The Lost World มหัศจรรย์ดินแดนสาบสูญ EP204 + ประกาศอัพเดต 23/05/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Lost World มหัศจรรย์ดินแดนสาบสูญ EP204 + ประกาศอัพเดต 23/05/2018  (อ่าน 440040 ครั้ง)

ออฟไลน์ Gracieux

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1

ออฟไลน์ lukkeng

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-0
บทที่ 194 Us

   “คนเราจะตกหลุมคนที่เจอในความฝันได้ไหม”

   เสียงนั้นล่องลอยมาจากดินแดนที่ไกลแสนไกล เหตุการณ์โดยรอบนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีเมืองมีนาคมอันเป็นเบื้องหน้า ไม่มีเชิงหน้าผาใดให้เป็นหนหลัง ราวกับเสียงเหล่านั้นจะดังมากจากจิตใต้สำนึกเบื้องลึกของใครสักคนหนึ่งเท่านั้นเอง มันดูเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่แสนจะอบอุ่น ประหนึ่งเหมือนจะนำความรู้สึกในรสสัมผัสของคนสองคนมาขยายใหญ่ให้เป็นจักรวาลที่แสนกว้างใหญ่และไร้จุดสิ้นสุดอย่างใดอย่างนั้น


   “ไม่รู้สิ มันอาจจะขึ้นอยู่กับว่าเรานิยามความฝันไว้แบบไหน”

   อีกเสียงหนึ่งตอบกลับมาด้วยประโยคที่เหมือนจะแฝงไว้ด้วยความไม่มั่นใจ แต่ในน้ำเสียงที่แทรกมานั้น กลับไม่มีความโลเลใดแฝงไว้อยู่เลย เสียงนั้นดูอบอุ่นราวกับเป็นมือหนาที่เปี่ยมไปด้วยความปารถนาดีที่กำลังลูบศีรษะอีกฝ่ายหนึ่งอย่างช้าๆ


   “แล้วคนเราควรจะนิยามความฝันไว้อย่างไร”

   เสียงนั้นดังขึ้นอย่างสับสน ประหนึ่งเด็กน้อยที่กำลังมองเห็นแม่สายใหญ่ผ่านพาดอยู่เบื้องหน้า ความรู้สึกในขณะจิตนั้นช่างเปราะบาง อ่อนไหว และไร้ซึ่งความมั่นคง


   “ถ้าเรานิยามว่าความฝันคือสิ่งที่เหนือความเป็นจริง คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นั่นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ตามนิยามที่เราตั้งไว้”


   “แล้วถ้าไม่ใช่”


   “แต่หากเราเปลี่ยนนิยามมาเป็นว่าความฝันคือสิ่งที่เราได้ประสบพบเจอช่วงขณะที่เรากำลังนอนหลับนั้น ก็เห็นว่าจะไม่ยากเกินไปที่จะทำให้มันปรากฏจริง”

   เสียงนั้นตอบกลับมาด้วยอวัจนภาษาที่แสนจะอ่อนโยน เสียงทั้งสองก้องกังวานไปมาในความสงบที่แสนจะเซ็งแซ่ไปด้วยความสับสน ไม่มีตัวตนของเขา ไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีตัวตนของใครทั้งสิ้น ดินแดนแห่งนี้ดูจะลึกลับเกินกว่าที่ใครหรืออะไรจะล่วงล้ำเข้ามาถึง


   “มันจะเป็นความรักได้อย่างไร รักที่ต้องพบเจอกันยามหลับฝัน มันจะเป็นความจริงที่จับต้องได้อย่างไร”

   เสียงนั่นยังคงแย้งมาอย่างมีเหตุมีผล คงจะจริงที่ว่าคนเราจะรักกันแค่ในความฝันอย่างไร ความฝันที่ยากจะจับต้องได้ในความเป็นจริง

   
   “นั่นก็ขึ้นอยู่กับนิยามอีกนั่นแหละ ว่าเรานิยามความรักไว้แบบไหน”

   เสียงสุขุมตอบมาเหมือนน้ำเย็นที่เข้าลูบผิวกายที่กำลังร้อนรุ่มอย่างใดอย่างนั้น แต่ต่างที่เสียงนั้นกำลังปลอบประโลมจิตใจที่กำลังสับสนแทน


   “รักคงหมายถึงการเข้าใจกัน ใส่ใจกัน ดูแลกัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”

   เสียงนั้นตอบกลับหลังจากที่เงียบไปชั่วพักใหญ่ คำอธิบายเหล่านั้นราวกับจะนิยามมาจากครอบครัวที่แสนจะสมบูรณ์แบบของคู่รักคู่หนึ่ง


   “ถ้านิยามความรักแบบนั้น เห็นทีจะหาความรักได้ยากยิ่งเหลือเกิน หลายคนเข้าใจกันแต่ไม่ใส่ใจกัน หลายคนใส่ใจกันแต่ไม่ได้ดูแลกัน หลายคนดูแลกันแต่ไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข” ไม่มีวี่แววแห่งความคัดแย้ง แต่เป็นเพียงการเห็นต่างแบบโอบอ้อมอารีเท่านั้น


   “แล้วความรักคืออะไร”


   “รัก คือ รัก”

   “เราไม่เห็นจำเป็นต้องนิยามให้รักคืออะไร เพราะรักคือรักเท่านั้น”

   เสียงอบอุ่นนั่นตอบมาอย่างเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยนัยยะมากมาย บางที อาจจะมากมายเกินกว่าที่ผู้ที่กำลังหลงทางนั้นจะมองเห็นคำตอบได้อย่างชัดเจน


   “แล้วจะรู้ได้ไงว่านี่คือรัก”


   “เมื่อใดที่เราค้นพบความรู้สึกซึ่งพิเศษ ความหอมหวานมันแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของเรา เมื่อเราค้นพบว่ามันสถิตอยู่ในความสัมพันธ์ เราจะรู้เองว่านั่นคือเราได้รักใครคนหนึ่งไปอย่างหมดหัวใจแล้ว”


   “แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้าค้นพบแล้วว่ารัก แต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีโอกาสจะได้ดูแลกันและกัน”

   เสียงนั้นยังคงแย้งมาอย่างมั่นคง ราวกับว่านั่นจะเป็นปัญหาหลักที่ยังคงคั่งค้างอยู่ในใจกลางความสับสนแห่งนั้น


   “จงรักใครสักคนเพราะเรารักเขา แต่อย่ารักใครสักคนเพราะอยากเป็นเจ้าของตัวและหัวใจเขา นั่นไม่ใช่รัก นั่นคือความต้องการที่จะครอบครอง”


   “ถ้าอย่างนั้นเราจะมีความรักไปทำไม ในเมื่อวันหนึ่งในอนาคตเรารู้อยู่แก่ใจของเราว่าเราจะต้องแยกจาก ความทุกข์จะต้องมาถึง”


