ต่อจากข้างบน
v
v
เสียงประตูปิดลงโดยที่ผมไม่สามารถละสายตาจากไนล์ไปได้ ผมมองเขาเดินห่างออกไปจากรถของผมมากขึ้นทุกทีๆ จนผมไม่สามารถมองเห็นเขาได้อีกเมื่อเขาขึ้นตึกไป ผมจึงออกรถอีกครั้งเพื่อตรงไปยังปลายทางที่ผมจำต้องไป เป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไรนัก ผมมาถึงก่อนเวลานิดหน่อย เพราะคำนวณเวลาเดินทางไว้แล้ว
ผมมักจะไปก่อนเวลาเสมอครับ เพราะไม่ชอบให้ใครมารอ แต่ตามจริงผมก็ไม่ค่อยได้นัดกับใครหรอก นอกจากพวกเพื่อนๆ ของผม ซึ่งส่วนมากก็จะเจอกันที่คอนโดก่อนแล้วค่อยออกไปพร้อมกัน หรือไม่ก็ผมจะไปรับไอ้ยีนแล้วไปเจอกับไอ้กัส ไอ้เคลมทีหลัง
รอในร้านกาแฟที่ตกลงกันไว้อยู่สักพักพี่ดาหลาก็มาถึง เธอนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับผม วันนี้เธอมาคนเดียว ไม่มีพี่มะเหมี่ยวมาด้วยเหมือนอย่างทุกที
“ขอโทษนะกราฟ พี่มาสาย”
เธอทำให้ผมก้มลงมองข้อมือของตัวเองให้แน่ใจว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว และเมื่อรู้เวลาที่แน่ชัด ผมก็ส่งยิ้มจางๆ ให้เธอที่ทำหน้าเสียเล็กน้อยเพราะเหตุผลที่เธอบอก แต่มันไม่ใช่ความจริงหรอกครับ
“เหลืออีกห้านาทีกว่าจะถึงเวลานัดนะครับ ไม่เห็นจะสายตรงไหนเลย”
“แต่พี่มาช้ากว่ากราฟนี่นา กราฟเลยต้องมานั่งรอ”
ใบหน้าน่ารักที่อยู่ต่อหน้าผมยังคงเจือด้วยความรู้สึกผิด ทั้งที่มันไม่จำเป็น ทำให้ผมรู้ว่าเธอเป็นคนจิตใจดีและรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากแค่ไหน
“การจะนัดใครสักคน ก็ต้องมีฝ่ายที่มาเร็วกว่าและอีกฝ่ายมาช้ากว่าอยู่แล้วนี่ครับ ไม่เห็นจะแปลกเลย อีกอย่าง ถ้าให้พี่มานั่งรอผม ผมจะรู้สึกไม่ดีมากกว่านะ”
เหมือนว่าเธอจะรับฟังเหตุผลของผมและยอมรับมัน ถึงได้ไม่ค้านใดๆ ต่อ
“พี่จะดื่มอะไรดีครับ เดี๋ยวผมไปสั่งให้”
เสนอตัวบริการ แต่พี่ดาหลาก็ปฏิเสธพลางบอก ‘เดี๋ยวพี่จัดการเอง กราฟนั่งรอหน่อยนะ’ ก่อนจะเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์เอง ปล่อยให้ผมได้มองตามการเคลื่อนไหวของเธอ แม้ว่าจะเป็นเพียงด้านหลังเท่านั้นที่ผมได้เห็นในเวลานี้ ทว่าผมก็อยากจะมองเธอให้ชัดๆ
ผมยอมรับว่าพี่ดาหลาหน้าคล้ายกับมิ้นค่อนข้างมาก และมันก็ทำให้หัวใจของผมเต้นเร็วทุกครั้งที่ได้พบหน้าเธอ แต่น้ำเสียง ท่าทาง รวมถึงนิสัยของมิ้นและพี่ดาหลาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มิ้นของผมจะสดใส ร่าเริง ขณะที่พี่ดาหลาค่อนข้างใจดี วางตัวดี และเป็นผู้ใหญ่ อาจเพราะเธออายุมากกว่าผมก็เป็นได้
