
มองฉันสักที
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเวลาตัดสินอนาคตของเด็กม.6ทั่วประเทศ
ตามคาดเจ๊นิดเอนทรานส์ไม่ติด
แต่ไม่มีใครเสียใจ
เป็นไปตามคาด
ชีวิตไม่ได้จบสิ้นเมื่อเอ็นไม่ติด
เจ๊นิดได้ที่เรียนที่มหาวิทยาลัยในกทม.
ม. ABCD(นามสมมุติ) ม.เอกชนแถวหัวหมาก
ได้ชื่อว่าค่าหน่วยกิตแพงอันดับต้นๆในตอนนั้น
ตอนแรกเจ๊แกลังเล
เป็นห่วงคนที่บ้าน และค่าใช้จ่ายหลายพันต่อเดือน
ลงทะเบียนครั้งแรก
ซื้อรถมอเตอร์ไซค์เล็กๆได้ทั้งคัน
พ่อ…มีบทบาทเป็นสปอนเซอร์แต่เพียงผู้เดียว
แม่…มีคนมาช่วยงานบ้าน ช่วยขายของ และอยู่เป็นเพื่อน
พี่ศรี…แม่ม่ายสามีทิ้ง
เดิมแกก็มาที่บ้านผมบ่อยๆ
มารับเสื้อผ้าเก่าๆ
ชุดนักเรียนเก่าๆ
ของใช้เก่าๆ
เอาไปขายตามบ้านนอก
แกถูกชะตากับแม่มาก
มาทีคุยเล่นกันจนเกือบลืมว่ามารับซื้อของเก่า
แกหายไปเกือบครึ่งปี
กลับมาด้วยหน้าตาน่าสยดสยองสำหรับเด็กแบบผม
จมูกแกหายไปทั้งอัน
เหลือแค่รูจมูกตีบๆ2รู
มองด้านข้างบริเวณที่เคยเป็นจมูก
ราบเรียบ ไม่มีร่องรอยว่าเคยมีจมูกอยู่
ริมฝีปากบนและล่างบางส่วนโหว่เป็นโพรงลึก
ฟันหน้าหายไปหมด
ฟันล่างเหลือแต่ฟันกรามด้านใน
คนปากแหว่งเพดานโหว่เป็นเรื่องจิ๊บๆไปเลย
เมื่อมาเจอหน้าตาพี่ศรีตอนนี้
แถมใบหู เหลือแค่หูซ้ายข้างเดียว
ตามแขน2ข้างมีแต่รอยแผล
ผิวหนังหดรั้งบริเวณข้อพับแขนด้านใน
ทำให้แขนข้างนึงงอ ยืดตรงไม่ได้
แกเล่าว่าเข้าป่าหลังที่นา
ไปขุดหน่อไม้ไผ่ตง
เสือมาจากไหนแกไม่รู้
รู้ตัวอีกทีคิดว่าตายไปแล้ว
แกไม่ตาย แต่เหมือนตายทั้งเป็น
ชาวบ้านพากันรังเกียจ ญาติพี่น้องไม่อยากข้องเกี่ยว
เด็กๆเรียก อีหน้าผี
ที่หนักสุดคือสามีแกหนีหายไป
แกไปขอบวชชีที่วัด แต่ทางวัดไม่ให้
ทนทรมานอยู่นาน
ก็กลับมารับซื้อของเก่าไปขายเหมือนเดิม
หาซื้อของเก่าไม่ได้
บ้านไหนๆก็ไม่เคยมีของเก่า และคงไม่มีอีกตลอดไป
ของเก่าที่พอมี
ไม่มีคนซื้อ
มีแต่คนมอง
บางคนใจกล้า สอบถามซอกแซก
ทำท่าสยดสยองราวกับแกเป็นโรคเรื้อน
แม่ชวนแกมาอยู่ด้วยที่บ้าน
ดีที่แกไม่มีหนี้สิน
มีเหลือแต่จิตใจที่งดงาม
ไม่เคยก่นด่าโชคชะตา และคนรอบข้าง