   “แล้วเหตุใดเราจะต้องเกรงกลัวในความทุกข์ด้วย ในเมื่อทุกข์มันเป็นสิ่งธรรมดาของชีวิต ไม่มีใครหนีความทุกข์ได้พ้นหรอก เมื่อวันที่เราย่างขาก้าวเข้าไปในดินแดนแห่งความรัก นั่นหมายถึงเราโอบกอดความสุขไว้ครึ่งหนึ่ง และยินยอมที่จะแบกรับความทุกข์ไว้ครึ่งหนึ่งแล้วเช่นกัน”


   “อย่างนั้นไม่รักจะดีกว่าไหม ไม่ต้องสุขไม่ต้องทุกข์”


   “นั่นเองก็เป็นหนทางที่เราต้องเลือกเดิน แต่ถ้าประโยคนี้ดังขึ้นในอนุสติให้เราตัดสินใจแบบนี้ นั่นแปลว่าสุขและทุกข์ได้เกาะกินเข้ามาในความรู้สึกเราแล้ว ใยต้องเกรงกลัวสุข ใยต้องเข็ดขยาดความทุกข์ ในเมื่อมันก็เป็นเพียงบันทึกหน้าหนึ่งของการเดินทางแห่งชีวิตเท่านั้นเอง”


   “แต่มันจะผ่านไป”


   “แล้วมีสิ่งใดในโลกแห่งนี้ไม่ผ่านไปบ้างเล่า แม้ว่าความสัมพันธ์นั้นจะสิ้นสุดในวันหนึ่ง แต่เราต้องไม่ลืมว่าความทรงจำนั้นจะอยู่ไปกับเราตราบชั่วฟ้าดินสลาย ความทรงจำที่เราเลือกได้ว่าจะเก็บสิ่งใดไว้ และปล่อยปละละเลยส่วนใดไปเสีย รู้ไหม การมีความรักที่ดีเพียงแค่ครั้งหนึ่งอาจจะมากมายเพียงพอที่จะทำให้เราไม่ต้องรักใครใหม่อีกเลยไปตลอดชีวิต”

   “รักมันก็คือรักเช่นนี้เอง”


   “แต่ถ้าความรักนั้นมันผิด” เสียงนั้นยังคงแย้งมาอย่างไม่มั่นใจต่อไป


   “เห็นทีจะต้องวกกลับมาที่คำถามเดิมอีกนั่นแหละว่าเรานิยามคำว่าถูกไว้แบบไหน นิยามคำว่าผิดไว้อย่างไร” เสียงนั้นตอบมาอย่างอ่อนโยน


   “มันผิด ใครๆ ก็รู้ว่ามันผิด”


   “เห็นทีว่าเรากำลังจะตัดสินว่าถูกหรือผิดโดยประชามติจากบุคคลรอบข้างเสียแล้ว เราไม่คิดจะฟังเสียงหัวใจตัวเองบ้างเหรอว่าแท้จริงแล้วหัวใจเรารู้สึกอย่างไร ชีวิตนี้เป็นของเรา ตราบใดที่เราไม่ได้เบียดเบียนใคร เราก็น่าจะมีสิทธิ์พิพากษาชีวิตเราให้เป็นไปตามรูปแบบที่เราปารถนาไม่ใช่หรือ”


   “แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้าใจเรายอมรับ แต่สังคมรอบข้างไม่ยอมรับและไม่เห็นด้วยกับเรา เราไม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์จากคำครหาไปตลอดชีวิตเหรอ”


   “แม้แต่องค์พระปฎิมายังราคิน แล้วมนุษย์เดินดินจะสิ้นคำนินทาได้อย่างไร ไม่ต้องกังวลเรื่องการฉีกกฎสังคมในข้อนี้หรอก เพราะไม่วันใดวันหนึ่ง เราก็ต้องฉีกกฎสังคมข้ออื่นอยู่ดี น่าเสียดายที่เรื่องที่เกิดขึ้นในหัวใจของเรา แต่เรากลับให้คนภายนอกมาตัดสินเสียอย่างนั้น”


   “เรื่องในหัวใจ...” อีกเสียงหนึ่งรำพึงขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ


   “เมื่อปี 2549 หญิงชราคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นในมณฑลฉงชิ่งหลังจากที่เธอได้หายตัวไปร่วม 50 ปี”

   “ย้อนกลับไปเมื่อตอนเริ่มต้นเรื่องราว สีว์ในวัย 30 ปีเป็นหญิงหม้ายสามีตายที่ได้พบรักกับหลิว ชายหนุ่มรูปงามอนาคตไกลซึ่งมีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น”

   “แน่นอนว่าความรักของทั้งคู่เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นไปไม่ได้ในสังคมจีนขณะนั้นเลย ชาวจีนโบราณเชื่อว่าหญิงม่ายที่แต่งงานใหม่นั้นจะนำความวิบัติมาสู่ครอบครัวสามี ความรักอันบริสุทธิ์ของทั้งคู่ถูกตอกประตูปิดตายในโลกแห่งจารีตประเพณี”


   “รักคงคือตัวแทนของความทุกข์” เสียงเศร้าซึมดังขึ้นมาจากอีกฝ่ายหนึ่งนั้น


   “เห็นทีว่าจะไม่ใช่ เพราะสีว์และหลิวตัดสินใจหนีขึ้นไปอยู่บนภูเขาที่มีเพียงแต่พวกเขาสองคน ไม่มีจารีตประเพณี คำติฉินนินทา หรือคำปรามาสจากบุคคลใดจะติดตามทั้งคู่ไปได้”

   “สีว์ในขณะนั้นเริ่มแก่ตัวขึ้นทุกวัน การที่เธอจะลงจากภูเขามาเพื่อพบปะญาติพี่น้องนั้นเป็นเรื่องดูจะลำบากอยู่ไม่น้อย”

   “หลิวผู้เป็นสามีจึงเริ่มแกะสลักทางขึ้นลงภูเขาให้ภรรยาของตนได้เดินลงมาอย่างสะดวกสบาย บันไดนั้นทอดยาวกว่า 6,000 ขั้น ทอดยาวจากโลกภายนอกสู่สถานที่ปลีกวิเวกแห่งรักของคนสองคน”



   “เราต้องหนีจากสังคมโลกไปอย่างนั้นเหรอ รักของเราจึงจะจริงขึ้นมาได้”


   “สิ่งที่เราต้องทำคือเริ่มต้นแกะสลักบันไดทั้ง 6,000 ขึ้นตั้งแต่วันนี้ บันได 6,000 ขั้นที่ไม่ได้พาร่างกายของเราหนีไปจากโลกของสังคมภายนอก หากแต่เป็นบันได 6,000 ขั้นที่จะพาหัวใจเราไปยังดินแดนที่มีแต่ความรู้สึกของเราสองคน”


   “กลัว...”


   “เหตุใดต้องหวาดกลัวในความรักที่บริสุทธิ์เช่นนี้”


   “ความเป็นไปได้มันน้อยนิดเหลือเกิน”


   “สุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า  留得青山在,不怕没柴烧  [liú dé qīng shān zài, bú pà méi chai shāo : หลิวเตื๋อชิงซานไจ้ ปู๋ผ้าเหมยไชซาว] ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวว่าจะไม่มีฟืนเผา”

   “บัดนี้เบื้องหน้าเราเป็นขุนเขาเขียวขจีสุดกว้างใหญ่ ทำไมเราไม่ตักตวงกับทัศนียภาพนี้ให้อิ่มเอมจนเต็มอก ใยถึงมัวแต่กังวลแต่อนาคตที่ยังคงมาไม่ถึง”

   “วันนี้ เวลานี้ ตอนนี้ คือสิ่งพิเศษที่สุดที่ได้ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้กับคนๆ นี้ไม่ใช่หรือ?”


   “ความหวังยังมีอยู่?”



   “ความหวังมีอยู่เสมอ เพียงแต่มันจะปรากฏมีอยู่ในเฉพาะหัวใจของคนที่เชื่อมั่นและศรัทธาในความหวังนั้นอย่างแท้จริง”

   “โอบกอดรักของเราไว้ รักจะเป็นของเราเรื่อยไป ไม่ว่าใครคนไหนจะเป็นฝ่ายตัดสินใจเดินหนีไปก่อน รักจะยังอยู่ตรงนี้ รักยังอยู่ตรงนี้ตลอดไป ตรงที่ในหัวใจของเราสองคน”


   ติดตามข่าวการอัพเดตตอนใหม่ : www.facebook.com/allornonetheauthor

 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ lukkeng

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-0
จากผู้แต่ง : โดนกองทัพงานโจมตีอีกแล้ว เริ่มแต่งได้กระท่อนกระแท่น แต่จะพยายามลงให้สม่ำเสมอที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ

ออฟไลน์ addictuknow

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กรี้ดดดดดดดด ในที่สุดวันศุกร์ก็มาถึง :mew3:
โง้ยยย เฟี๊ยต อย่าคิดเยอะ รักก็คือรัก
ตามเสียงหัวใจไปเลยเฟี๊ยตตตตต   :o8:

รอตอนต่อไปนะค้าบบบ คนเขียนสู้ๆ o13

ออฟไลน์ sosad

  • >GuanOyze<
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
สู้ๆๆนะค่ะ นักเขียน คนอ่านเป็นกำลังใจให้
  :z2: :z2: :z2: :z2:

ออฟไลน์ akeins

  • ชีวิตเรา Undo ไม่ได้
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ ● MaYa~Boy ●

  • ฉันมันคนขี้อิจฉา
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3990
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-2
รอตอนต่อไปๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Lovee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แอบงงแฮะ 55555  แต่เค้าก็รอน้า  :really2:

ออฟไลน์ gessuriyong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอคอยเธอมาแสนนาน  ทรมานวิญญาณหนักหนา

แหม!!! กว่าจะถึงวันศุกร์ผมนี้ใจแทบขาดเลยครัช

อ่านตอนนี้แล้ว  ปลงๆพิกล  o18

สรุปมันก็แล้วแต่คนจริงๆอะเนาะ ความรัก

จะเข้าใจก็เข้าใจ จะไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ บางที่ก็ย๊ากยากยิ่งกว่าแก้โจทย์ฟิสิกส์   :m15:

ผู้อ่านนี้ก็กลัวน่ะจริงๆ ไม่กล้าที่จะเปิดรับ กลัวเจอความทุกข์อีกครึ่ง o18




ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
มาแล้ว ตอนนี้อ่านแล้วมึนงะ  เฟียสเถียงกะตัวเองหรอ :mew2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ใครคุยกับใคร อยากรู้จัง

รักก็คือรัก ถ้ารู้จักรัก ก็จะรู้จักชอบ(ที่ไม่ใช่รัก)

 :really2: :really2:

ออฟไลน์ Naeon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2
 :mew2:งง

ออฟไลน์ lukkeng

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-0
บทที่ 195 Fee


   เสียงกระพือปีกจากเจ้าม้าสีขาวสะอาดดังขึ้นมาจากทางเบื้องบนเตือนสติให้ชายทั้งหลุดออกภวังค์จากโลกที่เหมือนจะมีแต่เขาทั้งสองคนนั้น

   เฟี๊ยตค่อยๆ ดึงมือออกมาจากลำตัวของชายเบื้องหน้าด้วยว่าตอนนี้พวกเขาก็มาอยู่ตรงหน้าประตูเมืองลำดับที่สามของปีปฏิทินเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ธันเองก็เลื่อนมือของตนกลับมากุมบังเหียนที่นิ่งสนิทอยู่ตอนนั้นด้วยเช่นกัน

   รสสัมผัสของเขาทั้งคู่สิ้นสุดลงอย่างอ้อยอิ่งแต่ก็เฉียบขาดอยู่ในที


   กันต์ควบคุมเจ้าเปกาซัสให้ลงเทียบท่าบนพื้นดินเคียงข้างกับเจ้าอาชาชาดอีกตัวที่ยืนนิ่งรออยู่ก่อนแล้ว ตลอดระยะเวลาที่เดินทางเข้ามาใกล้เมืองนี้โดยตลอดนั้น พวกเขาสังเกตได้ว่าเมืองมีนาคมมีลักษณะในการกั้นขอบเขตเป็นวงกลม โดยมีประตูทางเข้ากระจายๆ อยู่เป็นระยะ มันมีลักษณะโค้งมนเป็นครึ่งวงกลม แข็งแรง และปิดสนิทราวกับไม่ค่อยจะยินดียินร้ายที่จะต้อนรับคนภายนอกเท่าไหร่นัก มองไปจนสุดสายตา พวกเขาก็ไม่เห็นบุคคลกลุ่มอื่นใดที่มีทีท่าว่ากำลังจะพยายามเข้าไปในเมืองแห่งนี้ ถึงแม้ว่าภายในขอบเขตประตูเมืองนั้นจะได้ดูมีสีสันและเต็มไปด้วยผู้คน แต่ภายนอกกลับเงียบสงบราวกับอยู่กันคนละแผ่นดินเลยทีเดียว


   “ลุยเลยมั้ย”

   เสียงของกันต์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ทุกคนกลับมายืนบนพื้นดิน การ์ดเดินทางคืนสภาพกลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