การเจอกันวันนี้ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างแตกต่างจากวันอื่นๆ ที่ผ่านมา ผมไม่รู้สึกว่าใจเต้นเร็วหรือมีอะไรบางอย่างสั่นอยู่ในอกเหมือนอย่างทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเธอ เงาของมิ้นที่ซ้อนทับกับพี่ดาหลาค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งที่ผมได้พบพี่ดาหลา วันนี้ผมรู้สึกชัดเจนมากขึ้น ว่าผมไม่สามารถให้พี่ดาหลาเป็นตัวแทนของมิ้นได้
เธอไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกชอบเธอเพราะตัวเธอเอง สิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งให้ผมยังยึดติดอยู่กับพี่ดาหลาคือใบหน้าของเธอที่คล้ายมิ้น แต่เมื่อผมยอมรับกับตัวเองว่าเธอและมิ้นไม่มีทางที่จะเหมือนกัน ผมก็เหมือนถูกปลดออกจากพันธนาการที่สร้างด้วยตัวเอง และนอกเหนือจากเหตุผลว่าผมรู้ดีแก่ใจว่าทั้งสองคนเป็นคนละคนกันแล้ว ผมค่อนข้างแน่ใจว่าไนล์เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่ดาหลากระจ่างเร็วขึ้น
พี่ดาหลาไม่เคยทำให้ผมรู้สึกโหยหา กระวนกระวาย ห่วงพะวง หรือแม้แต่คิดถึงเธอ ผมไม่เคยรู้สึกว่าถูกเธอปั่นป่วนในหัวใจจนทำอะไรไม่ถูก มีเพียงแค่การเผชิญหน้ากับเธอเท่านั้นที่ทำให้ผมแสดงอาการตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ในเวลานี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับหายไปแล้ว ไม่เหมือนกับคนบางคนที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นมากขึ้นทุกวัน
ผมมองพี่ดาหลาที่ถือเครื่องดื่มกลับมาที่โต๊ะ พิจารณาใบหน้านั้นอย่างละเอียด ราวกับเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มองหน้าเธอชัดๆ แบบนี้ จะเรียกว่าเป็นการตัดสินใจของผมก็ได้ที่จะให้ทุกอย่างมันจบลง ในเมื่อผมรู้ตัวเองแล้วว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอในตอนนี้เป็นอย่างไร
แม้ผมจะไม่รู้ว่าเธอเริ่มมีความรู้สึกพิเศษกับผมขึ้นมาบ้างแล้วหรือยัง เพราะเธอไม่เคยแสดงความรู้สึกเช่นนั้นออกมาให้ผมรับรู้ได้เลยสักครั้ง นอกจากครั้งนี้ที่เธอโทรศัพท์มาหาผมก่อน ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะเธออยากพบผม หรือเพราะมีเรื่องสำคัญจะพูดกับผม แต่ผมก็เริ่มอยากให้มันเป็นอย่างหลัง เพราะไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกผิดกับเธอมาก ที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน ทว่ากลับกำลังจะทำให้มันจบลง
“พี่มีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ”
