บทที่ 194 Us
“คนเราจะตกหลุมคนที่เจอในความฝันได้ไหม”
เสียงนั้นล่องลอยมาจากดินแดนที่ไกลแสนไกล เหตุการณ์โดยรอบนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีเมืองมีนาคมอันเป็นเบื้องหน้า ไม่มีเชิงหน้าผาใดให้เป็นหนหลัง ราวกับเสียงเหล่านั้นจะดังมากจากจิตใต้สำนึกเบื้องลึกของใครสักคนหนึ่งเท่านั้นเอง มันดูเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่แสนจะอบอุ่น ประหนึ่งเหมือนจะนำความรู้สึกในรสสัมผัสของคนสองคนมาขยายใหญ่ให้เป็นจักรวาลที่แสนกว้างใหญ่และไร้จุดสิ้นสุดอย่างใดอย่างนั้น
“ไม่รู้สิ มันอาจจะขึ้นอยู่กับว่าเรานิยามความฝันไว้แบบไหน”
อีกเสียงหนึ่งตอบกลับมาด้วยประโยคที่เหมือนจะแฝงไว้ด้วยความไม่มั่นใจ แต่ในน้ำเสียงที่แทรกมานั้น กลับไม่มีความโลเลใดแฝงไว้อยู่เลย เสียงนั้นดูอบอุ่นราวกับเป็นมือหนาที่เปี่ยมไปด้วยความปารถนาดีที่กำลังลูบศีรษะอีกฝ่ายหนึ่งอย่างช้าๆ
“แล้วคนเราควรจะนิยามความฝันไว้อย่างไร”
เสียงนั้นดังขึ้นอย่างสับสน ประหนึ่งเด็กน้อยที่กำลังมองเห็นแม่สายใหญ่ผ่านพาดอยู่เบื้องหน้า ความรู้สึกในขณะจิตนั้นช่างเปราะบาง อ่อนไหว และไร้ซึ่งความมั่นคง
“ถ้าเรานิยามว่าความฝันคือสิ่งที่เหนือความเป็นจริง คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นั่นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ตามนิยามที่เราตั้งไว้”
“แล้วถ้าไม่ใช่”
“แต่หากเราเปลี่ยนนิยามมาเป็นว่าความฝันคือสิ่งที่เราได้ประสบพบเจอช่วงขณะที่เรากำลังนอนหลับนั้น ก็เห็นว่าจะไม่ยากเกินไปที่จะทำให้มันปรากฏจริง”
เสียงนั้นตอบกลับมาด้วยอวัจนภาษาที่แสนจะอ่อนโยน เสียงทั้งสองก้องกังวานไปมาในความสงบที่แสนจะเซ็งแซ่ไปด้วยความสับสน ไม่มีตัวตนของเขา ไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีตัวตนของใครทั้งสิ้น ดินแดนแห่งนี้ดูจะลึกลับเกินกว่าที่ใครหรืออะไรจะล่วงล้ำเข้ามาถึง
“มันจะเป็นความรักได้อย่างไร รักที่ต้องพบเจอกันยามหลับฝัน มันจะเป็นความจริงที่จับต้องได้อย่างไร”
เสียงนั่นยังคงแย้งมาอย่างมีเหตุมีผล คงจะจริงที่ว่าคนเราจะรักกันแค่ในความฝันอย่างไร ความฝันที่ยากจะจับต้องได้ในความเป็นจริง
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับนิยามอีกนั่นแหละ ว่าเรานิยามความรักไว้แบบไหน”
เสียงสุขุมตอบมาเหมือนน้ำเย็นที่เข้าลูบผิวกายที่กำลังร้อนรุ่มอย่างใดอย่างนั้น แต่ต่างที่เสียงนั้นกำลังปลอบประโลมจิตใจที่กำลังสับสนแทน
“รักคงหมายถึงการเข้าใจกัน ใส่ใจกัน ดูแลกัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
เสียงนั้นตอบกลับหลังจากที่เงียบไปชั่วพักใหญ่ คำอธิบายเหล่านั้นราวกับจะนิยามมาจากครอบครัวที่แสนจะสมบูรณ์แบบของคู่รักคู่หนึ่ง
“ถ้านิยามความรักแบบนั้น เห็นทีจะหาความรักได้ยากยิ่งเหลือเกิน หลายคนเข้าใจกันแต่ไม่ใส่ใจกัน หลายคนใส่ใจกันแต่ไม่ได้ดูแลกัน หลายคนดูแลกันแต่ไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข” ไม่มีวี่แววแห่งความคัดแย้ง แต่เป็นเพียงการเห็นต่างแบบโอบอ้อมอารีเท่านั้น
“แล้วความรักคืออะไร”
“รัก คือ รัก”
“เราไม่เห็นจำเป็นต้องนิยามให้รักคืออะไร เพราะรักคือรักเท่านั้น”
เสียงอบอุ่นนั่นตอบมาอย่างเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยนัยยะมากมาย บางที อาจจะมากมายเกินกว่าที่ผู้ที่กำลังหลงทางนั้นจะมองเห็นคำตอบได้อย่างชัดเจน
“แล้วจะรู้ได้ไงว่านี่คือรัก”
“เมื่อใดที่เราค้นพบความรู้สึกซึ่งพิเศษ ความหอมหวานมันแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของเรา เมื่อเราค้นพบว่ามันสถิตอยู่ในความสัมพันธ์ เราจะรู้เองว่านั่นคือเราได้รักใครคนหนึ่งไปอย่างหมดหัวใจแล้ว”
“แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้าค้นพบแล้วว่ารัก แต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีโอกาสจะได้ดูแลกันและกัน”
เสียงนั้นยังคงแย้งมาอย่างมั่นคง ราวกับว่านั่นจะเป็นปัญหาหลักที่ยังคงคั่งค้างอยู่ในใจกลางความสับสนแห่งนั้น
“จงรักใครสักคนเพราะเรารักเขา แต่อย่ารักใครสักคนเพราะอยากเป็นเจ้าของตัวและหัวใจเขา นั่นไม่ใช่รัก นั่นคือความต้องการที่จะครอบครอง”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะมีความรักไปทำไม ในเมื่อวันหนึ่งในอนาคตเรารู้อยู่แก่ใจของเราว่าเราจะต้องแยกจาก ความทุกข์จะต้องมาถึง”
“แล้วเหตุใดเราจะต้องเกรงกลัวในความทุกข์ด้วย ในเมื่อทุกข์มันเป็นสิ่งธรรมดาของชีวิต ไม่มีใครหนีความทุกข์ได้พ้นหรอก เมื่อวันที่เราย่างขาก้าวเข้าไปในดินแดนแห่งความรัก นั่นหมายถึงเราโอบกอดความสุขไว้ครึ่งหนึ่ง และยินยอมที่จะแบกรับความทุกข์ไว้ครึ่งหนึ่งแล้วเช่นกัน”
“อย่างนั้นไม่รักจะดีกว่าไหม ไม่ต้องสุขไม่ต้องทุกข์”
“นั่นเองก็เป็นหนทางที่เราต้องเลือกเดิน แต่ถ้าประโยคนี้ดังขึ้นในอนุสติให้เราตัดสินใจแบบนี้ นั่นแปลว่าสุขและทุกข์ได้เกาะกินเข้ามาในความรู้สึกเราแล้ว ใยต้องเกรงกลัวสุข ใยต้องเข็ดขยาดความทุกข์ ในเมื่อมันก็เป็นเพียงบันทึกหน้าหนึ่งของการเดินทางแห่งชีวิตเท่านั้นเอง”
“แต่มันจะผ่านไป”
“แล้วมีสิ่งใดในโลกแห่งนี้ไม่ผ่านไปบ้างเล่า แม้ว่าความสัมพันธ์นั้นจะสิ้นสุดในวันหนึ่ง แต่เราต้องไม่ลืมว่าความทรงจำนั้นจะอยู่ไปกับเราตราบชั่วฟ้าดินสลาย ความทรงจำที่เราเลือกได้ว่าจะเก็บสิ่งใดไว้ และปล่อยปละละเลยส่วนใดไปเสีย รู้ไหม การมีความรักที่ดีเพียงแค่ครั้งหนึ่งอาจจะมากมายเพียงพอที่จะทำให้เราไม่ต้องรักใครใหม่อีกเลยไปตลอดชีวิต”
“รักมันก็คือรักเช่นนี้เอง”
“แต่ถ้าความรักนั้นมันผิด” เสียงนั้นยังคงแย้งมาอย่างไม่มั่นใจต่อไป
“เห็นทีจะต้องวกกลับมาที่คำถามเดิมอีกนั่นแหละว่าเรานิยามคำว่าถูกไว้แบบไหน นิยามคำว่าผิดไว้อย่างไร” เสียงนั้นตอบมาอย่างอ่อนโยน
“มันผิด ใครๆ ก็รู้ว่ามันผิด”
“เห็นทีว่าเรากำลังจะตัดสินว่าถูกหรือผิดโดยประชามติจากบุคคลรอบข้างเสียแล้ว เราไม่คิดจะฟังเสียงหัวใจตัวเองบ้างเหรอว่าแท้จริงแล้วหัวใจเรารู้สึกอย่างไร ชีวิตนี้เป็นของเรา ตราบใดที่เราไม่ได้เบียดเบียนใคร เราก็น่าจะมีสิทธิ์พิพากษาชีวิตเราให้เป็นไปตามรูปแบบที่เราปารถนาไม่ใช่หรือ”
“แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้าใจเรายอมรับ แต่สังคมรอบข้างไม่ยอมรับและไม่เห็นด้วยกับเรา เราไม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์จากคำครหาไปตลอดชีวิตเหรอ”
“แม้แต่องค์พระปฎิมายังราคิน แล้วมนุษย์เดินดินจะสิ้นคำนินทาได้อย่างไร ไม่ต้องกังวลเรื่องการฉีกกฎสังคมในข้อนี้หรอก เพราะไม่วันใดวันหนึ่ง เราก็ต้องฉีกกฎสังคมข้ออื่นอยู่ดี น่าเสียดายที่เรื่องที่เกิดขึ้นในหัวใจของเรา แต่เรากลับให้คนภายนอกมาตัดสินเสียอย่างนั้น”
“เรื่องในหัวใจ...” อีกเสียงหนึ่งรำพึงขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ
“เมื่อปี 2549 หญิงชราคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นในมณฑลฉงชิ่งหลังจากที่เธอได้หายตัวไปร่วม 50 ปี”
“ย้อนกลับไปเมื่อตอนเริ่มต้นเรื่องราว สีว์ในวัย 30 ปีเป็นหญิงหม้ายสามีตายที่ได้พบรักกับหลิว ชายหนุ่มรูปงามอนาคตไกลซึ่งมีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น”
“แน่นอนว่าความรักของทั้งคู่เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นไปไม่ได้ในสังคมจีนขณะนั้นเลย ชาวจีนโบราณเชื่อว่าหญิงม่ายที่แต่งงานใหม่นั้นจะนำความวิบัติมาสู่ครอบครัวสามี ความรักอันบริสุทธิ์ของทั้งคู่ถูกตอกประตูปิดตายในโลกแห่งจารีตประเพณี”
“รักคงคือตัวแทนของความทุกข์” เสียงเศร้าซึมดังขึ้นมาจากอีกฝ่ายหนึ่งนั้น
“เห็นทีว่าจะไม่ใช่ เพราะสีว์และหลิวตัดสินใจหนีขึ้นไปอยู่บนภูเขาที่มีเพียงแต่พวกเขาสองคน ไม่มีจารีตประเพณี คำติฉินนินทา หรือคำปรามาสจากบุคคลใดจะติดตามทั้งคู่ไปได้”
“สีว์ในขณะนั้นเริ่มแก่ตัวขึ้นทุกวัน การที่เธอจะลงจากภูเขามาเพื่อพบปะญาติพี่น้องนั้นเป็นเรื่องดูจะลำบากอยู่ไม่น้อย”
“หลิวผู้เป็นสามีจึงเริ่มแกะสลักทางขึ้นลงภูเขาให้ภรรยาของตนได้เดินลงมาอย่างสะดวกสบาย บันไดนั้นทอดยาวกว่า 6,000 ขั้น ทอดยาวจากโลกภายนอกสู่สถานที่ปลีกวิเวกแห่งรักของคนสองคน”
“เราต้องหนีจากสังคมโลกไปอย่างนั้นเหรอ รักของเราจึงจะจริงขึ้นมาได้”
“สิ่งที่เราต้องทำคือเริ่มต้นแกะสลักบันไดทั้ง 6,000 ขึ้นตั้งแต่วันนี้ บันได 6,000 ขั้นที่ไม่ได้พาร่างกายของเราหนีไปจากโลกของสังคมภายนอก หากแต่เป็นบันได 6,000 ขั้นที่จะพาหัวใจเราไปยังดินแดนที่มีแต่ความรู้สึกของเราสองคน”
“กลัว...”
“เหตุใดต้องหวาดกลัวในความรักที่บริสุทธิ์เช่นนี้”
“ความเป็นไปได้มันน้อยนิดเหลือเกิน”
“สุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า 留得青山在,不怕没柴烧 [liú dé qīng shān zài, bú pà méi chai shāo : หลิวเตื๋อชิงซานไจ้ ปู๋ผ้าเหมยไชซาว] ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวว่าจะไม่มีฟืนเผา”
“บัดนี้เบื้องหน้าเราเป็นขุนเขาเขียวขจีสุดกว้างใหญ่ ทำไมเราไม่ตักตวงกับทัศนียภาพนี้ให้อิ่มเอมจนเต็มอก ใยถึงมัวแต่กังวลแต่อนาคตที่ยังคงมาไม่ถึง”
“วันนี้ เวลานี้ ตอนนี้ คือสิ่งพิเศษที่สุดที่ได้ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้กับคนๆ นี้ไม่ใช่หรือ?”
“ความหวังยังมีอยู่?”
“ความหวังมีอยู่เสมอ เพียงแต่มันจะปรากฏมีอยู่ในเฉพาะหัวใจของคนที่เชื่อมั่นและศรัทธาในความหวังนั้นอย่างแท้จริง”
“โอบกอดรักของเราไว้ รักจะเป็นของเราเรื่อยไป ไม่ว่าใครคนไหนจะเป็นฝ่ายตัดสินใจเดินหนีไปก่อน รักจะยังอยู่ตรงนี้ รักยังอยู่ตรงนี้ตลอดไป ตรงที่ในหัวใจของเราสองคน”
ติดตามข่าวการอัพเดตตอนใหม่ :
www.facebook.com/allornonetheauthor