ต่อจากข้างบน
v
v
เราถูกเรียกให้ลงมาเผชิญหน้าต่อหน้าสาธารณชน ผมกับไอ้ยีนก็ขึ้นไปบนเวทีเตี้ยๆ ที่ถูกทำขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ สูงกว่าพื้นปกติไม่มากหรอกครับ แค่เป็นการต่อไม้กระดานเพื่อให้คนด้านหลังสามารถมองเห็นคนที่อยู่บนเวทีได้ทั่วๆ กันเสียมากกว่า
เรื่องราวเริ่มต้นอย่างที่วางเอาไว้ เสงี่ยมศรีกลับมาบ้านเกิดด้วยความเสียใจที่ไม่เคยได้รับความรักตอบจากผู้ชายที่เธอสนใจ ซึ่งเป็นซีนอารมณ์ที่ควรจะน่าสงสาร แต่ไอ้ยีนก็เล่นเอาฮาได้ เพราะแค่หน้าตาของมันที่ถูกแต่งก็เรียกเสียงฮาแล้ว นี่ยังมีการแสดงที่เรียกได้ว่าเว่อร์เกินจริงไปหลายเท่า เพิ่มความอุบาทว์ได้อย่างไม่มีลิมิตนี่อีก
เสียงโห่หัวเราะดังก้องไปทั้งโถงใต้ตึกจนผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกเหมือนกัน ต้องใช้ความพยายามมากเชียวล่ะครับที่จะไม่ปล่อยเสียงก๊ากออกมาตามคนอื่นๆ ผมข่มอารมณ์สุดๆ แล้วเล่นตามบทบาทของตัวเองไป มุ่งความสนใจไปที่คนที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังพยายามคิดหาทุกวิถีทางที่จะทำให้คนดูหัวเราะ โดยเฉพาะพี่ภู ตามคำท้าทาย
แต่ผมก็เห็นนะครับว่าพี่ภูมองไอ้ยีนตลอดและยิ้มอย่างถูกใจที่มันอย่างเต็มที่ ไม่มีกลัว ไม่มีอาย เหมือนจะภูมิใจด้วยซ้ำที่ไอ้ยีนทำได้ดีขนาดนี้ จนผมอดเผลอคิดกับตัวเองไม่ได้ว่าคราวนี้ พี่ภูกับไอ้ยีนอาจจะเลิกตั้งแง่ใส่กันก็ได้ ทว่าระหว่างที่มองพี่ภู มองพี่เจ๋ง ลุงรหัสของผมว่าเป็นยังไงบ้าง สนุกกับการแสดงของพวกผมหรือเปล่า สายตาของผมก็เผลอกวาดมองไปไกลกว่านั้นอย่างไม่ตั้งใจ
คนที่ยังยืนหลบอยู่ริมกำแพงด้านหลังสุดของบริเวณจัดการมองตรงมาที่ผม มันไกลมากจนผมไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ผมก็รู้สึกได้ เขายังคงมีท่าทีเหมือนเดิมคือการทำเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีผลกระทบต่อใครก็ตามที่อยู่รอบตัว เป็นอากาศที่พร้อมจะระเหยและหายไปได้ตลอดเวลา
“คุณเด่นชัยรักเหงี่ยมไหมคะ”
ไอ้ยีนพยายามปรับเสียงให้ดูกระแดะๆ จนผมเกือบจะหลุดขำออกมา ต้องกลั้นสุดชีวิตแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มอ่อนโยนให้ มองหน้ามันที่ทำตาแป๋วๆ มองผมเหมือนรักผมเหลือเกินตามบทบาท ผมเลยต้องเออออตามไปให้สมกับที่มันใส่ฟิลลิ่งเข้ามา
“รักสิครับ ผมรักเหงี่ยมมากเลยนะ”
ผมใช้หลังมือแตะที่แก้มของยีนเบาๆ ด้วย ซึ่งมันก็ทำท่าเอียงอายจนตัวบิด ซึ่งผมแน่ใจว่าถ้าเป็นปกติ ผมคงหัวเราะก๊ากไปแล้ว และไม่ต้องเดา ไอ้เพื่อนตัวดีอีกสองคนที่นั่งดูอยู่หน้าเวทีคงหัวเราะจนแทบกลิ้ง แต่ไอ้ยีนก็ไม่ปล่อยให้ผมเนียนคนเดียวครับ มับทุบบ่าผมกลับมาเสียแรงจนผมเกือบหลุดเสียงร้องออกมา เล่นเอาคนที่ดูอยู่หัวเราะครืน
ทว่ายังไม่จบแค่นั้น ผมดึงมือมันไปจูบแบบไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า แค่ส่งซิกทางสายตาให้รู้ว่าเล่นต่อไปเลย นึกมุกอะไรได้ก็ใส่ไป ซึ่งไอ้ยีนก็พยายามเพื่อความบันเทิงต่อ ทั้งที่ตอนแรกมันไม่กล้าและไม่อยากจะเล่นละครที่ไม่มีบทตายตัวนี้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เหมือนอินเนอร์ของมันจะมาเต็มแล้ว เพราะมันแกล้งทำเป็นกัดปากอาย กระมิดกระเมี้ยนเต็มที่จนน่าสยองเมื่ออยู่ในสภาพนี้ แต่ถ้าเป็นสภาพปกติ ผมคิดว่าน่าจะน่ารักนะครับ
“คุณเด่นชัยทำอะไร เหงี่ยมอายนะคะ เดี๋ยวเกิดมีใครมาเห็น”
ท่าทางตอนนี้ของไอ้ยีนเป็นใจมากครับ ผมเลยแกล้งโน้มหน้าเข้าไปหามันเยอะๆ เพราะคิดว่านอกจากจะเล่นให้ฮาแล้ว ก็น่าจะมีอะไรให้ลุ้นหรือตื่นเต้นๆ กันบ้าง ก่อนจะจูบลงไปที่เหนือปากของไอ้ยีนแล้วเบี่ยงตัวนิดหน่อยเพื่อหลบไม่ให้คนเห็นกันชัดนัก ไม่อย่างนั้นจะมองออกว่าผมไม่ได้จูบตรงปากแบบพอดีเป๊ะๆ ซึ่งตอนปากแตะลงไป ผมรู้สึกเหนอะๆ นิดหน่อยครับ เพราะว่ามันเป็นตรงที่ถูกทาด้วยลิปสติกสีแดงแปร๊ด
แต่แค่นั้นก็เรียกเสียงกรี๊ด เสียงโห่ร้องกันจนกระหน่ำแล้วครับ เสียงดังมากจนผมกลัวว่าตึกจะสะเทือนแล้วถล่มลงมาเลย แล้วพอได้ยินเสียงแบบนี้ก็เหมือนไอ้ยีนจะคึกขึ้นมามากกว่าเดิม มันตอบสนองเสียงพวกนั้นด้วยการยกแขนขึ้นมาคล้องคอผม แถมยังยกขาขึ้นมากอดเอวของผมไว้อีก ถ้าไม่นับว่าปากผมอยู่บนหน้าของมันล่ะก็ สภาพคงเหมือนลูกลิง
แบบนี้ผมจะทำยังไงต่อ?
ผมคิดกับตัวเองเพราะยังหาที่จบไม่ลง ก็เลยแกล้งผลักไอ้ยีนให้หงายหลังตึงลงไปนอนบนม้านั่งที่เรานั่งกันอยู่ แล้วก็แกล้งทำเป็นซุกไซ้มันนิดๆ หน่อยๆ เพราะคิดว่าเดี๋ยวพวกในเมเจอร์ที่เหลือต้องหาทางออกให้ และไอ้การทำแบบนี้ระหว่างผมกับไอ้ยีนก็ไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นหรือว่าน่ากังวลสักเท่าไร เพราะผมกับมันก็ออกแนวชอบกอดฟัดกันบ่อยๆ
อย่างที่บอกล่ะครับว่าไฮยีนไม่ใช่แค่เพื่อนรักของผมเพียงอย่างเดียว มันเป็นเหมือนชีวิตของผม เป็นทุกๆ อย่างในชีวิตของผม และมันก็ยกให้ผมเป็นหนึ่งเหนือคนอื่นๆ ยกเว้นคนในครอบครัวของมันเหมือนกัน การแสดงความรักระหว่างผมกับมันจึงเป็นเรื่องปกติมาก ไม่ว่าจะวิธีไหน
เรานัวเนียกันอยู่แบบนั้นสักพัก ปลายก็เรียกพวกเพื่อนๆ ในเมเจอร์มาวิ่งรอบๆ ตัวผม เหมือนจะเป็นการเซนเซอร์ฉากอื้อฉาวนี้ นับว่าปลายแก้สถานการณ์ได้ดีครับ เพราะผมไม่รู้แล้วว่าจะเล่นฉากนี้ยังไงต่อไป จากนั้นเราเริ่มต้นขึ้นฉากใหม่กัน ซึ่งเข้าสู่ช่วงจบของการแสดงแล้ว เสงี่ยมศรีได้รู้ความจริงว่าผม หรือก็คือคุณเด่นชัยเป็นบ้า แต่ได้กลับมาพักผ่อนที่บ้านก่อนจะถูกส่งกลับไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวต่อ
ผมก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าจุดจบของตัวเองจะกลายเป็นแบบนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการจบการแสดงโดยสมบูรณ์และได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมครับ เพราะได้รับเสียงตอบมือ โห่ร้องชื่นชมอย่างล้นหลาม เล่นเอาผมกับยีน และคนในเมเจอร์ยิ้มหน้าบานกันเป็นแถบๆ
หลังจากแสดงความดีใจกันในหมู่เพื่อนร่วมเมเจอร์แล้ว พวกผมก็ไปรวมกับกลุ่มลุงรหัสของผมครับ ซึ่งคนเดินทัพก็ไม่พ้นไอ้ยีนที่อยากจะไปเย้ยพี่ภูเต็มแก่จนอกแทบแตก ทว่าผมกลับตรงข้ามกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไร แต่สิ่งแรกที่ผมทำคือการหันไปทางด้านหลังสุดเพื่อมองคนที่คล้ายกับมีพลังชีวิตอยู่เสี้ยวเดียว เพราะไม่อยากรบกวนการมีชีวิตของสิ่งอื่นๆ บนโลกใบนี้ แต่ตำแหน่งที่เคยมีใครคนนั้นอยู่กลับว่างเปล่า...
เมื่อคืนหลังจากที่พี่ภูกับไอ้ยีนฉะกันพอเป็นพิธีแล้ว พี่ภูก็ชวนพวกผม ซึ่งก็มีไอ้ยีน ไอ้กัส ไอ้เคลมไปดื่มกันต่อที่คอนโดของพี่ภู เพราะอยู่ใกล้ที่สุด โดยมีพี่ต้นกับพี่ปาล์ม เพื่อนในกลุ่มของพี่เจ๋งและพี่ภูไปด้วย ตอนแรกก็ปฏิเสธ เพราะไอ้ยีนไปไม่ได้ มันรับปากป๊าเอาไว้แล้วว่าจะไม่กลับบ้านดึก แถมก่อนหน้านี้มันก็ไปค้างที่คอนโดของผมมาหลายวันแล้วด้วย แต่เพราะถูกพี่ภูท้าทาย สุดท้ายก็จบลงที่เมา
ผมเมานะครับ เพราะผมพยายามดื่มแทนไอ้ยีนทั้งหมด ตื่นมาอีกทีก็บ่ายแล้ว เห็นคนอื่นๆ นอนกันเกลื่อนห้อง มีพี่เจ๋งที่เหมือนจะสภาพดีที่สุด และน่าจะพอตอบคำถามผมได้หลังจากที่ผมไม่เห็นว่าไอ้ยีนอยู่ในห้องด้วย
“ไอ้ยีนไปไหนอะพี่”
“โดนไอ้ภูหิ้วไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“เฮ้ยยยยย”
ผมร้องลั่น เหมือนเป็นการปลุกคนที่เหลือให้สะลืมสะลือตื่นขึ้นมาด้วย ไอ้กัสกับไอ้เคลมค่อยๆ ดันตัวขึ้นจากพื้นพลางเอามือขยี้ตา หัวยุ่งจนแทบจะหมดความหล่อ ก่อนเสียงของไอ้เคลมจะดังขึ้น
“ร้องอะไรของมึง ไอ้เหี้ยกราฟ”
“หิ้วไป อะไร ยังไง พี่”
ผมไม่ฟังเสียงเห่าของไอ้เคลม แต่หันไปถามพี่เจ๋งแทน ซึ่งพี่เจ๋งก็กระตุกยิ้มนิดๆ ดูเจ้าเล่ห์อย่างที่ผมไม่เคยได้เห็น ก่อนจะกวักมือเรียกผมกับไอ้กัส มีแต่ไอ้เคลมที่โดนไล่
“มึงไปลากไอ้สองผัวเมียในห้องให้หน่อย”
สองผัวเมียที่ว่าก็คือพี่ต้นกับพี่ปาล์มครับ สองคนนั้นเป็นแฟนกัน แล้วพี่ปาล์มก็เป็นกะเทยที่สวยมากๆ จนผู้หญิงยังอาย ผมเห็นครั้งแรกยังคิดว่าเป็นผู้หญิงเลย ขนาดผู้ชายที่ผ่านผู้หญิงมาเยอะที่สุดในกลุ่มพวกผมอย่างไอ้เคลมยังมองตาค้างตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
“โหย พี่ ทำไมต้องผมด้วยเล่า เกิดเปิดประตูไปเจอเขากำลังร้อยเข็มกันอยู่ ผมไม่ถูกพี่ปาล์มคนสวยเตะออกมาหรือไง”
ครับ คนที่เตะจะไม่ใช่พี่ต้น แต่เป็นพี่ปาล์มอย่างที่ไอ้เคลมว่า เพราะถึงจะบอกว่าสวยยังไง แต่พี่แกก็ห้าวซะจนพวกผมอาจจะสยองได้ พี่เจ๋งแอบเล่าวีรกรรมของพี่ปาล์มให้พวกผมฟังอยู่ตอนดื่มกันเมื่อคืน
“ไม่เจอช็อตเด็ดหรอกน่า มันคงหมดแรงกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไปตามเร็วๆ ถ้ามึงอยากรู้เรื่องเพื่อนของมึง”
พอได้ยินคำว่า ‘เพื่อนของมึง’ ไอ้เคลมก็เบิกตาตี่ๆ ของมันให้โตขึ้นอีกเท่าตัว แล้วหันรีหันขวางมองหาว่าเพื่อนที่พี่เจ๋งพูดถึงคือใคร และพอไม่เห็นว่าไอ้ยีนอยู่ด้วยเท่านั้น มันก็รีบลุกพรวดขึ้นจากพื้นที่นั่งอยู่แล้วรีบตรงไปยังห้องนอนที่อยู่ใกล้ที่สุดซึ่งคิดว่าเมื่อคืนคงถูกใช้งาน เพราะเท่าที่ผมจำได้ เมื่อคืนพี่ต้นกับพี่ปาล์มเมาแล้วก็กอดรัดจนแทบจะได้กันต่อหน้าพวกผมอยู่แล้ว
เกือบห้านาทีได้มั้งกว่าพี่ต้นกับพี่ปาล์มจะออกมาจากห้อง แต่ไอ้เคลมไม่ได้เข้าไปปลุกในห้องอย่างที่มันพูดก่อนหน้านี้หรอกครับ แค่เคาะประตูรัวๆ อยู่หน้าห้องจนโดนพี่ปาล์มด่ากลับมา ‘เคาะหาพ่อมึงเหรอ’ บอกได้เลยครับว่าเสียงโหดและโฉดมากจนคิดไม่ถึงว่าจะออกมาจากคนสวยๆ
จนพวกเรามารวมตัวกันได้ ทุกคนก็เอาแต่จ้องหน้าพี่เจ๋งที่ตอนนี้เหมือนกำลังยืนอยู่หน้าปะรำพิธี เพื่อแจ้งเรื่องสำคัญมากที่สุดในชีวิต พี่เจ๋งก็มองหน้าพวกเราไล่ไปทีละคนๆ ก่อนจะยิ้มอีกนิด แล้วจึงค่อยพูดออกมา เพราะถ้าพูดช้ากว่านี้ ผมว่าพี่เจ๋งโดนพี่ต้นกระทืบตามคำสั่งของพี่ปาล์มแน่นอน
“กูคิดว่า...”
“ว่า?”
“ว่าอะไร”
พี่ปาล์มกับไอ้เคลมลุ้นพร้อมกันด้วยความอยากรู้ ผมเองก็อยากรู้ด้วยเหมือนกัน รู้สึกเลยว่าผมจ้องหน้าพี่เจ๋งนานมาก กว่าพี่เจ๋งจะต่อประโยคเดิม
“ไอ้ภูชอบน้องยีนว่ะ”
“เฮ้ย!”
“จริงอะ”
“เป็นไปได้เหรอวะ”
“กูว่าแล้ว!!”
เสียงดังมาจากผม ไอ้เคลม ไอ้กัส แล้วก็พี่ปาล์ม ส่วนพี่ต้นงดออกเสียงครับ คงเห็นด้วยกับพี่ปาล์มมั้ง และพอเราถามแบบนั้นกลับไป พี่เจ๋งก็พยักหน้าหงึกหงักๆ ยืนยัน
“เมื่อคืนตอนพวกมึงเมาเป็นหมากันหมดแล้ว กูเห็น...ไอ้ภูจูบน้องยีน”
“จูบ!!!”
คราวนี้ไม่มีการแบ่งแล้วครับ พวกเราร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันหมด พวกผมสามคนตาเหลือกกันแล้ว แต่พี่ปาล์มกับพี่ต้นยิ้มกรุ้มกริ่มกันอยู่สองคน
“กูว่าแล้วว่าต้องมีซัมติงรอง เพราะไม่งั้นไอ้ภูไม่ไปตอแย คอยหาเรื่องน้องแบบนั้นหรอก ใช่หรือเปล่าต้น”
พี่ปาล์มพูดอย่างคนมีประสบการณ์ มองขาด หนำซ้ำยังหันไปถามพี่ต้นด้วย
“อืม กูก็คิดอยู่ว่าไอ้ภูทำตัวแปลกๆ”
“แต่ไอ้ยีนไม่ได้ชอบผู้ชายนะครับ”
ผมขัดเป็นคนแรก คิดไม่ออกเลยว่าไอ้ยีนชอบพี่ภูจะเป็นยังไง มีแต่มันจะอยากกระทืบพี่ภูเสียมากกว่า แต่พี่เจ๋งส่ายหัวครับ แล้วยังมีถามย้อนผมอีกต่างหาก
“เรื่องนั้นไม่เท่าไรหรอก ที่สำคัญเลยคือ มึงกับเพื่อนของมึงต่างหาก เกี่ยวพันกันยังไง ดูเป็นห่วงเป็นใย รักกันออกหน้าออกตา แถมมึงยังเคยบอกกูว่าน้องยีนสำคัญกับมึงเท่าชีวิต”
เอาล่ะครับ กลายเป็นผมที่ตกเป็นเป้าสายตา ส่วนเพื่อนอีกสองคนของผมก็ไม่ได้ช่วยกันเลย ไอ้เคลมหัวเราะคึๆ อะไรของมันสักอย่างแล้วเอามือปิดปากเอาไว้ ส่วนไอ้กัสก็แค่ยิ้มๆ เหมือนรอดูว่าผมจะตอบอะไร ทั้งที่พวกมันรู้ดีแก่ใจที่สุดว่าระหว่างผมกับไอ้ยีนเป็นยังไง
“รักกันจริงครับ รักแบบที่คนคนหนึ่งจะรักอีกคนได้”
ผมตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำตามความรู้สึกของผมทุกประการ แต่ดูเหมือนว่าจะทำให้พี่เจ๋งอึ้งไม่น้อย เพราะพี่แกเบิกตาโต ผมเลยต่อประโยคให้อีกหน่อย
“แต่รักที่ว่านี่ ไม่ใช่รักแบบคนรักนะครับ”
“ยังไงวะ”
เหมือนลุงรหัสของผมจะโล่งใจนิดหน่อยที่เพื่อนของตัวเองพอจะมีความหวัง แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี แน่ล่ะครับ เพราะความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ยีนค่อนข้างซับซ้อนและคนอื่นคงเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ ถ้าไม่รู้ถึงสาเหตุที่ผมกับไอ้ยีนกลายมาเป็นแบบนี้
“รักเหมือนพ่อ เหมือนพี่ เหมือนเพื่อน รักเหมือนความรักทุกอย่างที่มีอยู่บนโลกนี้ ยกเว้นรักแบบคนรัก แบบนี้พอจะเข้าใจขึ้นไหมครับ”
“เออๆ เหมือนจะเข้าใจ”
พี่เจ๋งอึ้งไปหน่อยๆ กับคำอธิบายของผม ก่อนจะทำหน้านึกแล้วก็พยักหน้าว่าพอจะเก็ตแล้ว ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงรักไอ้ยีนได้ขนาดนั้นก็ตาม ส่วนพี่ต้นกับพี่ปาล์มก็พยักหน้าตามด้วย แต่ก็ดูไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร อาจจะเพราะไม่รู้ว่าผมกับไอ้ยีนสนิทสนมกันขนาดไหนเหมือนพี่เจ๋งก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นพอกระจ่างเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ยีน พี่เจ๋งจึงถามต่อ
“ถ้าอย่างนั้นพวกมึงสามคนจะว่ายังไง ถ้าเพื่อนกูจะชอบหรือจีบเพื่อนมึง”
“พี่ภูยังไม่เห็นมาขอพวกผมเลย พี่จะรีบออกตัวทำไม”
ไอ้กัสยิงประเด็นก่อนคนแรกครับ ต่อด้วยไอ้เคลม
“เห็นผมชอบตีกับมันบ่อยๆ แต่ผมก็รักก็หวงของผมนะเพื่อนคนนี้”
ส่วนผม...
“พี่แน่ใจแล้วเหรอว่าไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ พี่ภูอาจจะเมา”
“ไม่หรอก”
แต่คนที่ตอบกลับมาแบบทันควันคือพี่ปาล์มเจ้าเดิมครับ ต่อด้วยพี่ต้นที่รู้ใจแฟนของตัวเอง บรรยายถึงเหตุผล
“ไอ้ภูไม่ใช่คนที่จะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตใคร แต่นี่เล่นพยายามทำตัวติด เรียกร้องความสนใจจากเพื่อนของพวกมึง ไม่มีทางที่มันจะไม่รู้สึกอะไร”
“ใช่ ตอนสอบที่ผ่านมาก็ไปติวให้ยีนถึงคอนโดมึงเลยนี่”
พี่ปาล์มย้ำอีก ทำให้พวกผมต้องคิดตาม เพราะจริงๆ แล้วก็ใช่ว่าผมกับเพื่อนๆ จะไม่รู้จักพี่ภูว่าเป็นคนยังไง และเท่าที่รู้จัก ถึงจะหลายปีผ่านมาแล้ว แต่พี่ภูก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะมาคอยป้วนเปี้ยนหาเรื่องใครอย่างที่ทำกับไอ้ยีนจริงๆ อย่างที่พี่ต้นและพี่ปาล์มว่า
“ถ้างั้นก็...”
พวกผมสามคนมองหันมองหน้ากัน เหมือนจะตกลงกันว่าจะตัดสินใจยังไงดี ก่อนไอ้เคลมจะพูดขึ้นมาก่อน
“ผมให้ผ่าน”
“ผ่าน”
“ผมก็ให้ผ่าน”
ตามด้วยไอ้กัส และผมเป็นคนสุดท้าย พลอยให้พี่เจ๋งยิ้มตามไปด้วย อย่างกับพี่แกจะเป็นคนจีบเสียเอง แต่ถึงจะบอกว่าให้ผ่าน ถ้าพี่ภูจะจีบไอ้ยีนจริงๆ สุดท้ายคนที่ตัดสินใจได้ก็คือไอ้ยีนเองว่าจะเอาหรือไม่เอา และที่สำคัญ... ผมพูดต่อด้วยเสียงเย็นๆ ที่ทำให้พี่เจ๋งยิ้มค้างและกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ ส่วนไอ้กัสกับไอ้เคลมจ้องหน้าพี่เจ๋งแบบหาเรื่องสุดๆ
“ถ้าเพื่อนพี่ไม่จริงจังกับเพื่อนผมล่ะก็... อย่าหาว่าพวกผมไม่เตือน”===============
ไนล์นี่น่ากลัวนะ ไม่รู้ว่าคิดอะไร แต่เหมือนจะรู้ว่ากราฟคิดอะไรอยู่ตลอดเลย
ช่วงท้ายของตอนนี้เหมือนเป็นฉากเสริมของภูยีนเลย 
ปล. เรื่องนี้เฉลยเรื่องของกราฟเร็ว เพราะว่าปมเรื่องอยู่ที่ไนล์ค่ะ
อีกอย่างถ้าอ่านเรื่องของภูยีนมาก่อน ก็จะรู้เรื่องของกราฟอยู่แล้ว ^^
Undel2Sky