It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]  (อ่าน 96360 ครั้ง)

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 12 : คิดเหมือนกันหรือเปล่า













เราออกมาจากหอศิลป์ก็แวะที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ เพื่อรับประทานอาหารค่ำ ก่อนผมจะชวนไนล์ให้ไปเดินชั้นล่างของห้างฯ ด้วยกัน เพราะผมตั้งใจว่าจะกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์และผมก็ไม่ได้กลับบ้านมาทั้งอาทิตย์แล้ว จึงตั้งใจว่าจะซื้อป๊อปคอร์นชื่อดังไปฝากแม่เสียหน่อย เพราะว่าท่านชอบมาก

ตั้งแต่ร้านนี้มาเปิดที่ไทย ผมก็ยังไม่เคยมาต่อคิวซื้อกับเขาเลย แม้ว่ามันจะไม่ได้มีคนต่อแถวยาวเหยียดเหมือนในวันแรกๆ ที่เปิดร้านแต่ก็ยังมีอยู่พอสมควร ผมจึงบอกให้ไนล์ยืนรออยู่แถวๆ นี้แทน ส่วนผมก็ไปเข้าแถวเพื่อซื้อ ทว่าแม้ไนล์จะอยู่ไกลจากสายตาของผมแล้ว ผมก็ไม่วายหันไปมองเขาอยู่ดี

เขายืนเฉยๆ เหมือนไม่ได้สนใจอะไร ปล่อยสายตาให้ลอยไปโดยไร้จุดหมาย แต่ขณะเดียวกันกลับกลายเป็นเขาที่ตกเป็นเป้าสายตาของคนที่เดินผ่านไปมา เพราะหากบอกว่าเขาค่อนข้างโดดเด่นก็คงไม่ผิด ถึงเขาจะชอบทำตัวเหมือนตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตซีดจางราวกับล่องหนอยู่ในอากาศ แต่มันก็ไม่เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว

ใบหน้าได้รูปและดูดีซึ่งกระเดียดไปทางสวยแบบผู้ชายนั่นทำให้ใครต่อใครสนใจเขาได้ไม่อยาก แต่ท่าทีเฉยชาและบรรยากาศรอบๆ ตัวของเขาเหมือนเป็นปราการให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปในรัศมีของเขา เหมือนกับเกรงว่าหากเข้าใกล้มากเกินไป อาวุธที่มองไม่เห็น แต่ค่อนข้างมีอานุภาพค่อนข้างรุนแรงจะทำร้ายจนได้แผล

ผมยังเอาแต่จ้องไนล์ที่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับก้าวไปจากเดิมแม้แต่น้อย เหมือนถูกเขาตรึงสายตาจนแถวขยับแล้วคนข้างหลังถึงส่งเสียงบอกให้ผมเดินไปข้างหน้า แต่พอขยับไปตามคิวแล้ว ผมก็ยังหันกลับไปมองไนล์อยู่ดี ผมรู้สึกว่าอาการของผมชักแย่เสียแล้ว เพราะผมไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลยเมื่อรู้ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้

ได้ของที่ต้องการมาแล้ว พวกเราก็เดินกลับไปที่ลานจอดรถ แต่ระหว่างทางก็มีอันต้องชะงักไปอีก ผมเรียกไนล์เอาไว้ เขาก็มองหน้าผมเหมือนไม่ค่อยเข้าใจนัก แม้ว่าจะไม่เปลี่ยนสีหน้าไปก็ตามที แต่ผมก็รู้สึกได้

“แวะร้านนี้ก่อน”

ผมเห็นร้านแพนเค้กระหว่างเราเดินไปทางลานจอดรถด้วยกัน เป็นร้านเล็กๆ ที่มีคนนั่งเกือบเต็มทุกโต๊ะ และรูปภาพของขนมภายในร้านก็ค่อนข้างล่อลวงให้ผมสนใจ เพราะนานแล้วที่ผมไม่ได้กินขนมหวานหรือพวกเบเกอร์รี่

จะว่าผมชอบของแบบนี้ก็ไม่เชิงนัก มีกินบ้างครับ ส่วนมากก็มากับไฮยีน นานๆ ครั้งมากินด้วยกันสี่คนกับพวกที่เหลือ แต่ที่บ่อยที่สุดก็คงเป็นคนที่ผมสูญเสียไปตลอดกาล ผมอาจจะติดรสหวานๆ มาจากเธอก็ได้ เพราะเราจะกินด้วยกันอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง

“นายไม่ชอบกินเหรอ”

เขาหยุดมองหน้าผมไปชั่วครู่ จนทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเขาอาจจะไม่ชอบขนมอะไรแบบนี้ก็ได้ แต่ไนล์ก็ส่ายหน้าเบาๆ แล้วบอกผม

“เดินเข้าไปสิ”

ร้านเป็นแบบเปิดโล่ง ไม่ได้มีการตีกรอบกั้นประตูอย่างชัดเจน ผมจึงเดินเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างอยู่ ขณะที่ไนล์เดินตามเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน ผมสังเกตได้ว่าแค่เดินเข้ามานั่ง เราก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนในร้านแล้ว ทั้งผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่โต๊ะยาวริมในสุด และโต๊ะอื่นๆ แม้แต่โต๊ะที่ผู้ชายสองสามคนนั่งอยู่ด้วยกัน

มันไม่น่าแปลกไม่ใช่เหรอครับที่ผมจะมานั่งกินขนมกับไนล์ ในเมื่อพวกเขาก็มาเหมือนกัน แต่กลับถูกจับจ้องราวกับเป็นเรื่องแปลกประหลาด

นั่งลงเพียงครู่เดียว พนักงานก็นำเมนูมามอบให้ผมกับไนล์ก่อนจะเดินออกไป เพราะลูกค้าจะต้องไปสั่งขนมที่เคาน์เตอร์เอง เราต่างดูเมนูกันคนละเล่ม ถึงกระนั้นผมก็อดมองไนล์อย่างสนใจไม่ได้ว่าเขาจะเลือกเมนูไหน เพราะสำหรับผม ผมเลือกเมนูเอาไว้ในใจตั้งแต่มองเห็นรูปภาพโปรโมตของร้านแล้ว ผมอยากรู้ว่าเขาจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า เขาจะรู้ใจผมเหมือนอย่างที่เขาเคยคาดการณ์เรื่องอาหารที่ผมชอบถูกไหม

เหมือนไนล์จะรู้สึกตัวว่าถูกผมมองอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นจากเมนูและสบตาผมชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยเสียงที่ไม่ดังนักด้วยคำถามที่ผมไม่คิดว่าเขาจะถาม

“จะกินด้วยกันหรือแยก”

ไม่รู้ทำไม แต่พอได้ยินคำถามนี้แล้วผมถึงหลุดยิ้มออกมา มันเป็นไปเองโดยที่ไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำว่าผมควรจะยิ้มหรือเปล่า แต่ผมก็ยิ้มไปแล้ว ผมเท้าแขนกับโต๊ะพลางชันคางกับมือข้างนั้น มองไนล์แล้วถามกลับ

“นายอยากกินกับฉันหรือว่าอยากกินแยกกันล่ะ”

ไนล์ไม่ตอบผม  แต่วางเมนูลง ก่อนจะลุกจากโต๊ะและตรงไปที่เคาน์เตอร์ ไม่มีการสอบถามว่าผมต้องการเมนูไหน ซึ่งมันก็ทำให้ผมเดาได้ว่าคำตอบของคำถามเมื่อครู่นี้คืออะไร และมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีอยู่ในใจนิดหน่อยที่เขาตัดสินใจแบบนี้ เพราะมันเหมือนกับว่าเขาก็อยากจะทำอะไรร่วมกับผมเหมือนกัน

จากนั้นไนล์ก็เดินกลับมาที่โต๊ะอีกรอบหลังจากสั่งขนมเรียบร้อยแล้ว พอเขานั่งลงที่เก้าอี้เหมือนเดิมผมก็แบมือขอใบเสร็จที่เขาได้รับมาหลังจากจ่ายเงิน ซึ่งเขาก็ยื่นให้ผมดูราวกับรู้ว่าผมต้องการอะไร ทั้งที่ผมไม่ได้บอก

ความจริงแล้วที่ผมขอใบเสร็จก็เพื่อจะดูราคาของขนมที่เขาสั่งไป จะได้จ่ายเงินให้กับเขาครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อเห็นรายการขนม ก็ทำให้ผมลืมเรื่องเงินไปชั่วครู่แล้วเงยหน้าถามเขาด้วยความตื่นเต้นอยู่นิดๆ

เขารู้ใจผมอีกแล้ว

“ทำไมถึงสั่งเมนูนี้”

“นายอยากกินอันนี้ไม่ใช่หรือไง”

เขาตอบกลับมาเสียงเรียบราวกับไม่มีอะไรน่าตกใจหรือน่าประหลาดใจแม้แต่น้อย ทั้งที่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น จะมีใครที่รู้จักกันไม่ถึงสามเดือนแต่กลับรู้ว่าเราชอบอะไร อยากกินอะไร หรือแม้แต่คิดอะไรอยู่ มันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าเขารู้ได้ยังไง

“นายรู้ได้ยังไง”

“นายไม่ชอบกินของที่หวานมากเกินไป แล้วนายก็ชอบช็อกโกแลต มันก็เหมาะสุดแล้วนี่”

คำตอบของเขายิ่งทำให้ผมสงสัยมากขึ้นอีก ผมไม่เคยบอกเขาด้วยซ้ำว่าผมชอบรสชาติแบบไหน หรือผมชอบกินอะไร แต่เขากลับรู้ มันทำให้ก้อนเนื้อที่เต้นตุบๆ อยู่ในอกของผมทำงานหนักขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ผมรู้สึกได้เลยว่าหัวใจกำลังเต้นแรงและเร็วขึ้นด้วยความตะลึง

“นายรู้ได้ยังไง”

ผมอดถามคำถามเดิมไม่ได้ แต่ก็ถูกเลี่ยงด้วยประโยคอื่นที่ทำให้ผมต้องชะงักความคิดไปชั่วครู่

“นายเห็นเมนูนี้ถึงได้ชวนฉันเข้ามากินที่ร้านนี้ไม่ใช่เหรอ”

ทั้งที่ผมคิดว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรเลย แค่มองไปเรื่อยเปื่อย แต่เขากลับสังเกตเห็นว่าผมมองอะไร สนใจอะไร และมันทำให้ผมเผลอคิดไปไม่ได้ว่าเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรเลย ทำตัวเหมือนไม่มีชีวิต แม้ว่าจะอยู่ข้างๆ ผม แต่เขากลับสังเกตผมอยู่ตลอดเวลา... มันทำให้ผมดีใจจนเกือบจะหลุดยิ้มออกมาอีกรอบ

ผมต้องกล้ำกลืนความรู้สึกนั้นเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมามากเกินไป เพราะหลายต่อหลายครั้งที่ผมเผลอแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาชัดเจนเกินไปจนดูเหมือนคนโง่ที่ไร้การควบคุมเมื่ออยู่ต่อหน้าไนล์ ผมอยากจะเก็บอาการของตัวเองที่สนใจเขาจนสะบัดออกไปจากความคิดของตัวเองไม่ได้เอาไว้เสียบ้าง และอยากให้เขาแสดงความรู้สึกของเขาที่มีต่อผมออกมาให้มากกว่านี้แทน

“นายคอยมองฉันอยู่ตลอดเหรอ ถึงได้รู้”

แกล้งย้อนถามกลับไปบ้าง ในใจก็อยากรู้ว่าเป็นอย่างที่คิดจริงหรือเปล่า ทว่าคำถามนี้ก็เหมือนจะแทงใจของไนล์อยู่บ้าง ผมเห็นว่าเขาเบิกตาขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ถึงจะเหมือนว่าสีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปก็ตาม แต่ผมก็จับความผิดปกตินั้นได้

ผมจ้องหน้าเขามากขึ้น และเหมือนไนล์จะเริ่มไขว้เขวไปเล็กน้อยเมื่อถูกผมจ้องตา เขาถึงได้กลอกตาหนีไปด้านข้างหน่อยๆ ไม่ให้ดูเหมือนว่าเขากำลังเลี่ยงผมอย่างโจ่งแจ้ง แม้ว่าเขาจะแสดงท่าทีนิ่งเฉยราวกับไม่สะทกสะท้าน แต่ว่าผมจับเขาได้แล้ว ผมจึงโจมตีเขาต่อไปโดยการยื่นหน้าและจ้องเขาให้มากขึ้นอีก

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเสียงของไนล์หลุดออกมา แล้วพนักงานก็นำขนมมาเสิร์ฟพอดี ผมจึงต้องผละห่างจากเขาและมองแพนเค้กสีน้ำตาลเข้มหน้าตาน่ากินซึ่งเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวนิลา วิปปิ้งครีม และสตรอเบอร์รี่แทน น้ำในแก้วที่นำมาเสิร์ฟพร้อมกันมีสีใสด้านบน ขณะที่ด้านล่างเป็นสีฟ้าสวย ยิ่งกระตุ้นให้เมนูที่ไนล์สั่งมายิ่งน่ากินมากขึ้น

“ฉันสั่งน้ำตามใจตัวเอง นายคงกินได้ใช่ไหม”

“ยังไงก็ได้อยู่แล้ว”

เหมือนถูกช่วยชีวิตเอาไว้ให้รอดพ้นจากสถานการณ์เมื่อครู่ ไนล์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ทำให้ผมพลาดโอกาสที่จะเล่นงานเขา แต่ก็ไม่ได้แย่นักหรอกครับ เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้ว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่เปลี่ยนไป แต่ไนล์ก็มีปฏิกิริยาอะไรกับผมบ้างแล้ว ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกดีอยู่ในใจ ก่อนผมจะนึกได้ หยิบกระเป๋าเงินออกมาเพื่อจ่ายค่าขนมครึ่งหนึ่งและยื่นให้ไนล์ แต่ว่าเขาไม่รับ

“นายจ่ายค่าข้าวแล้ว ค่าขนมนี่เดี๋ยวฉันจ่ายเอง”

ในเมื่อเขาออกปาก ผมจึงไม่อยากขัดเขาเพื่อให้เราต้องโต้เถียงกัน เพราะตอนที่ผมออกตัวว่าจ่ายค่าข้าวให้ ผมก็ต้องหาเหตุผลหลายอย่างมาเกลี้ยกล่อมเขาให้ยอม ผมเก็บกระเป๋าเงินกลับเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเปลี่ยนมาจับมีดและส้อมเพื่อตัดแพนเค้กช็อกโกแลตเป็นชิ้นพอดีคำ พลางปาดไอศกรีมสีอ่อนและวิปครีมมาโปะลงบนแผ่นแป้งนั้นก่อนจะส่งเข้าปาก

รสชาติที่สัมผัสได้ทำให้ผมยิ้มเบาๆ เพราะมันถูกปากผมไม่น้อย ผมจึงตัดอีกชิ้นหนึ่งก่อนจะนำเข้าปากอย่างพอใจและคิดว่าไนล์ก็คงไม่ต่างกัน ผมชำเลืองมองเขานิดๆ ก็เห็นว่าเขาอมยิ้มน้อยๆ เมื่อเคี้ยวขนมที่ไม่ได้มีรสชาติหวานจนเกินไปอยู่ในปาก

เรานั่งกินขนมบนจานใบใหญ่นั้นจนหมดในช่วงเวลาอันรวดเร็ว ก่อนไนล์จะยกแก้วน้ำขึ้นมาดูดหลังจากผสมให้ชั้นสีทั้งสองเข้าด้วยกันมาพักหนึ่งแล้ว ก่อนจะยื่นแก้วให้กับผม ผมก็รับมันมาดูดต่อจากเขา พลางมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามไปด้วย จากนั้นผมก็วางแก้วที่ยังมีน้ำสีฟ้าหลงเหลืออยู่ลงบนโต๊ะ

มือของผมยื่นออกไปแตะที่มุมปากของไนล์เบาๆ แล้วปาดคาบสีน้ำตาลเข้มออก ช็อกโกแลตที่ถูกราดบนแพนเค้กเลอะอยู่ตรงนั้นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัว ทว่าการกระทำของผมดูเหมือนจะทำให้ไนล์ตกใจหน่อยๆ เขาตะลึงไปนิด เพราะคาดไม่ถึงว่าผมจะทำแบบนี้แทนที่จะบอกเขา ผมเองก็ไม่ได้นึกเอะใจกับการกระทำของตัวเอง

ร่างกายของผมขยับไปเองตามสันชาตญาณ เพราะผมก็เคยทำกับไฮยีนอยู่หลายครั้งเวลาเห็นมันกินแล้วปากเลอะ ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เป็นเรื่องธรรมดาระหว่างผมกับยีน ทว่าในเวลาผมกลับรู้สึกตัวแล้วว่ามันผิดจากที่เคยรู้สึก

จากตอนแรกที่ไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อเห็นว่าไนล์แสดงอาการออกมา แม้จะเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึกก็ตาม มันก็พานทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ควรจะทำอะไรแบบนี้กับคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทอย่างไอ้ยีน หรือไอ้กัสกับไอ้เคลม แต่ผมก็ทำไปแล้ว มิหนำซ้ำยังไม่คิดว่ามันแย่เสียอีกที่เผลอทำอะไรแบบนี้กับไนล์

ผมมองคราบช็อกโกแลตบนนิ้วของตัวเองที่เปื้อนอยู่นิดหน่อยพลางมองหน้าไนล์อีกรอบ เขาก็มองหน้าผมเหมือนไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อ ผมจึงเป็นฝ่ายยื่นมือเข้าไปหาเขาอีกครั้ง และเช็ดที่มุมปากให้อีกรอบหนึ่งพลางยิ้มให้บางๆ

“ปากนายเลอะ ช็อกโกแลต”

ดั่งจะช่วยให้สติของไนล์คืนกลับมา เขากะพริบตาเบาๆ สองครั้งก่อนจะหยิบทิชชูที่ทางร้านให้มาเช็ดที่มุมปากของตัวเอง ราวกับกลัวว่าผมจะเผลอไปแตะต้องเขาเป็นรอบที่สาม ซึ่งมันก็ทำให้ผมยิ้มได้อีกรอบ ก่อนจะหยิบทิชชูอีกแผ่นมาเช็ดมือที่เปื้อน แล้วหยิบแก้วน้ำใบเดิมยื่นไปทางไนล์ที่เช็ดปากเสร็จแล้ว

“ดื่มน้ำอีกไหม”

“ไม่แล้ว นายกินไปเถอะ”

เขาว่าอย่างนั้นผมก็ไม่ปฏิเสธ ดูดน้ำในแก้วจนหมดและวางแก้วลง เราเตรียมออกจากร้านกันเพื่อจะได้กลับ เพราะตอนนี้ก็สามทุ่มแล้ว ทว่าก่อนจะได้ลุกจากเก้าอี้เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังเสียก่อน พวกเราจึงชะงักกันทั้งคู่ ผมมองหน้าไนล์เล็กน้อยคล้ายกับส่งสัญญาณบอกเขาทางแววตาว่าขอรับโทรศัพท์ก่อน แล้วจึงค่อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่เมื่อหยิบมันออกมาดูชื่อคนที่โทรเข้ามาแล้วผมก็ต้องนิ่งค้างไปชั่วครู่ ชื่อที่ปรากฏอยู่เป็นชื่อที่ผมไม่เคยคิด

“ครับ... พี่ดาหลา”

ผมเคยแลกเบอร์กับพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวมาก่อนหน้านี้ แต่เราทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่เคยโทรศัพท์หากันสักครั้ง แม้ว่าผมจะส่งข้อความไปหาพี่เขาบ้างและเขาตอบกลับมาบ้าง ทว่าส่วนมากก็เป็นผมที่เริ่มก่อนทั้งนั้น มันจึงทำให้ผมแปลกใจ

ผมเหลือบมองไนล์เล็กน้อยหลังจากกรอกเสียงลงไปโดยมีชื่อของคนที่อยู่อีกฟากของโทรศัพท์ อยากรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ไนล์ก็ยังคงนิ่ง ถึงกระนั้นผมก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้นิ่งอย่างที่แสดงออกมา อาจจะเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองของผมก็ได้ที่รู้สึกว่าเขาสนใจบทสนทนาระหว่างผมกับพี่ดาหลา แต่ก็แน่ล่ะ ในเมื่อเขาเป็นคนพูดออกมาจากปากเองว่าเขาไม่อยากให้ผมใกล้ชิดกับผู้หญิงคนนี้

[กราฟ ขอโทษนะที่พี่โทรมารบกวน คือ... พี่จะถามว่า พรุ่งนี้เราเจอกันได้ไหม]

“พรุ่งนี้เหรอครับ”

ค่อนข้างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากๆ สำหรับผม ที่อยู่ๆ พี่ดาหลาก็นึกอยากเจอผมขึ้นมา ถึงขนาดว่าโทรศัพท์มาถามกันแบบนี้ มิหนำซ้ำเสียงของเธอก็ดูจะกล้าๆ กลัวๆ เหมือนวิตกกังวลหน่อยๆ ว่าผมจะปฏิเสธหรือเปล่า

พอได้ยินแบบนี้ ใครจะอยากปฏิเสธจริงไหมครับ ยิ่งสำหรับผมที่อยากจะใกล้ชิดกับเธอมาตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว มันก็ยากจะหักหาญน้ำใจเธอ ผมจึงตอบตกลงด้วยความรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยที่ได้รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะได้เจอกัน ทว่าความรู้สึกเหล่านั้นของผมก็มลายไปทันควันเมื่อเสียงโทรศัพท์ของไนล์ดังขึ้นบ้าง

ผมละความสนใจจากเสียงที่กรอกผ่านหูโทรศัพท์ซึ่งแนบอยู่กับหูของผมเองทันที แล้วจับจ้องคนตรงหน้าที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย หูของผมแทนที่จะฟังเสียงที่อยู่ใกล้และได้ยินชัดที่สุดกลับกลายเป็นรับเอาแต่เสียงซึ่งอยู่ห่างออกไป พยายามจับใจความและขบคิดว่าปลายสายที่ผมไม่ได้ยินกำลังพูดเรื่องอะไร

“พี่เมย์เหรอครับ”

เพียงแค่ประโยคแรกที่หลุดมาจากปากของไนล์ก็ทำให้ผมมุ่นคิ้วเข้าหากันได้แล้ว ชื่อผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับคนก่อนๆ กระตุ้นความสงสัยของผมได้เป็นอย่างดี

“พรุ่งนี้? วันอื่นไม่ได้เหรอครับ”

ผมเกือบดีใจอยู่แล้วที่ไนล์เหมือนจะปฏิเสธคำชวนของอีกฝ่าย ถึงผมจะไม่รู้ก็ตามว่าคนในโทรศัพท์ของไนล์พูดว่าอย่างไรแต่น่าจะเป็นอย่างนั้น อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าไนล์อยากจะไปขัดขวางผมกับพี่ดาหลามากกว่าจะออกไปกับผู้หญิงคนไหน แต่แล้วมันก็เป็นแค่การ ‘เกือบ’ เท่านั้น

“เหรอครับ งั้นก็ได้ครับ”

“...”

แล้วมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ในใจกับคำพูดสุดท้าย เหมือนมีอะไรจี๊ดๆ อยู่ในหัวใจของผมหลังจากได้ยินมัน

“ครับ ผมก็คิดถึงพี่ เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”

ไนล์วางสายไปแล้ว เขาหันกลับมามองหน้าของผมนิดหน่อย พลอยให้ผมรู้สึกตัว ผมดึงสติกลับมาหาคู่สนทนาของตัวเอง แต่ก็เพิ่งรู้ว่าพี่ดาหลาวางสายไปแล้วเช่นกัน ผมไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าเธอบอกสถานที่นัดพบของเราว่าเป็นที่ไหน ผมจึงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงเช่นเดิม ก่อนจะนั่งเงียบอยู่ชั่วครู่พลางมองไปทางอื่น

จากตอนแรกที่ว่าจะเดินออกจากร้าน เราทั้งสองคนก็ยังคงนั่งอยู่เฉยๆ แบบนั้น ผมตรึกตรองอยู่ในใจว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี อยากรู้ว่าเขามีนัดกับใคร ไปที่ไหน เพราะอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะถามแบบไหน หรือควรจะถามหรือเปล่าด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าผมมีสิทธิ์อะไรที่จะทำแบบนั้น ทว่าสุดท้ายแล้วผมก็ยอมเกริ่นเสียงออกมา อย่างน้อยก็คิดว่าสถานการณ์มันน่าจะดีกว่านี้มั้ง

“พรุ่งนี้... มีนัดเหรอ”

ผมเบี่ยงหน้ากลับมาถามไนล์ เขาเองก็มองหน้าผมเช่นกัน เราสบตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเสียงของไนล์จะตอบกลับมาสั้นๆ ‘อืม’ ไม่ดัง คล้ายกับเขาครางเสียงในลำคอมากกว่าจะตอบผมอย่างชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งมันก็ทำให้ผมเริ่มหลุดออกจากความยั้งคิด

“แต่พรุ่งนี้ฉันนัดกับพี่ดาหลา”

หลุดเสียงไปแล้วผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองโง่งี่เง่าเหลือเกิน ผมชะงักมองหน้าไนล์ค้างอยู่อย่างนั้นเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก ไนล์ก็ยังมองผมกลับมาคล้ายกับจะถามว่า ‘แล้วยังไง’ พานให้ผมยิ่งอยากจะทึ้งหัวตัวเอง ที่คิดจะเอาชื่อของพี่ดาหลามาเหนี่ยวรั้งให้เขาเปลี่ยนใจ มาก่อกวนผมกับพี่ดาหลาแทนที่จะออกไปกับใครก็ไม่รู้

ความเงียบเข้ามาปกคลุมจนผมรู้สึกว่าบรรยากาศมันอึมครึมขึ้นมา เพราะการพลั้งเผลอทำอะไรโดยไร้สติของตัวเอง ทั้งที่ปกติแล้วผมไม่เคยเป็น ผมโดนไนล์ปั่นหัวจนไม่เป็นตัวเองอีกครั้งอย่างง่ายดายจนรู้สึกว่าผมช่างไม่เอาไหน ผมจึงตัดสินใจลุกจากเก้าอี้และเดินออกจากร้านมา ซึ่งไนล์ก็ลุกและเดินตามผมมาที่รถ

แม้จะขึ้นรถมาแล้ว ระหว่างเราก็ยังเต็มไปด้วยความเงียบ กระทั่งผมขับรถออกจากบริเวณของห้างสรรพสินค้าแล้ว เสียงของไนล์จึงดังขึ้นเบาๆ ในสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมา เพราะผมคิดว่าเราจะต้องทนอึดอัดกับบรรยากาศแบบนี้ไปจนถึงแมนชั่นของเขา

“วันนี้ฉันจะค้างกับนาย”

ผมชะงักรถเล็กน้อยอย่างอัตโนมัติเพราะตั้งสติไม่ทัน ก่อนจะหันมองหน้าเขาราวกับจะถามหรือต้องการหาคำตอบจากคำพูดเมื่อครู่ของเขาก็ไม่แน่ใจ สบมองนัยน์ตาที่สะท้อนภาพของผมอยู่โดยไม่มีแววใดๆ เป็นพิเศษนอกจากการยืนยันคำพูดของเขาเอง ซึ่งมันก็ทำให้เขาผมตีความหมายเข้าข้างตัวเองไปว่าเขาอยากจะอยู่กับผมในคืนนี้

ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แต่ผมจะถือว่านั่นเป็นโอกาสได้หรือเปล่า

ผมคาดหวัง...

จุดหมายปลายทางในใจของผมเปลี่ยนแปลงจากคราวแรกที่เคลื่อนรถออกมาจากอาคารใหญ่ ผมเปลี่ยนทิศทางไปยังคอนโดของผมแทนตามที่ไนล์บอกโดยไม่คิดปฏิเสธ จอดรถที่ชั้นจอดรถประจำก่อนจะเข้าห้องของผมไป ผมให้ไนล์เข้าไปอาบน้ำก่อนเหมือนเคย และใส่เสื้อผ้าของผมที่ผมเตรียมไว้ให้

เราต่างทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีโทรศัพท์สายเมื่อครู่เข้ามาก่อกวนให้ต้องระคายใจ ทั้งที่ในใจของผมเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจเมื่อนึกถึงมัน ผมเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับมาทอดสายตามองคนที่นั่งอยู่บนเตียงอีกครั้ง ไนล์นั่งอยู่เฉยๆ ทอดสายตาไปเรื่อยเปื่อยเหมือนทุกทีจนผมรู้สึกข้องใจว่าเขาทนใช้ชีวิตแบบนี้ได้ยังไง

ถึงผมจะไม่ใช่คนขี้เบื่อเหมือนเพื่อนๆ ในกลุ่ม ที่ชอบออกไปเที่ยวเล่นหรือควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่ผมก็ไม่คิดว่าผมจะทนได้หากต้องนั่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย แค่หายใจทิ้งไปเรื่อยๆ รอให้เวลาเดินไปมันเป็นเรื่องยากสำหรับผม แต่กลับเป็นเรื่องง่ายสำหรับไนล์

“จะนอนเลยหรือเปล่า”

นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มแล้ว ถึงมันจะน่าเสียดายที่เขามานอนที่ห้องของผมแล้วแทนที่ผมจะได้ทำอะไรเป็นพิเศษร่วมกับเขาอย่างที่คาดหวังเอาไว้ในใจว่าอาจจะทำให้ไนล์เปลี่ยนใจ ไม่ออกไปกับผู้หญิงที่ชื่อเมย์ แล้วไปกับผมในวันพรุ่งนี้แทน หรืออย่างน้อยๆ ก็ห้ามปรามไม่ให้ผมไปกับพี่ดาหลา ทว่าผมก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรให้เขาเปลี่ยนความตั้งใจนั้น

ไนล์เป็นคนที่คาดเดาได้ยากเกินไป

“อืม”

เขาตอบผมแค่นั้นก่อนล้มตัวลงนอนราวกับไม่สนใจว่าผมจะรู้สึกอย่างไร ความคิดเข้าข้างตัวเองและความหวังของผมพังทลายหลังจากได้ยินแบบนั้น มันเหมือนกับว่าเขาก็แค่จะมาค้างที่นี่ ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษแม้แต่น้อย เป็นผมเองที่คิดไปเองคนเดียว

ผมเดินไปปิดไฟที่ประตูห้องก่อนจะเดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง หย่อนตัวลงช้าๆ พลางถอนหายใจออกมาให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เขารู้ว่าผมผิดหวัง และผมก็คิดไม่ออกเช่นกันว่าควรจะพูดอะไรมากเกินไปกว่านี้ในเมื่อเขาไม่มีท่าทียี่หระกับผมเลย ผมได้แต่นอนลืมตามองเพดานห้องที่ว่างเปล่าฝ่าความมืดที่ค่อยๆ ชินตาทีละน้อย

ทว่าแรงยวบจากที่นอนก็ทำให้ผมที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองต้องเบี่ยงหน้ามาทางด้านข้างซึ่งมีใครอีกคนอยู่ด้วยเล็กน้อย ระยะห่างระหว่างผมกับไนล์ที่กว้างหนึ่งช่วงแขนหดสั้นลงเพราะการขยับตัวของเขา ผมเห็นกรอบเงานั้นค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ทีละนิดท่ามกลางความเงียบ

ช่องว่างที่กั้นเราสองคนเอาไว้หดเล็กลงทุกที ในตอนนี้เหลือเพียงแค่คืบสั้นๆ ที่ขวางผมกับไนล์ ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ นอกเหนือจากละมือที่วางอยู่บนหน้าท้องของตนเองลงไปวางข้างตัว และเหมือนเขาจะรู้ เพราะหลังจากผมทำแบบนั้น ไนล์ก็วางมือของเขาลงข้างๆ ผม

ผมรู้สึกว่ามือของเราสองคนอยู่ห่างกันเพียงไม่ถึงนิ้ว เรายังคงนิ่งเฉยต่อกันหลังจากนั้น ผมนอนมองความมืดเบื้องหน้า ไม่กล้าหันไปมองเขาเพื่อหาคำตอบให้ตัวเองว่าตอนนี้เขากำลังหันมามองทางผม หรือมองเพดานอย่างไร้อารมณ์ และผมก็ไม่กล้าคาดหวังให้เป็นอย่างแรก ผมกลัวว่าผมจะเผลอคิดอะไรไปเองทั้งที่เขาอาจจะแค่อยากจะหาตำแหน่งที่นอนแล้วสบายตัวที่สุด

ความเงียบงันยังแผ่ปกคลุมให้ผมเริ่มอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจผ่อนออกมาจากจมูกของผมค่อนข้างยากลำบากมากขึ้นทุกที ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าความอยากรู้ไม่เข้าใครออกใคร แต่ผมก็พยายามกดเก็บมันเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ผมไม่สามารถข่มตาหลับได้ในขณะที่ในหัวของผมยังเต็มไปด้วยความอยากรู้ ผมจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยก็เพื่อให้ผมได้คำตอบไม่ว่ามันจะเป็นคำตอบอย่างที่ผมต้องการหรือไม่

มือของผมเลื่อนช้าๆ คืบคลานเข้าหาส่วนเดียวกันของอีกคนอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ผมก็อาศัยความรู้สึกที่รับรู้ได้ ค่อยๆ เขยื้อนเข้าหาจนกระทั่งมันไปวางทับอยู่บนมือของไนล์ได้ ทว่าเพียงแตะเบาๆ ที่มือนั้นผมก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวน้อยๆ

ไนล์ขยับมือของเขาเช่นกัน ก่อนจะพลิกมันกลับมาเป็นด้านที่สามารถรองรับมือของผมได้มากกว่า คล้ายกับเขาก็รอให้ผมจับมือของเขาเอาไว้ ผมจึงบิดมือเล็กน้อยและวางมันลงในตำแหน่งที่เหมาะเจาะกว่าเดิม ค่อยๆ ประสานมือของเราเข้าด้วยกัน โดยที่ไนล์ก็กระชับมือของเราให้กุมกันแนบแน่นกว่าเดิม

วินาทีนั้นผมรู้สึกว่าหัวใจของผมเต้นแรง... และเผลอคิดไปว่าเขาก็รอคอยผมอยู่ใช่ไหม

เขาคิดเหมือนกับผมอยู่ใช่หรือเปล่า?

