It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]  (อ่าน 97087 ครั้ง)

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ไนล์ทำไมหนูถึงได้โดเดี่ยวและอ้างว้างขนาดนี้


ต้องเข้มแข็งซักแค่ใหน


ต้องทนอดและอดทนมามากเท่าไร


หนูถึงยืนหยัดมาได้ขนาดนี้


ไม่มีครอบครัว


ไม่มีเพื่อน สนิทที่จะปรับทุกข์ และช่วยเหลือกัน


ไม่มีคนรู้จักใกล้ชิด มีแต่ตัวเองกับความหวัง และหัวใจที่แข็งแกร่ง


หนูเป็นใครลูกไนล์  พ่อแม่หนูอยู่ใหน ทำไมหนูน่าสงสารขนาดนี้  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
 :katai2-1: เย้ มาซักที หนูรอแทบขาดใจเลยอะ ขอบคุณไรท์ ชอบสองคนนี้อะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 17 : ความทรงจำที่ยังคงอยู่









ตัวของผมชาไปหมด สิ่งที่รู้สึกอยู่เหมือนกับไม่รู้สึก เสียงบางอย่างแว่วมาให้ได้ยินเป็นระลอก พร้อมกับอ้อมกอดของใครบางคนที่โอบรอบตัวผมไว้

“กราฟ กูอยู่นี่ กูอยู่นี่”

“เฮ้ย มึงเป็นไงมั่ง”

“กูอยู่กับมึงเหมือนกันนะเว้ย”

เสียงเรียกนั้นเบาเหลือเกินเพราะถูกเสียงคลื่นทะเลกลบจนมิด ตัวของผมสั่นไม่หยุด สั่นจนชา ภาพเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อนย้อนกลับมาอีกครั้ง

คนที่ผมรักมากที่สุดหายไปต่อหน้าต่อตา

จมหายไปกับเกลียวคลื่นและผืนทะเลอย่างไม่มีวันกลับมา

ผมคนนี้...เป็นคนฆ่าเธอ

มิ้น

มิ้น

มิ้น

มิ้น

มิ้น

มิ้น

เสียงตะโกนเรียกชื่อนั้นของตัวเองดังก้องอยู่ในหัวราวกับเป็นเสียงเดียวที่มีอยู่ในโลก ขอบตาร้อนผ่าวราวกับลาวากำลังเดือดอยู่ข้างใน ภาพใบหน้าของเธอปรากฏขึ้นมาซ้ำๆ ก่อนจะหายไป สีน้ำที่เป็นระลอกคลื่นกำลังดึงและกลืนร่างกายของเธอจนจมหาย

ไม่

ไม่เอา

อย่าเอามิ้นไป

มิ้น กลับมา!

“มองหน้ากูสิ มองกู กูอยู่กับมึงนี่”

เสียงคุ้นเคยที่ดังกว่าครั้งก่อนๆ ทำให้ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง ไฮยีนกอดผมไว้แน่น ซุกหน้าลงบนบ่าของผมและร้องเรียกเพื่อเรียกสติผมซ้ำๆ ราวกับเป็นเขาต่างหากที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่า ตัวของผมสั่นน้อยลงแต่มันก็ยังคงไร้เรี่ยวแรง ผมต้องพยายามบังคับแขนทั้งสองข้างด้วยพลังกายและพลังใจทั้งหมดเพื่อยื่นมือออกไป กอดตอบคนที่กำลังช่วยเหลือผม

เพื่อนที่ผมรักที่สุด

เพื่อนที่ทำให้ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้





รู้สึกตัวอีกที ผมก็เข้ามาอยู่ในห้องพักแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นสมองและร่างกายของผมก็ยังไม่เป็นปกติ ทุกอย่างยังคงพร่าเบลอ สมองมึนตื้อ ร่างกายเฉื่อยชาและรู้สึกหนักอึ้งจนขยับไม่ได้ เสียงแว่วที่ผ่านเข้าหูมาคือเสียงของไอ้กัสที่สอบถามด้วยความห่วงใย

“มึงเป็นยังไงบ้าง”

“กูก็...ดีขึ้น....หน่อยแล้ว”

ผมตอบทั้งที่เสียงแหบพร่า ไร้เรี่ยวแรงแม้กับแค่การขยับปาก เพราะไม่อยากให้เพื่อนๆ เป็นห่วงมากเกินไป ไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้พวกมันต้องคอยเอาแต่พะวงเรื่องของผมจนไม่ได้ทำอะไร ทั้งที่ไม่ได้มาทะเลนานแล้ว

สี่ปีนับตั้งแต่เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผมครั้งนั้น

“ดีแล้ว มึงไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องนึกถึงเรื่องนั้น พวกกูอยู่กับมึงตรงนี้ โดยเฉพาะกู กูรักมึงมาก รู้ไหม”

“กูรู้ กูรู้ ขอบใจมึงมาก”

ไอ้ยีนยิ้มได้หน่อยๆ หลังจากผมตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มที่พยายามอย่างสุดความสามารถเท่าที่จะเค้นได้ แม้รู้ว่าร่างกายยังไม่หายสั่นก็ตาม แต่ผมก็รู้สึกดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร

“มึงไม่ต้องมาขอบใจกูหรอก ว่าแต่มึงโอเคขึ้นแล้วจริงๆ นะ”

“อืม กูพยายามอยู่ กูไม่อยากให้พวกมึงห่วงมาก”

“กูเป็นเพื่อนมึง ก็ต้องห่วงมึงอยู่แล้ว”

เสียงของไอ้เคลมทำให้ผมยิ้มค้างต่อไปอีกหน่อย แต่ดูเหมือนไฮยีนจะรู้ว่าผมอ่อนแรงเต็มที่มันจึงบอกให้นอนพัก ซึ่งหลังจากผมเอนตัวลงนอนตามคำแนะนำของมัน ไอ้เคลมก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวผมให้ ส่วนยีนสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มมานอนข้างๆ ผม และกอดผมเอาไว้ ตามด้วยอีกสองคนที่เหลือที่สอดตัวเข้ามาเหมือนกัน

เคลมกอดผมก่อนโดยมีกัสเอื้อมแขนผ่านเคลมมากอดผมเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะคล้ายกับการแตะเสียมากกว่า แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นมากแล้ว

ขอบคุณพวกมึงมากจริงๆ





แรงสะเทือนใต้ร่างและเสียงแว่วๆ ไม่ได้ทำให้ผมได้สนใจนัก จนกระทั่งมีแรงมาสะกิดที่แขนเบาๆ ผมจึงลืมตาขึ้น คนที่อยู่ข้างตัวผมในเวลานี้เป็นไฮยีนเช่นเดียวกับตอนที่ผมล้มตัวลงนอน มันถามผมทันทีที่เห็นว่าผมรู้สึกตัว

“มึงเป็นยังไงมั่ง”

“ก็โอเคขึ้นแล้ว”

ผมยิ้มให้มันนิดๆ รู้สึกมีเรี่ยวแรงมากขึ้นนิดหน่อยแล้ว อาจจะเพราะว่าภายในห้องปิดทึบทำให้ไม่ได้เสียงจากภายนอกดังเข้ามา แต่ถึงกระนั้นไอ้ยีนก็ยังอดห่วงผมไม่ได้

“แล้วถ้ามึงต้องออกไปข้างนอก มึงจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ”

คำถามของมันทำให้ผมชะงักไปชั่วครู่ ในใจหวั่นกลัวว่าจะต้องออกไปเผชิญกับสิ่งที่อยู่นอกห้อง แต่เมื่อมองหน้าเพื่อนๆ ทีละคนและตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนดีแล้วก็ผมตัดสินใจ

“กู........จะพยายาม”

รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากแค่ไหน เพราะแค่ที่ผ่านมาก็ทำให้ผมเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว แต่ผมก็ยังอยากจะพยายามเพื่อเพื่อนๆ ของผม ผมจะอดทนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เอาเถอะ ยังไงพวกกูก็อยู่ข้างมึง มึงไม่ต้องห่วง”

กัสตบบ่าผมเพื่อยืนยันเจตนารมณ์ของมันเอง ส่วนยีนก็ยิ้มสำทับให้ผม

“ถ้ามึงรู้สึกแย่ มึงอย่าลืมคิดถึงกูนะ จำที่เราสัญญากันได้ใช่ไหม”

“อืม กูจะคิดถึงมึง”

ผมยิ้มตามพลางสบตากับไฮยีน สัญญาที่เราเคยให้กันและกันเอาไว้ยังคงอยู่กับผมและมัน ทั้งในความทรงจำและในความเป็นจริง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงจะยาวนานไปถึงอนาคต

“อย่าลืมคิดถึงกูด้วยเหมือนกันนะ กูจะดูแลมึงอย่างดีเลย”

เคลมรีบออกตัวด้วยอีกคน คงเพราะกลัวน้อยหน้าคนอื่น ผมจึงแกล้งพูดเบาๆ แต่ดังพอให้มันได้ยิน ไอ้เคลมเลยแหวขึ้นมา

“เชื่อได้เปล่าวะ”

“ได้สิวะ ดูถูกกกก!!”

เสียงหัวเราะของพวกเราดังก้อง ถึงอาการผมจะยังไม่ดีจนหายเป็นปลิดทิ้ง แต่ว่าพวกมันก็ช่วยผมได้มากแล้ว และเพราะผมดูไม่น่าเป็นห่วงเหมือนทีแรก ไอ้ยีนเลยรีบบอกอย่างอารมณ์ไม่ดีเท่าไร แต่ผมก็รู้สึกดีที่มีคนที่ไว้ใจได้มาช่วยดูแลมันแล้ว

“เออ ถ้างั้นกูว่ารีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวไอ้พี่ชมพูแม่งบ่นอีก”





หลังจากกินข้าวเสร็จ และจบการพูดคุยอย่างสนุกสนานของคนทั้งโต๊ะ ก็เข้าเรื่องงาน พี่เจ๋งหยิบกระดาษ  A4 มาแจกพวกผมคนละแผ่น เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวและบทบาทที่จะต้องแสดง บทมีอยู่ว่าพวกเราสี่คนเป็นเพื่อนรักที่สนิทกันมากๆ ซึ่งมาเที่ยวด้วยกัน แต่ดันมาถูกใจผู้หญิงคนเดียวกันทำให้แตกคอกันเอง โดยผู้หญิงคนนั้นซึ่งแสดงโดยพี่ปาล์มมีใจให้ไอ้กัส ไอ้กัสเลยเย้ยเพื่อนคนอื่นๆ แต่ก็มาพบความจริงว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน พอไอ้กัสรู้ มันก็มาบอกต่อ แต่พวกผมไม่เชื่อ ไอ้เคลมเลยเดินหน้าจีบผู้หญิงคนนั้นบ้าง แล้วก็ได้รู้ความจริงเหมือนกัส แต่ผมกับยีนยังไม่เชื่อ คิวต่อไปเป็นผม และผมก็เกือบเดินลงทะเล...

อ่านมาถึงตรงนี้ ตัวของผมสั่นชาจนเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงเอาเสียดื้อๆ กระดาษในมือเกือบจะหลุดร่วงลงไป แต่เสียงของไฮยีนดังขึ้นก่อน

“บทกราฟเปลี่ยนเป็นผมได้ไหมครับ”

ผมไม่มีแรงเหลือพอจะหันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแต่เสียงของยีนดังขึ้น แต่มันก็แผ่วเบาและดูห่างไกลออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับร่างของผมกำลังล่องลอยถอยห่างออกมาเหมือนเป็นที่ไม่ต้องการของกลุ่มคนเหล่านี้

“พอดีไอ้กราฟไม่ค่อยถูกกับน้ำทะเลเท่าไรน่ะครับ เดี๋ยวมันไม่สบายเอา”

“มึงจะเอาอย่างนั้นจริงเหรอ ต้องลุยทะเลตอนกลางคืนนะเว้ย”

“ก็ไม่เห็นมีอะไรจะต้องกลัว นะครับ ให้ผมเป็นคนเดินลงทะเลแทนไอ้กราฟ ส่วนกราฟก็ให้ยอม ไม่ไปหาผีผู้หญิงนั่น ส่วนบทอื่นๆ ก็ตามเดิม โอเคนะครับ”

“ก็ได้ เปลี่ยนเป็นยีนก็ดี...”

หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย ไม่รู้ว่านานเท่าไร ผมเหมือนโดนขังอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่า เวิ้งว้าง ไร้ผู้คน ไร้เสียงรอบข้าง อยู่ท่ามกลางเวลาอันเป็นนิรันดร์ที่ไร้ทางออก และมันมีแต่จะทำให้ผมรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้งมากขึ้นไปทุกที ดั่งทุกส่วนของร่างกายเป็นตะกั่วก่อนจะผุกร่อน สลายเป็นฝุ่นผง

“กราฟกันไปเถอะ”

เสียงคุ้นเคยแว่วมาอีกครั้ง แรงเขย่าเรียกให้ผมที่เหมือนจะกลายเป็นธุลี ไร้ชีวิตและตัวตนหวนกลับมาหายใจได้อีกครั้ง ผมเบือนหน้าไปทางต้นเสียงด้วยพลังกายทั้งหมดที่เหลืออยู่และฝืนบังคับมันจนสำเร็จ จึงได้เห็นรอยยิ้มละมุนของยีน




การถ่ายทำเป็นไปตามขั้นตอนอย่างราบรื่น ฉากไหนที่มีความเสี่ยงว่าผมจะต้องเข้าใกล้ทะเลเกินควร พวกเพื่อนๆ ก็ช่วยกันขอร้องพี่ภูกับพี่คนอื่นๆ ทำให้ผมไม่ต้องเกิดอาการแบบที่แล้วๆ มา ตอนแรกก็เหมือนว่าพวกรุ่นพี่จะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าทำไมจะต้องห้ามอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เพราะเพื่อนผมทั้งสามคนอ้อนวอนไม่เลิก พวกพี่เขาถึงได้ยอมใจอ้อน

แม้แต่พี่แชมป์กับพี่บอสที่เพิ่งได้รู้จักกันได้ไม่นาน ก็เป็นกันเองดีและไม่ขัดข้องอะไร มีฉุกละหุกกันนิดหน่อยก็ตรงพวกเพื่อนๆ ผมที่ต้องลงทะเลไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าสำหรับเปียกมา เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะต้องมาสถานที่แบบนี้ นึกว่าจะไปปีนเขา ลุยป่า อะไรเทือกๆ นั้น แต่ก็ผ่านไปได้เพราะพวกพี่เขาเตรียมเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนแล้ว ก็เลยยืมๆ กันไป

กระทั่งมาถึงฉากสำคัญ ฉากที่ไอ้ยีนอาสาว่าจะเล่นแทนผม ก่อนเริ่มการถ่ายทำ มันสั่งกับผมว่าไม่ต้องออกไปดูหรอก เพราะนอกจากสถานที่และสถานการณ์ไม่เอื้อมอำนวยต่อสภาพจิตใจของผมแล้ว ตอนนี้ยังเป็นตอนกลางคืนด้วย ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวมากขึ้นไปอีก เสียงของน้ำโถมใหญ่ที่ซัดเข้าหาหาดทรายเหมือนกับกำลังเรียกร้องอย่างโหยหวน ฉุดกระชากให้ผมจมอยู่ในโคลนตมของความทุกข์ระทม

แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังห่วงไอ้ยีนอยู่ดี ผมกลัว... กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำอีกครั้ง จึงอยากจะขอยืนดูอยู่ห่างๆ ให้เห็นว่าไอ้ยีนปลอดภัยจนถ่ายทำจบก็พอ แม้ว่าการมองภาพเพื่อนคนสำคัญเดินลงทะเลอาจจะทำให้ผมรู้สึกปวดไปทั้งอกด้วยความหวาดกลัวก็ตาม แต่ไอ้ยีนก็ห่วงผมเกินกว่าจะอนุญาต

ผมได้แต่นั่งอยู่ในห้องด้วยใจพะวักพะวน เดินวนอยู่ในห้องเพื่อรอคอยให้คนที่บอกผมว่า ‘ไม่ต้องห่วงหรอกน่า’ พร้อมยิ้มแฉ่งและชกลงมาเบาๆ ที่อกของผมกลับมาหาผมอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม แต่ว่าเสียงโหวกเหวกด้านนอกที่ดังทะลุเข้ามาถึงข้างในก็ทำให้ผมเบิกตาโพลง

“ยีนจมน้ำ!!”

สองขาที่เคยเดินวนไปวนมาราวกับเดินจงกรมขยับไปก่อนความคิด มันก้าวผ่านประตูห้องออกมาอย่างรวดเร็ว ภาพที่ผมเห็นได้จากไกลๆ คือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ผมสั่นไปทั้งตัว แข้งขาอ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงไปบนพื้นทราย พยายามอย่างมากที่สุดเพื่อจะมองออกไปว่าเกิดอะไรขึ้น

ไฮยีนตัวเปียกไปทั้งตัวและถูกพี่ภูอุ้มอยู่ มันเอามือเกาะบ่าของพี่ภูและเอาหัวพิงบ่าเอาไว้ เหมือนกับว่าไม่มีแม้แต่แรงจะพยุงตัว ผมรู้ดีว่าเพื่อนรักของผมเป็นอย่างไร ถ้ามันปกติดีมันไม่ยอมให้พี่ภูอุ้มแน่ แต่สิ่งที่เห็นในเวลานี้ราวกับบอกทุกอย่าง

มันร้ายแรงถึงขนาดที่ไอ้ยีนไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้

นึกได้ดังนั้นผมก็ยิ่งไร้เรี่ยวแรงมากขึ้นไปอีก สิ่งต่างๆ รอบตัวเหมือนหยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงระลอกคลื่นที่ซัดกระเทาะเข้ามาดังโครมคราม ราวกับปีศาจที่กำลังคอยหลอกหลอนผม

ไม่ ไม่ ไม่เอาแบบนี้!

พอแล้ว พอ!

ผมรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวราวกับมีอะไรบางอย่างระอุอยู่ภายใน และก่อนที่ของเหลวร้อนๆ นั้นจะทะลักออกมาจนไม่สามารถควบคุมได้ ร่างของผมก็สะเทือนอย่างรุนแรง

ไอ้ยีนดึงผมเข้าไปกอด ตบหลังเบาๆ พลางลูบ และพร่ำบอกผมว่ามันไม่เป็นอะไร

“กูไม่เป็นอะไรกราฟ กูไม่เป็นอะไร มึงไม่ต้องห่วง กูแค่เป็นตะคริว ยังไม่ตายหรอก อยู่กับมึงได้อีกนาน”

เมื่อสัมผัสผิวหนังที่เปียกชื้นของมัน ผมก็รู้สึกเบาใจลง เพราะแม้ว่าตอนนี้ร่างกายของยีนจะเย็น แต่มันก็ยังมีความอบอุ่นแทรกซึมเข้ามาในตัวของผม เพื่อย้ำชัดว่ามันยังมีชีวิตอยู่ มันไม่ได้ทิ้งผมไปไหน

“มึงรู้ไหมว่ากูกลัว พอได้ยินเสียงบอกว่ามึงจมน้ำ กูก็สั่นไปทั้งตัว ห่วงมึง แต่ไม่กล้ามองไปทางทะเลด้วยซ้ำ ทั้งที่รู้ว่ามึงอยู่ตรงนั้น อยากไปช่วย แต่กูก้าวขาไม่ออก”

“ไม่เป็นไรมึง กูก็อยู่นี่แล้วไง มึงไม่ผิดหรอก กูยังปลอดภัยดี มึงก็เห็นนี่”

แม้ว่าจะเห็นมันกลับมายิ้มให้ผมอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ผมก็ยังยิ้มตามมันไม่ออก ร่างกายยังไม่หายสั่นอยู่ดี ปากผมน่าจะซีดขาวมากกว่ามันที่เปียกซ่กไปทั้งตัวเสียด้วยซ้ำ และมันก็รับรู้ความรู้สึกของผมเป็นอย่างดี ถึงได้ตบบ่าของผมเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

“อย่าลืมดิ ไฮยีนเก้าชีวิตนะเว้ย”

“อืม กูพยายามอยู่ มึงไม่เป็นอะไรแน่นะ”

“ไม่เป็นอะไรเลย สบายมาก! มึงหายห่วงได้เลย”

มันยิ้มมากกว่าเดิม เหมือนกับรู้ว่ารอยยิ้มของผมกับมันผูกติดกันเอาไว้ ผมถึงฝืนยิ้มออกมาได้หน่อยๆ แต่แล้วไอ้ยีนก็ต้องร้องโอดโอยเพราะพี่ภูเอาเท้ายันที่ขาของมันข้างหนึ่ง ทำเอาผมตกใจขึ้นมาอีกรอบ จากเดิมที่ใจยังหน่วงๆ อยู่ก็ยิ่งตื่นตระหนก

“มึงเป็นอะไร!”