เปิดประเด็นก่อนเมื่อปล่อยให้เธอดูดน้ำจากแก้วที่ถือมาได้สักพัก เพราะหลังจากลองประเมินสถานการณ์แล้วดูเธอจะเริ่มต้นบทสนทนาไม่ถูกสักเท่าไร เธอมองหน้าผมหลายครั้งสลับกับก้มลงดูดน้ำสตรอเบอร์รี่แก้ขัด ซึ่งการกระทำของผมก็เหมือนจะช่วยได้เธอ พี่ดาหลาเงยหน้าขึ้นมองผมอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ ขยับริมฝีปากสีสวย และผ่อนเสียงออกมาช้าๆ
“กราฟ”
“ครับ”
“พี่... มีเรื่องจะสารภาพกับกราฟ”
เธอต่อด้วยประโยคนี้ พานให้ใจของผมเต้นตุบๆ ขึ้นมาได้ด้วยความหวั่นๆ เริ่มกลัวว่าสิ่งที่คิดไว้อาจจะเป็นอีกอย่าง ผมจ้องมองเธอโดยไม่ละสายตา และมันคงจะกดดันเธอมากเกินไป ถึงได้ก้มหน้าหลบสายตาผม เม้มปากอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเค้นเสียงออกมาอีกรอบ
“พี่รู้ว่าที่ผ่านมา กราฟรู้สึกดีๆ กับพี่”
ผมตั้งใจฟังทุกคำที่เธอพูดออกมา ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่นิดเดียว ในใจก็ลุ้นไปด้วยว่าเสียงที่ประกอบออกมาเป็นคำในประโยคถัดไปจะเป็นอะไรพร้อมกับภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังหวาดหวั่นอยู่ ผมไม่อยากรู้สึกผิดกับเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบของผม
“แล้วพี่ก็...ตอบรับกราฟมาตลอด ไม่ว่ากราฟจะส่งข้อความมาคุย หรือขอไปไหนมาไหนด้วย”
หัวใจของผมเร่งจังหวะมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เสียงของเธอยังคงดังต่อไป ผมไม่สามารถละสายตาจากเธอได้ เพราะเกรงว่าหากไม่เตรียมใจอยู่ตลอดเวลา ผมอาจจะช็อกจนพูดอะไรกับเธอไม่ออกก็เป็นได้ ผมเผลอกลั้นหายใจอยู่หลายครั้งด้วยซ้ำ ระหว่างรอเธอต่อคำพูดของเธอ
“พี่ขอโทษนะ”
“ครับ?”
สิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินทำให้ผมรู้สึกงงงวยนิดหน่อยแล้วชะงักจังหวะหัวใจของตัวเองไปชั่วครู่ ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนเธอจะอธิบายให้ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
“พี่... มีแฟนอยู่แล้วน่ะ แต่ที่พี่ไม่ได้บอกกราฟ และยังติดต่อกราฟอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ก็เพราะมะเหมี่ยวขอร้อง”
พี่ดาหลาทำให้ผมรู้สึกอึ้งอยู่ไม่น้อยกับความจริงที่ผมเพิ่งรู้
“มันดูไม่ดีใช่ไหมที่ทำแบบนี้ พี่รู้ว่ากราฟจริงใจ และกราฟก็เป็นคนดีมากๆ พี่ไม่ได้อยากหลอกกราฟ แต่มะเหมี่ยวอยากมีโอกาสได้ใกล้ชิดและทำความรู้จักกับกราฟมากกว่านี้ ก็เลยขอให้พี่ตามน้ำไป แต่พี่ไม่อยากหลอกกราฟและทำให้กราฟมีความหวังแล้วต้องมาเสียใจทีหลัง พี่รู้สึกไม่ดีเลย ก็เลยขอมาสารภาพความจริงดีกว่า”
“เหรอครับ”
