไปได้
ผมใจเต้นแรงราวมีกลองสะบัดไชย 500 ชุดตีระบำในอก
คนที่พี่กริชแอบชอบ
คนที่พี่กริชแอบรัก
คนที่พี่กริชเฝ้ามอง...คือ...
---
“คือเธอซินะ ที่ชื่อดิว”
‘เคร้งงงงงงงงงงงงง!’
ลูกธนูอาบยาพิษพุ่งปักฉึกตัดขั้วหัวใจ ไม่มีคำใดหลุดจากปากผม เสียงที่ว่าคือพวงกุญแจในมือหล่นกระทบพื้นปาร์เก้
“เพราะถ้าไม่ใช่ดิว กริชก็คงไม่ให้เข้ามาที่นี่ได้...กระทั่งกุญแจดอกนั้น”
หมายความว่าอย่างไร ดิว-อรุณรุ่งรูปงามคนนั้นดอกหรือ
เป็นดิวมาตลอด ดิวคือคนซ่อนอยู่ในใจพี่กริช หากแต่ใช้ผมเป็นเงา...เป็นตัวทดลอง...เป็นหนูลองยา
‘พี่อยากรู้ว่าพี่จะรังเกียจสัมผัสผู้ชายด้วยกันเองไหม’
‘พี่อยากรู้ว่าพี่ควรจะอยู่กับเขายังไง’
‘พี่อยากรู้ว่าพี่จะนอนท่าไหนดี’
‘พี่อยากรู้ว่า ทำแบบนี้แล้วจะชอบหรือเปล่า’
‘พี่อยากรู้ว่า...’
คล้ายน้ำแข็งเย็นยะเยือกเทโครมท่วมมิดหัว
“ทำหน้าไร้เดียงสาขนาดนี้ เอาเถอะ เรามีเรื่องต้องคุยกัน นั่งลงซิดิว”
“...ดิวเหรอ?” ผมยังละเมอกับตัวเอง ทรุดลงเก้าอี้ใกล้ตัวที่สุด
“จริงๆ ฉันนิสัยเสีย ขี้วีน พูดจาไม่ค่อยเข้าหูใครซักเท่าไหร่หรอก แต่กับคนที่กริชทะนุถนอมมากขนาดนี้ล่ะก็...ฉันยอมก่อนก็ได้” หญิงสาวยิ้มพรายเจ้าเล่ห์ นั่งเก้าอี้โต๊ะทานข้าวตรงข้ามกับผม
“คุณ?” ผมสับสนปนโกรธขึ้ง ไม่ชอบสายตาจิกด่าตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
ตั้งหลักได้พ่อจะสวนกลับให้เละ ถึงชีจะเลิศ เชิด มาดนางเอกแค่ไหนก็เถอะ
“ฉันชื่อดาน่า คงไม่ต้องบอกหรอกกระมังว่าฉันกับกริชเป็นอะไรกัน”
“ผมก็ไม่ต้องการจะรู้” ตาต่อตา ฟันต่อฟันโจ่งแจ้ง
“เหอะ! ปากดีซะจริง อยากให้กริชมาได้ยินจัง คนที่กริชหลงใหลว่าไร้เดียงสานักหนา ทำหน้าใสซื่อจนใครต่อใครจนหลงหัวปักหัวปำทั่วบ้านทั่วเมืองน่ะ ที่แท้...” เธอแสยะกลีบปากเคลือบลิปสติกสีเดียวกับกางเกง
“...” ผมนิ่งขึงนับ 1,2,3 ในใจ พยายามบีบมือตัวเองไม่ให้ขยับข้ามไปหลังแหวนอีกฝ่าย
อีกใจกลับชื่นชมรูปโฉมอันงดงาม หน้าตาสวยใสผิวพรรณดีมาก เป็นดารานางแบบระดับอินเตอร์ได้สบาย ท่าทางฉลาดทันคนสมฐานะที่ได้รับการเลี้ยงดูมาบนกองเงินกองทองไม่เคยลิ้มรสความลำบาก กิริยาเอาแต่ใจไปบ้างก็น่าจากถูกตามใจจนเคยตัว
ผู้หญิงคนนี้เป็นของพี่กริช เธอเอาพี่กริชอยู่ นึกประมาณในใจแล้ววูบไหวในอกเสียเอง...เทียบกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ที่ผ่านมาผมอยู่ตรงไหนในสี่ห้องหัวใจของพี่ ไม่สิ...แท้จริงแล้วผมต่างหากที่ทึกทักเอาเอง
...ละโมบกับคำหวาน
...ตะกละตะกลามกับอ้อมกอด
...ไม่เคยพอกับรอยยิ้มที่มอบให้
...ช่างไม่เจียมจริงๆ วาณิชเอ๋ย
ภาพดิวปรบมือเชียร์ข้างสนามบาสเกตบอล ดิวส่งยิ้มในงานเลี้ยง สองคนนั้นเวลาเดินผ่านกันจะส่งสายตาบอกความนัยกันมากแค่ไหน
เสมองเข้าไปในห้องนอนใหญ่ไม่ได้ปิดประตู มองทะลุถึงระเบียงเห็นกล้องส่องทางไกลสีขาวครีมอันใหญ่ตั้งอยู่ รีบสะบัดกลับวูบทันที กดหัวตากั้นปิดภาพร้ายๆ ในหัวสมอง...กล้องตัวนั้นน่าจะหันทิศไปยังห้องที่ตึกอีสต์ ไม่ต้องเดาให้ยาก น่าจะเป็น...ห้องของดิว
พี่กริชแอบมองดิวมาตลอด สวรรค์...ทำไมผมเพิ่งรู้ความจริง
ทำไมจึงทอดทิ้งให้ผมตกนรก ณ นาทีนี้ด้วย
---
-----
“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดๆ”
“คุณดาน่าต้องการอะไรครับ ผมจะฟัง” ผมเชิดหน้า
“...” ดาน่านิ่งอึ้งเอียงคอพิศมองผม
“ผมคิดว่าผมเป็นคนพูดรู้เรื่องพอ ถ้าคุณดาน่าจะกรุณาพูดให้ผมเข้าใจ” ย้ำคำว่า 'ผม' กลไกป้องกันตัวเอง อยากวิ่งหนีไปแต่ลุกไม่ไหว
“เธอแน่ใจนะดิว เดี๋ยวกริชจะหาว่าฉันรังแก---”
“ผมแน่ใจ!” กูไม่อยากได้ยินชื่อดิวเหี้ยนี่อีกแม้แต่คำเดียว รีบๆ แง้มโอษฐ์มาเถิดนังคนสวย
“ก็ได้! เรามาเริ่มกันเลย พูดจารู้เรื่องอย่างนี้ฉันชอบ”
"ครับ" ยืดอกตั้งรับสงคราม
“ฉันต้องการให้เธอเลิกกับกริชทันที ถ้าเธอยังเป็นแบบนี้อยู่”
ไม่แปลกใจกับคำขาด ผู้หญิงตรงหน้าคงเป็นแฟนประเภทที่ผู้ใหญ่หมายมั่นปั้นมือ หรือไม่ก็ต้องชิดเชื้อวงในกับครอบครัวจะเป็นอื่นไปไม่ได้ หากทว่าผมสงสัยประโยคหลัง...
“ผมเป็นแบบนี้ไหน?”
“ก็คบเผื่อเลือกกับผู้ชายคนอื่นน่ะซิ เธอนอนบ้านเดียวกับเขา ตามคอยรับคอยส่งกันอีก คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง ข่าวเธอน่ะฉาวโฉ่ขนาดไหนดิว”
“...” กูคบกับหมาตัวไหนอีกวะ นอกจากบอสแล้วใครมันจะเอากู นั่งเทียนเขียนข่าวหรือเปล่าเจ้
“แต่อีกทางนึง เธอจะยังอยู่แบบนี้กับกริชก่อนก็ได้ ฉันอาจจะยอมหลีกทางให้ชั่วคราว แต่ต้องไม่มีกิ๊กที่ว่า...เห็นมั้ยฉันใจดีนะ” ดาน่าแบมือเบๆ มาดนักธุรกิจหญิงผู้ทรงอิทธิพลแถวหน้าของโลก จอมปลอมชัดๆ
“ถ้าผมไม่เลือกซักทางล่ะ”
“งั้นเธอก็ไปซะ เพราะฉันกลับมาแล้ว กริช-เป็น-คน-ของ-ฉัน!”
“ครับ เข้าใจแล้ว ผมไปเก็บของได้หรือยัง”
“หา!?” ดาน่าเหวอเสียมาดเป๊ะ
กูไม่สนใจ อาศัยเพลิงความเกรี้ยวโกรธผลักตัวเองลุกขึ้น เข้าห้องไปเก็บของลวกๆ หนังสือเรียน ชุดนักศึกษา อะไรมั่วๆ อยู่ในสายตาพ่อจับยัดเป้กับถุงดำลากออกมานอกห้อง
---
ดาน่ามองตาปริบๆ ยืนเหวออยู่กลางห้องเป็นเป้าให้ผมสาดน้ำร้อนหม้อใหญ่ก่อนลาจาก
“ที่ผมไม่อยากอยู่ในห้องเพราะคุณเป็นผู้หญิงอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าสองต่อสองคงไม่งามนัก”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือเกย์ตุ๊ดหรอก รู้ๆ กันอยู่” ดาน่ากรีดนิ้วดูเล็บตัวเอง
“ขอบคุณครับ คุณดาน่าช่างมีน้ำใจ อ้อ! อีกอย่าง ถ้าบอสเลือกผมแทนที่จะเป็นคุณหรือใครๆ ผมคงห้ามเขาไม่ได้หรอกนะ”
“อ๊ะ!” นางเพิ่งรู้ตัวว่าถูกราดโครมลงกลางกบาล
“หวังว่าคุณคงเข้าใจ...ถ้าผมจะ-แรด!” / ‘ปัง!’
(“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด!”)
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นและยาวนานทะลุถึงข้างนอกห้อง รู้จักไอ้วาณิชน้อยไปล่ะคุณหนู
กระหน่ำกดลิฟต์ดันไม่ยอมมา ปะทะดราม่าชวนคลื่นเหียนทนไม่ไหว ลากขาเข้าบันไดหนีไฟ บานปิดช้าๆ ขณะผมทรุดลงนั่งกอดเข่าร้องไห้โฮ
*****************
************
(ต่อ)
----------------
edit : 16/8/2013 ช่วยแก้คำผิดโดย i1_to*pp ขอบคุณมาก
อะลุ้มอล่วย, กฤษดา, ตระหนก, เมือง, ตะกละตะกลาม, ช็อกโกแลต, ฉกรรจ์, ว้อท, เซอร์ไพรส์