แรกๆ ไอ้นิวกลัวแกมาก
ห้ามพี่ศรีมองหน้ามัน
เจ๊นิดกับผม ก็ไม่กล้ามองหน้าแกตรงๆ
แอบมองเวลาแกเผลอ
ผ่านไปไม่ถึงเดือน
ไอ้นิวตื้อให้แกเล่าเรี่องเสือไม่เลิกรา ราวกับมันจะเข้าป่าล่าเสือ
ผมก็ชอบกินกับข้าวที่แกทำ
เจ๊นิดชอบฟังเรื่องชีวิตแกที่บ้านนอก
พวกเราเหมือนหยิบยื่นชีวิตใหม่ให้แก
แกเหมือนญาติสนิทที่เราวางใจให้ดูแลแม่
เจ๊นิดเช่าหอพักอยู่กับเพื่อนที่หน้าราม
ทำตัวเฮฮา สนุกสนาน เพื่อนฝูงมากมาย
ทำกิจกรรม เล่นกีฬา
ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างคุ้มค่า
แต่น่าแปลก
แกเรียนจบใน4ปี
เกรด3กว่า เกือบได้เกียรตินิยม
เคยเปิดดูสมุดเล็กเชอร์ของแก
ทุกวิชาเรียนเป็นภาษาอังกฤษหมด
ลายมือแก ตัวอักษรอังกฤษ อ่อนช้อยสวยงาม ราวกับเจ้าของภาษา
เวลาคุยกับครูฝรั่ง
ถ้าไม่เห็นตัว
คิดว่าฝรั่งคุยกัน
เคยถามแก
แกบอกว่า
“เจ๊ค้นพบพรสวรรค์ของตัวเองแล้ว
เรียนเหมือนไม่ใช่การเรียนที่น่าเบื่อในห้องเรียน
แต่เป็นเหมือน ได้ท่องโลกกว้าง
เจ๊มีความสุข
มีสิ่งใหม่ๆรอให้เจ๊เข้าไปหา
แกเองก็รีบค้นพบตัวเองให้เจอ
จะได้มีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า”
เฮียปาน
สอบติดคณะวิศวกรรม
แถวลาดกระบัง
ทางไปม. มีช้างสามเศียร
(เดากันถูก มั๊ยครับ)
ราวกับเทพอุ้มสม
แกตัดสกินเฮด
แต่งตัวแบบพวกเด็กช่าง
ท่าทางยียวน ชวนหงุดหงิด
ถ้าสมัยนี้ ก็คงที่เรียกว่า
เด็กเกรียน
สิ่งที่ไม่เปลี่ยน คือ ความห่วงใยที่มีให้ผม
แรกๆ แกกลับบ้านทุกวันหยุด
หายไปแค่ช่วงกิจกรรมรับน้อง
เฮียปานพาผมขี่รถเล่น
นั่งคุยกันริมสนามบอลที่รร.
เตือนให้ผมตั้งใจเรียน
กทม.ของเฮีย2คน
ระยะทางไม่เท่ากัน
คนนึงมาบ่อยๆจนไม่รู้สึกว่าจากไป
อีกคนไม่มาเลย แต่วิ่งวนเวียนอยู่ในใจ
เทอม2
ทุกครั้งที่แกกลับมา ในวันหยุด
เป็นเวลาที่ผมต้องทุกข์ทรมาน
แกจับผมมานั่งติวที่รร.
โต๊ะใต้ถุนตึกเรียน
แทบจะกลายเป็นบ้านผมในวันหยุด
ผมเบื่ออออออออ
อยากพักสมองที่ไม่ค่อยได้ใช้มั่งอะครับ อิอิ
“เฮียอะ ผมเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์แล้วนะ ไม่อยากเรียนแล้ว”
“…………..”
“นะครับ นะ นะ พักก่อน เนี่ยสมองบวมหมดแล้ว”
“เฮ้อ”
ถอนหายใจ แล้วลูบหัวผม
“ติวไปทำไมเยอะแยะอะ ยังไงโง่ๆแบบผมก็เอ็นไม่ติดหรอก”
“อยากให้ไปอยู่ด้วยกัน”
“ห๊ะ อะไรนะ เฮียว่าไงนะ”
“เอ่อ เฮีย เฮียอยากให้เราไปเรียนที่เดียวกับเฮีย”
“โห ไม่เอาอะ มีแต่พวกเถื่อนๆ” (ขอโทษครับ)
“เถื่อน แต่ไม่ถ่อยนะคร้าบบบบบบบ”
“ฮะ ฮะ ฮ่า ถ้าทั้งเถื่อนทั้งถ่อย ผมไม่คบด้วยหรอก”
“…………”
เฮียปานเงียบไป
หันไปมอง
หน้าเฮียยิ้มกริ่ม
“มองเห็นแล้วสินะ”
“หือ”
“มองเห็นเฮีย หันมามองกันแล้วสินะ”
“…………”
ผมก้มหน้านิ่ง
พูดยังไง
จะถนอมน้ำใจแกยังไง
กลัวแกเข้าใจผิด
กลัวเสียใจ
กลัวถลำลึก
กลัวความสงสาร
กลัวความเห็นใจ
ในวันนี้
จะทำให้สถานะเปลี่ยนไป
“เฮียปาน โดดเรียนเหรอ “
ถึงบ้านเย็นวันศุกร์
เฮียปานก็มาหา
“ขึ้นรถ”
ขึ้นซ้อนเวสป้าอย่างเคยชิน
เฮียขี่ไปสวนสาธารณะ
รร.เพิ่งเลิก วุ่นวาย
นั่งเล่น คุยกัน
จนแสงอาทิตย์อ่อนจาง
“ยุงกัดแล้วอะ กลับเหอะ”
“…………..”
“เฮีย เฮียปาน กลับบ้านได้แล้ว”
“อ้อ อ้อ”
เฮียปานอ้ำๆอึ้งๆ
วันนี้ดูแกแปลกไป เหมือนมีความในใจ
“เป็นอะไรเนี่ย แปลกๆอะ”
ผมลุกขึ้นยืน แล้วตรงไปรอแกที่รถ
เฮียปานเดินมาที่รถ
นั่งพิงอานเวสป้า
ผมเลยต้องยืน ยืนมองหน้าแก
เฮียปานมองมา
หน้าแดงๆ
ดูประหม่า
“หน่อย”
“ไรอะ”
“เฮียขอฝากของให้เราดูแลได้มั๊ย”
“………..”
ของ…….ฝากดูแล
ใจผม เจ็บจิ๊ด
โหวงๆในอก
แผลเก่าถูกสะกิด
“ได้มั๊ย ฝากได้มั๊ย”
เสียงนุ่มผิดวิสัย
แตกต่างกับแววตาที่วูบไหว
ความสงสารเป็นฝ่ายชนะ
พยักหน้าลง
เชือกสีดำยาวๆคล้องเป็นสร้อย
สวมจากหัวลงมาที่คอ
มีจี้รูปทรงแปลกตา
โลหะแบน วงกลมๆ ด้านนอกมีรอยหยักโดยรอบ
“เกียร์”
“เอ้อ”
“ดูแลมันเผื่อเฮีย รับปากได้มั๊ย”
“เกียร์อะไรอะเฮีย อะไหล่รถเหรอ”
“……….”
เฮียปานอึ้ง
“ให้ผมใส่เชือกเนี่ยนะ เก็บเฉยๆไม่ได้อะ”
ไม่อยากใส่ครับ
เชือกดำๆเหมือนพวกเด็กวัยรุ่นเกๆใส่กัน
แถมมีเกียร์อะไรนี่อีก
“ผมกลัวฟ้าผ่า เนี่ย ล่อฟ้ารึป่าวก็ไม่รู้”
มือจับจี้ยกขึ้นดู
“ฮะ ฮะ ฮ่า กูจะบ้าตาย”
สุดกลั้น เฮียหัวเราะเสียงดัง
คนเดินผ่านชำเลืองมอง
“เฮียอะ งั้นไม่เอาแล้ว”
ทำท่าจะถอดออก
เฮียจับมือผมห้ามไว้
“เกียร์ เป็นสัญญลักษณ์ของวิศวะ
จริงๆแล้วมันเป็นฟันเฟือง”
ผมดึงมือออก
“แล้วให้ผมทำไม”
เสียงผมเปลี่ยนไป
มันแหบแห้ง
สิ่งที่พยายามหลีกเลี่ยง
กำลัง
ใกล้เข้ามา
“ทั้งชีวิต วิศวะจะมีเกียร์แค่อันเดียว”
“แล้ว….”
“สำคัญที่สุด ในชีวิต”
“แต่…”
“สำคัญรองลงมา”
“รองลงมาจาก”
“หัวใจรัก”
“ของเฮีย”

-----------------------------------
ตอนหน้าเตรียม
อุปกรณ์
ที่ชอบ
เช็ด
เลือดกำเดากัน
ครับผม