ช่วยไม่ได้ที่ในเวลานี้ผมอยากจะหันกลับไปมองหน้าของเขาว่ากำลังเป็นแบบไหน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคงไม่มีสีหน้าอะไรให้ผมได้ยืนยันว่าเขาก็รู้สึกเหมือนกันว่าเขาไม่อยากให้ผมไปกับพี่ดาหลา ทว่าผมก็อดไม่ได้อยู่ดี

ผมเบือนหน้าไปทางไนล์อย่างเชื่องช้าราวกับกลัวว่าเขาจะรู้ตัวอย่างไรอย่างนั้น และทันทีที่สายตาของผมเปลี่ยนจุดโฟกัสใหม่ ก็ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงมากกว่าเดิม เพราะเมื่อหันไป ผมก็เห็นว่าเขาเบี่ยงหน้ามามองผมอยู่ก่อนแล้ว

เราต่างมองตากันทั้งที่ภายในห้องมืดมิด ทว่าผมกลับมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน ขณะที่เขาเองก็คงไม่ต่างกัน ความมืดไม่สามารถบิดเบือนสายตาของเราสองคนในเวลานี้ได้ ผมพยายามส่งสายตาโดยไร้คำพูดใดๆ ว่าความปรารถนาของผมคืออะไร และหากว่าผมไม่เข้าใจผิดไปเอง เขาก็กำลังสื่อสารในสิ่งเดียวกันกับผม

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ห้องทั้งห้องยังคงเงียบสงัด ไม่มีใครเปล่งเสียงออกมา มีเพียงแววตาที่สะท้อนออกมาถึงความหมายบางอย่างที่ต่างก็รับรู้ได้ เราไม่ละสายตาออกจากกันแม้แต่วินาที ราวกับกลัวว่าหากทำแบบนั้นความพยายามในการสื่อสารโดยไร้คำพูดจะยุติลงอย่างไร้ผล

ทว่าสุดท้ายก็เป็นผมที่พ่ายแพ้ ผมไม่สามารถสบตากับเขาอยู่อย่างนี้ต่อไปได้ ผมอยากให้เขารู้ว่าผมต้องการอะไรได้ชัดเจนมากกว่านี้ แต่มันก็ยากเหลือเกินที่จะพูดออกมา ทั้งที่ผมไม่ใช่คนปากหนัก แต่เวลานี้ผมกลับรู้สึกว่าผมอยากให้เขารู้ว่าผมรู้สึกอย่างไรโดยไม่ต้องใช้คำพูด อยากให้เขารู้จักการสัมผัสความรู้สึกของผมจริงๆ

ผมขยับตัวเข้าหาไนล์เป็นครั้งแรก ก่อนจะพลิกตัวเข้าหาและดึงเขามากอดเอาไว้ ซึ่งไนล์ก็ไม่ได้ผลักไสผมแต่อย่างใด เขาอยู่นิ่งๆ ชั่วครู่ก่อนจะวาดแขนขึ้นกอดผมตอบและขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้เข้าที่เข้าทางมากกว่าที่เป็นอยู่พลางซบหน้าเข้าหากับอกของผม ผมจึงกระชับร่างผอมบางให้มากขึ้น รับรู้ได้ถึงไออุ่นจากผิวเนื้อและร่างกายของเขา ร่างกายที่มีชีวิต ไม่ได้ซีดจางและอาจจะค่อยๆ อันตรธานหายไปอย่างที่มองเห็นจากภายนอก

มันทำให้ผมรู้สึกอุ่น...









อ่านต่อด้านล่าง

v


v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน


v


v





แม้จะเป็นวันหยุด แต่ว่าเราก็ไม่ได้ตื่นสายนัก ผมกับไนล์ตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน มันรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่ามีใครอยู่ในวงแขนและคนคนนั้นไม่ใช่ไฮยีนแต่กลับเป็นอีกคนที่ผมต้องยอมรับกับตัวเองว่าทำให้ผมสับสนว่าผมกำลัง...ชอบเขา

หรือแค่สนใจ?

ไนล์กะพริบตาสองสามครั้งก่อนจะละมือที่กอดผมเอาไว้หลวมๆ จากเมื่อคืนขึ้น ขยี้ตาเบาๆ ชวนให้ผมเผลอยิ้มนิดๆ กับท่าทางแบบนั้น เพราะมันไม่เหมือนกับไนล์ที่ปกติมักจะไม่แยแสกับอะไร และไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ในตอนนี้เขาเหมือนคนทั่วๆ ไป และมันก็ทำให้ผมอยากเห็นเขาในลักษณะอื่นๆ อีก

ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังโลภ

กายแบบบางชันตัวขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า สีหน้าที่ดูไร้เดียงสาตอนลืมตาตื่นขึ้นมาแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบเฉย เขามองผมนิดๆ ขณะที่ผมดันตัวขึ้นนั่งเช่นกัน เสียงติดแหบเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่นนอนดังขึ้นถามผม

“นายจะอาบก่อน หรือให้ฉันอาบก่อน”

“ฉันอาบก่อนแล้วกัน นายทนหิวสักสองชั่วโมงได้ไหม ฉันจะกลับบ้านก่อน”

นึกได้ว่าวันนี้ผมจะไปหาแม่เลยกะว่าจะกลับไปบ้านก่อน แล้วค่อยกลับมาที่คอนโดพร้อมกับอาหารมื้อเช้าที่ค่อนไปทางสายสักหน่อย เพราะผมอยากให้เขาได้กินอาหารดีๆ นอกเหนือจากอาหารจานเดียวที่กินอยู่เป็นประจำบ้าง และคิดว่าเขาน่าจะชอบอาหารจากรสมือของแม่ผม

“ก็...ได้”

ไนล์หันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียงเพื่อคำนวณให้แน่ใจว่าสองชั่วโมงที่ผมให้เขารอจะยาวนานแค่ไหน เมื่อเห็นว่ามันไม่เกินเที่ยงก็เอื้อนเสียงตอบกลับมา ผมจึงลุกจากเตียงมาแล้วเข้าไปจัดการกับตัวเองในห้องน้ำ จากนั้นออกมาแต่งตัวที่ด้านนอกอีกครั้ง พลางหันไปบอกไนล์ที่ยังไม่ขยับเขยื้อนกายออกจากเตียงนอนของผม

“นายรออยู่ที่นี่นะ”

“ไว้ใจฉันหรือไง”

เขาถามคำถามที่ผมไม่ทันคิดอีกแล้ว แต่ผมก็ระบายยิ้มนิดๆ กับสิ่งที่เขาถาม เพราะไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวเลยสักครั้ง

“ยกอะไรได้ก็เอาไปเลย”

ผมตอบแบบขำๆ เขาก็มองหน้าผมเหมือนตะลึงหน่อยๆ ถึงใบหน้าจะเรียบเฉยไม่ต่างไปจากเดิม แต่ผมรู้สึกว่าเขากำลังรู้สึกแบบนั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเซนส์ของผมก็ได้ล่ะมั้ง ผมหยิบนาฬิกาข้อมือมาใส่ก่อนจะบอกเขาอีกครั้ง

“ฉันจะรีบกลับมา นายจะได้ไม่ต้องทนหิวนานๆ”

สิ้นเสียงของผมแล้ว ผมก็สาวเท้าออกจากห้องไปโดยเร็วที่สุดตามที่บอกเขาเอาไว้และไม่ลืมหยิบป๊อปคอร์นที่ผมตั้งใจซื้อไปฝากแม่ติดมือไปด้วย ผมมุ่งตรงไปยังบ้านของตัวเองที่นานๆ จะกลับไปที โดยเฉพาะพักนี้ที่ผมแทบไม่ได้กลับเลยเพราะเอาแต่ขลุกอยู่กับไนล์ ดังนั้นพอถึงบ้าน แม่ก็ทำสีหน้าประหลาดใจทันที

“แม่ตาฝาดหรือเปล่าที่เห็นกราฟ”

“แม่ครับ กราฟไม่ได้กลับบ้านนานจนแม่จำหน้ากราฟไม่ได้เลยเหรอครับ”

ผมเข้าไปกอดแม่แน่นๆ ให้สมกับความคิดถึง และเพื่อยืนยันให้แม่แน่ใจด้วยว่าลูกชายกลับมาถึงบ้านแล้วจริงๆ ซึ่งแม่ก็หอมแก้มผมแรงๆ ไปฟอดใหญ่ก่อนจะปล่อยออกมา

“กราฟมีของมาฝากแม่ด้วยครับ ของที่แม่ชอบเลย”

บอกแบบนั้นแล้วผมก็ยื่นของที่ว่านั้นให้กับแม่ ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนหน้าของแม่ได้มากกว่าเดิม แม่ดึงหน้าของผมเข้าไปหอมแรงๆ อีกครั้งอย่างดีใจ แล้วจึงยอมปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระ ผมหุบยิ้มไม่ได้ที่ได้รับความรักจากแม่มากขนาดนี้ แต่ก็ไม่ลืมจุดประสงค์ของตัวเอง

“วันนี้มีอะไรเหลือให้กราฟกินบ้างไหมครับ”

เพียงเท่านั้น ผมก็ถูกตีที่แขนเบาๆ แม่ทำหน้าน้อยใจใส่พลางถาม ‘นี่กลับมาบ้านเพราะคิดถึงแต่อาหารอย่างเดียวเหรอ’ จนผมต้องยื่นแขนไปกระชับร่างนุ่มนิ่ม ให้แม่หายงอน

“กราฟก็คิดถึงแม่ด้วยไงครับ ไม่อย่างนั้นจะซื้อของชอบแม่มาฝากเหรอ อย่างอนนะครับ”

“ก็ได้ๆ นี่เห็นแก่ว่ากราฟอ้อนแม่นะ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีอะไรให้กินแล้วล่ะ กราฟมาเสียสายเลย แถมยังไม่โทรมาบอกแม่ก่อนด้วยว่าจะเข้ามาบ้านวันนี้”

“ถ้าอย่างนั้น...” ผมหยุดเสียงลงนิดนึง เพราะรู้ว่าเป็นการรบกวนแม่ แต่เมื่อนึกถึงคนที่กำลังรออยู่ที่คอนโดแล้ว ผมก็จำต้องพูดออกมา “แม่ช่วยกราฟทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่างสำหรับสองคนได้ไหมครับ”

ทว่าคำขอนั้นดูเหมือนจะผิดปกติเกินไปสำหรับผม แม่จึงหรี่ตามองผมราวกับจะจับผิด และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเก้อกระดากอยู่สักหน่อยจนต้องกลอกตาหนีสายตาของคนที่ผ่านโลกมามากกว่า พลางต่อประโยคของตัวเองเบาๆ ประหนึ่งคนทำผิด

“กราฟจะเอาไปกินกับเพื่อนที่คอนโดน่ะครับ”

“เพื่อน...”

แม่ย้อนเสียงคล้ายกับจะถาม เพราะคงรู้ว่าผมไม่ได้หมายถึงไอ้ยีน หรือไอ้กัส ไอ้เคลมอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นผมคงพามากินที่บ้านแล้ว ผมจึงไม่กล้าเผชิญหน้าแม่ ทั้งที่มันก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ผมกลับคิดว่าหลบเลี่ยงน่าจะดีกว่า

“ครับ”

“คนนี้คงสำคัญมากใช่ไหม กราฟถึงได้อยากเอาอาหารของแม่กลับไปกินกับเขา”

แม้จะได้ยินแต่เสียง ไม่ได้หันไปเผชิญหน้า แต่ผมก็รู้ว่าแม่กำลังยิ้ม ซึ่งมันก็ทำให้ผมปิดบังต่อไปไม่ค่อยได้ เพราะรู้แล้วว่าแม่จับได้ จึงต้องสารภาพไปตามตรง

“ก็... กำลังสนใจมากกว่าคนอื่น......”

ผมหันกลับมาสบตากับแม่และพูดอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะยังไม่ชัดเจนถึงความรู้สึกของตัวเอง แต่ก็ไม่คิดจะโกหกหรือปิดบังว่าตนเองรู้สึกอย่างไร แต่แม่ก็เข้าใจและระบายยิ้มให้ผมเหมือนท่านจะยินดีด้วยซ้ำที่ผมมีความรู้สึกแบบนี้อีกครั้ง เพราะนับตั้งแต่เสียมิ้นไป ผมไม่เคยมีความรู้สึกพิเศษให้กับใคร และไม่เคยมีใครสำคัญสำหรับผมอีก นอกจากเพื่อนๆ ทั้งสามคนของผม

“ถ้าสรุปได้แล้วว่าเขาพิเศษกับกราฟจริงๆ ก็พามาที่บ้านบ้างนะ แม่อยากเจอคนที่ทำให้กราฟมีความสุขอีกครั้ง”

แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่พิเศษอะไร แต่ก็ทำให้ผมซาบซึ้งจนรู้สึกว่าตาชื้นขึ้นมาเล็กน้อย รับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีที่แม่มีต่อผม และอยากให้ผมได้หลุดพ้นจากบาดแผลในอดีตเสียที 







================
เหมือนจะผูกพันกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนหน้าน่าจะมีอะไรที่ให้ติดตามมากขึ้นนะคะ

สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ



Undel2Sky



ออฟไลน์ Cappello

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ชอบคู่นี้จังเลย  o13
อยากให้เป็นแฟนกันแล้วววว 55555
สู้ๆนะคร้าบบ ติดตามจ้า :mew1:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
อืม....ค่อยๆเรียนรู้กันไปเนอะ

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
อ่านแล้วลุ้นตามเลย เพราะไม่รู้ว่ากราฟคิดแบบนี้แต่ไนล์คิดอะไร
แล้วส่วนใหญ่ก็จะคาดเดาสิ่งที่ไนล์แสดงออกมาไม่ถูกซักที ว่าทำไม ยังไง
เลยกลัวว่ากราฟจะเป็นฝ่ายเผยความรู้สึกตัวเองออกไปเยอะเกินรึเปล่า
แต่คราวนี้ไนล์กลับมีปฏิกิริยาตอบรับที่ทำให้ดีใจไปกับกราฟเลยอะ เขิน ตื่นเต้นตามเลยนะเนี่ย
แค่ได้นอนกอดกันก็รู้สึกถึงความผูกพันที่มากขึ้นมาก ๆ  จนแอบกลัวว่าพอกราฟกลับไปไนล์จะหายไปอีกรึเปล่า
เพราะยังมีพี่ดาหลากะพี่เมย์ที่ยังไม่รู้จะมีผลอะไรกะความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นของกราฟและไนล์อะสิ
ถ้ากราฟกะไนล์ต้องแยกกันไปตามนัด คงไม่มีอะไรเลวร้ายหรอกนะ
อยากให้ไนล์กะคุณแม่ของกราฟเจอกันเร็ว ๆ จัง อยากรู้ว่าไนล์จะทำตัวน่ารักยังไงต่อหน้าคุณแม่น๊า
รอติดตาม และบวก บวก เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปนะคะ  :pig4: :L2:

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
รู้สึกว่าบรรยากาศตอนอยู่ด้วยกันมันดีขึ้นอ่ะ
รู้สึกผ่อนคลาย สบายๆ

พี่ดาหลาต้องการอะไรคะ?

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 13 : ความจริง












เกรงว่าคนที่รออยู่ต้องหิ้วท้องรอนานจนเกินไป ดังนั้นหลังจากที่แม่ทำอาหารตามคำขอร้องของผมเสร็จ ผมก็ล่ำลาท่านและออกจากบ้านมา ตรงดิ่งไปที่คอนโดให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ก็เกือบเที่ยงเต็มที ผมเข้าห้องและไปยังห้องนั่งเล่นที่คิดว่าไนล์น่าจะอยู่

เป็นอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือคนที่ผมบอกให้รอ นั่งอยู่บนโซฟาและกอดกีตาร์โปร่งที่เคยอยู่ในห้องนอนของผมเอาไว้ ใบหน้าได้รูปสวยแนบลงกับริบ ดวงตาที่เคยมองผมอย่างทะลุปรุโปร่งทั้งที่มีแต่แววเลื่อนลอยถูกปิดด้วยเปลือกตา

ผมเดินเข้าไปหาไนล์อย่างช้าๆ และเบาที่สุด เพราะไม่แน่ใจว่าเขาหลับอยู่หรือแค่พักสายตาเฉยๆ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้จนเกือบประชิด ยอบตัวลงเล็กน้อย ขยับหน้าเข้าไปใกล้เขาอีกหน่อย ผมก็รู้ว่าไนล์กำลังหลับอยู่ เสียงหายใจของเขาสม่ำเสมอ ดูท่าทางสบายๆ ทำให้ผมอดที่จะเหยียดยิ้มออกมาเบาๆ ไม่ได้กับภาพที่เห็น

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไนล์จะต้องหอบกีตาร์ของผมออกมาจากห้องนอนและมากอดมันเอาไว้แบบนั้นด้วย เขาอาจจะชอบดีดกีตาร์ก็ได้ แต่ไม่กล้าเอ่ยปากขอยืมจากผม หรือ... อาจจะเป็นเหตุผลอื่นที่ผมไม่รู้

ยืนมองคนหลับอยู่ครู่ใหญ่พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนหน้าที่รู้สึกได้ กว่าผมจะคิดว่าถึงเวลาปลุกเขาแล้ว ผมยื่นนิ้วไปลูบสายกีตาร์เบาๆ เพื่อให้เกิดเสียง แต่ก็ระมัดระวังไม่ให้มันดังเกินไปจนอาจจะเกิดอันตรายกับหูของเขาที่แนบอยู่กับริบ ทว่ามันก็ดังเพียงพอที่จะทำให้คนที่ไม่ได้สติอยู่สะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ

ผมยิ้มกว้างกว่าเดิมจนเกือบหลุดเป็นหัวเราะกับท่าทางของไนล์ที่เบิกตาโพรง หันมองรอบข้างอย่างเลิ่กลั่ก นับเป็นปฏิกิริยาที่ผมคงไม่มีทางได้เห็นง่ายๆ หากอยู่ในเวลาปกติ เพราะไนล์มักจะวางท่านิ่งเฉยและไม่เคยให้อะไรเป็นจุดสนใจมากไปกว่าความเวิ้งว้างว่างเปล่าและรูปภาพที่เขาวาดเท่านั้น

“กินข้าวได้แล้ว”

ปรับสีหน้าให้ขรึมขึ้นเล็กน้อย ทั้งที่ในใจยังรู้สึกขำอยู่หน่อยๆ ผมก็เดินมา ไนล์จึงต้องตามผมมาที่โต๊ะกินข้าวอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้ต่อว่าอะไรผมที่ทำให้เขาต้องหลุดจากมาดที่เคยเป็นอยู่ และกลับมาเป็นไนล์คนเดิมอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นายไปเอาพวกนี้มาเหรอ”

ผมแกะฝากล่องอาหารที่แพ็คมาอย่างดี ก่อนจะวางลงบนโต๊ะตรงกลางระหว่างผมกับไนล์และส่งกล่องข้าวให้เขา แล้วเดินไปหยิบช้อนส้อมมายื่นให้อีกที

“กินแต่พวกอาหารจานเดียวทุกวันๆ มันน่าเบื่อออก แล้วฉันก็แน่ใจว่าอาหารที่ฉันเอามาอร่อยกว่าอาหารตามร้านที่เคยๆ กินมา”

ไม่ได้บอกความคิดจริงๆ ของผมไปหรอกครับ เพราะอย่างน้อยก็ขอให้ผมได้มีมาดของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ว่าเปิดเผยความคิดไปหมดทุกอย่าง แม้ว่าจริงๆ แล้วหากตั้งใจค้นหาเหตุผลของผม มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับไนล์ ผมรู้ตัวดีว่าแค่เขาจ้องมองผม ผมก็ไม่สามารถเก็บงำความคิดอะไรของตัวเองเอาไว้ได้ต่อหน้าเขา

“มั่นใจขนาดนั้น”

ไนล์มองผมเหมือนหยั่งเชิงมากกว่าจะไม่เชื่อในคำพูดของผม เขาตักอาหารเข้าปากพร้อมกับข้าว ขณะที่ผมจับจ้องไปที่เขาเพื่อรอดูปฏิกิริยา ทว่าเขาคงรู้ว่าผมรอคำตอบของเขา ถึงได้ไม่ยืนยันคำพูดของผม แต่เปลี่ยนเป็นคำถามแทน

“แล้วนายไปเอามาจากไหน”

“ที่บ้าน ฉันขอให้แม่ช่วยทำให้”

คำตอบของผมทำให้ไนล์ชะงักมือที่กำลังจะนำช้อนเข้าปากอีกรอบ และจ้องผมมากยิ่งขึ้น ผมจึงเป็นฝ่ายตักข้าวเข้าปากแทนและเคี้ยวจนหมดปาก แต่ว่าไนล์ก็ยังไม่เปลี่ยนท่าทางไปจากเดิม เขายังถือช้อนค้างไว้แบบนั้น ตาเรียวสีดำนั่นสะท้อนภาพของผมโดยไม่เปลี่ยนเป็นภาพอื่น

“ไว้วันหลังฉันจะพานายไปกินที่บ้าน”

ผมรู้สึกว่าไนล์เบิกตากว้างกว่าเดิมเล็กน้อย เดาได้ว่าเขาคงไม่ค่อยเชื่อหูของตัวเองเท่าไรที่ผมบอกเขาไปแบบนั้น ดวงตาของเขามีแววสั่นไหวเกิดขึ้นหน่อยๆ จนผมสังเกตได้

“ทำไม”

“ฉันแค่...” เสียงของเขาตีบหายไปในลำคออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะต้องบีบเสียงออกมาเป็นคำพูดอีกครั้งให้ผมได้ยิน “ไม่คิดว่านายจะ...”

“ฉันจะพานายไปที่บ้าน”

เสียงของเขาเงียบหายไปอีกคราว ผมจึงต่อประโยคนั้นให้ ซึ่งไนล์ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมา ผมจึงถือเป็นการตอบรับไปโดยปริยายและคิดว่าเขาก็ต้องการให้ผมสรุปความแบบนั้นเช่นกัน ก่อนจะบอกเหตุผลที่ไม่ได้สร้างความกระจ่างให้กับเขาเลย

“ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก”

นอกจากว่าผมอยากพาเขาไปก็เท่านั้น

ก็เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่แวะไปบ้านของผมบ้างในบางครั้ง ในตอนนี้ไนล์ก็ถือว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผมได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคงไม่แปลกที่ผมจะอยากพาเขาไปที่บ้านสักครั้ง...ก็เท่านั้นเอง

ทว่าไนล์ก็ไม่ได้ถามเพิ่มเติมอะไรนอกจากนั้น เขาเริ่มกินอาหารที่ผมนำมาจากบ้านต่อ ขณะที่ผมลอบมองท่าทีของเขาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ผมว่าตอนนี้เขาไม่ได้ทำตัวจืดจางเลื่อนลอยเหมือนอย่างทุกที

ไนล์ที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้กำลังแสดงความรู้สึก...ดีใจ

...หรือเปล่า?

ผมสังเกตไนล์ไปตลอดมื้ออาหาร ขณะที่เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมเหมือนเคย เหมือนเขากำลังเลี่ยงอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผมมั่นใจมากยิ่งขึ้นอีกว่าผมไม่ได้คิดผิด กระทั่งกินข้าวเสร็จ ผมก็นำกล่องอาหารมาล้าง ซึ่งไนล์ก็เดินมาหยุดข้างๆ ผมที่อ่างล้างจาน ตามด้วยปล่อยเสียงออกมาเป็นครั้งแรกนับจากที่ผมพูดเป็นครั้งสุดท้าย

“ฉันช่วย”

ไม่ขัดข้องหรอกครับ เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ผมจึงเป็นคนล้างด้วยน้ำยาล้างจาน ก่อนจะส่งให้ไนล์ล้างด้วยน้ำเปล่าแล้วนำไปคว่ำบนที่วางจาน ทั้งที่มันก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้มีคำพูดเกิดขึ้นระหว่างเรา แต่ผมกลับรู้สึกว่าการได้อยู่กับไนล์แบบนี้ทำให้ผมผ่อนคลายและสบายใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมเคยร้อนรนและหัวหมุนทุกๆ ครั้งที่อยู่ข้างๆ เขา แต่ตอนนี้เหมือนทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ และกำลังเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น

“ดูหนังไหม ที่ห้องนั่งเล่นฉันมีเก็บเอาไว้หลายเรื่อง”

หลังจากล้างจานเสร็จ ผมก็ชวนไนล์พลางเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นโดยมีเขาเดินมาข้างๆ กัน เพราะยังมีเวลาเหลืออยู่พอสมควรกว่าจะถึงเวลาที่พี่ดาหลานัดผม ผมโทรไปถามเธอเรื่องสถานที่และเวลานัดหมายเพื่อความแน่ใจระหว่างที่กลับมาคอนโดแล้ว ฉะนั้นเมื่อยังไม่ถึงเวลา ผมก็อยากจะอยู่แบบนี้ อยู่โดยที่มีไนล์อยู่ข้างๆ ให้นานอีกหน่อย เผื่อว่า...เขาจะรู้ว่าผมต้องการอะไรจากเขาในตอนนี้

“แล้วแต่นาย ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องหนังเท่าไร”

เขาทำให้ผมนึกได้ว่าเขาเป็นแบบนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงหนังวันนั้นหวนกลับมาในความคิดของผมอีกครั้ง ผมจึงต้องถามเขาซ้ำเพื่อความชัดเจน

“นายไม่ชอบดู?”

คำถามนั้นเรียกให้เขาหยุดฝีเท้าที่ก้าวค้างอยู่และหันมามองหน้าผมซึ่งมองไปทางเขาอยู่ก่อนแล้ว

“มันไม่จำเป็น...” ทิ้งห่างประโยคหลังไปชั่วระยะเวลาสั้นๆ เสียงของไนล์ก็เกริ่นขึ้นมาอีกคล้ายกับกำลังขบคิด “แต่ตอนนี้ดูได้”

“ทำไมล่ะ”

ผมรู้สึกว่ามีเหตุผลซ่อนอยู่ในคำตอบนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพียงแค่รู้สึก และเสียงก็หลุดออกจากปากของผมก่อนที่หัวสมองจะคิดได้เสียอีกว่าควรจะถามหรือไม่ควรถาม ซึ่งมันก็ทำให้ไนล์จ้องมองมาที่ตาของผมมากขึ้นกว่าเก่าอีกนิดอย่างเงียบเชียบ ขณะที่ผมก็มองตอบดวงตาคู่นั้นที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เรียกให้ผมเข้าไปค้นหาความจริงที่ถูกซ่อนอยู่

ปริศนามากมายที่ไนล์ปิดบังเอาไว้ ผมอยากจะหาคำตอบจนเจอทีละอย่าง

“ไม่มีเหตุผลอะไร”

แต่ดูเหมือนว่าไนล์จะไม่เปิดโอกาสให้ผมมากนัก เขายกเหตุผลเดียวกับผมมาใช้ และมันก็ทำให้ผมเริ่มสงสัย ถ้าผมเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างที่ใจของผมคิดเกี่ยวกับเขา ทั้งการกระทำและความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาในตอนนี้ เขาจะยอมเผยตัวตนจริงๆ ของเขาออกมาให้ผมได้เห็นหรือเปล่า

ไนล์ที่ไม่มีเกราะปราการและกั้นผมไม่ให้เข้าใจเขามากจนเกินไป ผมอยากจะเห็นมันจริงๆ

“งั้นนายเลือกแล้วกันว่าจะดูเรื่องไหน”

“นายเลือกเถอะ ให้ฉันเลือก ฉันก็เลือกไม่ถูกอยู่ดี”

เสนอให้แล้ว แต่เขากลับปฏิเสธ ผมจึงต้องเป็นฝ่ายทำหน้าที่นั้นเอง ซึ่งมันก็ค่อนข้างยากสักหน่อย เพราะไนล์คงไม่ชอบหนังประเภทโลดโผน แอ็คชั่น คิดพลางผมก็กวาดตามองไปตามแผ่นหนังที่ผมซื้อมาดูและเก็บไว้จำนวนไม่น้อย และที่มันมีเยอะจนเกือบเต็มชั้นแบบนี้ก็ไม่ใช่เหตุผลอะไรนอกเสียจากว่าพวกเพื่อนๆ ของผมชอบแวะเวียนกันมาดูหนังที่นี่ โดยเฉพาะยีน

ผมมองหาหนังเรื่องที่น่าจะเหมาะกับไนล์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลือกออกมาได้หนึ่งเรื่อง เป็นแนวดราม่าที่ให้แง่คิดในการใช้ชีวิตและผสานกับความเป็นศิลปะ แต่เรื่องไม่หนักมากนัก ผมมีหนังประเภทนี้ปนๆ อยู่บ้าง เพราะชอบดูอะไรที่หลากหลาย แต่ไม่มีคนดูเป็นเพื่อนหรอกนะครับ เพราะผมเคยชวนไอ้ยีนมาดูด้วยกันครั้งหนึ่ง มันบ่นว่าดูแล้วเบื่อ อึดอัด หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยชวนมันดูหนังแนวนี้อีกเลย แต่สำหรับไนล์ ผมคิดว่ามันอาจจะเข้ากันก็ได้

“ไม่รู้ว่ามันจะน่าเบื่อสำหรับนายหรือเปล่า”

ใส่แผ่นลงในเครื่องเล่นแล้วผมก็มานั่งบนโซฟาข้างๆ ไนล์ พร้อมกับออกตัวไว้ก่อน ทว่าไนล์ก็ยังรักษาน้ำใจ

“ยังไม่ได้ดู จะรู้ได้ยังไงว่าน่าเบื่อหรือเปล่า แต่ฉันว่าคงไม่หรอก”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจจนผมอดสงสัยไม่ได้

“ทำไมนายถึงมั่นใจว่าจะเป็นแบบนั้น ฉันอาจจะเลือกผิดก็ได้”

“เพราะว่านายเป็นคนเลือก ไม่มีทางผิดหรอก”

ถึงกระนั้นเขาก็ยังยืนยันคำตอบเดิม และมันก็ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าหลายต่อหลายครั้งที่เขาเชื่อมั่นในตัวของผม เชื่อว่าผมจะต้องทำแบบไหนในแต่ละสถานการณ์ เหมือนเขารู้จักผมดี

“นาย... คอยคิดถึงความรู้สึกของคนที่อยู่รอบตัวนายเสมอ เพราะแบบนั้นแหละ”

