
ขอปรบมือให้กับทีมสาวไทยครับผม
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รับน้อง 1
“อยู่ต่อเลยได้ไหม
อย่าปล่อยให้ตัวฉันไป เธอก็รู้ทั้งหัวใจ
ฉันอยู่ที่เธอหมดแล้วตอนนี้
อยากได้ยินคำว่ารัก
แทนคำบอกลาเมฆฝนบนฟ้าคงรู้ดี
คืนนี้ให้ฉันได้อยู่ใกล้ๆ เธอ” (สิงโต นำโชค)
เพลงไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องแต่อย่างใดครับ
บรรยากาศฝนตก
สำหรับคนเหงาๆ
ผ่อนคลายความหนาว
จงมีคนให้กอด ณ.บัดนาว...อิอิ
ด้วยกำลังใจจากคนรอบข้าง
ผมเริ่มลุกขึ้นสู้อีกครั้ง กับการเรียน
นักศึกษาปี1 มหาวิทยาลัยเปิด
ช่วงแรกๆผมพักอยู่คอนโดเจ๊นิด
พอเวลาผ่านไปสักระยะเริ่มมีเพื่อน
ผมจึงขอออกไปอยู่หอพักกับเพื่อน เกรงใจแกครับ
ถึงยังไงแกก็คงอยากมีช่วงเวลาส่วนตัว
แต่เจ๊แกไม่ยอมครับ ยืนยันเสียงแข็ง
“พักที่นี่แหละ เจ๊เองก็ไม่ค่อยได้อยู่ห้องเท่าไหร่ เสียดายค่าเช่า”
“แต่เจ๊เป็นผู้หญิงนะ มันจะน่าเกลียดรึปล่าว”
“ฮึ เอาสมองส่วนไหนมาคิดห๊ะ ชั้นบอกว่าอยู่ได้ก็ต้องได้”
“ว่าไงว่าตามกันครับ”
ใจจริงไม่อยากย้ายหรอกครับ คอนโดแกอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพียบ
แถมแกยังใจดีไม่หวงของ
ปลายๆเดือนก็ยังยัดเยียดเงินมาให้ผมใช้ไม่ต้องเอ่ยปากขอ
เสื้อผ้า มีร้านซักรีดใต้คอนโด ราคาพอรับไหว
ซักเองก็พวกชั้นในกับถุงเท้าครับ
พอเผลอลืมสัก2-3วัน เจ๊แกเก็บซักหมดเลย ไม่บ่นสักคำ
ผมเลยต้องรีบซักทุกวัน ไม่งั้นแกจัดการแทน
เกรงใจด้วย อายด้วย
ในตู้เย็นของกินมีไม่ขาด โดยเฉพาะนมกับผลไม้
บางวันก็มีพวกเบเกอรี่จากโรงแรมที่แกไปทำงานพิเศษ
คือโรงแรมแกค่อนข้างเข้มงวดมาตรฐานครับ
หมดวันก็เอาขนม อาหารที่ขายไม่หมดมาขายพนักงาน โดยลดครึ่งราคา
บางวันก็แจกฟรีกันเลยทีเดียว
พนักงานสาวๆส่วนใหญ่กลัวอ้วนกัน
แต่เจ๊นิดแกค่อนข้างไฮเปอร์ ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก
ทำให้ผมพลอยได้กินขนมอร่อยๆ
อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเปิดร้านกาแฟก็เป็นได้ครับ
จากคอนโดเจ๊นิด ผมสามารถนั่งรถเมล์มาเรียนที่มหาวิทยาลัยแค่ต่อเดียว
ถ้ารถไม่ติดก็ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แถมรถมักไม่ค่อยแน่น ได้นั่งตลอด
ไม่เหมือนสมัยนี้ สงสารน้องๆเด็กนักเรียนครับ โชคดีที่มีรถไฟฟ้า
แต่ชั่วโมงเร่งด่วนก็ลำบากเหมือนกัน
เจ๊สอนผมขึ้นลงรถเมล์หนึ่งรอบ แล้วให้ผมไปเรียนเอง
นานๆที ถ้าเรียนเวลาใกล้กันก็ติดรถยนต์แกไป
ผมมีเพื่อนหลายคนเหมือนกันที่มาเรียนที่เดียวกัน
ก็เพื่อนในรร.เก่านั่นแหละครับ
เมื่อมาต่างถิ่น พวกเราก็เกาะกลุ่มกัน (บ้านนอกเข้ากรุง..อิอิ)
คุยๆกันไป ปรับตัวเข้าหากัน ก็เริ่มสนิทสนมกัน
กลุ่มผมก็9คนครับ ผู้หญิง6คน ผู้ชายรวมผม3คน
เท่าที่สังเกตใน3คนนี้ ชายแท้แค่คนเดียวครับ ชื่อ หนุ่ม
ตัวผมเองก็อย่างที่รู้กัน..แหะๆ แต่ไม่มีใครรู้นะครับว่าผมมีแฟนเป็นปู้จาย
อีกคน ชื่อสิทธิ์ ผมว่าแอ๊บอยู่ครับ แต่ไม่เนียน ผมดูออกอะนะ
ทั้ง9คนมาเรียนไม่พร้อมกันทุกคน
โดดมั่ง ลงเรียนวิชาแตกต่างกันบ้าง
แต่ทุกวันอย่างน้อยก็มาเรียน3-4คนแหละครับ
หากวันไหนครบทีม เสียงคุยกันดังมาก
ประมาณพวกเยอะ ไม่กลัวใคร
การมาเรียนที่นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติแล้วครับ
ลงจากรถเมล์มาได้ก็จะตรงดิ่งไปที่โต๊ะจังหวัด หาพรรคพวก แล้วค่อยไปเรียน
ไปคนเดียวไม่ได้ มันเขินๆครับ
โต๊ะจังหวัด เป็นโต๊ะประจำ มรดกตกทอดมาเนิ่นนานจากรุ่นสู่รุ่น(ยึดครองสืบต่อกันมา)
วันหนึ่งผมเดินมากับเพื่อนที่บังเอิญเจอกันที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย
พอมาใกล้ซุ้มโต๊ะจังหวัด
ซุ้มจังหวัดผมคนเยอะครับ มีต้นไม้ใหญ่ๆให้ร่มเงา
มีโต๊ะไม้ยาวๆ กับม้านั่งยาวแบบไม่มีพนัก ตั้งขนาบติดอยู่กับโต๊ะ
ถ้าจะยกจะย้าย ก็ต้องไปพร้อมกันทั้งโต๊ะ เก้าอี้
โต๊ะมีอยู่ 4ชุดครับ พี่ๆผู้หญิงคอยผลัดกันดูแลความสะอาด
พี่ๆผู้ชายคอยกวาดถางต้นไม้ใบหญ้าไม่ให้รกเกิน
โต๊ะที่เด่นสุดก็ตัวที่อยู่ด้านหน้าทางเข้าซุ้ม
อีก3ตัว อยู่เยื้องไปทางด้านใน ถ้าไม่เดินเข้าไปใกล้ก็จะมองไม่เห็น
ผมมองสำรวจเข้าไปในซุ้มว่ามีใครอยู่บ้าง ผมยังไม่ค่อยรู้จักรุ่นพี่ๆ
แค่คุ้นๆหน้ากันแค่นั้น
สายตาคู่หนึ่งจ้องมองผมอยู่ ผมมองตอบด้วยความแปลกใจ คนรู้จักรึปล่าวนะ
มองผมเฉยอยู่ จนรู้สึกอึดอัด ต้องหลบสายตา
“แกๆพี่โบ้ เท่ห์โคตรเลยว่ะ”
“อืม หล่อเกิน กูหล่ะอิจฉา”
“เนี่ยถ้ามาจีบชั้นนะ ชั้นจะยอมทุกอย่างเลย อร๊าย หล่อจริงไรจริง”
เพื่อนที่เดินตามมาสมทบทำให้กลุ่มเรากลายเป็นกลุ่มใหญ่
“อ้าว มาแล้วก็เข้ามานั่งสิ ยืนตากแดดกันอยู่ได้”
พี่คนหนึ่งชะโงกหน้ามาเรียกพวกผม แล้วหันไปหาคนที่จ้องผมอยู่
“ไอ้โบ้ แกก็ลงมาได้แล้ว รู้ว่าหน้าตาดีไม่ต้องพรีเซ้นท์”
คือพี่แกนั่งบนโต๊ะครับ ตัวที่เด่นที่สุดด้านหน้าซุ้ม เท้าเหยียบอยู่บนเก้าอี้
กางขาออก ทำตัวชิวชิว ประมาณ ข้าเท่ห์ ข้าหล่อ ไม่แคร์สื่อ
มองสำรวจคร่าวๆตอนที่แกหันไปคุยกับเพื่อน
หล่อครับ หล่อกว่าเฮียมี่ เท่ห์กว่าเฮียปาน
ตัวสูง ขาว หน้าออกตี๋ๆ แถมแกใส่รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อกับกางเกงยีนส์สีเข้ม
แม้จะใส่เสื้อนักศึกษาก็ดูดี เสื้อเข้ารูปนิดๆ เน้นให้เห็นรูปร่างสูงโปร่ง
ไปเดินแบบได้สบายๆ คือหุ่นไม่ใช่นักกีฬา จะออกแนวสำอางครับ
คาดว่าเข้าไปใกล้ต้องได้กลิ่นน้ำหอมแน่นอน
ผมงี้จัดทรงยังกะเพิ่งออกมาจากร้าน
ผมแอบคิดเล่นๆในใจไม่ได้ว่า
ถ้าแกมาจีบผม แล้วละก็.....อุ๊บอิ๊บ เลยหล่ะ...อิอิ ชอบๆ (เลวจริงไรจริง)
ตลอดเวลาที่นั่งที่ซุ้ม พี่โบ้แกมองผมจนผมทำตัวไม่ถูก แขนขาเกะกะไปหมด
ทำให้ไม่ค่อยกล้าพูดอะไร ได้แต่นั่งฟังคนเขาคุยกัน หัวเราะไปตามเรื่อง
มีชำเลืองแกหน่อยๆ เวลาแกคุยกับคนอื่น
ยิ่งดูใกล้ๆ แกแทบไม่มีที่ติในสายตาผม
ผิวพรรณดีครับ สิวไม่มีสักเม็ด
แกคุยเก่งครับ ชวนคนโน้นคนนี้คุย
พวกเพื่อนผมหลงเสน่ห์แกไปแล้วครับ
แต่แกไม่ชวนผมคุยเลยอะครับ
มียิ้มมุมปากให้นิดๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งแกขยิบตาให้ผม
โคตรของโคตรอายเลยผม ใจเต้นตึกตัก
วันนั้นผมกับแกไม่ได้พูดกันสักคำ มีแต่แกส่งสายตามาบ่อยๆ
ผมก็หลบๆตา เฮ้อ ไอ้หน่อยแพ้ทางคนหน้าตาดี
ตอนหลังมารู้ข้อมูลแกจากพี่ๆเพื่อนๆที่เขาคุยกัน
พี่โบ้เป็นพี่จังหวัดแต่ย้ายมาอยู่กทม.ทั้งบ้านตั้งแต่แกขึ้นม.1
แกเรียนคณะวิทย์ปี4 ม.แถวๆสามย่าน
แกก็ถือว่าเป็นพี่จังหวัดกะเขาด้วย นับๆแล้วก็รุ่นเดียวกับเฮียมี่แต่ไม่สนิทกัน
แค่พอรู้จักผิวเผิน
อาทิตย์ต่อมาเป็นการรับน้องจังหวัด
รวมๆแล้วสมาชิกของจังหวัดเราที่เรียนที่นี่
ปี1 ก็เกือบๆ 40 คน พวกผม9คน ที่เหลือเป็นเด็กต่างอำเภอกัน
พี่ปีอื่นๆก็หลายสิบคน อาจจะถึงร้อยคน
แต่ไม่ได้มาที่โต๊ะกันทุกคนนะครับ นานๆก็เรียกรวมพลบ้างตามวาระโอกาส
นอกจากนั้นมีพี่บางคนที่เรียนจบแล้ว ก็ยังผูกพัน วนเวียนมาดูแลน้องๆ
พี่บางคนอยู่มหาวิทยาลัยอื่นก็ยังมาร่วมกิจกรรม ว่างๆก็มานั่งเล่น เหมือนพี่โบ้นี่แหละครับ
ลงมติไปรับน้องกันที่สวนสนครับ
นัดกันที่ซุ้ม5โมงเย็นของวันศุกร์ต้นเดือน
คือรุ่นพี่แกลงขันกัน ไม่มีการเรียกเก็บเงินน้องใหม่ปี1 มีเงินกองกลางของซุ้มส่วนหนึ่งด้วย
พี่ๆม.อื่นก็ไม่ยอมน้อยหน้า เกณฑ์น้องจังหวัดในม.ของตัวเองมาด้วย
รวมๆแล้วงานรับน้องจังหวัดคนเยอะมาก
รถบัส4คัน รถค่อนข้างแน่น พี่บางคนยืนไปก็มีนะครับ แถมท้ายรถตีกลองร้องเพลงกัน
คนที่คึกหน่อยก็ออกสเต็ปโชว์ เฮฮาสุดๆ
(อันนี้บรรยากาศในรถตอนขากล้บนะครับ ขาไปผมมีเหตุต้องตกรถ)
วันนัดหมาย
6โมงเย็นแล้วผมเพิ่งลงจากรถเมล์ที่หน้ามหาวิทยาลัย
ฝนตกปรอยๆ รถเมล์ขาดระยะ
ทั้งๆที่เผื่อเวลาไว้แล้ว กะว่ามาถึงอย่างช้าไม่เกิน4โมงครึ่ง
เผื่อเวลาตามหาเพื่อนด้วย คนเยอะผมก็อายๆ
วิ่งหอบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ฝ่าฝนไปที่ซุ้ม
ไม่มีใครเลย มองเข้าไปมืดๆ
ใจเสียเลยผม
“เฮ๊ย..”
ตกใจ มีคนมาสะกิดไหล่ผมจากข้างหลัง
“หึ หึ ว่าไงเรา”
“ง่ะ”
พี่โบ้ครับ แกยืนกางร่มชิดอยู่ด้านหลัง
“เปียกหมดเลย เด็กน้อย อะ เช็ดซะ”
แกยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เปียกเท่าไหร่”
ไม่เอาหรอกครับ เช็ดอะไรมามั่งแล้วก็ไม่รู้
“ดื้อ รับไปสิ รึจะให้ช่วย”
ทำเสียงดุ แต่หน้ายิ้มละไม
“คะ..ครับ ขอบคุณครับ”
จำต้องรับมา แปะๆ2-3ทีที่หัว แล้วส่งคืน
“อ่ะ คืน”
ยื่นส่งไปคืนเจ้าของ จะได้จบๆ
ประหม่าเหมือนกัน แกใส่เสื้อโปโลสีชมพูอ่อน กางเกงขายาวสีเข้ม
รองเท้าผ้าใบสียีนส์ หล่อทุกมุม
“เหลือเกินนะเรา”
เอื้อมมือมาเช็ดผมให้
“อ๊ะ”
ตกใจผงะถอยหลัง
“ทำไรอะ”
“หึหึ ไม่แกล้งหล่ะ เอาไปเช็ดเอง”
พี่แกขยับเข้ามากางร่มให้ จำต้องรับผ้าเช็ดหน้าแกมา
“คนอื่นไปกันหมดแล้วเหรอครับ”
หันซ้ายมองขวา ไม่มีใครในระยะสายตา
“อืม”
“ว๊า..แล้วงี้ทำไงอะ”
“อืม หาไรหนุกๆทำกันม๊ะ”
“ห๋า”
ตอนนั้นผมมองพี่โบ้เหมือนดาราที่เราชื่นชอบ
ก็ปลื้มความหล่อของแกแค่นั้นเองครับ
แต่งานรับน้องครั้งนี้มันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
รอต่อพรุ่งนี้นะครับ
ไม่ไหวแล้วครับ
ดีใจสุดๆกับการชนะญี่ปุ่น
เซ็งจัดๆ กับลิเวอร์พูล..ทีมโปรด
ปรับอารมณ์ไม่ทันอะครับ
ตอบคอมเม้นท์ครับ
อารมณ์ผมสวิงรึปล่าวเหรอครับ
ถามคนข้างๆบอกว่า
“อืม ขึ้นๆลงๆ”
“ง่ะ ไรอะ ขยายหน่อยดิเฮีย”
“ก็ขึ้นง่าย ลงยากอะครับ 555”
“บร้า”
คือเคยตัวครับ เวลาน้อยใจก็ร้องไห้ง่าย
คนรอบข้าง หมายถึงคนสนิทๆ ก็มักเอาใจ ตามใจ เพื่อตัดรำคาญ
พอได้ผล เลยชินอะ
อะไรนิดก็ร้อง อะไรหน่อยก็งอน
บางทีผมยังงงกะตัวเองว่า...
เป็นไรว้า
ส่วนที่แวะมาตอนเช้า..
คือ...ตื่นมาเข้าห้องน้ำแล้วกลับไปนอน(ซุกไออุ่น)ต่ออะครับ
เมื่อคืนคนข้างๆบอกว่ากินโต๊ะจีนไม่อิ่มครับ
เลยนอนซะเกือบ..วันใหม่...อิอิ
พรุ่งนี้มาบ่ายๆครับผม
มาลง "รับน้อง2"
ก่อนไปกินอาหารญี่ปุ่น
มาม่าไม่ได้เหรอเด็กๆ..ฮือฮือ
3มื้อ 3 ประเทศเลยทีเดียวเชียว
Good night ครับ
