
สวัสดียามบ่ายครับผม
มาพบกับตอนจบของ “เค้าท์ดาวน์”กันครับ
เมื่อคืนผมนั่งพิมพ์จนเกือบๆ4ทุ่ม (พักนี้เค้าขยันเนอะ)
ไม่รู้ใครเป็นบ้าง ผมเข้าเล้าไม่ได้ตั้งแต่บ่ายสามโมง
พยายามเข้ามาได้แบบฟลุ๊คๆรีบโพสไปได้ตอนหนึ่ง...ใกล้ๆสี่โมงเย็น
หลังจากนั้นบางทีเข้าได้แต่พอคลิกไปหน้าต่อไปก็เฟล
จนคิดว่าพิมพ์จบก็คงโพสไม่ได้ เลยปิดคอมเสียเลย(ข้อแก้ตัว)
ปิดหู ปิดตา พักสมอง ประลองกำลังแทน...คริ คริ
-----------------------------------------------------------
ต่อครับ...
นอนพักกันได้หนึ่งตื่น ที่โรงแรมริมชายหาดชะอำ
สลัดความขี้เกียจออกจากตัว....ลุกมาอาบน้ำแต่งตัว เตรียมร่วมงานเค้าท์ดาวน์
ช่วงที่รอผมแต่งตัว ประทินโฉม โบ๊ะหน้า ลบริ้วรอย
อีกทั้ง..ใส่บิ๊กอาย ขนตาปลอม แฮร์พีช ดันทรง ยกสะโพก..บลาๆๆ
ฮะ ฮะ ฮ่า เขียนเอาฮาครับ ขืนแต่งตัวแบบที่ว่า
เฮียคงหนีกลับบ้าน ทิ้งผมหากินเป็นนางโชว์อยู่ที่ทะเลชะอำ
เฮียแกเล่าให้ผมฟังประดับสมองน้อยๆครับ ว่า..
โรงแรมใหญ่ๆส่วนมากในช่วงเทศกาล ก็ ลอยกระทง คริสมาสต์ ปีใหม่ อะไรทำนองนี้
เขาจะบังคับขายห้องพักเป็นแบบแพคเกจครับ
ทุกคนทุกห้องต้องจ่ายค่าดินเนอร์ในงานคืนนั้น ที่ทางโรงแรมจัดขึ้นมา
ราคาดินเนอร์เผลอๆแพงกว่าค่าห้องอีกครับ
“แต่..ยังครับ ยังก่อนครับ อย่าเพิ่งเปลี่ยนช่องหนีไปไหน
หากคุณโทรมาภายในห้านาที หนึ่งร้อยสายแรก
ทีวีไดเร็คของเราจะลดราคาให้คุณครึ่งหนึ่งของราคาจริง”
แหะๆ แล้วเส้นสายของเฮียก็ทำให้เราสองคน...มาสองจ่ายหนึ่ง
แต่ไงๆ ผมก็อดเสียดายตังค์ไม่ได้อะ จุ๊ๆ อย่าบอกเฮียหล่ะ
---------------------------------------------------------------------------
เดินออกจากลิฟท์
อากาศสบายๆไม่ร้อนไม่หนาว น่าจะสัก27-28 องศา
เอ...ความคิดผม มันชักติดอยู่กับอุณหภมิโลกทุกขณะจิตไปซะแล้ว
เพราะที่นี่คือ...ทีวีสามมม..ร้อยหกสิบ องศา
ชอบพิธีกรคนนี้มากครับ ไม่หล่อแต่มีเสน่ห์ ลีลาดีอีกต่างหาก
ตอนนี้เวลา หนึ่งทุ่มตรงครับผม
กะลา เอ๊ย กาล่าดินเนอร์เริ่ม ตอนสองทุ่มตรง
โรงแรมที่บริหารโดยชาวต่างประเทศ
ยึดหลักเหมือนพวกฝรั่งที่ตรงเวลาเป๊ะๆครับ
ท้องไส้เริ่มประท้วง ด้วยยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง
มาถึงล็อบบี้ของโรงแรม
โอววว...ที่นี่มันประเทศไทยเหรอเนี่ย
นอกจากพนักงาน ก็มีแค่ผมกะเฮีย ที่ผมดำกันสองหน่อ
เสียงฟุดฟิตฟอไฟ...ทำผมเกือบฟั่นเฟือน
ฝรั่ง ฝรั่ง ฝรั่ง
หามีชมพู่ แตงโมแต่อย่างใด(แป๊ก)
ด้านขวามือของล๊อบบี้เป็นสระว่ายน้ำ
กำลังจัดปาร์ตี้ไวน์ครับ ปาร์ตี้ริมสระ
มีนักร้องสาวไทย ซิงค์อะซองขับกล่อมให้ความบันเทิง
ส่วนนี้หากจะเข้าไปแจม ต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละ300บาทไทย
เสิร์ฟไวน์ไม่อั้นครับ
ได้ยินคำว่า”ไวน์”
เลือดวิ่งขึ้นหน้าจนร้อนฉ่า เดินจ้ำออกมาให้พ้นสระว่ายน้ำ
จริงๆกลัวเฮียจะพาเข้าไป อีกหกร้อยแหน่ะ
ผมขายกาแฟกี่แก้วกว่าจะได้คืน ไม่เอาอะ
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวครับ จะรีบไปไหน”
เฮียรีบเดินตามมาเร็วๆ ฉุดแขนผมไว้ได้ทัน
“ก็ไปหนามหญ้าหน้าโรงแรมไง จัดงานตรงนั้นไม่ใช่เหรอ”
ชี้มือไปทิศทางด้านหน้าที่ตั้งใจจะไป
“ใช่ครับ แต่ทางนั้นมันทางไปที่จอดรถด้านหลังครับ”
“เปรี๊ยะๆๆ เพล้งๆๆๆ”
หลงทิศ...หน้าแตกละเอียด ป่นปี้ เลยไอ้หน่อย
ผมเดินกระมิดกระเมี้ยนตามการจูงของเฮียมี่
ชำเลืองดูสระน้ำทางขวามือ
ชิส์...
เรื่องไรจะเข้าไปให้เสียตังค์เพิ่ม อีกเดี๋ยวก็จะดินเนอร์แล้ว
ต้องกินให้คุ้มกับสตางค์ที่จ่ายไป
ระหว่างทางมีต้นคริสมาสต์บิ๊กเบิ้ม
ตบแต่งสวยงาม มีโต๊ะดินเนอร์จำลองสวยหรู
เอาไว้ให้แขกเก็บภาพความทรงจำครับ
เด็กน้อยผมทองทั้งหญิงและชาย วิ่งเล่นกันไปมา
แต่ละคนสวมเสื้อผ้าเนื้อดี ราคาแพง สวยงาม แม้จะยับย่น
ผมเผ้าที่จัดเซ็ทมาอย่างดี ยุ่งเหยิง หลุดรุ่ย เปียกแฉะ
หน้าแดงแก้มแดง รอยยิ้มระบายออกทางสีหน้า เหงื่อกาฬไหลท่วมตัว
เฮ้อ...คิดถึงเด็กๆพวก มานี มานะ
ป่านนี้คงใส่เสื้อยืดย้วยๆ กางเกงเจเจขอบเอวยืดหมดสภาพจนจะหลุดก้น
วิ่งเล่นไล่จับกันอยู่ในงานวัด รอเวลาฉายหนังกลางแปลง เข้าบ้านผี ดูเมียงู
-----------------------------------------------------------------------
สนามหญ้าด้านหน้าโรงแรม
เวทีจัดได้อินเตอร์เนชั่นแนล
โต๊ะดินเนอร์ปูผ้าเนื้อดีสีขาวขลิบด้วยแถบผ้าสีทอง หรูหรา
เหมือนที่เห็นในงานแต่งงานตามห้องจัดเลี้ยง
เก้าอี้มีผ้าซาตินเนื้อลื่นสีทอง จับจีบเป็นโบว์พันติดพนักด้านหลัง
การแต่งกายก็ฟรีสไตล์ครับ
ฝ่ายชายที่มาไม่มีใครใส่สูท ผูกไทค์
แต่ฝ่ายหญิงประชันกันพอสมควร ใส่เดรสสั้นเดรสยาวกันทุกคน
สาวๆไม่มีใครใส่กางเกงเลยครับ
ผมกะเฮียก็แต่งตัวแบบสุภาพชนทั่วไป
ช่วงรอแถวๆหน้างานก็มีซุ้มเกมส์ พวกปาโป่ง ตักไข่ครับ
เอาหางบัตรที่นั่งไปแลกบัตรเล่นเกมส์ ได้เกมส์ละหนึ่งใบ
หากติดใจก็มีบัตรเล่นเกมส์ขาย
สองหนุ่มประลองความแม่น ทดสอบข้อมือและสายตา
ได้ตุ๊กตาตัวขนาดกลางๆมาสองตัว
ผมเลือก พิกเลทสีชมพูกับเทดดี้แบร์หน้ายู่สีน้ำตาล
เป็นตุ๊กตาที่ตัดเย็บไม่ปราณีตนัก ทำให้บางตัวหน้าเพี้ยนๆ
บริเวณที่เล่นเกมส์ตักไข่
เด็กผมทองรอคิวกันอยู่หลายคน
ดูแล้วของรางวัลมีแต่ตุ๊กตาหน้าตาแปลกๆ และเหลือไม่กี่ตัว
ไม่อยากไปแย่งเด็ก ไม่งาม
ผมเลยสะกิดเฮีย
“ไปเหอะ ผมไม่อยากได้แล้ว”
อันที่จริง ตุ๊กตาที่เหลือ หน้าตามันผิดเพี้ยน ไม่ค่อยน่ารัก
ยกเว้นสองตัวที่ผมเลือกสรรมาแล้ว
----------------------------------------------------------------------
ดูเวลาแล้ว ยังไม่ถึงสองทุ่ม พอจะมีเวลาเดินเล่น
ผมกะเฮียเดินออกมาทางประตูด้านหน้าของโรงแรม
รถให้เข้า-ออกประตูหลัง(อร๊ายยย)ครับ
หน้าหาดปิดเป็นถนนคนเดิน
“เข้าไม่ด้ายยยย ไม่รู้เรื่องรึงายยยวะ”
เด็กผู้หญิง7-8ขวบดึงคอเสื้อด้านหลังของน้องชายตัวเล็กแกน
“กูอยากดู แงๆ กูจะเข้าไป”
น้องชายดิ้นรนจะให้หลุด มือชี้เข้าไปในงานที่สนามหญ้าด้านใน
“บอกว่าไม่ได้ๆ เดี๋ยวยามเขาออกมาจับมึงหรอก”
พี่สาวดึงรั้งน้องชายสุดกำลัง
“มึงโกหก ไอ้พวกเด็กฝรั่งมันยังเข้าไปได้เลย”
น้องชายหันมาตะคอกพี่สาวเสียงดัง
คือคนนอกที่ไม่ใช่พนักงานหรือแขกโรงแรมนี่เข้าไม่ได้นะครับ
ต่อให้น้องเขาผ่านประตูรั้วเข้าไปได้
ก็จะเจอป้อมยามที่ห่างไปไม่ถึง10เมตร
“น้องครับ เข้าไม่ได้นะ วันนี้เขามีงาน”
ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ เด็กสองคนหน้าตามอมแมม
เสื้อผ้าเลอะเทะเละเทะ เประเปื้อนไปทั้งตัว
คงจะเล่นคลุกดินคลุกทรายมาทั้งวัน
“พี่เป็นใคร”
พี่สาวดึงน้องชายมากอดไว้
มองผมกะเฮียเหมือนพวกโจรลักขโมยเด็ก
“พี่มางานครับ ตอนนี้บัตรมันหมดแล้ว น้องเข้าไม่ได้แล้วหล่ะ
เอางี้ พี่ให้ตุ๊กตาสองตัวนี้ เป็นของขวัญปีใหม่นะ”
คนน้องรีบเช็ดมือกับกางเกง แล้วยื่นมือที่มีขี้เล็บดำๆมาหาผม
คนพี่ท่าทีลังเล แต่ตาเป็นประกาย
“เอาไปเถอะ เด็กข้างในบางคนยังไม่ได้เลยนะ”
เท่านั้นแหละ ตุ๊กตาในมือผมถูกดึงไปจากมืออย่างรวดเร็ว
“กูเอาน้องหมี มึงเอาหนูไป”
คนน้องไวกว่ามือหนึ่งคว้าน้องหมีกอดแน่นกับอก
อีกมือยื่นหนูให้พี่สาว
“ไม่อาววว กูก็อยากได้น้องหมีนี่ กูจะอาววว”
พี่สาวทำท่าจะเข้ามาแย่งน้องหมี
“ไม่ได้ หนูมันตัวเมียสีชะพู มึงเห็นมั๊ย”
น้องชายรีบเอาน้องหมีแอบไว้ข้างหลัง
แล้วยัดหนูใส่มือพี่สาว
แล้วก็ตกลงกันได้ครับ
โถๆ พิกเลทกลายเป็นหนูสำหรับพี่น้องคู่นี้ไปแล้ว
“น้องสองคนต้องกลับบ้านได้แล้วนะ ดึกแล้ว”
ผมบอกเด็กน้อยสองคนที่กำลังชื่นชมกับตุ๊กตาที่ได้รับ
ดูสิครับ ตุ๊กตาธรรมดาๆ เป็นของขวัญมีค่าสำหรับเด็กบางคน
มืดมากแล้วครับตอนนี้ อาจมีอันตรายสำหรับเด็กเล็กๆ
-------------------------------------------------------------------------
“หมีๆ ดูสิพี่หมีมา”
สองคนพี่น้องชี้ไม้ชี้มือไปด้านหลังผม
โอววววว
พระเจ้าจอร์จ
บอกซาร่าทีสิ...ว่าไม่ได้ฝันไป
เป็นไปไม่ได้ๆๆๆๆๆ
ตัวมาสคอต ชิบกะเดล” เดินออกมาจากโรงแรม
“พี่หมีๆ พี่หมีๆๆ”
สองคนพี่น้องวิ่งเข้าไปกอดชิบกะเดล แต่มือข้างหนึ่งยังจับตุ๊กตาในมือไว้แน่น
คนน้องเอาหน้าถูตรงพุงของ”เดล”จมูกแดง
คนพี่กอดแขน”ชิบ”จมูกดำแน่น
“ชิบกะเดล” หยุดยืน ค้อมตัวลงมากอดตอบ ลูบหัวเด็กสองคนเบาๆ
ผมอ้าปากค้างไปแล้วครับ เซอร์ไพรส์ของจริง
หันไปมองหน้าเฮีย แกทำหน้าอึ้งๆ
อ้าว เฮียแกไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย
หันไปอีกที “ชิบกะเดล”โบกมือลา
เดินออกไปนอกโรงแรม
เด็กสองคนทำท่าจะวิ่งตาม
เฮียมี่รีบเข้ามาจับแขนไว้
“กลับบ้านได้แล้วครับ บ้านอยู่ไหนเอ่ย”
แล้วผมกะเฮียก็พาเด็กข้ามถนนหน้าโรงแรมไปส่งด้านชายหาด
แกสองคนเป็นลูกแม่ค้าแถวนี้แหละครับ
“เฮียๆว่าชิบกะเดล เป็นความบังเอิญรึป่าว”
ผมถามเฮียตอนเดินกลับมาที่งานกะลาดินเนอร์
“เป็นพรหมลิขิตมั้งครับ”
เฮียกุมมือผม แล้วส่งยิ้มอบอุ่นมาให้
สอบถามพนักงานได้ความว่า
เป็นตัวมาสคอตที่ทางโรงแรมจ้างมาครับ ก็วิ่งรอกงานหลายที่ครับ
ผมแอบขำว่า”ชิบกะเดล” กลายเป็นพี่หมีของน้องๆ
--------------------------------------------------------------------------------
สองทุ่มเป๊ะ...ได้เวลาเปิดงาน
ผู้จัดการโรงแรมก็ขึ้นมากล่าวเปิดงาน ด้วย..ภาษาต่างด้าวครับผม
หลังจากนั้น มีนักร้องผลัดกันขึ้นมาขับกล่อม
เพลงสากลล้วนๆครับ ไม่มีเพลงไทยเลย
ได้บรรยากาศ ริง ริง จิงเกอร์เบล ดีครับ
อาหารนานาชาติคัดสรรมาอย่างดี
จัดเป็นซุ้มๆ เดินวนเวียนตักก็หลายรอบอยู่
ให้อารมณ์ประมาณ “โออิชิแกรนด์”
อิ่มแล้ว ฟังเพลงเริ่มเบื่อเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง(หูดับ)
อ้อ...มีการแสดงพวกรำไทยของเด็กนักเรียนมาสลับด้วยครับ
ดีๆ ไม่ลืมส่งเสริมวัฒนธรรมไทย แถมยังสร้างเสริมรายได้ให้เยาวชน
------------------------------------------------------------------------
สี่ทุ่มโดยประมาณ
เราสองคนออกมาเดินเกี่ยวก้อยกันริมชายหาด
รอเวลาเค้าท์ดาวน์
“มีความสุขจังครับ”
ผมยืนหันหน้าเข้าทะเล หลังพิงอยู่กับหน้าอกเฮียมี่ที่ยืนซ้อนหลัง
สองแขนของเฮียโอบกอดรอบเอวผม
อากาศเย็นสบายเหมือนห้องแอร์ น่าจะสัก25องศา
พยากรณ์อากาศอีกแล้วครับท่าน
ทะเลตอนกลางคืนน่ากลัวครับ หากต้องมาตามลำพังคนเดียว โด่เด่
แต่เมื่อมีที่รักอยู่เคียงข้าง
บรรยากาศตอนนี้เหมือนทั้งโลกมีแค่ เราสองคน
ชายหาดมีคนประปราย อากาศขมุกขมัว
มองหน้ากันใกล้ๆถึงจะรู้ว่าใครครับ
ถ้าห่างกันสัก 4-5เมตร จะเห็นเป็นเงาตะคุ่ม รู้แค่ว่าเป็นคน
ดังนั้น นาทีนี้ ที่ชายหาดชะอำ
ผมกะเฮียแสดงออกถึงความรักต่อกันได้โดยไม่กระดากอาย
แหมๆ ถ้าได้ฟิชเชอร์ริ่งกัน ท่ามกลางสายลมและแสงจันทร์
ต่อหน้าท้องทะเลชายหาดชะอำ
คงจะดีไม่น้อย (ไอ้บ้า...คิดแต่ละอย่าง)
เหมือนสองตายายรำลึกถึงความหลัง ครั้งเก่าก่อน
คุยกันถึงเรื่องราวในอดีต ที่ช่วยกันฝ่าฟันมาจนถึงวันนี้
ตั้งแต่ผมยังละอ่อนน้อย เฮียหอมแก้มผมที่ปั๊ม
จูบแรกที่แลกกับของฝาก ชิบกะเดล
จดหมายรักจากเฮีย
เหตุการณ์ วันที่เฮียทำเหมือนไม่รู้จักผม ในงานศพเตี่ยที่ศาลเจ้า
วันที่นักศึกษาแพทย์มาแนะแนวที่โรงเรียน
และเหตุการณ์ประทับใจอีกมากมาย
ทั้งสุขและเศร้า
“ผมโชคดีจังที่เฮียรักผม เลือกผม”
ผมพูดขึ้นมาหลังจากได้รับจูบอ่อนหวานริมชายหาดจากเฮีย
จูบครั้งที่เท่าไหร่...ผมก็จำไม่ได้
“เฮียก็ไม่รู้นะ ว่าทำไมเฮียถึงรักเด็กดื้อคนนี้
มองหาแต่เรา คิดถึงแต่เรา อยากเห็นแต่รอยยิ้ม
เจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นเราร้องไห้”
เฮียมี่พูดรำพันออกมา ทบทวนความรู้สึกที่มีต่อตัวผม
เด็กผู้ชายแสนจะธรรมดาคนหนึ่ง
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ...ที่เฮียรู้ตัวว่ารักผม”
ตอนนี้เฮียเปลี่ยนโพสิชั่นเป็นมานั่งซ้อนหลังผม บนพื้นทราย
มาทะเลอย่ากลัวเลอะครับ เดี๋ยวไม่ฟิน
คุยกันแต่สายตาต่างก็มองออกไปในท้องทะเลไกลๆ
“ก็ตั้งแต่ที่เรามาดูการ์ตูนที่ปั๊ม เฮียนึกเอ็นดูเรา เด็กน้อย ตัวเล็กๆ ขาวๆ
บอบบาง นุ่มนิ่ม จะเล่นโลดโผนกับใครเขาก็ไม่ได้
แถมยิ้มง่าย ซื่อๆ พูดจาฉลาดเอาตัวรอด
บางครั้งก็ดูหงอยเหงา บางครั้งก็ออดอ้อน ขี้เล่น
อยู่ด้วยแล้วมีความสุขครับ”
อ้อมกอดของเฮียแน่นขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเผยสาเหตุที่หลงเสน่ห์อันน้อยนิดของผม
“แล้วตอนนี้หล่ะครับ รักน้อยลงหรือมากขึ้น”
คำถามไม่รู้จบครับ
รักมั๊ย รักแค่ไหน รักเมื่อไหร่ รักเพราะอะไร
รักมากขึ้นหรือน้อยลง....คำถามของคนรักกัน
“รักมากเท่าเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลงหรอกครับ
แต่สิ่งที่เพิ่มพูนมากขึ้นคือความผูกพัน
แต่ก่อนเป็นคู่รักกัน แต่ตอนนี้เราเป็น คู่ชีวิต ครับ”
เฮียมีความอดทนสูงมากครับ กับคำถามไร้จุดจบ
เป็นเฮียปาน ผมคงโดนผลักหน้าหงายตั้งแต่คำถามแรกๆ
(เปรียบตลอดๆ เดี๋ยวเรื่อง...จะอายทำไม เค้าจะให้เป็นพระเอกน้า)
“ทั้งผูกทั้งพันเลยเหรออออ งี้ผมก็ไปไหนไม่รอดแล้วสิ”
เอาฮาเข้าตัดความเลี่ยนครับ
“จะผูก จะพัน จะมัด ถ้าจำเป็นเฮียก็จะทำครับ”
เฮียมี่ตอบยิ้มหวาน ยิ้มทั้งตาทั้งปาก
(ไม่รู้พี่ชายใหญ่ยิ้มป่าวววว)
ตายๆๆๆ อะไรจะสวีดวื้ดวิ่ว ปานนั้น
แหมๆหากไม่เกรงใจฟ้าดิน อยากจะ... “มี่หน่อยโพสิชั่น”
---------------------------------------------------------
กลับเข้ามาในงานหลังพลอดรักกันจนหนำใจ
ฟังเพลงที่บรรเลงต่อเนื่อง เริ่มมีการจุดพลุ จุดดอกไม้ไฟเป็นระยะ
แล้วก็มาถึง...
10
9
8
7
6
5
4
3
2
1
HAPPY NEW YEAR
(นับเป็นภาษาปะกิตนะครับ)
เฮียกับผม เรายืนกันอยู่ใต้ต้นไม้ พอจะลับตาคน(มั๊ง)
ไม่ได้กลับไปที่โต๊ะครับ
ทำไม
เพื่ออะไรเหรอครับ
เพื่อ
จูบแรกของปีใหม่
ปี2014
ปีม้าคึกคัก
ขอให้ครึกครื้นกันตลอดปีครับผม
------------------------------------------------------------------
หลังจากนั้นก็กลับห้องครับ แต่การจราจรหนาแน่น
รอลิฟท์น่าจะนาน
ผมเลยขอเฮียเล่นคอมที่ล๊อบบี้
มีโอกาสได้เข้าเล้ามาโพส
HAPPY NEW YEAR
ให้พี่น้องในเล้าครับผม
-------------------------------------------------------------------
พอขึ้นห้องได้ก็.......
เหตุการณ์เดิมๆ แต่รายละเอียดแตกต่างกันไป ไม่ซ้ำเก่า
สงสัย "โน ไวน์" คริ คริ
แต่ครั้งนี้
อบอุ่น อ่อนหวาน เนิบนาบ นุ่มนวล
ถึงจะไม่ตื่นเต้น เร้าใจ ถึงใจ
เหมือนคืนนั้น...ที่สวนผึ้ง
แต่ก็มากล้นด้วยความสุขครับผม
แหะๆ
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ
อายุอานามขนาดนี้
หากไม่ประมาณตน
รุนแรง เร่าร้อน ติดๆกัน
มีหวังได้โทรสายด่วน
1669
http://www.youtube.com/watch?v=K72dnPEjJfgฟังเพลงกันด้วยนะครับ
ขอบคุณเจ้าของคลิปด้วยครับ
-------------------------------------------------------------------------
ตอนเช้าวันปีใหม่
ตื่นมา..ทันกินเบรกฟาสต์..เย้ๆ
เจ๊วา โทรมาให้ไปกินกลางวันที่บ้านกทม.
อีกสองเจ๊มารออยู่
โอ้เอ้ แวะซื้อขนมของฝากอีกนิดหน่อยครับ
ชื่อร้าน “นันทวัน”
มีของฝากเกือบทุกจังหวัด ทั่วประเทศ
เสียดายซื้อไม่ได้มาก
ไม่งั้น
ต้องเอาวางตักผม ตักเฮีย
เผลอๆผมต้องเอาเทินศีรษะ
“เฮียๆ คราวหน้าเอารถสิบล้อมานะ”
--------------------------------------------------------------
สนุกป่ะครับ "มี่หน่อยแทรเวล"
เจอกันใหม่ เมื่อมีเหตุการณ์สนุกๆครับผม
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ และการติดตามครับ
คิดถึงน้องหน่อย ก็เข้าไปอ่าน...
"จะอายทำไม"
นะครับ

ป.ล.
กว่าที่ผมจะมีวันนี้ได้
อุปสรรค ขวากหนาม มากมาย
โดยเฉพาะ..ด้านอารมณ์ ความรู้สึก
ที่เจ็บใจเจียนตาย ก็ไม่น้อย
สิ่งที่ช่วยประคับประคองมาได้
คือ...
ความอดทน
และ....
ความรัก
ครับผม