สิ้นประโยคนั้น ไนล์ก็หันกลับไปมองที่หน้าจอโทรทัศน์ ราวกับว่าไม่อยากให้ผมพูดหรือถามอะไรต่อ ผมจึงทำได้แค่มองเสี้ยวหน้าของเขาอยู่อย่างนั้น แม้ว่าภาพในกรอบสี่เหลี่ยมที่ผมเป็นคนเปิดมันด้วยมือของตัวเองจะเคลื่อนไหวไปแล้วก็ตาม

ผมดูหนังเรื่องนี้ประมาณสามรอบได้ ดังนั้นผมจึงจำเนื้อเรื่องของผมมันได้ทั้งหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องดูซ้ำเป็นรอบที่สี่ด้วยซ้ำ ผมจึงเลือกที่จะมองในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นแทน ใบหน้าของไนล์ที่กำลังพุ่งความสนใจไปยังเรื่องราวในโทรทัศน์ มันเปลี่ยนไปตามเนื้อเรื่องที่สะท้อนเข้ากับกระจกตาของเขา

ไนล์มุ่นคิ้วเข้าหากันบ้าง ทำหน้าหดหู่บ้าง และหลุดยิ้มออกมาบ้าง สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันแบบนั้น ทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้ เพราะในเวลาปกติ ผมคงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพแบบนี้ นอกจากนั้นเขายังทำให้ผมเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดทิ้งท้ายเอาไว้

เขาทำให้ผมเชื่อมั่นในตัวเองว่าผมเข้าใจคนอื่นๆ และรู้ว่าคนรอบตัวผมต้องการอะไร ซึ่งมันก็ทำให้ผมคาดหวังด้วยเช่นกันว่า... ผมจะเข้าใจไนล์และรู้ว่าเขาต้องการอะไรอย่างถ่องแท้เหมือนกัน

ดูหนังจบก็เหมือนจะได้เวลาที่ผมจะต้องออกไปตามนัดกับพี่ดาหลาแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้ผมอดเสียดายอยู่หน่อยๆ ไม่ได้ที่ผมจะต้องสูญเสียช่วงเวลาแบบนี้ที่ผมอยากจะให้มันคงอยู่ต่อไปให้นานอีกหน่อย ผมเอ่ยปากกับไนล์ด้วยความรู้สึกลำบากใจ และมันก็ค่อนข้างชัดเจนอยู่พอสมควรว่าผมไม่อยากจะแยกจากเขาในตอนนี้

“เดี๋ยวฉัน...ต้องออกไปข้างนอกแล้ว”

ผมหวังอยู่ในใจ หวังอยู่ลึกๆ ว่าไนล์จะรับรู้ได้ว่าผมอยากให้เขาเอ่ยปากห้ามผม เพราะอย่างน้อยผมจะได้รู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียวจริงๆ ที่เริ่มชอบเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้ แต่ความคาดหวังของผมก็ล้มเหลว

“อืม”

เขาเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ราวกับไม่มีสิ่งนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว รวมทั้งความรู้สึกดีๆ ระหว่างเขากับผมที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งถึงเมื่อครู่ ทำให้ผมรู้สึกจี๊ดๆ ในอกจนรู้สึกได้ จึงเดินไปหยิบกระเป๋าเงินและกุญแจรถเพื่อเตรียมตัว โดยไม่ลืมหยิบถุงใส่กระป๋องสีที่ซื้อมาเมื่อวานพลางเดินนำเขาออกจากห้อง

“นายก็มีนัดใช่ไหม”

ขึ้นรถแล้ว ผมก็ถามอย่างตรงไปตรงมาและลอบสังเกตความเปลี่ยนแปลงของไนล์ไปด้วย พยายามที่จะไม่ให้มีอะไรหลุดลอดสายตาไปได้แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

“ตอนห้าโมง”

เวลานัดหมายของไนล์ไม่ต่างจากผมแค่ชั่วโมงเดียว และนั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถไปกับผมได้เหมือนอย่างทุกทีที่เขาเคยมาขัดขวางเวลาที่ผมไปพบพี่ดาหลา ผมจึงได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองในใจอย่างช่วยไม่ได้

“งั้นฉันไปส่งนายที่ห้องก่อนแล้วกัน นายจะให้ฉันไปส่งที่ไหนต่อหรือเปล่า”

“ไม่ต้องหรอก นายไปตามนัดของนายเหอะ”

ไนล์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พลางทอดสายตาออกไปทางหน้าต่าง ทำให้ผมไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่ก็เดาได้ไม่ยากกว่าคงจะไม่ต่างจากปกติที่ดูไร้ชีวิต ผมจึงเข้าเกียร์และเคลื่อนรถออกไปด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ในใจชอบกล

ผมขับรถพาไนล์ไปส่งที่แมนชั่นตามเส้นทางที่เคยชิน เพราะมาที่นั่นบ่อยมากขึ้นไปทุกที โดยเฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมาที่นี่ทุกวัน ผมหยุดรถหน้าทางเข้าแมนชั่นด้วยความรู้สึกค้างคาในใจ บอกตัวเองได้เลยว่าหากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้เป็นคนอื่น ผมคงกล้าบอกความรู้สึกสับสน ไม่สบายใจ และความต้องการของผมออกไปอย่างชัดเจนโดยไม่คิดปิดบัง แต่เพราะคนคนนี้คือไนล์ ผมจึงไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย

เพราะผมไม่รู้ว่าเขาคิดและรู้สึกยังไงกับผมกันแน่ เขาทำให้ผมหัวหมุนเสมอกับการกระทำของเขา

“นาย... จะกลับดึกหรือเปล่า”

สิ่งที่ผมพูดออกมาได้ในตอนนี้และดูไม่ชัดเจนมากเกินไปมีเพียงเท่านี้ ซึ่งไนล์ก็ตอบกลับมาให้ผมสบายใจได้นิดหน่อย

“คงไม่ดึก”

“อืม”

ผมเก็บคำว่า ‘งั้นฉันจะรอ’ เอาไว้ในคอ ไม่เปล่งมันออกมาเป็นคำพูด ทั้งที่มีคำนั้นอยู่ในใจ พลางมองไนล์ที่เปิดประตูรถและก้าวเท้าลงจากรถไปด้วยความรู้สึกอึดอัดในอกอย่างบอกไม่ถูก หรือเพราะปกติแล้วผมมักจะชัดเจนในความรู้สึกของตัวเองเสมอเมื่ออยู่กับคนอื่น

ตอนนี้ผมต้องทนเก็บความไม่ต้องการให้ไนล์ออกไปตามนัดเอาไว้โดยไม่สามารถปริปากพูดออกมาได้ เพราะผมอ่านไม่ออกว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไรหลังจากผมบอกออกไปแบบนั้น ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ผมสามารถคาดการณ์ได้ว่าคำตอบจะออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งมันจะทำให้ผมตัดสินใจและตัดใจได้






อ่านต่อด้านล่าง

v

v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน

v


v



เสียงประตูปิดลงโดยที่ผมไม่สามารถละสายตาจากไนล์ไปได้ ผมมองเขาเดินห่างออกไปจากรถของผมมากขึ้นทุกทีๆ จนผมไม่สามารถมองเห็นเขาได้อีกเมื่อเขาขึ้นตึกไป ผมจึงออกรถอีกครั้งเพื่อตรงไปยังปลายทางที่ผมจำต้องไป เป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไรนัก ผมมาถึงก่อนเวลานิดหน่อย เพราะคำนวณเวลาเดินทางไว้แล้ว

ผมมักจะไปก่อนเวลาเสมอครับ เพราะไม่ชอบให้ใครมารอ แต่ตามจริงผมก็ไม่ค่อยได้นัดกับใครหรอก นอกจากพวกเพื่อนๆ ของผม ซึ่งส่วนมากก็จะเจอกันที่คอนโดก่อนแล้วค่อยออกไปพร้อมกัน หรือไม่ก็ผมจะไปรับไอ้ยีนแล้วไปเจอกับไอ้กัส ไอ้เคลมทีหลัง

รอในร้านกาแฟที่ตกลงกันไว้อยู่สักพักพี่ดาหลาก็มาถึง เธอนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับผม วันนี้เธอมาคนเดียว ไม่มีพี่มะเหมี่ยวมาด้วยเหมือนอย่างทุกที

“ขอโทษนะกราฟ พี่มาสาย”

เธอทำให้ผมก้มลงมองข้อมือของตัวเองให้แน่ใจว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว และเมื่อรู้เวลาที่แน่ชัด ผมก็ส่งยิ้มจางๆ ให้เธอที่ทำหน้าเสียเล็กน้อยเพราะเหตุผลที่เธอบอก แต่มันไม่ใช่ความจริงหรอกครับ

“เหลืออีกห้านาทีกว่าจะถึงเวลานัดนะครับ ไม่เห็นจะสายตรงไหนเลย”

“แต่พี่มาช้ากว่ากราฟนี่นา กราฟเลยต้องมานั่งรอ”

ใบหน้าน่ารักที่อยู่ต่อหน้าผมยังคงเจือด้วยความรู้สึกผิด ทั้งที่มันไม่จำเป็น ทำให้ผมรู้ว่าเธอเป็นคนจิตใจดีและรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากแค่ไหน

“การจะนัดใครสักคน ก็ต้องมีฝ่ายที่มาเร็วกว่าและอีกฝ่ายมาช้ากว่าอยู่แล้วนี่ครับ ไม่เห็นจะแปลกเลย อีกอย่าง ถ้าให้พี่มานั่งรอผม ผมจะรู้สึกไม่ดีมากกว่านะ”

เหมือนว่าเธอจะรับฟังเหตุผลของผมและยอมรับมัน ถึงได้ไม่ค้านใดๆ ต่อ

“พี่จะดื่มอะไรดีครับ เดี๋ยวผมไปสั่งให้”

เสนอตัวบริการ แต่พี่ดาหลาก็ปฏิเสธพลางบอก ‘เดี๋ยวพี่จัดการเอง กราฟนั่งรอหน่อยนะ’ ก่อนจะเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์เอง ปล่อยให้ผมได้มองตามการเคลื่อนไหวของเธอ แม้ว่าจะเป็นเพียงด้านหลังเท่านั้นที่ผมได้เห็นในเวลานี้ ทว่าผมก็อยากจะมองเธอให้ชัดๆ

ผมยอมรับว่าพี่ดาหลาหน้าคล้ายกับมิ้นค่อนข้างมาก และมันก็ทำให้หัวใจของผมเต้นเร็วทุกครั้งที่ได้พบหน้าเธอ แต่น้ำเสียง ท่าทาง รวมถึงนิสัยของมิ้นและพี่ดาหลาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มิ้นของผมจะสดใส ร่าเริง ขณะที่พี่ดาหลาค่อนข้างใจดี วางตัวดี และเป็นผู้ใหญ่ อาจเพราะเธออายุมากกว่าผมก็เป็นได้

การเจอกันวันนี้ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างแตกต่างจากวันอื่นๆ ที่ผ่านมา ผมไม่รู้สึกว่าใจเต้นเร็วหรือมีอะไรบางอย่างสั่นอยู่ในอกเหมือนอย่างทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเธอ เงาของมิ้นที่ซ้อนทับกับพี่ดาหลาค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งที่ผมได้พบพี่ดาหลา วันนี้ผมรู้สึกชัดเจนมากขึ้น ว่าผมไม่สามารถให้พี่ดาหลาเป็นตัวแทนของมิ้นได้

เธอไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกชอบเธอเพราะตัวเธอเอง สิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งให้ผมยังยึดติดอยู่กับพี่ดาหลาคือใบหน้าของเธอที่คล้ายมิ้น แต่เมื่อผมยอมรับกับตัวเองว่าเธอและมิ้นไม่มีทางที่จะเหมือนกัน ผมก็เหมือนถูกปลดออกจากพันธนาการที่สร้างด้วยตัวเอง และนอกเหนือจากเหตุผลว่าผมรู้ดีแก่ใจว่าทั้งสองคนเป็นคนละคนกันแล้ว ผมค่อนข้างแน่ใจว่าไนล์เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่ดาหลากระจ่างเร็วขึ้น

พี่ดาหลาไม่เคยทำให้ผมรู้สึกโหยหา กระวนกระวาย ห่วงพะวง หรือแม้แต่คิดถึงเธอ ผมไม่เคยรู้สึกว่าถูกเธอปั่นป่วนในหัวใจจนทำอะไรไม่ถูก มีเพียงแค่การเผชิญหน้ากับเธอเท่านั้นที่ทำให้ผมแสดงอาการตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ในเวลานี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับหายไปแล้ว ไม่เหมือนกับคนบางคนที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นมากขึ้นทุกวัน

ผมมองพี่ดาหลาที่ถือเครื่องดื่มกลับมาที่โต๊ะ พิจารณาใบหน้านั้นอย่างละเอียด ราวกับเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มองหน้าเธอชัดๆ แบบนี้ จะเรียกว่าเป็นการตัดสินใจของผมก็ได้ที่จะให้ทุกอย่างมันจบลง ในเมื่อผมรู้ตัวเองแล้วว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอในตอนนี้เป็นอย่างไร

แม้ผมจะไม่รู้ว่าเธอเริ่มมีความรู้สึกพิเศษกับผมขึ้นมาบ้างแล้วหรือยัง เพราะเธอไม่เคยแสดงความรู้สึกเช่นนั้นออกมาให้ผมรับรู้ได้เลยสักครั้ง นอกจากครั้งนี้ที่เธอโทรศัพท์มาหาผมก่อน ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะเธออยากพบผม หรือเพราะมีเรื่องสำคัญจะพูดกับผม แต่ผมก็เริ่มอยากให้มันเป็นอย่างหลัง เพราะไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกผิดกับเธอมาก ที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน ทว่ากลับกำลังจะทำให้มันจบลง

“พี่มีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ”

เปิดประเด็นก่อนเมื่อปล่อยให้เธอดูดน้ำจากแก้วที่ถือมาได้สักพัก เพราะหลังจากลองประเมินสถานการณ์แล้วดูเธอจะเริ่มต้นบทสนทนาไม่ถูกสักเท่าไร เธอมองหน้าผมหลายครั้งสลับกับก้มลงดูดน้ำสตรอเบอร์รี่แก้ขัด ซึ่งการกระทำของผมก็เหมือนจะช่วยได้เธอ พี่ดาหลาเงยหน้าขึ้นมองผมอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ ขยับริมฝีปากสีสวย และผ่อนเสียงออกมาช้าๆ

“กราฟ”

“ครับ”

“พี่... มีเรื่องจะสารภาพกับกราฟ”

เธอต่อด้วยประโยคนี้ พานให้ใจของผมเต้นตุบๆ ขึ้นมาได้ด้วยความหวั่นๆ เริ่มกลัวว่าสิ่งที่คิดไว้อาจจะเป็นอีกอย่าง ผมจ้องมองเธอโดยไม่ละสายตา และมันคงจะกดดันเธอมากเกินไป ถึงได้ก้มหน้าหลบสายตาผม เม้มปากอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเค้นเสียงออกมาอีกรอบ

“พี่รู้ว่าที่ผ่านมา กราฟรู้สึกดีๆ กับพี่”

ผมตั้งใจฟังทุกคำที่เธอพูดออกมา ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่นิดเดียว ในใจก็ลุ้นไปด้วยว่าเสียงที่ประกอบออกมาเป็นคำในประโยคถัดไปจะเป็นอะไรพร้อมกับภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังหวาดหวั่นอยู่ ผมไม่อยากรู้สึกผิดกับเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบของผม

“แล้วพี่ก็...ตอบรับกราฟมาตลอด ไม่ว่ากราฟจะส่งข้อความมาคุย หรือขอไปไหนมาไหนด้วย”

หัวใจของผมเร่งจังหวะมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เสียงของเธอยังคงดังต่อไป ผมไม่สามารถละสายตาจากเธอได้ เพราะเกรงว่าหากไม่เตรียมใจอยู่ตลอดเวลา ผมอาจจะช็อกจนพูดอะไรกับเธอไม่ออกก็เป็นได้ ผมเผลอกลั้นหายใจอยู่หลายครั้งด้วยซ้ำ ระหว่างรอเธอต่อคำพูดของเธอ

“พี่ขอโทษนะ”

“ครับ?”

สิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินทำให้ผมรู้สึกงงงวยนิดหน่อยแล้วชะงักจังหวะหัวใจของตัวเองไปชั่วครู่ ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนเธอจะอธิบายให้ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง

“พี่... มีแฟนอยู่แล้วน่ะ แต่ที่พี่ไม่ได้บอกกราฟ และยังติดต่อกราฟอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ก็เพราะมะเหมี่ยวขอร้อง”

พี่ดาหลาทำให้ผมรู้สึกอึ้งอยู่ไม่น้อยกับความจริงที่ผมเพิ่งรู้

“มันดูไม่ดีใช่ไหมที่ทำแบบนี้ พี่รู้ว่ากราฟจริงใจ และกราฟก็เป็นคนดีมากๆ พี่ไม่ได้อยากหลอกกราฟ แต่มะเหมี่ยวอยากมีโอกาสได้ใกล้ชิดและทำความรู้จักกับกราฟมากกว่านี้ ก็เลยขอให้พี่ตามน้ำไป แต่พี่ไม่อยากหลอกกราฟและทำให้กราฟมีความหวังแล้วต้องมาเสียใจทีหลัง พี่รู้สึกไม่ดีเลย ก็เลยขอมาสารภาพความจริงดีกว่า”

“เหรอครับ”

ผมรู้สึกเหมือนโดนตีหัวไปหนึ่งทีแรงๆ ให้มึนและสมองชา ทว่าขณะเดียวกันก็เข้าใจในเหตุผลของเธอ และก็เริ่มคิดว่ามันดีแล้วที่สุดท้ายผลออกมาเป็นแบบนี้ เพราะหากว่าผมจริงจังกับเธอ และถลำลึกชอบเธอไปจริงๆ ผมคงช็อกและเจ็บปวดไม่น้อยเพราะมันไม่ต่างอะไรจากการถูกหลอกลวง

“พี่ขอโทษจริงๆ นะ  พี่รู้ว่าคงทำให้กราฟรู้สึกไม่ดี พี่ก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ แต่พี่อยากช่วยเพื่อน มะเหมี่ยวไม่ใช่คนที่จะชอบใครง่ายๆ ถึงจะดูขี้เล่นหรือดูเป็นพวกใจกล้าก็ตาม กราฟพอจะอภัยให้พี่กับมะเหมี่ยวได้ไหม”

พี่ดาหลาจ้องมองผมด้วยความรู้สึกผิดอย่างชัดเจน ใบหน้าน่ารักๆ ของเธอสลดลง ดวงตาที่เคยเป็นประกายแวววาวดูเศร้าหมอง ผมที่ไม่ใช่คนใจแข็งอะไรอยู่แล้วโดยเฉพาะกับคนที่แสดงความจริงใจให้ก็ใจอ่อนตามระเบียบล่ะครับ ยิ่งเธอหน้าเหมือนมิ้นด้วยแล้ว ใจของผมยิ่งอ่อนยวบเลย ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังจะให้เธอชอบผมอยู่แล้ว เป็นแบบนี้อาจจะดีแล้วด้วยซ้ำ

“ผมไม่โกรธพี่ทั้งสองคนอยู่แล้วล่ะครับ จริงๆ แล้ว ผมก็ตัดสินใจที่จะบอกความจริงกับพี่วันนี้เหมือนกัน”

เห็นว่ามีลู่ทางที่จะทำอะไรให้ถูกต้องและจบความคลุมเครือนี้ ผมก็รีบคว้าโอกาสไว้ทันที ซึ่งคราวนี้ก็กลายเป็นพี่ดาหลาบ้างที่ทำหน้าสงสัย

“คือ... ที่ผมสนใจพี่และเข้าไปคุยกับพี่ก่อน เพราะว่า...พี่หน้าเหมือนแฟนเก่าของผมน่ะครับ”

ผมหยุดเสียงไปครู่หนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของเธอ ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากที่ผมคิดเอาไว้ เธอเบิกตามองผมด้วยความประหลาดใจ

“ผมขอโทษด้วยนะครับ เจตนาของผมก็ไม่บริสุทธิ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมคงจะต่อว่าพี่กับพี่มะเหมี่ยวไม่ได้”

“หน้าเหมือน...เหรอ”

“ครับ แต่ว่าเสียงกับนิสัยไม่เหมือนกันเลย ตอนนี้ผมก็เลยคิดว่าผมควรจะมองความจริงได้แล้วว่าจะให้พี่มาแทนที่เธอไม่ได้ ความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่ในตอนที่เจอกันแรกๆ มันเป็นความรู้สึกของผมที่หลงเหลืออยู่ ผมอยากจะดูแลและรักษาเธอเอาไว้ ถ้าผมยังมีโอกาส ทั้งที่ผมก็รู้ตัวดีว่ามันเป็นไปไม่ได้”

ไม่รู้ว่าการอธิบายเท่านี้จะเพียงพอต่อความเข้าใจของเธอหรือเปล่า แต่ก็หวังว่าเธอจะเข้าใจในเหตุผลของผมเช่นกัน ทว่าดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างผมนิดหน่อย เพราะพี่ดาหลาไม่ได้มีอาการโกรธเคืองอะไร เธอเพียงถาม

“แสดงว่ากราฟรักผู้หญิงคนนั้นมากสินะ”

“ครับ”

ผมตอบด้วยรอยยิ้มที่รู้ตัวดีว่ามันแฝงด้วยความเศร้าเล็กน้อย เธอถึงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ แต่กลับเปลี่ยนเรื่องถามแทน

“อ้อ... พี่คุยกับมะเหมี่ยวว่าจะมาคุยกับกราฟเรื่องนี้ แล้วมะเหมี่ยวก็อยากจะมาคุยกับกราฟโดยตรงด้วย หลังจากนี้กราฟพอจะมีเวลาไหม”

“ได้ครับ แต่ว่าพี่มะเหมี่ยวจะสะดวกหรือเปล่า”

คำถามจากผมเรียกรอยยิ้มจากพี่ดาหลาได้มากทีเดียว เธอยิ้มให้ผมเหมือนกับปกติก่อนจะตอบคำถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ แล้วยิ้มแหยเล็กน้อยที่ท้ายประโยค เป็นท่าทางที่น่ารักและเป็นธรรมชาติจนผมอดยิ้มตามไม่ได้

“จริงๆ พี่นัดกับมะเหมี่ยวไว้แล้วน่ะ ตอนนี้ก็รออยู่ข้างนอก”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาครับ ได้เคลียร์กันไปเลย จะได้สบายใจกันทั้งคู่ด้วย”

“งั้นพี่ขอตัวเลยนะ ...แฟนพี่รออยู่ด้วยน่ะ”

พี่ดาหลาบอกไม่เต็มเสียงเท่าไรในประโยคท้าย เหมือนเกรงใจผมอยู่ ผมจึงส่งยิ้มให้ด้วยความรู้สึกอิ่มใจแทนแฟนของพี่ดาหลาที่เธอคอยนึกถึงความรู้สึก กลัวว่าจะต้องรอนาน จนผมอดจะอวยพรให้เธออยู่ในใจไม่ได้ว่าขอให้รักยืนยาวกับคนที่เธอรัก

“ครับ”

“กราฟนั่งรอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวมะเหมี่ยวก็มา”

เธอบอกผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะลุกจากโต๊ะและส่งยิ้มให้ผมจางๆ เป็นการล่ำลา ซึ่งผมก็ยิ้มส่งเธอพลางมองร่างเล็กๆ เมื่อเทียบกับผมเดินห่างออกไป ตามด้วยมีผู้ชายคนหนึ่งมาเดินขนาบข้างกับเธอ

ผมมองภาพคนสองคนที่เดินคู่กันไปอย่างลืมตัว กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ก็ตอนได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองอยู่ใกล้ๆ และเมื่อหันไปตามเสียง ก็ไม่ต้องรู้สึกประหลาด เพราะเป็นคนที่ผมกำลังรออยู่ พี่มะเหมี่ยวยิ้มสดใสให้ผมเหมือนอย่างเคยและกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเมื่อครู่ที่พี่ดาหลานั่ง



“ดาหลาคงเล่าให้ฟังหมดแล้วสินะ พี่ขอโทษนะกราฟ”

จากที่ยิ้มอยู่เมื่อครู่ สีหน้าของพี่มะเหมี่ยวก็เปลี่ยนไป เป็นแบบที่ผมไม่เคยเห็น เพราะปกติแล้วเธอจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอๆ พลอยให้ผมรู้สึกไม่ดีไปด้วยที่เห็นแบบนั้น

“ผมเข้าใจครับ ผมเองก็มีเรื่องที่ทำผิดต่อพี่ดาหลาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพี่ไม่ต้องขอโทษอะไรผมหรอกครับ”

“ขอบใจนะ”

เพราะการตอบกลับไปของผมที่ทำให้พี่มะเหมี่ยวสบายใจขึ้น เธอจึงกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ทว่าเพียงครู่หนึ่ง ริมฝีปากสีชมพูที่แต้มด้วยลิปสติกบางๆ ไม่จัดจ้านจนเกินไป แต่ก็ขับให้ใบหน้าที่สวยอยู่แล้วของเธอด้วยสวยขึ้นเม้มเข้าหากันเล็กน้อย เหมือนมีอะไรอื่นที่อยากพูดกับผมอีก แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ผมจึงรอเวลาที่เธอจะเอ่ยปากออกมาเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้นานนัก

“พี่... พอจะมีโอกาสบ้างไหม”

คำถามของเธอทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่าหมายถึงเรื่องอะไร ผมพิจารณาใบหน้าที่แสดงถึงความไม่มั่นใจ ผิดจากที่เคยอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ เปิดปากออกทีละน้อยเพื่อตอบคำถามนั้น ทว่ายังไม่ทันได้เปล่งเสียงออกมา คนตรงหน้าก็โพล่งเสียงขึ้นมาก่อน

“อย่าเพิ่งๆ ขอพี่ทำใจก่อนนะ”

เรียกรอยยิ้มจากผมได้ครับ จริงๆ แล้วพี่มะเหมี่ยวก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักและมีเสน่ห์ อีกทั้งยังขี้เล่น เป็นกันเอง รวมทั้งมีอารมณ์ขันด้วย น่าจะมีผู้ชายชอบไม่น้อยเลยทีเดียว ผมเองก็ชอบนิสัยของเธอเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ความรู้สึกของผมมันไม่ได้เป็นแบบเดียวกับที่เธอมีให้ผม ผมจึงไม่สามารถตอบรับเธอได้

ผมรอตามที่เธอบอก ได้ยินเสียงเธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกับรู้อยู่แล้วครึ่งหนึ่งว่าคำตอบของผมจะเป็นอย่างไร แต่ก็ยังไม่พร้อมจะรับฟังคำตอบที่ชัดเจนในทันที และยังเผื่อใจอยู่หน่อยๆ ว่าอาจจะมีโอกาสสักนิดที่ผมจะหยิบยื่นให้

“เอาล่ะ โอเคแล้วๆ”

เธอเป่าลมออกมาจากปากเบาๆ เป็นระลอกสุดท้าย ก่อนจะจ้องหน้าผมราวกับจะอ่านคำพูดของผมจากการขยับปากอย่างไรอย่างนั้น ผมจึงเว้นระยะไว้ครู่สั้นๆ แล้วค่อยตอบออกมาเป็นเสียงที่ชัดเจนและหนักแน่นเพียงพอว่าเธอไม่มีโอกาส

“ขอโทษด้วยครับ”

“กะอยู่แล้วเชียว”

พี่มะเหมี่ยวตอบกลับมาเจือหัวเราะเบาๆ ที่ฟังอย่างไรก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าขำหรือน่าสนุกแม้แต่น้อย ผมรู้ว่าเธอรู้สึกผิดหวัง แต่เธอก็เข้มแข็งพอจะยอมรับความจริง ผมจึงไม่คิดจะพูดถึงข้อดีของเธอ หรือพูดว่ามันน่าเสียดายที่ผมรักเธอไม่ได้ เพราะแบบนั้นจะยิ่งตอกย้ำให้เธอเจ็บช้ำมากกว่า

เธอเป็นคนมีความมั่นใจ ฉะนั้นคำตอบที่ชัดเจน เหมาะสมกับเธอที่สุดแล้ว เพราะมันจะทำให้เธอรู้สึกว่าผมตาถั่ว ตาไม่ถึง ถึงได้ไม่เลือกเธอ มากกว่ามีความคิดว่าทั้งที่เธอดีขนาดนี้ แต่เธอก็ยังทำให้ผมชอบไม่ได้ ผมไม่อยากให้เธอสูญเสียความมั่นใจ ผมอยากให้เธอก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นใจในวิถีทางของเธอ เพราะต้องมีคนที่พร้อมจะรักเธอในทุกอย่างที่เธอเป็นอย่างแน่นอน

“งั้นก็... ไหนๆ ก็โดนปฏิเสธแล้ว พี่ขอควงกราฟสักวันจะได้ไหม”

หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คล้ายกับว่าจะตั้งสติให้ตัวเองยอมรับกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้แล้ว พี่มะเหมี่ยวก็โพล่งขึ้นมาด้วยสีหน้าที่สดใสเหมือนกับทุกครั้ง พลอยให้ผมรู้สึกโล่งอกไปด้วย ที่อย่างน้อยเธอก็ทำใจได้

“ควงไปไหนครับ”

“เดทไง แค่วันนี้แหละ ถือเป็นของขวัญปลอบใจ โอเคนะ”

ไม่แค่ส่งยิ้มให้ผม ยังยื่นนิ้วก้อยออกมาให้ผมเกี่ยวเพื่อเป็นการสัญญาด้วยว่าผมจะยอมทำตาม เห็นท่าทางเธอแบบนั้นแล้ว จะให้ปฏิเสธก็ดูจะใจร้ายเกินไป อีกทั้งผมก็พอมองออกว่าเธอต้องการทำแบบนี้เผื่อจะได้ตัดใจได้อย่างเด็ดขาด ไม่ให้มีอะไรมาค้างคาใจ ไม่ใช่เพียงแค่การยื้อเพื่อสร้างความหวังให้ตัวเอง ผมจึงยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับเธอโดยไม่อิดออด

“แล้วจะเดทที่ไหนล่ะครับ”

“ที่ห้างนี้แหละ ไม่ต้องไปที่ไหนไกลหรอก”

ว่าแบบนั้นแล้วเธอก็ลุกขึ้นทันที ผมจึงลุกก่อนจะเดินตามเธอออกจากร้านไป ซึ่งหลังจากออกมายืนหน้าร้านได้ พี่มะเหมี่ยวก็ยื่นมือออกมาหาผมทันที ผมก้มมองตามมือนั้นไปครู่นึง คู่เดทในวันนี้ของผมก็ออกคำสั่งทันที

“เดทก็ต้องจับมือกันด้วยสิ”

การเอาแต่ใจเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ดูน่ารักของเธอดึงให้ผมต้องเดินไปตามเกมของเธอได้ไม่ยาก ผมวางมือลงบนมือเรียวๆ นั้นก่อนจะกุมเอาไว้ข้างตัวและเดินออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ ก้าวเดินไปทุกๆ ที่ที่เธออยากไปภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้

ผมทำหน้าที่ได้ดีเลยครับ เพราะท่าทางพี่มะเหมี่ยวจะมีความสุขกับการเดทไม่น้อย ซึ่งมันก็พลอยทำให้ผมรู้สึกดีเช่นเดียวกัน ที่ทำให้คนคนหนึ่งมีความสุขได้ แม้ว่ามันจะเป็นความสุขชั่วคราวที่เจ้าตัวรู้แก่ใจดีก็ตาม

พี่มะเหมี่ยวชวนชอปปิ้งทางสายตา เพราะยังไม่มีสินค้าแบรนด์ไหนถูกใจเธอ ก่อนที่เราจะไปเล่นโบว์ลิ่งกัน ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่าเธอเล่นเก่งไม่น้อย ถึงเอาชนะผมไปได้สบายๆ โดยที่ผมไม่ต้องอ่อนข้อให้เธอเลย หลังจากเดินออกมาจากลานโบว์ลิ่งแล้ว ผมจึงแกล้งแซวเธอนิดหน่อย ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากเธอได้

“เพราะพี่เล่นเก่งใช่ไหม ถึงได้ชวนผมมาเล่นเพื่อข่มขวัญ”

“รู้สึกดีจังนะ ที่เอาชนะกราฟได้”

เธอยิ้มยิงฟันอย่างมีความสุขจนผมต้องยิ้มตาม พลางเอ่ยปากชวนเธอให้ไปหาอะไรกิน เพราะว่าค่ำแล้ว เธอน่าจะหิว ซึ่งพี่มะเหมี่ยวก็พยักหน้าเห็นด้วยสุดๆ เราสองคนจึงเปลี่ยนเป้าหมายเพื่อหาร้านอาหารสำหรับเป็นมื้อเย็น ทว่ายังไม่ทันได้สถานที่ที่ต้องการ ผมก็ต้องชะงักเล็กน้อย เพราะคนที่เดินสวนมาค่อนข้างคุ้นหน้าผม และเขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

“อ้าว นาย”

เขาทักผมก่อน ผมจึงหยุดฝีเท้าและหันไปเพื่อสนทนากับเขาตามมารยาท แม้ผมจะไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร แต่ผมก็จำได้ว่าเขาเป็นนักศึกษาคณะวิศวะฯ ที่ผมเคยไปถามหาไนล์จากเขา วันนี้เขามากับเพื่อนกลุ่มเดิมแหละครับ ทั้งกลุ่มต่างมองมาที่ผมและพี่มะเหมี่ยวเหมือนกับว่าจะจำผมได้เช่นกัน โดยเฉพาะเจ้าของเสียงที่ทักผม

“ดีใจด้วยที่ดูแฮปปี้กับแฟนดี”

ประโยคของเขาทำให้ผมรู้สึกตงิดๆ อย่างไรชอบกล ผมหันไปทางพี่มะเหมี่ยวและมองเธออยู่ครู่สั้นๆ ก่อนปลดมือที่จับกันอยู่ออกเพื่อเธอจะได้เข้าใจว่าผมไม่ได้มีเจตนาทำให้เธอรู้สึกไม่ดี จากนั้นผมจึงพยักหน้าเบาๆ ให้กับคนที่พูดกับผมเมื่อครู่และเดินนำออกมาจากกลุ่มพวกเรา ซึ่งเขาก็เข้าใจสถานการณ์ว่าผมอยากคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวเสียมากกว่า

“ที่นายพูด หมายความว่ายังไง”

หลังจากแยกตัวออกมาได้ห่างพอสมควร มีเพียงแค่เขาที่ยืนอยู่ต่อหน้าผมแล้ว ผมก็ถามอย่างตรงไปตรงมา เขาทำหน้ามึนเล็กน้อยกับคำถามของผม ก่อนจะโพล่งเสียงออกมาเบาๆ

“อ้าว ก็เรื่องไนล์ที่ฉันเคยเตือนนายไง หมอนั่นไม่ได้แย่งผู้หญิงของนายไปสินะ งั้นก็ดีแล้ว”

คล้ายกับว่าถูกรื้อฟื้นความทรงจำ ผมเริ่มจำได้ถึงสิ่งที่คนตรงหน้าเคยบอกผม แต่ผมก็ไม่เข้าใจความหมายของมันสักเท่าไรอยู่ดี

“ทำไมไนล์จะต้องแย่งผู้หญิงของฉัน”

“นี่อย่าบอกว่านายไม่รู้”

เขาทำให้ผมงงยิ่งกว่าเดิมอีกเมื่อถูกสวนกลับมาแบบนี้ ผมรู้สึกได้ว่าหัวคิ้วกำลังขมวดเข้าหากันแน่น สมองพยายามแปลความหมายจากสิ่งที่ได้ยิน ซึ่งมันก็ดูเหมือนจะยากเกินไปที่จะเข้าใจ อีกฝ่ายถึงได้บอกกับผมอย่างตรงๆ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนทุกอย่างบนโลกหยุดการเคลื่อนไหวในวินาทีนั้น

“ไอ้ไนล์มันเป็นแมงดา”

“...”