   “เอาดิ” ธันตอบออกมาแบบง่ายๆ ในขณะที่เฟี๊ยตก็พยักหน้าเห็นด้วยมาเช่นกัน

   กันต์เดินนำชายทั้งสองมายังบริเวณประตูเมืองทรงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่นั้น ชายหนุ่มชุดดำเลื่อนมือไปสัมผัสอิฐก้อนหนึ่งที่นูนเด่นขึ้นมากว่าอิฐก้อนอื่นที่เรียงรายประกอบตัวกันเป็นกำแพงนั่น


   “สวัสดี”

   เสียงหนึ่งเอ่ยดังขึ้นจากด้านหลังของกำแพงหินนั่น พร้อมกันกับที่ช่องเล็กๆ ที่มีลักษณะคล้ายหน้าต่างได้เลื่อนเปิดขึ้น เหมือนจะเป็นระบบรักษาความปลอดภัยของเมืองนี้ หากแต่ช่องที่เปิดขึ้นก็มองไปด้านในเห็นเพียงแต่ผนังอิฐเรียงเป็นกำแพงซ้อนอยู่อีกชั้นเท่านั้น ไม่เห็นที่มาของเสียงนั้นแต่อย่างใด

   “พวกเราต้องการเข้าไปในเมืองมีนาคม เปิดประตูให้เราหน่อย”

   กันต์เอ่ยตอบกลับไปกับกำแพงหินนั่น ท่าทางของชายหนุ่มดูจะคุ้นเคยกับประตูทรงครึ่งวงกลมไร้ชีวิตนี่อยู่พอสมควร

   “ค่าผ่านทาง” เสียงนั่นตอบกลับมาอย่างราบเรียบ

   “หือ?” เสียงครางในคอของกันต์ดังขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

   “ค่าผ่านทาง” เสียงนั้นยังตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงโทนเดิมเป๊ะ ราวกับว่ามันเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติอย่างใดอย่างนั้น

   
   ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้านิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจหยิบไพ่ใบหนึ่งออกมาจากสมุดของตน และยื่นใบเบื้องหน้าบริเวณช่องเปิดเล็กๆ ที่เป็นต้นเสียงของคำร้องขอนั้น

   “ใช้ได้ไหม?”

   กันต์เอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่เคยเสียค่าเข้าเมืองนี้มาก่อน เฟี๊ยตเฝ้ามองพฤติกรรมเหล่านั้นอย่างพิจารณา

   “ค่าผ่านทาง”


   ชายหนุ่มในชุดดำคนนั้นเดินกลับมารวมกลุ่มกับเพื่อนทั้งสองหลังจากมองเห็นได้ว่าการเจรจาเพื่อเข้าสู่เมืองมีนาคมนี่จะไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว

   “เป็นไรเปล่าวะ” ธันเอ่ยถามขึ้น

   “มันบอกว่าต้องจ่ายค่าผ่านทางหวะ” กันต์พูดพร้อมขมวดคิ้วน้อยๆ

   “ครั้งที่แล้วตอนที่มึงเข้าเมืองนี้ เมืองจ่ายเป็นอะไรวะ” เฟี๊ยตถามขึ้นอีกคน

   “ครั้งที่แล้วไม่ต้องจ่ายหวะ ครั้งที่แล้วแค่กดอิฐก้อนที่นูนออกมาประตูก็เปิดได้ทันทีเลย” กันต์ตอบในขณะที่สายตาก็ยังคงมองไปที่กำแพงหนานั่นอย่างครุ่นคิด

   “หรือต้องจ่ายเป็นเงิน”

   เฟี๊ยตแสดงความเห็นต่อ หลังจากที่เห็นได้ชัดว่าค่าผ่านทางนั่นไม่น่าใช่การ์ด เพราะกันต์ก็ลองยื่นการ์ดไปใบหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่เกิดเหตุใดๆ ขึ้น

   “ไม่น่าใช่นะ ถ้าต้องใช้เงิน ระบบน่าจะแจ้งให้ตัดอัตโนมัติได้เลย ไม่น่าเรียกหาเป็นค่าผ่านทางแบบนี้” กันต์แสดงความคิดเห็น

   “งั้นเอาไงต่อไปดี” ธันพูดขึ้นพร้อมมองหน้าเพื่อนทั้งสองคน


   “ติดต่อสภาแห่งอิสรภาพครับ”

   กันต์หยิบนาฬิกาข้อมือของตนขึ้นมาใช้ในที่สุด หลังจากที่นิ่งไปอึดใจหนึ่ง เขาตัดสินใจติดต่อองค์กรที่พวกเขาตอบรับเป็นสมาชิกไปในช่วงที่ฝึกฝนวิชากันอยู่นั้น ชายหนุ่มเองก็ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ใช้หน่วยข่าวสารขององค์กรนั่นในเวลารวดเร็วถึงเพียงนี้

   “ฝ่ายประสานงานส่วนกลางของสภาแห่งอิสรภาพ สวัสดีค่ะ”

   ชั่วไม่กี่วินาทีก็มีเสียงตอบมาจากนาฬิกาที่พวกเขาใช้ติดต่อนั่น เฟี๊ยตกับธันเงียบเสียงลงพร้อมกับตั้งใจฟังบทสนทนาเหล่านั้น

   “ติดต่อหน่วยข่าวกรองครับ” กันต์ตอบไปอย่างเรียบๆ

   “กรุณายืนยันตัวตนเพื่อติดต่อหน่วยข่าวกรองของสภาค่ะ” เสียงใสนั่นตอบกลับมาแทนจะทันที

   “Gun’s Gun สมาชิกกลุ่มผู้เล่นลำดับที่ 100 ของสภาแห่งอิสรภาพครับ”

   “ขั้นตอนการพิสูจน์เอกลักษณ์เสียงของผู้เล่นเรียบร้อยค่ะ กรุณาถือสายรอสักครู่เพื่อติดต่อฝ่ายข่าวกรองนะคะ ขอบคุณค่ะ”


   ‘ไบเบิ้ล’

   “นายท่าน”

   ‘ฝ่ายข่าวกรองของสภาแห่งอิสรภาพนี่คืออะไร’

   “สภาแห่งอิสรภาพเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อคานอำนาจกับพรรคอธรรมในเกมนี้ และฝ่ายข่าวกรองเป็นฝ่ายหนึ่งในสภานั้น หน้าที่หลักคือเป็นศูนย์กลางข้อมูลข่าวสารเพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่าสมาชิก”

   ‘ข้อมูลของฝ่ายที่ว่ามีคุณภาพระดับไหน’

   “อาจจะเรียกได้ว่าเป็นข้อมูลที่สามารถเปิดเผยแหล่งที่มาได้และน่าเชื่อถือมากที่สุดในเกมนี้ พรรคอธรรมอาจจะมีข้อมูลที่มีคุณภาพไม่ต่างกัน แต่ข้อมูลเหล่านั้นมักถูกปกปิดเป็นความลับ”

