ตอนที่ 29
“คืนนั้น... เป็นวันเกิดผม ผมกับแฟนนัดกันว่าจะมาฉลองวันเกิดด้วยกันที่ห้อง แต่ว่า... ในระหว่างที่ผมซื้อข้าวของและกำลังจะกลับห้องพักนั้น แฟนผมก็โทรมาบอกเลิก" ในระหว่างทางเดิน มิวส์ได้เล่าเรื่องในอดีตซึ่งเป็นคืนที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขาให้กับหมอผีอารัญย์ฟัง "ผมน่ะ... เสียใจมากและคงจะจิตตกสุด ๆ ก็เลยโดนวิญญาณอาฆาตที่สิงสถิตอยู่ในหอพักรุกรานและทำให้ผมกลายเป็นตัวตายตัวแทนของมัน"
สิ้นเสียง... ความเสียใจก็ถาโถมเข้ามาในความรู้สึกของมิวส์ทันที แม้จะพยายามทำใจให้ชิน แต่พอเล่าหรือนึกถึงเรื่องคืนนั้นทีไรก็อยากจะร้องไห้ออกมาทุกที เว้นเสียแต่ว่ามันไม่มีหยาดน้ำตาให้ไหลลงมานี่แหละ
“คุณ...” หมอผีอารัญย์เอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใย "ผมขอโทษ... แต่ช่วยเล่าให้ผมฟังอีกได้ไหม ผมอยากรู้ว่าเหตุผลที่เขาบอกเลิกคุณคืออะไร"
“เหตุผลน่ะเหรอ" มิวส์ทวนคำถามขณะที่หันไปมองใบหน้าของหมอผีหนุ่ม เขาถอนหายใจเบา ๆ หนึ่งทีเพราะไม่รู้ว่าหมอผีจะตกใจกับเรื่องที่ได้ฟังหรือเปล่าก่อนที่จะพูดออกมา "แฟนผมบอกว่าชีวิตเขาต้องแต่งงานกับผู้หญิง ถ้ายังคบกับผมชีวิตเขาต้องจบเห่แน่ ๆ"
“คุณ...” หมอผีอารัญย์ตะลึงชั่วขณะ แม้วิญญาณหนุ่มตนนี้จะดูน่ารักใสซื่อแต่เขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นวิญญาณที่ชอบเพศเดียวกันกับตนเอง "แฟนคุณชื่ออะไร เกิดวัน เดือน ปีอะไร"
“คุณจะถามไปทำไม เรื่องแบบนั้นใครจะไปอยากจำกันเล่า" แม้ปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่มิวส์ก็จำมันได้ดีเลยล่ะ มิวส์ไม่เคยลืมวันเดือนปีเกิดของก้อง หรือแม้แต่วันแรกที่เขาตัดสินใจคบกับก้อน มิวส์ยังคงจดจำทุกอย่างได้ดีเสมอ
“ผมจะช่วยสืบหาความจริงยังไงล่ะ ว่าทำไมแฟนคุณถึงต้องตัดสินใจทำแบบนั้นกับคุณ" หมอผีอารัญย์เอ่ยออกมา
“ถ้าผมบอกไปแล้วคุณจะทำอะไรได้ คุณเองก็เป็นแค่วิญญาณเหมือนกับผมไม่ใช่เหรอไง" มิวส์เอ่ยออกมา
“แต่ผมเป็นหมอผี ผมมีความสามารถพิเศษที่คนหรือวิญญาณทั่วไปไม่มี" หมอผีอารัญย์ตอบออกมา "คุณไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมเขาถึงต้องพูดกับคุณแบบนั้น"
“ไม่! ผมไม่อยากรู้" มิวส์ตอบเสียงแข็ง ใครจะไปอยากรับรู้เรื่องราวที่เลวร้ายแบบนั้นกันล่ะ รู้ไปแล้วมันจะช่วยให้อะไรดีขึ้น ...มันจะทำให้เขากลับไปมีชีวิตอีกครั้งอย่างนั้นหรืออย่างไร เรื่องราวเหล่านั้นมีแต่จะตอกย้ำความเจ็บปวดในจิตใจของเขาต่างหาก
“คุณไม่คิดว่าทุกอย่างมันง่ายเกินไปหน่อยเหรอไง อยู่ ๆ มาบอกเลิกกันแบบนั้น" หมอผีอารัญย์พยายามพูดกล่อมหู
“ไม่เลย เขาไม่ได้รักผมเลยสักนิด เขาก็แค่หลอก หลอกให้ผมตายใจ หลอกให้ผมหลงรัก ...ก็เท่านั้น เท่านั้นจริง ๆ" มิวส์เถียงออกไป แม้เวลาที่ได้อยู่ใกล้ ๆ มันจะทำให้เขารู้สึกถึงความรัก ความอบอุ่นและความห่วงใยที่ก้องมอบให้ แต่มิวส์ก็คิดมาตลอดว่าที่ก้องทำดีกับเขาคงเป็นเพราะต้องการอยากจะชดใช้ความผิด ซึ่งมันไม่มีวันเรียกกลับคืนมาให้เป็นปกติเหมือนเดิมได้
“เอ้า ๆ ก็ตามใจ ไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไร แต่ช่วยบอกวัน เดือน ปีเกิดของแฟนคุณให้ผมรู้หน่อยได้ไหม แล้วก็ของคุณด้วย" หมอผีอารัญย์เอ่ยขึ้น
“คุณนี่เซ้าซี้จริง..." มิวส์ต่อว่า แต่ท้ายที่สุดตัวเองก็เผลอหลุดปากตอบคำถามในสิ่งที่หมอผีอยากรู้ออกไปอยู่ดี
ทันทีที่หมอผีอารัญย์รู้เรื่อง เขาก็หยุดเดินแล้วเอื้อมมือไปจับที่มือข้างหนึ่งของมิวส์ มิวส์ชะงักเล็กน้อยด้วยความตกใจแต่ยังไม่ทันที่มิวส์จะพูดอะไร หมอผีอารัญย์ก็โอบกอดร่างของเขาเอาไว้อย่างแนบแน่น
มิวส์รู้สึกตกใจมากเพราะไม่คิดว่าหมอผีสุดหล่อจะกระทำการจู่โจมกลางป่าเช่นนี้ แม้จะพยายามดิ้นก็คงจะไม่หลุดง่่าย ๆ สุดท้ายเขาก็เลยอยู่นิ่ง ๆ ให้หมอผีได้กระทำชำเราตามใจชอบ แต่อย่างน้อยเขาก็ขอพูดอะไรสักหน่อยเพื่อให้หมอผีรู้ว่าเขาไม่ใช่วิญญาณที่ยอมอะไรง่าย ๆ นะ
“คุณจะทำอะไรน่ะ ปล่อยน่ะ" พูดไปก็แสร้งสะบัดตัวไป หากเป็นผู้หญิงหมอผีหรือใครที่เห็นมิวส์ทำเช่นนี้ก็คงจะต่อว่าว่าเขาสะบัดสะบิ้งสุด ๆ เลยล่ะ
“อยู่นิ่ง ๆ เถอะน่า ผมไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คุณคิดหรอก" หมอผีอารัญย์พูดเพียงเท่านั้น ไม่นานมากนักภาพผืนป่ารอบข้างที่มีแต่ความมืดสนิทก็ถูกแสงสีขาวนวลเนียนราวกับหมอกควันเข้ามาปกคลุมราวกับว่ากำลังจะถูกวาร์ปหรือหายตัวไปที่ไหนสักแห่ง
ผืนป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ใต้แสงจันทราและความมืดมิดที่ปกคลุม กำลังมีร่างสามร่างที่วิ่งลึกเข้าไปเรื่อย ๆ โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าได้วิ่งมาไกลแค่ไหนแล้ว แต่เพราะความเป็นห่วงที่ไม้มีให้กับมิวส์ เลยทำให้เขาไม่สนใจสักนิดว่าตัวเองจะหลงทางหรือได้พบอันตรายอะไรบ้างกับหนทางข้างหน้า ขอเพียงแค่ให้ได้พบกับวิญญาณที่เขาตามหาให้เร็วที่สุดเท่านั้นก็เพียงพอ
จนกระทั่งเสียงเรียกของคนที่วิ่งตามมาทางด้านหลังดังขึ้น สติของไม้ถึงได้กลับคืนมา
“ไม้... ไม้... มึงจะไปไหน กูไม่ไหวแล้วนะโว้ย" เสียงที่ดังของเป็นเสียงของแม็กกี้ซึ่งวิ่งตามมาอยู่ห่าง ๆ ส่วนอาจารย์ก้องภพที่คงจะดูแลร่างกายของตัวเองมาอย่างดิบดีสามารถวิ่งตามไม้ไปได้ติด ๆ
“ไอ้แม็กกี้!!!” ไม้รีบวิ่งกลับไปหาร่างของคนรักอย่างไวเมื่อเห็นร่างนั้นทรุดลงกับพื้น
เสียงหายใจหอบแฮก ๆ ของแม็กกี้ที่ดังถี่ทำให้ไม้รู้สึกกังวลใจยิ่งนัก ไม้รู้ดีว่าแม็กกี้เป็นโรคหอบไม่สามารถออกกำลังกายหนัก ๆ หรือไม่สามารถวิ่งในระยะทางที่ไกลจนเกินไปได้ เพราะมันจะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจของเขาโดยตรง
“มึง... ไหวไหม" ไม้เอ่ยถามพลางพยายามตบหน้าแม็กกี้เบา ๆ เพื่อเรียกสติ
“กูคงไปต่อไม่ไหวแล้ว ว่าแต่มึงวิ่งมาทำอะไรในป่าวะ" แม็กกี้เอ่ยถาม เสียงหายใจของแม็กกี้ช่างอิดโรยราวกับคนกำลังจะสิ้นลมหายใจอย่างไรอย่างนั้น
“กู... กูขอโทษ ไว้กลับไปที่ห้องเมื่อไหร่กูสัญญาว่ากูจะเล่าทุกอย่างให้มึงฟัง" ไม้เอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด เขามัวแต่ห่วงวิญญาณที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานจนลืมนึกถึงความรู้สึกของแม็กกี้ "มึงอย่าเป็นอะไรนะ กูจะพามึงกลับเดี๋ยวนี้แหละ"
สิ้นเสียงไม้ก็นั่งยองยอเป็นสัญญาณสั่งแม็กกี้ว่าให้แม็กกี้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายลุกมาขี่หลังเขา
“กูจะไม่เป็นอะไรทั้งนั้น" แม็กกี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวพลางพยายามลุกขึ้นและเดินไปทิ้งร่างบนแผ่นหลังอันแข็งแกร่งของไม้จนสำเร็จ
“อาจารย์ก้องภพ ผมคงไปช่วยอาจารย์ตามหามิวส์ไม่ได้แล้ว" ไม้เอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ" ก้องภพพยักหน้าตอบรับ
“ผมเชื่อว่ามิวส์ยังรู้สึกดีกับอาจารย์ อาจารย์ต้องช่วยมิวส์ออกมาให้ได้นะครับ" ไม้เอ่ยขึ้น
“ครับ" พูดจบอาจารย์ก้องภพก็ออกวิ่งตามหาอดีตคนรักของตนเองต่อทันที
ส่วนไม้แม้จะรู้สึกหนัก... กับร่างที่กำลังแบกอยู่ด้านหลัง แต่เพราะความห่วงใยเลยทำให้เขากัดฟันก้าวขาเดินต่อไปเรื่อย ๆ แม้ไม่รู้ว่าทางออกอยู่ตรงไหนก็ตาม
“มิวส์คือใครวะ" แม็กกี้ที่แม้จะไร้เรี่ยวแรงแต่เขาก็ได้ยินในสิ่งที่ไม้กับอาจารย์ก้องภพคุยกันจึงอดสงสัยไม่ได้
“วิญญาณ" ไม้ตอบออกมา
“มึงนี่ก็นะ น่าสิ่วน่าขวานแบบนี้ยังมีอารมณ์ขันอีก" แม็กกี้หัวเราะชอบใจพลางคิดไปว่าไม้เล่นมุกเพราะไม่อยากทำให้เขาเครียด แต่ทว่า...
“กูไม่ได้มีอารมณ์ขัน กูพูดเรื่องจริง" ไม้ตอบเสียงหนักแน่นจนแม็กกี้ต้องหยุดหัวเราะทันที "มิวส์เป็นวิญญาณอาฆาตที่อาศัยอยู่ในหอพักของเรามานานนับสิบปี และเป็นอดีตคนรักเก่าของอาจารย์ก้องภพ"
“วิญญาณอาฆาต" แม็กกี้ทวนคำด้วยความหวาดกลัว ปกติเขาเป็นคนจิตอ่อนที่หวาดกลัวต่อสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่แล้ว ยิ่งพอรู้ว่าในหอพักของตนมีวิญญาณอีกตนสิงสถิตอยู่มันก็ทำให้เขาไม่อยากที่จะกลับไปที่นั่น และคิดต่อไปว่าขนาดห้องพักที่มีคนอยู่เยอะแยะยังมีวิญญาณอาฆาต แล้วในผืนป่าที่น่าวังเวงเช่นนี้ล่ะ จะมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง
“เออ แต่มึงไม่ต้องกลัวหรอก" ไม้เอ่ยขึ้น "มันไม่ทำอะไรมึงหรอก"
แม็กกี้ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ผืนป่าที่มืดมิดกอรปกับเรื่องที่เพิ่งรับรู้ทำให้เขาต้องตัดสินใจหลับตาแล้วซบหน้าลงไปที่แผ่นหลังของไม้เพราะไม่อยากมองเห็นสิ่งรอบข้าง
ความรู้สึกที่เหมือนกับมีอะไรซบลงมาที่แผ่นหลังทำให้ไม้ที่แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็สามารถยิ้มออกมาได้
'กูขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ' ไม้ตะโกนก้องในจิตใจ มันเป็นความรู้สึกที่เขาต้องการให้แม็กกี้รับทราบและอภัยให้กับความผิดพลาดทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้น
ทางด้านของมิวส์กับหมอผีอารัญย์ หลังจากที่ผืนป่ารอบข้างมีหมอกควันสีขาวครอบคลุม สักพักหมอกควันเหล่านั้นก็จากลงและแปรเปลี่ยนเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมิวส์พอจะจำได้ราง ๆ ว่าที่นี่คือสวนสาธารณะเล็ก ๆ ภายในตัวเมือง
“คุณพาผมหายตัวมาที่นี่ได้ยังไง" มิวส์เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจโดยที่ไม่รู้เลยว่าหมออารัญย์เลิกกอดเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
“ด้วยความสามารถของหมอผีที่กลายมาเป็นวิญญาณสุดหล่อยังไงล่ะ" หมอผีอารัญย์เอ่ยขึ้นพร้อมกับเก๊กหน้าหล่อเหลาจนมิวส์รู้สึกหมั่นไส้อยากจะถีบก้นแรง ๆ สักป๊าบแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะอย่างน้อยไอ้หมอผีรุ่นพี่คนนี้ก็มีหน้าตาหล่อเหลาอย่างที่ขี้โม้เอาไว้จริง ๆ
“แต่ผมไม่ได้ต้องการจะมาที่นี่ ผมจะกลับไปบ้านพักบนดอย" มิวส์เอยขึ้นโดยที่ตนเองไม่รู้เลยว่าหมอผีอารัญย์ได้พาเขาย้อนมาดูภาพเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้นกับก้องในคืนก่อนที่มิวส์จะสิ้นลมหายใจ จนกระทั่งร่างของชายหนุ่มที่มิวส์คุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้าสวนสาธารณะนั่นแหละ มิวส์ถึงเริ่มเอะใจ
“ก้อง!!!” มิวส์เอ่ยขึ้น ...ใช่! เขาจำได้ว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าสวนสาธารณะคือก้อง แต่รูปร่างหน้าตาแบบนี้มันไม่ใช่ก้องในปัจจุบันแต่มันเป็นก้องในอดีตเมื่อ 10 ปีก่อน
มิวส์หันไปมองหมอผีอารัญย์ด้วยความฉงน หมอผีอารัญย์ระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะตอบออกมาว่า...
“ผมพาคุณย้อนมาดูอดีตไงล่ะ... คุณจะได้รู้ให้แน่ชัดสักทีว่าทำไมแฟนของคุณถึงตัดสินใจบอกเลิกคุณ"
ตัดจบตอน T___T ...