“ขายตัวให้พวกผู้หญิง”

“...”

“แต่ฉันว่าหน้าสวยๆ อย่างมันก็คงจะขายให้ผู้ชายได้ราคาดีอยู่ด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง”







================
นึกว่าจะไม่ได้มาต่อแล้ว อุปสรรคเยอะเกิน
กว่าจะว่าง กว่าจะแต่งออกมาได้ นึกว่าจะต่อไม่ติดแล้วค่ะ ต้องบิ๊วตัวเองมากๆ  :sad4:

ตอนนี้เหมือนจะคืบหน้าขึ้นแล้วนะคะ

Undel2Sky

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
เฮ้ยยยยยยยยยยยยย
ไนล์เป็นอะไร ไนล์มีอะไรซ่อนอีกแล้ววววว
เหมือนจะดีขึ้นกันทั้งคู่แล้วนะ
เรื่องนี้ตามลุ้นมาตลอดค่ะ อย่าเพิ่งหมดไฟนะะะ คือปมมันเยอะมากก อยากรู้มากกกกกกก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
นิดหนึ่งกับการเพิ่มความสงสัยขึ้นอีก มันคาใจนะเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oreena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2

ออฟไลน์ Tsubamae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
ปักธง จองที่รออ่านคร่าาา อยากรู้ตอนต่อไปมากเลย ไนล์ จริงรึป่าวเนี่ยะ :katai1: อ้ากกกกกก

ออฟไลน์ Aumy8059yaoi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อ๊ากกกก ว๊ากกกกกกก...อยากรู้ตอนต่อไปอ่าาาาาาา :katai1: :katai1:

ยังรออยู่นะค่ะ รีบๆมาต่อน๊าาาาาาาา :z3:   :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ woodytha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไม่ต่อแล้วหรอครับ กำลังลุ้นเลย

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
กล้าดียังไงมาว่าไนล์น่ะห๊า!

ออฟไลน์ killerofcao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เค้ารออยู่นะ

ให้นายเอกของเค้าได้แก้ตัวไรอะไรบ้างเถอะ โฮ
อย่าเชื่อคนง่ายนะตะเอง

ออฟไลน์ envylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 166
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ค้างนานเลย ตามมาจากเรื่องพี่ชมพู อยากได้ต่อจังค่า รออยู่น้าาาา

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 14 : ขายตัว









หูอื้อราวกับว่ามันกำลังจะหนวก ผมได้ยินแต่เสียงอื้อดังยาวอยู่ภายในหูของตัวเอง สมองก็มีแต่ประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่วนเวียนอยู่ซ้ำๆ ไม่รู้กี่รอบ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมได้กะพริบตาบ้างหรือเปล่านับจากได้ยินเรื่องนี้ ในคอรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอัดอยู่จนแน่นไปหมด ผมต้องพยายามกลืนก้อนหนืดๆ ที่กั้นขวางอยู่ในลำคอและเค้นเสียงออกมาเท่าที่จะทำได้ แต่ว่าเสียงที่เล็อดลอดออกมาจากปากกลับแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“นาย...เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า”

แน่นอนว่าความรู้สึกแรกของผมคือ ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นแบบนั้น ไนล์ไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนั้น ทว่า...

“จริงๆ คนเขารู้กันเกือบทั่วคณะ แม้แต่พวกรุ่นพี่ผู้หญิงในคณะยังลือๆ กันเลยด้วยซ้ำ ว่าแค่มีเงินก็กระดิกนิ้วเรียกให้มันไปหาได้ ขนาดคนที่ฉันชอบยังเคยไปกับมันตั้งหลายครั้งเลย”

อีกฝ่ายพูดด้วยท่าทางที่จริงจังมากกว่าเดิม โดยเฉพาะท้ายประโยคที่ใส่อารมณ์มากกว่าที่ผ่านมา ราวกับเจ็บใจจนอยากจะระบายความไม่พอใจใส่คนที่ถูกพูดถึงในประโยคเมื่อครู่ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกระแทกเข้ามาที่อกแรงๆ จนจุก ทั้งที่ในใจคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ อยากจะเชื่อตัวเอง แต่ขณะเดียวกันภาพที่เคยเห็นไนล์คุยโทรศัพท์กับผู้หญิง หรือแม้แต่ครั้งที่บังเอิญไปเจอเขากับผู้หญิงอีกหลายๆ คนที่มีท่าทางสนิทสนมกัน ก็ทำให้ผมต้องย้ำกับตัวเองอีกหลายครั้งว่ามันไม่ใช่แบบนั้น

“นายเองก็ระวังล่ะ อยู่ห่างๆ มันให้มากที่สุด เพราะเกิดมันถูกใจแฟนนายขึ้นมาแล้วใช้ลมปากหลอกแฟนนายให้ไปตกหลุมเสน่ห์มันจนหมดตัว นายจะเสียใจ ฉันเตือนด้วยความหวังดี”

เขาทิ้งท้ายเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนจะตบบ่าผมเบาๆ สองสามที ก่อนจะเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนของเขา ขณะที่ผมได้แต่ยืนขาตายอยู่ที่เดิม รู้สึกเหมือนขาหมดแรงไปเสียเฉยๆ จนพี่มะเหมี่ยวเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาผมเอง

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่ากราฟ”

เสียงที่เอ่ยถามผมปะปนมากับความห่วงใยที่ผมรับรู้ได้ ผมจึงต้องเรียกสติของตัวเองให้กลับมาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเธอพร้อมข้อแก้ตัว

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

“แน่ใจนะ”

เธอยังคงไม่วางใจ จับจ้องผมด้วยสายตาเจือแววกังวล ผมจึงต้องยิ้มให้มากกว่าเก่า แม้จะรู้สึกว่าในอกมันหน่วงและหนักอึ้งราวกับถูกหินผูกถ่วงอยู่ภายใน ผมยื่นมือไปจับมือพี่มะเหมี่ยวเอาไว้ แสร้งทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

“ไปหาอะไรกินกันเถอะครับ ผมเริ่มจะหิวจริงๆ แล้ว”

การเล่นละครของผมดูเหมือนว่าจะยังใช้ได้อยู่บ้าง เพราะพี่มะเหมี่ยวกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง เราสองคนเดินไปยังโซนร้านอาหาร ผมให้เธอเลือกร้านที่เธออยากกิน ขณะเดียวกันก็เพียรพยายามคิดกับตัวเองว่าเวลาที่เหลืออยู่อีกนิดหน่อยสำหรับหน้าที่ของตัวเองในวันนี้ ผมจะต้องทำมันออกมาให้ดีที่สุด เพื่อพี่มะเหมี่ยว

ทว่าความตั้งใจของผมก็ไม่ค่อยลุล่วงนัก หลายต่อหลายครั้งที่ผมได้แต่ครวญคิดไปถึงคนที่ไม่ได้อยู่ข้างกายในเวลานี้ คนที่ทำให้ผมรู้สึกกังวลจนใจไม่สงบ ผมอยากรีบกลับไปถามไนล์ให้ชัดๆ ว่าความจริงเป็นอย่างไร สิ่งที่ผมได้ยินมามันเป็นการเข้าใจผิดใช่ไหม ความคิดของผมวนเวียนอยู่แต่เรื่องนี้จนผมคิดอย่างอื่นไม่ออก กระทั่งลืมไปด้วยซ้ำว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่

“กราฟ กราฟ”

“คะ ครับ”

ผมาะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงจากใครอีกคนแว่วมา

“เป็นอะไรน่ะ พี่เห็นเหม่อหลายทีแล้ว”

“ขอโทษครับ ผม...เผลอคิดอะไรนิดหน่อย”

รู้ว่าถึงจะโกหกไปก็ไม่มีความหมาย ในเมื่ออาการของผมแสดงออกชัดเจนถึงขนาดนี้ จึงตอบออกไปตามจริง แต่ก็ไม่ได้กระจ่างชัดนัก ถึงกระนั้นพี่มะเหมี่ยวก็ไม่ได้ซักไซถึงเหตุผล อาจด้วยเพราะรู้ว่าเธอเข้าใจขอบเขตของกันและกันก็เป็นได้ ผมจึงกล้าที่จะตอบเธอออกไป

“ไม่ดีเลยนะ มีสาวสวยอยู่ใกล้ๆ แบบนี้แต่กลับเหม่อคิดถึงคนอื่น”

เธอใช้หลังมือสะบัดปลายผมของตัวเองอย่างมีจริต แต่ก็ไม่ได้ดูเกินงามจนขัดตา ดูๆ แล้วก็ค่อนข้างจะน่ารักและเหมือนเธออยากจะกระเซ้าผมมากกว่าจะต่อว่ากันจริงๆ มุมปากของเธอเหยียดออกเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่ผมแน่ใจว่ามีผู้ชายอีกหลายคนที่อาจจะตกหลุมรักเธอ

“ขอโทษด้วยครับ แล้วเสร็จจากนี่ พี่จะไปไหนต่อหรือเปล่าครับ”

ผมยิ้มให้เธอน้อยๆ รู้สึกผิดกับเธอนิดหน่อย ถึงจะรู้ว่าเธอไม่ตำหนิผมก็ตาม และเธอคงรับรู้ได้ถึงตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ชัดเจนมากขึ้นและเย้าหยอกผมยิ่งกว่าเก่า

“คงไม่แล้วล่ะ ก็หนุ่มหล่อคนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่อยากเดทต่อแล้วนี่นา พี่ไม่อยากขังไว้หรอก เดี๋ยวจะหาว่าคนสวยใจดำ”

แทนที่จะเอ่ยขอโทษอีกครั้งให้เธอรำคาญใจ ผมเลยเปลี่ยนเป็นพยักหน้าน้อยๆ และเสนอตัวไปส่งเธอที่บ้านแทน ซึ่งเธอก็ตอบกลับมาว่า

“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงจะเพิ่งหัวค่ำ แต่ก็อันตรายสำหรับสาวสวยๆ อย่างพี่มะเหมี่ยวน้า”

ทำให้ผมต้องเผลอยิ้มกับความสดใสของเธออีกรอบ แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวก็ตาม

หลังจากไปส่งพี่มะเหมี่ยวที่บ้าน จุดหมายต่อไปของผมก็ไม่ใช่คอนโดของตัวเอง ผมมุ่งหน้าไปยังแมนชั่นเก่าๆ ของไนล์ คำตอบของเขาที่บอกว่าจะกลับไม่ดึกยังคงดังอยู่ในหูของผม

แต่ตั้งแต่กลับมาถึงห้องของไนล์ ใจของผมก็ยิ่งไม่สงบ รู้สึกกระวนกระวายไปหมดทั้งที่บอกตัวเองหลายครั้งว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกแบบนี้เลย แต่คำพูดของคนที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อยังคงวนเวียนอยู่ในหัวราวกับวนลูปซ้ำๆ และยิ่งจำนวนครั้งมากขึ้นเท่าไร หัวใจของผมก็ยิ่งพะวักพะวนถึงไนล์มากขึ้นเท่านั้น

เวลาแต่ละวินาทีเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมได้แต่เฝ้ามองเข็มนาฬิกาที่หมุนซ้ำกลับมาทีเดิมไม่รู้กี่รอบต่ออีกรอบ พยายามห้ามนิ้วของตัวเองไม่ให้กดโทรศัพท์ไปหาไนล์ เพราะมันช่างไร้เหตุผลที่จะทำแบบนั้น และเปลี่ยนเป็นการหาสิ่งอื่นมาเบนความสนใจแทน

เกมในโทรศัพท์ถูกเปิดขึ้นมาเพื่อฆ่าเวลาทิ้ง เผื่อว่าบางทีมันจะช่วยให้ผมรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมากขึ้น แต่ก็ไม่เลย มันไม่ได้ช่วยผมขนาดนั้น แม้กระทั่งการหยิบกีตาร์ออกมาเล่นเพื่อให้รู้สึกว่าสิ่งที่กรุ่นอยู่ในใจตกตะกอนลง มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคาดหวังเอาไว้แม้แต่น้อย

เมื่อไร เมื่อไร นายจะกลับมา?

ผมถามตัวเองซ้ำๆ อย่างนั้นราวกับว่ามันจะไปถึงใครอีกคนที่ผมกำลังรออยู่ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้น ผมอยากได้รับคำตอบในสิ่งที่ผมไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ และผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่ามันคงไม่ใช่แบบนั้น อาจจะเป็นการเข้าใจผิดหรืออะไรก็ตามแต่ ผมได้แต่บอกตัวเองแบบนั้น แต่ส่วนลึกๆ ในใจที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนก็ส่งเสียงคัดค้านว่ามันอาจจะเป็นไปได้

ไนล์ขายตัว...

เพียงแค่คำตอบนี้ดังขึ้นมาในใจ ผมก็รู้สึกหน่วงไปทั้งอก ผมถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่า แล้วยังไง แล้วมันยังไงเหรอ ในเมื่อมันคือชีวิตของเขา เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกทำในสิ่งที่ต้องการ แต่ผมก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ ว่าทำไมผมจะต้องรู้สึกแบบนี้ ผมกำลังห่วงเรื่องอะไรกันแน่ ผมกำลังสับสนเรื่องอะไรอยู่ ในเมื่อผมไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาเลย

ผมหาคำตอบไม่ได้

เขาทำให้ผมรู้สึกแบบนี้เสมอ

คนเพียงคนเดียวที่ทำให้ผมสับสนวุ่นวายเหมือนกับไม่เคยรู้จักตัวเองมาก่อน

ทั้งที่เขารู้จักผมมากมาย แต่ผมกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย

หรือนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ค้างคาใจผมอยู่ก็ได้?

ผมอยากได้คำตอบ

ผมรอคอยไนล์อย่างอดทน แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยาก แต่ผมก็สามารถผ่านมันไปได้ กระทั่งสี่ทุ่ม เวลาที่ผมคิดว่าไนล์น่าจะกลับมา แต่เปล่าเลย ยังคงไร้วี่แววหรือสุ้มเสียงฝีเท้าที่ตรงมายังห้องนี้ เหมือนกับว่ามันกำลังจะทำลายความอดทนของผมอย่างไม่สนใจไยดี ผมจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

เบอร์โทรศัพท์ของไนล์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของผมก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นเสียงสัญญาณดังออกมาตามสาย ผมคาดหวังเอาไว้อยู่ในใจ อย่างน้อยให้ผมได้รับคำตอบว่าเขาจะกลับมาเมื่อไรก็ยังดี ทว่าสิ่งที่ตอบแทนการรอคอยของผมกลับเป็นเสียงสัญญาณว่าอีกฝ่ายไม่ได้เปิดเครื่องเอาไว้

ผมลองติดต่อดูอีกครั้ง บางทีสัญญาณจากทางเครือข่ายอาจจะไม่ดีก็ได้ แต่มันก็เป็นเพียงความคิดเพ้อพกของผม เสียงที่ตอบรับกลับมายังคงเป็นเสียงเดิม ผมรู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่หมดลงทันที

หน้าปัดนาฬิกากลายเป็นเป้าหมายของสายตาผม ผมกลับมาจ้องมองมันอีกครั้ง เข็มนาฬิกากระดิกไปอย่างเชื่องช้า แต่ลมหายใจของผมกลับผ่อนเข้าออกได้เชื่องช้ามากกว่าหลายเท่า

ผมเคยบอกตัวเองว่าผมเคยชินกับการรอคอยที่เจ็บปวดอย่างไร้จุดหมายมาแล้ว ความทรมานที่ต้องสูญเสียคนที่รัก ความรู้สึกราวกับหัวใจถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นจนเหลือเพียงเศษซากกองอยู่ที่เท้า ผมรับรู้ถึงรสชาตินั้นดีกว่าใครๆ เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามันปวดร้าวมากมายแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังไม่ชินกับการต้องมานั่งรอคอยใครบางคนแบบนี้

ทั้งที่ไม่ใช่คนที่ผมรักเหมือนอย่างมิ้น

แต่ผมก็ไม่สามารถนิ่งเฉยต่อการหายไปของเขาได้

กาลเวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ ขณะที่ผมได้แต่จมดิ่งลงไปในหลุมสีดำที่เหมือนกับมีแม่เหล็กอยู่ภายในนั้น มันฉุดร่างของผมให้ลึกต่ำลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมหายใจช้าลง แผ่วลง... พร้อมกับน้ำหนักของอะไรบางอย่างถ่วงในอกหนักขึ้น หนักขึ้น... จนผมไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้

ร่างของผมทอดลงยังเตียงนอน กอดคู้ตัวเองอยู่อย่างนั้น นัยน์ตาถูกปิดทับด้วยเปลือกตา แต่กลับไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความฝันเกิดขึ้น สติยังคงหลงเหลืออยู่ราวกับไม่ต้องการพักผ่อนใดๆ ทั้งสิ้น

ผมอยู่ในสภาพนั้นอย่างเดียวดาย

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มจนเกือบเป็นสีดำเป็นสีที่สว่างขึ้น ดั่งจะมอบความหวังให้กับผู้คน แต่ผมในตอนนี้กลับไม่ได้รับความหวังนั้นเลย ความหวังนั้นเป็นของคนอื่น

ประตูห้องยังคงปิดเงียบ ไม่มีเสียงหรือแม้แต่การขยับนับตั้งแต่ผมก้าวเข้ามา ผมเหม่อมองมันอย่างอ่อนล้า ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังหน้าปัดนาฬิกาเหมือนก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมยังมีเรี่ยวแรงและความหวังริบหรี่อยู่ในใจ

ไนล์ยังไม่กลับ...

...ตั้งแต่เมื่อวาน

ใจของผมร้อนรนยิ่งกว่าเดิม ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง โทรหาเบอร์เดิมที่เมื่อคืนผมได้ลองติดต่อเข้าไป ภาวนาอยู่ในใจให้ได้ยินเสียงของเขาแทนที่จะเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้กับน้ำเสียงชืดชา ซึ่งในครั้งนี้ความหวังของผมก็เป็นจริง เสียงสัญญาณดังว่าโทรศัพท์ได้เปิดเครื่องแล้ว และมีคนกำลังรับสาย

ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

แต่เพียงครู่เดียว...

รอยยิ้มของผมก็หุบลงเหมือนคนหมดแรง

เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่ไนล์

แต่เป็นเสียง...ของผู้หญิงคนหนึ่ง

[สวัสดีค่ะ ตอนนี้ไนล์ไม่สะดวกรับสายนะคะ]

“เอ่อ...” ผมอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง เพราะไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอย่างไร ผมไม่ได้เผื่อใจเอาไว้ว่าจะมีคนอื่นนอกจากเขารับสาย แต่สุดท้ายก็เค้นความคิดเดียวที่แวบผ่านเข้ามาในหัวออกมาเป็นคำพูดได้ “ไนล์ไปไหนล่ะครับ”

[ไนล์อาบน้ำอยู่ค่ะ เข้าไปได้สักพักแล้ว อีกแป๊บคงออกมาค่ะ จะถือสายรอไหมคะ เดี๋ยวจะได้บอกไนล์ไว้]

คำตอบของเธอทำให้ผมเหมือนหยุดหายใจไปชั่วครู่หนึ่ง ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าในตอนนี้ผมยังจำวิธีการหายใจได้อยู่หรือเปล่า ทั้งที่ผมรู้ว่าเขาเคยออกไปกับผู้หญิงหลายครั้งและหลายคน แต่เมื่อได้ยินชัดๆ เต็มสองหูว่าเขาอยู่กับเธอ...ทั้งคืน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผมก็ราวกับหยุดนิ่งอยู่กับที่

อยู่ๆ ผมก็นึกถึงชื่อของเจ้าของเสียงนี้ขึ้นมาได้ คนที่โทรมาขอนัดกับไนล์

ในเวลานี้ผมรู้สึกว่าเสียงของตัวเองแหบแห้งลงไปอย่างไร้สาเหตุ ลำคอของผมแห้งผากจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดได้ สิ่งเดียวที่ผมทำในตอนนี้คือกดตัดสายไปพร้อมกับความรู้สึกปวดหนึบในหัวใจ และเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินลอดผ่านหูโทรศัพท์เข้ามาเป็นเสียงของไนล์

เหมือนกับจะยืนยันว่า... ผมไม่ได้เข้าใจผิดไปเองแม้แต่นิดเดียว

[ทำไมรับโทร...]

เสียงของไนล์หยุดไปโดยยังไม่จบประโยค เช่นเดียวกับเรี่ยวแรงของผมที่หมดลง ผมวางโทรศัพท์ลงบนที่นอน แต่คล้ายว่ามันจะหลุดออกจากมือผมก่อนที่จะวางมันเสียด้วยซ้ำ หัวสมองของผมมึนตื้อไปหมดจนคิดอะไรไม่ออก ประโยคเมื่อครู่ของไนล์ยังดังก้องอยู่ในหัวผมไม่เลิก

ทั้งที่ผมไม่อยากเชื่อ บอกตัวเองมาตลอดทั้งคืนว่ามันคงไม่ใช่ ถึงต่อให้อับจนหนทางแค่ไหน ไนล์คงไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้น แต่แล้วก็เหมือนทุกอย่างพังทลายลง

แล้วถ้าอย่างนั้น... ไนล์เข้ามาในชีวิตของผมเพื่ออะไร?

คำถามเดิมที่ผมไม่เคยได้รับคำตอบไม่ว่าจะถามสักกี่ครั้งย้อนกลับเข้ามาในหัว ก่อนหน้านี้ผมอาจจะอยากรู้เหตุผล ผมจะได้จัดการกับมันได้ แต่เวลานี้ มันเหมือนเครื่องทรมานชิ้นดีที่เขายัดเหยียดให้

เขาเข้ามาทำให้ผมสับสน

ทำให้ผมวุ่นวายใจ

ทำให้ผมร้อนรน

ทำให้ผม...เหมือนจะ............ชอบเขา

แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่

ผมได้แต่ทิ้งตัวลงบนที่นอน ที่นอนแคบๆ ที่ผมกับเขาเคยนอนหันหลังชนกัน ...ที่ที่เขาเคยกอดผม

ทุกอย่างเหมือนภาพลวงตา

เปลือกตาปิดลงช้าๆ กล่อมตัวเองให้เข้าสู่ห้วงแห่งความฝันเพื่อให้พ้นจากความสับสนนี้ แต่มันก็ไม่สำเร็จ ไม่ว่าอย่างไรผมก็ไม่สามารถข่มตาลงได้ ไม่ต่างจากเมื่อคืน ได้แต่ปิดตาและหายใจทิ้งเพื่อข้ามผ่านเวลาไปเรื่อยๆ

กระทั่งเสียงประตูดังขึ้น ผมไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรหลังจากผมวางสายโทรศัพท์นั้น หรือตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว ร่างที่เหมือนจะหมดเรี่ยวแรงอยู่ๆ ก็ราวกับได้รับพลังมหาศาลขึ้นมาในบัดดล ผมผุดตัวขึ้นนั่งทันที สายตาจ้องมองไปยังบานประตูที่ค่อยๆ แง้มออกจากวงกบ

ร่างของคนที่ผมรอคอยมาตั้งแต่เมื่อคืนปรากฏผ่านกรอบประตูเข้ามา สีหน้าของเขายังคงนิ่งเฉย เฉื่อยชา ราวกับไร้ชีวิตและไร้ความรู้สึกเช่นเดิม

ผมนึกประโยคแรกที่จะพูดกับเขาไม่ออก

ช่วงเวลานั้นเหมือนเวลาหยุดเดินลง ผมได้แต่มองใบหน้าของเขา ขณะที่เขาก็มองผมเช่นเดียวกัน และสุดท้ายก็ไม่ใช่ผมที่เป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน เพราะเราเอาแต่มองหน้าและไม่มีเสียงใดๆ ลอดผ่านริมฝีปากของผมเลย

“มีอะไร”

“นาย...” ผมหยุดคำถามว่า นายไปที่ไหนมา เอาไว้เท่านั้น เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมมีสิทธิ์จะไปซักไซ้ไล่ถาม ก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วเปลี่ยนเป็นคำถามที่ดูเหมาะสมกว่าแทน “ไหนบอกว่าจะกลับไม่ดึก”

“พอดีมีเหตุนิดหน่อย”

ไนล์กลับมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าหรือน้ำเสียงเลยสักนิด ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงของเขายังไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เหมือนเดิม จนผมไม่แน่ใจว่าเพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรือเพราะว่าผมไม่สามารถจับความเปลี่ยนแปลงได้กันแน่ แม้พักหลังมานี้ผมจะรู้สึกว่าพอจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเขาขึ้นมาได้บ้าง ถึงจะเล็กน้อยจนแทบเรียกได้ว่าเข้าใจไม่ได้ก็ตาม แต่ผมก็ยังรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทว่าไม่ใช่สำหรับเวลานี้ และมันก็กวนให้อารมณ์ที่ผมใช้เวลาทั้งคืนในการทำให้มันตกตะกอนลงไป ฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง ปากของผมพ่นคำพูดออกไปเร็วกว่าความคิด

“กับผู้หญิงคนที่รับโทรศัพท์อย่างนั้นเหรอ”

รู้สึกได้เลยว่าไนล์ชะงักไปนิด ผมคงจะพูดโดนจุดของเขาเข้า ริมฝีปากสีพีชขบเข้าหากันหน่อย ดังจะตอกย้ำความคิดของผมให้ลึกลงไปกว่าเดิม เหมือนจมอยู่ในบ่อโคลนมากยิ่งขึ้น

“ไม่กลับทั้งคืน อยู่กับผู้หญิง อาบน้ำตั้งแต่เช้าตรู่ จะให้ฉันคิดยังไง”

ความมีเหตุผลของผมมันปลิวกระจายหายไปหมดแล้ว ผมรู้สึกถึงความร้อนที่กรุ่นอวลอยู่ในร่างและสุ่มอยู่ในอกขึ้นมาฉับพลัน น้ำเสียงที่เปล่งออกมาห้วนกว่าปกติจนรู้สึกได้ แต่ผมก็ไม่ได้ปรามให้ตัวเองใจเย็นลงเลย เพราะรู้ว่าหากผมยังทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนเดิม ย่ำอยู่บนโคลนอยู่อย่างนั้นให้ตัวผมค่อยๆ จมลึกลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ถอนตัวออกมาไม่ขึ้น ซึ่งผมไม่ต้องการอีกแล้ว

แต่คำตอบของผมกลับไร้คำตอบ ไนล์เมินผมไปราวกับว่าเป็นผมเสียเองที่กลายเป็นธาตุอากาศ ไม่มีชีวิตอยู่ในห้องนี้แทนที่จะเป็นเขาอย่างทุกที เขาเดินตรงไปยังประตูระเบียง เปิดประตูออกและคว้าพู่กันที่วางเอาไว้ตรงโต๊ะใกล้ๆ เพื่อจะกลับไปสู่โลกแห่งความสงบของเขา แต่ว่าผมก็คว้าแขนเขาเอาไว้พร้อมกับกระชากร่างผอมบางนั้นกลับเข้ามาในห้อง

“อย่าหนี”

“...”

ไนล์ยังคงเงียบ เขามองหน้าผมอย่างเลื่อนลอย ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่มีตัวตน สามารถมองทะลุไปได้ แววตาของเขาไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย จึงยิ่งทำให้อารมณ์ของผมพัดกระพือขึ้นมาอีกโหมใหญ่

“บอกฉันมาสิว่านายไม่ได้ทำแบบนั้น”

“...”

“ไนล์”

ผมกดเสียงต่ำ เรียกชื่อของเขาด้วยความคุกรุ่นอย่างไม่ปิดบัง จ้องมองดวงตาของเขาเพื่อบีบเค้นให้เขายอมเปล่งเสียงออกมา และในที่สุดมันก็สำเร็จ เสียงของไนล์แผ่วหวิวจนแทบไม่ได้ยิน

“...ฉันทำอะไร”

“ยังต้องให้ฉันถามออกมาชัดๆ อีกอย่างนั้นเหรอ”

“ถ้านายไม่พูด ฉันจะรู้ได้ยังไง”

เขายังตอบกลับมาเหมือนกับไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่น้อยได้อย่างแนบเนียน ซึ่งมันก็ทำให้ผมเผลอออกแรงที่มือมากขึ้น บีบแขนของเขาจนรู้สึกได้ถึงกระดูกที่อยู่ข้างใน ถึงแม้ว่าแขนนั้นจะผอมจนแทบไม่มีเนื้ออยู่แล้วก็ตาม

“ฉันถามจริงๆ เถอะ นาย...” ผมกลืนน้ำลายหนืดๆ ก้อนใหญ่ลงคอ พยายามเปล่งเสียงออกมาให้ดังและชัดเจนที่สุด แต่สิ่งที่เล็ดลอดออกมากลับเบาจนแทบปลิวหายไปหากถูกลมพัด “ขายตัวใช่ไหม”

คำถามของผมถูกหยุดเอาไว้ เช่นเดียวกับคำตอบของเขาที่ควรจะหลุดออกมา ไนล์เม้มริมฝีปากเข้าหากัน ความเงียบสอดแทรกเข้ามาตรงกลางระหว่างเราเนิ่นนานนับนาที เขาไม่พูด ผมหยุดพูด มีแต่ความเงียบที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา ถึงกระนั้นผมก็ยังจับจ้องเขาไม่วางตา ในเวลานี้ความหม่นมัวที่เคลือบอยู่บนแววตาของเขาเปลี่ยนเป็นความสั่นไหว มันค่อยๆ ระริกมากขึ้นจนผมรู้สึกได้ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกกลัว...อย่างไร้เหตุผล

หัวใจของผมสั่นไหวเหมือนถูกเขย่า เย็นวูบราวกับถูกไอเย็นพัดผ่าน

“เอาอะไรมาพูด”

สุดท้ายไนล์ก็ยอมเปิดปากออกมาอีกครั้ง หลังจากเราต่อสู้ด้วยความเงียบจนเขาต้องพ่ายแพ้ แต่มันเป็นคำตอบที่ผมไม่ต้องการ

“อย่าเฉไฉ”

“นายเอาเรื่องแบบนี้มาจากไหน”

“เขารู้กันทั่วคณะนายไม่ใช่เหรอ”

ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนว่าเขาจะชะงักไปทันที คงไม่คิดว่าผมจะไปได้ยินข่าวลือจากคณะของเขา เพราะถึงเพื่อนสนิทของผมจะอยู่คณะวิศวะเหมือนกับไนล์ แต่ก็นับครั้งได้ที่ผมจะเหยียบย่างไปที่คณะนั้น คงไม่มีทางอยู่แล้วที่ผมจะรู้ และไอ้กัสกับไอ้เคลมก็ไม่ใช่คนที่จะสนใจเรื่องข่าวลือของผู้ชายแล้วเอามาเล่าต่อด้วย

“ตอบมาสิว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด นายไม่ได้ทำแบบนั้น” มันเหมือนกับคำพูดขอร้องอ้อนวอนของคนที่ไม่ยอมรับความจริง แต่เปล่าเลย ผมจบคำพูดของตัวเองด้วยการต่อประโยคที่คงทำให้ร่างกายที่เหมือนจะโปร่งแสงของเขายิ่งเลือนรางไปอีก “ถ้ากล้าพอ”

เราท้าทายกันด้วยแววตา ผมจ้องตา เขาไม่หลบสายตา มือของผมยังกำแขนของเขาเอาไว้ไม่ปล่อย ขณะเดียวกันเขาก็ไม่สะบัดมือของผมออกคล้ายกับจะบอกว่าไม่เกรงกลัวต่อการเผชิญหน้า

แววตาที่ไหวระริกเมื่อครู่ของเขาเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง มันเป็นประกายแรงกล้าขึ้น สะท้อนถึงความมีชีวิตที่สูง มากกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยเห็น ไนล์ขยับตัวเข้ามาใกล้ผม เชิดใบหน้าเรียวขาวนั่นเพื่อประจันกัน

“ใช่ ฉันขายตัว แล้วยังไง”






อ่านต่อข้างล่าง

v

v

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2015 00:03:41 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน

v


v

ผมชะงักไปครู่หนึ่ง จ้องมองแววตาของเขาส่องสะท้อนความท้าทาย คล้ายต้องการแสดงให้ผมเห็นอย่างชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องที่เขาไม่รู้สึกใดๆ นอกจากมั่นใจกับการกระทำนั้น ชั่ววินาทีนั้น เหมือนกับว่าผมหงายหลังตกลงไปในเหวลึก เสียงเหือดหายไปราวกับทิ้งดิ่งลงยังก้นเหวก่อนที่ตัวของผมจะตกลงไปเสียด้วยซ้ำ จนผมต้องเค้นมันออกมาอีกครั้ง

“นายทำแบบนั้นทำไม”

“แล้วทำไมฉันจะทำไมได้”

“นายไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง ที่เที่ยวไปเร่ขายตัวให้คนอื่น”

ผมเถียงกลับทั้งที่รู้สึกว่ากำลังถูกอะไรบางอย่างเสียดแทงร่างเพราะประโยคสุดท้าย

“ฉันจำเป็นต้องรู้สึกอะไรด้วยหรือไง”

“ไนล์!”

ทนไม่ไหว ผมทนไม่ไหวจริงๆ เป็นครั้งแรกที่ผมสามารถตะโกนออกมาเสียงดังได้แบบนี้ตั้งแต่เขาก้าวเข้าห้องมา ความรู้สึกไม่พอใจโจมตีเข้ามาในใจผมอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนวูบเหมือนโดนไฟลาม รู้สึกถึงแววตาของตัวเองที่เขม็งมองเขามากกว่าเดิม แต่ไนล์ไม่สะทกสะท้าน เขามองผมด้วยแววตาที่ด้านชา

“ทำไม หรือว่านายอยากจะซื้อฉันด้วยเหมือนกัน”

“ไนล์!!”

เสียงของผมตะเบ็งดังกว่าเดิม แต่ก็ไม่ทำให้เขาเปลี่ยนจุดยืนของตัวเอง ไนล์ดึงแขนของผมจนมือที่บีบแขนเขาอยู่หลุดออกไป ก่อนจะผลักผมอย่างแรงจนหงายหลังลงกระแทกที่นอนซึ่งอยู่ไม่ห่างนัก แล้วตามมาขึ้นคร่อมผมเอาไว้

“จะทำอะไร”

“บริการไง อยากจะซื้อฉันใช่ไหมล่ะ”

ดวงตาของผมลุกโพลงกับคำตอบที่ย้ำชัดอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าเรี่ยวแรงหดหายไปชั่วครู่เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเข็มขัดของผมก็กำลังถูกปลดออก ผมดันไหล่ของไนล์ออกเพื่อให้เขาพ้นออกไปจากตัว ทว่ามันไม่เป็นอย่างที่หวัง เพราะเขาเลื่อนลงตัวต่ำอีกนิดเพื่อให้ผมเอื้อมถึงเขาได้น้อยที่สุด จากนั้นปลดกระดุมกางเกงยีนของผม และกระชากกางเกงทั้งชั้นนอกและชั้นออกอย่างไม่ไยดี จนมันหลุดไปกองอยู่เหนือเข่า

ผมดันร่างท่อนบนขึ้นเพื่อออกแรงผลักเขาได้มากขึ้น แต่จุดที่อยู่กึ่งกลางของร่างของผมกลับถูกเขาคว้าเอาไว้ก่อน ผมจึงต้องใช้เสียงห้ามปราม

“ไนล์ หยุด!”

แต่เขาไม่ฟัง มือของไนล์เริ่มขยับ เขาเกลี่ยที่ส่วนปลายก่อนจะรูดรั้งส่วนที่ยังไม่ตื่นขึ้นมาของผม จนผมต้องกัดปากแน่นแล้วรีบผลักเขาออกก่อนที่อะไรๆ จะลุกลามมากไปกว่านี้

“ไนล์ ฉันบอกให้ปล่อย อย่าทำแบบนี้ ฉันไม่ต้องการ”

“หรือว่าอยากให้ฉันบริการอย่างเต็มที่มากกว่านี้ล่ะ ได้ ไหนๆ ก็เป็นคนคุ้นเคยกันอยู่แล้วนี่ ฉันจะเต็มที่กับนายเลย”

แทนที่จะฟังกันบ้างหรือว่าผ่อนปรนสิ่งที่ทำอยู่กลับกลายเป็นว่าเขาละมือออกจากส่วนนั้นของผมแล้วครอบปากลงไปแทน ผมตาเหลือกโพลงแทบจะอ้าปากค้างกับเหตุการณ์ที่ไม่นึกไม่ฝัน และมันก็ทำให้ผมยิ่งบังคับตัวเองให้สงบนิ่งต่อไปได้ยากขึ้น ลมหายใจของผมเริ่มติดขัดทีละนิด ส่วนที่ควรที่จะอ่อนปวกเปียกกลับค่อยๆ ขืนตัวขึ้นทีละน้อยภายในอุ้งปากอุ่นชื้น

ลิ้นร้อนๆ ลากเลียไปตามความยาวของมันพร้อมกับปากอุ่นที่พยายามดูดกลืนตัวตนของผมเข้าไป ราวกับจะรีดเค้นอะไรบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้อยู่ลึกๆ ให้พุ่งทะยานออกมา ผมตัวเกร็ง กลั้นหายใจไปชั่วครู่ ร่างกระตุกเมื่อถูกหยอกเย้ายังส่วนปลายที่ผมรู้สึกว่าน้ำบางอย่างกำลังเอ่อขึ้นมาผสมกับน้ำลาย

ริมฝีปากของไนล์ถูไถไปกับท่อนเนื้อของผมเป็นจังหวะ ขณะที่ปลายลิ้นก็ดุนดันสลับตวัดหยอกไปด้วยจนผมขนลุกซู่ไปทั่วร่าง สติยั้งคิดที่อยากจะผลักไสอีกฝ่ายออกเริ่มรางเลือน ถึงกระนั้นผมก็ยังข่มความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ให้มากที่สุดแม้ว่าสัญชาตญาณดิบจะยังแสดงออกอย่างสวนทาง

ความฉ่ำเยิ้มเอ่อรินออกมามากขึ้นโดยที่ไม่ต้องเห็นก็รู้ตัวได้ เสียงเฉอะแฉะสะท้อนอยู่ในห้องเงียบๆ ที่อยู่ปลายสุดของแมนชั่นเก่าๆ ไนล์ยังคงบรรจงเล่นสนุกกับร่างกายของผม จนผมหายใจกระตุกเป็นห้วงๆ หน้าท้องหดเกร็งจนเห็นเป็นลอนคลื่น ผมยื่นมือที่กำแน่นเพราะพยายามขัดขืนธรรมชาติของลูกผู้ชายอย่างสุดกำลังและออกแรงผลักไนล์อย่างสุดแรง

“พอแล้ว!!”

ปากของไนล์หลุดออกไปแล้ว ผมเป็นอิสระ ทว่าเขายังไม่เลิกล้มความตั้งใจ สีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ นั้นขยับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง ไนล์มองหน้าผมโดยไม่ละสายตาขณะที่มือของเขาเริ่มปลดเปลื้องกางเกงของตัวเอง

“จะทำอะไร”

ผมถาม แต่เสียงกลับดังก้องอยู่เพียงแค่ในลำคอ จนเหมือนว่าเขาไม่ได้ยิน ผมจึงฉุดตัวลุกขึ้นแทน แต่ก็ไม่ทัน เพราะเขาผลักผมลงล้มลงไปนอนบนเตียงอีกครั้งก่อนจะคร่อมผมอีกรอบตามด้วยประกบปากลงมา

ลิ้นที่เมื่อครู่เพิ่งปรนเปรอผมโดยที่ผมไม่เต็มใจสอดเข้ามาในปากของผมอย่างไม่ทันตั้งตัว มันกวาดต้อนภายในพร้อมกับดูดดึงกลีบปากของผมไปด้วย นานอยู่หลายวินาทีกว่าที่ไนล์จะยอมปล่อยให้ผมได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เขากระตุกยิ้มเบาๆ จนแทบจะไม่เห็นและเอื้อนเสียงออกมา

“ถ้าอยากได้ก็จะให้”

ผมไม่เข้าใจแม้แต่น้อย คำพูดของเขากลับมาทำให้ผมสับสนและมึนงงอีกครั้ง แต่มันก็เพียงครู่เดียวที่ผมรู้สึกอย่างนั้น เพราะไนล์บดริมฝีปากสีพีชที่เข้มขึ้นกว่าปกติลงมาที่ปากของผมอีกรอบ มันแนบแน่นยิ่งเดิม ดื่มด่ำมากกว่าที่เคย ผมพยายามเกร็งลิ้นเอาไว้ให้แข็งมากที่สุดเพื่อไม่ให้คล้อยตามไปกับการชักนำของเขา แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ พยายามงัดก้อนหินในปากของผมให้อ่อนลงทุกที ก่อนที่ผมจะรู้สึกอะไรบางอย่าง และมันก็ทำให้ผมต้องเบิกตากว้างแทบถล่น

“อาย!!”

ผมตะโกนออกมา แต่เพราะถูกปิดปากเอาไว้แน่นมันจึงออกมาได้เพียงเสียงอู้อี้เท่านั้น สิ่งที่ผมเห็นมีเพียงตาของเขาที่ปิดลง มันไม่ชัดนักเพราะอยู่ใกล้มากเกินไป สองมือของผมพยายามดันร่างที่ทับอยู่บนตัวให้มากที่สุด ดิ้นรนราวกับจะเอาชีวิตรอด ตะเกียกตะกายอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สิ่งที่กำลังกดทับลงมากลับไม่ห่างออกไป มิหนำซ้ำมันยังส่งกำลังมากขึ้นกว่าเดิม

ปลายยอดที่ฉ่ำแฉะอย่างไม่เต็มใจนั้นกำลังถูกบีบรัดทีละนิด ขณะเดียวกันปากที่บดลงมาก็ยิ่งขยี้หนักขึ้น มันบดหนักเคล้ากับดูดดึงราวกับจะกลืนกินจนผมรู้สึกว่าได้กลิ่นคาวของเลือด แต่ไนล์ก็ไม่ยอมจะปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระ พอผมดันไนล์จนริมฝีปากเราผละออกจากได้ เขาก็กดมันลงมาอีกครั้ง หลายต่อหลายครั้งที่มันวนเวียนอยู่แบบนี้

จากทีแรกที่ริมฝีปากกดทับลงมาก็กลับกลายฟันของเขากระทบลงมาแทน พร้อมกับร่างของผมถูกบีบรัดมากขึ้นเรื่อยๆ มันทั้งเจ็บและทรมานจนผมเริ่มหายใจไม่ออก แต่ปากของผมก็ไม่ถูกปลดปล่อยออกมา กลิ่นสนิมเหล็กคลุ้งมากขึ้นจนผมรู้สึกได้ถึงรสชาติของเลือด

ผมรอจังหวะที่ไนล์ผละปากออกมาจากผมนิดหน่อยเพื่อหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด ยกมือขึ้นมาปิดปากเขาเอาไว้ ไนล์ซึ่งไม่สามารถใช้มือมากระชากมือผมออกจากปากของเขาได้ เพราะกำลังใช้มันในการบีบบังคับให้ร่างกายของเราเชื่อมต่อกัน จึงหันไปสนใจกับส่วนล่างเพื่อให้การกลืนกินผมเข้าไปอย่างยากลำบากนั้นดำเนินต่อไปมากขึ้น ขณะเดียวกันเขาก็กัดปากของตัวเองแน่น จนมือของผมรู้สึกได้

ผมไม่สามารถปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปได้แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเข้าไปในตัวเขาทั้งอย่างนี้

คิดดังนั้นแล้วผมจึงใช้โอกาสนี้ในการผลักตัวเขาออกไป จนในที่สุดผมก็หลุดพ้นจากพันธนการของเขา ไนล์ล้มลงไปทางด้านหลัง ทำให้ส่วนที่สอดแทรกอยู่ในกายเขาไม่ถึงครึ่งหนึ่งหลุดออกมา เราต่างเป็นอิสระต่อกัน และผมก็เห็นว่าบนริมฝีปากของเขามีเลือดซึม

“อยากซื้อฉันไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่ใช้ให้คุ้มค่าซะล่ะ ฉันคิดค่าตัวแพงนะ เอาให้มันคุ้มกับที่นายต้องจ่ายซะสิ”

ไนล์ลุกขึ้นมานั่งคร่อมผมอีกครั้ง ประจันหน้ากับผมที่ดันตัวขึ้นมานั่งแล้วเช่นเดียวกัน เขามองหน้าผมโดยที่พูดอย่างนั้นโดยไม่แม้แต่กะพริบตา

“หรือไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้ กลัวฉันเอานายไปเปรียบเทียบกับลูกค้าคนอื่นหรือไง หรืออยากให้ฉันเล่าว่าตอนถูกลูกค้ากระแทกเข้ามาแรงๆ ฉันมีความสุขมากแค่ไหน”

อารมณ์ที่ปรับให้สงบลงของผมเหมือนโดนคลื่นลูกใหญ่ซัดโถมเข้ามาเพราะคำพูดของเขา เพียงแค่คิดว่าเขาเคยปรนเปรอใครต่อใครด้วยร่างกายนี้ก็ทำให้ผมเริ่มมีน้ำโห จากตอนแรกที่อยากจะหยุดเรื่องบ้าๆ นี่ที่ผมไม่ต้องการแม้แต่น้อยลงไป

“ถ้าทำไม่ได้ นายก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายว่าฉันจะขายตัวให้ใคร ฉันจะขายให้ใครก็ได้ที่เขามีเงิน แต่ถ้าทำให้ฉันมีความสุขได้ ก็ยิ่งดี ต่อให้ทำมากเท่าไร...”

ไม่ต้องรอให้ไนล์พูดจบประโยคอีกต่อไปแล้ว ผมโถมเข้าใส่เขาแทน พลิกร่างของเขาที่อยู่ข้างบนให้กลับมาอยู่ข้างล่าง ก่อนจะประกบปากลงไปบดเบียดเรียวปากที่พ่นคำพูดระคายหูจนอกของผมแทบจะระเบิดอย่างรุนแรง สองมือของผมช่วยกันถอดเสื้อยืดที่เขาสวมอยู่ออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไนล์เองก็ไม่ได้ห้าม เขาตอบรับจูบร้อนๆ จากผมให้มันยิ่งรุ่มร้อนหนักกว่าเก่าจนกลิ่นคาวก่อนหน้านี้หายไป

สติยั้งคิดใดๆ ของผมหมดสิ้นลงไปแล้ว ผมหน้ามืดตามัวเล็มไล้ยอดอกของเขาอย่างหิวกระหาย ดูดเลีย เกี่ยวตวัดยอดนิ่มๆ นั่นจนมันเริ่มขืนตัวจนแข็งมากขึ้น ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปซุกไซ้ที่ซอกคอชื้นเหงื่อที่ผสมกับกลิ่นสบู่ พอได้กลิ่นนั้นแล้วก็ทำให้ความร้อนในตัวผมยิ่งโหมกระพือจนทนไม่ไหว ไม่อยากคิดจินตนาการไปว่าเมื่อคืนไนล์กับผู้หญิงคนนั้นเร่าร้อนกันแค่ไหน เพราะเพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมรู้สึกจะเป็นบ้าแล้ว

ปากของผมขบเม้มดูดแรงๆ ที่ต้นคอของไนล์จนเกิดเป็นรอยสีแดงจัด เสียงครางอื้อเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากกลีบปากที่ขบกันแน่นราวกับไม่อยากให้ผมได้ยินเสียงน่าอายนั้นสะท้อนก้องในหู ผมจึงไล่ปากต่ำลงมาและประทับร่องรอยเรื่อยมาตามทางที่ปากลากผ่าน ทั้งกลางอก เนินเนื้อแบนๆ ที่แทบไม่มีกล้ามเนื้อนูนขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยนั่น กระทั่งหน้าท้องเรียบจนเกือบจะเป็นแอ่งลงไปเพราะร่างกายที่ผอมบาง

ส่วนกลางร่างกายที่ผงาดขึ้นมาและเปียกเปื้อนด้วยคราบสีขุ่นนั้นอยู่ต่อหน้าผม ผมจับมันขึ้นมารูดเบาๆ แต่เท่านั้นก็ทำให้ร่างกายของไนล์กระตุกแล้ว ถึงผมจะไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าทำแบบไหนถึงจะทำให้ผู้ชายมีความสุขจนสำลัก ผมเกลี่ยปลายนิ้วลงบนจุดบนสุดไปรอบๆ และเน้นย้ำตรงกลางที่มีรูเล็กๆ จนน้ำที่เอ่ออยู่แล้วยิ่งล้นออกมา

“อื้อ”

เสียงของไนล์ดังออกมาอีกครั้งและดังขึ้นกว่าเดิมคล้ายกับว่าเขาเริ่มจะทนไม่ไหว ผมจึงเปลี่ยนมากอบกุมลำแท่งนั้นไว้แล้วรูดขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างหนักหน่วง

ร่างกายของไนล์สั่นเทา บิดเร่าไปมา เสียงในลำคอเปล่งออกมาเรื่อยๆ ราวกับคนกำลังทรมานและอัดอั้น ก่อนทั้งร่างจะกระตุกสั่นพร้อมกับสายน้ำทะลักออกมาจนแทบกระเซ็นใส่หน้าของผม เสียงหอบหายใจกังวานในห้องแคบๆ นี้ มันหลอนประสาทผมจนรู้สึกปวดหนึบที่จุดรวมประสาท เมื่อรวมกับภาพเบื้องหน้าที่ใครอีกคนกำลังหอบสะท้านจนอกกระเพื่อมขึ้นลงแรงๆ ใบหน้าที่ปกติไม่ค่อยมีความเปลี่ยงแปลงกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ เหงื่อเกาะพราวจนเห็นเป็นเงา ผมก็เริ่มที่จะทนต่อไปไม่ไหว

ก้อนอะไรบางอย่างที่กีดขวางในลำคอถูกกลืนลงไปโดยที่ผมไม่ได้บังคับมันด้วยซ้ำ สองมือของผมจัดการดันขาทั้งสองข้างของไนล์ให้ตั้งชันขึ้นโดยที่ผมไม่ได้สั่ง เปิดทางให้ผมเห็นส่วนด้านหลังที่ก่อนหน้านี้ไนล์พยายามใช้มันเล่นงานผม ผมมองมือตัวเองที่เปรอะเลอะคราบขุ่นๆ ก่อนจะนำคราบเล่านั้นไปละเลงลงยังจุดที่จะให้ผมสอดแทรกกายเข้าไป แต่ดูท่าแล้วมันคงจะไม่เพียงพอ เพราะรู้แล้วว่าผมคงไม่สามารถเข้าไปตัวเขาได้หากไร้ตัวช่วย

ผมมองหาของอะไรบางอย่างที่จะพอใช้ได้ ผมไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน เลยไม่รู้ว่ามันจะใช้ได้ไหม แต่ผมก็หยิบโลชั่นกันแดดที่ผมเอามาทิ้งไว้ที่นี่ซึ่งอยู่ไม่ห่างมือนักมา บีบของเหลวมันลื่นนั่นใส่เต็มมืออย่างไม่เสียดาย ก่อนจะอาบชโลมมันไปยังเส้นทางที่ผมจะเข้าไปต่อจากนี้ พลางใช้นิ้วมือที่เลอะโลชั่นลื่นๆ นั้นกวาดวนไปทั่วส่วนที่ผมไม่เคยสัมผัสกับมันมาก่อนจนมันเริ่มขยายตัว จากที่เคยขืนแข็งก็อ่อนลง

“อะ...อื้อ”

ภายในตัวของไนล์บีบรัดนิ้วของผมเป็นพักๆ ขณะเดียวกันสะโพกของเขาก็ขยับไปด้วย เสียงร้องเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากปากของเขาเป็นระยะ จนร่างกายของผมตื่นตัวมากขึ้นอย่างรู้สึกได้

เมื่อเห็นว่ามันน่าจะพอใช้ได้เพราะเปียกชุ่มด้วยน้ำสีขาวและนุ่มลงแล้ว ผมก็ค่อยๆ จับส่วนนั้นของผมเข้าไปใกล้ ออกแรงดันมันเข้าไปยังหลุมลึกที่รออยู่ตรงหน้าจนไนล์สะดุ้ง แต่มันเข้าไปง่ายกว่าที่คิด ผมจึงดันเข้าไปอีกเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีแรงฝืนต้านอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ยากลำบากนัก ถึงกระนั้นมันก็ทำให้ผมแทบกลั้นหายใจ

ไนล์กระชากผ้าปูที่นอนด้วยสองมือที่วางอยู่ราวกับทุกข์ทรมานแต่ผมไม่ได้สนใจ สอดกายเข้าไปให้ลึกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่มือทั้งสองข้างก็ดันต้นขาของเขาให้อ้าออกกว้างมากขึ้นเพื่อให้ผมทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้สะดวกยิ่งขึ้น กระทั่งผมเข้าไปได้จนสุด ผมก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เช่นเดียวกับไนล์ที่ผ่อนแรงลงจากมือทั้งสอง

แต่พักเพียงแค่ครู่เดียว ผมก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง สวนแรงกระแทกเข้าไปในร่างของเขา เริ่มจากจังหวะที่ค่อนข้างทุลักทุเลในคราวแล้ว เพราะเพียงผมดันตัวเข้าไป แรงบีบรัดก็ทำให้ผมเสียจังหวะไปทุกที แต่ผมก็กลับมาตั้งลำใหม่แล้วส่งแรงออกไปอีกครั้ง ก่อนจะถอนกลับออกมาจนเกือบสุดแล้วย้ำน้ำหนักเข้าไปอีก... แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จากที่กระท่อนกระแท่นจึงค่อยๆ กลายเป็นจังหวะที่สอดประสานรับกันดีมากขึ้น

ผนังนุ่มที่ตอดรัดผมอยู่ทำให้ผมไม่สามารถหยุดการกระทำของตัวเองลงได้ ยิ่งไนล์บีบรัดผมมากเท่าไร ผมก็ยิ่งโหมกระหน่ำอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น เขาเองก็เช่นเดียวกัน ยิ่งผมโถมซัดด้วยการรุกเร้าที่มากขึ้น สะโพกของเขาก็โยกคลอนไปตามจังหวะของผมและเบียดร่างให้ชิดกันยิ่งกว่าเดิม

ร่างของเราเสียดสีกันทั้งภายในและภายนอก ทั้งเสียงหอบครางและเสียงเนื้อกระทบกันของเราทั้งคู่ดังเป็นจังหวะผสานสลับ สะท้านก้องไปทั่วทั้งห้อง ใบหน้าร้อนผ่าว โคนผมเปียกชื้น เหงื่อหยดกระเซ็นทุกครั้งที่ขยับร่างกายเข้าหากันและกันอย่างบ้าคลั่งราวกับอดยาก ก่อนที่ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วร่างจะรวบรวมมาจดจ่ออยู่เพียงที่เดียวและระเบิดออกมา ไนล์บีบเคล้นผมหนักกว่าเดิมเพราะไม่สามารถสกัดกั้นอารมณ์ต่อไปไหวและปลดปล่อยออกมาจนกระเซ็นไปทั่วท้องและอกของผม

ภายในของไนล์เปียกแฉะ ผมถอยร่นตัวออกมาอย่างเชื่องช้า พร้อมๆ กับหยาดน้ำสีขุ่นที่ไหลย้อนออกมาในทิศทางเดียวกัน และเปื้อนลงบนที่นอน ผมทิ้งตัวลงบนร่างของไนล์อย่างเหนื่อยอ่อนสิ้นแรง ฟุบหน้าลงบนที่นอนข้างใบหน้าของเขา

นานแล้วที่ผมไม่ได้เหนื่อยขนาดนี้

ผมไม่ได้เป็นพวกที่ชอบเที่ยวเล่นเหมือนอย่างไอ้กัสไอ้เคลม ที่ตะลอนๆ หิ้วสาวเข้าห้องได้ทุกวี่ทุกวัน นานมาแล้วที่ผมได้มีเซ็กซ์กับใครสักคน นานจนผมเกือบจะลืมรสชาติของมันไปแล้วว่าตอนที่ถูกตอดรัดเป็นอย่างไร การตอบสนองของอีกฝ่ายที่ต้องการเราเช่นเดียวกันเป็นแบบไหน แต่วันนี้ผมได้รับรู้ถึงมันอีกครั้ง

ผมหลับตาลงซึมซาบความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ราวกับทบทวนความทรงจำ ฟังเสียงหายใจถี่ๆ และไอร้อนที่แผดออกมาจากร่างด้านใต้ที่ผมทับเอาไว้ ทว่าครู่เดียวหลังจากนั้น ร่างที่ผมทับอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว ไนล์ดันผมออกให้พ้นจากตัวเขาก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

ผมเบี่ยงหน้าไปทางเขาทั้งที่ไม่ได้ขยับตัว ใช้สายตาจับจ้องไปยังร่างนั้นโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้สึกร่างกายอ่อนล้าเนื่องจากไม่ได้นอนมาทั้งคืน รวมทั้งความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาให้ต้องรับมือมาตลอดคืนระหว่างรอเขาก็สูบพลังกายของผมไปจนเกือบหมด

ไนล์ลุกขึ้นแล้วเซน้อยๆ ต้นขาของเขาเปรอะคราบที่เป็นของผม มันไหลออกมาจากตำแหน่งที่ผมเพิ่งบุกรุกเข้าไปเป็นทางยาวจนเห็นได้อย่างชัดเจน ราวกับกำลังย้ำเตือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้คืออะไร และร่างกายของคนตรงหน้าในเวลานี้เป็นของใคร

มือเรียวผอมนั่นยื่นไปกระชากผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนราวตากผ้าใกล้ๆ หน้าห้องน้ำก่อนจะที่ไนล์จะผลุบหายเข้าไปในห้องเล็กๆ นั่น และเมื่อประตูห้องน้ำปิดลง ผมก็หลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย ไม่สนใจจะลุกขึ้นมาเช็ดคราบอะไรต่อมิอะไรที่เปรอะเปื้อนอยู่บนร่างกายหรือบนที่นอนแม้แต่น้อย

ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาที เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกแว่วเข้ามาในหูผมอีกครั้ง ผมลืมตาขึ้นช้าๆ มองไนล์ที่ก้าวออกมาพร้อมสภาพที่ตัวชื้นน้อยๆ หัวของเขาเปียกหมาดๆ ร่างกายมีเพียงผ้าเช็ดตัวที่หยิบเข้าไปด้วยห่ออยู่ที่ท่อนล่าง เขาเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดออกมาใส่ ผมจึงดันตัวขึ้นและเดินเข้าไปหาเขา แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิด พูด หรือทำอะไรนอกเหนือไปจากนั้น ผ้าเช็ดตัวอีกผืนก็ถูกยื่นมาต่อหน้าผม คล้ายจะบอกว่าให้ผมไปอาบน้ำซะ

ผมรับมันมาเพราะเห็นสมควรว่าน่าจะทำแบบนั้น หากบอกว่าตอนนี้ตัวผมเละเทะไปหมดคงจะไม่ผิด ทั้งเหงื่อทั้งสิ่งที่ไนล์ปล่อยออกมาจนเลอะตัวผมยังกระจายทั่ว ผมจึงเดินเข้าห้องน้ำและปิดประตูลง พาดผ้าเช็ดตัวที่ถือมาด้วยที่ราวเล็กๆ ริมผนังและเปิดน้ำจากฝักบัว ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปใต้กระแสน้ำ พลางคิดไปด้วย

อาบน้ำเสร็จแล้วผมจะพูดกับไนล์ให้รู้เรื่อง

พอได้ใช้น้ำเย็นๆ ราดหัวแบบนี้ก็พอจะทำให้ผมคืนสติกลับมาได้ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันน่าจะตอบผมได้แล้วว่าอย่างน้อยไนล์ก็ไม่เคยทำเรื่องพรรค์นั้นกับผู้ชายอย่างที่ปากเขาพูด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำอย่างไร แต่ก็ยังดันทุรังจะยัดเยียดให้ผมเข้าไป แล้วผมก็ขาดสติเพราะคำพูดยั่วยุพวกนั้นจนตามืดบอด ผมเผลอทำอะไรแบบนั้นลงไปทั้งที่มันไม่ควร

ทว่าเมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้วภายในห้องพักแคบๆ ที่แทบจะไม่มีอุปกรณ์อำนวยความาะดวกใดๆ กลับว่างเปล่า ไร้เงาของคนที่เป็นเจ้าของห้องซึ่งน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้องนี้ แม้แต่ที่ระเบียงก็ไม่มี ผมจึงกวาดตามองอีกครั้ง สภาพเตียงที่เละเทะนั่นทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมา

ผมยังไม่ได้คุยกับเขาอย่างที่ตั้งใจด้วยซ้ำแล้วเขาหายไปไหน

คิดกับตัวเองแบบนั้นอย่างไม่เข้าใจแล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่ง กระเป๋าเงินของผมวางอยู่ที่ปลายเตียงทั้งที่มันไม่ควรอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผมถึงรู้สึกเหมือนมีลมพัดวูบผ่านหัวใจจนหนาวสะท้านขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผมเดินเข้าไปหามัน ยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมาก่อนเปิดออกดูช้าๆ ก่อนจะรู้สึกชาวูบไปทั้งร่าง

สิ่งที่หายไปจากกระเป๋าเงินของผม…




.