   ‘แปลว่าเชื่อถือได้’

   “เท่าที่ข้อมูลที่ไบเบิ้ลมีอยู่ ข้อมูลเหล่านั้นเชื่อถือได้ นายท่าน”


   “ฝ่ายข่าวกรองของสภาแห่งอิสรภาพ สวัสดีค่ะ” เสียงตอบกลับดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากเงียบหายไปพักหนึ่ง

   “ผมขอใช้สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารครับ” กันต์ตอบ ดูเหมือนชายหนุ่มจะเคยใช้บริการที่ว่านี่อยู่บ้างแล้ว

   “ผู้เล่นลำดับที่ 100 ตอนนี้มีสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลอยู่ทั้งหมด 100 สิทธิ์ค่ะ ซึ่งเป็นคะแนนตั้งแต่แรกเข้า สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลจะมากขึ้น หากสมาชิกส่งข่าวสารที่มีประโยคให้กับทางสภาแห่งอิสรภาพค่ะ ไม่ทราบว่าอยากทราบเงื่อนไขเพิ่มเติม หรือจะแจ้งหัวข้อข่าวเพื่อเข้าถึงข้อมูลเลยคะ”

   เภสัชกรหนุ่มฟังเรื่องราวเหล่านั้นอย่างสนใจ ดูเหมือนว่าสมาชิกต้องหาข่าวมาแลกข่าวของสภา เพื่อที่จะเข้าถึงข่าวในครั้งต่อๆ ไป ท่าทางความสัมพันธ์ระหว่างสภากับสมาชิกจะมีความน่าสนใจมากกว่าที่คิด

   “แจ้งหัวข้อข่าวเลยครับ ผมอยากทราบเงื่อนไขการผ่านเข้าเมืองมีนาคม ณ ขณะนี้ครับ”

   กันต์ตอบอย่างไม่สนใจฟังข้อมูลเรื่องสิทธิ์เหล่านั้น ชายหนุ่มน่าจะคุ้นเคยกับฝ่ายข่าวกรองนี่อยู่พอสมควรทีเดียว

   “ข้อมูลพื้นฐานใช้ 5 สิทธิ์ ข้อมูลละเอียดใช้ 10 สิทธิ์ ข้อมูลลับเฉพาะใช้ 50 สิทธิ์” เสียงหวานตอบกลับมาหลักจากเงียบไปประมาณ 5 วินาที

   กันต์หันหน้ามามองเพื่อนร่วมทีมทั้งสองคนเล็กน้อยเหมือนต้องการการช่วยตัดสินใจ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป จนธันหันมาพยักเพยิดน้อยๆ เหมือนเป็นสัญลักษณ์ให้เพื่อนตัดสินใจไปได้เลย


   “ข้อมูลละเอียดครับ”

   “การผ่านเข้าเมืองมีนาคมตอนนี้ต้องจ่ายค่าผ่านทางค่ะ โดยค่าผ่านทางจะต้องจ่ายในรูปแบบของสิบหยิบหนึ่ง คือกลุ่มผู้เล่นที่ต้องการผ่านเข้าเมืองจะต้องมีไพ่ใบใดใบหนึ่งเหมือนกันเป็นจำนวน 10 ใบ และเมืองมีนาคมจะเก็บเป็นค่าผ่านทางไว้ 1 ใบเท่านั้น โดยไพ่ที่ใช้จ่ายเป็นค่าผ่านทางได้ต้องเป็นไพ่เวทมนตร์ที่มีระดับไม่ต่ำกว่าระดับ 5 ค่ะ”

   “ขอบคุณครับ”

   “สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลเหลือทั้งหมด 90 สิทธิ์ค่ะ ต้องการใช้บริการข้อมูลเพิ่มเติมด้านไหนอีกไหมคะ”

   “ไม่ครับ ขอบคุณครับ”

   “สวัสดีค่ะ”

   “สวัสดีครับ”

   กันต์กดวางสายจากองค์กรที่พวกเขาเป็นสมาชิกอยู่ในที่สุด ถึงแม้ว่าจะได้ข้อมูลมามากอยู่พอสมควร แต่คิ้วคู่นั่นก็ยังไม่มีทีท่าจะคลายตัวลงแม้แต่นิดเดียว


   ‘ไบเบิ้ล’

   “นายท่าน”

   ‘รู้ข้อมูลอย่างที่หน่วยข่าวกรองบอกเมื่อครู่นี้บ้างหรือเปล่า’

   “รู้ นายท่าน ไบเบิ้ลรู้ข้อมูลทั้งหมดของฝ่ายข่าวกรองตามที่พูดมา”

   ‘อย่างนี้ ระหว่างไบเบิ้ลกับหน่วยข่าวกรองนั่น ใครมีข้อมูลข่าวสารมากกว่ากัน’

   “ไบเบิ้ลคิดว่าน่าจะเป็นหน่วยข่าวกรองนั้นมากกว่านะนายท่าน ไบเบิ้ลเองมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ถูกควบคุมไว้โดยไบรอัน โซดิแอคที่สร้างไบเบิ้ลขึ้นมา ไบเบิ้ลไม่มีอิสระเทียบเท่าหน่วยข่าวกรองนั้นที่อยากจะบอกหรือไม่บอกข้อมูลใดๆ ออกมาก็ได้”


   ‘ไม่หรอก จำคำพูดเราไว้นะ เรื่องข้อมูลข่าวสาร ไม่มีใครเก่งไปกว่าไบเบิ้ลอีกแล้ว’ ผู้เป็นคลี่ยิ้มขึ้นพร้อมกับส่งคำพูดนั้นไปโดยไม่ได้ปริปากออกมาแม้แต่นิดเดียว

   “ขอบคุณที่สุด นายท่าน ขอบคุณ”


   จากผู้แต่ง : ตอนนี้สั้นหน่อยนะครับ งานเยอะมาก คั้นมาได้แค่นี้ ไม่รู้ว่าศุกร์นี้จะได้ลงอีกตอนหรือเปล่า งานเยอะมาก ถ้าทันก็จะมาลงให้นะครับ

ออฟไลน์ lukkeng

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-0

ออฟไลน์ Lovee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
"แค่นี้ก้ดีใจแล้วน้าที่อัพให้อ่ะ" 
แล้วก็ไบเบิ้ลเป็นอีกตัวละครที่ชอบอ่ะ รู้เยอะดีโฮะๆ ตอนนี้ยังอยู่หน้าเมือง เรารอมาเข้าเมืองมีนาไปพร้อมๆกัน เย้ 55555
  :z1:

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ไบเบิลรู้ แต่บอกไม่ได้ น่าเสียดาย~ เพราะดันติดข้อจำกัดมากมาย

เฟี๊ยตพูดแบบนี้ คิดอะไรออกรึเปล่าเนี่ย?

