ต่อจากข้างบน
v
v
เสียงสบถของผมดังก้องในใจเมื่อรู้ตัวว่าพลาดท่าให้กับผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว พลางก้าวขายาวๆ เพื่อออกจากห้องน้ำ ผมตรงไปยังโต๊ะที่มีไอ้กัสกับไอ้เคลมอยู่ ทว่าขณะเดียวกันก็เหลือบมองทางโต๊ะที่เห็นไนล์ก่อนหน้านี้ด้วย แต่ว่าผมไม่เจอเขาแล้ว เขากำลังเดินออกจากร้านไปพร้อมกับผู้หญิงคนนั้น ผมจึงรีบสาวเท้าไปหาเพื่อนรักให้เร็วขึ้น
“กูกลับก่อน”
บอกมันแล้วผมก็หยิบแบงก์พันออกมาวางบนโต๊ะสองใบ แล้วจึงก้าวออกมาจากตำแหน่งนั้นทันที ไม่สนใจอีกแล้วว่าไอ้กัสจะงงหรือไอ้เคลมจะมองผมด้วยหน้าเหวอๆ มากแค่ไหน เพียงแต่คิดว่าจะออกจากร้านไปให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้คลาดสายตาจากคนที่ออกมาจากห้องน้ำก่อนผม
ออกมานอกร้านแล้ว คนที่เป็นเป้าสายตาของผมก็ไปหยุดอยู่ที่รถคันหนึ่ง เขาส่งผู้หญิงคนนั้นขึ้นรถ กระทั่งรถสีขาวแล่นออกจากลานจอดรถไป ร่างที่ผมรู้สึกว่ามันซีดจางก็ค่อยๆ เดินจากจุดเดิม ผมจึงรีบไปที่รถของตัวเองทันที แล้วขับรถตามหลังเขาไปอย่างช้าๆ พลางรอดูว่าไนล์จะทำอะไรต่อไป
กายโปร่งบางเดินเลียบฟุตปาธไปเรื่อยๆ เหมือนคนไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ก่อนจะหยุดลงที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ผมจึงไปหยุดรถตรงนั้นและเลื่อนกระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับลงเพื่อให้คนที่ผมตั้งใจให้เขาเห็นสังเกตได้ง่ายๆ ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่ผมต้องการ ไนล์ทอดสายตาเข้ามาในรถของผม ผมจึงพยักหน้าเบาๆ และขยับปากโดยไร้เสียงให้เขารู้ว่าผมต้องการอะไร
ไม่ต้องให้ผมรอนานจนโดนรถเมล์ที่ต้องเข้าป้ายมาบีบแตรไล่ ไนล์ก็ขึ้นมานั่งบนรถของผม รถของผมเคลื่อนที่ไปตามทางกลับแมนชั่นของไนล์อย่างไม่รีบร้อน เพราะผมมีเรื่องที่ยังอยากพูดกับเขาอยู่ เสียงของผมจึงดังขัดความเงียบที่ไนล์สร้างขึ้นมาโดยการทิ้งสายตาออกไปทางกระจกหน้าต่างของรถ
“ไม่กลับไปกับผู้หญิงคนนั้นล่ะ”
ทั้งที่ผมต้องเรียบเรียงความคิดและพยายามปั้นสีหน้าและน้ำเสียงให้ดูเหมือนว่าไม่ได้ใส่ใจ แค่ถามไปตามมารยาท ทว่าคำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบเฉย ไนล์ไม่ตอบคำถามของผม สร้างความกดดันให้ผมต้องหายใจติดขัดไปชั่วครู่
“ทำไมถึงอยากรู้”
ผมสะดุดลมหายใจของตัวเองไปจังหวะหนึ่งที่ราวกับถูกตอกกลับมาจนพูดไม่ออก ตาของผมกลิ้งไปมาอยู่ในกระบอกตา สมองพลันคิดถึงเหตุผลต่างๆ นานาที่ผมสามารถยกมาอ้างได้ เพื่อไม่ให้ดูเหมือนว่าผมอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขามากจนเกินไป แม้ว่าผมจะสารภาพออกไปอย่างเต็มปากแล้วว่าเขาทำให้ผมอยากรู้เรื่องของเขามากแค่ไหนก็ตาม
“แล้วทำไมนายต้องทำตัวให้เป็นปริศนานัก”
“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้”
คำตอบของเขาดูไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย ผมใช้ตัวเองยืนยันได้เลยว่าเขาจงใจทำตัวลึกลับให้ผมสงสัย ใคร่รู้ จนผมสลัดเรื่องของเขาออกไปจากหัวไม่ได้ ผมหักพวงมาลัยและนำรถจอดลงข้างทางก่อนจะหันไปพูดคุยกับเขาอย่างจริงจัง จับจ้องใบหน้าของเขาที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งที่สิ้น พลางปรักปรำเขาด้วยความรู้สึกนึกคิดของผม
“นายจงใจ”
ไนล์เบือนหน้าจากที่มองออกไปนอกหน้าต่างมามองผมแทน นัยน์ตาของเขาไม่มีแววหลุกหลิกแต่อย่างใด กลับสะท้อนภาพของผมกลับมาราวกับไม่สะทกสะท้านกับคำกล่าวหาของผม
“ทำไมถึงบอกว่าฉันจงใจ”
“ก็ทั้งที่เวลาอยู่กับคนอื่น นายออกจะร่าเริง ยิ้มแย้ม กับผู้หญิงเมื่อกี้ก็ด้วยเหมือนกัน แต่เวลาอยู่ต่อหน้าฉัน นายกลับชืดชา ทำเหมือนคนไม่มีชีวิต ไม่มีแรง เหมือน... เหมือนวิญญาณลอยไปลอยมา”
ไม่อยากจะเปรียบเปรยแบบนี้ แต่ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะสาธยายเขาด้วยคำพูดแบบไหนถึงจะเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด แต่ดูเหมือนไนล์จะไม่แยแสเช่นเดียวกันที่ผมมองว่าเขาเหมือนผี เขายังจ้องหน้าผมโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย สายตาว่างเปล่านั้นยังคงมีความหมายที่ผมอ่านไม่ออกซ่อนเร้นเอาไว้
“มันไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนกันยังไง ฉันไม่เข้าใจสักนิด นายทำกับฉันเหมือนที่นายเป็นกับคนอื่นไม่ได้เหรอ ทำไมนายต้องทำให้ฉันสับสนเพราะนาย เวลาอยู่กับนายฉันคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าควรจะทำตัวแบบไหน หรือนายคิดอะไรอยู่”
“ก็ทำตัวตามปกติ”
“ปกติ? พูดออกมาได้ นายยังไม่ปกติกับฉัน”
แม้แต่ตอนนี้ผมยังรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ต่างจากลูกข่างที่ถูกไนล์ปั่นเล่นอย่างสนุกเสียด้วยซ้ำ รู้สึกได้เลยว่าคิ้วของผมขมวดเข้าหากันมากแค่ไหนตนที่ถามเขากลับไปแบบนั้น แต่ไนล์ก็ยังไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับท่าทีของผมที่จริงจังขึ้นเรื่อยๆ เขาแค่เลื่อนมือมาด้านหน้า กำมือไว้หลวมๆ เหลือเพียงนิ้วชี้ที่ยื่นออกมาและจิ้มเบาๆ ตรงระหว่างคิ้วของผมที่แทบจะมัดแน่นกันเป็นปม ราวกับจะช่วยคลายมันออก แล้วจึงค่อยละมือลง
“ฉันปกติกับนายที่สุดแล้ว”
“นายจะบอกว่าที่นายพูดคุย หยอกล้อ หรือยิ้มให้ใครต่อใคร แม้แต่กับผู้หญิงที่ฉันเจอคืนนี้ มันไม่ปกติหรือไง”
“...”
คลื่นของความเงียบโถมเข้ามาระหว่างเราอย่างฉับพลันหลังจากสิ้นเสียงของผม ไนล์ไม่ตอบ เขาหลุบตาลงเล็กน้อยก่อนจะช้อนตาเรียวสีดำขึ้นมองผมอีกรอบ มองราวกับจะตอบผมทางสายตา ผมจึงพยายามสบตาของเขากลับเพื่อให้รู้ว่าผมต้องการคำตอบนี้มากแค่ไหน
ผมอยากรู้... อยากรู้จริงๆ
“เวลาอยู่กับนาย................ฉันเป็นตัวของฉันที่สุดแล้ว”
กินเวลาอยู่นาน กว่าเสียงของไนล์จะหลุดออกมาอย่างราบเรียบ ทว่าประโยคที่เขาตอบมามันทำให้ผมรู้สึกหวิวๆ ในอกยังไงชอบกล ผมมองหน้าไนล์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ไม่ต่างจากคนที่คิดว่าตัวเองหูฝาดที่ได้ยินอะไรแบบนี้ แต่ไนล์ก็ไม่ได้แก้ไขคำพูดใหม่ ให้ผมเข้าใจว่าเมื่อครู่เขาโกหก เขามองตาผมด้วยความว่างเปล่า ขณะที่ริมฝีปากสีพีชค่อยๆ ขยับอีกครั้งอย่างเชื่องช้า
“ถ้าฉันยิ้ม......... มันก็คือรอยยิ้มจากฉันจริงๆ”
ระยะห่างของแต่ละคำที่ถูกเรียบเรียงออกมา ราวกับช่วงเวลาที่ตอกย้ำให้ผมรู้ว่ามันเป็นความจริงมากแค่ไหน ยิ่งประกอบกับแววตาของไนล์ที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนความดำมืดเป็นประกายของความหมายบางอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก ดั่งจะย้ำหนักให้ผมเชื่อว่าเขากำลังบอกถึงสิ่งที่อยู่ก้นบึ้งของความรู้สึกที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ และเขาอยากให้ผมได้รู้จริงๆ ซึ่งมันก็ทำให้ใจของผมสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะประโยคต่อมาที่ราวกับว่าเขากำลังขอร้องผม
“เพราะงั้นอย่าขอให้ฉันทำกับนายเหมือนเวลาฉันอยู่ต่อหน้าคนอื่น”เหมือนเขากำลังบอกว่า... มองตัวตนของฉันสิ ไม่ใช่ใครที่ฉันปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกลวง
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ และมันก็ทำให้ผมทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ผมดึงมือของไนล์ที่วางอยู่บนตักมากุมและบีบมันเบาๆ ขณะที่ยังไม่ละสายตาจากเขา ซึ่งไนล์เองก็มองตอบผมเช่นเดียวกัน ใบหน้าของเขาไม่ได้ปรากฏรอยยิ้ม ไม่มีแววของอะไรเป็นพิเศษ แต่สายตาของเขาในเวลานี้มันบอกให้ผมรู้ว่าเขากำลังดีใจที่ผมเข้าใจเขามากขึ้น แม้จะแค่น้อยนิดก็ตาม
================
กลับมาอัพแล้วค่ะ หายไปนานมาก
ต้องขอโทษคนที่ยังรออ่านเรื่องนี้ด้วยนะคะ
กว่าจะเสร็จภารกิจ แถมยังคอมเจ๊งเอย คนเจ๊งเอย
ตอนนี้เหมือนเฉลยเกี่ยวกับไนล์มาอีกนิดนึงแล้วหรือเปล่า 
Undel2sky