.




.




…มีเพียงแบงก์สีเขียวใบเดียว



-------------------
ก่อนอื่นต้องขออภัยเป็นอย่างมากกกกกกกกกก ที่หายสาบสูญไป 1 ปี
เนื่องจากปัญหาหลายๆ อย่าง ก็เลยไม่ได้แต่งเลยค่ะ แต่ว่าตอนนี้กลับมาแต่งต่อแล้วนะคะ

ืถือว่าเป็นเรื่องโชคดี (หรือเปล่า) ที่กระทู้นี้ยังไม่หายไป ทั้งที่น่าจะโดนลบทิ้งไปแล้ว เพราะไม่ได้มาอัพเลย
อาจเพราะว่าลืมกันไปหมดแล้วล่ะมั้งคะ เลยไม่ได้ถูกแจ้งลบ 55555555
แต่หากว่ามีคนที่ยังรออ่านอยู่ จะดีใจมากเลยล่ะค่ะ
หรือถ้ามีใครหลงเข้ามาอ่านนิยายน่าเบื่อๆ แบบนี้เพิ่ม ก็ขอขอบคุณมากค่ะ

แล้วก็สำหรับใครที่ตามมาจากเรื่องพี่ภูกับน้องยีนแล้วสนใจหนังสือเรื่องนั้น
เรากำลังเปิดสำรวจคนสั่งจองเพิ่มอยู่นะคะ พอดีมีคนสอบถามมา ก็เลยว่าจะดูจำนวนก่อนว่าจะรีปริ๊นท์ไหม
ถ้าสนใจละก็ รบกวนเข้าไปดูรายละเอียดในเฟซนะคะ

Undel2Sky
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2015 00:15:14 โดย undersky »

ออฟไลน์ Cappello

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
กราฟฟฟฟ ไนนนนนนนนนนท์

กลับมาแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ใน






ที่






สุด






ก็






กลับมา






กราฟ ไนล์






คิดถึงมากกกกกกกกก :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ LadyYuly

  • สวัสดีค่าา เลดี้ยูลี่นะคะ LadyYuly เรียกยูก็ได้จ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
    • www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44045.0
พึ่งเข้ามาอ่าน คือชอบบบบบ

ออฟไลน์ killerofcao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ดีใจนะ ที่มาอัพ อิอิ

ออฟไลน์ modelatlove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ในที่สุดก็กลับมาาาาาา
รอนานมากๆ นึกว่าจะไม่เขียนต่อแล้ว ขอบคุณที่อัพนะคะ
ตอนที่เห็นว่าโพส ตกใจมาก และดีใจมากด้วย
รอตอนต่อไปนะคะ
 :mew1: :mew2: :mew3: :mew4: :mew6: :mew1: :hao5:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 15 : อะไรที่หายไป อะไรที่เพิ่มมา







ร้อนรน คือสิ่งเดียวที่ผมรู้สึกอยู่ในขณะนี้

ไนล์หายตัวไปอีกแล้ว เขาไม่กลับหอมาตั้งแต่เมื่อวานหลังจากที่ผมทำเรื่องบ้าๆ พรรค์นั้นลงไป ไม่ว่าจะโทรศัพท์ติดต่อไปเท่าไร สิ่งที่ตอบรับกลับมามีเพียงเสียงเดียว

เขาไม่เปิดเครื่อง

ภายในอกของผมเหมือนสุ่มเพลิงร้อนเอาไว้ มันร้อนรนกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม ผิดไปจากคืนก่อนโดยสิ้นเชิง หากเทียบกันแล้ว คืนนี้ผมเหมือนตกอยู่ในนรกโลกันต์ ขณะที่เมื่อวันนั้นผมอยู่ในทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างที่เกาะกุมด้วยน้ำแข็ง

ผมไม่รู้ถึงเหตุผลว่าการหายตัวไปของเขาหมายความว่าอะไร เขาทำให้ผมโมโห สาดสีตีไข่ใส่ตัวเองให้เปรอะเปื้อนเหมือนคนสกปรกโสมมจนผมขาดสติ แล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนไม่มีตัวตนมาก่อน ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตา สิ่งที่ผมเห็น สิ่งที่ผมสัมผัส ไม่เคยมีอยู่จริง เป็นเรื่องที่เกิดจากการมโนภาพของผมทั้งสิ้น

ก่อนหน้านี้ผมบอกตัวเองให้ใจเย็น ทำทุกอย่างเหมือนปกติ ไปมหา’ลัยแม้ว่าจะเข้าเรียนช้าไปบ้าง บอกตัวเองว่ากลับมาแล้วคงเจอไนล์อยู่ในห้อง นั่งวาดรูปเหมือนปกติ แต่สิ่งที่ผมพบกลับเป็นห้องที่ว่างเปล่าไร้เงาของคนที่ผมคิดว่าจะได้เจอ ตอนนั้นเหมือนกับความหวังพังครืนลงมา

ผมที่ตั้งใจจะคุยกับเขาให้รู้เรื่องหลังจากสติกลับมาอย่างครบถ้วนอีกครั้ง ไม่มีโอกาสจะได้ทำอย่างที่ต้องการ และแม้ว่าจะสะกดอารมณ์เอาไว้ให้ได้มากที่สุดเพื่อรอเขา สุดท้ายความพยายามของผมก็เริ่มทลายลงในตอนรุ่งเช้า

วันที่สอง ผมยังไปเรียนได้อยู่ ไอ้กัสกับไอ้เคลมมาที่คณะผมกับยีนเหมือนเคยทั้งที่ไม่ใช่คณะมัน เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่มันสองคนจะมาที่นี่ในวันที่มีเรียนช่วงเวลาเดียวกัน คล้ายกับการสานสัมพันธ์ต่อเนื่องแม้ว่าจะไม่ได้เรียนด้วยกันแล้ว

"ตกลงว่ามึงชอบพี่ภูจริงๆ แล้วใช่ไหมวะ"

ไอ้เคลมทักทันทีที่ไอ้ยีนมาถึง แม้ว่าข้างตัวมันจะไม่มีคนที่ถูกพูดถึงด้วยอีกคนก็ตาม ถึงกระนั้นพวกผมก็แน่ใจว่าเขามาส่งมันก่อนจะแยกตัวไปรวมกับกลุ่มเพื่อนของเขา ไอ้ยีนทำหน้าตกใจ พูดไม่ถูก ก่อนจะร้องถาม

"ใคร...ใครบอกมึง"

คำถามเหมือนจะไม่ยอมรับ แต่ก็เหมือนจะยอมรับกลายๆ ไอ้เคลมเลยยิ้มแฉ่ง แต่ดูกวนอารมณ์ไม่น้อย มันทำหน้าเหนือกว่า ยักคิ้วใส่ไฮยีน

"มึงไม่รู้เหรอว่ากูเป็นใคร วงในเส้นใหญ่แค่ไหน"

"ถุย ไอ้ขี้โม้ มึงเป็นพยาธิไส้เดือนหรือไง"

ไอ้ยีนตอบกลับมาจนน้ำลายแทบกระเซ็น ผมยิ้มให้กับบรรยากาศสนุกสนานของเพื่อนๆ แต่เหมือนรอยยิ้มวันนี้จะอ่อนแรงกว่าทุกวัน รู้สึกเหนื่อยแม้ทำแค่เพียงยกมุมปากขึ้น ทั้งที่เวลาอยู่กับพวกเพื่อนๆ มีแต่เรื่องสนุกและความสุขอยู่เสมอ

"มึงก็บอกไอ้ยีนไปสิว่ามึงใช้สกิลหน้าด้านไปออเซาะถามพี่ภูมาด้วยความเสือกของมึงล้วนๆ"

ไอ้กัสเห็นท่าทางอวดเบ่งของไอ้เคลมแล้วก็เฉลยออกมาจนไอ้เคลมตวัดหน้าหันขวับไปถลึงตาใส่

"มึงแม่ง ทำไมชอบแฉกูวะ”

มันตัดพ้อเพื่อนซี้ ซึ่งไอ้กัสก็กระตุกยิ้มเบาๆ ด้วยท่าทางเหมือนคุณชายอย่างที่ทำประจำ แต่แค่แป๊บเดียวไอ้เคลมก็ทำหน้าภูมิอกภูมิใจกับข้อมูลที่ได้มาแล้วโม้ต่อ

“เออ กูไปถามมาเองแหละว่ามึงทำอะไรกับเขามั่ง แล้วกูก็รู้ด้วยนะเว้ยว่าพี่ภูอะ แหกปากง้อมึงหน้าตึกเรียน"

"มึงนี่จะไม่เสือกสักเรื่องได้ไหม"

ไอ้ยีนจ้องไอ้เคลมอย่างเซ็งๆ คงไม่ปลื้มสักเท่าไร ปกติแล้วมันจะคุยเรื่องพี่ภูกับผมเท่านั้น เพราะรู้ว่าถ้าไอ้เคลมรู้ความคืบหน้าอะไรมันต้องโดนล้อแน่ๆ อีกอย่างพี่ภูกับไอ้เคลมก็สนิทกันมาตั้งแต่ ม.ปลาย แล้วด้วย ไอ้ยีนเลยยิ่งไม่ไว้ใจ ถึงมันจะไม่รู้ว่าทั้งสองคนสนิทกันแค่ไหน เพราะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพี่ภูในช่วง ม.ปลาย เลยก็เถอะ

"เอาน่า ไหนๆ ก็รู้แล้ว มึงก็ดีกับพี่เขาหน่อยแล้วกัน"

ผมพูดปลอบ เพราะรู้ว่ามันทำตัวไม่ค่อยดีกับรุ่นพี่คนนี้เท่าไร แต่ก็คิดว่าต่อไปคงไม่มีปัญหาอะไรนัก เพราะอย่างน้อยมันก็ยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้ว แค่ประคับประคองให้ความรักดำเนินต่อไปด้วยดี หรือถ้ามีปากเสียงกันก็ให้เคลียร์กันให้เข้าใจเท่านั้น

อยากให้เหมือนกับผมในตอนนี้ ที่แม้แต่จะคุยกันก็ยังทำไม่ได้





ถึงแม้ว่าผมยังพูดคุยกับเพื่อนและเก็บซ่อนไอร้อนที่แผดเผาภายในร่างเอาไว้ได้ ยังยิ้มเหมือนไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจได้อย่างแนบเนียน แต่พอเรียนเสร็จ ผมก็ตรงปรี่ไปที่แมนชั่นของไนล์ ไขประตูห้องของเขาออก และมันก็ยังเป็นเช่นเดิม เว้นก็แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้

บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไป ทั้งที่ตอนที่ไนล์อยู่ มันก็ดูอ้างว้าง วังเวง เย็นเยือกราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่แล้ว ทว่าในเวลานี้มันยิ่งทบทวีความรู้สึกนั้นให้หนักอึ้งขึ้น ผมรู้สึกเย็นจนอยากกอดตัวเองเพราะไอหนาวแม้อยู่ในฤดูฝนที่ร้อนตับแตก ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่หลอนไปเอง แต่ผมก็ยังห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกแบบนั้นไม่ได้

ไออุ่นของความมีชีวิตที่มีเพียงเล็กน้อยอยู่แล้วกำลังหายไปเรื่อยๆ เพราะเจ้าของห้องไม่อยู่ แม้ว่าผมจะอยู่ในห้องนี้แทบทั้งวันทั้งคืน แต่มันก็ไม่ได้ชดเชยหรือทำให้บรรยากาศเหล่านั้นแฝงด้วยความมีชีวิตขึ้นมาเลยสักนิด และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป

ผมเฝ้ารอด้วยความหวังอันริบหรี่และกดโทรศัพท์ครั้งที่นับไม่ถ้วนไปยังเบอร์เดิม แต่ก็ยังไร้การตอบรับจากเสียงที่ผมอยากได้ยินเหลือเกินในเวลานี้ จนเกือบเที่ยงคืนแล้ว เขาก็ยังไม่กลับมา มันทำให้ผมว้าวุ่นใจ ใจของผมร้อนระอุเหมือนโดนเผาเพราะเขาอีกครั้ง

“เปิดเครื่องสักทีสิวะ แม่งเอ๊ย!!”

ผมเดินเป็นหนูติดจั่นอยู่รอบๆ ห้องจนพื้นห้องจะสึกด้วยซ้ำ กดโทรศัพท์อยู่ที่ปุ่มเดิมจนรู้สึกว่าหากมันเป็นโทรศัพท์รุ่นเก่า ปุ่มอาจจะจมอยู่ใต้แป้นแล้วก็ได้ แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มทนไม่ไหว และรู้สึกเหมือนว่าเขาทำให้ผมจะเป็นบ้า ก่อนจะคว้ากุญแจห้องแล้วออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความไม่เข้าใจ

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไนล์ออกไปไหน แต่ผมก็ขับรถวนไปวนมาในละแวกนี้เผื่อว่าจะเจอเขาบ้าง วนรถไปเรื่อยๆ และขยายวงกว้างขึ้นเหมือนคนที่หาทางออกได้เท่านี้ อกของผมร้อนไปหมดเหมือนถูกสุ่มด้วยเปลวไฟ มันรุกรามจนแทบจะท่วมทั้งร่าง ผมได้แต่คิดซ้ำๆ ว่าทำไมเขาถึงชอบทำให้ผมเป็นแบบนี้

รถจอดลงข้างทางบนรถที่โล่งกว้าง ที่ที่หนึ่งที่ผมพยายามเค้นสมองคิดออกมาได้คือที่นี่ ที่ที่เขาเคยโทรเรียกผมให้มารับ ผมขับรถมาพลางมองตลอดทั้งเส้นทาง แต่ก็ไม่พบเงาร่างของเขาเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความเปล่าเปลี่ยวของถนนในช่วงตีสาม กับเสียงรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งผ่านเป็นระยะ

“ทำไมวะ ทำไมนายถึงทำแบบนี้!!”

ผมทุบพวงมาลัยแรงๆ เพราะหมดปัญญาจะตามหาแล้วจริงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร หาคำตอบไม่ได้ มันเหมือนผมวิ่งวนอยู่ในอ่างเล็กๆ โดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามันจะจบลงเมื่อไร หรือต้องรอให้ผมหมดแรงจนขยับไม่ได้เสียก่อน หรือว่าผมอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกเลย

ผมได้เรียนรู้ถึงความทรมานที่เขาหยิบยื่นให้ทั้งที่ผมไม่ต้องการซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ขอร้องได้ไหม ให้ฉันได้เจอนายอีกครั้ง

อย่างน้อยก็ให้เราได้พูดคุยกัน

อย่าให้ฉันต้องอึดอัดจนรู้สึกเหมือนจะขาดใจได้หรือเปล่า

ผมวิงวอนอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าอ้อนวอนกับใคร กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือตัวเขาที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน หรือเป็นตัวผมเอง







ล่วงเข้าสู่วันที่สาม ผมไม่สามารถทำกิจวัตรแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป หลังจากตระเวนขับรถตามหาไนล์มาตลอดทั้งคืน ผมก็กลับมาเฝ้าที่ห้องไนล์อีกครั้ง หลังจากไปเช็กดูที่คอนโดของตัวเอง แต่ไม่มีวี่แววหรือร่องรอยใดๆ ที่จะบอกได้เลยว่าเขากลับมา ของทุกอย่างยังคงวางอยู่ในตำแหน่งเดิม เป็นเหมือนกับตอนที่ผมออกไปเมื่อคืน แม้กระทั่งกุญแจที่ล็อกประตูเอาไว้ และผมจดจำมันได้ขึ้นใจว่าคล้องมันไว้ในลักษณะแบบไหน มันก็ยังไม่แม้แต่จะกระดิก

ผมรู้สึกว่าการหายใจมันยากขึ้นมาอีกครั้ง อะไรต่างๆ นานาผุดขึ้นมาในหัวของผม เรื่องราวที่ผ่านมาตลอดช่วงสองสามเดือนตั้งแต่ที่ผมได้พบกับเขา ผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยไปด้วย หากว่าผมสามารถติดต่อพวกเธอได้ ผมคงไปไล่ถามทีละคนว่าเห็นไนล์บ้างหรือเปล่า

ดวงตาของผมปิดลงอย่างอ่อนล้า เหนื่อยไปหมดทั้งร่างกายและจิตใจ น้ำหนักหนักอึ้งจากสิ่งที่มองไม่เห็นถ่วงลงทับหัวใจของผมจนรู้สึกอึดอัดแน่นอกจนหายใจไม่สะดวก ความรู้สึกไม่เข้าใจกระจัดกระจายเต็มหัวของผมไปหมด

เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่

ผมกวาดสายตามองรอบห้องอีกครั้ง หวังว่าจะมีอะไรสักอย่างที่พอจะเป็นเบาะแสให้ผมหาคำตอบได้ ทว่ามันกลับไม่มีเลย สิ่งเดียวที่สะดุดสายตาผมซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้มองข้ามมันไป มีเพียงกระป๋องสีทั้งหลายที่ผมซื้อมาให้เขาเมื่อไม่กี่วันก่อน

เห็นมันแล้วผมก็ฉุดตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วทั้งที่เพิ่งเข้ามาทิ้งตัวลงบนสถานที่เกิดเหตุคราวก่อนได้ไม่ถึงสิบนาที คว้ากุญแจรถที่อยู่ข้างๆ มาไว้ในมือก่อนจะสาวเท้าเร็วๆ ออกจากห้องไป และไม่ลืมล็อกประตูรวมทั้งจดจำตำแหน่งของการคล้องเกี่ยวแม่กุญแจเอาไว้ให้ขึ้นใจ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าบางทีมันอาจจะไม่จำเป็นเลย

รถยนต์ของผมถูกสตาร์ท ก่อนเสียงเครื่องยนต์จะดังขึ้นพร้อมกับร่างปราดเปรียวทะยานออกไปยังจุดหมายที่ผมเพิ่งนึกถึง ฝ่าฟันสภาพจราจรที่ติดขัดในยามสาย แม้ว่าจะล่วงเลยเวลาเข้างานของพนักงานบริษัทจำนวนมากมายไปแล้ว แต่ว่าระยะทางจากต้นทางไปยังปลายทางก็ยังไม่ใกล้อยู่ดี ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางเมืองมากเท่าไร ไอร้อนจากแสงแดดภายนอกตัวรถและความคับคั่งของเหล่าโครงเหล็กเคลื่อนที่ก็ราวกับจะเผาไหม้ใจผมไปพร้อมๆ กัน

หากบอกว่านั่งไม่ติดเบาะคงไม่ผิด ผมแทบจะนั่งเขย่าตัว มองซ้ายมองขวาตลอดเวลาที่รถขยับไปทีละนิด นึกในวินาทีนั้นว่าหากรถของผมสามารถเหาะได้คงจะดี เพราะตอนนี้ใจของผมมันไปถึงที่หมายตั้งนานแล้ว

นานกว่าครึ่งชั่วโมงที่ผมต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนั้น ทั้งที่ระยะทางที่เหลืออยู่มันไม่มากไปกว่าห้ากิโลเมตร และเมื่อผมสามารถนำรถเข้ามาจอดในตัวอาคารได้ ผมก็พุ่งทะยานร่างกายออกจากห้องโดยสารที่กักขังผมเอาไว้ตลอดเวลาร่วมสองชั่วโมง

ผมตรงไปยังเป้าหมายด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่ฝีเท้าจะกระทำได้ จนเมื่อไปหยุดอยู่ต่อหน้าคนคนหนึ่ง เขาก็เบิกตามองผมอย่างแปลกใจ คิ้วมุ่นเข้าหากันแต่ยังไม่ทันได้อ้าปากออกสร้างคำถาม ผมก็ถามเขาเสียก่อน

“ไนล์มาที่นี่หรือเปล่าครับ”

“ไนล์? เปล่านี่ ตั้งแต่ที่เจอกันอาทิตย์ก่อนก็ยังไม่เห็นเลย นายมี...”

เขาพูดไม่ทันจบ ผมก็ทรุดตัวลงกับพื้นเหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง ราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่แบตหมดลงและไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป ความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกอะไรได้เลยในตอนนี้ เหมือนความรู้สึกทั้งหมดจะสูญหายไปพร้อมกับใครอีกคน

“ผมจะทำยังไงดี”

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”

พี่โป้งที่รับจ้างวาดรูปอยู่ในหอศิลป์เอ่ยถาม เขาดูตกใจมากกับท่าทางของผม แน่นอนว่าตอนนี้กราฟที่เขาเห็นกับกราฟเมื่อไม่กี่วันก่อนราวกับคนละคน

“ไนล์หายตัวไป เขาไม่ได้กลับมาเลย ตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว”

ฟังสิ่งที่ผมบอกไปแล้วพี่โป้งก็ขมวดคิ้ว เหมือนจะพยายามจับประเด็นเรื่องที่ผมพูด เพราะผมไม่ได้เล่าต้นสายปลายเหตุใดๆ ให้เขาฟังเลย แต่ผมก็อยากจะบอกเขาถึงความร้อนอกร้อนใจของผม หวังว่าเขาจะช่วยหาคำตอบมาทุเลาอาการของผมได้

อย่างน้อยเขาก็รู้จักไนล์มานาน คงพอจะรู้บ้างว่าผมจะตามหาเขาได้ที่ไหน

“พวกนายทะเลาะกันอย่างนั้นเหรอ”

หลังจากตบบ่าพร้อมบอกผมว่า ‘ใจเย็นๆ ก่อน’ และลากผมให้มานั่งเก้าอี้ที่โต๊ะใกล้ๆ เขาก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง สีหน้าของเขาเจือด้วยแววกังวลนิดๆ คงเพราะสีหน้าของผมดูแย่จนเขานึกสงสาร

“ผม... ผมไม่รู้ว่าจะเรียกแบบนั้นได้ไหม แต่ผม...ไม่เข้าใจเขาเลย”

ผมไม่สามารถตอบพี่โป้งได้จริงๆ เพราะผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ผมกับไนล์ทะเลาะกันอย่างที่พี่เขาถามหรือเปล่า มันเหมือนว่าผมกับเขาจะสามารถปรับความเข้าใจกันได้ผ่านทางร่างกาย แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนว่าเราไม่สามารถเข้าใจกันได้เลย มันทำให้ผมมืดแปดด้าน

“พี่โป้ง พี่ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม ว่าไนล์เป็นใครกันแน่ เขาคิดอะไรอยู่ ทำไมอยู่ๆ ถึงหายตัวไป”

ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าพี่โป้งคงไม่สามารถให้คำตอบกับผมได้ แต่รอบด้านที่เต็มไปด้วยความมืดก็ทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นแสงสว่างใดๆ ได้เลย ผมเหมือนกำลังตะกุยกำแพงเพื่อค้นหาทางออกให้ตัวเอง แม้จะรู้ว่ามันอาจจะไร้ประโยชน์และผมต้องเจ็บตัว แต่ผมก็อยากจะดิ้นรนให้พ้นจากสภาพนี้

“เอ่อ... พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกนายมีเรื่องอะไรกัน คงช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะพี่เองก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วไนล์เป็นใครมาจากไหน พี่รู้แต่ชื่อมัน รู้แต่ว่าบ้านมันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าอยู่ที่ไหน เพื่อนมันพี่ก็ไม่รู้จัก อย่างที่เคยบอกนายไป ว่ามันไม่เคยพาใครมาที่นี่ มีนายเป็นคนแรก พี่ถึงอยากให้นายอยู่กับมัน อย่าทิ้งมัน”

เขาบอกผมด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนพยายามจะเรียบเรียงและรวบรวมสิ่งที่สามารถตอบผมได้ออกมาให้มากที่สุด

“มันเป็นคนเงียบๆ ปกติก็ไม่ค่อยพูดอะไรอยู่แล้ว ขนาดกับพี่อยู่ด้วยกันทั้งวัน บางทีมันยังพูดแค่ว่า ‘หวัดดีพี่’ กับ ‘ผมกลับละนะ’ แค่นั้นด้วยซ้ำ นานๆ จะเห็นมันยิ้มสักที บางวันมันก็มาที่นี่ด้วยหน้าบูดบึ้ง แล้วก็ไม่พูดไม่จา นั่งอยู่เฉยๆ ไม่แตะอุปกรณ์วาดรูป พอดึกมันก็กลับบ้านไปก็มี”

ผมฟังสิ่งที่พี่โป้งพูดถึงอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด แม้ว่าบางทีมันเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย

“สิ่งเดียวที่มันสนใจอย่างจริงจังคือการวาดรูป ตอนรู้ว่ามันไม่ได้เรียนจิตรกรรมอย่างที่เคยบอกเอาไว้ พี่ถึงได้ตกใจไง เพราะมันดูเอาจริงเอาจังขนาดนั้น พี่ยังคิดไม่ออกเลยว่าทำไมมันถึงหันเหชีวิตตัวเองไปเรียนอย่างอื่น แต่คิดว่าสิ่งที่ทำให้คนมุ่งมั่นกับการวาดภาพเปลี่ยนชีวิตตัวเองไป คงเป็นเรื่องใหญ่น่าดู”

ผมเองก็เคยคิดว่าไนล์เหมาะกับการเรียนสายศิลป์จำพวกนั้นมากกว่าจะเรียนวิศวะ พอได้ฟังอย่างนี้ผมก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมไนล์ถึงได้ใช้ชีวิตสวนทางกับความต้องการของตัวเองอย่างนั้น

“เอาจริงๆ พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่านิสัยของมันเป็นยังไงกันแน่ แต่มันไม่ใช่คนไม่ดีหรอก ค่อนข้างจะเป็นคนที่บริสุทธิ์ ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองเสียมากกว่า ถ้ามันอยู่เฉยๆ ก็คงหมายถึงว่ามันอารมณ์ดีล่ะมั้ง เพราะถ้ามันอารมณ์ไม่ดี มีเรื่องกวนใจ มันจะแสดงสีหน้าออกมาเลยว่าไม่พอใจ หรือถ้ามันไม่อยากอยู่กับใคร มันก็คงไม่เข้าใกล้ เหมือนกับว่าอยู่คนเดียวยังสบายใจกว่า ประมาณนี้”

ฟังพี่โป้งแล้วผมก็พยายามคิดตามดู นึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ไนล์แสดงออกมาแต่ละครั้งเวลาที่อยู่กับผม

เขานิ่งเงียบ ทำเหมือนมีผมอยู่หรือไม่มีก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยพูดหรือทำสีหน้าเหมือนผลักไสผม

เขาไม่พอใจ ทุกครั้งที่ผมไปหาพี่ดาหลา จนถึงขั้นตามมาเฝ้าผมเพื่อไม่ให้ไปหาเธอ

เขายิ้มแย้มเป็นมิตรกับผู้หญิงคนอื่น ไม่ยิ้มให้กับผม แต่กลับบอกว่าเวลาอยู่กับผม นั่นคือตัวจริงที่สุดของเขาแล้ว

เขายิ้มนิดๆ เพียงแค่นิดเดียวจนแทบมองไม่เห็น ตอนที่ผมใส่ใจเขา แต่มันกลับเหมือนรอยยิ้มแห่งความสุขที่แท้จริง

นั่นคือความจริงที่เขาซ่อนเอาไว้อยู่อย่างนั้นเหรอ?

อยู่กับผม เขารู้สึกดีใช่ไหม

อยู่กับผม เขามีความสุขใช่หรือเปล่า

ผมได้แต่ถามตัวเองอยู่แบบนั้น ข้างในของผมที่กลวงโบ๋ เหมือนร่างกายมีแต่ความว่างเปล่าจนกลายเป็นหลุมดำมืดในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาราวกับถูกอะไรบางอย่างเต็มเติม และมันก็ยิ่งทำให้ผมอยากจะรู้คำตอบของสิ่งเหล่านั้นให้ชัดเจน

อยากเจอเขาให้เร็วขึ้นอีก อยากถามเขาให้ชัดๆ

ว่าจริงๆ แล้วเขาอยากอยู่กับผมใช่ไหม

“ที่เล่าไปพอจะมีประโยชน์หรือเปล่า”

พี่โป้งเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง เรียกผมที่เหมือนตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ผมพยักหน้าพลางเอ่ยขอบคุณ อย่างน้อยเขาก็ทำให้ผมมีความหวังขึ้นเล็กน้อยว่าถ้าผมได้เจอกับไนล์ เรื่องระหว่างเราจะต้องดีขึ้น

อยากเจอเร็วๆ

อยากเจอเร็วๆ

อยากเจอเร็วๆ

อยากเจอเร็วๆ

มีเพียงความคิดเดียวที่กำลังดังก้องอยู่ในหัวของผม ราวกับกำลังขับกล่อมให้ผมกลับมาร้อนรนอีกครั้ง

ฉันอยากเจอนายเหลือเกิน






หลังจากไปหาพี่โป้ง ผมก็ฝ่าการจราจรที่ติดขัดเข้าไปที่มหา’ลัย แต่ไม่ได้ไปเรียน ผมขับรถไปตามคณะต่างๆ แล้ววิ่งไล่หาตามแต่ละจุดที่สามารถจะเข้าไปได้ ไม่ว่าจะเป็นบนอาคาร ลานอเนกประสงค์ โรงอาหาร หรือแม้แต่ห้องน้ำ เริ่มตั้งแต่คณะวิศวกรรมศาสตร์ เผื่อว่าจะเจอคนที่ผมตามหาอยู่ที่ไหนสักแห่งในที่แห่งนี้ แต่ผ่านไปคณะแล้วคณะเล่าก็ยังไม่เป็นอย่างที่หวัง จนมาถึงคณะบริหารธุรกิจ

“อ้าว กราฟ”

ฝีเท้าของผมหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงทัก พี่ดาหลากับพี่มะเหมี่ยวอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้ สีหน้าของเธอทั้งสองคนดูเหมือนประหลาดใจ แต่คงไม่แปลกนักหรอก เพราะว่าสภาพผมในตอนนี้คงต่างไปจากทุกทีโดยสิ้นเชิง ผมเองก็รู้สึกตัวได้ ผมสีบลอนด์ที่สว่างจนเกือบขาวยุ่งกระเซิงและเปียกชุ่ม ไม่ว่าใบหน้า ร่างกาย หรือเสื้อผ้าต่างอาบด้วยเหงื่อจนร้อนอบอ้าว แต่ผมไม่ได้สนใจมันด้วยซ้ำ

“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมสภาพโทรมแบบนี้ล่ะ”

พี่ดาหลาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ส่วนพี่มะเหมี่ยวก็พยักหน้าหงึกๆ อยู่ข้างๆ พร้อมกับควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า ก่อนจะยื่นทิชชูออกมาให้ ผมรับมาซับเหงื่อบนหน้าพอเป็นพิธี และพยายามพูดให้รู้เรื่องที่สุดแม้ว่าจะเหนื่อยหอบและยังคงรุ่มร้อนอยู่ในใจจนไม่อยากจะหยุดฝีเท้าของตัวเองก็ตาม

“ผมตามหาคนอยู่ครับ”

“ตามหาคน?”

สองสาวทำหน้างงนิดหน่อย แต่ก็เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของผมรางๆ ผมเลยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปลี่ยนเป็นเอ่ยถาม

“พวกพี่เห็นไนล์บ้างหรือเปล่าครับ ไม่ต้องวันนี้ก็ได้ แต่เมื่อวานนี้หรือวานซืน ได้เจอบ้างหรือเปล่าครับ”

“ไนล์เหรอ?”

คนที่ผมเคยมุ่งมั่นว่าจะจีบครางเสียงในลำคอพลางทำท่านึก ส่วนอีกคนเบิกตากว้างก่อนถามย้อนกลับมา

“ที่ว่าตามหานี่หมายถึงไนล์เหรอ”

“ครับ พี่เห็นบ้างหรือเปล่า”

ผมถามซ้ำด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ ไม่มีเวลาจะมาไล่เรียงอธิบายอะไร ตอนนี้ผมอยากรู้แต่เพียงคำตอบเท่านั้น เพราะถ้าพวกเธอไม่เจอ ผมจะได้รีบไปตามหาที่อื่นต่อ ไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาที อยากเจอเขาให้เร็วที่สุด แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ได้

“ไม่เห็นเลยนะ เธอเห็นบ้างหรือเปล่า”

เป็นพี่ดาหลาที่ตอบกลับมาก่อน เพราะเหมือนเธอจะเข้าใจความรู้สึกผมในเวลานี้ดีกว่าใคร เธอหันไปถามพี่มะเหมี่ยวให้อีกรอบด้วยจนผมนึกขอบคุณในใจ แต่พี่มะเหมี่ยวก็ส่ายหน้ากลับมาและตั้งคำถาม

“ติดต่อไม่ได้เลยเหรอ โทรหาหรือยัง”

“ไม่ได้เลยครับ โทรศัพท์ปิดเครื่องตลอด หอก็ไม่กลับ ผมไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปไหน”

“แล้วเพื่อนที่คณะล่ะ”

คำถามนี้ทำให้ผมชะงักไป ควานหาคำตอบอยู่ในใจว่าจะใช้คำพูดแบบไหนดี เพราะไนล์ไม่มีเพื่อนเลยสักคน ถ้าเขามีเพื่อน ผมอาจจะไม่ต้องวุ่นวายใจขนาดนี้ก็เป็นได้ สุดท้ายผมจึงตอบไปได้เพียงแค่กลางๆ

“ไม่มีใครรู้เลยครับ”

“หวังว่าคงจะไม่เกิดอุบัติเหตุหรอกนะ”

เสียงแผ่วเบาจากพี่ดาหลาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ทำให้ผมใจกระตุกแรงๆ ไปได้หนึ่งจังหวะ เหมือนโดนอะไรบางอย่างกระชากตัวเอาไว้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนตลอดสองวันที่ผ่านมา และพอได้คิด ผมกลับมีคำตอบโง่ๆ ออกมา

ถ้าเกิดอุบัติเหตุก็ดี

อย่างน้อย... อาจจะมีใครติดต่อมา

ดีกว่าเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้

นี่มันบ้าชัดๆ ผมบ้าไปแล้ว ขอแค่ได้รู้ข่าวของเขา ถึงกับยอมรับได้ที่เขาจะเจ็บตัว มันไม่เหมือนความคิดที่ออกมาจากผมด้วยซ้ำ นี่มันไม่ใช่ความคิดของคนที่ชื่อกฤติกรที่ผมรู้จักมาตลอดสิบแปดปี

ความคิดของผมมันบิดเบี้ยวไปถึงขนาดนี้ได้อย่างไร

“คงไม่หรอกมั้ง อย่าคิดในแง่ร้ายสิ”

พี่มะเหมี่ยวตีพี่ดาหลาเบาๆ แต่น้ำเสียงของเธอก็แฝงไว้ด้วยความหวั่นใจ ผมจึงต้องพยายามเหยียดมุมปากออกเป็นรอยยิ้มให้พี่ทั้งสองคนเบาใจ แม้จะรู้สึกว่าปากของผมมันหนักราวกับถูกถ่วงเอาไว้ด้วยหินก้อนมหึมาก็ตาม

“คงไม่หรอกครับ ถ้าเป็นแบบนั้นน่าจะมีคนติดต่อมาบ้างแล้ว ถ้าพี่เจอไนล์ พี่ช่วยโทรบอกผมด้วยนะครับ”

“จ้า”

“ขอให้เจอเร็วๆ นะ”

แม้ไม่รู้ว่าทำไมไนล์ถึงหายตัวไป แต่พวกเธอก็ไม่ได้สอบถามอะไรเพิ่มเติมมากไปกว่านั้น นอกจากส่งยิ้มให้กำลังใจผม ซึ่งผมก็รู้สึกขอบคุณพวกเธอมากที่ไม่ซักไซ้ผมมากไปกว่านี้ เพราะผมไม่รู้จะตอบอย่างไร

หลังจากไปที่คณะบริหารธุรกิจแล้วผมก็ยังไล่ตามหาไนล์ต่อ บุกรุกไปยังคณะอื่นทั้งที่ไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาด้วยซ้ำ มีบ้างที่คนหันมามองผมอย่างประหลาดใจ เพราะคงไม่รู้ว่าเป็นใครแต่อยู่ๆ ก็วิ่งพล่านไปทั่วแบบนั้น แต่ผมไม่สนใจสายตาเหล่านั้นเลย กระทั่งมาจนถึงคณะสุดท้าย คณะนิเทศศาสตร์ซึ่งเป็นคณะของผม

ราวกับทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม แต่ผมก็เมินเฉย วิ่งอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยแม้เวลาจะล่วงเลยจนถึงเวลาเข้าเรียนคาบบ่ายแล้วด้วยซ้ำ ผมได้ยินเสียงแว่วๆ เรียกชื่อผมจากใครสักคน แต่ก็ไม่ได้หันไปมอง สายตายังกวาดหาคนที่ต้องการพบมากที่สุด ราวกับหาโอเอซิสในทะเลทรายกว้างใหญ่ที่แห้งผากเพื่อช่วยให้ผมซึ่งกำลังจะขาดน้ำตายได้มีชีวิตอยู่รอด

RRrrr

เสียงโทรศัพท์ดังมาจากในกระเป๋ากางเกง ผมไม่แน่ใจว่ามันดังมากี่ครั้งแล้ว แต่เมื่อรู้สึกตัวผมก็รีบคว้ามันขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว เพราะคิดว่าอาจจะได้เบาะแสอะไรสักอย่าง หรือไม่ไนล์ก็โทรมาหาผม แต่ว่าชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกลับไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แต่เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อผมเทียบเท่าชีวิต






อ่านต่อข้างล่าง
v

v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน

v


v



[อะไรของมึงเนี่ย จะรีบไปไหน]

ประโยคแรกทักมาด้วยเสียงโวยอย่างไม่สบอารมณ์ แน่นอนว่าผมไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเขาหมายถึงอะไร จึงทำได้เพียงถามกลับไปสั้นๆ ทั้งที่ขายังคงไม่หยุดนิ่ง

“อะไร”

[ก็มึงนั่นแหละ จะวิ่งไปไหน เมื่อกี้กูเรียกก็ไม่หันมา]

ผมร้องอ๋อในใจทันที ราวกับภาพต่อจิ๊กซอว์ที่ชิ้นส่วนหนึ่งกระเด็นหลุดออกมาจนเป็นรูโหว่ถูกประกอบคืนสภาพดังเดิม

“โทษที กูกำลังรีบ”

[รีบอะไรของมึง แล้วนี่จะไปไหน]

เหมือนคำถามจะยังไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจน มันเลยถามเป็นครั้งที่สาม แต่ผมก็ตอบได้เพียง

“กูไม่รู้”

[อะไรของมึงวะเนี่ย วิ่งหน้าตั้งเหงื่อซ่กขนาดนั้น แต่บอกว่าไม่รู้จะไปไหน]

“กูไม่รู้จริงๆ ไฮยีน”

[เออๆ เอาไว้มึงรู้ มึงบอกกูด้วยแล้วกัน]

มันคงรำคาญและจับน้ำเสียงของผมได้ว่ากำลังเหนื่อยอ่อนสับสนเลยตัดใจที่จะถาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ตัดสายไป แล้วสานต่อบทสนทนาต่อไปอีก ขณะที่ผมหันซ้ายหันขวา กวาดสายตาไปรอบตัว พยายามสังเกตในรัศมีการมองเห็นให้ละเอียดถี่ถ้วนที่สุด

[แล้วนี่มึงจะไม่เข้าเรียนคาบบ่ายเหรอ คาบเช้าก็ไม่เข้า]

“อืม จดเลกเชอร์ไว้ด้วยแล้วกัน เดี๋ยวกูยืม”

[ได้ๆ กูจะพยายามจดให้ละเอียดที่สุดแล้วกัน แต่เรื่องแกะลายมือไก่เขี่ยของกูนี่มึงต้องช่วยตัวเองนะ]

“เออได้ ขอบใจมึงมาก”

[ถ้ามีอะไรให้กูช่วย หรือมีปัญหาอะไร บอกกูนะมึง อย่าลืมว่ากูเป็นเพื่อนรักของมึงล่ะ]

ทั้งที่มันไม่รู้อะไรด้วยซ้ำ แต่มันก็พูดคำนี้ราวกับจะปลอบผม ซึ่งทำให้ใจที่ร้อนผ่าวของผมสงบลงได้โดยทันที เหมือนมีน้ำเย็นมาลูบและรดไฟร้อนให้มอดดับ จนรู้สึกถึงความชุ่มชื้นที่หายไปหลายวันมาแล้ว

ผมหยุดวิ่งโดยที่ไม่ต้องสั่งร่างกายให้ทำแบบนั้น ยกยิ้มแผ่วเบาไปเองตามธรรมชาติ อดไม่ได้ที่จะบอกความรู้สึกจากหัวใจของตัวเอง ความรู้สึกที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่วันที่มันให้คำมั่นกับผมว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

“กูรักมึงนะ ไฮยีน”

[กูก็รักมึง]

วางสายจากไนล์ไปแล้ว ผมก็กลับไปที่คณะของไนล์อีกครั้ง นอกจากจะวิ่งหาตัวคนแล้ว ผมยังไล่ถามคนในคณะนั้นด้วย มีทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จักไนล์ คนที่ไม่รู้จักเพราะไม่เคยเห็นเขามีตัวตน เพราะไนล์ไม่เคยทำตัวเป็นจุดสนใจ ขณะที่คนที่รู้จักเขา ก็จะรู้จักด้วยชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไร มันทำให้ผมรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจอีกครั้ง เพราะมันเหมือนจะตอกย้ำถึงเหตุผลที่ทำให้เขาหายตัวไป

ย้ำเตือนกับผมว่า...เรื่องที่ไนล์ขายตัวเป็นเรื่องจริง

แต่ในตอนนี้สิ่งที่ผมต้องสนใจที่สุดไม่ใช่เรื่องนั้น ผมต้องการพบเขา ต้องการถามเขา ต้องการคำตอบจากปากของเขา จากใจจริง ไม่ใช่การประชดประชัน ไม่ใช่ความหน้ามืดของผมที่ทำอะไรเลวๆ แบบนั้น เพราะมันไม่ต่างจากผมขืนใจเขาเลย แม้ว่าเขาจะเหมือนเต็มใจ แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่บีบบังคับให้เขาทำแบบนั้น

ถ้าเขาทำจริง มันก็ต้องมีเหตุผล

หรือถ้าเขาไม่ได้ทำจริงๆ ก็ต้องมีเหตุผลสักอย่างที่ทำให้ใครๆ ต่างเข้าใจผิด

ผมตามหาเขาจนทั่วคณะ แต่ก็ไม่เจอ ไม่มีใครเห็นเขามาหลายวันแล้ว คำตอบที่ได้รับซ้ำๆ ราวกับจะซ้ำเติมกันทำให้ผมรู้สึกหมดแรง หายใจอย่างเหนื่อยหอบอยู่เป็นนาที ก่อนจะต้องหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเลย

“อ้าว มาทำอะไรที่คณะพวกกูวะ”

ไอ้กัสกับไอ้เคลมอยู่ตรงนั้น มันทำหน้างงๆ มองผม คงแปลกใจที่อยู่ๆ ก็เห็นว่าผมโผล่มาที่คณะของมัน เพราะหากมองในมุมของพวกนั้นแล้ว ผมไม่มีความจำเป็นที่จะมาที่นี่เลย

“กูมาตามหาคน”

ผมบอกไปตามจริง แต่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าพวกมันคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะพวกมันไม่รู้ว่าผมรู้จักไนล์ แต่สิ่งที่ผมคิดมันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะไอ้กัสถามผมกลับมา

“ไนล์งั้นเหรอ”

“มึงรู้จัก”

ประหลาดใจนิดหน่อย แต่ไอ้กัสพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่ไอ้เคลมที่เมื่อครู่ทำหน้าเหลอหลาจะแจงให้ผมรู้ถึงเหตุผล

“ก็ตอนนั้นที่เจอกัน เห็นบอกว่ามึงรู้จัก พวกกูก็จำๆ หน้าเอาไว้ หน้ามันแปลกดี จะว่าสวยก็ใช่ จะว่าไม่หล่อก็ไม่เชิง”

“แล้วพวกมึงเห็นไนล์กันบ้างไหม”

“ไม่เห็นนะ”

ไอ้เคลมตอบมาก่อน ตามนิสัยมันที่ชอบเจ๋อทุกเรื่องเป็นคนแรก ส่วนไอ้กัสก็ส่ายหน้าเบาๆ ตามสไตล์คุณชายของมัน ก่อนจะถามกลับมาแทน

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“ก็...” ผมละเสียงของตัวเองไปครู่หนึ่ง พยายามนึกหาคำพูดที่บอกเล่าถึงสถานการณ์นี้ได้ “เข้าใจผิดกันนิดหน่อย แล้วอยู่ๆ มันก็หายตัวไป”

“ติดต่อแล้วก็ไม่ได้?”

ไอ้กัสยังถามเสียงเรียบๆ กลับมาเหมือนเดิม พลางกวาดตามองสภาพเหงื่อโซมกาย หน้าโทรมของผม แต่ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น แต่ผมก็มองออกว่ามันคงพอรู้รางๆ ว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างระหว่างผมกับไนล์ มันไม่ใช่คนโง่ ถึงจะไม่ชอบพูดโผงผางตามแต่อารมณ์เหมือนไอ้เคลมกับไฮยีน แต่ว่ามันเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้เร็ว มองอะไรได้ทะลุปรุโปร่งมากที่สุดในกลุ่มเรา เพราะฉะนั้นถ้ามีความลับก็ปิดบังมันได้ยาก แต่เรื่องไนล์ ใช่ว่าผมจะปิดบังเสียทีเดียว ผมแค่ยังเปิดเผยไม่ได้เท่านั้น

ผมจะพูดออกไปได้อย่างไร ในเมื่อผมยังไม่รู้อะไรสักอย่าง

“อืม กูถึงตามหาอยู่นี่ไง”

“มึงใจเย็นๆ เดี๋ยวเขาก็กลับมา”

มันบอกพร้อมกับวางมือบนบ่าผมเบาๆ แต่ก็บีบหนักๆ หนึ่งทีให้รู้ว่ามันเป็นกำลังใจให้ผม ทำให้ผมสามารถสูดหายใจเข้าปอดได้แรงขึ้นมาหน่อยอีกหนึ่งเฮือก

“มันหนีหนี้มึงเหรอ หรือว่ายังไง เดี๋ยวกูช่วยตามให้เอามะ กูเส้นสายเยอะนะ ไม่อยากจะบอก”

ดูเหมือนว่าผมจะสร้างโลกส่วนตัวกับไอ้กัสมาเกินไป ไอ้เคลมเลยโพล่งเสียงขึ้นมาบ้าง เหมือนจะบอกว่าให้สนใจมันด้วยนะ ผมเลยหันไปยิ้มอ่อนๆ ให้มัน ถึงมันจะไม่เข้าใจในสถานการณ์เท่าไร แต่ผมก็รู้ว่ามันห่วงผมและอยากช่วยเหลือ

“เปล่าหรอก ไม่ใช่หนี้หรือว่าอะไรทั้งนั้นแหละ แค่มีเรื่องจะต้องคุยกัน”

“งั้นก็แล้วไป เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ ยังไงมันก็ต้องกลับมาสอบ ตอนนั้นค่อยตามลากคอมันไปคุยก็ได้ อีกสองอาทิตย์เอง”

เป็นจริงอย่างที่ไอ้เคลมว่า อีกแค่ครึ่งเดือนก็จะสอบแล้ว อย่างไรไนล์ก็ต้องกลับมา

ถึงแม้ปกติผมจะเป็นพวกที่ไม่ชอบเข้าใจผิดกับใครนานๆ และมักใส่ใจความรู้สึกคนรอบตัวเสมอ แต่หากอีกฝ่ายเป็นคนอื่น และหายตัวไปจนติดต่อไม่ได้แบบนี้ ก็ใช่ว่าผมจะทนรอจนกลับมาไม่ได้ ซึ่งพวกมันก็รู้ดี ไอ้เคลมถึงพูดแบบนั้น แต่พอเป็นไนล์ ผมก็ใจร้อนบุ่มบ่ามตามหา แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อใจของผมมันไม่สงบเลย

ผมไม่สามารถรอจนถึงสองอาทิตย์ได้หรอก

“กูเข้าใจ”

ดูเหมือนว่าไอ้กัสจะเข้าใจได้เพียงแค่มองแววตาผม มันตบบ่าของผมเบาๆ อีกที และยิ้มให้โดยที่ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น

“ว่าแต่มึงเตรียมตัวหรือยัง เรื่องไปถ่ายหนังให้พี่ภูอะ นี่กูเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วนะเว้ย อยากรู้ฉิบหายว่าจะไปที่ไหน”

“มึงนี่มันเว่อร์จริงๆ”

ไอ้เคลมเปลี่ยนเรื่อง ยิ้มน่าระรื่นแบบไม่ดูสถานการณ์ ไอ้กัสเลยส่ายหัวนิดหน่อยและบอกอย่างระอา ทำให้ผมยิ้มได้น้อยๆ ความร้อนในใจของผมลดระดับลงอีกหน่อย เพราะพวกเพื่อนๆ เพื่อนที่รักของผม ผมนึกขอบคุณพวกมันอยู่ในใจ แม้ไม่แน่ใจว่าไอ้เคลมจงใจพูดเพื่อเปลี่ยนอารมณ์หรือไม่ก็ตาม แต่ผมก็คิดว่าสักเสี้ยวหนึ่งในความคิดของมันน่าจะเป็นแบบนั้น

“ยังเลย ไว้เดี๋ยวค่อยเก็บ”

อันที่จริงผมไม่มีอารมณ์มานั่งเก็บของหรอก ถึงจะเหลืออีกแค่สองวันจะต้องเดินทางแล้วก็ตาม ผมได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้ได้เจอไนล์ก่อนหน้านั้น ก่อนที่ผมจะออกเดินทาง เพราะไม่อย่างนั้นใจของผมคงทุรนทุรายไปตลอดทริปแน่ๆ และมันก็จะทำให้ทุกๆ คนเดือดร้อน

“กูว่ามึงไปหาต่อเถอะ อยู่กับไอ้เคลมเดี๋ยวจะรำคาญหูเปล่าๆ”

ไอ้กัสเข้าใจผมเหมือนเคย มันบอกพร้อมกับพยักพเยิดหน้าให้ แต่ก็ทำให้ไอ้เคลมหน้าบูดขึ้นมาไม่น้อย ตัดพ้อหน่อยๆ ตามประสา

“มึงนี่แม่ง ด่ากูตลอดๆ”

“งั้นกูไปก่อนนะ”

“เออๆ ไว้ถ้ากูเจอจะโทรบอก”

สุดท้ายไอ้เคลมก็เปลี่ยนอารมณ์แล้วบอกผมแบบนั้น ผมพยักหน้าให้มันเบาๆ ก่อนจะเดินแยกตัวออกมา และอดคิดไม่ได้ว่า...

แล้วต่อไปผมจะไปที่ไหน

ผมจะได้เจอเขาอีกใช่ไหม

เขาจะไม่หายไปตลอดกาลเหมือนอย่างมิ้นใช่หรือเปล่า






---------------
มาต่อแล้วค่ะ

ตอนนี้ไนล์ก็ทำอะไรให้งงอีกแล้ว
แล้วกราฟก็ได้แต่พร่ำเพ้อต่อไป แต่ก็เหมือนว่าจะเริ่มคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว (หรือเปล่า?)
มีกราฟยีนนิดหน่อยด้วย

แต่งตอนนี้แล้วก็ได้แต่คิดว่า
คนที่อ่านเรื่องนี้ต้องเป็นคนที่มีความอดทนและใจเย็นมากเลยนะ ที่สามารถทนอ่านมันต่อไปได้  :katai5:

เรื่องนี้คาดการณ์ไว้ว่ามีประมาณ 20-22 ตอนนะคะ
ดูๆ ไปก็ใกล้จะจบแล้วล่ะ

ขอบคุณคนที่ยังไม่ลืมกันนะคะ และขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านใหม่ด้วยค่ะ

สำหรับเรื่องรีปริ๊นท์ภูยีน ตอนนี้จองเปิดรีปริ๊นท์แล้วนะคะ
รายละเอียดตามได้ในเฟซเช่นเคยค่ะ

Undel2Sky

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2015 22:44:07 โดย undersky »

ออฟไลน์ ขนมโก๋

  • เป็ดหัวเน่า
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 16 : ความรู้สึกที่ต่างจากเมื่อวาน


หลายวันที่ผ่านมา ผมคอยเฝ้ารอและตามหาไนล์อย่างไร้จุดหมาย ราวกับว่าสิ่งที่ผมกระทำลงไปเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ แต่วันนี้ผมได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว


'ตอนนี้คุณเนรมิตรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ'


หลังจากไปหาไนล์ที่คณะ ผมก็กลับมาที่ห้องของไนล์อีกครั้งเพราะอับจนหนทางที่จะตามหาเขาอีกต่อไป แต่ไม่นานจากนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมเบิกตาโพลง ก้อนในใต้อกซ้ายเต้นถี่ระรัวจนจับจังหวะไม่ได้ มือผมสั่น กดรับสายอย่างรวดเร็ว กรอกเสียงลงไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งจนเกือบไม่เป็นคำ หวังจะสอบถามว่าเจ้าของชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ของผมอยู่ที่ไหน แต่คำตอบที่ได้รับทำให้หัวใจของผมกระตุกไปหนึ่งทีแรงๆ

ความต้องการอันบิดเบี้ยวของผมเป็นจริงอย่างนั้นหรือ

ผมถามตัวเองในใจแบบนั้น

เมื่อได้รับคำตอบถึงสถานที่แล้วผมก็ไปยังจุดหมาย อยากรีบไปหาเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้โดยไม่สอบถามด้วยซ้ำว่าอาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง ผมกระวนกระวายร้อนใจและคิดว่าอย่างน้อยให้ผมได้เห็นหน้าของเขาก่อน เปลวไฟในใจของผมถึงจะมอดดับลงได้

ผมมันเห็นแก่ตัว

ผมได้รู้ธาตุแท้ของตัวเองก็วันนี้

กราฟที่ใครๆ บอกว่าแสนดีช่างเอาใจใส่ กราฟที่เพื่อนๆ บอกว่ามักห่วงใย คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นก่อนตัวเอง และชอบดูแลคนอื่นอยู่เสมอ กลับกลายเป็นคนที่ไม่สนใจความเป็นไปของคนอื่นเลย เว้นแต่ความรู้สึกของตัวเอง

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สนใจ

สองเท้าของผมวิ่งไปตามทางเดินที่พลุกพล่านไปด้วยคนไข้และเจ้าหน้าที่ในชุดทำงานหลังจากสอบถามที่อยู่ของคนที่ผมอยากเจอที่สุดแล้ว ตรงดิ่งไปที่นั่นพร้อมกับความร้อนที่อบอวลอยู่ในอกจนร้อนผ่าว กระทั่งถึงห้องพักผู้ป่วยรวม ผมถึงหยุดฝีเท้าและเริ่มหายใจหอบ รู้สึกถึงความเหนื่อยของตัวเองเป็นครั้งแรกตั้งแต่จอดรถ

ผมเดินตรงเข้าไปยังเตียงที่อยู่ด้านในสุด เพราะเตียงที่อยู่ด้านหน้าๆ นั้นมีทั้งเตียงที่ว่างอยู่และเตียงที่มีคนนอน เดินผ่านมันไปโดยไม่สนใจญาติพี่น้องของผู้ป่วยรายอื่นๆ กระทั่งถึงที่หมาย

ร่างผอมๆ คุ้นตานอนอยู่บนนั้น

ผมขยับเข้าไปใกล้เตียง พิจารณาใบหน้าขาวซีดที่ดูซูบเซียวกว่าที่เคยเห็น ดวงตาทั้งสองข้างถูกปิดด้วยเปลือกตาให้รู้ว่าเขายังไม่ได้สติขึ้นมา เขาไม่ได้มีบาดแผลภายนอกใดๆ ทั้งนั้น มีเพียงเข็มจากสายน้ำเกลือที่ติดอยู่บนหลัง

การเห็นว่าคนที่นอนยู่บนเตียงไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้น เสียงผ่อนลมหายใจดังออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว

ในที่สุดผมก็ได้เจอเขาสักที

นางพยาบาลเดินเข้ามายืนอยู่ข้างผม คงเพราะรู้ว่ามีคนมาเยี่ยมเขาจากการที่ผมไปสอบถามข้อมูลมาว่าเขาพักอยู่ที่ห้องไหน จึงเป็นโอกาสให้ผมได้ถามอาการของเขาและความเป็นไปว่าเขามาที่นี่ได้อย่างไร

“เพื่อน...เพื่อนของผมเป็นยังไงบ้างครับ”

“คุณเนรมิตมีอาการพักผ่อนไม่เพียงพอและขาดอาหารค่ะ ถึงได้หมดสติไป แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ แค่พักผ่อนแล้วก็รับสารอาหารให้เพียงพอก็จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วผมก็ผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ เขาไปทำอะไรมา ทั้งที่ก็พอรู้ว่าเขาไม่ค่อยสนใจตัวเอง ไม่ดูแลตัวเองว่าสภาพร่างกายจะเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดเป็นลมหมดสติแบบนี้

“แล้วคนที่พาเขามาส่งโรงพยาบาลล่ะครับ”

“เป็นป้าที่ขายของอยู่แถวๆ นั้นโทรมาแจ้งทางโรงพยาบาลค่ะ ไม่ได้มานำส่งเอง”

ผมร้องอ๋ออยู่ในใจ พยักหน้าเบาๆ แสดงให้รู้ว่าเข้าใจสถาการณ์ ก่อนจะนึกได้อีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญมาก แม้จะค่อนข้างแปลกใจที่ทางโรงพยาบาลติดต่อผมมาด้วย

“ขอบคุณมากนะครับที่ติดต่อผมมา ผมกำลังกังวลเลยเพราะว่าติดต่อเขาไม่ได้ แล้วไม่ทราบว่าได้ติดต่อญาติเขาหรือยังครับ”

“ทางโรงพยาบาลยังไม่ได้ติดต่อญาติผู้ป่วยค่ะ แต่ที่ติดต่อคุณก็เพราะโทรศัพท์ของคนไข้มีเบอร์ติดต่อที่ถูกบันทึกชื่อเอาไว้อยู่เพียงเบอร์เดียว”

คำตอบที่ได้รับมาทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจ เพราะถึงแม้ผมจะรู้ว่าไนล์ไม่ค่อยมีเพื่อน หรือจะเรียกได้ว่าไม่มีเลยก็ตาม แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีเบอร์เพื่อนตอนมัธยม พ่อแม่ ญาติพี่น้องอยู่บ้าง หรือไม่ก็พวกผู้หญิงที่ติดต่อเขา และเพราะสีหน้าประหลาดใจปนงุนงงของผมล่ะมั้งที่ทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ส่งยิ้มให้พลางบอก

“โทรศัพท์ของคุณเนรมิตอยู่ในลิ้นชักที่ตู้ข้างเตียงค่ะ”

ไม่รอช้า ผมยื่นมือไปเปิดลิ้นชักที่ว่านั้นทันที และก็เป็นสิ่งที่นางพยาบาลบอกเอาไว้ โทรศัพท์เครื่องนั้นปิดอยู่ซึ่งน่าจะเป็นสถานเดียวกับที่มันเป็นก่อนที่ไนล์จะถูกพามาโรงพยาบาล ผมจึงเปิดขึ้นมาโดยไม่ต้องตรึกตรองใดๆ กระทั่งได้ยินเสียงเปิดเครื่อง หญิงที่อายุมากกว่าผมน่าจะสิบปีได้ก็บอกออกมา

“ถ้าน้ำเกลือถุงนี้ใกล้หมดแล้ว รบกวนช่วยแจ้งด้วยนะคะ จะมาเปลี่ยนถุงใหม่ให้ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ”

ผมหันเสี้ยวหน้าไปกล่าวคำขอบคุณเธอ ก่อนจะกลับมามองหน้าจออย่างรวดเร็วราวกับเสียดายเวลา กระทั่งหน้าจอโทรศัพท์รุ่นเก่าที่ไม่ใช่แม้แต่สมาร์ทโฟนเปิดขึ้นมา ผมจึงกดเข้าไปดูรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ และก็เป็นอย่างที่พยาบาลคนนั้นบอก รายชื่อเดียวที่อยู่ในนั้น คือชื่อของผม



กราฟ


ทั้งที่เป็นการพิมพ์ชื่อตรงๆ ไม่ได้มีสัญลักษณ์อะไรเป็นพิเศษด้วยซ้ำ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามีความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เกิดขึ้นมาในอก จะว่าเป็นความประหลาดใจก็ได้ที่ทั้งโทรศัพท์มีเพียงชื่อผมคนเดียว หรือว่าจะยินดีอยู่ลึกๆ ก็ได้ที่มันเป็นชื่อของผม

ชื่อเพียงชื่อเดียวในโทรศัพท์เครื่องนี้

เหมือนกับว่า...ผมเป็นคนพิเศษ

อาจจะเป็นการคิดเพ้อเจ้อไปเองก็ได้ แต่ว่าสิ่งที่อยู่ในมือทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น และพอกดเข้าไปดูเบอร์โทรเข้าออก มันกลับมีเบอร์หลากหลาย ทั้งเบอร์ของผมและเบอร์ของใครหลายๆ คนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร อาจจะเป็นผู้หญิงพวกที่ติดต่อกับไนล์ หรืออาจจะเป็นลูกค้าที่จ้างเขาวาดรูปก็ได้ทั้งนั้น แต่ทั้งที่มันน่าจะสำคัญ ไนล์กลับไม่บันทึกมันเอาไว้

ราวกับจะตอกย้ำให้ความคิดเพ้อเจ้อของผมฝังลงไปในสมองแน่นขึ้น

ผมมองชื่อของผมในเครื่องสี่เหลี่ยมเก่าๆ นั่นสลับกับมองหน้าของไนล์ เขายังไม่มีท่าทีตื่นขึ้นมา ผมจึงคว้าเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ มานั่งและกลับมาจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง ฉับพลันความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของผมราวกับมีแสงสีขาวพุ่งเฉียงลงมา

แล้วเบอร์ติดต่อคนในครอบครัวล่ะ

พ่อแม่ พี่น้อง...

คิดดังนั้นแล้วผมก็รู้สึกว่าปริศนาอีกหนึ่งอย่างของไนล์กำลังเคาะประตูเพื่อจะยัดเยียดตัวมันเข้ามาในตัวผมซึ่งมีแต่คำถามเกี่ยวกับเขาอยู่เต็มไปหมดจนแทบจะไม่มีที่ให้แทรก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเปิดช่องว่างเล็กๆ ออกให้มันเข้ามา

เพราะว่าเป็นไนล์ล่ะมั้ง ผมถึงได้ทำแบบนั้น

เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ผมก็กดปิดโทรศัพท์และเก็บมันเข้าไปในลิ้นชักของตู้ข้างๆ เช่นเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยังหลับตาอยู่ ใบหน้าของไนล์ที่ปกติขาวอยู่แล้วดูขาวซีดราวกับไม่มีชีวิตยิ่งกว่าเก่า ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอและแผ่วเบาจนเกือบไม่รู้ว่าเขาหายใจอยู่หรือเปล่า

ริมฝีปากที่เคยเป็นสีพีชและเคยเข้มกว่านั้นเพราะผม จางสีลงกว่าครั้งไหนๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปแตะมันเบาๆ ไล้ปลายนิ้วโป้งที่แตะอยู่บนริมฝีปากแห้งๆ นั้นราวกับมันเป็นสิ่งที่เปราะบางจนอาจจะแตกหักลงได้ถ้าลงน้ำหนักมากเกินไป

จะว่าเป็นครั้งแรกก็ได้ที่ผมรู้สึกว่าผมกำลังแตะต้องอะไรบางอย่างด้วยความทะนุถนอมขนาดนี้

ทั้งที่ไนล์เป็นผู้ชาย และเป็นคนที่เหมือนกับไม่มีชีวิตจนไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงว่าผมจะสัมผัสด้วยความรุนแรงมากขนาดไหน แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่า...

ผมอยากดูแลเขา

ผมรู้ว่าเขาไม่ได้อ่อนแอ รู้ว่าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้น

มันเป็นความรู้สึกของผมเอง เป็นการคิดไปเองของผม ว่าเขา...ต้องการให้ผมอยู่เคียงข้าง

ไม่ใช่เพราะต้องการการปกป้อง ไม่ใช่เพราะต้องการความเอาใจใส่ แต่แค่อยากให้อยู่ข้างๆ เพียงเท่านั้น

ผมนั่งรอคอยโดยไม่ได้สนใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร กระทั่งเปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ ขยับทีละนิดก่อนจะเปิดขึ้นมาให้เห็นดวงตาเรียวนั้น ผมก็ผุดลุกขึ้นอย่างว่องไว ชะโงกเข้าไปดูอาการของคนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา

ไนล์กะพริบตาอยู่หลายครั้งเหมือนกับพยายามจะปรับภาพที่เห็น แต่เพียงชั่วครู่หนึ่งเขาก็เบิกตาโพลง ลุกพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หันซ้ายหันขวากวาดตามองไปทั่วห้องเพื่อให้รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ก่อนจะมาจบลงที่ใบหน้าของผม แล้วย้ายไปที่ร่างกายของตัวเอง

เมื่อเห็นว่าที่แขนของตัวเองมีเข็มหนึ่งปักอยู่ เขาก็กระชากมันออกอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมตกตะลึงพรึงเพริศไปชั่วครู่ก่อนจะต้องรีบกระชากตัวเขาเอาไว้ เพราะไนล์ทำท่าจะลุกออกจากเตียงไป ผมใช้สองแขนโอบรอบเอวของเขา ก่อนจะดึงเข้าหาตัว ขณะที่ตัวเองพิงตัวไว้กับเตียง ยึดเขาเอาไว้แบบนั้นพลางเอื้อมตัวไปกดปุ่มเพื่อเรียกพยาบาล

เพียงไม่นานคนที่ถูกเรียกก็เข้ามา ไนล์พยายามดิ้น แต่ผมกอดเขาเอาไว้แน่น ผู้คนที่อยู่ในห้องพักเดียวกันอีกสามเตียงและญาติๆ ที่มาเยี่ยมดูตื่นตระหนกกับอาการของไนล์ ผมต้องปรามเขาพร้อมกับบอกพยาบาลไปด้วย

“ไนล์ใจเย็น ใจเย็นก่อน เอ่อ คุณพยาบาลครับ เขาถอดสายน้ำเกลือออก”

“เดี๋ยวจะเสียบให้ใหม่นะคะ คนไข้ใจเย็นๆ นะคะ ตอนนี้ร่างกายไม่แข็งแรง ต้องได้รับสารอาหารและพักผ่อนอย่างเพียงพอเสียก่อนถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้นะคะ”

ผู้หญิงในเครื่องแบบพยายามใจเย็น เธอบอกด้วยน้ำเสียงปลอบ ทำให้ไนล์หยุดนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง แต่เมื่อรู้ว่าผมกำลังกอดอยู่เขาก็สะบัดตัวอีกครั้ง

เขาคงเกลียดผมแล้ว จนไม่อยากเจอหน้าหรือคุยกัน แต่ว่า...

“ไนล์ อย่าดิ้นสิ นายไม่พอใจอะไร หรือจะต่อว่าอะไรฉันก็ได้ แต่ตอนนี้รักษาตัวเองก่อนได้ไหม เอาไว้ให้หายดีก่อนได้ไหม ฉันขอร้อง”

ผมเอ่ยด้วยเสียงที่อ้อนวอนที่สุด เพื่อให้เขาคลายอาการลง แต่ก็เขายังขยุกขยิกอยู่ในอ้อมกอดของผม ผมจึงต้องพูดขึ้นอีกครั้ง

“ได้โปรดไนล์ ฉันเป็นห่วงนายนะ ไม่อยากให้นายเป็นอะไร แล้วฉันก็มีเรื่องอยากจะพูดกับนาย ช่วยรับฟังได้ไหม”

อาจเพราะน้ำเสียงของผมสื่ออารมณ์ได้อย่างชัดเจน เขาถึงยอมสงบลงในที่สุด ผมพยักหน้าให้พยาบาลเพื่อที่เขาจะได้ทำงานของตัวเองต่อไป ก่อนจะก้มหน้าซุกลงกับบ่าของเขา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ที่สุดท้ายเขาก็รับฟังผมสักที ไนล์สะดุ้งนิดหน่อยตอนที่โดนเข็มเจาะลงไปบนผิวหนัง กระทั่งเรียบร้อย เสียงของพยาบาลก็ดังอีกครั้ง

“อย่าดึงเข็มออกมาอีกนะคะ แล้วคนไข้ก็ต้องรับน้ำเกลืออีกถุงถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้ค่ะ”

“ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มให้เธออย่างอ่อนแรง เพราะรู้สึกเกรงใจที่ทำให้เธอต้องลำบาก ก่อนจะบอกเธออีกครั้ง “ถ้ายังไงรบกวนช่วยปิดม่านให้ด้วยนะครับ”

เพราะผมมีเรื่องที่จะคุยกับไนล์ และไม่อยากเป็นเป้าสายตาของคนไข้เตียงอื่นๆ จึงบอกไปแบบนั้น ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจดีจากอาการของไนล์เมื่อครู่นี้ จึงค่อยๆ ขยับออกไปและรูดม่านปิดรอบเตียงให้ ตอนนี้ผมกับไนล์จึงเปรียบเสมือนอยู่ในห้องส่วนตัว แต่เพราะลำพังแค่ม่านไม่สามารถกั้นเสียงพูดคุยดังๆ ได้ ผมจึงไม่ยอมปลดมือจากไนล์ แต่กลับดันตัวขึ้นนั่งบนเตียงโดยดึงร่างผอมบางขึ้นมานั่งอยู่ตรงหว่างขา และกอดร่างนั้นเอาไว้ เกยคางกับไหล่และพูดเบาๆ ให้เขาได้ยินข้างหู

“นายไปอยู่ที่ไหนมา รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงนายขนาดไหน ตามหาเท่าไรก็ไม่เจอ”

“...”

สิ่งที่ตอบผมกลับมาคืนความเงียบ ไนล์ไม่ได้หันมามองหน้าผม ใบหน้าของเขาตั้งตรง และดวงตาก็ยังคงจ้องมองไปยังม่านที่เป็นลอนลูกคลื่นอย่างเหม่อลอย แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้

“ฉันขอโทษที่ฉันเข้าใจนายผิด และทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้นกับนาย นายโกรธฉันใช่ไหม ถึงได้หนีไป ไม่ยอมกลับมาแบบนี้”

“...”

“...”

“..........นายไม่ได้เข้าใจผิด”

เงียบอยู่นาน กว่าเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยินของเขาจะดังขึ้น แต่ถ้อยคำนั้นก็ราวกับจะประชดกัน ทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่พอใจกับการกระทำเพราะอารมณ์ชั่วแล่นของผม

“นายอย่าโกหกเลย ฉันรู้ว่านายไม่ได้ทำอย่างนั้น คนอื่นอาจจะเข้าใจนายผิด แต่ว่าฉันจะไม่ยอมเข้าใจนายผิดอีก”

“ฉันทำ...แบบนั้นจริงๆ”

ไนล์ยังคงย้ำ ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง ผมกระชับอ้อมแขนของตัวเองให้แน่นขึ้น และพยายามอธิบายเหตุผล

“นายไม่ได้ทำ ฉันรู้ อย่างน้อยนายก็ไม่ได้ขายร่างกายนี้ให้กับผู้ชายคนไหน”

“แต่ฉัน...ก็ขายให้นายไม่ใช่หรือไง”

น้ำเสียงของเขากดต่ำลงอีกตรงท้ายประโยค เหมือนพยายามจะทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเย็นชา แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น มันเหมือนกับแฝงความเจ็บปวดออกมาต่างหาก ซึ่งมันทำให้ผมไม่ชอบเอาเสียเลย มันเสียดในอก เหมือนโดนของแหลมๆ เสียบเข้ามาและดึงออกอย่างช้าๆ

“ถ้าหมายถึงยี่สิบบาทที่นายเอาไปนั่นละก็ ไม่ถือว่าเป็นการขายหรอก แล้วฉันก็ไม่ได้ซื้อนายด้วย”

“ถึงอย่างนั้น ฉันก็ขายตัวอยู่ดี...อย่างน้อยก็กับผู้หญิง”

ผมรู้สึกว่าใจมันชาขึ้นมาเสียดื้อๆ ไม่ใช่เพราะความรู้สึกเหมือนอะไรที่เสียบอยู่ในอกถูกดึงออกมา แต่เป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่ของเขาต่างหาก ถึงกระนั้นผมก็บังคับเสียงออกมาให้เป็นคำถาม พยายามเหลือเกินที่จะไม่ซักไซ้ไล่ต้อนเขามากเกินไป ถามในสิ่งที่มันมีเหตุผลสมควรแก่การถาม

“แล้วทำไมนายถึงทำแบบนั้น”

“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกให้นายรู้”

“อย่าปิดบังฉันอีกเลยได้ไหม ฉันอยากรู้ว่านายเป็นใคร รู้สึกยังไง อยากรู้ทุกๆ เรื่องของนาย ช่วยบอกฉันได้ไหม ไม่ต้องบอกฉันก็ได้ว่านายเข้าหาฉันเพื่ออะไร แต่ช่วยบอกฉันเถอะ เรื่องเกี่ยวกับนาย ฉันอยากรู้ทุกเรื่อง”

“นายจะอยากรู้ไปทำไม”

น้ำเสียงของเขาเฉยชา แต่ก็แอบซ่อนความสั่นไหวเอาไว้ ผมจับความรู้สึกที่แทรกสอดเข้ามาได้ แม้ว่ามันจะน้อยนิดเหลือเกิน แต่ไนล์ในเวลานี้ไม่ใช่คนเก่งที่เก็บอารมณ์ไว้ได้อย่างมิดชิดอีกต่อไป หรืออาจเพราะผมเฝ้าจับสัมผัสอันน้อยนิด ไม่ว่าจะน้อยสักแค่ไหนของเขาอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้มันหลุดลอดไปก็เป็นได้

“ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องของนายไง เพราะว่าเป็นเรื่องของไนล์ ฉันถึงได้อยากรู้”

“...”

ไนล์เงียบลงไปอีกครั้ง ผมเองก็เงียบเช่นกัน เฝ้ารอเวลาที่เขาจะยอมเปิดปากพูดออกมาด้วยตัวเอง ซึ่งเขาก็คงจะเฝ้ารอเช่นเดียวกันว่าผมจะยอมแพ้เมื่อไร เราต่างตกอยู่ในห้องสุญญากาศที่สร้างกันขึ้นมา กระทั่งพักใหญ่เขาถึงยอมพูด คงเพราะคิดได้ว่าผมจะไม่ยอมแพ้และตัดใจไปอย่างง่ายๆ

“ฉันจำเป็น”

“...”

ผมไม่ถามเขาต่อ ไม่อยากบีบคั้นให้เขาต้องเล่าออกมา แต่อยากให้เขารู้สึกได้เองว่าผมกำลังรอ รอให้เขาเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองด้วยความเต็มใจ เพราะไว้ใจถึงเล่าให้ผมฟัง ไว้ใจให้ผมได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา ได้รู้ว่าความเป็นมาส่วนหนึ่งของเขาเป็นแบบไหน ให้เขายอมรับ...

...ว่าเขาก็ต้องการให้ผมรู้เหมือนกัน

“ฉันต้องใช้เงิน......... ทั้งเรื่องที่วาดรูปขาย เรื่องที่..........ขายตัว”

เสียงแผ่วหวิวจนแทบไม่ได้ยินในประโยคสุดท้าย แต่เป็นเพราะผมตั้งใจฟังอย่างถึงที่สุด จึงได้ยินมันอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ขายให้ผู้หญิงพวกนั้นน่ะเหรอ”

เพราะรู้ว่าเขาจะไม่อธิบายรายละเอียดมากไปกว่านี้ แต่เพราะผมอยากรู้เองถึงได้ถาม ซึ่งไนล์ก็พยักหน้าเบาๆ ตอบผมกลับมาด้วยเสียงที่เปล่งออกมาได้ไม่เต็มที่นัก

“แรกๆ ฉันก็เสนอตัวเอง หลังจากนั้นลูกค้าก็พูดกันปากต่อปากแล้วโทรเข้ามานัดเอง”

ไม่รู้ทำไมหัวใจของผมถึงรู้สึกเสียดๆ ขึ้นมาอีกครั้งจนต้องกลั้นลมหายใจอยู่ชั่วคราว ราวกับจะตั้งสติให้ดีแล้วค่อยเอื้อนเสียงถาม

“นาย...มีอะไรกับผู้หญิงพวกนั้นเหรอ”

เมื่อเสียงหลุดออกมาจากปากของผม ก็เหมือนว่าตัวเองจะหยุดหายใจไปชั่วระยะหนึ่ง ไนล์เงียบไปในช่วงเดียวกัน แต่เพียงไม่นานเขาก็ตอบกลับมาด้วยคำสั้นๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างพองโตอยู่ในอก

“เปล่า”

ผมรู้สึกเหมือนมุมปากกำลังยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ในเวลานั้น

“แค่เดทกัน จับมือบ้าง กอดบ้าง แต่ไม่เคยถึงขั้นจูบ แลกกับการเลี้ยงข้าวและแถมเงินอีกนิดหน่อย”

รอยยิ้มของผมชะงักลงไปกับคำว่า ‘จูบ’

“แต่ฉันเห็นนายจูบ... กับผู้หญิงบนรถคันนั้น”

ภาพนั้นยังคงติดตาผมอยู่ ผมยังจำได้อย่างแม่นยำ

“นั่นก็เพราะ...ฉันยกเลิกนัด”

ประโยคที่เขาเคยพูดแต่เหมือนว่าผมเกือบจะลืมไปแล้วดังขึ้นมาในหัวผมอีกครั้ง


‘เป็นข้อแลกเปลี่ยนสำหรับการยกเลิกนัด นายรู้ไหมว่านายทำให้ฉันต้องลงทุนด้วยส่วนที่แพงที่สุด’


เพราะเขาไม่ยอมจูบ มันถึงได้เป็นส่วนที่แพงที่สุด แต่เขาก็ยินยอมจ่ายทั้งที่ไม่ยอมใช้มันเพื่อแลกกับเงินเพราะผม เพราะต้องการไปกับผม จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ก็ตาม แต่ว่านั่นทำให้ผม...

ดีใจ

คงไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะรู้สึกแบบนั้น

ผมกดหน้าลง สูดจมูกดมกลิ่นกายของเขาที่คงถูกพยาบาลเช็ดเนื้อตัวให้แล้ว เพราะมันไม่มีกลิ่นอะไรนอกจากกลิ่นผิวของเขา พลางบอกสิ่งที่นึกคิดอยู่ในใจ

“ถ้าฉันขอว่าต่อไปอย่าทำได้ไหม จะได้หรือเปล่า”

“บอกแล้วว่ามันจำเป็น”

“เงินน่ะเหรอ”

เขาพยักหน้าเบาๆ ตอบคำถามของผม ซึ่งสำหรับผมแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย แม้จะไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องใช้เงินจนกระทั่งยอมทำอะไรแบบนี้ ยอมแม้กระทั่งให้คนอื่นเข้าใจผิดๆ จนมองเขาในแง่ร้าย

“ถ้าเป็นเพราะแบบนั้น ต่อจากนี้นายก็ไม่จำเป็นต้องทำแล้ว นายอยากกินอะไร อยากซื้ออะไร บอกฉันก็ได้”

“นายกำลังดูถูกว่าฉันซื้อได้ด้วยเงินสินะ ก็ใช่ ฉันซื้อได้ด้วยเงิน แต่ฉันไม่ต้องการความสงสาร หรือความสมเพชเวทนาจากนาย”

ไนล์กระโดดลงจากเตียง พลางพยายามยื้อตัวออกจากผมที่กอดเขาเอาไว้มาพักใหญ่ๆ แต่ผมก็ดึงเขาเอาไว้ แน่นอนว่าแรงของผมย่อมมากกว่าเขาอยู่แล้ว นอกจากเขาจะป่วย ขนาดตัวของเราก็ต่างกัน ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้ชายที่เตี้ยมาก แต่ก็ผอมบางจนเกือบจะมีแต่กระดูก

ผมเพิ่งเข้าใจในตอนนี้เองว่าทำไมเขาถึงได้ดูผอมขนาดนี้

เขาไม่ดูแลตัวเอง ไม่ยอมพักผ่อน เอาแต่ทำงานเพื่อหาเงิน

“ฉันไม่ได้สงสารหรือสมเพชนาย ที่ฉันพูดแบบนั้นก็เพราะว่าเป็นห่วง”

ผมจับไนล์ขึ้นนั่งบนเตียงและเปลี่ยนเป็นตัวเองที่ลงมายืนแทน เอาแขนสองข้างค้ำขนาบร่างเขาเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาในระยะที่มองเห็นกันได้ชัดเจนและทำให้เขาไม่สามารถหนีไปจากผมได้

“ฉันเป็นห่วงนายจริงๆ แล้วก็...หวงนายด้วย”

ตาของผมจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา มองเข้าไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่และสื่อความรู้สึกอย่างที่พูดออกไป ภาพแววตาของเขาที่สะท้อนใบหน้าของผมมีสั่นไหวเล็กน้อย

เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันเหมือนพยายามจะสะกดกั้นความรู้สึกบางอย่าง ขบฟันลงบนกลีบปากสีพีชที่ซีดกว่าปกติเอาไว้ ผมจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากกว่าเก่า และจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากคู่นั้นซึ่งหลบซ่อนอยู่ครึ่งหนึ่ง ก่อนจะผละออกมาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่มันหลุดออกมาจากปากของผมเองโดยไม่ได้แต่งเติมใดๆ

“ได้ไหม”

ปากที่ผมเพิ่งประจับจูบลงไปยังไม่คลายออก มันยังคงเม้มหนัก ขณะที่นัยน์ตาของเขาก็จับจ้องผมไปด้วย ผมจึงยิ้มให้นิดๆ ก่อนจะเอ่ยขอร้องเขาอีกครั้ง

“ยอมรับความเอาแต่ใจของฉันได้ไหม ให้ฉันดูแลนายเท่าที่ฉันอยากทำเถอะนะ”

ผมยังคงจ้องมองเขาอย่างไม่ลดละ ซึ่งเขาเองก็มองผมตอบกลับมาเหมือนกัน ราวกับกำลังประเมินว่าควรจะอนุญาตหรือไม่ และสุดท้าย เสียงที่ผมรอคอยก็ดังขึ้นในลำคอ

“อืม”




v

v

อ่านต่อข้างล่าง

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน


v


v




คืนนั้นไนล์ออกจากโรงพยาบาลได้ ผมพาเขาไปที่คอนโดของผมแทนที่จะกลับไปที่แมนชั่น และเพราะผมอยากให้เขาได้พักผ่อนอย่างสบายๆ ผมจึงส่งเขาเข้าห้องก่อนจะย้อนกลับออกมาอีกครั้งเพื่อซื้ออาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนเหมาะสำหรับคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง แทนการสั่งอาหารมากินแบบขอไปที

หลังจากกินอาหารเสร็จเรียบร้อย ผมก็เข้าห้องมาเก็บของเตรียมไว้สำหรับการเดินทางช่วงเช้าตรู่วันมะรืน ขณะที่ไนล์นั่งอยู่บนเตียง ผมกลัวเขาไม่มีอะไรทำก็เลยเปิดละครหลังข่าวทิ้งเอาไว้ด้วย แม้จะรู้ว่าไนล์ไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้ก็ตาม เพราะปกติแล้วถ้าเขาไม่วาดรูป เขาก็จะนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

“เดี๋ยวเช้าวันเสาร์ฉันต้องไปต่างจังหวัดนะ กลับมาอีกทีก็คงค่ำๆ วันจันทร์ นายอยู่ที่ห้องฉันนี่แหละ เอารถฉันไปใช้ก็ได้ นายขับรถเป็นหรือเปล่า”

เก็บของเสร็จแล้วผมก็เดินมานั่งข้างเขาบนเตียง แต่ว่าไนล์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันให้ค่าแท็กซี่เผื่อไว้ก็ได้ แต่ฉันอยากให้นายอยู่ที่นี่”

“ทำไม”

“ถ้าไม่นับว่าที่นี่อยู่ไกลจากมหา’ลัยมากกว่าหอของนาย มันก็สะดวกสบายกว่าไม่ใช่เหรอ นายอยากกินอะไรก็หยิบได้ในตู้เย็น ฉันไม่อยากทิ้งนายให้ต้องป่วยอีก”

พูดแบบนั้นไปแล้วผมก็นึกไปพลางๆ ว่าในตู้เย็นมีอะไรบ้าง แม้ว่าจะไม่ได้มีของสดล้นตู้ แต่อย่างน้อยๆ ก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่กินได้ ทั้งอาหารแช่แข็ง เนื้อสัตว์ ผักอีกเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมซื้อมาเผื่อไว้ทำอาหารในบางที น้ำ หรือแม้กระทั่งเบียร์ที่พวกเพื่อนๆ ชอบมาฉกไปกินมากกว่าผมเองที่เป็นคนซื้อ

ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ซื้อพวกอาหารกับน้ำผักผลไม้มาเติมในตู้ก็ได้

ไนล์ไม่ได้ตอบอะไร แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นการแสดงความยินยอมว่าเขาจะทำตามที่ผมบอก ผมจึงยิ้มให้เขานิดๆ ก่อนจะฉุดตัวลุกขึ้นอีกครั้งและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าที่เขาน่าจะใส่ได้ออกมาพร้อมกับนึกไปด้วยว่าพรุ่งนี้คงต้องแวะเอาเสื้อผ้าบางส่วนของเขามาไว้ที่นี่เช่นกัน จากนั้นก็ยื่นชุดให้เขา

“ไปอาบน้ำก่อนสิ จะได้สบายตัว คืนนี้รีบๆ นอนพรุ่งนี้จะได้สดใส นายไม่ได้ไปเรียนหลายวันแล้วใช่ไหม”

ผมรู้ตัวดีว่าตอนนี้มีรอยยิ้มติดอยู่บนแก้มผมจางๆ อาจเพราะได้รู้เรื่องของเขาบ้างถึงทำให้ผมรู้สึกเหมือนน้ำหนักของสิ่งที่ทับอยู่บนอกหายไปส่วนหนึ่ง จึงรู้สึกสบายขึ้นก็เป็นได้

“อืม”

ไนล์ตอบอย่างง่ายๆ ก่อนจะลุกขึ้นมาคว้าของที่อยู่ในมือผม ผมจึงยื่นผ้าเช็ดตัวให้อีกหนึ่งชิ้นก่อนเขาจะเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมเองก็หยิบผ้าเช็ดตัวอีกผืนและก้าวออกจากห้องเพื่อไปใช้ห้องน้ำซึ่งอยู่อีกห้องด้วยเช่นกันเพื่อไม่ให้เสียเวลา

กลับมาถึงห้องอีกที ไนล์ก็อยู่ในชุดสำหรับนอนที่ผมเตรียมให้แล้ว เขานั่งอยู่บนเตียงเฉยๆ และมองมาทางประตู แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมยิ้มได้อย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะก้าวเข้ามาและตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหาชุดสบายๆ มาใส่

ผ้าขนหนูสองผืนถูกผึ่งเอาไว้อย่างเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เหม็นกลิ่นอับชื้น ตามด้วยผมที่เดินไปปิดโทรทัศน์และปิดสวิตช์ไฟในห้อง จากนั้นเข้ามาหาเขาและทิ้งตัวลงนั่งใกล้ๆ กัน แม้ว่ามันจะมืด แต่ผมก็รู้ดีถึงตำแหน่งของของทุกอย่างภายในห้อง

“แปรงฟันแล้วใช่ไหม”

“อืม”

ครั้งที่แล้วไนล์มาค้างห้องของผม แปรงสีฟันอันเดิมผมยังไม่ได้ทิ้งไป ยังคงเก็บไว้ราวกับรอให้คนที่เคยใช้มันได้กลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งไนล์ก็คงเห็นว่ามันวางอยู่ตรงนั้น เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ แต่ก็ทำให้ผมต้องหลุดยิ้มอีกครั้ง

ในวันนี้ผมมีความสุขต่างจากเมื่อวานหรือหลายวันที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง

สุขจนอิ่มล้นในใจ

คิดดังนั้นแล้วผมก็ยื่นแขนออกไปคว้าเอวคนข้างๆ เอาไว้ จากนั้นก็ล้มตัวลงบนที่นอนพลางบอก

“งั้นก็นอนเถอะ”

ไนล์ไม่ได้ดันตัวออกหรือขยับเข้ามาใกล้ เขาแค่นอนเฉยๆ ให้ผมเป็นฝ่ายขยับเข้าไปหาเอง ซึ่งนั้นก็เพียงพอแล้ว เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมรู้สึกดีและพอใจมากแล้ว ผมกอดเขาเอาไว้และหลับตาลง ขณะที่เขาเองก็คงจะทำแบบเดียวกัน เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เสียงลมหายใจของเขาก็สม่ำเสมอ

ผมยิ้มกับตัวเองอีกครั้ง







ก่อนวันเดินทาง หลังจากเรียนเสร็จผมไปรับไนล์ที่คณะ เราไปกินข้าวด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าก่อนจะลงไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของด้วยกันตามที่ผมตั้งใจเอาไว้ รวมถึงไปเอาเสื้อผ้าของเขาที่หอ เมื่อกลับถึงคอนโดของผม ผมและเขาก็ช่วยกันจัดของที่ซื้อมาเข้าตู้และตู้เย็นๆ แล้วรีบเข้านอน เพราะผมต้องเดินทางแต่เช้า เห็นพี่เจ๋งบอกว่านัดกันที่บ้านพี่ต้น เพราะจะไปรถตู้ของบ้านเขา

ตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างผมก็ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแล้ว ผมปลุกไนล์เบาๆ ก่อนที่จะออกจากห้องไป เพราะว่าต้องเอาเงินให้เขาตามที่บอกเอาไว้เพราะไม่อย่างนั้นไนล์จะลำบาก

ถึงผมจะยังไม่รู้เหตุผลและไม่ได้ถามก็เถอะว่าทำไมเขาต้องการเงินมากขนาดนี้ แต่มันคงมีเหตุผลจำเป็นอย่างมาก เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตัดสินใจแบบนั้น รวมทั้งทุ่มเทวาดรูปจนแทบไม่ได้พักผ่อน อีกทั้งยังใช้จ่ายอย่างประหยัดจนผิดปกติ

เมื่อลองมาคิดๆ ดูผมก็เข้าใจเหตุผลในการกระทำอะไรหลายๆ อย่างของเขา

เงินจากการวาดภาพขายไม่ได้มากมายขนาดจะใช้จ่ายได้เป็นเดือนๆ เพราะไหนจะค่าหอพัก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหารในบางมื้อที่เขาไม่ได้ไปกับผู้หญิงอีก แล้วไหนจะค่าเดินทางเวลาเขาเอารูปภาพไปส่ง เพราะแบบนี้ในห้องของไนล์ถึงไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอะไรเลย แม้กระทั่งโทรศัพท์ก็ยังเป็นรุ่นเก่า นอกจากนั้นอุปกรณ์วาดรูป กระดาษ สี หรือเฟรมผ้าใบที่เขาต้องใช้ ราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ

ไนล์พยายามใช้จ่ายเฉพาะที่จำเป็นให้มากที่สุด

คิดได้แบบนั้น ก็ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง เหตุผลที่ไนล์ไม่ได้เข้าไปดูหนังกับผม พี่ดาหลา และพี่มะเหมี่ยวคราวก่อนก็เพราะเขาไม่ต้องการใช้เงินโดยใช่เหตุ ไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบดูมันอย่างที่บอก

ไนล์งัวเงียเล็กน้อยเมื่อผมสะกิดเรียก เปลือกตากระพือขึ้นทีละนิดก่อนดวงตาคู่ที่เคยว่างเปล่าเปิดขึ้น ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่นับตั้งแต่ที่ไนล์รับปากผมว่าจะเลิกทำงานแบบนั้น แววตาของเขาก็เปลี่ยนไป มันไม่ชืดชาเหมือนเคย และสะท้อนแววนิดๆ เมื่อมองผม

“เดี๋ยวฉันต้องออกไปแล้ว นี่เงินเผื่อไว้ใช้”


ผมยื่นแบงก์สีเทาให้เขาสามใบ แต่ไนล์กลับดันตัวขึ้นมานั่งและมองโดยไม่ยกมือขึ้นมา

“เยอะเกินไปหรือเปล่า นายไม่จำเป็นต้องให้เงินฉันก็ได้”

“บอกแล้วไงว่าฉันจะให้ ปกติฉันก็ไม่ค่อยได้ใช้เงินเท่าไรอยู่แล้ว”

เพราะช่วงนี้ไฮยีนอยู่กับพี่ภูตลอด ผมก็เลยไม่ต้องออกเงินซื้อของหรือเลี้ยงข้าวมันบ้างในเวลาที่มันอ้อน และมันยังถูกห้ามไม่ให้ออกไปเที่ยวสำมะเลเทเมาแบบเมื่อก่อนด้วย ทำให้ผมหยุดเที่ยวไปด้วยก็เลยแทบไม่ได้ใช้เงินเลยนอกจากที่จำเป็นเท่านั้น แต่ถึงผมจะบอกไปแบบนั้น ไนล์ก็ยังไม่ยอมรับไปอยู่ดี

“เมื่อวานก็จ่ายไปตั้งเยอะ ไหนจะค่าโรงพยาบาลอีก เดี๋ยวฉันกินพวกของในตู้เย็นก็ได้”

“แล้วค่ารถล่ะ นายคงไม่คิดจะเดินจากที่นี่ไปมหา’ลัยหรอกนะ”

“เดินไปขึ้นรถเมล์ก็ได้”

เขายังคงดื้อ อ้างเหตุผลขึ้นมา แต่ผมก็ไม่ยอมให้เขาปัดความตั้งใจของผมทิ้ง ผมดึงมือเขาขึ้นมาแล้วยัดเงินใส่มือไว้แทน

“เอาไปเถอะน่า เพื่อความสบายใจของฉัน เผื่อปุบปับนายต้องใช้ด้วย”

ไนล์ทำคิ้วยุ่งเหมือนไม่พอใจ ผมจึงส่งยิ้มให้เพื่อให้เขายอมใจอ่อนให้ซึ่งมันก็ได้ผล ผมเลยย้ำไปอีกที

“ดูแลตัวเองด้วย แล้วก็อย่าทำให้ฉันเป็นห่วงมากนัก”

พูดจบผมก็วางมือลงบนหัวของเขาแล้วขยี้เบาๆ พร้อมกับยิ้มให้อีกที เขาไม่ได้ตอบอะไร ถึงกระนั้นผมก็รู้ว่าเขารับรู้และยอมรับคำพูดของผม จึงผละออกมาแล้วหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมาสะพายบนบ่าและออกจากห้องไป ทว่าก่อนจะปิดประตู ผมไม่ลืมมองหน้าของเขาอีกครั้ง ราวกับจะเก็บภาพนั้นให้เป็นสมบัติติดตัวไประหว่างเดินทางด้วย เมื่อประตูปิดลง ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกับตัวเองด้วยความรู้สึกดีๆ ในใจ

อยากรู้สึกแบบนี้ไปอีกนานๆ

ทว่า...ผมกลับไม่รู้เลยว่า ในการเดินทางครั้งนี้ ตัวเองจะต้องกลับไปเผชิญกับความทุกข์ทรมานอีกครั้ง







--------------
เฉลยเรื่องไนล์ไปเรื่องนึงแล้วค่ะ

ตอนนี้รู้สึกว่าจะหวานนะ ในความรู้สึกของเรา
โดยเฉพาะตอนที่กราฟจูบ  :-[

Undel2Sky

ออฟไลน์ sin_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
ชอบคู่นี้มากกกกก 

แต่เดาใจไนล์ไม่ออกเลย  ลุ้นๆ




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด