SOTUS : พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่งกฎของปีหนึ่งข้อที่ 15 : แก้เกมของพี่ว้ากให้ได้ งานชิงรุ่นของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาอุตสาหการ จัดขึ้นหลังการปิดประชุมเชียร์เพียง...ห้าวัน
เรียกว่าแรงยังไม่ทันฟื้นดี เสียงเพิ่งหายแหบจากการบูม ก็ต้องมาเตรียมพร้อมรบกันใหม่ แต่ต่อให้เหนื่อยแค่ไหน ยังไงพวกปีหนึ่งก็จำยอมลากสังขารคลานมาเข้าร่วมงานให้ได้
เพราะการชิงรุ่นภาคนับเป็นงานสำคัญไม่แพ้การชิงเกียร์คณะ มิหนำซ้ำออกจะหฤโหดกว่าหลายเท่า วิธีชิงจะแตกต่างกันไปตามแต่ละปีขึ้นอยู่กับพี่ว้ากเป็นผู้สรรหาบทมาทดสอบ ไม่ว่าจะให้วิ่งรอบมหาลัยโดยร้องเพลงคณะไปด้วย หรือให้ปีนขึ้นไปเอาธงที่ปักไว้บนยอดเสาทาน้ำมันลื่น ๆ สูงกว่าห้าเมตร
...มันเลยไม่น่าแปลก ที่บรรดาเด็กเฟรชชี่ซึ่งถูกปลุกมาเข้าแถวอยู่กลางสนามตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าวันเสาร์ จะยืนรอคอยด้วยใจระทึก ตื่นเต้นยิ่งกว่ารอลุ้นผลแอดมิชชั่น เพื่อเตรียมรับฟังบททดสอบที่พวกเขาไม่อาจคาดเดา
แม้จะมีหน่วยกล้าตายหลายคนพยายามสืบเสาะหาข่าวจากรุ่นพี่ แต่พวกพี่ชั้นปีส่วนใหญ่ก็จะโดนปิดปากเงียบ ปล่อยให้รู้กันเฉพาะวงในของพวกพี่ว้าก กระนั้นก็ยังอุตส่าห์มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างเล็ดรอดออกมาเบา ๆ แบบไม่แน่ใจว่าจะมาช่วยให้กำลังใจหรือข่มขู่ปีหนึ่ง นั่นคือ...
...การชิงรุ่นครั้งนี้รับรอง...โดนจัดหนัก!
โดยเฉพาะกับก้องภพเองที่เป็นหนึ่งในหน่วยข่าวกรอง และได้เผชิญหน้ากับเฮดว้ากตรง ๆ ตอนเลี้ยงสายรหัส ก็ยังค่อนข้างชัวร์ว่าการชิงรุ่นนั่นคงไม่ง่าย และไม่แน่เขาอาจจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเพิ่มความโหดให้มากขึ้น
เขารู้...การที่เขาไปแสดงความมั่นใจว่าตัวเองจะชนะต่อหน้าเฮดว้าก คงกลายเป็นฉนวนความโกรธส่วนหนึ่งของพี่อาทิตย์ แม้ไม่ถึงขนาดเรียกว่าทะเลาะกัน แต่ก็ยังมีบางอย่างที่มันค้างคาใจ
เขาอยากจะให้พี่อาทิตย์เข้าใจว่าที่เผลอหลุดปากพูดไปแบบนั้น ไม่ใช่ตัวเองคิดดื้อดึงปีนเกลียว เขาแค่ต้องการจะยืนยันให้พี่อาทิตย์เห็นความพยายามของเขาและเพื่อน ๆ ฉะนั้น ต่อให้มันยากเย็นสักแค่ไหน เขาก็ต้องผ่านศึกครั้งนี้ไปให้ได้ เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาก็เป็นคนของคณะวิศวะ และเป็นรุ่นที่ภาควิชาจะต้องยอมรับ
ก้องภพจึงเฝ้ารอคอยการปรากฏตัวของพี่ว้ากอย่างแน่วแน่ ตามองตรงไปยังใครบางคนซึ่งเดินนำขบวนพี่ปีสามในตำแหน่งหัวหน้า มาหยุดยืนอยู่หน้าแถวเฟรชชี่ด้วยมาดเหี้ยมเหมือนทุกครั้ง แล้วทำตามหน้าที่เปิดประเดิมทักทาย
“ปีหนึ่งทุกคนฟัง! วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของพวกคุณ พวกคุณจะต้องพิสูจน์ให้พวกผมทุกคนยอมรับให้ได้ว่า คุณจะเป็นนักศึกษารุ่นใหม่ของภาควิชานี้!”
เฮดว้ากอาทิตย์กวาดตามองนักศึกษาแต่งกายเรียบร้อยในสนามที่ดูคล้ายจะมาเยอะมากกว่าทุกครั้ง อย่างน้อยก็ยังนับว่าพวกปีหนึ่งเห็นความสำคัญในศึกชิงรุ่นอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นจำนวนคน มันก็ได้ส่งผลอะไรกับภารกิจที่เขากำลังจะมอบให้
“คุณเห็นธงรุ่นที่อยู่เป็นแสตนนั่นใช่มั้ยครับ!”
เสียงถามเรียกทุกสายตาให้เงยหน้ามองธงสีแดงเลือดนก ปรากฏลายสัญลักษณ์เกียร์วิศวะ และตัวอักษรสีขาวพิมพ์ชื่อภาควิชาเป็นภาษาอังกฤษ กำลังสะบัดโบกเหนือยอดอัฒจรรย์ปูนชั้นบนสุด ประดับไปด้วยผืนผ้าสีห้าสีไล่ตามขั้นบันไดลงมาถึงด้านล่าง
“หน้าที่ของคุณคือจะต้องไปเอามันมาให้ได้! ผมจะไม่บอกวิธีอะไรทั้งนั้น พวกคุณจะต้องใช้สิ่งที่ผมสอนและความสามารถของคุณไปเอามันมาเอง กำหนดเวลาให้ทันก่อนหนึ่งทุ่มตรงวันนี้ ถ้าคุณเอามันมาไม่สำเร็จ พวกคุณทุกคนจะโดนตัดสิทธิทั้งรุ่น!”
เป็นคำสั่งง่าย ๆ แต่เนื้อความไม่ง่ายเลย เพราะมันไม่ได้บ่งบอกประเด็นชัดเจนสักอย่าง ซ้ำยังกำหนดเวลาชิงธงรุ่นยาวนานกว่าสิบชั่วโมงแบบนี้ เดาเอาก็รู้ว่าต้องมีซัมติงรองแน่ ๆ แต่ถึงจะสงสัยคันปากอยากถามมากแค่ไหน ก็ดันโดนพูดดักคอไว้แล้วว่าห้ามถามอะไรทั้งนั้น สรุปปีหนึ่งเลยจำต้องนิ่งเงียบ ฟังสัญญาณสั่งนับถอยหลังจากเฮดว้ากอาทิตย์
“ถ้าพร้อมก็เริ่มได้! ปีหนึ่งเชิญมาเอาธงครับ!”
กล่าวจบ เจ้าตัวก็เดินถอยออกห่างเหมือนเปิดทางให้เดินขึ้นแสตนเอาธงไปสบาย ๆ ปล่อยให้คนในสนามมองหน้ากันเลิกลั่ก สบตางง ๆ เพราะไม่คิดว่าหนทางไปเอาธงรุ่นจะโรยด้วยกลีบกุหลาบขนาดนี้ แต่ถ้าขืนยังมัวยืนลังเลไม่มีใครเริ่มก้าวออกไป มีหวังคงไม่ได้ธงกันทั้งรุ่น
ผู้ชายที่อยู่แถวหน้าคนหนึ่งเลยถูกดันให้เป็นหน่วยกล้าตาย เดินหวาด ๆ ไปยังเป้าหมายชั้นบนสุด หากแค่ก้าวแรกที่ขึ้นไปเหยียบบนแสตน พี่ว้ากน็อตก็รีบตรงปรี่เข้ามายืนขวาง
“ปีหนึ่งคุณจะมาทำอะไรครับ!”
คนถูกถามเผลอสะดุ้งตกใจ แต่ก็ยังทำใจกล้าตอบไปตามความจริง
“ผะ...ผมจะมาเอาธงครับ”
“ผมไม่อนุญาต! เชิญลงไปด้วยครับ!”
คำปฏิเสธทำเอาตัวแทนถึงกับยืนหน้าเหวอ ทว่ามันก็ตรงใจใครหลายคนที่คิดไว้ พี่ว้ากคงไม่ยอมให้น้องเดินโร่ไปเอาธงง่าย ๆ จนกว่าจะผ่านการพิสูจน์ให้พวกพี่เห็น แต่สิ่งที่พวกเขาอยากรู้คือ มันต้องใช้วิธีอะไร
“แล้วพวกผมจะเอาธงมาได้ยังไงอ่ะครับ”
“นั่นเป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่เรื่องของผม!”
ประโยคตัดบทไม่เหลือเยื่อใยให้สานต่อ พาคนฟังมึนกันทั้งสนาม เริ่มตระหนักชัดเจนแล้วว่าหนทางการชิงรุ่นส่อเค้าลางความโหดร้ายให้เห็น
...บททดสอบที่ไม่มีคำใบ้ ไม่บอกวิธีการ ซ้ำยังต้องทำให้ถูกใจพวกพี่ว้ากอีก เป็นใครมันจะไปทำได้ งานชิงธงรุ่นคราวนี้ขอบอกได้คำเดียวเลยว่า
...แม่งโคตรยาก!
แม้แต่ก้องภพก็ไม่คาดคิดว่าการชิงรุ่นจะเป็นไปในรูปแบบนี้ ยิ่งกว่าการใช้กำลังและใช้สมองเพื่อแย่งชิง แต่มันคือการคลำทางในความมืด โดยที่พวกเขาไม่เห็นแสงสว่างใด ๆ มานำไปสู่ปลายทางเลย
ทว่าถึงจะหาทางออกไม่เจอ ยังไงสองร้อยหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว ปีหนึ่งจึงตัดสินใจเรียกรวมพลปรึกษากันด่วน พวกเขานั่งล้อมวงกันตรงพื้นสนาม เริ่มต้นถกประเด็นกันจริงจัง นำโดย ‘ทิว’ คนที่ถูกผลักให้ออกไปเอาธงด้วยเกริ่นคำถามนำร่อง
“ใครคิดอะไรออกบ้าง”
“โห! ไม่บอกสักคำใครจะไปรู้วะ ใบ้ให้สักนิดก็ไม่มี”
แค่ดอกแรกก็โดนสวนกลับมาด้วยแรงอารมณ์จากผู้ชายหุ่นอวบห้อยป้ายชื่อ ‘โอ๊ค’ แต่ทุกคนก็พยักหน้าเข้าใจในความหงุดหงิดนั้น ก็เพราะพวกพี่เล่นไม่อธิบายอะไรกันมาเลย จะให้น้อง ๆ ถอดจิตนั่งทางในเดาใจพวกก็ใช่ที่ พวกเขาเรียนวิศวะไม่ได้เรียนไสยศาสตร์กันมาสักหน่อย
“ไม่แน่พี่เขาอาจจะใบ้ให้เรามาแล้วรึเปล่า ลองคิดดูดี ๆ อีกทีมั้ย”
‘เมย์’ สาวแว่นยกมือขึ้นพูดเสนอ สะกิดให้ทุกคนลองคิดทบทวน ก่อนเพื่อนผู้หญิงผมสั้นที่นั่งข้าง ๆ จะออกความเห็นแบบตั้งข้อสังเกต
“เออ จะว่าไปเราก็สงสัยนะว่าตรงบันไดแสตนแต่ละขั้น มันจะติดผ้าไว้ห้าสีทำไม”
คำถามนั้นเรียกสายตาให้ก้องภพหันไปมองแสตนอีกครั้ง พี่ว้ากน็อตยังคงยืนนิ่งไม่หายไปไหน คล้ายผู้คุมอยู่ตรงบันไดขั้นแรกสุด แถบด้านหลังถูกขึงด้วยผ้าสีเหลือง ถัดขึ้นไปขั้นที่สองเป็นสี ฟ้า เขียว ชมพู แดง ตามลำดับและไปสิ้นสุดอยู่ตรงเสาธงของภาควิชา
ตอนแรกเขาคิดว่ามันอาจจะประดับไว้เพื่อความสวยงามให้อลังการสมเกียรติกับธงภาค แต่พอคิด ๆ ดูไอ้สีห้าสีก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับภาควิชาของเขาเลย หากจะเกี่ยวก็มีแค่สีแดงที่เป็นสีประจำคณะวิศวะเท่านั้น ซึ่งไอ้ลักษณะที่ผูกกันตามบันไดเป็นขั้น ๆ เหนือขึ้นไป มันคล้ายกับ...
“ด่านเกม”
เสียงตรงกับใจของก้องภพมาจากเพื่อนสนิทที่นั่งข้าง ๆ ไอ้เอ็มยกมือเสนอตามประสาคนชอบเล่นเกมที่มองปุ๊บก็เดาออกได้ปั๊บ ซ้ำยังพูดอธิบายให้เพื่อนคนอื่นเข้าใจ
“ก็ดูสิ ไอ้ผ้าที่ผูกตามบันไดมันเหมือนกับสัญลักษณ์ให้เราผ่านด่านไปทีละขั้น มีผ้าอยู่ห้าสีก็หมายความว่า พวกพี่ว้ากมีเกมให้เราเคลียร์ห้าด่านถึงจะชนะ แต่จะเคลียร์ยังไง อันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”
ประโยคที่เริ่มเข้าเค้าช่วยส่องทางให้ปีหนึ่งเห็นถึงความพอเป็นไปได้ แต่ปัญหาสำคัญก็คือไอ้ห้าด่านที่จะต้องผ่านมันคืออะไร และพวกเขาจะต้องเริ่มจากตรงจุดไหน
ก้องภพขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียด ไม่ต่างจากสีหน้าซีเรียสของเพื่อน ๆ พยายามคิดทบทวนหาช่องว่างที่อาจเป็นไปได้ โดยเฉพาะคำพูดของเฮดว้ากซึ่งเขาพยายามใส่ใจมากเป็นพิเศษ
พี่อาทิตย์จะไม่บอกอะไรเลยจริง ๆ เหรอ หรือมันอาจมีบางอย่างที่เขาลืมไป...
‘พวกคุณจะต้องใช้สิ่งที่ผมสอน และความสามารถของคุณไปเอามันมาเอง’ ...ทุกสิ่งที่พี่สอน ทุกสิ่งที่พี่ย้ำตลอดการเข้าเชียร์ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะมีแต่...
“SOTUS”
คำหลุดปากพึมพำเบา ๆ ของก้องภพ หากมันดังมากพอให้เอ็มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หันมาสนใจ
“มึงว่าไงนะ”
“มันอาจจะเป็น SOTUS ก็ได้ เรื่องที่พวกพี่ว้ากคอยสอนเรา”
เขาบอกไปด้วยท่าทางไม่แน่ใจ แต่คำนั้นกลับช่วยให้ประกายตาของเอ็มสว่างวาบ เหมือนเจอจิ๊กซอว์ที่ขาดหาย
“เออ ใช่! ถ้ามันเป็น SOTUS ก็ลงล็อกพอดี ไอ้ผ้าห้าสีบนแสตนก็คือตัวอักษรห้าตัวที่เราต้องผ่าน”
เอ็มตบบ่าก้องภพแบบคนดีใจที่ไขปริศนาเจอ ก่อนจะรีบยกมืออธิบายให้เพื่อนคนอื่น ๆ ได้ฟังกันทั่วหน้า ถึงไม่มีอะไรการันตีว่ามันจะถูก แต่ก็ต้องขอลองเสี่ยงหันหน่อย ดีกว่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
เหล่าเฟรชชี่จึงเริ่มตั้งต้นกันที่บันไดก้าวที่หนึ่งของตัวอักษรตัวแรก
... ‘Seniority การเคารพผู้อาวุโส’
“แล้วเราต้องทำยังไงถึงจะผ่านไปได้ล่ะ จะให้พวกเราไปยืนสวัสดีพี่ทุกคนเหรอ”
มีเสียงดังถามแทรกขึ้นมาจากในแถวอย่างสงสัย
...ขึ้นชื่อว่าการเคารพผู้อาวุโส วิธีการแสดงออกง่ายที่สุดคงไม่พ้นการไหว้ ซึ่งพวกเขาปีหนึ่งก็โดนบังคับให้ไหว้รุ่นพี่ทุกคนที่เจอ เพราะถือเป็นเครื่องหมายแสดงออกทั้งมารยาทและธรรมเนียม แต่การจะให้ปีหนึ่งสองร้อยคนมายกมือไหว้พี่ว้ากกันตอนนี้ ก็คงดูประหลาดไปสักหน่อย และไม่น่าจะทำให้พวกเขาผ่านด่านไปได้
...มันจะต้องมีอะไรสักอย่างที่แสดงออกให้เห็นชัด ๆ ว่าพวกเขามีความเคารพผู้อาวุโส...
“อาวุโสกว่าพี่ว้ากปีสามก็ต้องพี่ปีสี่ไง จำได้มั้ยว่าตอนพี่ปีสี่มาพี่ว้ากโคตรหงอเลย”
อยู่ ๆ โอ๊คก็พูดโพล่งขึ้นมากลางวง ทุกคนเลยฉุกใจคิดขึ้นมาได้ถึงตอนที่พี่ปีสี่สั่งให้ปีสามลงโทษซ่อมตัวเองในห้องประชุมเชียร์ ถ้าคราวนี้ได้พวกพี่ช่วยอีกก็อาจจะพอเห็นหนทาง เพราะขาใหญ่ของภาควิชายังไงก็ต้องเป็นพี่ปีสูงสุด
“ใครมีเบอร์พี่ปีสี่บ้างอ่ะ เอาประธานรุ่นมาเลย ขอปีสองปีสามด้วย เรียกพวกพี่มาให้หมด!”
คำขอตะโกนถามกันให้วุ่น แถมพ่วงด้วยพี่ปีอื่น ๆ กันเหนียว ด้วยไม่ว่าจะปีไหน ๆ ก็ถือเป็นอาวุโสมากกว่าปีหนึ่งทั้งนั้น
การตามล่าตัวของพี่ประธานรุ่น เลยเริ่มสืบจากเบอร์โทรถามหาเอาจากพี่รหัสของแต่ละคน ก่อนโทรขอร้องให้พวกพี่ช่วยมาหาพวกเขาที่สนาม ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะโวยวายบ่ายเบี่ยง เพราะเวลาตอนนี้มันเพิ่งจะแปดโมงเช้า แถมเป็นวันเสาร์ หน่วยอาสาจึงต้องนั่งมอเตอร์ไซต์ไปขอร้องอ้อนวอนกันถึงหอ พาพวกพี่มาส่งแบบเดลิเวอร์รี่ แถมด้วยพวกพี่คนอื่น ๆ ได้ข่าวก็ตามทยอยกันมาดูน้องชิงรุ่น
สุดท้ายจึงปิดด้วยประธานปีสี่คนสำคัญ ‘พี่เดียร์’ คนเดียวกับที่สั่งลงโทษพี่ปีสาม พ่วงด้วยอดีตเฮดว้าก เดินลงมาจากรถยนต์ของตัวเองด้วยสภาพงง ๆ หากพอถามข้อมูลจากพวกรุ่นน้อง เจ้าตัวก็หัวเราะอย่างเข้าใจ ซ้ำยังบ่นว่า ชิงรุ่นปีนี้พวกพี่ว้ากจัดให้แสบน่าดู
เมื่อมาถึงครบองค์ประชุมแล้ว ที่เหลือก็คือการแสดง ‘Seniority’ จากพวกปีหนึ่ง แน่นอนว่าคงไม่ใช่การที่พวกเขายกมือไหว้ แต่จากคำปรึกษาและตีความแล้ว ‘การแสดงความเคารพผู้อาวุโส’ ส่วนหนึ่งมันคือ ‘การให้เกียรติ’ พวกรุ่นพี่ในฐานะของคนที่มีประสบการณ์มากกว่า และใช้ ‘ความอ่อนน้อม’ เพื่อให้พวกพี่ยอมรับ ดังนั้น ปีหนึ่งจึงตัดสินใจแสดงออกด้วยวิธีตะโกนขออนุญาตพร้อมกัน
“พี่ ๆ ครับ/ค่ะ พวกเราขอเป็นรุ่นน้องพี่ได้มั้ยครับ/ค่ะ!!”
“ได้สิครับ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว น้องที่เหลือว่าไง”
พี่เดียร์พยักหน้า ยิ้มรับสบาย ๆ ส่วนประธานรุ่นปีสองและปีสามก็เห็นด้วยในทางเดียวกัน ก่อนพี่เดียร์จะแกล้งตะโกนถามคนที่ยังคงยืนคุมอยู่ตรงบันได
“แล้วพี่ว้ากข้างบนนั่นจะให้ผ่านรึเปล่า”
พี่ว้ากน็อตยังคงตีหน้านิ่งรักษาท่าทางไม่เปลี่ยน จนเพื่อนต้องสะกิดให้ทิวเดินขึ้นบันไดไปถามอีกครั้ง
“พี่ครับผมมาขอธงรุ่นครับ”
ทุกคนในสนามรอลุ้นจนหัวใจแทบหยุดเต้น โดยเฉพาะกับก้องภพที่เป็นคนเสนอไอเดีย พวกเขาเสียเวลาไปชั่วโมงกว่าแล้ว หากเดาผิดก็ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ เลยได้แต่ภาวนาว่าเขาจะจับทางในคำพูดของเฮดว้ากอาทิตย์ได้ถูก
ก้องภพมองตรงไปยังเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความตึงเครียด บรรยากาศเงียบลงคล้ายเวลาหยุดนิ่ง และแล้วพี่ว้ากน็อตก็เริ่มขยับ เปิดทางออกให้ พร้อมคำพูดสั้น ๆ
“เชิญ!!”
สิ้นเสียงอนุญาต เสียงเฮก็แทรกขึ้นมาดังลั่นจากปีหนึ่งด้วยความตื้นเต้นดีใจที่ผ่านด่านแรกมาได้ ก้องภพแท็กมือกับเอ็มพร้อมรอยยิ้มกว้าง แม้จะยังไม่ได้ธงรุ่น แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มาถูกทาง มันจึงเป็นกำลังใจสำคัญในการก้าวขึ้นไปสู่ยอดธงรุ่น
บันไดขั้นที่สองมีพี่ว้ากคนใหม่มายืนรอแทนเปลี่ยนกับพี่น็อต พร้อมภารกิจจากตัวอักษรที่สองของ SOTUS
…‘Order การปฏิบัติตามระเบียบวินัย’
พวกเขาแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาถูกระเบียบวินัยอยู่แล้ว แต่เพียงเท่านี้คงไม่ชัดเจนพอสำหรับที่พี่ว้ากจะยอมรับ มันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น เป็นสิ่งที่พี่ว้ากเน้นย้ำและคอยกระตุ้นเตือนทุกครั้งที่เข้าประชุมเชียร์ ผ่านการลงโทษที่พวกเขาต้องโดนฝึกกันมาด้วยวิธี...
“จัดแถว”
ข้อสรุปทำเอาเฟรชชี่หลายคนหน้าซีด แต่ในมติก็ต่างเห็นพ้องกันว่ามันคงเป็นวิธีที่ง่ายและเร็วที่สุดแล้ว เพราะยังต้องเหลืออีกหลายด่านให้พวกเขาฝ่าฟันกันก่อนหมดเวลาหนึ่งทุ่มตรง
ปีหนึ่งเลยเริ่มต้นตั้งขบวนจัดแถว นำคำสั่ง จับเวลากันเอาเอง โดยทำให้เร็ว และพร้อมเพรียงที่สุด ผู้ชายคอยวิ่งด้านท้ายดูแลผู้หญิง คนไม่ไหวก็จัดแยกโซนไปพัก วิ่งกันไปหลายเที่ยวสลับกับการขอผ่านขั้นจากพี่ว้าก จนใกล้เที่ยง ถึงได้ยินเสียงสวรรค์อนุญาตให้ ‘ผ่าน’
เสียงกู่ร้องไชโยปนมากับเสียงหอบอย่างหมดแรง ต่างคนต่างเดินสะโหลสะเหลมานั่งพักกินข้าวกลางวันที่พวกพี่สวัสดิการจัดไว้ให้ข้างสนามเป็นข้าวกล่องง่าย ๆ พลางนั่งล้อมวงปรึกษากันถึงภารกิจถัดไป
“แล้วตัวที่สาม ‘Tradition การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี’ จะเอายังไงวะ ไม่รู้ว่าภาคนี้มันมีธรรมเนียมอะไรบ้าง”
ก้องภพได้ยินเอ็มถามพลางเคี้ยวข้าวผัดตุ้ย ๆ ไอ้เขาก็จนปัญญาจะตอบเพราะก็เข้ามาเป็นน้องใหม่เหมือน ๆ กัน ดังนั้น คนที่รู้ก็ต้องเป็นคนที่อยู่มานานกว่า เลยต้องทำการสืบหาจากพี่เดียร์ ซึ่งยังคงอยู่ดูศึกชิงรุ่นตั้งแต่เช้าไม่ได้ไปไหน หากคำตอบกลับเป็นการปฏิเสธ
“ก็ไม่เห็นมีธรรมเนียมอะไรนะ”
“สักนิดก็ไม่มีเหรอคะ”
‘มะปราง’ สาวสวยที่สุดในรุ่นพยายามอ้อนถาม กระตุ้นให้พี่เดียร์ทำท่าคิดหนัก ก่อนเอ่ยออกมาอย่างลังเล
“อืม...ก็ไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวกันรึเปล่า แต่ถ้าทำต่อ ๆ กันมาก็คงจะมีช่วงปีใหม่ล่ะมั้ง ที่ภาคมันจะมีงานสานสัมพันธ์นัดแข่งบอลกับศิษย์เก่า เลิกงานเสร็จก็ช่วยกันเก็บกวาด แล้วก็ไปกินเลี้ยงกันต่อ”
คงฟังต่างหันมองหน้ากัน ...คงไม่ใช่เป็นแข่งเตะบอลตอนนี้แน่ ๆ ส่วนกินเลี้ยงตัดออกไปให้ไกล ที่เหลือก็น่าจะเป็นการเก็บกวาดทำความสะอาด แต่คนสองร้อยคนจะให้เก็บกวาดรอบสนาม มันคงดูธรรมดา ต้องทำความสะอาดมหาลัยไปเลย จะได้เห็นกันชัด ๆ
เหล่าปีหนึ่งจึงใช้เวลาตลอดช่วยบ่ายแบ่งโซนเดินเก็บขยะ ดูแลความสะอาดทั่วมหาวิทยาลัย พวกเขาไม่รู้หรอกว่าได้เลือกธรรมเนียมมาถูกรึเปล่า แต่อย่างน้อยมันก็ถือเป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาของตัวเอง และอาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ บวกกับความเห็นใจของพี่ว้ากผู้หญิง พวกเขาเลยได้ ‘ผ่าน’ มาแบบง่าย ๆ แม้จะใช้ก็หมดไปไม่น้อย
พอก้มลงมองนาฬิกา เข็มสั้นก็ชี้เข้าไปใกล้เลข 4 แล้ว การก้าวขึ้นด่านที่สี่จึงต้องทำกันอย่างเร่งรีบ และได้ข้อสรุปว่า ‘Unity การเป็นหนึ่งเดียว’ นั้น ไม่มีอะไรจะรวมใจได้ดีไปกว่า ‘การร้องเพลงเชียร์’
...กลองพร้อม เสียงพร้อม เหนืออื่นใดคือ ‘ความสามัคคี’ ของปีหนึ่งซึ่งเตรียมพร้อมมากที่สุด
พวกเขาทุ่มเทแรงใจ เค้นพลังแหกปากร้องเพลงไล่ตั้งแต่เพลงภาค เพลงคณะ เพลงมหาลัย รวมถึงเพลงสันทนาการทุกเพลงที่เคยฝึกกันมา ทั้งเต้น ทั้งเปล่งเสียงกันอย่างเมามัน โดยมีพวกพี่ ๆ จากภาควิชาเริ่มทยอยกันมาดูน้อง ๆ และเชียร์ให้กำลังใจ
กระทั่งแสงยามเย็นเริ่มอ่อนแรง จบเสียงร้องเพลงประจำมหาวิทยาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ด่านที่สี่ ถึงสำเร็จเสร็จสิ้นไปได้ ตอนนี้พวกน้อง ๆ แทบจะไม่มีแรงเหลือ เพราะบ้าพลังกันมาตั้งแต่ช่วงเช้า หากก็ยังมีอีกด่านสำคัญที่เป็นด่านสุดท้าย
…‘Spirit การมีน้ำใจ’
และคนคุมด่านผู้มีหน้าที่ตัดสินชะตาชี้ขาด เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เฮดว้ากอาทิตย์ ที่เดินก้าวมายืนขวางบันไดขึงผ้าสีแดงขั้นสุดท้าย เหนือขึ้นไปคือธงรุ่นโบกสะบัดตามแรงลม โดยเหลือเวลาให้พวกเขาชิงอีกแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น
“จะทำยังไงดีวะ แม่งยากสุด ๆ เลยตัวไอ้เนี่ย บอกไว้ก่อน ถ้าสั่งให้กูไปสั่งวิ่งรอบสนาม กูไม่มีแรงแล้วนะ”
ก้องภพนั่งลงข้างเอ็มที่ส่งเสียงบ่นแหบ ๆ หลังจากใช้พลังกับการร้องเพลงติดต่อกัน เขายอมรับว่าตัวเองก็ไม่มีแรงกายเหลือมากพอ ขืนต้องพิสูจน์สปิริตกันด้วยการวิ่งรอบสนามจริง ๆ คงไม่ไหวกันแน่ ทั้งเวลาก็งวดเข้ามาทุกทีแล้ว
พวกเพื่อนหลายคนจึงมีสีหน้าเคร่งเครียด คิดไม่ตกว่าจะต้องแก้ปัญหาอย่างไรดีถึงจะผ่านด่านอรหันต์เป็นด่านสุดท้าย
ก้องภพทอดสายตามองไปยังใครบางคนบนแสตน ซึ่งยืนนิ่งเอามือประสานไขว้หลังตามระเบียบเพื่อรอคอย
...ทั้งสีหน้า และแววตาเด็ดเดี่ยวไม่ยอมอ่อนข้อ ยังคงเป็นเหมือนเดิมกับที่เขาเคยเห็นมา เมื่อครั้งเจ้าตัวมาวิ่งตากฝนในสนาม...
หืม เดี๋ยวก่อนนะ...
...ฉับพลันนั้น อะไรบางอย่างกลับแล่นผ่านความคิด ก้องภพพยายามไล่คว้าจับมันเอาไว้ ในสมองประมวลผลบางอย่าง ก่อนจะรีบส่งเสียงเรียกให้พวกเพื่อนหันมามอง
“ทุกคนครับ ช่วยฟังทางนี้หน่อย!”
ทุกสายตาตรงไปยังคนพูด ซึ่งผุดลุกขึ้นยืนตรงกลางวงล้อม
...แม้จะยังไม่มั่นใจ แต่นี่อาจเป็นวิธีเดียวที่เท่านั้นที่เขาจะผ่านพี่อาทิตย์ และชิงธงรุ่นมาได้
ก้องภพสูดลมหายใจลึก ตามองไปยังเฮดว้ากอาทิตย์บนขั้นบันไดอีกครั้ง แล้วเกริ่นคำสั้น ๆ
“เรามีแผน...”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
ป.ล. ตอนที่ 14 มีแก้ไขช่วงท้าย ๆ นิดหน่อย ใครอ่านก่อนล่วงหน้ารบกวนอ่านซ้ำใหม่อีกทีนะคะ ขออภัยในความผิดพลาดเล็กน้อย