ออฟไลน์ Mozth35

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มาต่อเร็วๆๆนร้า เค้ารออยู่  :mew3:

ออฟไลน์ Naeon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2
จะเข้าเมืองแล้วววว

ออฟไลน์ BBellza

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ไม่เป็นไรคับ น้อยๆ แต่มาให้หัวใจได้ชุ่มชื่นๆ ตลอด ก็ยังดีค้าบบบบ

ไบเบิ้ล นี่สุดย๊อดดดดเลย อ่ะ


เป็นกำลังใจให้นะคับ ทั้งเรื่องงาน แล้ว กฟ้เรื่องนี้ด้วยค้าบบบ



เข้ามารอทุกวันนะครัช

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ๊ากกกก  ยังไม่หายคิดถึงเลยอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ gessuriyong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เฟี้ยตหยอดไบเบิลได้น่ารักมากเลยอ่าาา 

ถ้ามีนายปากหวานขนาดนี้นะ ทำงานถวายหัวเลย  :-[


ขอบคุณคนเขียนนะครัชชช  :pig4:


ออฟไลน์ akeins

  • ชีวิตเรา Undo ไม่ได้
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ HamsteR

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ไบเบิ้ลเป็นตัวละครที่ซัพพอร์ตเฟี๊ยตในยามฉุกเฉิน เป็นเพื่อนในยามที่โดดเดี่ยว แม้จะมีบทออกมาไม่เยอะไม่โดดเด่นเหมือนตัวละครอื่นๆ แต่โผล่มาในตอนสำคัญๆเสมอเลย  o13


ปล, สู้ๆๆๆนะครับ คุณนักเขียน มาลงตอนไหนก็ได้ครับ เอาที่สะดวก  :really2:

ออฟไลน์ Hang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สู้ๆงับ หนุกมากกกก พยายามต่อไปนะฮะ ไรท์ๆๆๆ เพิ่มคนในกลุ่มเป็นมาเฟียเป็นไง ดีมะๆๆๆ =w= ล้อเล่นงับ 55555 แต่งไปเถอะงับจะติดตามเรื่องนี้ตลอด เพิ่งมาเจอเรื่องนี้ตอน 180 ละมั้ง สรภาพบาปเปิดเรื่องนี้มาปิดไป 3 รอบละอ่านตอนแรกไม่จบสักที ลองพยายามอ่านให้จบตอนหนึ่งเอ๊ะ! หนุกนี่หว่าาา อ่านรวดเดียวหมดเลยไม่ได้นอน อย่าโกรธเค้าเลยเพราะเรื่องนี้เค้าถึงติดนิยายที่เป็นเกมไปหาอ่านจนหมดและ 555 หนุกมากงับต่อช้าไม่เป็นไรนะคับ ผมไม่ได้มารอเรื่องนี้ทุกวันเลยนะฮะ จริงๆไม่ได้มาเขียนให้กดดันให้เขียนไวๆเลยนะฮะ เอ๊ะ! พิมพ์ยาวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ช่างเถอะ  :katai4: เวิ้นเว้อออเบาๆ เป็นกำลังใจให้คับ ไรท์คงจะไม่หายไปหาแนวการเขียนอีกนะ -..-  :L2:

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
ตอนธันกับเฟี๊ยตแอบกุ๊กกิ๊กกันแบบเนียนๆ(?)
มันทำให้ฟินจริงแหละ ยิ่งธันมันขี้หึงขนาดนี้ ยิ่งน่าสนุก
แต่เรารับรองฟันธงว่า พอแต่งไปธันมันน่าจะกลัวเมียนะ ฮ่าฮ่าฮ่า

ข้อมูลการใช้สิทธิ์นี่โหดมากกกกกกกกกกกกกกก
แต่ถ้าเฟี๊ยตบอกพวกความลับที่ตัวเองเจอมาพวกภารกิจลับ น่าจะให้สิทธิ์เยอะอยู่

หลังๆนี่ไบเบิลจะมีอัพเกรดเป็นระดับสูงมั้ยนะ

ออฟไลน์ coffin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เรื่องนี้สนุกมากกกกกกกกกกกก  ปลื้มมมมม
อ่านแร้วเหมือนได้เล่นเกมจิงๆเลย
ชอบธัน ธันน่ารักมากกกกก :o8: :-[

ออฟไลน์ lukkeng

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-0
บทที่ 196 Tenth


   “สิบใบ ยากเอาเรื่องอยู่นะ”

   เฟี๊ยตบ่นพึมพำออกมาหลังจากที่ติดต่อกับไบเบิ้ลเรียบร้อยแล้ว จริงอยู่ที่การหาไพ่มาเพื่อเป็นค่าผ่านทางดูจะไม่ใช่เงื่อนไขอะไรที่โหดร้ายนัก แต่ข้อกำหนดที่บอกว่าไพ่ต้องเป็นไพ่เวทมนตร์ระดับ 5 เป็นอย่างน้อยและมีเหมือนกัน 10 ใบนี่หินไม่ใช่ย่อยเลย ไพ่เวทมนตร์ไม่เหมือนไพ่ตัวตนที่มีโอกาสเจอได้ซ้ำๆ ในเกม เขาเองก็มีไพ่เวทมนตร์อยู่ไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการเปิดซองการ์ดเท่านั้น และแน่นอนว่าไพ่ที่มีซ้ำกันนั้นแทบจะไม่มีอยู่เลย

   “จริง ไม่คิดว่าเงื่อนไขการเข้าเมืองจะวุ่นวายขนาดนี้”

   กันต์เองแสดงความคิดเห็นออกมาบ้าง คิ้วคู่นั้นยังคงขมวดอยู่อย่างนั้น ราวกับมีเรื่องที่รบกวนจิตใจชายหนุ่มอยู่

   “ไพ่เวทมนตร์เสียด้วย เอางี้ไหม เราไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดก่อน ลองเปิดซองการ์ดดู ไม่แน่นะ รวมกันสามคน เราอาจจะมีไพ่ซ้ำกันถึง 10 ใบก็ได้”

   ธันพูดออกมาบ้าง หลังจากนิ่งคิดอยู่ชั่วพักหนึ่ง ชายหนุ่มใช้นิ้วถูที่สันจมูกไปมาอย่างเผลอตัว ขณะที่กำลังใช้ความคิด

   “30 ใบดิ สามคนคนละสิบใบ” เฟี๊ยตแย้งมาเบาๆ

   “ไม่นะ ถ้าสังเกตให้ดี ฝ่ายข่าวกรองอะไรนั่นบอกว่ากลุ่มผู้เล่นต่อ 10 ใบ ดังนั้น พวกเราสามคนก็น่าจะใช้แค่สิบใบพอ” ธันพูดออกมาอย่างมั่นใจ

   เฟี๊ยตเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ อย่างสงสัย ก่อนจะหันไปมองที่เพื่อนร่วมทีมคนสุดท้าย ซึ่งชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ติดต่อคนนั้นก็พยักหน้าออกมาอย่างสำทับในข้อเท็จจริงนั้น

   “แต่จะให้กลับไปเมืองพฤษภาคมตอนนี้คงไม่ไหวมั้ง” กันต์พึมพำขึ้น

   “น่าจะลองแวะไปหมู่บ้านใกล้ๆ แถวนี้ก่อนนะ ไม่แน่ อาจจะมีร้านขายการ์ดอยู่ก็ได้” เฟี๊ยตพูดพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ


   “ไบเบิ้ล” เฟี๊ยตเอ่ยเสียงเรียกเพื่อนคู่ใจอีกคนหนึ่ง

   “นายท่าน” เสียงหนึ่งตอบกลับมาอย่างคุ้นเคย

   “ขอพิกัดหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดจากตำแหน่งนี้”

   “306.89415.345.28.7” เสียงนั่นตอบออกมาแทบจะทันที

   “ขอทราบชื่อหมู่บ้าน”

   “หมู่บ้าน 20 มีนา หมู่บ้านความสุขสากล นายท่าน”

   
   ‘สุขสากล?’


   “The Defensive Golem RELEASE!”

   คำสั่งเรียกใช้ไพ่ตัวตนดังมาจากชายผู้ที่ถนัดในการใช้ธาตุดินคนนั้น กันต์ปลดปล่อยอสูรทรายออกมาเมื่อทีมเห็นเป้าหมายที่จะมุ่งไปอย่างชัดเจน

   “ครั้งนี้ขอเป็นสารถีบ้าง” ชายหนุ่มพูดน้อยๆ พร้อมยิ้มที่มุมปาก

   “เดี๋ยวถามทางไบเบิ้ลให้แล้วกัน”

   เฟี๊ยตพูดพร้อมกับก้าวขึ้นไปบนฝ่ามืออันใหญ่โตของเจ้าอสูรทรายยักษ์นั่นอย่างคุ้นเคย ในขณะที่เจ้าของการ์ดใบนั้นได้ขึ้นไปนั่งบนไหล่สมุนของตนนั่นเรียบร้อยอยู่ก่อนแล้ว

   “อืม” ธันตอบรับในลำคออย่างง่ายๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนฝ่ามืออีกข้างที่เจ้าปีศาจทรายนั่นยื่นออกมา


   เจ้าโกเลมทรายเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันตกจากประตูเข้าเมืองที่พวกเขายืนอยู่ในตอนแรกนั้น เฟี๊ยตคอยทำหน้าที่ตะโกนบอกทิศทางตามที่ไบเบิ้ลกระซิบบอกมาอีกที สมุนของกันต์เคลื่อนที่โดยการก้าวเดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้ใช้วิธีแบบการเหาะไปแบบฉบับที่เฟี๊ยตนิยมเท่าไหร่นัก ชายหนุ่มสันนิษฐานว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลเพื่อรักษาจักระไว้ เผื่อจะจำเป็นต้องใช้ในอนาคตที่ไม่แน่นอนข้างหน้านี้

   อาจจะเป็นเพราะวิธีการเดินทางที่ไม่เร่งรีบในขามาในข้างต้น พวกเขาทั้งสามคนจึงมีโอกาสได้ซึมซับบรรยากาศรอบกายนี้อยู่อย่างพอสมควร ทุ่งหญ้ารอบด้านนี้เมื่อไม่มีแดดจ้าเข้ามาประกอบแล้วก็ถือว่าดูดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว สายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านพวกเขาอยู่ในเวลานี้ผ่อนคลายความตึงเครียดจากปัญหาข้างนี้อยู่ได้พอสมควร


   เวลาผ่านไปชั่วพักใหญ่ๆ ไบเบิ้ลก็แจ้งเตือนว่าพวกเขาได้เดินทางมาจนใกล้ถึงหมู่บ้านที่พวกเขามุ่งหน้ามามากแล้ว ตามคำกล่าวของไพ่พรสวรรค์ของเขา หมู่บ้านดังกล่าวอยู่หลังจากเนินเล็กๆ ตรงหน้านี้เอง ชายหนุ่มคาดเดาว่าหมู่บ้านดังกล่าวนี้น่าจะวางตัวอยู่ในแนวที่ราบต่ำ เพราะจากระยะตรงนี้ เฟี๊ยตยังมองไม่เห็นสถานที่ที่ว่าแม้แต่น้อยเลย


   “ช่วยด้วยยย”

   เสียงแผ่วๆ หนึ่งลอยมาตามลมอย่างร้องขอความเห็นใจ ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะอยู่ไม่ห่างออกไปเท่าไหร่นัก

   “กันต์หยุดก่อน!”

   เฟี๊ยตเอ่ยพูดกับเพื่อนที่กำลังควบคุมพาหนะในขณะอย่างเด็ดขาด เขาต้องการจะฟังแน่ชัดลงไปว่าเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั่นดังมาจากทางทิศใดกันแน่

   “ช่วยด้วยยย” เสียงร้องอย่างทรมานนั่นดังขึ้นอีกครั้ง

   “หลังเนินทางขวาตรงนั้น”

   ธันชี้มือพร้อมกับบอกตำแหน่งที่มาของเสียงนั้นอย่างมั่นใจ เขาอยู่ใกล้กับเสียงนั้นที่สุด มันชัดเจนจนเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีโอกาสผิดพลาดไปได้เลย

   “ไป!”

   กันต์เอ่ยสั่งไพ่ตัวตนของเขาอย่างเฉียบขาด เจ้าปีศาจทรายนั่นเคลื่อนที่ไปทางฝั่งขวามือตามคำบอกของเพื่อนร่วมทีมอีกคนนั่นเอง


   “ช่วยด้วยยย”

   เสียงร้องอย่างทรมานนั่นดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เจ้าของเสียงนั้นอยู่ในคลองจักษุของพวกเขาทั้งสามคนแล้ว ทันทีที่พวกเขาข้ามเนินเล็กๆ ตรงหน้านั้นมา พวกเขาทั้งสามคนก็พบเข้ากับภาพของหมู่บ้านขนาดเล็กที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าที่มีลักษณะพื้นที่ลาดเทลงไปอย่างที่เฟี๊ยตสันนิษฐานไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ลักษณะของมันเป็นหมู่บ้านขนาดไม่ใหญ่มากที่ประกอบขึ้นด้วยบ้านประมาณ 30 กว่าหลังคาเรือนเห็นจะได้ แต่ในขณะเวลานี้ ภาพตรงหน้าไม่ได้สร้างความน่าสนใจใดๆ ต่อพวกเขาทั้งสามคนเลย เพราะภาพของชายชราคนหนึ่งที่กำลังนอนกุมหัวเข่าด้านซ้ายอย่างทรมานในระยะไม่ห่างจากพวกเขาออกไปนักดึงเอาความรู้สึกของพวกเขาไปเสียหมด

   เฟี๊ยตรีบพุ่งตัวเองลงไปจากเจ้าอสูรทรายนั่นทันทีที่มันมายืนหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าผู้ป่วยคนนั้น ชายคนนั้นน่าจะมีอายุประมาณ 50 ปีเห็นจะได้ อาการแสดงที่ชัดเจนที่สุดในเวลานี้คือเขาเอามือกุมหัวเข่าไว้และร้องอย่างเจ็บปวดไม่หยุด แต่เท่าที่สังเกตคร่าวๆ เภสัชกรหนุ่มก็ไม่พบบาดแผลหรือความผิดปรกติใดๆ จากภายนอก


   “ลุง ลุงเป็นอะไร เจ็บตรงไหนบ้าง”

   เฟี๊ยตรีบเข้าไปหาผู้ป่วยคนนั้น พร้อมกับเขย่าไหล่และถามคำถามเพื่อหาแนวทางการเยียวยาอาการบาดเจ็บเหล่านั้น ดูเหมือนชายคนนั้นจะไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีคนเข้ามาใกล้จนกระทั่งเฟี๊ยตสัมผัสเข้าถึงตัว ความเจ็บปวดหยุดความสนใจในเรื่องอื่นของชายชราคนนั้นไปอย่างหมดสิ้น

   “ปวด” ชายคนนั้นตอบมาเพียงสั้นๆ แต่สีหน้าของเขาก็บ่งบอกถึงความหมายของคำสั้นๆ นั้นดี

   “ลุงเป็นแผลอะไรหรือเปล่า หรือมันปวดขึ้นมาเอง” เฟี๊ยตถามพร้อมกับจับแขนของชายตรงหน้าอย่างเรียกสติ

   “มันปวดอย่างนี้อยู่แล้วพ่อหนุ่ม ปวดมาตลอด เป็นๆ หายๆ แต่ไม่เคยหายขาดสักที” ชายคนนั้นพูดทั้งๆ ที่มือยังกุมหัวเข่าอยู่

   “ลุงปวดตอนไหนเป็นพิเศษ หรือมักจะปวดเมื่อทำอะไรบ้าง” เฟี๊ยตเอ่ยถาม

   “ส่วนใหญ่จะกำเริบตอนกลางคืน แต่บางทีก็ปวดหลังกินข้าว ลุงปวดมานานมากแล้ว ช่างมันเถอะ พ่อหนุ่ม เดี๋ยวสักพักมันก็หายไปเอง ขอบใจพ่อหนุ่มมาก” คนเจ็บพูดเหมือนจะตัดบทและไม่ต้องการความช่วยเหลือเท่าไหร่นัก

   “ลุงเคยปัสสาวะแล้วแสบขัดบ้างไหม” เฟี๊ยตถามต่ออย่างไม่สนใจท่าทางปฏิเสธเหล่านั้น

   “ใช่ พ่อหนุ่ม เอ็งรู้ได้ไง ลุงเคยแสบขัดเวลาฉี่จริงๆ หลังๆ นี่เป็นบ่อยขึ้นด้วย” เขาพูดออกมาอย่างตกใจน้อยๆ ที่คนตรงหน้าล่วงรู้อาการเจ็บป่วยของตนมากกว่าที่คิด


   “ดองดึง RELEASE!”


   เฟี๊ยตล้วงไปในเสื้อคลุมเพื่อหยิบหลอดทดลองที่บรรจุสารละลายใส ก่อนจะปลดปล่อยยาออกมาอย่างรวดเร็ว ของเหลวในหลอดนั้นฟุ้งกระจายออกเป็นละอองรอบๆ ตัวเขาทั้งคู่ ก่อนจะค่อยๆ ละลายหายไปในที่สุด


   “พ่อหนุ่ม” เสียงเรียกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับหันหน้ามามองเฟี๊ยตอย่างตกใจ

   “ครับลุง” เฟี๊ยตยิ้มกว้างอย่างพอจะจินตนาการคำพูดที่คนตรงหน้าจะพูดต่อไปได้

   “ลุง ลุง” คนเจ็บคนนั้นพูดละล่ำละลัก

   “ครับ” เฟี๊ยตรับคำ

   “ลุงหายปวดแล้ว”


   เสียงนั้นเต็มไปด้วยความปิติอย่างท่วมท้น น้ำตาของชายที่ผ่านโลกมามากตรงหน้าไหลออกมาอาบทั้งสองแก้มที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั้น มือทั้งสองนั้นเอื้อมมากุมมือเภสัชกรหนุ่มพร้อมกับกล่าวขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาอย่างตื้นตัน ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดเหล่านั้นจะบั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนตรงหน้านี้มานานแสนนาน


   ปังงงงงงงงงงงงงงง

   “ชื่อ ความสุข (Happiness) ประเภท MC (ไพ่เวทมนตร์) ระดับ 5 ความสามารถ ใช้ส่งต่อให้กันเพื่อแสดงความขอบคุณ”


   เสียงดังขึ้นน้อยๆ พร้อมกับการ์ดสีเขียวใบหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นและลอยลงมาสู่มือของเฟี๊ยตที่เอื้อมไปคว้าไว้พอดี

   “กูว่ากูพอจะเดาออกแล้วแหละว่าพวกเราจะไปหาค่าผ่านทางทั้ง 10 ใบเพื่อเข้าเมืองมีนาคมจากที่ไหน” เด็กหนุ่มสายฟ้าพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ บริเวณมุมปากงามนั้น


   อัพเดตข่าวสาร : www.facebook.com/allornonetheauthor

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ lukkeng

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-0
   จากผู้แต่ง : ผมพยายามจะมาลงให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งในวันศุกร์นะครับ ชีวิตผมช่วงนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ผมกำลังพยายามทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุดนะครับ ขอโทษด้วยนะครับถ้าอาจจะดูน้อยไปหน่อย

 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ akeins

  • ชีวิตเรา Undo ไม่ได้
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Lovee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
:ling1: คนแต่งไม่ต้องรีบหรอก เอาแบบอาทิตย์นึงว่างตอนไหนก้ลงอาทิตละครั้งก้พอ ในเมื่อนิยายมันสนุกเค้าก็จะคอยติดตาม ให้กำลังใจอยู่อย่างนี้เนอะ อิอิ ตอนนี้ยังไม่มีไรแฮะ แต่อยากฉลาดแบบเฟี๊ยตจัง :ling1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด