
ตายๆๆๆๆ
ลืมดู..มือผมออกสื่อไปแล้ว
ทีนี้คนเขารู้กันทั้งประเทศเลยว่าผมเป็นใคร
ฮะ ฮะ ฮ่า...เว่อร์เกิน สำคัญตัวสูงส่ง
ก็ตามที่บอกครับ สิ่งเดียวที่เป็นจุดขายของผม คือ ความขาว
นอกจากนั้นก็ธรรมดา ไม่ได้หน้าตาดีเหมือนใครเขา
แต่ใจผมหล่อนะเออ....คริ คริ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ และการรอคอยครับผม
สงสัยอยู่ไม่น้อยสำหรับท่านที่อ่านเรื่องนี้จบภายในวันเดียว
โอวววว...ช่างสามารถ

-----------------------------------------------
ระหว่างทางไปรีสอร์ทที่พัก สองข้างทางมีเพิงขายตุ๊กตุ่นตุ๊กตาเพียบเลย
โดยเฉพาะตุ๊กตาแกะ มีทั้งเป็นตัวนุ่มๆสำหรับกอดรัดฟัดเหวี่ยง
และที่เป็นปูนปั้น สำหรับแต่งบ้านแต่งสวน
ไม่ได้ลงไปดูครับ อยากเข้าที่พักมากกว่า
สวนผึ้งรีสอร์ท....
พื้นที่กว้างขวาง ต้นไม้ใบหญ้าเยอะดีครับ
เป็นรีสอร์ทเก่าแก่ แต่ไม่น่ากลัว ถึงที่พักจะเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง
ผมได้บ้านที่ด้านหน้าหันประชันกับลานกว้าง
ที่ตอนนี้จัดเวที จัดโต๊ะ สำหรับงานเคาท์ดาวน์ในวันพรุ่งนี้
จะนอนหลับมั๊ยเนี่ย เสียงดังแน่ๆ
คืนนี้ยังไม่มีงาน แต่ก็ยังมีดนตรีขับกล่อมครับ
แต่ผมไม่ถามเฮียหรอกครับ ว่าจะผ่านพ้นปีเก่ากันที่นี่รึป่าว
ต้อนรับปีใหม่ที่นี่ก็ไม่เลวครับ ธรรมชาติเหลือเฟือ
ที่ไม่ถามไม่ใช่ว่าหยิ่ง ถามไปแกก็บอกแต่ว่า...เซอร์ไพรส์(ทั้งปี)
เอาเหอะ เล่นกับแกเสียหน่อย
-------------------------------------------------------
ตอนกลางวัน อุณหภูมิ 30 องศา
แต่ตอนออกจากบ้านหอมเทียน ช่วงหกโมงเย็น....20องศา
สัมผัสได้ถึงอากาศเย็นที่พร้อมจะเย็นลงเรื่อยๆ
ที่นี่เป็นเขาสูงครับ หน้าหนาวจะหนาวจัด
แต่หน้าร้อนไม่ควรมาเที่ยวนะครับ ร้อนตับแลบแน่ๆ
เข้าที่พักได้รีบผลัดกันอาบน้ำสระผม เรียกความสดชื่น
หากดึกกว่านี้จะอาบไม่ไหว
ใช้งานพร้อมกันไม่ได้ครับ เดี๋ยวยืดเยื้อ
ยิ่งห้องน้ำเป็นเอ้าท์ดอร์
แหมๆถ้าไม่กลัวหนาว เป็นได้เปลี่ยนบรรยากาศ
ก็อาบน้ำไปได้ยินเสียงเพลงจากที่จัดงาน เสียงคนพูดคุย เดินผ่านไปมา
คิดแล้วเสียดาย มันคงน่าตื่นเต้น อะเมซิ่งไม่หยอก
ฟิชเชอริ่งกันท่ามกลางผู้คนขวักไขว่...อร๊ายยย(โน ควักไข่...น้า)
---------------------------------------------------------------------------------------
จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก็ทุ่มกว่า เกือบๆสองทุ่มครับ
เสียงเพลงจากด้านนอก ดังรอดเข้ามาในห้องแผ่วเบา แทบไม่ได้ยิน
น่าแปลกครับ ไม่รู้ใช้วัสดุอะไรก่อสร้าง เพราะเปิดประตูออกไป
เสียงเพลงกระหึ่มจนหูจะดับ ชนิดคุยกันไม่รู้เรื่องเลยครับ
เดินไปนั่งที่โต๊ะเล็กสำหรับสองคน
เป็นอาหารบุฟเฟ่ต์ครับ เกือบๆสิบรายการ มากมาย
อากาศตอนนี้ 15 องศา โอย...หนาวชะมัด
เฮียขอตัวกลับไปที่รถ
สักพักกลับมาด้วยขวดไวน์ในมือ
แต่ที่ทำผมอึ้ง....เสื้อกันหนาว พร้อมหมวกที่ยับยู่ยี่ในมือ
ราวกับขยำขยุ้มมา ไม่พับอีกแล้ว....ฮึ่ย
ผมต้องกัดริมฝีปาก สะกดกั้นถ้อยคำที่อยากจะต่อว่า
ด้วยเห็นสีหน้าภาคภูมิใจของเฮีย ที่คาดว่าการกระทำของแก
ต้องสร้างความตื้นตันใจให้ผม
หมดกัน เสื้อกันหนาวตัวสวยของผม รูปทรงเสียหมดเลย
ฝืนยิ้มเมื่อหมวกเบี้ยวๆวางลงบนศีรษะ
“ขอบคุณครับ”
เสียงเครือๆด้วยความเสียดายข้าวของ
ทำให้เฮียกุมมือผมบีบเบาๆ
“ไม่เป็นไรครับ เต็มใจ”
เฮ้อ...เอาเถอะของนอกกาย ให้เฮียแกเป็นปลื้มกับสิ่งที่แกทำเถอะ
อาหารหน้าตาดี น่ากินครับ
แต่ผ่านไปไม่นาน อาหารแห้งแข็งเย็นชืด
อาหารที่มีกะทิ กะทิจับตัวกันเป็นแผ่นขาว
--------------------------------------------------------------------------
“อาว น้า อารายเคอะ”
บริกรสาวในชุดไทยเดินมาที่โต๊ะ แล้วถามถึงประเภทเครื่องดื่ม
“หา...ลูลู่ มาได้ไงเนี่ย”
ตกใจครับ ลูลู่อดีตสาวโปงลาง มาเป็นเด็กเสิร์ฟ
“ฮะ ฮะ ฮ่า”
เฮียหัวเราะจนตัวงอ สาวเจ้าก็มองหน้าผมสลับกับหน้าเฮียอย่างงงๆ
“พม่าครับ”
พอเฮียแกควบคุมตัวเองได้แล้ว ก็กระซิบบอกผม
ที่นี่พม่าเยอะครับ พูดจาแบบลูลู่นั่นแหละครับ
ที่สังเกตอีกอย่างคือ จะทาแป้งพม่าจนหน้าวอก (ไม่ใช่หน้าลิงนะครับ)
เฮียดื่มไวน์คนเดียวไปค่อนขวด
ผมลองจิบไปนิดเดียวต้องบ้วนทิ้ง
เหมือนน้ำผลไม้เน่าๆครับ(รสนิยมแกแย่มาก ไอ้หน่อย)
คนนึงจิบไวน์แก้หนาว
อีกคนนั่งกินน้ำเปล่า ตาละห้อย
ที่มีให้เลือกมีแต่เบียร์ เหล้า และน้ำอัดลมครับ
ทำไมไม่มีน้ำผลไม้มั่งเลยนะ ไม่ออร์แกนิค ชีวจิตกันบ้างเลย
ฟังเพลงเพลินๆ ลมหนาวโชยมายะเยือก
มือข้างหนึ่งของผมกับเฮียมี่จับกุม ถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กัน
จ้องมองตากัน โดยไม่ได้พูดคุย(ดนตรีดังเกิ๊น)
บ่มอารมณ์หวานชื่นสุกงอมจนได้ที่
จึงส่งสายตาชักชวนกันกลับบ้านพัก
----------------------------------------------------------------------------------------

ปิดประตูห้องได้ ผมผลักตัวเฮียไปด้านหลัง
จนหลังแกปะทะกับประตูห้อง
โถมเข้าไปกอดจูบตะกรุมตะกราม
เสียงหายใจฟืดฟาดของผมเหมือน...ช้างตกมัน
เฮียแกชะงักไปชั่วเสี้ยววินาที
พอตั้งหลักได้ แกก็เดินหน้ารุกกลับทันที
จูบกันรุนแรง เนื้อตัวบดเบียดเสียดสี
น้องชายเจอหน้าพี่ชายใหญ่ รีบเข้าไปทักทายใกล้ชิด
ถูไถเสียดสี แทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
มือไม้สี่ข้างสะเปะสะปะ(สองคนสี่มือครับ...อิอิ)
ดึงทึ้งเสื้อผ้าของฝ่ายตรงข้ามออกจากตัว
กระชากพ้นตัวได้ ก็ขว้างทิ้งไปบนพื้นห้อง
เตะรองเท้าผ้าใบกระจายไปคนละทิศทาง
ถุงเท้าถอดม้วนเป็นเกลียวกระเด็นไปทั่ว
เหมือนฉากหื่นๆในหนังที่ตัวแสดงเก็บกดครับ
เมื่อได้มาอยู่กันตามลำพัง ก็รีบเร่ง เร่าร้อน
ฟัดกันนัวเนีย
หลังไหล่กระแทกประตูกึงๆ นี่ถ้าไม่มีเสียงเพลงกลบ
คนข้างนอกต้องคิดว่าเกิดคดีฆาตกรรมเป็นแน่
สุดท้ายจบลงบนเตียงนุ่มๆ
เฮียหลับไปทั้งๆที่ไม่ได้ชำระล้าง ผิดวิสัยของแก
แกนอนหลับตาพริ้มเหมือนเด็กๆที่เล่นซนจนเหนื่อยอ่อน
มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ ราวกับคิดถึงเรื่องราวแห่งความสุข
ผมหยักศกยุ่งเหยิง บางส่วนตกลงมาปรกหน้าผาก
ทำให้หน้าตาแกตอนนี้ ดูอ่อนเยาว์กว่าวัย
หน้าอกเปลือยปล่าวสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
ลมหายใจยาวๆลึกๆ บางคราวถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย
ลมหายใจมีกลิ่นไวน์ปะปนออกมา อบอวลไปในอากาศขณะนั้น
ผมยังไม่หลับ นอนมอง สำรวจความเสียหาย
หลังผ่านศึกรักที่โลดโผนรุนแรง
บทรักครั้งนี้แตกต่าง ตื่นเต้น เร้าใจ กว่าครั้งไหนๆ
ปกติหลังจากเฮียไปงานเลี้ยง กลิ่นแอลกอฮอล์จากเหล้า เบียร์
ทำผมอารมณ์หดหาย
บอกตรงๆแม้จะแปรงฟันสักสิบรอบ ใช้น้ำยาบ้วนปากจนหมดขวด
กลิ่นที่หลงเหลือยังทำผมรังเกียจ พาลหมดอารมณ์สเน่หา
แต่กลิ่นไวน์...
ทำไมมันกระตุ้นให้ผมเกิดความรู้สึกดี
ผมจูบแกอย่างจาบจ้วง มันอยากดูดชิมลิ้มรส รสชาติไวน์ที่หลงเหลือ
เท่าไหร่ก็ไม่พอ เหมือนคนหิวกระหาย
อา....หรือผมจะเมาไวน์
-------------------------------------------------
วันส่งท้ายปี 31 ธันวาคม 2013
ตื่นมาเกือบๆ8โมงเช้า ที่นอนข้างๆว่างเปล่า
มีดอกลีลาวดีกลีบสดสวยวางไว้บนหมอนข้างๆหนึ่งดอก
“แกร๊ก”
เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกมา พร้อมกับเฮียมี่ที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
“มอร์นิ่งครับ”
เฮียเข้ามานั่งข้างๆบนเตียง พร้อมกับมอร์นิ่งคิส
เฮียแกตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า ออกไปเดินชมนกชมไม้
แล้วบังเอิญดอกลีลาวดีดอกนี้ร่วงหล่นลงมาจากต้น
แกเลยเก็บมาฝากผมครับ
“ถามจริงๆ ทำไมเมื่อคืนคึกคักนักหล่ะครับ”
เฮียถามผมเมื่อขึ้นมานั่งบนรถเป็นที่เรียบร้อย
อ้อ...ทานเบรคฟาสต์แล้วด้วย
ข้าวต้มเครื่องร้อนๆท่ามกลางอากาศต่ำกว่า20องศาในยามเช้า
อุ่นๆ อร่อยครับ ชดเชยพลังงานที่สูญเสีย คริ คริ
เอ...ผมนี่ช่างมีปัญหากับอาหารเช้าของโรงแรมจริงๆนะเนี่ย
ครั้งไหนได้กินทันเวลา มันช่างน่าภาคภูมิใจ(ตรงไหน)
“วู๊...ใครเขาถามเรื่องแบบนี้กันเล่า
ปีม้าคึกคักอะ ไม่เคยได้ยินไง”
เสมองออกไปนอกรถ กลั้นยิ้มสุดฤทธิ์ (ยังไม่ถึงนะแก...มั่ว)
“ขากลับเข้ากทม.อย่าลืมเตือนนะครับ”
เฮียจับคางผมให้หันมามองหน้าแก
“เตือนไรอะ”
แกจะให้เตือนอะไร ทำไมนะ คิดเองจำเองไม่ได้เหรอ
สมองผมยิ่งเหนื่อยง่ายอยู่ด้วย
“ก็เตือนให้เหมาไวน์กลับบ้านเยอะๆไงครับ ฟอดๆ”
เสียแก้มไปอีกสองที
สายตาแกระยิบระยับ ล้อเลียน
“ตุ๊บๆ...บ้าจริง...เดี๋ยวจะเขียนแปะหน้าผากไว้เลยเอามะ”
ทุบอกแกเบาๆสองที เป็นการเอาคืน และแก้เขิน
“อาวววว คร้าบบบ”
ลากเสียงล้อเลียนผม
“ฮึ่ย คนลามก”

-------------------------------------------
ออกเดินทางมา อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามเวลาและระยะทาง
ประมาณเกือบร้อยกิโลเมตร เข้าสู่ตัวเมืองราชบุรี
ตอนนี้แตะๆ 30 องศาแล้วครับ
ได้รับลมหนาวแค่คืนเดียวเอง
ที่รู้อุณหภูมินี่คือในรถมันมีอะครับ
กดดูได้ ผมกดดูทุกๆ10นาที
พอเพิ่มหรือลด ก็รายงานที่รัก
จนแกเริ่มทำตาเขียวด้วยความรำคาญ
มันทำลายสมาธิตอนขับรถ(มั๊ง)ครับ
มาถึงตัวเมืองราชบุรี คนที่นี่เรียก “ราด-รี”ครับ น่ารักดี
ได้เวลามื้อกลางวัน หมดแรงข้าวต้มแล้วครับ
ไกด์กิตติมศักดิ์พาผมมากิน...”ก๋วยเตี๋ยวไข่”
เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำครับ มีไข่ต้มยางมะตุมผ่าครึ่งลูกวางโปะหน้า
อร่อยมากครับ รสจัดจ้าน คนมากินเยอะจนต้องรอโต๊ะ
----------------------------------------------------------------------------------------------
อิ่มอร่อยพุงกางเสร็จ เฮียแกขับออกมาทางถนนหลัก
เลี้ยวไปเลี้ยวมาขับผ่านเข้าไปในโรงเรียน ทะลุผ่านวัด
“เฮีย จะพาผมไป....”
ยังไม่จบประโยค รถเข้ามาจอดหน้าร้านขายตุ๊กตา
โห..ขนาดอยู่ลึกลับ ยังมีรถลูกค้าจอดอยู่หลายคัน
ชื่อร้าน “พิเชียรแก้ว”
ที่จำได้เพราะชอบชื่อครับ
ฟังแล้ว ทำให้คิดถึงชบาแก้ว ในเรื่องก้านกล้วย
สินค้าแตกต่างกับร้านข้างทางมากครับ
ความประณีตที่ทำออกมา เหมือนของตามห้างเลยครับ
สอบถามดูเป็นกลุ่มแม่บ้านทำส่งตามออร์เดอร์
เขาก็ไปติดป้ายส่งขึ้นห้าง
ที่ร้านขายปลีกครับ
ราคาไม่แพงมากหากเทียบกับในห้าง
“เฮีย ผมไม่ใช่เด็กๆนะ ซื้อไปก็รกบ้าน”
กระซิบเฮียเบาๆ ผู้ชายวัยไม่น้อยสองคนมาเดินเลือกตู๊กตุ่นตุ๊กตา
มันน่ามองซะเมื่อไหร่
“ไหนๆมาแล้วเข้าไปเดินดูหน่อยครับ”
เฮียแกดันหลังผมให้เข้าไปในร้าน
ต้องเปลี่ยนรองเท้าที่เขาจัดวางไว้ให้ด้วยนะครับ
เป็นรองเท้าที่มีตัวการ์ตูนบ้าง ผลหมากรากไม้บ้าง เย็บติดตรงหูรองเท้า
กู๊ดไอเดียครับ ประทับใจด้วย ไม่ทำร้านสกปรกจากรองเท้าด้วย
------------------------------------------------------------------------------------------------
“เอาอันนี้ด้วยนะเฮีย อ๊ะ เอาชบาแก้วด้วยด้วย
อร๊ายตัวนี้นุ่มอะ"
"พิกเรดก็เอา หมอนพูห์ใบนั้นน่ารักอะ เอาหมอนข้างเข้าชุดด้วย"
"เอาไปใส่รถทั้งชุดเลยนะเฮีย ผ้าหุ้มเบาะ เอาที่คาดเบลด้วย
ที่ครอบเกียร์อย่าลืมหล่ะ กล่องทิชชูด้วยครับ"
"ไม่ๆ เอาลายสติชเหมือนกันหมดสิ เดี๋ยวไม่แมท"
"หมอนอันนี้แกะเป็นผ้าห่มได้ด้วย นุ้มนุ่ม
เอาลายแทสมาเนียอะ เอาให้ไอ้นิวหน้ากวนเหมือนมันดี"
"ของผมเอาบันนี่ครับ เอาหมอนใบเล็กด้วยอะ"
"ตัวหมาไร้กระดูกเอาสีครีมนะ เอาไปให้แอนฟิลด์กอดเล่น"
"เอาคิตตี้สองตัว ให้น้องเปิ้ลกับน้องแอน สาวกคิตตี้"
"บลาๆๆๆๆๆ”
เสียดายไม่มี”ชิบกะเดล”
นอกจากตุ๊กตา มีทั้งของชำร่วย เครื่องนอน
หมอนผ้าห่ม อุปกรณ์แต่งรถ
รองเท้า กระเป๋า ของกระจุกกระจิก สารพัดสิ่ง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ อยู่ในร้านร่วมสามชั่วโมง
ขณะที่เฮียเซ็นชื่อในใบสลิปบัตรเครดิต
สาวใหญ่เจ้าของร้าน มองกองของที่พนักงานยืนรอจะขนไปใส่รถ
“ซื้อไปขายเหรอจ๊ะ เยอะจัง”
“ฮะ ฮะ ฮ่า โน่นครับ เจ้าของ”
เฮียโยนมาให้ผมตอบ
“น้องชอบตุ๊กตาเหรอจ๊ะ”
เจ๊แกถามผมยิ้มๆ
“ก็นิดนึงอะครับ”
ไอ้ชอบมันก็ชอบนะครับ แต่ไม่เคยต้องเสียสตางค์ซื้อเป็นเรื่องราวแบบนี้
“อันนี้พี่แถมให้นะจ๊ะ พี่น้องคู่นี้น่ารักดี
อิจฉาคนเป็นพ่อแม่คงภูมิใจนะ พี่น้องรักกันดี
ปกติซื้อหลักหมื่นพี่ยังไม่แถมเลยนะ
เพราะของเราถูกอยู่แล้ว”
ควรจะภูมิใจใช่ไหมครับ แต่ผม..เสียใจนิดๆ
ถึงแม่จะไม่ว่าอะไร ไม่รู้สิ ยังไงผมก็ไม่ปกติเหมือนลูกชายทั่วไป
“อย่าคิดมากครับ อย่าให้ความเห็นของคนนอกมาทำลายความรู้สึกของเรา”
เฮียมี่ไวกับความรู้สึกของผมเสมอ
“ครับ”
ตอบรับแล้วก้มมองพวกกุญแจสติชในมือที่เจ๊แกให้มาฟรีๆ
“ถึงพี่เขาจะเข้าใจผิด แต่ยังไงเขาก็มองเห็นความรักของเรานะครับ”
เฮียพูดปลอบใจแล้วเอื้อมมือมากุมมือผม
“แต่จริงๆ ผมกะเฮียก็เป็น พี่น้องกันนะครับ”
ผมเงยหน้ามายิ้มทะเล้นให้ที่รัก
“อย่าบอกนะว่า.....”
เฮียทำหน้าตารู้ทัน กับอารมณ์ผมที่เปลี่ยนได้ฉับไว
“ถูกต้องนะครับ...พี่น้องท้องติดกัน ฮิฮิ”
ผมทำท่าชี้แบบเกมส์โชว์
น่ารักมั๊ย ผมไม่รู้
แต่ที่แน่ๆ ผมทำให้ที่รักหายกังวล...
--------------------------------------------
ออกจากร้านตุ๊กตาก็บ่ายคล้อย
นี่ขนาดไม่อยากเข้าไปนะครับ
ตอนนี้ท้ายรถ เบาะหลัง ที่วางเท้า
ไม่สามารถจะใส่ของอะไรได้อีกแล้ว
ของตัวเองก็เยอะ ซื้อฝากคนอื่นก็แยะ
ที่สำคัญตอนนี้เฟอร์นิเจอร์ในรถล้วนแล้วแต่
สติช สติช สติช แล้วก็ สติช
โชคดีที่เฮียมี่ชอบสีฟ้า
ขับผ่านจังหวัดแพชรบุรี เมืองหม้อแกง
อ้าวเลย...ไม่ยักกะเลี้ยวเข้าตัวเมือง
นึกเดาในใจ ลงทางใต้ เฮียคงพาผมไปทะเลแน่ๆ
โห...ทั้งขึ้นเขา ลงทะเล
น่ารักฝุดๆ
ทะเลก็น่าจะหัวหิน ขืนไกลกว่านั้นคงได้เค้าท์ดาวน์กันในรถ
ชิส์ ไม่ถามหรอก เค้ารู้ทันตัวหรอก
----------------------------------------------------------------------------------------------
ฟังเพลงเพลินๆ แวะปั๊มเติมน้ำมันบ้าง
ขับไปได้ราวๆ40นาที อยู่ๆเฮียก็เลี้ยวซ้าย
“หาดชะอำ”
ป้ายสูงตรงทางเข้าเขียนเอาไว้ครับ
“เย้ๆ ดีจังเลย ผมไม่เคยมาชะอำเลย”
บางแสน พัทยา เสม็ด หัวหิน นางยวน เกาะเต่า เกาะช้าง
รึแม้แต่เกาะพีพี ผมก็ไปมาแล้ว
แต่ชะอำไม่เคยอยู่ในความคิด ประมาณเหมือนๆ ไม่รู้จัก
“ดีแล้วครับ เราถูกใจก็ดีแล้ว”
เฮียส่งยิ้มมาให้ หน้าตาเฮียผ่อนคลายเป็นที่สุด
เหมือนทำภารกิจลุล่วงด้วยดี
----------------------------------
เช็คอินเป็นที่เรียบร้อย
ขอสงวนชื่อโรงแรมนะครับ เนื่องด้วยคนที่จัดการเรื่องที่พักให้
เป็นหุ้นส่วนของโรงแรม ผมไม่อยากให้กระทบกระเทือน
เอาเป็นว่า ของชาวต่างชาติที่มาลงทุนก็แล้วกันครับ
(แหมๆ มันก็แทบทุกที่แหละ..)
เหนื่อยไม่น้อย เลยนอนพักกันหนึ่งตื่นครับ
ชาร์จแบตเตอรี่...สำหรับคืนนี้...อร๊ายยยย
--------------------------------------------------------------------------------

ขอเวลานอกอีกรอบครั้ง เมื่อยนิ้วฟุดๆ
อันที่จริงที่รักจะมาแย้วววว
ค่ำๆเข้ามาต่อตอนจบของเค้าท์ดาวน์ครับ
ขออภัยหากตอนหนึ่งตอนใดพาดพิงสถานที่
หรือวิจารณ์ตามความชอบของผม
และขออภัย ในความหวานจนเลี่ยนของตอนนี้
และตอนต่อไป ที่อาจจะทำให้ท่าน ตาลุกเป็นไฟ(ว่าไปนั่น)
ท่านใดเป็นเบาหวานกรุณาระมัดระวังเป็นพิเศษ
อย่าเพิ่งหมั่นไส้เค้านะ
อ่านพอหนุกๆ

และที่ต้องขอโทษจากใจจริงก็คือ
วันนี้มาต่อ.."จะอายทำไม"ไม่ทันแน่ๆครับ
ผลของความโลภมาก ประมาณตัวสูงเกินกำลังการผลิต
แฟนๆน้องหนามกะไอ้บังรออีกนิดนะครับ