ผมรู้สึกเหมือนโดนตีหัวไปหนึ่งทีแรงๆ ให้มึนและสมองชา ทว่าขณะเดียวกันก็เข้าใจในเหตุผลของเธอ และก็เริ่มคิดว่ามันดีแล้วที่สุดท้ายผลออกมาเป็นแบบนี้ เพราะหากว่าผมจริงจังกับเธอ และถลำลึกชอบเธอไปจริงๆ ผมคงช็อกและเจ็บปวดไม่น้อยเพราะมันไม่ต่างอะไรจากการถูกหลอกลวง
“พี่ขอโทษจริงๆ นะ พี่รู้ว่าคงทำให้กราฟรู้สึกไม่ดี พี่ก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ แต่พี่อยากช่วยเพื่อน มะเหมี่ยวไม่ใช่คนที่จะชอบใครง่ายๆ ถึงจะดูขี้เล่นหรือดูเป็นพวกใจกล้าก็ตาม กราฟพอจะอภัยให้พี่กับมะเหมี่ยวได้ไหม”
พี่ดาหลาจ้องมองผมด้วยความรู้สึกผิดอย่างชัดเจน ใบหน้าน่ารักๆ ของเธอสลดลง ดวงตาที่เคยเป็นประกายแวววาวดูเศร้าหมอง ผมที่ไม่ใช่คนใจแข็งอะไรอยู่แล้วโดยเฉพาะกับคนที่แสดงความจริงใจให้ก็ใจอ่อนตามระเบียบล่ะครับ ยิ่งเธอหน้าเหมือนมิ้นด้วยแล้ว ใจของผมยิ่งอ่อนยวบเลย ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังจะให้เธอชอบผมอยู่แล้ว เป็นแบบนี้อาจจะดีแล้วด้วยซ้ำ
“ผมไม่โกรธพี่ทั้งสองคนอยู่แล้วล่ะครับ จริงๆ แล้ว ผมก็ตัดสินใจที่จะบอกความจริงกับพี่วันนี้เหมือนกัน”
เห็นว่ามีลู่ทางที่จะทำอะไรให้ถูกต้องและจบความคลุมเครือนี้ ผมก็รีบคว้าโอกาสไว้ทันที ซึ่งคราวนี้ก็กลายเป็นพี่ดาหลาบ้างที่ทำหน้าสงสัย
“คือ... ที่ผมสนใจพี่และเข้าไปคุยกับพี่ก่อน เพราะว่า...พี่หน้าเหมือนแฟนเก่าของผมน่ะครับ”
ผมหยุดเสียงไปครู่หนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของเธอ ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากที่ผมคิดเอาไว้ เธอเบิกตามองผมด้วยความประหลาดใจ
“ผมขอโทษด้วยนะครับ เจตนาของผมก็ไม่บริสุทธิ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมคงจะต่อว่าพี่กับพี่มะเหมี่ยวไม่ได้”
“หน้าเหมือน...เหรอ”
“ครับ แต่ว่าเสียงกับนิสัยไม่เหมือนกันเลย ตอนนี้ผมก็เลยคิดว่าผมควรจะมองความจริงได้แล้วว่าจะให้พี่มาแทนที่เธอไม่ได้ ความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่ในตอนที่เจอกันแรกๆ มันเป็นความรู้สึกของผมที่หลงเหลืออยู่ ผมอยากจะดูแลและรักษาเธอเอาไว้ ถ้าผมยังมีโอกาส ทั้งที่ผมก็รู้ตัวดีว่ามันเป็นไปไม่ได้”
ไม่รู้ว่าการอธิบายเท่านี้จะเพียงพอต่อความเข้าใจของเธอหรือเปล่า แต่ก็หวังว่าเธอจะเข้าใจในเหตุผลของผมเช่นกัน ทว่าดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างผมนิดหน่อย เพราะพี่ดาหลาไม่ได้มีอาการโกรธเคืองอะไร เธอเพียงถาม
“แสดงว่ากราฟรักผู้หญิงคนนั้นมากสินะ”
“ครับ”
ผมตอบด้วยรอยยิ้มที่รู้ตัวดีว่ามันแฝงด้วยความเศร้าเล็กน้อย เธอถึงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ แต่กลับเปลี่ยนเรื่องถามแทน
“อ้อ... พี่คุยกับมะเหมี่ยวว่าจะมาคุยกับกราฟเรื่องนี้ แล้วมะเหมี่ยวก็อยากจะมาคุยกับกราฟโดยตรงด้วย หลังจากนี้กราฟพอจะมีเวลาไหม”
“ได้ครับ แต่ว่าพี่มะเหมี่ยวจะสะดวกหรือเปล่า”
คำถามจากผมเรียกรอยยิ้มจากพี่ดาหลาได้มากทีเดียว เธอยิ้มให้ผมเหมือนกับปกติก่อนจะตอบคำถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ แล้วยิ้มแหยเล็กน้อยที่ท้ายประโยค เป็นท่าทางที่น่ารักและเป็นธรรมชาติจนผมอดยิ้มตามไม่ได้
“จริงๆ พี่นัดกับมะเหมี่ยวไว้แล้วน่ะ ตอนนี้ก็รออยู่ข้างนอก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาครับ ได้เคลียร์กันไปเลย จะได้สบายใจกันทั้งคู่ด้วย”
“งั้นพี่ขอตัวเลยนะ ...แฟนพี่รออยู่ด้วยน่ะ”
พี่ดาหลาบอกไม่เต็มเสียงเท่าไรในประโยคท้าย เหมือนเกรงใจผมอยู่ ผมจึงส่งยิ้มให้ด้วยความรู้สึกอิ่มใจแทนแฟนของพี่ดาหลาที่เธอคอยนึกถึงความรู้สึก กลัวว่าจะต้องรอนาน จนผมอดจะอวยพรให้เธออยู่ในใจไม่ได้ว่าขอให้รักยืนยาวกับคนที่เธอรัก
“ครับ”
“กราฟนั่งรอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวมะเหมี่ยวก็มา”
เธอบอกผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะลุกจากโต๊ะและส่งยิ้มให้ผมจางๆ เป็นการล่ำลา ซึ่งผมก็ยิ้มส่งเธอพลางมองร่างเล็กๆ เมื่อเทียบกับผมเดินห่างออกไป ตามด้วยมีผู้ชายคนหนึ่งมาเดินขนาบข้างกับเธอ
ผมมองภาพคนสองคนที่เดินคู่กันไปอย่างลืมตัว กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ก็ตอนได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองอยู่ใกล้ๆ และเมื่อหันไปตามเสียง ก็ไม่ต้องรู้สึกประหลาด เพราะเป็นคนที่ผมกำลังรออยู่ พี่มะเหมี่ยวยิ้มสดใสให้ผมเหมือนอย่างเคยและกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเมื่อครู่ที่พี่ดาหลานั่ง
“ดาหลาคงเล่าให้ฟังหมดแล้วสินะ พี่ขอโทษนะกราฟ”
จากที่ยิ้มอยู่เมื่อครู่ สีหน้าของพี่มะเหมี่ยวก็เปลี่ยนไป เป็นแบบที่ผมไม่เคยเห็น เพราะปกติแล้วเธอจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอๆ พลอยให้ผมรู้สึกไม่ดีไปด้วยที่เห็นแบบนั้น
“ผมเข้าใจครับ ผมเองก็มีเรื่องที่ทำผิดต่อพี่ดาหลาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพี่ไม่ต้องขอโทษอะไรผมหรอกครับ”
“ขอบใจนะ”
เพราะการตอบกลับไปของผมที่ทำให้พี่มะเหมี่ยวสบายใจขึ้น เธอจึงกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ทว่าเพียงครู่หนึ่ง ริมฝีปากสีชมพูที่แต้มด้วยลิปสติกบางๆ ไม่จัดจ้านจนเกินไป แต่ก็ขับให้ใบหน้าที่สวยอยู่แล้วของเธอด้วยสวยขึ้นเม้มเข้าหากันเล็กน้อย เหมือนมีอะไรอื่นที่อยากพูดกับผมอีก แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ผมจึงรอเวลาที่เธอจะเอ่ยปากออกมาเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้นานนัก
“พี่... พอจะมีโอกาสบ้างไหม”
คำถามของเธอทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่าหมายถึงเรื่องอะไร ผมพิจารณาใบหน้าที่แสดงถึงความไม่มั่นใจ ผิดจากที่เคยอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ เปิดปากออกทีละน้อยเพื่อตอบคำถามนั้น ทว่ายังไม่ทันได้เปล่งเสียงออกมา คนตรงหน้าก็โพล่งเสียงขึ้นมาก่อน
“อย่าเพิ่งๆ ขอพี่ทำใจก่อนนะ”
เรียกรอยยิ้มจากผมได้ครับ จริงๆ แล้วพี่มะเหมี่ยวก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักและมีเสน่ห์ อีกทั้งยังขี้เล่น เป็นกันเอง รวมทั้งมีอารมณ์ขันด้วย น่าจะมีผู้ชายชอบไม่น้อยเลยทีเดียว ผมเองก็ชอบนิสัยของเธอเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ความรู้สึกของผมมันไม่ได้เป็นแบบเดียวกับที่เธอมีให้ผม ผมจึงไม่สามารถตอบรับเธอได้
ผมรอตามที่เธอบอก ได้ยินเสียงเธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกับรู้อยู่แล้วครึ่งหนึ่งว่าคำตอบของผมจะเป็นอย่างไร แต่ก็ยังไม่พร้อมจะรับฟังคำตอบที่ชัดเจนในทันที และยังเผื่อใจอยู่หน่อยๆ ว่าอาจจะมีโอกาสสักนิดที่ผมจะหยิบยื่นให้
“เอาล่ะ โอเคแล้วๆ”
เธอเป่าลมออกมาจากปากเบาๆ เป็นระลอกสุดท้าย ก่อนจะจ้องหน้าผมราวกับจะอ่านคำพูดของผมจากการขยับปากอย่างไรอย่างนั้น ผมจึงเว้นระยะไว้ครู่สั้นๆ แล้วค่อยตอบออกมาเป็นเสียงที่ชัดเจนและหนักแน่นเพียงพอว่าเธอไม่มีโอกาส
“ขอโทษด้วยครับ”
“กะอยู่แล้วเชียว”
พี่มะเหมี่ยวตอบกลับมาเจือหัวเราะเบาๆ ที่ฟังอย่างไรก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าขำหรือน่าสนุกแม้แต่น้อย ผมรู้ว่าเธอรู้สึกผิดหวัง แต่เธอก็เข้มแข็งพอจะยอมรับความจริง ผมจึงไม่คิดจะพูดถึงข้อดีของเธอ หรือพูดว่ามันน่าเสียดายที่ผมรักเธอไม่ได้ เพราะแบบนั้นจะยิ่งตอกย้ำให้เธอเจ็บช้ำมากกว่า
เธอเป็นคนมีความมั่นใจ ฉะนั้นคำตอบที่ชัดเจน เหมาะสมกับเธอที่สุดแล้ว เพราะมันจะทำให้เธอรู้สึกว่าผมตาถั่ว ตาไม่ถึง ถึงได้ไม่เลือกเธอ มากกว่ามีความคิดว่าทั้งที่เธอดีขนาดนี้ แต่เธอก็ยังทำให้ผมชอบไม่ได้ ผมไม่อยากให้เธอสูญเสียความมั่นใจ ผมอยากให้เธอก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นใจในวิถีทางของเธอ เพราะต้องมีคนที่พร้อมจะรักเธอในทุกอย่างที่เธอเป็นอย่างแน่นอน
“งั้นก็... ไหนๆ ก็โดนปฏิเสธแล้ว พี่ขอควงกราฟสักวันจะได้ไหม”
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คล้ายกับว่าจะตั้งสติให้ตัวเองยอมรับกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้แล้ว พี่มะเหมี่ยวก็โพล่งขึ้นมาด้วยสีหน้าที่สดใสเหมือนกับทุกครั้ง พลอยให้ผมรู้สึกโล่งอกไปด้วย ที่อย่างน้อยเธอก็ทำใจได้
“ควงไปไหนครับ”
“เดทไง แค่วันนี้แหละ ถือเป็นของขวัญปลอบใจ โอเคนะ”
ไม่แค่ส่งยิ้มให้ผม ยังยื่นนิ้วก้อยออกมาให้ผมเกี่ยวเพื่อเป็นการสัญญาด้วยว่าผมจะยอมทำตาม เห็นท่าทางเธอแบบนั้นแล้ว จะให้ปฏิเสธก็ดูจะใจร้ายเกินไป อีกทั้งผมก็พอมองออกว่าเธอต้องการทำแบบนี้เผื่อจะได้ตัดใจได้อย่างเด็ดขาด ไม่ให้มีอะไรมาค้างคาใจ ไม่ใช่เพียงแค่การยื้อเพื่อสร้างความหวังให้ตัวเอง ผมจึงยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับเธอโดยไม่อิดออด
“แล้วจะเดทที่ไหนล่ะครับ”
“ที่ห้างนี้แหละ ไม่ต้องไปที่ไหนไกลหรอก”
ว่าแบบนั้นแล้วเธอก็ลุกขึ้นทันที ผมจึงลุกก่อนจะเดินตามเธอออกจากร้านไป ซึ่งหลังจากออกมายืนหน้าร้านได้ พี่มะเหมี่ยวก็ยื่นมือออกมาหาผมทันที ผมก้มมองตามมือนั้นไปครู่นึง คู่เดทในวันนี้ของผมก็ออกคำสั่งทันที
“เดทก็ต้องจับมือกันด้วยสิ”
การเอาแต่ใจเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ดูน่ารักของเธอดึงให้ผมต้องเดินไปตามเกมของเธอได้ไม่ยาก ผมวางมือลงบนมือเรียวๆ นั้นก่อนจะกุมเอาไว้ข้างตัวและเดินออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ ก้าวเดินไปทุกๆ ที่ที่เธออยากไปภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
ผมทำหน้าที่ได้ดีเลยครับ เพราะท่าทางพี่มะเหมี่ยวจะมีความสุขกับการเดทไม่น้อย ซึ่งมันก็พลอยทำให้ผมรู้สึกดีเช่นเดียวกัน ที่ทำให้คนคนหนึ่งมีความสุขได้ แม้ว่ามันจะเป็นความสุขชั่วคราวที่เจ้าตัวรู้แก่ใจดีก็ตาม
พี่มะเหมี่ยวชวนชอปปิ้งทางสายตา เพราะยังไม่มีสินค้าแบรนด์ไหนถูกใจเธอ ก่อนที่เราจะไปเล่นโบว์ลิ่งกัน ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่าเธอเล่นเก่งไม่น้อย ถึงเอาชนะผมไปได้สบายๆ โดยที่ผมไม่ต้องอ่อนข้อให้เธอเลย หลังจากเดินออกมาจากลานโบว์ลิ่งแล้ว ผมจึงแกล้งแซวเธอนิดหน่อย ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากเธอได้
“เพราะพี่เล่นเก่งใช่ไหม ถึงได้ชวนผมมาเล่นเพื่อข่มขวัญ”
“รู้สึกดีจังนะ ที่เอาชนะกราฟได้”
เธอยิ้มยิงฟันอย่างมีความสุขจนผมต้องยิ้มตาม พลางเอ่ยปากชวนเธอให้ไปหาอะไรกิน เพราะว่าค่ำแล้ว เธอน่าจะหิว ซึ่งพี่มะเหมี่ยวก็พยักหน้าเห็นด้วยสุดๆ เราสองคนจึงเปลี่ยนเป้าหมายเพื่อหาร้านอาหารสำหรับเป็นมื้อเย็น ทว่ายังไม่ทันได้สถานที่ที่ต้องการ ผมก็ต้องชะงักเล็กน้อย เพราะคนที่เดินสวนมาค่อนข้างคุ้นหน้าผม และเขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
“อ้าว นาย”
เขาทักผมก่อน ผมจึงหยุดฝีเท้าและหันไปเพื่อสนทนากับเขาตามมารยาท แม้ผมจะไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร แต่ผมก็จำได้ว่าเขาเป็นนักศึกษาคณะวิศวะฯ ที่ผมเคยไปถามหาไนล์จากเขา วันนี้เขามากับเพื่อนกลุ่มเดิมแหละครับ ทั้งกลุ่มต่างมองมาที่ผมและพี่มะเหมี่ยวเหมือนกับว่าจะจำผมได้เช่นกัน โดยเฉพาะเจ้าของเสียงที่ทักผม
“ดีใจด้วยที่ดูแฮปปี้กับแฟนดี”
ประโยคของเขาทำให้ผมรู้สึกตงิดๆ อย่างไรชอบกล ผมหันไปทางพี่มะเหมี่ยวและมองเธออยู่ครู่สั้นๆ ก่อนปลดมือที่จับกันอยู่ออกเพื่อเธอจะได้เข้าใจว่าผมไม่ได้มีเจตนาทำให้เธอรู้สึกไม่ดี จากนั้นผมจึงพยักหน้าเบาๆ ให้กับคนที่พูดกับผมเมื่อครู่และเดินนำออกมาจากกลุ่มพวกเรา ซึ่งเขาก็เข้าใจสถานการณ์ว่าผมอยากคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวเสียมากกว่า
“ที่นายพูด หมายความว่ายังไง”
หลังจากแยกตัวออกมาได้ห่างพอสมควร มีเพียงแค่เขาที่ยืนอยู่ต่อหน้าผมแล้ว ผมก็ถามอย่างตรงไปตรงมา เขาทำหน้ามึนเล็กน้อยกับคำถามของผม ก่อนจะโพล่งเสียงออกมาเบาๆ
“อ้าว ก็เรื่องไนล์ที่ฉันเคยเตือนนายไง หมอนั่นไม่ได้แย่งผู้หญิงของนายไปสินะ งั้นก็ดีแล้ว”
คล้ายกับว่าถูกรื้อฟื้นความทรงจำ ผมเริ่มจำได้ถึงสิ่งที่คนตรงหน้าเคยบอกผม แต่ผมก็ไม่เข้าใจความหมายของมันสักเท่าไรอยู่ดี
“ทำไมไนล์จะต้องแย่งผู้หญิงของฉัน”
“นี่อย่าบอกว่านายไม่รู้”
เขาทำให้ผมงงยิ่งกว่าเดิมอีกเมื่อถูกสวนกลับมาแบบนี้ ผมรู้สึกได้ว่าหัวคิ้วกำลังขมวดเข้าหากันแน่น สมองพยายามแปลความหมายจากสิ่งที่ได้ยิน ซึ่งมันก็ดูเหมือนจะยากเกินไปที่จะเข้าใจ อีกฝ่ายถึงได้บอกกับผมอย่างตรงๆ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนทุกอย่างบนโลกหยุดการเคลื่อนไหวในวินาทีนั้น
“ไอ้ไนล์มันเป็นแมงดา”“...”
“ขายตัวให้พวกผู้หญิง”“...”
“แต่ฉันว่าหน้าสวยๆ อย่างมันก็คงจะขายให้ผู้ชายได้ราคาดีอยู่ด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง”================
นึกว่าจะไม่ได้มาต่อแล้ว อุปสรรคเยอะเกิน
กว่าจะว่าง กว่าจะแต่งออกมาได้ นึกว่าจะต่อไม่ติดแล้วค่ะ ต้องบิ๊วตัวเองมากๆ 
ตอนนี้เหมือนจะคืบหน้าขึ้นแล้วนะคะ
Undel2Sky