“กูเจ็บขาว่ะ”

คำตอบมาพร้อมยิ้มแห้งๆ ก่อนมันจะโดนพี่ภูอุ้มไปนั่งอยู่ตรงขั้นบันไดหน้าบ้านพัก ผมจะเดินตามไป เพราะรู้สึกห่วงเพื่อน แต่ไอ้กัสที่ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามันอยู่ตรงไหนเดินมาดึงไหล่ของผมไว้ก่อน มันส่ายหัวเบาๆ

“ไม่ต้องตามไปหรอก ปล่อยให้พี่ภูดูแลมันนั่นแหละดีแล้ว”

“อืม”

ผมตอบได้แค่สั้นๆ แต่ก็ยังชะเง้อมองไอ้ยีนอยู่ดี ไอ้กัสถึงได้พูดออกมาอีกรอบ

“แค่ตะคริว เดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องห่วงมากไปหรอก อย่าลืมสิว่ามึงไม่ได้มีไอ้ยีนเป็นเพื่อนคนเดียว”

ไอ้กัสไม่ได้พูดแดกดันที่ผมเอาแต่ยึดติดอยู่กับไฮยีน ไม่ได้พูดเอาใจว่ามันก็เป็นเพื่อนที่ผมไว้วางใจได้ ไม่ได้พูดเพื่อให้ผมใจสงบลงได้อย่างที่ยีนปลอบผมอยู่บ่อยๆ ก็จริง แต่วิธีการพูดของมันทำให้ผมต้องย้อนกลับมาคิดดู และก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยใจที่ความปั่นป่วนภายในถูกบั่นทอนลง ก็เห็นพี่ภูสั่งไอ้เคลมให้ไปเอาน้ำเอาผ้ามาให้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนจึงรู้สึกวางใจหน่อยๆ อาการที่รุมเร้าอยู่ในอกของผมบรรเทาลง

ไอ้ยีนอยู่กับพี่ภู ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงแล้ว

ผมเชื่อได้ว่าพี่ภูจะดูแลเพื่อนรักของผมเป็นอย่างดี

เพราะคำว่ารัก...ที่เขามอบให้มัน



หลังจากถ่ายทำเสร็จ ก็มีงานเลี้ยงกันตามธรรมเนียม พวกเราตั้งวงใกล้ๆ บ้านพักมากกว่าจะเป็นริมทะเลเพื่อผมโดยเฉพาะ ผมรู้สึกขอบคุณทุกคนมากที่ยอมเสียบรรยากาศการสังสรรค์เพื่อผม พี่เจ๋งตบบ่าผมบอกว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก ถ้านั่งแดกเหล้ากันตรงนั้นแล้วปล่อยมึงอยู่ในห้องคนเดียวก็ไม่สนุกสิวะ’ ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมากับความเอาใจใส่

ในฐานะลูกชายเจ้าของรีสอร์ท พี่ภูสั่งแอลกอฮอล์มาสนองพวกเราทุกคนอย่างเต็มที่ และจุดกองไฟตรงกลางวงล้อม พี่ต้นดีดกีตาร์เล่นเพลงตามคำขอ ส่วนคนอื่นๆ ก็ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ช่วยให้ผมผ่อนคลายได้จริงๆ เพราะแม้ว่าจะมีเสียงคลื่นลมลอยมาเบาๆ แต่ความมึนเมาก็ทำให้ผมเริ่มไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นแล้ว

ไอ้เคลมชวนผมออกไปโห่ร้องเต้นด้วยกันกลางวงตอนช่วงที่เป็นเพลงร็อก แหกปากร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่มือหนึ่งถือแก้วที่มีน้ำสีน้ำตาลอ่อนไปด้วย ผมกับมันชนแก้วกันจนน้ำกระฉอก ก่อนจะกระดกเข้าปากรวดเดียว แล้วพวกพี่แชมป์พี่บอสก็เรียกไปเติม เหมือนกับว่ากำลังแจกฟรีอย่างไรอย่างนั้น แต่สักพักเสียงเพลงก็เงียบลง หันไปมองก็เห็นว่ากีตาร์ไปอยู่ที่พี่ภูแล้ว พวกผมเลยเดินเซๆ กลับไปนั่งประจำที และทันทีที่ผมนั่งลง ไฮยีนก็ถาม

“เป็นยังไงมั่งมึง”

“โอเคๆ หนุกๆ ดี”

ผมหัวเราะแล้วยกแก้วที่ถืออยู่ชนแก้วที่มันยื่นออกมา ก่อนเสียงเพลงจะดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเพลงรักที่ทำเอาผมมึนๆ จากที่กรึ่มๆ สมองชาๆ ก็เริ่มตื้อมากขึ้นเมื่อได้ฟังเสียงเพลงช้าๆ นั่น

เหตุการณ์ตรงหน้าเหมือนพี่ภูจะกำลังร้องเพลงจีบไอ้ยีนอยู่นะ ถ้าผมไม่เบลอจนเข้าใจผิดไป เพราะเห็นว่าสายตาของพี่ภูมองไอ้ยีนหวานเยิ้มเลย แล้วก็เอาแต่จ้องหน้ามันคนเดียว ส่วนเพื่อนรักของผมก็ทำท่าลุกลี้ลุกลน เหมือนทำอะไรไม่ถูก กระดกเหล้าเข้าปาก หันซ้ายหันขวา ดูน่ารักจนผมอดยิ้มไม่ได้

เห็นแบบนี้ ขนาดผมยังอยากฟัดมันเลย แล้วพี่ภูจะไม่อยากได้ยังไง

ผมคิดกับตัวเองแบบนั้นพลางมองรุ่นพี่ตั้งแต่สมัย ม.ปลาย ลุกขึ้นไปนั่งซ้อนด้านหลังเพื่อนผมแล้วกระซิบเสียงดังจนได้ยินกันไปทั่ว

“เป็นแฟนกับพี่นะ”

เสียงร้องแซวดังขึ้นระงม ไม่เว้นแม้แต่ผม ไอ้ยีนหน้าแดงแปร๊ดด้วยซ้ำ ยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ ขนาดพี่เจ๋งกับพี่บอสยังเชียร์ออกนอกหน้า

“ตกลงเลย ตกลงเลย”

“อย่าชักช้า ไอ้ภูลงทุนขนาดนี้เลยนะเว้ย”

พี่ภูได้ทีเลยย้ำอีก แล้วก็ได้เสียงพี่ปาล์มสุดสวยแต่ห้าวเป้งมากสนับสนุน ผมรู้สึกว่าตอนนี้เริ่มตาลายแล้ว ได้ยินเสียงอื้อๆ อึงๆ อยู่ในหูตีกันมั่วไปหมด

“นะ เป็นแฟนกัน พี่ชอบเกงยีน”

“ถ้ายีนไม่เชื่อ ลองกระทืบไอ้ภูดูก็ได้นะ มันไม่สู้หรอก มันยอม”

ไม่รู้แล้วว่ามีเสียงอะไรแทรกเข้ามาในหัวของผมบ้าง แต่เหมือนภาพเบลอๆ ตรงหน้าจะเป็นไอ้ยีนโวยวายที่โดนพี่ภูจูบกลางวง เสียงปรบมือดังก้องไปทั่ว ส่วนพี่ภูก็กอดเพื่อนของผมจากทางด้านหลัง ทำเสียงอ้อนอะไรสักอย่าง เสียงนั้นดูไกลออกไปเรื่อยๆ จนผมเกือบจะไม่ได้ยิน เหมือนไอ้กัสจะร่วมวงตอกย้ำซ้ำเติมเพื่อน

“มึงก็ชอบพี่ภูไม่ใช่หรือไง”

หลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรอีกก็ไม่รู้ ผมเริ่มคิดอะไรไม่ออก มองไม่เห็นภาพตรงหน้า ทุกอย่างกำลังเป็นสีดำ ร่างของผมเอียงไปเอียงมาโงนเงนแปลกๆ ก่อนผมจะรู้สึกเหมือนจะซบลงบนอะไรบางอย่างที่เป็นเม็ดละเอียดๆ





ลืมตาอีกทีเพราะเสียงโทรศัพท์ดัง ผมปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ รู้สึกหนักทั้งหัวทั้งตัวไปหมด ผมควานหาโทรศัพท์ขณะที่มองว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือผมกลับมาอยู่ในห้องพักแล้ว ไม่รู้กลับมาได้อย่างไรเหมือนกัน

ตอนนี้ผมยังมึนไม่หาย พยายามจะจับต้นชนปลายว่าก่อนหน้าที่สติของผมจะหลุดไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง ภาพที่เห็นยังคงพร่าเบลอ หัวหนักสุดๆ จนคิดอะไรนอกเหนือจากนี้ไม่ออก ลมหายใจมีแต่กลิ่นมึนเมา เสียงโทรศัพท์ยังคงดังเรียกให้ผมต้องหยิบต้นตอมากดรับ ไม่ทันมองหน้าจอด้วยซ้ำ เพราะเริ่มรู้สึกว่ามันกำลังส่งเสียงน่ารำคาญ

“ฮัลโหล”

[กราฟ]

เสียงที่เหมือนจะคุ้นเคยดังมาตามสาย ผมขมวดคิ้วพยายามนึกว่าเสียงนั้นเป็นของใคร แต่เหมือนมันติดอยู่ในสมอง เหมือนจะคิดออกแต่ก็คิดไม่ออก จึงถามเสียงห้วนกลับไปว่าใคร ซึ่งคำตอบของอีกฝ่ายก็ทำให้ผมต้องจูนสมองอยู่พักหนึ่ง

[ไนล์]

ไนล์ไหน?

ผมถามตัวเองในใจอย่างนึกสงสัย ก่อนจะค่อยๆ เห็นภาพอันเลือนรางในสมอง ภาพใบหน้าเรียวกึ่งหล่อกึ่งสวยแต่ดูไร้อารมณ์ปรากฏชัดเจนขึ้นช้าๆ ทีละนิด จนเป็นรูปร่างสมบูรณ์ ผมร้องอ๋อในใจ จากนั้นจึงถามต่อ

“อืม ว่าไง”

[เมาเหรอ]

ไม่รู้ว่าเสียงที่เปล่งออกไปเป็นแบบไหน เขาถึงได้ถามกลับมาแบบนี้ ผมยกมือขึ้นเกาหัวของตัวเองเบาๆ พยายามรวบรวมสติเท่าที่เก็บกวาดมาได้แล้วตอบกลับไป

“น่าจะเมามั้ง ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อกี้ยังนั่งกินเหล้าอยู่ริมทะเลอยู่เลย มาอยู่ที่ห้องได้ยังไงไม่รู้ มายังไงนะ”

[ทะเล!]

น้ำเสียงที่ผมได้ยินมันค่อนข้างดังจนต้องดึงโทรศัพท์ออกให้ห่างจากหู ผมย้อนเสียงกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร

“เสียงดัง”

[ตอนนี้นายอยู่ที่ทะเลเหรอ]

เขาลดเสียงลงมาหน่อย ทำให้ผมแนบโทรศัพท์เข้ากับหูอีกรอบ พลิกตัวให้นอนสบายขึ้นแล้วย้ำอีกครั้ง

“บอกว่าอยู่ทะเลก็อยู่ทะเลสิ”

[แล้วนายไม่เป็นอะไรเหรอ]

คำถามแปลกๆ ของเขาทำให้ผมยิ่งมึนหนักกว่าเก่า จนต้องยกมือขึ้นเกาหัวอีกรอบ

อยู่ทะเลแล้วทำไม อยู่ทะเลแล้วยังไง ทำไมผมอยู่ที่ทะเลไม่ได้ ไม่เห็นเข้าใจเลย

“ต้องเป็นอะไรด้วยเหรอ ทำไมนายพูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

หลังจากสิ้นเสียงของผม ปลายสายก็เงียบไปอยู่นาน จนผมต้องจับเครื่องสี่เหลี่ยมในมือเขย่าๆ ดูว่ามีอะไรพังไปหรือเปล่าสลับกับแนบกับหูอยู่หลายครั้ง กว่ามันจะมีเสียงดังออกมาอีกครั้ง

[นายอยู่ทะเลที่ไหน]

“ที่ไหนนะ เสม็ด ภูเก็ต กระบี่ พังงา ปัตตานี ยะลา เชียงใหม่ พะเยา กาญ...”

ผมเริ่มร่ายชื่อสถานที่ต่างๆ ออกมา ไม่รู้หรอกว่ามีทะเลหรือเปล่า แต่ปากก็พร่ำพูดออกไปก่อนสมองจะคิดได้ เสียงของคนที่ผมคุยด้วยถึงได้ดังแทรกขึ้นมา

[พอก่อน ตกลงว่าอยู่ที่ไหนกันแน่]

คำตอบที่ผมคิดได้คือไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ คิดไม่ออก เลยหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเจอคนคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าแปะอยู่กับพื้น ไม่ห่างจากผมนัก ผมเลยพยุงตัวลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซไปหาร่างนั้น เอาเท้าเขี่ยๆ เหยียบๆ ให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมา มันพลิกหน้าหันมาให้ผมเห็น ผมว่ามันหน้าคุ้นๆ อยู่นะไอ้คนนี้

เหมือนไอ้หมาเคลมเลย

คิดแบบนั้นแล้วผมก็นั่งยองๆ ลงไปใกล้ๆ หน้ามัน ตีแก้มมันเบาๆ แล้วยื่นโทรศัพท์ไปเกือบชิดปากของมันและถาม

“มึงๆ ที่นี่ที่ไหนวะ”

“อื้อ ไอ้สัตว์ ถั่วอยู่ไหน จะกินถั่ว เอาถั่วกูคืนมา”

มันพร่ำเพ้อทั้งที่ยังไม่ลืมตา เอามือตีพื้นเหมือนคนหมดแรง

“ไอ้เชี่ยนี่ บอกมาก่อน อยู่ที่ไหน”

“อยู่ที่.........” มันเงียบเสียงไปนานมากจนผมต้องเอียงคอลงมามองหน้ามัน ดูว่ามันจะตอบเมื่อไร ซึ่งเสียงมันก็ดังขึ้นอีกครั้ง “รีสอร์ทพี่ภูอะ ชื่ออะไรวะ แมกไม้มั้ง ที่ระยอง แล้วถั่วล่ะ”

พอมันตอบจบ ผมก็เอาโทรศัพท์มาแนบหูอีกครั้ง กรอกเสียงไปเบาๆ

“ได้ยินเปล่าๆ”

[ได้ยินแล้ว]

“งั้น...”

“ถั่วกูล่ะ”

พูดไม่ทันจบ มือของคนที่นอนอยู่ก็ดึงที่เสื้อของผมจนผมล้มลงไป มันกอดก่ายขึ้นมาทับผมเอาไว้ ผมรู้สึกหนักจนลุกไม่ขึ้น หายใจไม่ออกจนต้องตะเกียกตะกายเอาตัวออกมาจากใต้ร่างของมัน กว่าจะพ้นได้ก็เหงื่อแตกจนหมดแรง ผมมองสิ่งที่อยู่ในมือ หน้าจอที่ควรจะมีชื่อของคนโทรเข้าดับไปแล้ว จึงทิ้งตัวลงแผ่หลาอยู่ตรงนั้นและหลับตาลง ไม่ขยับเขยื้อน





วันที่สองของการมาทำงานครั้งนี้ ผมตื่นขึ้นมาอย่างมึนงงว่ามานอนอยู่บนพื้นในห้องข้างๆ ไอ้เคลมได้อย่างไร แต่คิดว่าพวกพี่ๆ หรือไม่ก็ไอ้กัสคงทนให้ผมนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นทรายไม่ไหว จึงแบกผมกับไอ้เคลมที่เมาเป็นหมาไร้สติมานอนอยู่ในห้องด้วยกันล่ะมั้ง

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางไปไหว้พระกัน ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นค่อนข้างมาก ผมตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลให้กับมิ้นที่ได้จากผมไปแล้ว ร่างของเธอ ไม่มีใครพบเห็นมันอีกนับจากวันนั้น แม้ไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่แห่งหนใด แต่ขอให้บุญกุศลทั้งหมดที่ผมได้สั่งสมมาแม้จะไม่ได้มากมายนัก ถูกส่งไปถึงเธอ ให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุข ไม่ต้องทุกข์ทรมาน

เมื่อรู้สึกว่าใจสงบลงแล้ว ผมก็หายใจได้ทั่วท้องขึ้น ไอ้กัสตบบ่าของผมแล้วยิ้มให้หน่อยๆ เหมือนกับจะให้กำลังใจ ส่วนไอ้เคลมก็ยิ้มกว้าง หน้าทะเล้นเหมือนอย่างเคย ขณะที่ไฮยีนที่พวกเรายินยอมให้พี่ภูคุมเอาไว้ด้วยความเต็มใจ ก็ยังหันมายิ้มให้กับผม เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกอบอุ่นใจจริงๆ ผมรู้สึกว่าผมช่างเป็นคนโชคดีที่มีเพื่อนดีๆ แบบพวกนั้นที่คอยนึกถึงจิตใจของผมอยู่เสมอ

ออกจากวัดมา พวกเราก็ยกขบวนมาที่ตลาดเพื่อซื้อของกัน โดยพวกเราต่างพร้อมใจกันแยกตัวให้คู่รักหมาดๆ ได้ใช้เวลาร่วมกัน โดยผมโดนพี่เจ๋งลากให้ไปเลือกซื้อพวกผักด้วยกัน พร้อมกับข้ออ้างว่าถ้าพี่เจ๋งไม่ได้เป็นตัวตั้งตัวตีในการซื้อ ก็คงจะไม่มีใครซื้อผักแน่ๆ คงมีแต่อาหารทะเล หมู เนื้อ แล้วก็กับแกล้ม เหล้าอะไรเทือกๆ นี้

ผมพูดคุยกับพี่เจ๋งนิดหน่อย พี่แกก็ไม่ได้ถามอะไรเรื่องอาการของผม ดูเหมือนว่าพวกรุ่นพี่จะคิดว่าเป็นอาการป่วยอย่างหนึ่งของผม คล้ายๆ กับพวกที่ตอนเด็กๆ เคยจมน้ำ เลยไม่กล้าเข้าใกล้ประมาณนั้น

“ขอบใจมึงมานะเว้ยที่มาด้วยกัน ถ้าพวกกูรู้สักหน่อยว่ามึงมีเรื่องฝังใจกับทะเล คงหาโลเกชั่นอื่นแล้ว ขอโทษทีว่ะ ไม่น่าอยากเซอร์ไพรส์พวกมึงเลย”

“ไม่หรอกครับพี่ ปกติผมก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรอยู่แล้ว พวกพี่จะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก”

“เออๆ ยังไงก็ขอบใจมึงแล้วกัน ที่พยายามช่วยงานพวกกู คืนนี้ก็ปาร์ตี้กันต่ออีกสักคืน พรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปเตรียมอ่านหนังสือสอบแล้ว”

“พี่อย่าพูดถึงความจริงอันโหดร้ายสิ”

ผมแซว เพราะอีกแค่อาทิตย์เดียวต้องสอบวิชาแรกแล้ว แต่ผมยังไม่ค่อยจะพร้อมเท่าไรเลย ถึงผมจะไม่ใช่คนที่การเรียนล่อแล่ แต่ก็ไม่ใช่ประเภทที่ถ้าไม่อ่านหนังสือเลยจะสอบได้ ถึงกระนั้นก็ดูท่าไอ้ยีนน่าจะอาการหนักกว่าผม แต่คงไม่ต้องห่วงหรอก เพราะมันมีพี่ภูอยู่ด้วย

“มึงไม่ต้องห่วง อ่านโน้ตที่กูให้ไปตอนต้นเทอม อย่างน้อยมึงก็ผ่านครึ่งชัวร์ๆ”

พี่รหัสขยิบตาให้ผม พร้อมกับชูนิ้วโป้งไปด้วย ผมหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับผงกหัว ก่อนจะหยุดที่ร้านค้าร้านหนึ่งและเลือกซื้อผักตามจุดประสงค์ที่แยกตัวมา ส่วนพี่เจ๋งก็สอบถามราคาพลางกวาดตาดูไปด้วยว่าจะต้องซื้ออะไรบ้าง

เมื่อซื้อของเสร็จเรียบร้อยตามหน้าที่ พวกเราก็กลับมาที่รถตู้อีกครั้ง เห็นพี่ภูกับไอ้ยีนกำลังสวีทกันพอดีเลยยืนดูอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง จนคนอื่นๆ มารวมตัวกันนั่นแหละ เสียงแซวถึงหลุดออกมาให้พวกที่อยู่ในโลกส่วนตัวรู้ตัว ซึ่งไอ้ยีนก็ร้องโวยกลบเกลื่อนตามปกติของมันไป ทว่ากลับทำให้ผมหุบยิ้มไม่ได้

ผมมีความสุขจังครับ ที่ได้เห็นคนที่ผมรักมากที่สุดกำลังมีความสุขแบบนี้








อ่านต่อข้างล่าง


v


v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥


ต่อจากข้างบน






v


v




กว่าจะมาถึงรีสอร์ทก็สี่โมงเย็นแล้ว พี่ต้นกับพี่ปาล์มเตรียมข้าวของสำหรับจัดปาร์ตี้ ส่วนคนอื่นๆ ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะเมื่อวานทำงานกันทั้งวันเลยตั้งใจว่าจะเล่นน้ำกันให้ชุ่มปอด ซึ่งพวกเพื่อนๆ ก็เป็นห่วงผมเหมือนเคย

“ถ้ามึงไม่ไหวก็ไม่เป็นไรนะเว้ย เดี๋ยวกูอยู่กับมึงเอง”

“พวกกูด้วย”

ไอ้ยีนเสนอมตัวก่อนไอ้กัสกับไอ้เคลมจะตามมา แต่ผมส่ายหัวปฏิเสธความหวังดีของพวกมัน เพราะแค่นี้พวกมันก็ทำเพื่อผมมามากแล้ว ไม่อยากให้มันต้องอดทำในสิ่งที่สนุกสำหรับพวกมันเพราะผมเพียงคนเดียว

“กูไม่อยากทำให้พวกมึงเดือดร้อน”

“เดือดร้อนที่ไหนวะ เพื่อนกันทั้งนั้น”

ไอ้เคลมขยับเข้ามากอดคอผมเอาไว้ ถึงปกติมันจะเป็นคนที่เหมือนจะหาสาระไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของเพื่อน มันจะเต็มที่เสมอ เพราะแบบนี้แหละ ผมถึงได้รักเพื่อนกลุ่มนี้ของผมนัก และมันอาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้ที่ผมจะต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ผมหลีกหนีมาตลอด ถึงเมื่อวานผมจะอาการแย่ แต่การได้ไปไหว้พระก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น วันนี้ผมอาจจะทำได้ก็ได้ ขอเพียงแค่สักนิดก็ยังดี

“กูขอบใจพวกมึงมากว่ะ แต่กูจะลองดู พวกมึงทำเพื่อกูมามากแล้ว”

“ถ้ามึงไม่ไหว ไม่ต้องก็ได้นะเว้ย”

ไฮยีนตบบ่าผม เหมือนจะย้ำว่าผมไม่จำเป็นต้องฝืน เพราะพวกมันไม่เดือดร้อนอะไรหากผมจะเป็นแบบนั้นต่อไป แต่ว่าชีวิตคนเราจะต้องเดินหน้า ถ้าไม่สามารถก้าวผ่านมันไปได้ มันก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอด

ผมจะพ่ายแพ้ตลอดไป ซึ่งผมไม่ต้องการแบบนั้น แม้จะทุกข์ทรมาน เจ็บปวดเจียนตาย แต่ผมก็ต้องผ่านมันไป ผมเองก็อยากจะเผชิญหน้ากับอดีตของตัวเองและยืนหยัดขึ้นมาอย่างเข้มแข็งให้ได้

เพื่อพวกเพื่อนๆ

เพื่อตัวผมเอง

และเพื่อมิ้น

ผมเชื่อว่ามิ้นก็ไม่อยากให้ผมต้องจมอยู่กับการตายของเธอ แม้ว่าผมจะไม่ต่างจากฆาตกรที่ฆ่าเธอก็ตาม แต่ผมเชื่อว่ามิ้นจะให้อภัยผม เพราะเธอเป็นแบบนั้น ผมถึงได้รัก

“ให้กูได้ลองก่อน กูเองก็อยากเอาชนะอดีตให้ได้”

“งั้นไปกัน”

ไอ้กัสปิดท้ายก่อนพวกเราจะเดินไปที่ชายหาดด้วยกัน โดยมีไอ้เคลมกับไอ้ยีนกอดคอผมเอาไว้คนละข้าง ตัวผมสั่นนิดหน่อย พอมองไปที่ทะเลก็เห็นว่าพี่คนอื่นๆ ลงน้ำกันไปหมดแล้ว ผมขบริมฝีปากเข้าหากันเพื่ออดกลั้นความรู้สึกที่กำลังโถมขึ้นมาเอาไว้ พยายามไม่แสดงออกมาว่าผมเริ่มมีอาการให้เพื่อนๆ เห็น

ตอนนี้แดดไม่แรงมาก ลมเหนียวๆ พัดเข้ามาหาพวกผมโดยหอบกลิ่นเกลือมาด้วย ผมกับยีนนั่งลงบนเสื่อที่พวกรุ่นพี่ปูเอาไว้ก่อนแล้ว ส่วนไอ้กัสกับไอ้เคลมถอดเสื้อก่อนจะล้มตัวลงนอน

“กูว่าจะอาบแดดหน่อย มึงว่าดีหรือเปล่าวะ กูผิวแทน กูคงเท่ขึ้น หล่อขึ้น มึงว่างั้นไหม”

“ตาตี่ๆ แบบมึงเนี่ยนะอยากดำ คงกลายเป็นปลาตีน ขาวจั๊วะแบบเดิมไปนั่นแหละดีแล้ว”

ไอ้กัสแย้งกลับพร้อมกับเขาเอาเท้างัดตัวไอ้เคลมที่นอนอยู่ให้กลิ้งออกนอกเสื่อ ส่วนไฮยีนหันมาถามผม

“มึงเป็นยังไงมั่ง”

“ก็คงพอไหวอยู่....มั้ง”

ผมยิ้มเจื่อนๆ ตอบกลับไป แต่เสียงที่หลุดออกมาก็เบาเหลือเกิน ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้หัวใจของผมเต้นช้าจนเกือบไม่เต้นหรือเต้นเร็วจนหายใจไม่ทันกันแน่ รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงวิ้งๆ อยู่ในหู มันเลยกุมมือผมเอาไว้ ผมจึงยิ้มให้มันอีกครั้งด้วยความพยายามที่มากกว่าเดิม

“กูจะอยู่กับมึง เชื่อได้เลย”

“กูรู้”

“มึงอย่าจู๋จี๋กันสองคนสิวะ เดี๋ยวพี่ภูก็มาแทะหัวมึงเล่นหรอกกราฟ”

เคลมที่คลุกทรายไปเมื่อกี้กระดึ๊บกลับมาแทรกหน้าระหว่างผมกับไฮยีนเหมือนอยากขอมีส่วนร่วม ส่วนไอ้กัสก็ยังคงมาดคุณชายบอกพวกผมพลางพเยิดหน้าไปอีกทางหนึ่งที่ผมไม่ค่อยอยากมองเท่าไร

“สงสัยปากมึงจะศักดิ์สิทธิ์จริงว่ะไอ้เคลม”

พี่ภูที่สวมแค่กางเกงขาสั้นเดินตัวเปียกมารวมกลุ่มกับพวกผมและเอ่ยถาม

“พวกมึงไม่ลงไปเล่นน้ำกันเหรอ”

“ไอ้กราฟลงทะเลไม่ได้”

ตามเคยว่าไอ้ยีนเป็นคนตอบ แต่เหมือนพี่ภูจะไม่ทักท้วงอะไร จากเหตุการณ์และคำพูดของไอ้ยีนตลอดเมื่อวานจนถึงวันนี้ เขาคงรู้แล้วล่ะว่ามันเป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถพูดคุยกันได้ ทั้งที่ผมไม่ว่าอะไรหากไอ้ยีนจะบอกพี่ภู เพราะเขาเป็นแฟนกับมันแล้ว และก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยอย่างที่ไอ้ยีนเคยเอาแต่พาสาวขึ้นเตียง มันรักพี่ภูจริงๆ ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ที่จะรู้ เพราะผมเองก็ไม่อยากให้พี่ภูกับไอ้ยีนทะเลาะกันเพราะเข้าใจผิดเรื่องผม

“งั้นมึงไปซื้อน้ำกับกูหน่อย”

“พี่ก็ไปเองสิ ทำไมผมต้องไปด้วย”

“กูอยากให้มึงไปด้วยไง”

สองคนยังเถียงกันเหมือนเดิม ตามนิสัยของเพื่อนผมนั่นแหละที่ไม่ชอบให้ใครมาสั่ง มันเป็นลูกคนเล็ก เคยทำอะไรไม่สนใจใคร มีคนคอยตามใจ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทำให้มันกลายเป็นเด็กสปอยล์ที่ชอบเอาชนะ แต่พี่ภูก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ใครง่ายๆ เหมือนกัน เขาดึงมันให้ลุกขึ้นจนมือของผมกับยีนหลุดออกจากกันแล้วเถียงต่อ จนเพื่อนอีกสองคนที่เหลือต้องสวนเสียงขึ้นมาพร้อมกันราวกับนัดหมาย

“มึงไปกับพี่ชมพูเหอะ”

“เดี๋ยวพวกกูอยู่กับไอ้กราฟแทน”

ผมเลยร่วมด้วยช่วยอีกคน

“มึงไปเหอะ กูอยู่ได้ ไอ้กัสกับไอ้เคลมก็อยู่ ซื้อมาเผื่อกูด้วยล่ะ”

เมื่อพวกผมพร้อมใจกันขับไล่ ไอ้ยีนก็เลยเรื่องมากเล่นตัวต่อไม่ได้ มันเดินไปพร้อมกับพี่ภูโดยมีสายตาของพวกผมมองตาม ไอ้กัสกับไอ้เคลมเลื่อนตัวมานั่งข้างผมพร้อมกระซิบกระซาบทั้งที่เจ้าตัวที่ถูกนินทาเดินไปไกลแล้ว

“มึงว่าไอ้ยีนเสร็จพี่ภูหรือยังวะ”

“เสือกทุกเรื่อง”

ไอ้เคลมโดนไอ้กัสตีหัวไปหนึ่งที ข้อหาอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป ทำให้ผมรู้สึกสมน้ำหน้ามันหน่อยๆ

“เอ้า ก็กูอยากรู้นี่ หรือมึงไม่อยากรู้”

“ไม่อยากรู้เว้ย”

“โด่ อย่ามาๆ กูรู้ว่ามึงก็อยาก ทำเป็นฟอร์ม ว่าแต่ผู้ชายกับผู้ชายนี่เขาทำกันยังไงวะ”

โดนไอ้กัสตีหัวไปยังไม่หลาบจำ ไอ้เคลมบ่นกระปอดกระแปดแล้วหันหน้ามาทางผมแทน เหมือนจะขอความเห็น ทำให้ผมรู้สึกว่าหัวใจกระตุกไปแวบหนึ่ง ภาพใบหน้าของใครบางคนผุดขึ้นมาในสมอง

“มันจะเสียว มันจะสยิวจริงหรือเปล่า แล้วแม่งโดนเล้าโลมเลียหัวนมอะไรเงี้ยจะทำให้โด่ได้จริงเหรอ”

เสียงของไอ้เคลมยังดังต่อเนื่องด้วยความอยากรู้อยากเห็น พลางแอ่นสะโพกโก่งตูดไปด้านหลัง เอามือวางบนบั้นท้ายที่มันพยายามจะทำให้โค้งงอนกว่าปกติ แต่หน้าตาเหลอหลาเหมือนคนไม่ได้คำตอบ

ใบหน้าและเรือนร่างของไนล์ฉายชัดมากขึ้นกว่าเดิมในความทรงจำของผม ทั้งเสียงครางเบาๆ เสียงเนื้อที่กระทบกันทุกครั้งยามขยับจังหวะเคลื่อนไหว ใบหน้าของเขาที่บิดเบี้ยวด้วยความทรมานชื้นไปด้วยเหงื่อไคล เสียงหอบหายใจของผม

“อยากรู้มึงก็ลองโดนสักทีดิวะ”

ภาพที่มีที่มาจากความผิดของผมเลือนหายไปเพราะเสียงของคุณชาย มันตอกไอ้เคลมกลับไปจนเจ้าตัวคนฟังทำหน้ายู่สวนเสียงกลับมา

“กูอยากรู้เว้ย ไม่ได้อยากลอง”

“ก็เห็นทำท่าประกอบ กูก็นึกว่ามึงอยากลองเดินทางสายใหม่เพราะเบื่อทางเก่าๆ แล้ว”

“กูไม่มีทางเบื่อหรอกเว้ย ว่าแต่มึงเหอะไอ้กราฟ ได้ปลดปล่อยบ้างปะเนี่ย ไม่ได้ใช้งานนานระวังขึ้นรานะมึง ยังไงมือก็ไม่ช่วยให้รู้สึกได้เท่ากับรูจริงหรอก”

ผมสะดุ้งนิดๆ กับคำถามนั้น จนมันขมวดคิ้วเข้าหากันหน่อยๆ กับปฏิกิริยาตอบรับจากผม ผมจึงตอบเลี่ยงๆ ไปก่อนที่จะมันจะถามอะไรมากไปกว่านี้

“กูยังไม่มีแฟนนี่หว่า”

“มึงก็หาสักคนสิ มิ้นไม่อยากให้มึงเป็นม่ายไปจนตายหรอก”

มันกระเถิบตัวมานั่งข้างผมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเอาศอกเท้าบนบ่าผมไปด้วย แถมยังยิ้มยิงฟันให้อีกต่อ

“กูรู้ ก็...พยายามอยู่”

ผมนึกถึงหน้าของไนล์อีกครั้ง... ถึงจะไม่ได้เป็นแฟนกันแต่ผมก็รู้สึกพิเศษกับเขา จนมันคล้ายความรู้สึกนั้นเหลือเกิน

ผมอยากจะแน่ใจกว่านี้สักหน่อย ก่อนที่จะพูดมันออกไป

ก่อนที่จะบอกเขาไปว่ารัก

ผมไม่อยากพูดมันอย่างไร้ความรับผิดชอบแล้วมากลับคำทีหลัง เพราะความไม่แน่ใจของตัวเอง

เมื่อไรที่ผมพูดว่ารัก เมื่อนั้นก็คือ...ผมรักและไม่คิดจะเลิกรัก

“ถ้ามึงได้แฟนเมื่อไรนะ กูจะฉลองให้มึงสามวันเจ็ดวันเลย”

“กูบันทึกคำพูดมึงใส่สมองไว้เรียบร้อยแล้ว”

ไอ้กัสแทรกขึ้นมาแทนที่จะเป็นผม พร้อมทั้งหยักยิ้มที่มุมปากดูแสนชั่วด้วยมาดคุณชายสุดคลู จนไอ้เคลมลุกขึ้นมาไล่เตะอย่างอดหมั่นไส้ไม่ได้ แต่ไอ้กัสก็ไม่ยอมง่ายๆ มันหลบแล้วลุกขึ้นมาเตะกลับ

ผมมองตามภาพพวกมันไปเรื่อยๆ รู้สึกได้ว่ามีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้าหน่อยๆ เพราะชอบรรยากาศแห่งความสุขแบบนี้ รู้สึกเบาใจขึ้น พอจะมองภาพทะเลเบื้องหน้าได้บ้างนิดหน่อยแล้ว ทว่าสักพักพวกพี่เจ๋งก็เดินขึ้นจากทะเลมาทางพวกเพื่อนผม

“เฮ้ย พวกมึง ไปขี่เจ็ตสกีกันไหมวะ”

ไอ้กัสกับไอ้เคลมชะงักการเล่นวิ่งไล่เตะทั้งคู่ มองไปยังพี่เจ๋ง พี่แชมป์ พี่บอสที่มาหยุดอยู่ใกล้ๆ พวกมัน แม้ว่าสองคนนั้นจะไม่ได้หันมามองผม แต่ผมก็รู้ว่าพวกมันกำลังจะทำเพื่อผมอีกครั้ง ผมจึงโพล่งขึ้นก่อนที่พวกมันจะตอบพวกพี่ๆ เขาไป

“ไม่...”

“พวกมึงไปสิ”

“เฮ้ย” ไอ้เคลมร้องออกมา “กูจะอยู่นี่แหละ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า กูโอเคแล้ว”

“มึงแน่ใจ”

ไอ้กัสเหลือบมองอย่างไม่ไว้ใจสักเท่าไร สายตาของมันสำรวจไปทั่วตัวของผมเพื่อสังเกตว่ามีอาการอะไรหรือเปล่า นับว่าเป็นโชคดีก็ได้ที่ผมเริ่มปรับสภาพได้มากขึ้นแล้ว ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยดีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างเมื่อวานนี้

“กูโอเค มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า จะให้กูคอยเป็นตัวถ่วงพวกมึงจนพวกมึงอดเล่นสนุกหรือไง พวกมึงไม่ได้มาทะเลกันนานแล้วนะ อย่าทำให้กูต้องรู้สึกผิดสิวะ”

แม้ว่าผมจะพยายามหว่านล้อม แต่พวกมันก็ยังทำหน้าเคลือบแคลง ลังเลว่าจะเอาอย่างไรดี ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน ผมเลยหันไปบอกพี่อีกสามคนที่เหลือ

“พวกพี่ไปเช่าเจ็ตสกีมาเลยครับ เดี๋ยวมันก็เกรงใจแล้วไปเล่นเอง”

“มึงจะเอาอย่างนั้นเหรอ”

พี่รหัสหันมาถามผม ผมก็พยักหน้าให้เพื่อยืนยัน เพื่อนผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันคงห่วงผม ไม่อยากทิ้งผมไป และไม่อยากผิดคำพูดที่รับปากไฮยีนไว้ ผมเลยย้ำอีก

“เดี๋ยวไอ้ยีนกับพี่ภูก็มา แค่ห้านาทีสิบนาที กูไม่เป็นอะไรหรอกน่า กูจะนั่งอยู่ตรงนี้แหละ”

สิ้นเสียง ผมก็แถมใบหน้าที่มีรอยยิ้มติดอยู่ไปให้อีกระลอกเพื่อยืนยัน พวกมันทำหน้ารู้สึกผิดนิดนึงก่อนจะยอมรับคำพูดของผม

“เอางั้นก็ได้วะ แต่ถ้าท่าไม่ดี มึงต้องรีบบอกกูเลยนะ”

“พวกกูจะขี่กันอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ”

“เออ พวกมึงไปสนุกกันเถอะ แต่ก็ระวังตัวด้วย”

“อืม”

ไอ้เคลมครางเสียงรับในลำคอ ส่วนไอ้กัสเดินกลับมาหาผม มันย่อตัวลง นั่งชันเข่าไว้ข้างหนึ่ง มองตาผมเหมือนจะจับผิด จับจ้องอยู่อย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

“มึงแน่ใจนะ”

“แน่สิวะ กูไม่อยากให้พวกมึงต้องคอยเป็นห่วงจนไม่ได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำ ไม่ได้เล่นสนุกทั้งที่สมควรได้เล่น”

“มึงก็รู้ว่าพวกกูไม่คิดเรื่องหยุมหยิมอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว มันไม่ได้ลำบากเลย”

“กูรู้ แต่มึงลองคิดในแง่ของกูบ้างสิ กูไม่อยากให้พวกมึงต้องติดแหง่กไร้อิสรภาพเพราะกู กูไม่อยากเป็นภาระของพวกมึง มึงก็รู้นี่”

ผมจ้องตาของมันกลับไปอย่างแน่วแน่ ไม่มีความลังเล มันเลยยอมละสายตาจากผมแล้วยื่นมือออกมา มือผมเองก็ยื่นออกไปจับมือมันเอาไว้อย่างแนบแน่น กระชับให้รับรู้ถึงความมุ่งมั่น ก่อนมันจะผงกหัวเบาๆ แล้วปล่อยมือผมออก

ไอ้กัสขยับห่างผมออกไป ก่อนจะไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ที่เริ่มเข้าหาพาหนะตะลุยน้ำกันแล้ว ผมมองตามภาพนั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า สูดกลิ่นอากาศของทะเลขณะที่ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวคืบคลานเข้ามาเกาะกิน เสียงคลื่นน้ำกำลังทะลุทะลวงโสตประสาทของผมราวกับจะทำลายล้าง

หัวใจเริ่มไต่จังหวะขึ้นมาอย่างถี่รัวจนผมรู้สึกแน่นในอกแทบหายใจไม่ออก กระทั่งรู้สึกว่ามันยากเกินไปที่จะต่อสู้มากไปกว่านี้จึงเบี่ยงตัวหันหน้าเข้าหารีสอร์ทแทน ทว่าเมื่อหันไปแล้วผมก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ

ร่างคุ้นเคยยืนอยู่ตรงนั้น...







------------------
ตอนนี้ค่อนข้างยาว แต่ก็เพราะว่าอ้างอิงจากเรื่องของภูยีนด้วย
แต่งไปก็ต้องเทียบกับเรื่องนั้นตลอดเลย 555555 แต่ก็แอบทำให้คิดถึงพี่ภูกับน้องยีนอยู่เหมือนกัน
คนที่เคยอ่าน กวนนักฯ ก็คงรู้แล้วล่ะว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น อย่างกับสปอยล์กันและกันเลยนะสองเรื่องนี้

ตอนนี้เหมือนกับเป็นตอนของมิตรภาพระหว่างเพื่อน 4 คนมากกว่าเลยค่ะ  :กอด1:


Undel2Sky



ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
เฮ๊ย...ทำไมตัดงี้ละ






ร่างคุ้นเคย มิ้น หรือ ไนล์






กราฟ น่าสงสารจัง แต่ก็เป็นเพราะกราฟยึดติดกับอดีตจนกลายเป็นหลุมดำของชีวิต






กราฟก็มีปม ไนล์ก็มีปม โฮ๊ะ






ปมมันเยอะแท้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ






อึดอัดใจโพดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :ling1: :ling1:






อยากรู้วิธีแก้ปม

ออฟไลน์ chancha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
มาต่อเร็วๆ นะครับ ค้างคามาก เปิดมาอ่าน 4 วันรวด ตั้งแต่ ภูยีน มาถึง กราฟไนล์ อยากให้ต่อแบบรวดเดียวจบเลยได้ป่ะ  :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ ZeeKiN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :h

มาต่อเร็วๆๆๆน้าาาาาาาาาาาาาาาาา


ค้างงงงงงงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 18 : คนหลงทาง









สองขาเรียวยาวพาใครคนนั้นเข้ามาหาใกล้ผมมากขึ้น ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เหมือนร่างที่วิญญาณหลุดลอยไปยังที่ไกลแสนไกลมาหยุดลงตรงหน้าผม

“มา... มาได้ยังไง”

เสียงของผมหลุดออกมาอย่างไม่เต็มคำนัก นึกประหลาดใจที่เห็นเขาที่นี่

“เมื่อคืนนายบอกฉันเอง”

เมื่อคืน?

ผมทวนเสียงของเขาอย่างงุนงง ก่อนจะนึกถึงเสียงเลือนรางขึ้นได้

“เมื่อคืนนายโทรมา?”

“จำไม่ได้จริงๆ เหรอ”

“เพิ่งจะนึกได้นี่แหละ ขอโทษที”

รู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะนานแล้วที่ผมไม่ได้เมา จะเรียกว่าแทบไม่เคยเมาเลยก็ว่าได้ เพราะปกติแล้วถ้าไปดื่ม ผมจะไปกับเพื่อนๆ ในแก๊ง ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องดูแลไฮยีนอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงเมาไม่ได้ เหมือนที่กัสก็เมาไม่ได้เพราะต้องคอยลากศพไอ้เคลมกลับคอนโดฯ อยู่เสมอๆ หรือถ้าหากจะเมา ก็มีโอกาสแค่ตอนที่เราดื่มกันที่คอนโดฯ ของใครสักคนนั่นแหละ

“ว่าแต่...” ไนล์หยุดเสียงไว้เท่านั้น มองหน้าผมเหมือนสำรวจอย่างทั่วถ้วน จากนั้นเอื้อนเสียงออกมาไม่ดังนัก “มาอยู่ที่นี่ ไม่เป็นอะไรเหรอ”

“หืม?”

ผมค่อนข้างจะไม่เข้าใจในคำถาม จึงเลิกตาขึ้นเล็กน้อยอย่างสงสัย ไนล์มองท่าทีของผมอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกมาพร้อมบอกว่า

“มาด้วยกันหน่อยสิ”

มือที่ส่งมาให้ยังคงอยู่นิ่งตรงหน้าผม ในขณะที่ผมได้แต่งงงวยและมองมือนั้นอย่างไม่เข้าใจ กระทั่งไนล์เป็นฝ่ายโน้มตัวลงมาใกล้ผมมากขึ้นและฉวยมือของผมไป พลอยให้ผมต้องดันตัวลุกขึ้นจากพื้นทราย ทว่าหลังจากนั้นไม่นานผมก็เข้าใจความหมายของเขา

ไนล์กำลังพาผมให้เดินเข้าไปหาสิ่งที่ผมหวาดกลัวที่สุด

ตัวของผมสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผมสะบัดมือของเขาออกเต็มแรง แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงที่เคยมีจะเหือดหายไปหมด ผมรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเย็นเฉียบขึ้นมาเสียดื้อๆ ปากสั่นกึกๆ จนฟันแทบจะกระทบกัน พยายามรั้งตัวเองไว้อย่างสุดความสามารถ ปลายเท้าจิกกับพื้นเอาไว้จนทรายและรองเท้ากระจุยกระจายไปคนละทิศละทาง

ไนล์ไม่ยอมปล่อยมือผมแม้ว่าผมจะต่อต้านมากแค่ไหน เขาดึงผมด้วยแรงที่มากกว่าผมหลายเท่า พาผมไปยังเสียงโห่ร้องที่ก้องกังวาน ยิ่งเข้าใกล้มันเท่าไร มันก็ยิ่งสะท้อนในหูของผม ราวกับเสียงเรียกจากขุมนรก ผมแผดเสียงลั่น แต่เหมือนมันจะเบาหวิวและถูกเสียงสาดซ่าที่ดังกว่ากลืนหาย

“ไม่ ปล่อย ปล่อยฉัน”

“...”

ไร้เสียงตอบรับจากคนที่เดินนำหน้าอยู่ ผมเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแกะมือของตนเองออก แต่ว่าแกะเท่าไรก็ไม่ออก ราวกับว่ามันถูกพันธนาการด้วยมือของมัจจุราช ผมสะบัดมือหลายต่อหลายครั้ง แต่คีมเหล็กนั้นก็ยังบีบรัดผมเอาไว้แน่น ปลายเท้าของผมสัมผัสกับฟองคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า

ผมรู้สึกเหมือนลมหายใจกำลังหมดลงเรื่อยๆ

อย่า

ปล่อย...

อย่าทำแบบนี้

ร่างของผมกำลังจมลงเรื่อยๆ ผมมองไม่เห็นสิ่งอื่นนอกไปจากความว่างเปล่า ผมตะเกียกตะกายร่างขึ้นจากความมืดทึมนั้นอย่างทรมาน ร้องตะโกนเต็มเสียง แต่เหมือนกับที่แห่งนี้เวิ้งว้าง ไม่มีผู้คน ไม่มีใคร ความเย็นเหยียบค่อยๆ โอบรอบร่างของผมเอาไว้จนหนาวสั่น จมลึกลงไปราวกับถูกดูดกลืน

หนาว

กลัว...

ใครก็ได้...

มิ้น กราฟขอโทษ

กราฟขอโทษ

กราฟขอโทษ

กราฟขอโทษ

เพียงคำเดียวที่ดังอยู่ในหัวของผม มันดังซ้ำไปซ้ำมา ตัวของผมเปียกชื้น ใบหน้าอาบไปด้วยของเหลว แต่ผมรู้ดีว่านั่นไม่ใช่สิ่งอื่น แต่มันคือ...

น้ำตาแห่งความเสียใจ

น้ำตาแห่งความหวาดกลัว

น้ำตาแห่งความสำนึกผิด

“มึงทำเหี้ยอะไร!!!”

เสียงหนึ่งดังขึ้น ราวกับแสงสว่างวาบเข้ามา พร้อมกับแรงฉุดกระชาผมอย่างรุนแรงจนร่างเหวี่ยง ผมโผล่พ้นขึ้นมาจากหลุมสีดำ ภาพที่เคยเลือนรางหายไปปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง

ตรงนั้นมีไฮยีน

มือของผมถูกยีนกุมเอาไว้แน่น มันดึงผมให้เดินกลับเข้าหาฝั่ง ผมรู้สึกโล่งใจ ความหวาดกลัวที่กัดแทะจิตใจของผมหยุดไปแล้ว แต่เพียงครู่เดียวร่างของผมก็ถูกกระชากอีกครั้งจากคนที่อยู่ด้านหลัง

...ไนล์

มุมปากของเขามีรอยสีแดงที่ไร้ที่มา ความทรงจำที่ขาดหายไปเริ่มกลับคืนสู่ผมอีกครา

ไนล์ลากผมลงมาในทะเล... ทำไม?

“อย่าเสือกเรื่องของกู”

ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงของไนล์ทำให้ผมยิ่งเต็มไปด้วยความสับสน ข้อกังขา ไนล์จับมือผมแน่นไม่แพ้ยีน ก่อนจะดึงผมให้เข้าสู่ทะเลลึกขึ้น ผมตัวสั่น

“เรื่องของมึงเหรอ ถ้าเรื่องของมึงจะทำให้เพื่อนของกูจมน้ำตาย กูก็ต้องเสือก”

ยีนแผดเสียงลั่นก่อนจะถีบไนล์จนล้มลงไปในน้ำ ผมตะลึงงันกับภาพที่เห็น นึกห่วงคนที่เปียกปอนว่าจะลุกขึ้นมาได้ไหม ความหวาดกลัวทะลุทะลวงหัวใจของผมจนกลวงโบ๋ ผมจมดิ่งลงในหลุมลึกซ้ำอีก ไร้แรงขยับเขยื้อน

“มึงไม่รู้เหี้ยอะไรก็อย่ามาเสือกกับเพื่อนของกู!!”

“แล้วใครบอกว่ากูไม่รู้เหี้ยอะไร”

ร่างของผมอ่อนระโหยโรยแรงเกือบจะทรุดลงไปตรงนั้น ตัวสั่นเทิ้ม รู้สึกถึงอะไรบางอย่างสะท้านสะเทือนอยู่ในอกจนวูบโหวง ภาพที่เห็นมีเพียงสีส้มเข้มจนเหมือนสีเลือดละลายเจือจาง ความหดหู่หมองเศร้าเกาะกุมเหมือนไม่รู้ว่าผมยังหายใจอยู่เพื่ออะไร

เนิ่นนานเหลือเกินกับการหายใจแผ่วเบาคล้ายคนเกือบจะสิ้นลม

สัมผัสยุบยับของเม็ดละเอียดแตะลงบนหลัง ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองหายใจอยู่หรือเปล่า ดวงตาเบิกค้างอยู่อย่างนั้นไม่รู้ว่านานแค่ไหน

เมื่อไรเวลาจะหยุดลง

เมื่อไรทุกอย่างจะสิ้นสุด

ผมจะได้หลุดพ้นจากความทรมานนี้เสียที...

มิ้น มาหากราฟได้ไหม พากราฟไปอยู่ด้วยได้ไหม

ถ้อยคำอ้อนวอนอย่างอ่อนล้าคล้ายลอยล่องอยู่ในจิตใต้สำนึกของผม ขณะที่สีเลือดเจือจางนั้นยังคงปรากฏอยู่ตรงหน้า

ถ้าเป็นเลือดของผมคงจะดี

ถ้ามันไหลออกมา...

คิดได้ดังนั้นก็เหมือนเรี่ยวแรงที่เคยเหือดหายไปกลับคืนสู่ร่างของผมอีกคราว พลังมหาศาลผลักดันให้ผมลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมออกวิ่ง วิ่ง วิ่งไปข้างหน้า มุ่งไปหาสิ่งที่พรากผู้หญิงที่ผมรักที่สุดไป...พรากเอาชีวิตของเธอทั้งที่มันไม่สมควร

เอาชีวิตผมไป เอาผมไปแทน

“ไอ้กราฟ หยุด มึงอย่าทำอย่างนั้นนะ!!”

เสียงกระฉอกของคลื่นน้ำที่ต้านทานผมไว้ไม่ได้ทำให้ผมเคลื่อนที่ได้ช้า ยิ่งมันซัดเข้าสู่ร่างของผมมากเท่าไร ก็ยิ่งเหมือนกับมันท้าทายให้ผมพุ่งเข้าหามันมากขึ้นเท่านั้น ผมก้าวขาอย่างมั่นคงกว่าครั้งไหนๆ เพื่อจุดหมายสูงสุดในเวลานี้ของตัวเอง

สิ่งเดียวที่ผมต้องการ สิ่งที่ผมต้องทำ

จบชีวิตของผมลงซะ!

“กราฟ มึงมีสติหน่อยสิ นี่กูไง ยีนเพื่อนมึงน่ะ มองกูสิ!!!”

เสียงตะโกนคุ้นหูบางเบาเหลือเกิน มันผ่านหูของผมไปแล้วลอยไปกับสายลม ผมไม่สนใจมันแต่ยังคงมุ่งมั่นกับเจตารมณ์ที่ฮึกเหิม ทว่าแรงกระชากจากด้านหลังทำให้ร่างของผมชะงักลง แรงกอดรัดทำให้ผมอึดอัด ผมสะบัดอ้อมกอดนั้นออกสุดแรง แต่ว่ามันก็ไม่หลุดออก มิหนำซ้ำคนที่กีดขวางความปรารถนาของผมยังพลิกตัวกลับมาผลักผมให้ถอยกลับไปเต็มแรง

ร่างของผมค่อยๆ ถอยห่างจากมฤตยูที่ผมโหยหา ก่อนความรู้สึกเหมือนวูบหล่นจะสัมผัสกับร่างกาย ผมกระแทกกับหาดทรายอีกหนพร้อมกับน้ำหนักของคนที่ดึงรั้งผมไว้ทับลงมาบนหน้าท้อง

“กราฟ!! มึงมองกูสิวะ มึงอย่าทำแบบนี้”

ใบหน้าของคนตรงหน้าพร่าเลือน ผมมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเป็นใบหน้าของใคร เสียงที่โหวกเหวกฟังดูคุ้นหูเหลือเกิน แต่ผมนึกไม่ออก และมันก็กลายเป็นเสียงน่ารำคาญ ผมพยายามดันตัวขึ้นและผลักคนที่ทับตัวผมออก

“มึงได้สติสักทีสิวะ มันไม่ใช่ตอนนั้นนะเว้ย นึกสิมึง มันผ่านมาสามปีแล้วนะเว้ย ไอ้กราฟ เรื่องมันจบแล้ว มึงเลิกโทษตัวเองสักที!!”

ผมขืนตัวสุดแรงเท่าที่จะทำได้ ผมกำลังจะทำได้แล้ว กำลังจะทำลายสิ่งที่ขัดขวางผมได้สำเร็จ ทว่าเพียงครู่เดียวที่เห็นแสงแห่งความหวัง แขนทั้งสองข้างของผมกลับถูกตรึงเอาไว้อย่างแน่นหนา ราวกับว่ากำลังจะลงโทษผม ให้ผมต้องพบกับความทุกข์ทรมานอีกครั้ง

“มึงฟังไอ้ยีนมั่งสิวะ!”

“กูไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้นะเว้ย!”

ทำไม ทำไมถึงไม่ปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระเสียที

“กราฟ มึงลืมกูแล้วหรือไง ยีนเพื่อนมึงอะ มึงอย่าเป็นแบบนี้ดิวะ กูไม่อยากให้มึงเป็นแบบนี้นะ กูไม่อยากเสียมึงไป”

ปล่อยให้ผมหลุดพ้นเถอะ ได้โปรด...

“ได้ยินไหม กูไม่อยากให้มึงตาย!!”

ผมวอนขอต่ออะไรก็ตามแต่ที่จะสามารถทำให้ผมบรรลุความต้องการ แต่สิ่งที่ตอบผมกลับมามีเพียงแค่เสียงตะเบ็งของใครก็ไม่รู้

“กูรักมึงมาก รู้ไหม มึงเป็นเพื่อนที่กูรักที่สุด มึงเป็นคนทำให้กูกลับมามีความสุขอีกครั้ง มึงจำได้หรือเปล่า ตอนที่แม่กูตาย มึงอยู่กับกูตลอด มึงทำให้กูเลิกเศร้า ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ง่ายๆ”

เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นซ้ำๆ จากที่เคยโหมแรงเข้าใส่ผม ราวกับจะให้มันทะลุทะลวงร่างของผมออกไปกลับกลายเป็นสั่นเครือ

“มึงจำสัญญาของเราได้ไหม มึงจะอยู่กับกู จะดูแลกูไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มึงจะทำเหี้ยอะไร”

น้ำอะไรสักอย่างตกลงบนใบหน้าของผม

มันหนัก... หนักมาก

ผิดกับน้ำเสียงที่เรียกชื่อของผมในตอนสุดท้าย

“กราฟ”

น้ำหนักของร่างรางเลือนตรงหน้าทิ้งลงมาบนบ่าพร้อมกับความชื้นแฉะที่ค่อยๆ เปียกเสื้อของผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าจุดนั้นมันเย็นจนเป็นวงกว้าง เสียงอื่นที่ฟังดูคุ้นหูแต่ก็ไม่คุ้นหูเพราะว่ามันสั่นดังสลับกันไปมา

“กราฟ พวกกูก็ขอนะ มึงอย่าทำอะไรแบบนี้อีกเลย ถึงกูจะไม่ใช่เพื่อนรักที่สุดของมึงเหมือนยีน แต่กูก็ไม่อยากให้มึงทำอะไรบ้าๆ แบบนี้ เรื่องนั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว ไม่ใช่ความผิดของมึง ไม่ใช่เลย”

“ถึงมึงทำแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก นี่มันคือชีวิตของมึง ไม่ใช่ของใคร มันแทนกันไม่ได้ ถ้ามึงเป็นอะไรขึ้นมา แล้วพวกกูล่ะ พ่อแม่มึงล่ะ พวกกูรักมึงกันหมด แล้วมึงจะไม่รักตัวเองหรือไง”

“มึงได้ยินไหมกราฟ ไม่ใช่แค่กูคนเดียวที่รักมึง ห่วงมึง ไอ้ที่เหลือก็รู้สึก”

ก่อนเสียงที่คุ้นที่สุดจะดังขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ทับอยู่บนบ่าของผมก็ผละออกไป ทั้งที่ผมควรจะรู้สึกตัวเบาลง แต่ไม่เลยมันยังคงหนักอยู่เหมือนเดิม ภาพใบหน้าของคนที่อยู่ต่อหน้าซึ่งเคยพร่าเบลอชัดเจนขึ้น ผมเห็นดวงตาทั้งสองข้างที่รื้นคลอด้วยน้ำใสๆ จนแดงก่ำ จับจ้องมาที่ผมด้วยความเศร้าและห่วงหาอาทร

“อยู่กับกูตลอดไปนะ”

กรอบหน้านั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนผมมองออกว่าเจ้าของน้ำตาบนบ่าของผมเป็นใคร และมันก็เหมือนจะช่วยดึงสติของผมกลับมา

เพื่อนสนิทที่ผมรักที่สุด

คนที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ผมมีชีวิตอยู่อย่างสุขสงบ ไม่ละทิ้งชีวิตมาตลอดสามปี...

ผมมองมันอย่างลังเล สองจิตสองใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ใจหนึ่งไม่อยากให้มันต้องปวดร้าวเพราะอาการบ้าๆ ของผมที่จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ไม่รู้ และอีกใจก็ไม่อยากให้มันต้องเสียใจเพราะการจากไปของผม ผมรู้ว่ามันจะเสียใจมากแค่ไหน ไม่อย่างนั้นมันคงไม่เหนี่ยวรั้งผมเอาไว้ด้วยคำสัญญามาโดยตลอด

มันยื่นนิ้วก้อยออกมาราวกับจะทวงหาสิ่งที่ผมเคยรับปาก ผมมองมันอยู่นานมาก ก่อนย้ายสายตาไปหาสองคนที่เหลือซึ่งจับแขนผมเอาไว้ มันถึงได้ปล่อยแขนผมออกเพราะเดาได้ว่าผมคงได้สติแล้ว สีหน้าของพวกมันค่อนข้างแย่ ปกติพวกมันไม่ค่อยมีสีหน้าแบบนี้กันหรอก แต่ตอนนี้ตาของไอ้กัสแดงก่ำ แม้ว่าจะไม่มีน้ำตาหยดออกมาแต่ผมก็รู้ว่ามันกำลังอดทนหักห้ามสิ่งนั้นเอาไว้ไม่ให้ไหล ขณะที่ไอ้เคลมเม้มปากเข้าหากันแน่น มีน้ำใสๆ เกาะอยู่ตรงขอบตาของมัน

เห็นเพื่อนๆ ที่ห่วงใยผมมากขนาดนี้แล้วก็ทำให้ผมสำนึกตัวได้

ผมกำลังทำผิดกับพวกมัน...

กูขอโทษ

สุดท้ายผมก็ยกนิ้วออกมาเกี่ยวกับนิ้วของไฮยีนที่รออยู่ ซึ่งก็ทำให้มันยิ้มทั้งน้ำตา เอ่ยประโยคที่มันไม่สมควรจะพูดกับผมเลยด้วยซ้ำ เป็นผมต่างหากที่ควรจะพูดคำนี้กับมัน

“ขอบคุณนะ ขอบคุณที่มึงเชื่อกู”

“กูต้อง...ขอบคุณมึง....ต่างหาก มึงช่วยกูอีกครั้งแล้ว”

เสียงของผมแหบแห้ง รู้สึกแสบร้อนคอไปหมด ถึงกระนั้นผมก็อยากจะบอกกับมัน อยากให้มันรับรู้ว่าผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะพูดอีกกี่พันกี่หมื่นครั้งก็ยังไม่เพียงพอกับสิ่งที่มันทำเพื่อผม

“เพราะงั้น... ชีวิตนี้ของมึงเป็นของกู ถ้ากูไม่อนุญาต มึงห้ามทำอะไรบ้าๆ แบบนี้อีกนะเว้ย”

“อืม กูยกให้มึงทั้งชีวิตเลย”

“แล้วอย่าผิดสัญญาล่ะ”

มันย้ำอีกครั้งราวกับจะเตือนสติผมให้จารึกเหตุการณ์นี้ให้แจ่มชัดในใจและไม่หลงทางอีก แม้ว่าผมจะรับปากมันไม่ได้ แต่ผมจะพยายาม ผมไม่อยากรู้สึกผิดกับมันหรือไอ้กัสไอ้เคลมอีก

ไฮยีนดึงผมให้ลุกขึ้นมาจากพื้นทราย ก่อนจะออกปากชวนกลับไปที่ห้อง เพราะตอนนี้ตัวเหนียวเหนอะกันไปหมด แต่มันก็ถูกพี่ภูดึงแขนข้างหนึ่งเอาไว้เพราะก่อนหน้านี้เขาอดทนมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเงียบมาโดยตลอด และแน่นอนว่าเมื่อมันจบแล้วเขาย่อมอยากรู้ ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นของพี่ภูดี แต่ว่ามันก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ผมไปส่งกราฟก่อนแล้วค่อยคุย”

“งั้นกูไปด้วย”

“ตามใจ”

หลังจากมันเอ่ยอนุญาต พวกเราก็เดินกลับไปที่บ้านพัก ยีนจับมือผมเอาไว้ไม่ปล่อยโดยมีเพื่อนอีกสองคนเดินตามอยู่ด้านหลัง เมื่อส่งผมถึงห้องและให้ผมเข้าไปอาบน้ำเป็นคนแรกแล้ว ก็ถึงเวลาที่มันต้องไปเคลียร์กับพี่ภู แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่วายย้ำกัสกับเคลมว่าให้ดูแลผมให้ดี ผมจึงได้แต่ยิ้มส่งมันและอวยพรให้มันคุยกับพี่ภูรู้เรื่องและจบลงด้วยดี

ผมคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยให้พี่ภูรู้









คืนนั้นแม้ว่าจะมีการเตรียมการฉลองกัน แต่ว่าผมก็ถูกสั่งห้ามจากเพื่อนทั้งสามคนว่าให้พักผ่อนอยู่ในห้องโดยพวกมันจะเอาอาหารมาให้ผมกินข้างใน ซึ่งพวกมันก็ทำให้ผมซึ้งใจอีกครั้ง ยอมเสียสละเวลาแสนสนุกของตัวเองมาอยู่กับผม พร้อมทั้งยังมานอนเบียดบนเตียงเดียวกันด้วย

ผมโดนไฮยีนถามเรื่องไนล์นิดหน่อย ว่าความสัมพันธ์ของผมกับไนล์เป็นอย่างไรกันแน่ แต่ผมก็หลบเลี่ยงและปฏิเสธไป เนื่องจากไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆ มันมาถามเรื่องไนล์ทำไม ไม่ใช่ว่าอยากปิดบัง เพราะดูจากอาการตอนมันถามแล้ว ก็รู้เลยว่ามันค่อนข้างไม่พอใจมาก มันคงยากที่ผมจะพูดออกไปในตอนนี้ว่า...ผมหวั่นไหวและกำลังชอบเขา ผมจึงได้แต่บอกว่าผมกับเขาเดิมพันกัน ซึ่งมันก็เป็นข้อตกลงเริ่มแรกที่ทำให้ผมกับเขาเข้ามาอยู่ในวงโคจรเดียวกันจนถึงทุกวันนี้

กระทั่งตอนเช้า ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับ เรากินอาหารเช้าด้วยกันเสร็จก็ขึ้นรถเพื่อออกเดินทางเลย เพราะไม่อยากกลับเย็นมากนัก ในตอนนั้นผมถึงเพิ่งนึกเรื่องสำคัญที่ผมลืมไปเสียสนิทได้

ไนล์มาหาผมที่นี่

อาจเพราะในช่วงเวลานั้นสติของผมพร่าเลือนและความทรงจำของผมก็ตีกันวุ่นวาย สิ่งที่ผมคิดได้จึงมีเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและความรู้สึกผิดต่อเพื่อนๆ เท่านั้น

ดังนั้นเมื่อเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงบ่ายแก่ๆ แล้วผมจึงตรงกลับไปที่คอนโดฯ ของตัวเองอย่างรวดเร็ว หวังเอาไว้ในใจว่าจะเจอคนที่ผมเคยขอร้องเอาไว้ว่าให้อยู่ที่นั่น แต่เมื่อไปถึงมันกลับไม่เป็นอย่างที่ผมหวัง เป้าหมายของผมจึงเปลี่ยนไป

ผมไปที่แมนชั่นของไนล์ด้วยความรู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกเต้นระรัว เท้าเหยียบคันเร่งขณะมือกำพวงมาลัยไว้แน่น เพราะภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผมตั้งสติและย้อนนึกถึง สิ่งที่รางเลือนอยู่ในความทรงจำ ณ เวลานั้นปรากฏภาพมากขึ้นจนผมแน่ใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมเมื่อคืนไฮยีนถึงได้ถามถึงไนล์ด้วยความโมโห

ไนล์ถูกไฮยีนต่อย...

เสียตวาดโต้เถียงกันดังก้องในหัวของผม และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงคนที่ถูกต่อว่าอย่างรุนแรง ผมรู้ว่าไฮยีนเป็นคนอย่างไร แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นไนล์ตอบโต้คนอื่นอย่างดุเดือด ผิดจากไนล์ที่ผมเคยเห็นโดยสิ้นเชิง

ผมอยากขอโทษเขา แม้ไม่รู้ว่าไนล์ทำแบบนั้นเพื่ออะไรก็ตาม แต่เรื่องที่ไนล์ถูกเพื่อนของผมทำร้ายก็เป็นเรื่องจริง และผมเองก็รู้ดีว่าหมัดของไฮยีนไม่ใช่ว่าเบาเลย

เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง ผมก็ทะยานร่างวิ่งขึ้นไปชั้นสามอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังห้องสุดท้ายของทางเดินก่อนจะไขกุญแจออกโดยไม่ส่งสัญญาณใดๆ ให้คนในห้องรู้ตัวเพราะใจร้อนเกินกว่าจะทำแบบนั้น และเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป สิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้ผมรู้สึกว่าความหนักอึ้งและจังหวะหัวใจผ่อนคลายลง

ไนล์นั่งอยู่ที่ระเบียงแคบๆ นั่น สูบบุหรี่และทอดสายตาออกไปภายนอกเหมือนอย่างเคย

ผมเดินเข้าไปใกล้ หยุดยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา แต่เจ้าของร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ได้หันกลับมาหาผม เสมือนเขาไม่รู้ว่าผมมายืนอยู่ด้านหลังแล้ว เป็นผมเสียเองที่ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด จนยืนอยู่เคียงข้างร่างนั้น ผมชะโงกไปมองใบหน้าของคนข้างๆ เห็นรอยช้ำสีแดงอมม่วงแล้วก็รู้สึกเสียดในใจ

น้ำหนักมือของไฮยีนไม่น้อยเลยทีเดียว

มือของผมยื่นออกไปดึงก้านสีขาวที่ค้างอยู่ระหว่างริมฝีปากสีพีชคู่นั้น ทำให้เจ้าตัวหันมามองหน้าผมนิดหน่อยเพราะถูกขัดจังหวะ ผมขยี้ปลายบุหรี่ที่ติดอยู่ให้ไฟดับลงกับกระป๋องใบเล็กที่ไนล์วางเอาไว้เป็นตัวแทนที่เขี่ยบุหรี่ แล้วเลื่อนมือไปแตะบนรอยแผลของเขาอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บ

“เจ็บไหม”

“ไม่”

เขาตอบแค่สั้นๆ มองหน้าของผมกลับมา สายตาของไนล์ยังคงเดิม เขายังมองผมด้วยแววตาที่ไม่มีอะไรแฝงอยู่ในนั้น

“ขอโทษแทนเพื่อนฉันด้วย”

“ไม่เป็นไร”

ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราต่อจากนั้น ทว่าดวงตาของเราทั้งคู่ยังคงทอดมองกันไม่ละ ไม่เลื่อนหลบหนี ก่อนจะเป็นผมเองที่เอื้อนเสียงออกมาเป็นคำถาม สิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งจะสงสัยขึ้นมา เพราะเรื่องราวเริ่มปะติดปะต่อจนเกิดภาพ

“ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะ”

“...”

สิ่งที่ตอบผมกลับมาคือความเงียบโดยที่ไนล์ไม่คิดจะหลบสายตา ซึ่งแตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะตามธรรมชาติของมนุษย์ หากคิดจะปิดบังหรือซ่อนเร้นความจริงบางอย่างก็มักจะหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาซึ่งเป็นจุดที่แอบซ่อนความรู้สึกนึกคิดได้น้อยที่สุด ทว่าไนล์ไม่ใช่แบบนั้น

เขาเก็บงำมันอย่างไม่เกรงกลัว

เห็นดังนั้นผมก็รู้ว่าไนล์คงไม่คิดที่จะบอกกันจริงๆ เพราะนับครั้งได้ที่ผมสามารถง้างปากของเขาให้ตอบคำถามของผมทั้งที่เขาไม่อยากบอก และในขณะเดียวกันการกระทำนั้นของเขาก็เหนี่ยวนำให้ผมอยากจะเป็นฝ่ายเปิดใจเสียเอง เผื่อว่าเขาจะยอมเปิดเผยเรื่องของตัวเองออกมาบ้าง

สายตาของผมเลื่อนไปยังรอยแผลตรงมุมปากของเขาอีกครั้ง ลูบมันเบาๆ ก่อนจะเกลี่ยแก้มที่เกือบจะซูบตอบ รู้สึกสะท้อนใจและปวดใจอยู่ลึกๆ ที่เห็นคนตรงหน้าต้องมาบาดเจ็บเพราะผมแบบนี้ ผมไม่อยากให้ทั้งสองคนต้องมาผิดใจกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม

ผมอยากจะบอกกับไนล์

อยากให้เขาเข้าใจความเจ็บปวดของผม

อยากให้เขารู้ถึงความจำเป็นของยีนที่ต้องทำร้ายเขา

และผมอยากให้เขายอมรับตัวตนจริงๆ ของผม

บอกให้เขารู้ว่าใจของผมอ่อนลงให้เขามากเท่าไร

ผมละมือจากใบหน้าของที่มีรอยตำหนิจากเหตุการณ์เมื่อวาน และย้ายไปจับมือของเขาแทน ออกแรงดึงเบาๆ ให้เจ้าของร่างลุกขึ้นมาจากตำแหน่งที่นั่งอยู่

“ฉันมีอะไรจะเล่าให้ฟัง”





อ่านต่อข้างล่าง
v


v


ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥







ต่อจากข้างบน


v


v




เสียงของผมแผ่วเบาแต่ผมก็มั่นใจว่าเขาได้ยิน ไนล์ไม่อิดออดที่จะเดินตามผมมานั่งลงบนเตียง ผมจับมือของเขาเอาไว้ กุมอยู่อย่างนั้นก่อนจะเรียบเรียงเสียงของตัวเองและเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น

“ฉันไม่รู้ว่าถ้าฉันเล่าไปแล้วนายจะเกลียดฉันหรือเปล่า”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูแปร่งไปกว่าปกติ เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างกีดขวางอยู่ในลำคอของผม ดั่งสกัดกั้นเอาไว้ไม่ให้ผมได้พูด ถึงกระนั้นผมก็ยังฝืนเค้นเสียงออกมา

“ไม่ว่าฟังแล้วนายจะคิดหรือรู้สึกยังไงก็ตาม แต่นายช่วยบอกกับฉันตรงๆ ได้ไหม ฉันจะได้รู้ว่าต่อไปฉันควรจะยังไง”

สิ้นคำพูดนี้ผมรู้สึกราวกับความอ้างว้างถาโถมเข้ามาในอก มันซัดกระแทกอย่างรุนแรงจนผมหวาดกลัว ถึงจะตัดสินใจแล้วว่าจะพูดออกไป เพื่อปกป้องและป้องกันเขาจากความเข้าใจผิดกับไฮยีนหากทั้งสองได้เจอหน้ากัน ทว่าผมก็ยังหวั่นใจว่าถ้าหากไนล์ไม่สามารถยอมรับผมได้ ผมจะเป็นอย่างไร

ผมเปิดใจให้เขาแล้ว

หัวใจที่เคยมีบาดแผลบอบช้ำถูกเยียวยาเพราะเขาทีละนิด

มันกลับมาสั่นไหว ร้อนรน กระวนกระวายอีกครั้ง

ผมได้สัมผัสความรู้สึกที่เหือดหายไปจากใจ ก็เพราะไนล์

นัยน์ตาของผมจับจ้องแต่ดวงตาของอีกฝ่าย มองมันเพื่อรอคอยคำตอบด้วยใจที่เต้นระรัวระคนบีบคั้น รู้สึกหายใจได้ยากเย็นกว่าปกติหลายเท่าตัว ก่อนความหวาดกลัวเหล่านั้นจะทุเลาลงจนหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเขาพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับเสียงสั้นๆ

“อืม”

“ขอบคุณ”

เพียงคำเดียวที่ผมบอกเขาได้ อย่างน้อยเขาก็สัญญาว่าจะตอบผมอย่างตรงไปตรงมา ถึงผมไม่รู้ว่าเขาจะตอบกลับมาอย่างไรก็ตาม แต่ผมก็คาดหวังเอาไว้ ภาวนาอยู่ในใจว่ามันจะไม่เป็นคำว่าเกลียดชัง และผลักไสผมออกไปจากชีวิตของเขา

ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะหายใจต่อไปอย่างไร...

ผมคิดไม่ออก

“ฉัน...”

เสียงของผมแหบแห้งลงอีกครา ผมต้องกลืนน้ำลายลงคอเพื่อหล่อลื่นลำคอที่แห้งผากให้ชุ่มชื้นมากที่สุด ก่อนจะเค้นเสียงออกมาอีกรอบ เรื่องราวครั้งเก่าที่เคยสร้างความทรมานและรู้สึกผิดให้กับผมค่อยๆ เวียนกลับมาในหัว ภาพนั้นยังคงชัดเจนแม้ว่าจะผ่านกาลเวลามาสามปี

“........ฉันฆ่าแฟนของตัวเอง”

“...”

ไนล์นิ่งเงียบกว่าที่คิด เขาไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อยตอนที่ผมพูดประโยคนั้นด้วยเสียงที่บีบบี้เหมือนคนหายใจไม่ออก

“วันนั้นฉันไปเที่ยวทะเลกับแฟน...” ลมหายใจของผมติดขัด ต้องพยายามบังคับเสียงให้หลุดลอดออกมาจากลำคอ “แต่แฟนของฉันกลับต้องจมน้ำไปต่อหน้าต่อตา ฉันช่วยอะไร...ไม่ได้เลย”

จังหวะหายใจของผมเริ่มขาดห้วง เหมือนคนจมอยู่ใต้น้ำ ลำบากเหลือเกินที่จะกระเสือกกระสนขึ้นมาเพื่อให้พ้นจากมวลน้ำที่เรียกว่าความรู้สึกผิด ซึ่งพยายามกระชากร่างและดูดกลืนผมให้จมหายไปยังก้นทะเลไร้จุดสิ้นสุด ผมถีบตัวขึ้นมาด้วยแรงที่มีอยู่ แต่ก็ไม่หลุดพ้นจากพันธนาการที่หนาแน่นนั้น

“สุดท้าย...ฉันก็ต้องเห็นเขาจากไป...และไม่กลับมาอีก”

“...”

“ถ้าฉันไม่ชวนเขาไปที่นั่น... ถ้าฉันไม่ชวนเขาลงทะเล... ถ้าฉันจับมือเขาเอาไว้ให้แน่น... ถ้าฉัน...”

เสียงของผมสั่นเครือเกินกว่าจะพูดต่อไปได้ ก้อนเหนียวๆ ขวางกั้นลำคอของผมเอาไว้อย่างแน่นหนาจนไม่สามารถเปล่งเสียงให้ทะลุผ่านออกมา นัยน์ตาพร่ามัวเกินกว่าจะมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าได้ชัดเจน ร่างของผมสั่น มือของผมกำแน่น

การสูญเสียมิ้นไปยังเป็นเรื่องยากต่อการยอมรับของผม

ผมรู้ว่าเธอไม่อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามสิ่งที่เรียกว่าความตายของมิ้นไปได้

ทุกครั้งที่นึกถึง ทุกคราวที่ครบรอบการจากไป ผมยังคงกลับไปสู่วันนั้นเสมอ...

ผมบีบมือที่กำอยู่ให้กระชับแน่นมากขึ้นอีก ปลายเล็บจิกลงบนฝ่ามือจนอาจเป็นรอยลึก ถึงกระนั้นก็ยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดที่ผมต้องเผชิญ ทว่า...

มือของผมถูกคลายออกอย่างอ่อนละมุน ด้วยมือของคนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

ไนล์มองหน้าผมโดยไม่ละสายตา เขาค่อยๆ แกะนิ้วของผมที่งอหงิกจนเหมือนจะงัดไม่ออกให้แผ่ออกมา และสวมมือของตัวเองลงมาทับไว้ กอบกุมมันแผ่วเบา

ใจผมสั่นสะท้าน...

ความอบอุ่นที่ไม่มีที่มาที่ไปแผ่ซ่านห่อคลุมร่างของผมเอาไว้ ความหนาวที่เย็นเฉียบบาดหัวใจมลายหายราวกับไม่เคยมี ผมมองใบหน้าของไนล์ที่ยังคงมองสบกับผมอยู่ เขาไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า แต่เท่านี้ก็มากเพียงพอจะทำให้ผมกลับมาหายใจได้คล่องขึ้นอีกครั้ง

ริมฝีปากของเขาค่อยๆ ขยับอย่างเชื่องช้า เสมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเคลื่อนตัวด้วยจังหวะที่ช้ากว่าปกติ เสียงราบเรียบของเขาสะท้อนก้อง ดังอยู่ในหัวของผมซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่ดวงตาของผมเบิกโพลง

“ฉันรู้อยู่แล้ว”






-----------------
ตอนหน้าจะเฉลยหลายๆ อย่าง (?) แล้วค่ะ
กราฟเป็นชายผู้อ่อนไหวเนอะ ถ้าไม่มีเรื่องมิ้น อาจจะไม่เป็นแบบนี้

คู่นี้มีจุดที่เปราะบางต่างกัน

Undel2Sky

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2015 22:49:05 โดย undersky »

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
มาต่อด่วนๆเลยครับ จะคลั่งตายแล้ว  :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ chancha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
รอตอนหน้า รีบมาเฉลยนะคะ

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
รีบมาเฉลยนะ รอคำตอบอยู่



ไนล์เข้มแข็งกว่ากราฟนะ ป้าว่า



กราฟดู ช่างคิด ช่างมโนไปพอสมควร



อยากรู้ความคิดของไนล์ ว่าคนที่เงียบและโดดเดี่ยวแบบนี้คิดอะไรอยู่

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รู้ได้ไงอ่ะ ไนล์ทำตัวลึกลับจัง

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
เมื่อไหร่จะมาต่ออ่ะคร้าบบบบบบ  :serius2: :ling1: :serius2: :ling1: :serius2: :ling1: :serius2: :ling1: :serius2: :ling1:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 19 : ก้นบึ้งของการกระทำ










ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ราวกับผมร่วงหล่นลงสู่ความเงียบเมื่อได้ยินเขาพูดประโยคเมื่อครู่ หัวใจที่สะท้านไหวของผมหยุดไปชั่วขณะ ก่อนจะกระชากจังหวะอย่างรุนแรงเหมือนจะทะลุออกมาจากอกด้วยแรงเหวี่ยงของความประหลาดใจ

ดวงตาที่เคลือบไปด้วยความสงสัยของผมจับจ้องดวงตาของไนล์ที่ไม่แอบแฝงความหมายใดๆ นอกจากความนิ่งเฉย ดังจะถามย้ำว่าเมื่อครู่นี้เขาพูดอะไรออกมา ผมไม่เข้าใจ

ฉันรู้อยู่แล้ว คืออะไร?

ไนล์รู้อะไร

เหมือนว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังครุ่นคิด หรือไม่ก็เพราะว่าสีหน้าของผมฟ้องชัดมากเกินไปว่ารู้สึกอย่างไรอยู่ เขาจึงปลดมือออกจากมือของผมและเดินไปยังโต๊ะเล็กๆ ที่เขาเอาไว้เขียนหนังสือ หยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาและหยิบอะไรบางอย่างในนั้นยื่นให้ผม ในขณะที่ผมได้แต่มองตามโดยไม่สามารถละสายตาจากการเคลื่อนไหวของเขาได้ ราวกับว่าหากผมละสายตาจากเขาไป ผมจะไม่ได้คำตอบอีกเลย

มือของผมสั่นเทาอีกครั้ง ยื่นออกไปรับสิ่งที่ถูกส่งมาให้ มันเป็นกระดาษเคลือบเงาเสมือนรูปถ่าย ไม่รู้ทำไมตอนที่แตะสิ่งนั้นแล้วลมหายใจของผมถึงได้หยุดลงชั่วคราว ผมต้องตั้งสติอีกครั้งและค่อยๆ ย่นระยะห่างของมือกับตัวเข้ามา

ภาพที่ประจักษ์อยู่ในสายตาทำให้ผมนิ่งค้าง

ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง

ไม่ว่ากาลเวลาหรือร่างกายของผม

คอของผมไม่ต่างจากเหล็กสนิมเขรอะ เมื่อหันมันเพื่อเบนหน้าไปยังคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันถึงได้ฝืดจนคล้ายเศษเหล็กผุพังจะหลุดลงมา

ทำไม...

ทำไม...

ผมถามตัวเองด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่อยู่ในมือ

“ทำไม...ในรูปนี้นายถึง.........อยู่กับมิ้น”

รสชาติในลำคอขมปร่าไม่ต่างจากอมบอระเพ็ดเข้าไปทั้งอัน จนแม้แต่การกลืนน้ำลายก็ยังทำได้ยากเข็ญ ทว่าไนล์ผิดกับผม เขามีท่าทีที่ดูไม่ทุกข์ร้อนใดๆ เลยกับคำถามนี้ ราวกับเตรียมพร้อมการตอบคำถามมาอย่างดี ทั้งที่ผมมีแต่ความสับสน

มือที่จับรูปขนาดเล็กพอจะพกในกระเป๋าเงินได้เย็นเฉียบเหมือนกำลังจับน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น และมันก็เย็นลงอีกเมื่อเขาตอบคำถาม

“ฉันเป็นญาติกับมิ้น”

ราวกับได้ยินเสียงพังทลายของอะไรบางอย่าง และนั่นอาจจะเป็นหัวใจของผมเอง ภาพระหว่างผมกับไนล์ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาแล่นวนเข้ามาในหัวของผมเหมือนพายุลูกใหญ่ มันโหมซัดเข้ามาจนผมแทบไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านและล้มพับลงไปอย่างคนสิ้นท่า

หรือเขา... ต้องการแก้แค้นอย่างนั้นเหรอ?

ที่เข้ามาในชีวิตของผม ก็เพื่อทำให้ผมไม่ได้พบกับความสุขใช่ไหม

เพราะผม...ทำลายชีวิตของมิ้น

อ่อนแรงที่จะจับกระดาษเพียงแผ่นเดียวเอาไว้ รูปถ่ายใบนั้นที่แทบไม่มีน้ำหนักใดๆ ถึงหนักอึ้งจนผมถือมันต่อไปไม่ได้และร่วงหล่นลงบนพื้นกระเบื้องที่มีคราบราสีครึ้มเขียวตามยาแนว

ผมได้พบพี่ดาหลา และเขาก็เข้ามาแทรก เพราะไม่ต้องการให้ผมมีความสุข

และขณะที่ผมกำลังจะรักเขา... เขาก็บอกความจริงกับผม

ทำลายความฝันที่ว่าผมจะก้าวไปข้างหน้ากับเขาจนไม่มีเหลือ

มันคือแผนการที่เขาวางเอาไว้แต่แรก

ขอบตาของผมร้อนผ่าวอย่างไม่อาจห้าม ผมคิดว่าผมคงไม่อาจสัมผัสความรู้สึกแบบนี้ได้อีกแล้ว แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น

ความรู้สึกของการสูญเสียหัวใจของตัวเอง...

มันอาจจะช้าไป

ช้าไปที่ได้รู้ความจริง

ช้าไปที่ได้รู้ว่าเบื้องหลังมันร้ายกาจแบบนี้

หรือช้าไปที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่า

.

.

.

.

ผม...รักเขาไปแล้ว

ไม่สามารถหยุดความรู้สึกที่กำลังเอ่อท้นขึ้นมาในใจของผมได้ ราวกับกับน้ำทะลักออกจากเขื่อนที่มีรูโบ๋เพราะถูกทำลายจนปริแยก ผมเม้มปากแน่นเพื่อสกัดกั้นความรู้สึกต่างๆ ที่โถมทับประเดประดังเข้ามา กาลเวลาหยุดหมุนลงอีกครั้ง ผมรับรู้ได้อย่างนั้น

จากนี้ผมอาจจะต้องจมอยู่กับช่วงเวลาที่เป็นนิรันดร์...ที่มีเพียงแค่ตัวเอง

ภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าคืออะไร ผมไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว ไม่มีสิ่งที่ใดที่ตกอยู่ในขอบเขตการมองเห็นของผมอีกต่อไป ดั่งความมืดกล้ำกรายเข้ามา กัดกลืนสีสันที่ผมเคยเห็นทีละนิดๆ จนกลายเป็นสีเทา

แรงยวบจากตำแหน่งข้างๆ เหมือนจะทำให้ผมรู้สึกตัว แต่มันก็ด้านชาจนเหมือนไม่รู้สึก ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองยังหายใจอยู่หรือเปล่าด้วยซ้ำ ผมได้แต่ก้มหน้าลงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะรู้สึกเหมือนหัวหนักเกินกว่าจะประคองเอาไว้ต่อไปได้

สาสมแล้วสินะกับสิ่งที่ผมเคยทำเอาไว้

แค่นี้อาจจะไม่เพียงพอต่อการชดใช้ด้วยซ้ำ

กับสิ่งที่เรียกว่า ชีวิตคน

“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันเข้ามาขัดขวางนายกับผู้หญิงคนนั้น”

ดั่งจะทำให้สิ่งที่ผมประมวลผลได้เองแจ่มแจ้งชัดเจนขึ้น ว่ามันถูกต้องไม่บิดพลิ้วแต่อย่างใด ทว่ามันก็เหมือนถ้อยคำกรีดแทงหัวใจของผมให้ยิ่งร้าวระทม รอยแผลจากปลายมีดเล็กๆ กำลังระอุขึ้นทีละน้อยเมื่อถูกย้ำน้ำหนักลงมาด้วยเสียงของไนล์

“เพราะฉันไม่ต้องการให้นายใกล้ชิดเขา ไม่อยากให้นายได้มีความสุขกับเขา”

ผมหลับตาลง รู้สึกเหมือนยากเหลือเกินที่จะต้องทนรับอะไรไปมากกว่านี้ เหนื่อยเหลือเกิน

พอแล้วได้ไหม...

ผมอ้อนวอนอยู่ในใจ อยากให้อะไรก็ได้ช่วยเห็นใจผมที แต่ว่า...

“เพราะนั่นคือการทำร้ายตัวเอง”

จังหวะหายใจอันแผ่วเบาของผมขาดห้วงไป ดวงตาที่เพิ่งปิดลงไปเมื่อครู่เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สองหูของผมราวกับฝาดไปเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ ผมหันไปมองใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ในมือของไนล์มีรูปถ่ายใบนั้นอยู่ เขา...

ยิ้มให้ผม

ยิ้มบางเบา แต่กลับอ่อนโยนเหลือเกิน

หัวใจที่เต็มไปด้วยบาดแผลของผมรู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างฉับพลันโดยไร้สาเหตุเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น มันแตกต่างจากที่ผมเคยเห็นมาโดยตลอด

“นาย... หมายความว่ายังไง”

เสียงของผมแห้งผากจนเกือบจะไม่สามารถเปล่งออกมาเป็นคำได้ แต่ว่าเขาก็เข้าใจมันได้อย่างชัดเจน ถึงได้ตอบผมกลับมาได้อย่างตรงคำถามเป็นครั้งแรกโดยที่ผมไม่ต้องวอนขอ

“เพราะพี่ดาหลาหน้าเหมือนมิ้น นายถึงได้เข้าหาเขา ถ้านายรักกับเขา นายอาจจะต้องเจ็บปวดเสียใจในภายหลัง และพี่ดาหลาเองก็คงรู้สึกเหมือนกันถ้าได้รู้ว่าเขาเป็นเพียงแค่ตัวแทน”

ผมพูดไม่ออก

ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้น แต่ผมก็ลืมไปหมดสิ้นถึงได้เริ่มต้นความสัมพันธ์นั้นขึ้น ถ้าวันนั้นไม่มีไนล์ ถ้าไนล์ไม่พยายามเข้ามาเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้ ผมอาจจะเดินทางผิด อาจจะทำให้ตัวเองต้องจมอยู่แต่กับอดีตที่ผมเป็นฝ่ายเดินย่ำอยู่ที่เดิม


“ฉัน... ยอมรับได้ถ้าคนคนนั้นเป็นคนอื่น คนที่ไม่ได้หน้าเหมือนกับมิ้น แต่ฉันยอมรับไม่ได้ที่มันเป็นแบบนั้น ฉันถึงได้ผลักไสนายออกมาจากเขา แม้ไม่รู้ว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่า”

มันสำเร็จ นายทำสำเร็จ

เสียงนี้ได้แต่ก้องอยู่ในอกของผม แต่ผมเค้นเสียงไม่ออก ได้แต่มองจ้องดวงตาของเขาที่มีประกายของชีวิตสะท้อนขึ้นมา ไม่เมินเฉยชืดชาเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา

“ขอโทษด้วยที่ปิดบังมาตลอด”

“ทำไม... ทำไมนายถึงมาบอกฉันตอนนี้ล่ะ”

คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของผมเมื่อได้ยินคำขอโทษจากเขา แต่ผมก็หยิบจับได้เพียงทีละคำถาม และคำถามนี้ก็เป็นคำถามแรกที่ผมคว้ามาไว้ได้

“มัน...อาจจะถึงเวลาแล้วมั้ง หรือไม่ก็...” เขาเงียบเสียงไปชั่วครู่ ก้มหน้าลงมองภาพถ่ายในมือ ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาอีกรอบ “เพราะว่านายยอมเปิดเผยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน”

ผมทำถูกแล้วใช่ไหม

ผมตั้งคำถามกับตัวเองทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เพราะผมยอมเปิดเผยตัวตนทั้งหมดของผม อดีตอันเลวร้ายที่คอยทิ่มแทงหัวใจของผมมาตลอด เขาถึงได้ยินยอมที่จะเปิดเผยในสิ่งเดียวกัน

ผมก้าวเข้าใกล้เขาไปอีกก้าวหนึ่งใช่หรือเปล่า


คิดดังนั้นแล้วก็ราวกับแสงแห่งความหวังที่เคยริบหรี่กะพริบวาบและส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง มันเจิดจ้าเสียจนผมไม่สามารถควบคุมปากของตัวเองได้ จึงเอ่ยถามสิ่งที่วนเวียนอยู่ในความคิดอีกอย่างหนึ่งซึ่งฉกฉวยมาไว้ในกำมืออย่างรวดเร็ว ประหนึ่งกลัวว่ามันจะหลุดลอยและถูกลำแสงจ้าจนกลายเป็นสีขาวกลืนหายไป

“แล้วนาย... รู้สึกอะไรกับฉันบ้างหรือเปล่า”

น้ำเสียงของผมแหบลงไปนิดหน่อยหลังจากคำนั้นหลุดออกมาจากปาก ผมอยากกระแอมเพื่อเรียกเสียงของตัวเองกลับมา แต่ก็กลัวว่าถ้อยคำจะหลุดออกไปพร้อมกับการทำแบบนั้นจนไม่สามารถพูดต่อไปได้ จึงฝืนขับเสียงออกมาทั้งอย่างนั้นจนมันแหบแห้งพร่าเลือน

“ทั้งที่ทำเรื่องแบบนั้นกันไป”

“...”

ไนล์นิ่งเงียบ มองใบหน้าของผมโดยไม่ละสายตาออกเหมือนอย่างที่เขาทำอยู่ประจำ มันทำให้ผมยิ่งแน่ใจว่าเขากล้าหาญ ไม่หวาดกลัวหรือกริ่งเกรงสิ่งใดต่างจากผมที่มักห่วงพะวงไปเสียทุกอย่าง เขากล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่งแตกต่างจากผมโดยสิ้นเชิง

“ฉัน...”

มันพ้นออกมาจากริมฝีปากของเขาอย่างหนักแน่นกว่าผมมาก แต่ก็เลือนหายไปเพียงวินาทีเดียว เขาเงียบไปอีกครั้ง มองตาผมราวกับกำลังตรึกตรองอะไรบางอย่าง สายตาของเขากวัดแกว่งไปมาเหมือนกำลังสับสน ผมไม่แน่ใจว่าเขาลังเลว่าควรจะตอบผมอย่างไร หรือว่าควรจะพูดมันออกมาดีหรือเปล่ากันแน่

แม้ว่าจะดูห้าวหาญ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ยังมีความไม่แน่นอน

ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกใจสั่นขึ้นมาเสียเฉยๆ เริ่มหวาดกลัวกับคำตอบที่ก่อนหน้านี้ลืมนึกถึงไปเสียสิ้น ผมถามออกไปอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง มานึกได้ตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะทวงคืนคำพูดของตัวเองเสียแล้ว

หากเขาบอกว่าไม่รู้สึกอะไรล่ะ?

แน่นหน้าอกไปหมดเมื่อเผลอคิดอย่างนั้น เพราะในตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเขา มั่นใจแล้วว่ามันคือคำคำนั้นไม่ผิดแน่ แต่ผมไม่มีความมั่นใจ ไม่มีหลักฐานหรือสมมติฐานใดๆ ที่จะโน้มนำให้ผมคิดว่าเขาก็คิดแบบเดียวกัน

สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงการรอคอยจากริมฝีปากคู่นี้...

ใจสั่นอย่างไม่อาจห้ามได้ ผมพยายามระงับอากัปกิริยาของตัวเองไว้ไม่ให้แสดงออกมาอย่างมากที่สุด กำมือแน่นบนตักไม่ให้ยกขึ้นมาวางบนหน้าอกเพื่อปลอบประโลมหัวใจที่กำลังสั่นรัว เสียงกระหึ่มกึกก้องอยู่ในอกของผมจนหวาดกลัวว่ามันจะดังทะลุออกมา

ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขา ได้แต่ก้มลงเพราะเกรงกลัวในคำตอบ ทั้งที่อีกใจก็ลุ้นระทึกกับคำตอบ และอยากจะมองอย่างขอความเห็นใจ เผื่อว่าเขาจะมีน้ำใจกับผมสักนิด ไม่ตัดรอนผมอย่างไร้เยื่อใย

เวลาเหมือนเดินช้าลงไป หรือไม่ก็หยุดเดินไปแล้วหรืออย่างไรไม่ทราบ เพราะมันยาวนานเหลือเกินกับการรอคอยคำตอบที่ผมคาดหวัง สุดท้ายผมจึงต้องเงยหน้าขึ้นมองไนล์อีกครั้ง เขายังคงมองผมอยู่เหมือนเดิม และเหมือนว่าเขาจะรอคอยเวลานี้

“ฉันเคยคิดว่า... ฉันแค่อยากมองนายอยู่ห่างๆ มองคนที่มิ้นรักจากหัวใจว่าเขากำลังมีชีวิตที่ดี และได้พบกับคนรักที่ดี”

“...”

“ฉันเคยคิดแบบนั้นมาตลอด ถึงไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของนายเลยสักครั้ง”

ระหว่างฟัง ลมหายใจของผมหยุดลงเป็นห้วงๆ ตามจังหวะการพูดของเขา พยายามคิดตามทุกถ้อยคำที่ผุดออกมาจากริมฝีปากเบื้องหน้า สบตากับเขาอย่างไม่ลดละอย่างตั้งใจ ราวกับกลัวว่าถ้าคราวนี้ละสายตาไป ผมอาจจะไม่ได้ฟังมันจนจบ

“แต่ทุกอย่างก็เริ่มรวนเพราะการตัดสินใจเข้าใกล้นาย”

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นอีก แต่ด้วยจังหวะที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ความหม่นหมองที่ห่อคลุ้มร่างผมไว้เมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความสว่างอีกครั้งทีละนิด

ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองใช่ไหม ไม่ได้คิดไปเองใช่หรือเปล่า

ว่ามันกำลังเอนเอียงมาในทิศทางที่ดี

“การเข้าใกล้นายหนึ่งครั้ง ทำให้ฉันต้องเข้าใกล้นายต่อไป และยิ่งนานวัน ฉันก็ยิ่งถอยห่างจากนายไม่ได้”

ตึกตัก ตึกตัก

เสียงนั้นมันชัดเจนจากอกจนก้องกังวานในหู

“ฉันรู้ว่านายเป็นคนช่างเอาใจใส่ เป็นคนที่คอยห่วงใยความรู้สึกของคนอื่น ทั้งที่รู้เรื่องนั้นดี...มานานแล้ว แต่ทุกครั้งที่นายแสดงออกถึงสิ่งเหล่านั้น มันก็ทำให้ฉันที่คิดอยากวิ่งหนีต้องสะดุดหกล้มอยู่ตรงนั้น ทำได้แค่ลุกขึ้นยืนอยู่ที่เดิม ประคองร่างตัวเองไว้แบบนั้น ถึงใจจะอยากก้าวขาออกไปให้ห่างไกลจากนายมากที่สุด แต่ก็เจ็บเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้อยู่ดี”

นับว่าเป็นคำพูดที่ยาวมากที่สุดก็ว่าได้ที่กลั่นกรองออกมาจากปากของผู้ชายตรงหน้า ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาจะพูดยาวถึงขนาดนี้ แต่ผมก็ซึมซับทุกพยางค์ ถูกคำที่ถูกถ่ายทอดออกมาให้ผมรับรู้

ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะจมน้ำ แต่แตกต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง มันไม่ใช่ความทรมาน แต่มันเป็นความอิ่มเอมที่เอ่อล้นจนไม่รู้จะทะลักออกมาอย่างไร ความสุขมันปริ่มล้นในใจผมจนพูดอะไรไม่ออก

“ฉัน...หนีไปจากนายไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรรู้สึกแบบนี้...”

สิ้นเสียงของเขา ผมก็ไม่สามารถรีรอประโยคต่อไปให้หลุดออกมาได้อีก ผมโถมตัวเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว ระงับการกระทำของตัวเองไม่ได้ ริมฝีปากถึงบดจูบลงบนปากของเขาอย่างรุนแรง ดูดขบกลีบเนื้อนั้นราวกับหิวโหยมาช้านาน ซึ่งไนล์ก็ไม่ได้ปล่อยให้ผมคลุ้มคลั่งไปคนเดียว เขาตอบสนองริมฝีปากของผมกลับมาเช่นกัน

ก้อนเนื้อสองคู่บดเบียดซึ่งกันและกัน ดูดดึงกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ปลายลิ้นของผมสอดส่ายเข้าไปสนุกสนานอยู่ภายใน เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขาไว้ พันเกี่ยวกันราวกับไม่สามารถแยกจากกันได้ เสียงเฉอะแฉะดังสะท้อนในหูจนกลายเป็นความรื่นรมย์ที่แสนน่าฟัง ดังซ้ำหลายครั้งจนรู้สึกว่าการหายใจทางจมูกไม่เพียงพอ ทั้งผมและเขาจึงต่างผละห่างออกมา

เรามองหน้ากัน ความปั่นป่วนที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่ภายในสะท้อนออกมาทางแววตา เราต่างโหยหา ปรารถนาในกันและกัน จะแจ้งชัดเจนจนเกิดแรงดึงดูดเข้าหากันอีกครั้ง ผมแนบกลีบปากลงบนต้นคอของเขา ขบเม้มรุนแรงโดยไม่ห่วงว่ามันจะเกิดร่องรอยใดๆ บนเรือนร่างขาวซีดนั้นหรือไม่ ขณะที่ไนล์เองก็เอียงหน้าหลบไปอีกทาง เต็มใจให้ผมได้ทำทุกอย่างตามแต่ใจ

“อื้อ”

เสียงเบาๆ ดังอยู่ข้างหู ออกมาจากตำแหน่งที่ผมไม่ต้องสงสัย ร่างด้านใต้บิดกายนิดหน่อยเมื่อผมเคลื่อนริมฝีปากลงให้ต่ำกว่าเดิม ใช้ลิ้นเกี่ยวพลางขบจุดสูงสุดบนอกที่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อยืดตัวบางจนมันชื้นแฉะ ก่อนสิ่งกั้นขวางนั้นจะถูกถกถอดออกให้พ้นผ่านหัวของเขาไป และเปลี่ยนเป็นการสัมผัสผิวเนื้อด้วยความเปียกชื้นโดยตรง

ผมเล็มเลียสลับเม้มคลึง ขณะที่มืออีกข้างก็นวดเฟ้นส่วนเต่งไตที่ขืนตัวขึ้นตอบสนอง ลมหายใจหอบครางลอดออกมาเป็นจังหวะทุกครั้งที่ริมฝีปากสีพีชเผยออ้าเพราะกักเก็บความวาบหวามต่อไปไม่ได้ มือของไนล์เลื่อนขึ้นมาลูบไล้แผ่นหลังของผม ดึงทึ้งเสื้อให้หลุดออกจากศีรษะเช่นเดียวกัน ร่างของผมเปิดเปลือยต่อหน้าเขา เช่นเดียวกับเขาที่เผยเรือนร่างขาวกระจ่างต่อหน้าผม

จากยอดอกที่หยอกเย้าก็เคลื่อนลงต่ำกว่าเก่าเมื่ออารมณ์ที่โหมอยู่ภายในกระพือ มือทั้งสองละจากสิ่งผูกพันเมื่อครู่มายังขอบกางเกงยางยืดขาสั้น เลื่อนมันลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับปราการชั้นใน จนสิ่งงดงามอร่ามตารออยู่ มันฉ่ำเยิ้มตรงส่วนปลาย สั่นระริกราวกับกำลังตื่นกลัว แต่ผมรู้ดีว่าไม่ใช่

มันกำลังเชื้อเชิญให้ผมได้สัมผัส ครอบครอง...

ไม่รอช้ากับสิ่งที่กำลังร่ำร้องเรียกหา ผมครอบปากลงไปอย่างช้าๆ ตวัดลิ้นเลียโดมสีชมพูเข้มจนสะโพกของไนล์กระตุกขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนจะรูดปากไปตามความยาว ดูดเกลี่ยมันเล่นอย่างหรรษา ซึ่งปฏิกิริยาที่ตอบรับกลับมาก็มีแต่จะกระเด้งเข้าหาผมทุกจังหวะที่ผมอมลึกเข้าไปจนสุด

ผมสีบลอนด์ของผมยุ่งเหยิงไปหมดเพราะมันกลายเป็นส่วนที่ใช้ระบายความหวามหวิวที่แล่นพล่านอยู่ในกายของไนล์ เขาขยุ้มเส้นผมของผมจนยุ่ง ทั้งบีบขยี้และดึงทึ้งตามอารมณ์ที่ถูกชักพาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนสะโพกจะกระตุกรัวเมื่อรู้สึกราวกับร่างถูกเหวี่ยงขึ้นไปถึงชั้นฟ้าแล้วตกลงมาสู่ก้นเหวลึก

กลิ่นคาวคลุ้งเอ่อท้นในปากของผมจนเกือบสะลักของเหลวลื่นรสขื่นออกมา ทว่าผมก็รู้สึกเสียดายเกินกว่าจะบ้วนมันทิ้งจึงเก็บกลืนมันไปจนหมด มิหนำซ้ำไม่วายตวัดลิ้นเลียมุมปากที่อาบชื้นไปด้วยน้ำขุ่นนั้นจนสะอาดเอี่ยม ก่อนจะช้อนหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกคนที่หายใจหอบจนอกกระเพื่อม ตาปรือลงกว่าปกติเล็กน้อย เสียงลมหายใจของเขาขาดห้วงเป็นระยะ ใบหน้าชื้นด้วยเหงื่อและระบายด้วยสีชมพู

ราวกับกำลังยั่วยวนผม

ทั้งที่ร่างที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้านั้นผอมบางเสียจนเห็นซี่โครง แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันกำลังล่อลวงให้ผมยิ่งติดกับดัก ไม่อยากจะแยกจากไปไหน ผมลุกขึ้นไปหยิบตัวช่วยชิ้นเก่าที่ผมเคยใช้มันเมื่อคราวที่แล้ว พลางคิดในใจว่าต้องทำสดอีกแล้วสินะ เพราะถ้าจะให้หยุดตอนนี้ผมก็ห้ามตัวเองไม่ไหว ขณะเดียวกันก็พานคิดไปว่าคงต้องซื้อเจลหล่อลื่นเอาไว้ใช้สำหรับครั้งหน้าพร้อมกับถุงยางซะแล้ว ก่อนจะเดินกลับมาหาร่างที่ยังนอนรอผมอยู่

ดูเหมือนไนล์จะเหนื่อยน้อยลง เพราะเสียงหายใจของเขาเป็นจังหวะมากขึ้น ดวงตาที่เคยเหม่อลอยเหมือนมองไม่เห็นกัน ในเวลานี้ผมรู้สึกว่ามันกำลังสะท้อนภาพผมอย่างชัดเจน มันเลื่อนตามผมทุกย่างก้าว กระทั่งมาหยุดที่เตียง ผมวางขวดของครีมสีขาวลงข้างตัวของเขา ก่อนจะปลดกางเกงของตัวเองออกอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เสียเวลา เพราะยิ่งเห็นหน้าเขา ผมก็ยิ่งรู้สึกว่ามันกระตุ้นอารมณ์ของผมให้พลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง

ครีมสีขาวถูกทาไปทั่วรอยยับย่นที่เป็นวงแคบๆ ชโลมเผื่อไปถึงภายในจนผมสามารถเคลื่อนนิ้วผ่านได้อย่างคล่องแคล่ว สะโพกของไนล์กระตุกไปตามปลายนิ้วของผมที่ขยับเข้าออกและควงควานไปจนทั่ว เสียงครางเครือดังในลำคอเป็นจังหวะของเขา ปลุกเร้าความรุ่มร้อนในตัวผมให้มากยิ่งขึ้น

เมื่อทนไม่ไหว ผมก็เทสารหล่อลื่นจำเป็นใส่มือและอาบให้ทั่วส่วนแข็งขึงของตัวเองอย่างลวกๆ ก่อนจะกดมันเข้ากับตำแหน่งที่เปรอะเลอะไม่แพ้กัน

ไนล์สะดุ้งเฮือกเมื่อเปิดรับผมเข้าไป มือของเขาไขว่คว้าหาผมไปกอดก่ายเอาไว้เพื่อให้เราได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น กระทั่งผมฝังตัวเข้าไปจนหมด เขาก็กอดรัดผมอย่างแนบแน่น เสียงหอบครางดังอยู่ริมหูกระตุ้นอารมณ์ของผมให้ยิ่งกระเจิดเจิงจนต้องรีบถอยตัวออกห่างและสวนกลับไปในทิศทางเดิมอย่างรุนแรง

ความอุ่นนุ่มภายในโอบรัดผมเป็นจังหวะ ผมรู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่เต้นตุบๆ อยู่ภายในนั้น มันตอดรัดผมแน่นทุกครั้งที่ผมทะลวงกายเข้าหาราวกับเฝ้ารอการมาเยือนของผมมาเนิ่นนาน ทั้งที่การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของผมนั้นนับได้ในหน่วยวินาทีด้วยซ้ำ

ยิ่งเขาตอบสนอง ผมก็ยิ่งรู้สึกอยากไขว่คว้าใกล้ชิดเขามากยิ่งขึ้น ไนล์กอดผมไม่ปล่อย ขณะที่ริมฝีปากของเขาเองก็พยายามเผยอรับกลีบปากของผมที่บดลงไป เราสองคนต่างเหมือนคนอดอยาก พยายามที่จะเติมเต็มกันและกัน ไม่ต่างจากคนขาดความอบอุ่นท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ อยากจะห่มเนื้อของกันและกันให้ร่างกายรุ่มร้อน

เม็ดเหงื่อผุดตามร่างกายจนซึมไปทั่ว โคนผมเปียกชื้น ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาจากการกระทำที่ไม่สามารถหยุดได้ เสียงเปียกแฉะดังสะท้อนอยู่ในห้อง ระคนเสียงครางของเราทั้งคู่ กล่อมพวกเราให้ยิ่งโหมแรงเข้าใส่กัน ผมกดร่างลงไป ขณะที่ไนล์แอ่นร่างเข้าหา ผสานส่วนเชื่อมต่อที่เดี๋ยวห่างเดี๋ยวชิดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

หากให้เปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ ภายในร่างของผมคงเกิดพายุไต้ฝุ่นลูกใหญ่ มันหมุนคว้างรุนแรง ปั่นป่วนจนไม่สามารถควบคุมให้กำลังแรงอ่อนลงได้ มีแต่จะกวาดล้างไปทุกหนทุกแห่งที่เคลื่อนผ่าน และผมคิดว่าไนล์เองก็ไม่ต่างกัน








อ่านต่อข้างล่าง

v


v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥








ต่อจากข้างบน



v


v




ลมกระโชกโหมแรงราวกับจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองสงบลง แปรเปลี่ยนเป็นกระแสลมอุ่นๆ ห่อหุ้มพวกเราไว้ แม้ว่าเมื่อครู่ร่างกายจะรุ่มร้อน เหงื่ออาบชโลมกาย ทว่าเวลานี้สองเรากลับกกกอดกันเอาไว้ไม่ต่างจากอยู่ในฤดูหนาว

ความชื้นแฉะเปียกลื่นจากของเหลวต่างๆ ถูกลบล้างออกไปจากความรู้สึกชั่วคราว ปลายนิ้วของผมเกลี่ยเส้นผมที่ปรกลงมาบนหน้าผาก ปิดบังดวงตาของคนที่นอนเผชิญหน้ากันอยู่ให้พ้นไป เพื่อมองใบหน้าของอีกฝ่ายให้เต็มตาและชัดเจนขึ้น ก่อนประทับจูบเบาๆ บนเนินกะโหลกที่ถูกคลุมไว้ด้วยผิวอุ่น ตามด้วยคลี่ยิ้มบางเบาปิดท้าย

“เล่าเรื่องนายกับมิ้นให้ฉันฟังได้ไหม”

สิ่งแรกที่นึกถึงเมื่อไฟรักสงบลง ไนล์ช้อนตาที่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าผมนิดหน่อยขึ้นมองชั่วครู่ก่อนจะหลุบลง เหมือนตั้งใจเบี่ยงหลบไปทางอื่น ถึงกระนั้นเขาก็ยอมเปล่งถ้อยคำออกมาอย่างเชื่องช้า

“ฉันสนิทกับมิ้นมาก จนเหมือนพี่น้องกันด้วยซ้ำ”

ไม่ได้คิดไปเอง แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ น้ำเสียงที่ไนล์ใช้เอ่ยเรื่องของมิ้นนุ่มนวลกว่าปกติ เต็มไปด้วยอุ่นไอของความรู้สึก ผิดกับที่ผ่านๆ มาซึ่งมักจะเรียบเฉย ผมกระเถิบตัวเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีกหน่อย กระชับแขนที่โอบร่างเขาเอาไว้ให้แน่ขึ้น แนบริมฝีปากของตัวเองไว้บนหน้าผากของเขาและรอฟังเรื่องราวต่อไป

ไนล์ไม่ได้ขยับกายหนี แต่ซุกเข้าหาผมมากขึ้น

“เวลาที่ฉันไปหามิ้นที่บ้าน มิ้นจะชอบเล่าเรื่องของนายให้ฟังเสมอ บอกว่านายเป็นยังไง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เคยต่อว่ามิ้นด้วยความเป็นห่วงแบบไหน เคยเอาใจใส่มากเท่าไร ทุกอย่างที่มิ้นเล่า มีแต่การสื่อออกมาให้ฉันรู้ว่านายรักมิ้นมากแค่ไหน จนเหมือนกับการอวดอย่างภาคภูมิใจ”

ผมระบายยิ้มจางๆ เมื่อคิดตามสิ่งที่ไนล์เล่า ภาพใบหน้าของมิ้นที่มีรอยยิ้ม เหตุการณ์ต่างๆ ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำของผม ราวกับผมได้พบกับมิ้นที่มีชีวิตอยู่อีกครั้ง มันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความสุข

“แต่แทนที่ฉันจะรู้สึกว่าน่าหมั่นไส้ ฉันกลับมีความสุขมากกว่า ทุกครั้งที่มิ้นเล่าเรื่องของนาย มิ้นมีรอยยิ้มเสมอ และมันก็พลอยทำให้ฉันมีความสุขไปด้วย ฉันนึกขอบคุณนายไม่รู้กี่ครั้ง ที่ทำให้มิ้นมีความสุขได้มากขนาดนี้ รู้สึกยินดีที่มีคนที่รักและดูแลมิ้นอย่างดี หลายต่อหลายครั้งที่ฉันอวยพรเผื่อไปถึงวันข้างหน้าว่าสักวันหนึ่ง นายอาจจะมาเป็นพี่เขย”

อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ผมไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีคนที่คาดหวังในตัวผมมากขนาดนี้ มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แม้ว่าผมจะเคยคิดว่าถ้าผมสามารถคบหากับมิ้นได้ยาวนานขนาดนั้น มันอาจจะมีสักวันที่เราได้แต่งงานกันก็ได้ก็ตามที

“พอเสียมิ้นไป ความสุขเพียงหนึ่งเดียวของฉันก็เหมือนถูกทำลายไปด้วย ฉันเหมือนเคว้งคว้างอยู่กลางหลุมสีดำใหญ่มหึมาเพียงคนเดียว ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน เพราะมองไม่เห็นทางข้างหน้า ได้แต่นั่งกอดตัวเองอยู่ในเงามืดที่มองไม่เห็นอนาคต แต่สุดท้าย...มิ้นก็ทำให้ฉันก้าวออกมา”

คิ้วของผมขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างงุนงง แม้จะสะเทือนใจอยู่ไม่น้อยกับคำที่ว่า ‘พอเสียมิ้นไป’ ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาบอกว่ามิ้นทำให้เขาก้าวออกมาจนอดถามไม่ได้

“หมายความว่ายังไง”

“รูปใบนั้นทำให้ได้สติ หลังจากเห็นรูปใบนั้นแล้วฉันก็คิดได้ว่าควรจะเดินต่อไปในทิศทางไหน”

ไนล์เงียบไปชั่วครู่ดั่งจะให้ผมนึกตามว่ารูปที่เขาพูดถึงคือรูปไหน แต่ผมไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นก็นึกออกได้ทันที เพราะมันเป็นรูปเดียวผมที่ได้เห็น ใบหน้ายิ้มแย้มของมิ้นและไนล์ที่อยู่ในกรอบเดียวกันมันติดตรึง

คนที่ผมรักและคนที่ผม...กำลังรัก

“นับตั้งแต่วันนั้นฉันก็เปลี่ยนชีวิตของตัวเอง ก้าวเดินไปในเส้นทางใหม่อย่างมุ่งมั่น เพราะสิ่งที่ฉันทำได้ในเวลานี้มีเพียงเท่านี้”

ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด แต่คำพูดของเขาทำให้ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา เสียงของคนที่ผมเคยพบหน้าเพียงสองครั้ง คนที่บอกเล่าถึงตัวตนของไนล์ให้ผมฟังได้มากที่สุดนับตั้งแต่ผมรู้จักไนล์มา



‘สิ่งเดียวที่มันสนใจอย่างจริงจังคือการวาดรูป ตอนรู้ว่ามันไม่ได้เรียนจิตรกรรมอย่างที่เคยบอกเอาไว้ พี่ถึงได้ตกใจไง เพราะมันดูเอาจริงเอาจังขนาดนั้น พี่ยังคิดไม่ออกเลยว่าทำไมมันถึงหันเหชีวิตตัวเองไปเรียนอย่างอื่น แต่คิดว่าสิ่งที่ทำให้คนมุ่งมั่นกับการวาดภาพเปลี่ยนชีวิตตัวเองไป คงเป็นเรื่องใหญ่น่าดู’



“เส้นทางใหม่ของนายคือการเปลี่ยนมาเรียนวิศวะเหรอ”

“อืม... นั่นก็เป็นทางหนึ่งที่ฉันเลือก”

“ทำไม”

ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร มันมีเหตุผลอะไรที่เขาเลือกเดินทางนั้น มันไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่จะมารองรับหากคิดตามสิ่งที่ผมรู้อยู่ในตอนนี้

“นายก็น่าจะรู้ว่ามิ้นตั้งใจจะเรียนวิศวะ”

ลมหายใจของผมสะดุดไปชั่วครู่หนึ่ง ผมไม่ปฏิเสธเลยว่ามันคือความจริง ผมรู้มานานแล้วว่าเธอตัดสินใจแบบนั้นด้วยความแน่วแน่ เพราะแบบนั้นตอนเข้า ม.4 พวกเราถึงอยู่คนละห้องกัน ครอบครัวของเธอทำกิจการเกี่ยวกับระบบหล่อเย็นอยู่ และเธอก็ต้องการสานต่องานของครอบครัว

ถึงจะพอรู้เหตุผลแล้ว แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมไนล์ถึงต้องทิ้งความฝันของตัวเอง

“แต่นายก็มีความฝันของนาย ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น”

ไนล์แค่นยิ้มน้อยๆ หลังจากได้ยินคำถามจากผม และพึมพำออกมาเบาๆ เหมือนไม่ได้อยากให้ผมได้ยินนัก

“นายมีสิ่งที่ต้องชดใช้ ฉันเองก็มีสิ่งที่จะต้องชดใช้เหมือนกัน”

ผมไม่เข้าใจนัก แต่ไนล์ก็เงียบไปหลังจากนั้น เหมือนไม่อยากพูดต่อ และมันก็ยากที่ผมจะคาดคั้นเบื้องหลังที่ซ่อนอยู่ลึกไปกว่านั้นจึงไม่เอื้อนเอ่ยคำถาม แต่เปลี่ยนประเด็นอื่นขึ้นมาแทน

“เมื่อกี้นายบอกว่าเรื่องที่เรียนวิศวะเป็นทางหนึ่งที่เลือก แสดงว่ามีทางอื่นด้วยงั้นสิ”

ผมไม่ได้รับคำตอบ ไนล์ยังคงปิดปากสนิท ปล่อยเสียงหายใจยาวๆ ออกมาเป็นระยะ จนกระทั่งความเงียบปกคลุมพวกเรา ความอึดอัดแล่นเข้าสู่กลางใจของผมทีละนิด เริ่มคิดไปว่าเรื่องที่ผมถามมันละลาบละล้วงเกินไปหรือเปล่า

มันอยู่ลึกเกินกว่าที่ผมจะเหยียบย่างลงไปใช่ไหม

ผมยังเข้าถึงหัวใจของเขาน้อยเกินไป เขาถึงยังไม่ยอมพูดออกมา

หากนับหัวใจของไนล์ว่ามีสิบชั้น ผมอาจจะเพิ่งปีนขึ้นไปถึงชั้นที่สามเองก็ได้

“ไม่ต้องบอกก็ได้”

เมื่อรู้สึกว่ามันอาจจะแย่ไปกว่าเก่าถ้ายังเงียบอยู่แบบนี้ ผมจึงโพล่งออกไปเพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศ ทว่าไนล์กลับแย้งเสียงออกมาให้ผมประหลาดใจ

“ไม่หรอก”

เขาผละตัวออกห่างจากผม เลิกซุกใบหน้าใกล้ผมเสียจนผมสามารถจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากและปลายจมูกของเขาได้ ผมจึงต้องปลดอ้อมกอดของตัวเองออกให้เหลือเพียงหลวมๆ จนเขามาอยู่ในระยะที่มองสบตากันได้อย่างชัดเจน

ริมฝีปากสีพีชที่เข้มกว่าปกติขบเข้าหากันนิดหน่อย ผมมองตามก่อนที่มันจะขยับเพื่อเอ่ยคำพูด และช้อนมองดวงตาคู่ที่อยู่ตรงนั้น

มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเหนือกว่าครั้งใดๆ

“อีกทางหนึ่งที่ฉันเลือกคือ... เฝ้ามองนาย ...เฝ้ามองตลอดไปจนกว่านายจะได้พบความสุขจริงๆ อีกครั้ง”







-----------------
สรุปคือ ไนล์เป็นสตล็อกเกอร์ของกราฟมาตั้งแต่ม.ปลายแล้วค่ะ 555555555
ถ้าย้อนกลับไปนึกเรื่องที่ไนล์ทำ จังหวะที่เข้าไปทักกราฟ อ่านความรู้สึกกราฟ รู้สิ่งที่กราฟชอบ
นอกจากสิ่งที่รู้มาจากมิ้นแล้ว ก็มาจากการเฝ้ามองกราฟมาตลอดนั่นแหละค่ะ

น่าจะอีกประมาณ 2 ตอนก็จบแล้วค่ะ

Undel2Sky

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
อยากอ่านต่อแล้ว มาต่อเร็วๆ นะคร้าบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ไนล์มีความมุ่งมั่นอดทนมากมาย






เฝ้ามองเฝ้าติดตามแถมแอบรักกราฟมานาน






โชคดีจังที่กราฟใจตรงกับไนล์






ขอให้ทั้งคู่มีความสุขและหลุดพ้นจากความรู้สึกผิด






มิ้นท์ก็คงดีใจที่ คนที่รักเธอมีความสุขทั้งสองคน :katai2-1:

ออฟไลน์ killerofcao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อ่า อ่าอ่าอ่า
ชีวิตเริ่มมีความสุขแล้วซินะ :mew1:

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :กอด1: หลังจากนี้ต้องมีความสุขแน่ๆ

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
อยากให้มาต่อเร็วๆ แต่ไม่อนากให้จบเลย :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ ZeeKiN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มาต่อเร็วๆๆน้าาาาาาาา  :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 20 : ยินยอม






มันอาจจะเป็นการคิดไปเองของผมก็ได้ที่รู้สึกว่าผมเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไนล์ยังอยู่ต่อหน้าผม เขาพูดเหมือนเขาสูญเสียจุดหมายของการมีชีวิตอยู่ พูดเหมือนว่าลมหายใจของเขามันไร้ค่า แม้ว่าเหตุผลแท้จริงแล้วจะเป็นมิ้นก็ตาม

สำหรับไนล์... มิ้นคือแสงสว่างที่ส่องนำทางให้เห็นเป้าหมาย

ส่วนผม... มิ้นคือแสงแดดอ่อนๆ ที่ทำให้อบอุ่น แต่ขณะเดียวกันก็เป็นความดำมืดที่ฉุดรั้งให้ตกอยู่ในหลุมลึกที่หนาวสะท้าน

แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอทำให้เราได้มาพบกัน แม้ว่าเธอจะไม่อยู่แล้ว แต่เธอก็ยังมอบชีวิตที่เหลืออยู่ให้กับไนล์ ถึงมันจะดูครึ่งๆ กลางๆ ไปสักหน่อย เพราะไนล์ใช้ชีวิตบิดเบี้ยวไปจากคนปกติทั่วไป

มีชีวิตก็เหมือนไร้ชีวิต เหมือนจะไร้ชีวิต แต่หัวใจก็ยังเต้นอยู่

เหมือนแค่ให้ผ่านไปวันๆ จนกว่าจะถึงจุดหมายที่ตั้งเป้าเอาไว้เท่านั้น

ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ยึดติดกับเธอแบบนั้น และมันก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้

จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเขาที่ผมรวบรวมมาเก็บไว้เป็นอย่างดี เพื่อจะนำมันมาประกอบเป็นชิ้นและทำให้ผมเข้าใจเรื่องราวและตัวตนของเขาได้อย่างถ่องแท้ มันทำให้ผมนึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นในเวลานี้

“ทำไมนายถึงลำบากเรื่องเงิน อยู่อย่างอดๆ อยากๆ ด้วย”

สิ้นคำถามของผม ไนล์เหม่อมองไปไกล ไม่ได้วางปลายสายตาไว้ที่ผม มันเหมือนทะลุใบหน้าของผมไปเสียด้วยซ้ำ ความแวววาวที่สะท้อนอยู่บนหน่วยตาเมื่อครู่ดับวูบลงจนไร้แสง กลายเป็นดวงตาที่ด้านชา บรรยากาศรอบตัวเขาเคว้งคว้างอย่างฉับพลัน อากาศที่ลอยอยู่บางเบาลง

ราวกับเป็นเรื่องต้องห้าม... ถ้าไม่ต้องการให้เขากลับกลายเป็นร่างจืดจาง ไร้ชีวิต

“ฉัน...”

เสียงของเขาเบามาก เขาขยับปากเพียงแค่นิดเดียว เหมือนกับว่าเรี่ยวแรงรั่วไหลออกไปจนเกือบหมด

“ไม่มีพ่อแม่...อีกแล้ว”

เกือบจะไม่ได้ยินท้ายประโยค และนั่นก็เป็นคำตอบสุดท้ายที่เขาพูดออกมา ผมได้แต่ขยับเข้าไปใกล้เขา กระชับอ้อมแขนของตัวเองไว้ เพื่อส่งต่อไออุ่นจากผมไปสู่ร่างกายที่เย็นเฉียบของเขา

เราอาจจะกลายเป็นส่วนที่เติมเต็มกันก็ได้

เมื่อไรที่เขาหนาว ผมจะเป็นคนที่กอดเขาเอาไว้

เมื่อไรที่ผมจมอยู่กับความเสียใจ ผมก็อยากให้เขากอดผมเอาไว้เช่นกัน

และผมก็หวังว่าสักวันหนึ่ง ผมจะมีค่าพอให้เขายอมเปิดเผยเรื่องราวที่ถูกกักเก็บเอาไว้ภายในตัวเขาจนมากเกินไปนั่นออกมาให้ผมได้รู้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร ผมก็ยินดี เหมือนอย่างที่เขาเฝ้ามองผมมาตลอดสามปี

“ต่อไปนี้ฉันจะอยู่ข้างๆ นายเอง”

ผมเอ่ยคำที่ออกมาจากใจและความคิดในเวลานั้น ทว่ามันทำให้ไนล์ชะงักไปนิดหน่อย เขามองหน้าผมราวกับกำลังสำรวจหาความจริงอะไรบางอย่าง

“ฉันไม่ได้ต้องการให้นายทำแบบนั้น”

เสียงของเขาเหมือนจะแหบลงไป ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง คล้ายกับเป็นสัญญาณบอกว่าใจจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการอย่างที่พูด

“ทำไมล่ะ ทั้งที่ฉันอยากจะอยู่เคียงข้างนายนับจากนี้ นายไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันเหรอ”

เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง หลุบสายตาลงต่ำ กระซิบเสียงออกมาราวกับกลัวว่าผมจะได้ยินมัน แต่ผมก็ได้ยินอย่างชัดเจน

“พี่ดาหลา”

“ฉันบอกความจริงเขาไปหมดแล้ว บอกเขาแล้วว่าฉันเข้าหาเขาเพราะอะไร และฉันก็ไม่ได้รู้สึกชอบพอเขาเหมือนอย่างที่ฉันคิดว่าฉันควรจะรู้สึกกับคนที่หน้าเหมือนมิ้น”

ผมหยุดเสียงไปครู่หนึ่งและยื่นมือออกไปเกลี่ยผมข้างขมับของเขาเบาๆ เหมือนกับอยากทะนุถนอมเขาไว้

“นายต่างหากคือคนที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้น คือคนที่ฉันอยากอยู่ด้วย คือคนที่ฉันต้องการมากกว่าใคร”

เขาช้อนตาขึ้นมองผมนิดนึงอย่างลังเลใจ มองสบตากับผมเหมือนกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วออกมา

“นายแน่ใจแล้วเหรอ”

“ถ้าไม่แน่ใจฉันไม่พูดหรอก” ผมยิ้มให้เขาบางๆ เป็นรอยยิ้มที่เชื่องช้า อ้อยอิ่ง แต่กลับรู้สึกว่ามันคงเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน “ได้ไหม ต่อจากนี้ไปช่วยอยู่ข้างๆ ฉันได้หรือเปล่า”

“อืม”

แม้เสียงที่ตอบกลับมาจะแค่เล็กน้อย เพียงแค่คำสั้นๆ เหมือนไม่ใช่การตอบรับด้วยซ้ำ แค่เสียงเสียงหนึ่งที่ดังในลำคอ ถึงกระนั้นผมก็รู้สึกยินดีจนหัวใจพองโต ที่เขายอมรับความรู้สึกของผม และยินยอมจะอยู่ด้วยกันอย่างเต็มใจ

จากนี้มันไม่ใช่แค่การอยู่ด้วยกันจากการท้าทายหรือมีเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่เพราะเรามีความรู้สึกดีๆ ให้กัน

เราใจตรงกัน...





หลังจากนั้นพวกเราก็เข้าสู่ช่วงสอบสองสัปดาห์ ไนล์บอกกับผมว่าไม่ให้ผมมาที่ห้องเขาในช่วงสอบ เพราะว่าอยากจะมีสมาธิกับการอ่านหนังสือให้มากที่สุด ถึงผมจะออกปากว่าจะไม่รบกวนการอ่านหนังสือของเขา และขอแค่ผมนอนค้างของห้องเขาเท่านั้น เพราะผมเองก็ต้องออกไปติวกับไฮยีนบ้าง ไปหาพี่เจ๊งเพื่อขอคำแนะนำเรื่องข้อสอบบ้าง แต่ว่าเขาก็ยังยืนกรานว่าจะให้เราแยกกันอยู่สักพัก

‘ฉันไม่อยากมีปัญหาเรื่องการสอบแล้วต้องมาเรียนซ้ำ’

ในเมื่อเขาพูดมาเสียงหนักแน่นขนาดนั้น ผมจึงจำใจต้องทำแบบนั้นอย่างช่วยไม่ได้ และก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าผมทำตามที่ใจผมปรารถนา ผมอาจจะรบกวนเขาจริงๆ เพราะเมื่อกวาดตามองรอบห้องของเขาก็รู้ เขาไม่ได้มีเวลาและสมาธิกับการเรียนมากนัก เขาทุ่มเทเวลาส่วนหนึ่งของตัวเองไปกับการวาดรูปเพื่อหาเลี้ยงชีพ ถ้าผมยังไปขัดขวางช่วงเวลาสอบของเขาอีก จะยิ่งทำให้เขาลำบาก

‘ถ้าอย่างนั้นฉันโทรหานายได้ไหม’

ผมเสนอ เพราะอย่างน้อยก็อยากให้เราติดต่อกันแบบสม่ำเสมอ แต่เขาก็ตอบกลับมาว่า

‘ฉันไม่ถนัดคุยโทรศัพท์กับใคร และมันก็ควบคุมเวลาที่จะพูดคุยได้ยาก’

ถึงผมจะคิดอยู่เล่นๆ ว่าถ้าเขาอยากวาง เขาก็สามารถตัดสายผมอย่างไม่ไยดีได้ก็ตาม แต่พอได้ยินเขาพูดแบบนั้นแล้ว ผมกลับรู้สึกว่ามีน้ำเย็นๆ มารดรินในใจ พลอยคิดเข้าข้างตัวเองไปว่า เพราะไนล์ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขาเปิดใจให้ผม ถึงทำเป็นตัดสายผมทิ้งอย่างไม่แคร์เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้

เขาห่วงความรู้สึกของผม

คิดถึงเหตุผลแล้วก็ทำให้ผมอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ จนไนล์ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย


‘นายยิ้มอะไร’

นับจากวันที่เราเปิดใจให้กันวันนั้น เขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แสดงสีหน้ามากขึ้น แม้ว่ามองเผินๆ แล้วอาจจะเหมือนยังเฉยชาไร้ความรู้สึกและจืดจางเหมือนเดิม แต่สำหรับผมที่เฝ้าสังเกตเขาทุกอิริยาบถ มันง่ายมากที่จะอ่านความรู้สึกของเขา และใช่ว่าเขาเองจะไม่รู้ตัวว่าแสดงกิริยาแบบไหนออกมา ถึงได้เบนหน้าหนีสายตาของผมที่จับจ้องเขามากเกินพอดี

ผมเข้าไปกอดเขาจากทางด้านหลัง กระซิบเสียงแผ่วข้างใบหู

‘แค่รู้สึกว่ามีความสุขเท่านั้นเอง’

หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่าตำแหน่งที่ผมเพิ่งเบียดริมฝีปากเข้าไปชิดเริ่มร้อนขึ้นมา

ผมรู้... เขากำลังเขิน

เขาไม่ชินกับคำหวานๆ ของผม แต่หลังจากนี้เขาอาจจะชินก็ได้

‘เพี้ยนหรือไง’

เสียงของเขาอึกอัก แต่ไม่ได้แกะแขนของผมที่โอบรอบเอวของเขาออก แค่ยืนนิ่งๆ ให้ผมกอด พร้อมกับทำหูร้อนต่อไป จนผมอดไม่ได้ที่จะกดกลีบปากลงไปบนต้นคอของเขา ไนล์หดคอหนีนิดหน่อย ทว่ากลับทำให้ผมกระชับวงแขนแน่นกว่าเดิม

‘น่าจะอย่างนั้น’

ต่อจากนั้นไนล์ก็เงียบกริบ ไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาอีก

ผมขอให้เราส่งข้อความคุยกันแทน แน่นอนว่าไนล์ปฏิเสธ เพราะจะให้ส่งทางไลน์หรือโปรแกรมแชทอื่นๆ อย่างที่ใครๆ ทำกัน เขาไม่สามารถทำได้ เพราะโทรศัพท์ที่เขาใช้เป็นรุ่นเก่า ไม่ใช่สมาร์ทโฟนที่สามารถใช้แอปพลิเคชั่นได้ ผมจึงแนะนำอีกทาง

‘ส่งเอสเอ็มเอสธรรมดาก็ได้’


แต่เขากลับส่ายหัว ตอบกลับมาเสียงแผ่ว

‘มันไม่คุ้ม’

เขาตอบกลับมาสั้นๆ แต่ผมก็เข้าใจ ถึงตอนนี้จะมีโปรโมชั่นส่งเอสเอ็มเอสพ่วงมากับแพ็กเกจอินเตอร์เน็ต แต่สำหรับผู้ใช้ระบบโทรธรรมดาก็ยังต้องเสียเงินกับค่าเอสเอ็มเอสจำนวนมากอยู่ดี แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออก

‘ใช้โปรเสริมส่งเอสเอ็มเอสก็ได้ แค่เดือนละห้าสิบข้อความก็ได้ นะ’

ผมลงท้ายด้วยเสียงอ้อนหน่อยๆ เพราะอยากให้เขาเห็นด้วย ถ้าห้ามผมติดต่อเขาเลยผมคงทำไม่ได้ และถ้าเขาไม่ติดต่อกลับมาเลย ผมคงทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นอะไรที่จะช่วยเหลือผมได้ในตอนนี้ ผมก็พร้อมจะเสนอออกไปทุกวิถีทาง

ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะ ผมเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขของตัวเอง ผมรู้ดี

ไนล์ทำให้ผมรู้สึกตัว...

‘ก็ได้ ถ้ามันไม่แพง’

‘ถึงแพงฉันก็ออกให้ได้น่า’

พอผมพูดแบบนี้ไป เขาก็ตวัดหน้าหันขวับมามองผมด้วยสายตาร้อนแรงทันที แต่ร้อนแรงในความหมายที่เขาไม่พอใจ ไม่ใช้ว่าอะไรๆ ที่จะทำให้ผมลุกซู่ขึ้นมา สายตาของเขาจับจ้องมองผม แววคมกล้าปรากฏในนั้น

‘นายไม่ได้หาเงินเอง อย่าทำตัวหน้าใหญ่ใจป้ำ’

เหมือนโดนฮุคเข้าเต็มหน้าจนหน้าเกือบหงาย ผมเข้าใจมันได้ดีทีเดียวล่ะ ถ้าหากให้เปรียบเทียบ ผมเป็นลูกแหง่ที่ยังขอเงินพอแม่อยู่ ถึงเดือนๆ หนึ่งจะได้เยอะจนใช้ไม่หมด มีเก็บในบัญชีอีกเป็นกะตั้ก แต่ไนล์ตรงข้ามกับผม เขาเป็นคนหาเงิน รู้คุณค่าของเงินดี

‘ขอโทษครับ อย่าโกรธนะ’

เสียงของผมติดอ้อนน้อยๆ กดหน้าผากลงซบกับหน้าผากของเขาที่อยู่ต่ำกว่าเพื่อให้เขาให้อภัย ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ได้โกรธมากมาย แต่เขาแค่อยากให้ผมทำอะไรที่พอสมควรกับสถานภาพของผม

แค่เขาไม่ปฏิเสธเรื่องที่ผมเคยขอร้องว่าไม่ให้รับงานกับผู้หญิงอีก และให้ผมดูแลเรื่องอาหารการกินมันก็เกินกว่าเขาจะยอมรับได้แล้ว

‘ฉันไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น’

ไนล์ตอบกลับมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้แฝงอารมณ์ใดๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าฟังจึงกดริมฝีปากลงไปเบาๆ กับส่วนเดียวกันที่อยู่ใกล้มากจนอดไม่ได้ ไนล์ไม่ได้จูบตอบ แต่ก็ไม่ได้ขยับหนี ผมเลยเอาแต่ใจเพิ่มไปอีกนิดหน่อย ขบดูดกลีบปากสีสวยไม่เหมือนใครนั่นมากขึ้นอีกนิด ก่อนจะผละออกมายิ้มน้อยๆ

แล้วมันก็ทำให้ผมยิ้มมาถึงตอนนี้เมื่อนึกถึงมัน

“ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่นั่น ข้อความจากสาวหรือไง”

เสียงคุ้นหูดังมาจากลุงรหัสของผมเอง ตอนนี้ผมอยู่ที่หอของพี่เจ๋ง เพราะขอให้เขาช่วยเก็งข้อสอบให้ พอผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง เขาก็เหล่ตามองผม แต่ไม่ได้อุกอาจถึงขนาดชะโงกหน้าเข้ามาดูสิ่งที่อยู่ในมือของผม

ถ้าเป็นเพื่อนๆ ทั้งหลายของผม ป่านนี้คงแย่งโทรศัพท์จากมือผมไปแล้วล่ะ อาจจะเพราะว่าพี่เจ๋งได้เชื้อพ่อพิมพ์แม่ของชาติมาก็ได้ เลยค่อนข้างจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ซึ่งมันก็เป็นลักษณะเฉพาะที่ดีที่หาได้ยากจากคนใกล้ตัวผม

เมื่อกี้ผมส่งข้อความไปหาไนล์ ถามว่าเขาทำอะไรอยู่ ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาแค่...



อ่านหนังสือ นายน่ะ อย่าอู้



เท่านั้นผมก็กลั้นยิ้มไม่อยู่แล้ว พี่เจ๋งถึงสังเกตได้ง่ายดายถึงความผิดปกติของผม เพราะถ้าเป็นพวกเพื่อนๆ ส่งข้อความมาก่อกวน หรือส่งอะไรติดเรทมาผมคงไม่ยิ้มแบบนี้

“นิดหน่อยน่ะพี่”

“แหมๆ มีแฟนแล้วไม่บอกพี่บอกเชื้อน่ะมึงอะ”

เขาแขวะผมเล็กน้อย แต่นั่นเหมือนการแซวเล่นเสียมากกว่า เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเกือบจะเทอมนึงแล้ว ผมยังไม่เคยมีอาการแบบนี้ให้เห็น แม้กระทั่งตอนที่คิดจะจีบพี่ดาหลา

“เอาไว้สอบเสร็จก่อนดิพี่”

ถึงจะตอบไปแบบนั้น แต่ผมก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าตอนนี้ผมคงใช้คำนี้กับเขาได้แล้วใช่ไหม ถึงจะไม่ได้ระบุสถานะเจาะจงอะไร แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ผิด แต่ผมจะขอทำให้มันชัดเจนอีกทีแล้วกัน เพื่อความสบายใจของเราทั้งคู่

“โหย น่าเบื่อวะ อะไรวะ เพื่อนก็มีแฟน นี่หลานรหัสก็ยังมีแฟน ปล่อยกูแห้งเหี่ยวเฉาตายอยู่คนเดียว”

หน้าพี่เจ๋งบู้บี้เหมือนเด็ก ตัดพ้ออย่างน้อยใจ แต่ก็น่าสงสารเขาอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน เพราะตั้งแต่พี่ภูเป็นแฟนกับไอ้ยีน เขาก็คงขาดเพื่อนซี้ไปไหนมาไหนด้วย เพราะพี่ภูติดไอ้ยีนแจ ตอนนี้ก็ติวส่วนตัวกันอยู่ แต่ได้ความรู้หรือได้อะไรอย่างอื่นนี่ผมก็ไม่แน่ใจ คงได้อย่างใดก็อย่างหนึ่งล่ะนะ

ส่วนพี่ต้นกับพี่ปาล์มเขาก็อยู่สองคนผัวเมียของเขาอยู่แล้ว พี่แชมป์กับพี่บอสจริงๆ ก็อยู่คนละกลุ่มกัน เพราะฉะนั้นพี่แกเลยเหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ โดนเพื่อนทิ้งกลายๆ

“พี่ก็หาแฟนสักคนสิ”

“หูย อย่างกูนี่ต้องเตรียมหาคนที่จะมาเป็นแม่ของลูกแล้วมั้ง แต่ก็คงยากว่ะที่จะได้ผู้หญิงในอุดมคติ”

ถ้าให้ผมเดาจากคำพูดของพี่เจ๋ง คงเป็นผู้หญิงเพียบพร้อมที่หาไม่ได้ในยุคนี้ล่ะมั้ง ถ้าเป็นไอ้เคลม คงสวนกลับไปว่า ‘พี่ต้องไปหาเอาในพิพิธภัณฑ์แล้วล่ะ รุ่นนั้นเลิกผลิตแล้ว’ แหงแซะ ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะตอบกลับไป

“พี่ก็อย่าตั้งความหวังไว้สูงสิ แต่เอาจริงๆ ผมว่าเรื่องสเปกคงไม่เกี่ยวล่ะมั้ง เพราะถึงเวลาจริงๆ เราก็ไม่ได้รักคนที่ตรงกับสเปกของเรา”

ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ไอ้ยีน แน่นอนว่ามันไม่ได้หวังจะรักชอบผู้ชายอยู่แล้ว มันชอบผู้หญิงอึ๋มๆ สวยๆ สนองตัณหาของมันได้ หัวไว แต่รู้จักวางตัวว่าต้องไม่ล้ำหน้ามัน ไม่ใช่ผู้หญิงซื่อๆ เพราะมันคงเบื่อ แต่สุดท้ายมันกลับกลายมาได้พี่ภูที่หล่อล่ำ ดักมันได้ทุกทาง แต่ก็ยอมอ่อนข้อให้มันบ้างแทน

ส่วนผม คงยกตัวอย่างไม่ได้ เพราะผมไม่ได้คาดหวังกับผู้หญิงแบบไหน อาจเพราะผมไม่ได้คิดจะเปิดใจให้กับใครจริงๆ แม้กระทั่งพี่ดาหลาที่ผมตัดสินใจเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน แต่สุดท้ายมันก็เหมือนกับผมหลอกตัวเอง ทว่าทั้งที่เป็นแบบนั้น ไนล์กลับเข้ามาอยู่ข้างในใจของผมโดยที่ผมไม่ได้เปิดประตูให้ด้วยซ้ำ เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ผมก็ยังได้แต่ถามตัวเอง แต่ถ้าถามว่าผมพอใจไหม ผมคงตอบได้คำตอบเดียว

ผมยินดีที่เขาเข้ามา...

“คำพูดคนมีความรักนี่มันบาดลึกกกก...”

พี่เจ๋งย้อนกลับมาเสียงยาวเหมือนจะแซวผม มิหนำซ้ำยังทำหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์เสียอีก แต่ผมก็ไม่ได้หน้าบางมากระดากอายกับอะไรแบบนี้ เลยหลุดเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ

“ก็หวังว่าสักวันลุงรหัสของผมจะได้เจอคนที่มาเติมส่วนที่หายไปเหมือนกัน”

“มึงนี่ทำกูขนลุก”

เขาว่าแบบนั้นแล้วกอดแขนตัวเองแสร้งทำตัวสั่น ก่อนเสียงหัวเราะของเราทั้งคู่จะกังวานไปทั่วห้องผสมผสานกัน และเริ่มเข้าสู่เนื้อหาที่ผมอยากให้เก็งสอบให้อีกครั้ง





สอบมาได้ครึ่งทางแล้ว ไอ้ยีนทำหน้าบู้บี้เหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร มันเอาหน้าแนบโต๊ะ ร้องออกมาอยู่คำเดียวเหมือนเด็กเพิ่งหัดพูดแล้วยังพูดคำอื่นไม่ได้

“เบื่อโว้ยๆๆๆๆ”

“ถึงร้องไปก็ไม่ได้ช่วยให้อ่านหนังสือเร็วขึ้นหรอก”

ผมม้วนชีทในมือแล้วเคาะหัวมันเบาๆ พรุ่งนี้กับมะรืนพี่ภูกับพี่เจ๋งมีสอบเลยมาวอแวมันไม่ได้ ผมจึงมานั่งติวนั่งอ่านหนังสือกับไฮยีนแทน ถึงจะเข้าหัวบ้าง ออกจากหัวบ้างเพราะเสียงโวยของมัน แต่ก็ชินแล้ว ก็มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ ม.ต้น ที่รู้จักกันแล้ว

“ทำไมเรียนแล้วต้องมีสอบด้วยวะ มึงไม่คิดว่าวงการการศึกษาไทยควรจะปฏิวัติแล้วหรือไง”

มันอ้างนู่นนี่ก็เพราะความขี้เกียจนั่นแหละ

“ถ้าไม่มีสอบ แล้วเขาจะประเมินได้ไงว่าที่เรียนไปรู้เรื่องหรือเปล่า มึงนี่นะ”

“ก็กูไม่ชอบสอบอะ”

มันงอแงเหมือนเด็กๆ โยนชีทเรียนทิ้งแล้วปีนขึ้นโซฟาในห้องนั่งเล่นของผม เอาหมอนอิงปิดหน้า เหมือนจะกลั้นใจตายมากกว่าที่จะหลับ ผมมองภาพนั้นแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว พลางนึกในใจว่าเวลาอยู่ต่อหน้าพี่ภู มันทำตัวแบบนี้หรือเปล่านะ?

เริ่มรู้สึกว่าพี่ภูเป็นผู้ชายที่ต้องพบเจอกับความลำบากแล้วสิ

ลองนึกดูสิครับ แฟนตัวเองทำตัวง้องแง้งน่ารักแบบนี้ ใครจะอดใจไหว?

เวลามันดื้อ มันก็น่าจับปราบพยศ เวลามันงอแง ก็น่าเอ็นดูให้หนำใจ นี่ผมเปล่าคิดอกุศลกับเพื่อนตัวเองนะ แค่คิดเผื่อไปถึงพี่ภูเฉยๆ ผมล่ะนับถือเลยที่เขาทนมันได้มาถึงตอนนี้

เพราะไฮยีนมันไม่ยอมให้กด

พี่ภูเคยไลน์มาถามผมเหมือนกันว่าทำยังไงให้เพื่อนมึงใจอ่อนยอมกูสักทีวะ?

ไอ้ยีนไม่รู้หรอกว่าหลังจากเคลียร์เรื่องค้างคากันระหว่างผมกับมันให้พี่ภูรู้แล้ว ผมกลายเป็นที่ระบายเรื่องอยากได้ใคร่รู้เกี่ยวกับมันให้พี่ภู แต่มันไม่รู้น่ะดีแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงโดนมันด่าว่าขายเพื่อนแน่ๆ

คิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วอยู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนแสงสว่างวาบขึ้นมา ไอเดียเด็ดๆ ปิ๊งขึ้นมาในหัวของผมจนต้องยกยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา พลางขยับมือจับโทรศัพท์ของตัวเอง

“ยีนๆ มึงเบื่อใช่ปะ”

“ก็เออดิ กูขี้เกียจอ่านหนังสือ”

มันตอบกลับมาด้วยเสียงอู้อี้ แล้วค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากหมอนที่มันบังหน้าตัวเองไว้

“งั้นมึงมานี่ดิ”

ผมกวักมือเรียกมันที่เอนตัวนอนอยู่บนโซฟา มันก็ลุกขึ้นมาอย่างงงๆ ส่วนผมก็ยันตัวขึ้นจากที่นั่งอยู่บนพื้นเล็กน้อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มมันเบาๆ อยู่แป๊บนึง มันก็เลิกคิ้วมองผมอย่างสงสัยว่าผมทำอะไร

“อะไรของมึงเนี่ย อยู่ๆ มาหอมแก้ม”

ไม่แปลกหรอกที่ผมจะหอมแก้มัน เพราะก็เคยทำอยู่หลายครั้ง ถ้าเป็นไอ้กัสกับไอ้เคลมคงแปลกพิลึกอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ แค่จินตการแล้วแอบขนลุกเบาๆ เท่านั้น แต่กับยีนไม่ใช่แบบนั้น คงเพราะเราติดตัวกันมาตลอด ความสัมพันธ์ของพวกเราเกินขอบเขตที่จะหาคำมาอธิบายได้ มันก็เลยเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ผมจะสัมผัสมันโดยไม่คิดอะไรลึกซึ้ง

รอยยิ้มแต้มบนหน้าผมนิดๆ เมินคำถามของมันโดยสิ้นเชิง พลางขยับนิ้วมือที่อยู่บนโทรศัพท์ของตัวเอง กดส่งรูปที่เพิ่งแอบถ่ายเมื่อกี้โดยที่ไอ้ยีนไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อยไปยังห้องแชทที่เปิดค้างอยู่ และเหลือบตาดูนิดๆ ว่าอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาอย่างไร

ทันทีที่ขึ้นคำว่า Read โทรศัพท์ของไฮยีนก็ดังขึ้น

ผมแอบคิกคักอยู่ในใจคนเดียว มองเพื่อนรักที่ขมวดคิ้วมุ่นว่าใครโทรมา มันเอื้อมสุดตัวไปหยิบโทรศัพท์ที่แผดเสียงร้องซึ่งอยู่บนโต๊ะที่วางกองชีทเอาไว้ พอเห็นชื่อบนหน้าจอกับรูปภาพที่ผมเดาว่าพี่ภูคงเป็นคนตั้งเอาเองก็หลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“โทรมาทำไมวะ”

ไฮยีนงึมงำอย่างงงๆ แล้วกดรับสาย ผมไม่รู้หรอกว่าประโยคแรกที่ปลายสายพูดคืออะไร แต่ไอ้ยีนตวัดหน้าหันขวับมามองผม ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปที่อีกมุมหนึ่งของห้อง แน่นอนว่ามันตาเขียวปั๊ด จ้องผมเขม็งทั้งที่เดินไปข้างหน้า เหลียวหน้ามาจนคอเกือบหลุด

ผมอ่านสายตาอาฆาตแค้นของมันได้ว่า...ไอ้เหี้ยกราฟ มึงทำห่าอะไร!

ผมไม่สนใจสิ่งที่มันด่าทอหรอก แต่แอบเงี่ยหูฟังว่ามันคุยว่าอะไร กระนั้นเสียงก็เบาเกินว่าจะได้ยินได้ แว่วๆ มาแค่เสียงฮึดฮัดว่า...

“ไม่มีอะไรโว้ย”

“มันแกล้งดิ อย่าโง่สิวะ”

ดุเด็ดเผ็ดร้อนไม่เบาเลยแฮะ

“แค่นี้นะ จะอ่านหนังสือ”

ก่อนหน้านั้นไม่ได้ยินว่ามันพูดอะไรอีก แต่ได้ยินประโยคสุดท้ายก่อนที่มันจะกดตัดสาย ผมเลยตะโกนไปเร็วๆ ก่อนที่สายจะตัด

“ไอ้ยีนมันเบื่ออ่านหนังสือ ทำยังไงดี”

สายถูกตัดไปแล้ว ไอ้ยีนทำหน้าขึงย่างสามขุมมาทางผม ท่าทางอยากให้มีเอฟเฟกต์พื้นสะเทือนมาด้วย แต่ตอนนี้ไม่ได้ถ่ายหนังเลยเติมเข้าไปไม่ได้

“ไอ้เหี้ยกราฟ มึงนะมึง”

พอเข้ามาใกล้ผมแล้วมันก็รีบถลาเข้ามา คงกะถวายศอกหรือเท้าให้ผมสักที แต่ว่าผมเบี่ยงตัวหลบเพราะเสียงไลน์ในมือถือดังพอดี เมื่อกดอ่านดู ผมก็หัวเราะก๊าก ยื่นหน้าจอที่เปิดค้างอยู่ให้เพื่อนดูพร้อมกับเสริมซาวนด์แทรคด้วยเสียงตัวเอง

“พี่ภูบอกว่าถ้ามึงอ่านหนังสือไปบ่นไป ให้กูนับไว้ด้วย บ่นเท่าไร จูบเท่านั้น ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”

“ไอ้สาดดดดดดดด”

ยีนกระโจนเข้ามาล็อกคอผมแน่นแล้วยันขาถีบท้องผมอักๆ

ถามว่าเจ็บไหม เจ็บครับ แต่ผมสนุกมากกว่า






อ่านต่อด้านล่าง


v


v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2015 19:55:40 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥





ต่อจากข้างบน




v


v



ในที่สุดก็ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายอีกครั้งหนึ่งในชีวิตไปได้ ผมสอบเสร็จแล้ว แต่ว่ายังไปหาไนล์ไม่ได้ เพราะว่าเขามีสอบวิชาสุดท้ายวันพรุ่งนี้ ผมเลยตัดสินใจกลับบ้านของตัวเอง เพราะได้กลับบ้านไปแค่ตอนก่อนสอบหนึ่งครั้ง จึงต้องกลับไปรายงานตัวกับคนที่บ้านซะหน่อย

พอถึงบ้าน ก็ได้รับอ้อมกอดอบอุ่นเหมือนเคย แม่หอมแก้มผมซ้ายขวาเป็นการตอบรับ ส่วนผมก็หอมท่านกลับไปเหมือนกัน ก่อนตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องสอบที่ระดมเป็นชุด เป็นอย่างไร ทำได้ไหม ยากหรือเปล่า ตั้งใจอ่านหนังสือไหม ซึ่งจริงๆ แล้วท่านไม่ค่อยสนใจหรอกว่าผมจะสอบได้คะแนนมากน้อยแค่ไหน เทอมนี้เกรดจะออกมาอย่างไร แต่ห่วงความรู้สึกผมเสียมากกว่า

กลัวว่าสอบได้คะแนนไม่ดี เกรดไม่สวยแล้วผมจะกังวล คิดมาก หรือว่าอ่านหนังสือจนพักผ่อนไม่พอ

เรียกได้ว่าความรู้สึกของผมเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

แน่นอนล่ะ เพราะผมเคยทำให้ท่านหวาดกลัวว่าจะสูญเสียผมมาแล้ว ท่านจึงยินดียอมรับทุกอย่างถ้าเพียงแต่ไม่ต้องเสียผมไป ผมเองก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ลืมนึกถึงความรักความอบอุ่นของครอบครัว ยิ่งย้อนนึกถึงเรื่องเมื่อไม่ถึงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ผมเกือบทำผิดพลาดให้ท่านต้องเสียใจอีกครั้งแล้ว

ผมคงเป็นลูกอกตัญญูที่ตายไปอาจจะตกนรกขุมที่ลึกที่สุดก็ได้ เพราะเกือบฆ่าตัวตายจากความไร้สติและความคิดชั่วแล่นของตัวเอง

เรื่องคราวนี้ผมไม่ได้บอกพ่อกับแม่หรอกครับ และก็นึกขอบคุณเพื่อนๆ อยู่เสมอที่มันคอยช่วยเหลือผมไว้ ทำให้ผมไม่ต้องทำบาปครั้งยิ่งใหญ่จนไม่สามารถแก้ไขได้

“แล้วเรื่องเด็กคนนั้น เป็นยังไงบ้างครับ”

หลังจากคุยเรื่องสอบกันจนจบแล้ว แม่ก็ถามผมขึ้นมา ผมทำหน้างงนิดหน่อย หันไปมองทางพ่อที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ถึงท่านจะนั่งมองหน้าจอแท็บเล็ตในมืออยู่ แต่ผมแน่ใจว่าท่านกำลังเงี่ยหูฟังเหมือนกัน

ผมหันกลับมามองแม่ที่เบิกตากว้างขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย รอฟังคำตอบจากผม แล้วก็เผลอยิ้มออกมา เพราะดูเหมือนว่าพวกท่านจะอยากรู้มาก ทั้งที่ตอนก่อนสอบที่ผมกลับมาบ้าน พวกท่านไม่ได้ถามเรื่องนี้เลย

“ก็... กำลังเป็นไปด้วยดีครับ”

“เป็นไปด้วยดียังไงครับ เขารับรักกราฟแล้วใช่ไหมครับ”

“แม่ใจร้อนจังนะครับ”

ผมแกล้งแซวพลางอมยิ้ม แม่ก็ทำหน้าบู้นิดๆ เหมือนน้อยใจ ก่อนจะหันไปตัดพ้อกับพ่อ

“ดูสิพ่อ เดี๋ยวนี้ลูกโตจนกล้าแซวแม่แล้วนะ”

“ก็คุณอยากทำหน้าอยากรู้เสียเกินหน้า ลูกได้ทีก็แซวสิ”

พ่อยังทำเป็นนิ่งอยู่ จริงๆ พ่อผมถ้าดูเฉยๆ แล้วจะเหมือนดุ แต่ท่านไม่ดุเลยครับ ตอนเด็กๆ ชอบชวนผมเล่นมากกว่าผมชวนท่านเล่นเสียอีก เรียกได้ว่าครอบครัวของเราอบอุ่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อาจเพราะผมเป็นลูกชายคนเดียวด้วยล่ะมั้ง และพวกท่านก็ไม่อยากให้ลูกเสียคน เหมือนอย่างที่เคยเห็นว่าพอพ่อแม่ทำงานไม่มีเวลาให้ลูก ก็จะกลายเป็นปัญหาครอบครัวตามมา

“แล้วว่ายังไงล่ะครับกราฟ มัวแต่อมพะนำ แม่อยากรู้นะ”

ท่านทำตัวเหมือนเด็กๆ เขย่าแขนให้ผมเล่าให้ฟัง ผมเลยกอดแขนท่านตอบก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปาก

“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ กราฟรู้ตัวแล้วว่ากราฟรักเขา”

พูดมาถึงตรงนี้ แม่ผมก็ยิ้มหน้าบานแฉ่งเลยทีเดียว พลอยให้ผมยิ้มตามไปด้วยและเล่าต่อ

“แล้วกราฟก็เลยขอให้เขาอยู่กับกราฟ อยู่เคียงข้างกราฟต่อไปแบบนี้”

“ขอเป็นแฟนเหรอครับ”

“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่กราฟก็บอกไปแล้วว่ากราฟรู้สึกพิเศษกับเขา แต่เดี๋ยวได้เจออีกทีกราฟจะพูดไปชัดๆ เลย”

“ดีมากครับ พูดกำกวมไม่ชัดเจน ผู้หญิงจะคิดมากเอา หาว่าเราไม่จริงใจ”

คำพูดของแม่ทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย ในความคิดของแม่ คนที่ผมพูดถึงคือผู้หญิง แน่นอนว่าเป็นใครก็ต้องคิดแบบนั้น ผมรู้สึกลำคอตีบตันอย่างกะทันหันจนต้องพยายามกลืนก้อนแข็งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าอุปาทานไปเองหรือเปล่าลงไปในลำคอแล้วออกเสียงเบากว่าปกติ

“แต่ว่า...มันมีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ”

“ปัญหาเรื่องอะไรครับ”

แม่ถามมาอย่างง่ายๆ แต่ผมรู้ว่าท่านยินดีรับฟังและพร้อมจะช่วยแก้ปัญหา ไม่อยากให้ผมปิดบัง ซึ่งผมก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรท่านอยู่แล้ว ถ้าเรื่องเหล่านั้นมันแน่ชัด

“เขาไม่มีพ่อแม่แล้ว... ก็เลยใช้ชีวิตลำบากนิดหน่อย ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย”

“น่าสงสารจัง ชีวิตคงลำบาก”

คนฟังเปร่ยเสียงเบา แต่ก็สบตาผมอย่างสงสัย เพราะมองว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรให้ผมต้องกังวลจนไม่กล้าจะเอ่ยเต็มเสียงนัก

“ผมยังไม่ได้รู้จักเขาดีหมดทุกอย่าง เพราะเขายังไม่เปิดใจมากพอจะเล่าเรื่องของเขาให้ผมฟังทั้งหมด แต่ผมจะรอให้เขาเชื่อใจผม ไว้ใจผมจนสามารถเล่าสิ่งที่เขาเก็บเอาไว้ในใจออกมาได้”

“ดีแล้วล่ะครับ กราฟเป็นผู้ชาย ต้องดูแลเขาดีๆ นะ แม่เชื่อว่าเขาจะต้องยอมเปิดใจให้กราฟแน่ๆ”

มืออวบเล็กลูบหัวผมเบาๆ อย่างนุ่มนวลให้ผมรู้สึกอุ่นเหมือนทุกครั้งที่ถูกทำแบบนี้

“แล้วก็...เขาเป็น...” เสียงของผมขาดหายไปช่วงจังหวะหนึ่ง ผมต้องพยายามเค้นเสียงออกมาจนมันหลุดผ่านลำคอที่ตีบตันขึ้นมาชั่วขณะได้ “ญาติของมิ้น”

เหมือนทุกอย่างรอบตัวจะหยุดลงในวินาทีนั้น แม่ชะงักค้างอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเบือนหน้าไปมองพ่อที่นั่งอยู่ที่โซฟาอีกตัวหนึ่ง ผมรู้ว่าพวกท่านกังวลเรื่องอะไร ผมจับมือแม่มากุมเอาไว้ ลูบเบาๆ บนหลังมือราวกับกำลังปลอบ

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไนล์ไม่ได้หวังร้ายกับผม”

“...”

ถึงผมจะพูดแบบนั้น แต่ท่านทั้งสองก็ยังนิ่งเงียบเหมือนยังไม่ไว้ใจนัก ถึงพ่อแม่ของผมจะไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย แต่ก็พร้อมจะมองทุกอย่างเป็นด้านลบ หากมีสิ่งใดทำให้เกิดอันตรายกับผม

“ไนล์ก็เหมือนกับผม มีจุดศูนย์กลางของชีวิตอยู่ที่มิ้น ผมไม่รู้ว่าเขาเจอกับอะไรมา แต่เท่าที่ได้คุยกัน เหมือนว่าเขามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ไม่ทิ้งไปง่ายๆ ก็เพราะมิ้น”

มันอาจจะดูเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ ที่ใครสักคนจะเป็นได้ขนาดนั้นเพียงเพราะคนคนเดียว แต่ผมที่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้นมาแล้ว เข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ และผมแน่ใจว่าครอบครัวของผมก็รู้สึกได้เช่นเดียวกัน

แม่ดึงมือออกไปจากมือของผมที่กุมเอาไว้แล้วเปลี่ยนมาลูบหลังมือของผมแทน ดูเหมือนท่านจะเข้าใจ ผมจึงรวบรวมความกล้าอีกครั้ง

“แม่ครับ” ผมเรียก ก่อนจะหันไปอีกทางหนึ่ง “พ่อครับ”

พวกท่านมองผมด้วยแววตาเหมือนกับกำลังรอคอยคำพูดต่อไปของผมอยู่

“ผมรักเขาได้ใช่ไหมครับ ถึงแม้ว่าเขา...จะเป็นผู้ชาย”

เกิดความเงียบงันขึ้นมากกว่าเมื่อกี้จนเหมือนความดันในชั้นบรรยากาศอัดกระแทกเข้าหูจนอื้อไป ผมมองหน้าพ่อแม่ที่ทำหน้าประหลาดใจชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิตกกังวล ท่านทั้งสองมองหน้ากันอยู่นาน ราวกับกำลังประเมินสถานการณ์ว่าต่อไปจะทำอย่างไรดี เพราะสิ่งที่พวกท่านได้ยินเกินกว่าที่จะคาดเอาไว้

ผมแน่ใจ เพราะผมไม่เคยมีอาการรักชอบผู้ชายมาก่อน ถึงแม้ว่าจะสนิทสนมกับยีนมากเกินกว่าเพื่อนธรรมดา แต่พวกท่านก็เข้าใจว่าเพราะอะไร

ยีนเหมือนที่พึ่งทางใจ

เป็นยาบำบัดให้ผมหายจากอาการป่วยไข้

ผมไม่เรียกร้อง ไม่เร่งเร้าขอคำตอบ เพื่อให้ท่านทั้งคู่ได้ตัดสินใจ แม้ผมจะไม่เคยมีความคิดว่าหากโดนคัดค้านหรือขัดขวาง ผมจะยินยอมทำตามบุพการีแต่โดยดี ผมพร้อมจะอธิบายและให้เวลาพวกท่านค่อยๆ เปิดใจทีละนิด แม้อาจต้องใช้เวลามาก แต่ผมก็ยินดีจะทำ หากพวกท่านจะยอมรับได้ในสักวันหนึ่ง ทว่า...ผมก็คาดหวังเอาไว้ในใจอยู่เช่นเดียวกันว่าพวกท่านจะยอมเปิดใจยอมรับมันตั้งแต่แรก ถึงจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพ่อแม่คนไหนก็ตาม

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่พร้อมกับความรู้สึกอึดอัดในอก สุดท้ายแม่ก็หันกลับมาหาผมอีกครั้ง นัยน์ตาคู่นั้นจับจ้องใบหน้าของผม ก่อนจะมาหยุดที่ดวงตาทั้งสองข้าง เราสบสายตากันราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ผ่านทางนั้น จากนั้นท่านก็ค่อยๆ เขยื้อนริมฝีปากออกจากกัน เอื้อนเอ่ยเสียงที่ผมกำลังเฝ้ารอ

“ถ้าเขาทำให้กราฟมีความสุข... พ่อกับแม่ก็พร้อมจะเปิดใจจ้า”

รอยยิ้มค่อยๆ เผยออกจากใบหน้าของผม มันผุดขึ้นทีละน้อยคล้ายกับกลีบดอกไม้ที่กำลังผลิบานอย่างช้าๆ ผมรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น ขณะเดียวกันรอยยิ้มของแม่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความสุขของกราฟหรอกครับ”

แม่ยื่นมืออวบอูมนั้นมาแนบแก้มผมเบาๆ ก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนแก้มอีกข้างหนึ่ง ส่วนพ่อก็นั่งพยักหน้าเบาๆ มีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าคมดุนิดหน่อยคล้ายกับว่ายอมรับและเห็นด้วยในคำพูดของแม่เช่นกัน

“ขอบคุณนะครับแม่ ขอบคุณครับพ่อ”

ความรู้สึกหนักในอกที่ก่อตัวขึ้นเมื่อครู่มลายไปจนหมดสิ้น ผมไม่มีเรื่องให้ต้องคิดมากหรือกลุ้มใจกับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียว เพียงแค่คำตอบจากไนล์อย่างชัดเจน ว่าพร้อมจะยอมเปิดใจให้ผมทั้งหมด

ทว่า...ผมเกือบลืมเรื่องหนึ่งไปสนิท กระทั่งเสียงข้อความเข้าดังมาจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู เห็นชื่อคนที่ส่งข้อความเข้ามาแล้วก็อมยิ้มกับตัวเอง เพราะเขาเป็นฝ่ายส่งข้อความเข้ามาในเครื่องของผมก่อน ทั้งที่ผมยังไม่ได้ส่งข้อความไปหาเขาเหมือนอย่างทุกที

นิ้วของผมขยับปลดล็อกเครื่องและเปิดเข้าไปดูสิ่งที่ถูกส่งมา แต่เมื่อเห็นสิ่งนั้น ร่างของผมก็ชาวาบพร้อมกับความสับสนมึนงงและสงสัยก่อตัวรวมกันราวกับพายุฝน



ถ้าฉันสอบเสร็จแล้ว ไปทะเลกัน




-----------
นึกว่าจะได้มาอัพอีกทีตอนสิ้นเดือนซะแล้ว งามท่วมทับมากเลยค่ะ
เหลือตอนหน้ากับบทส่งท้ายอีกหนึ่งตอนก็จบแล้วนะคะ
แล้วก็จะมีตอนพิเศษของไนล์อีก 1 ตอนค่ะ

Undel2Sky


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2015 19:55:51 โดย undersky »

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ว้าวววว มาแว้วววว :impress2: :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แอบสงสัยว่าพ่อแม่ไนล์ต้องมีประเด็นแน่

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
อยากเห็นอิมเมจของ กราฟ กะ ไนล์อ่ะครับ  :z2: :z2: :z2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด