บทที่ 200 This Night
ปวดหัว...
เด็กหนุ่มพยายามฝืนความรู้สึกตัวเองที่กำลังเกิดขึ้นในสมองขณะนี้อย่างลำบากยากเย็น เขารู้สึกเหมือนมีใครกำลังเอามือขนาดใหญ่มาหมุนหัวของเขาเล่นไปมาอย่างนั้น แถมความรู้สึกในเวลานี้มันก็ร้อนและกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก
มือของธันสะเปะสะปะไปมาด้วยความรู้สึกร้อนรนนั้นก็พบว่าตัวเองเหมือนกำลังจะนอนอยู่บนเตียงที่ค่อนข้างนุ่มสบายในระดับหนึ่ง สัมผัสของเขาค้นพบกับผืนผ้าห่มขนาดใหญ่ที่คลุมตัวเขาไว้ในเวลานี้ เด็กหนุ่มค่อยๆ ใช้เรี่ยวแรงที่มีแกะมันออกจากร่างกายอย่างช้าๆ ร่างกายของเขาตอนนี้มันร้อนเกินกว่าที่จะอยู่ภายใต้ความอบอุ่นแบบนี้
ว่าที่สถาปนิกหนุ่มค่อยๆ ยันร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยเครื่องระบายความร้อนที่เหมือนจะถูกผลิตขึ้นมากอย่างเกินพอดีจากผ้าห่มผืนหนาจนสำเร็จ ธันค่อยๆ คลี่เปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยสติที่ยังไม่ค่อยจะสมประกอบนัก ภาพความทรงจำล่าสุดของเขาคือ เขากำลังจะกินยาอะไรสักอย่างหนึ่งที่เฟี๊ยตเตรียมให้ที่ลานกว้างซึ่งไม่ห่างจากหมู่บ้านที่พวกเขาทั้งสามไปเก็บการ์ดเท่าไหร่นัก
“แดกยาตั้งแต่แรกก็จบแล้ว”
กันต์...
เด็กหนุ่มเพ่งสติที่ค่อนข้างจะเลือนลางในขณะนั้นของตนก็ค้นพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้ไม่ใช่คนที่เขามุ่งหวังไว้สักเท่าไหร่
“ไม่เคยได้ยินคำว่าคนล้มอย่าข้ามเหรอวะ”
เด็กหนุ่มที่ตอนนี้น่าจะรั้งสถานะคนป่วยไปแล้วตอบอย่างไม่สิ้นลายเท่าไหร่ เขาลองใช้มือตัวเองสัมผัสไปตามซอกคอของตนเองในเวลานี้ดูก็พบว่าอุณหภูมิร่างกายเขารุมๆ อยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ได้ร้อนขนาดที่น่าจะต้องล้มหมอนนอนเสื่ออะไรนานมากมายนัก ตัวเขาเองคิดว่าพรุ่งนี้เขาก็น่าจะหายและเดินทางได้เป็นปรกติ
“ถ้าคนล้มกวนตีนก็ไม่ต้องข้าม ให้กระทืบซ้ำแทน ฮ่าฮ่าฮ่า”
กันต์พูดอย่างสบายๆ พร้อมกับลุกยืนขึ้นจากเก้าอี้นั่งบริเวณริมหน้าต่าง ก่อนจะลุกเดินไปหาน้ำดื่มบริเวณชั้นวางที่ไม่ห่างออกไปนักมาให้ผู้ที่เป็นคนป่วยในเวลานี้
“ขอบคุณ”
ธันตอบรับคำอย่างง่ายๆ พร้อมกับกวาดสายตาไปรอบห้องในเวลานี้ เขาค้นพบว่าตัวเองกำลังนอนพักอยู่ในห้องนอนขนาดประมาณ 40 ตารางเมตร ลักษณะของมันกึ่งจะเป็นโรงแรมหรือหอที่ดูดีอยู่พอสมควร เด็กหนุ่มเก็บรายละเอียดเหล่านั้นไว้อย่างสนใจ
“ที่นี่?”
เสียงของคนป่วยนั่นสูงขึ้นอย่างเป็นคำถาม สายตาของเขาหยุดลงหลังจากกวาดไปทั่วบริเวณแล้วไปหยุดอยู่ที่เพื่อนร่วมทีมอีกคนที่นั่งทอดอารมณ์อยู่อย่างสบายใจไม่ห่างออกไปจากเตียงที่เขานอนพักอยู่เท่าไหร่นัก
“ยินดีต้อนรับสู่เมืองมีนาคม”
ชายหนุ่มชุดดำพูดขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มจากกวนๆ มือของกันต์ค่อยๆ ลากผ้าม่านผืนใหญ่ที่ปิดหน้าต่างขนาดเกือบเต็มด้านนั้นไว้ เผยให้เห็นภาพทิวทัศน์บรรยากาศเมืองภายนอกให้ธันได้เห็นอย่างเต็มตา
คลองจักษุของเจ้าของพิษไข้ในเวลานี้มองเห็นภาพเมืองที่เต็มไปด้วยความศิวิไลซ์จนเกินจินตนาการไปไกลทีเดียว มองจากระยะไกลว่าเมืองมีนาคมดูทันสมัยมากแล้ว ยิ่งมองจากระยะใกล้แบบนี้ ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีกว่ามันเป็นเมืองที่ราวกับหลุดมาจากโลกอนาคตจริงๆ ทุกสิ่งก่อสร้างที่เขาเห็นในเวลานี้ดูแปลกตาไปหมด มันสวยงามเกินกว่าจักษุสัมผัสทางสถาปัตยกรรมของเขาจะไปถึง รถไฟฟ้าที่ปราศจากรางแล่นไปมาอยู่กลางอากาศ สลับไปกับคนที่มีเครื่องไอพ่นส่วนตัวติดอยู่บนหลังฉวัดเฉวียนไปมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจที่สุด ยิ่งเป็นเวลากลางคืนแบบนี้ แสงไฟสารพัดสียิ่งส่งเสริมให้เมืองตรงหน้านี้สวยงามจนยากจะบรรยายออกมาจริงๆ
“นี่พวกเราผ่านเข้าเมืองมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย”
ธันหันไปถามเพื่อนแบบงงๆ ตอนแรกเขานึกว่าตั้งเองกำลังพักอยู่ที่หมู่บ้านที่พวกเขาไปเก็บการ์ดตอนแรกนั่นเสียอีก
“มึงป่วยจนสลบไป พวกเราก็เลยพาเข้ามารักษาตัวในเมือง พักในนี้น่าจะกันลมกันฝน อาการน่าจะหายเร็วกว่า” กันต์อธิบายอย่างง่าย
“แล้วนี่กูได้เจอหมอหรือยัง” ธันถามต่อ
“มันบอกว่าอาการมึงไม่ได้หนักหนาอะไรหรอก แต่กินยา พักผ่อนหน่อยเดี๋ยวก็หายแล้ว”
ชายหนุ่มอีกคนตอบขณะที่กำลังลุกยืนขึ้นไปมองทิวทัศน์ที่บริเวณหน้าต่างกว้าง นิ้วของเขาลูบไปตามกระจกที่ใสราวกับว่ามันไม่มีตัวตนอย่างนั้น ภาพจากภายนอกในเวลานี้เต็มไปด้วยแสงสีและความคึกคักของผู้คน ราวกับว่าเมืองนี้จะไม่มีเวลาของการหลับใหลอยู่เลย
“มันไหนวะ” เด็กหนุ่มพูดออกมา ทั้งๆ ที่ตนเองก็พอจะเดาออกว่าเพื่อนร่วมทีมหมายถึงใคร
“ก็มันที่ทำให้มึงชำเลืองมองประตูตลอดเวลาทั้งๆ ที่คุยกับกูอยู่นี่ไง”
กันต์ตอบพร้อมกับหลุดเสียงหัวเราะในลำคอขึ้นมาน้อยๆ ฝ่ายเจ้าตัวเองเมื่อพบว่าตนเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำก็เลือกที่จะสงบปากสงบคำและทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเพื่อมองทิวทัศน์มีนาคมราตรีแทนเสียที่จะต่อความยาวสาวความยืดใดๆ ต่อไปอีก
เสียงกุญแจไขประตูห้องพักดังขึ้นด้วยระดับที่ไม่ดังมากนักเพียงชั่วอึดใจเดียว ก่อนที่ประตูที่พักจะเปิดออกเผยให้เห็นผู้ที่มาใหม่ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเพื่อนร่วมทีมคนสุดท้ายนั่นเอง ชายหนุ่มผิวขาวเดินเข้ามาในห้องอย่างสบายๆ พร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ที่วางอยู่คู่กันกับเก้าอี้ที่กันต์กำลังนั่งมองวิวภายนอกอยู่ ณ ขณะนั้น
“เป็นไงบ้าง” กันต์ถามแบบสบายๆ ในจังหวะที่เฟี๊ยตกำลังถอดเสื้อคลุมพาดลงกับโต๊ะขนาดเล็กที่วางอยู่ด้านหน้า
“เมืองนี้หาข่าวได้ง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย” เขาตอบ
“ที่นี่ดูจะห่างไกลจากคำว่าลึกลับมากนัก ฮ่าฮ่าฮ่า”
กันต์ตอบมาอย่างคุ้นเคยกับเมืองนี้ดี ความจริงเขาเคยมาที่เมืองนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงอาสาที่จะอยู่เฝ้าไข้ธันแทน เนื่องจากเพราะเขาเองรู้ดีว่าการหาข่าวของเมืองมีนาคมนั้นแทบไม่มีความซับซ้อนอยู่เลย แต่เมื่อเฟี๊ยตอยากจะลองออกไปดู เขาก็ไม่ได้หวงห้ามอะไร
“แล้วได้ข่าวอะไรมาบ้าง”
เสียงจากคนที่กำลังอยู่ในสถานะผู้ป่วยคนเดียวในห้องนั้นถามขึ้นอย่างไม่ชัดเจนในจุดประสงค์มากนั้น น้ำเสียงเหล่านั้นดูราบเรียบและค่อนข้างปรกติมากในมุมมองของกันต์ที่กำลังนั่งจับสังเกตอย่างสนใจอยู่ในเวลานี้
“หลักๆ ออกไปหาข้อมูลเรื่องวิหารของเมืองมีนาคมมากกว่า”
เฟี๊ยตตอบด้วยน้ำเสียงที่ปรกติเช่นกัน ราวกับว่าชายทั้งสองคนนั้นตัดสินใจจะลืมเรื่องที่ดูจะมีความบาดหมางอยู่บ้างเหล่านั้นอย่างหมดสิ้น
“แล้วได้คำตอบไหม” ธันถามต่อทั้งๆ ที่ยังแช่ตัวเองอยู่บนเตียงนุ่มแบบนั้น
“แน่นอน” เฟี๊ยตตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก
“ไปยากเปล่าวะ” ธันถามเหมือนจะชวนคุยมากกว่าตั้งใจอยากจะรู้ข้อมูลจริงๆ
เฟี๊ยตที่ได้ยินคำถามนั้นไม่ตอบ แต่กลับลุกขึ้นและเดินไปยังหน้าต่างเพื่อดึงลากผ้าม่านที่กันต์ได้เปิดไว้บางส่วนแล้วให้เคลื่อนไปตามรางจนเผยให้เห็นทัศนียภาพเบื้องหน้าจนสุดขอบหน้าต่างกว้างทั้งสองด้าน
ชายหนุ่มผู้เป็นคนออกไปหาข้อมูลนั้นไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมนอกจากชี้ไปยังตึกหนึ่งที่อยู่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมือง ซึ่งตอนแรกถูกส่วนของผ้าม่านนั้นบังไว้จากลานสายตา สิ่งปลูกสร้างนั้นมีลักษณะเป็นสีดำสนิทกลืนไปกับฟ้ามืดอันเป็นฉากหลังตัดกับแสงไฟซึ่งถูกประดับประดาไว้อย่างอันแน่นราวกับว่ามันไม่มีความรู้สึกอย่างปิดบังตัวเองแม้แต่น้อย ตึกนั่นเป็นจุดเด่นที่งดงามมากในท้องฟ้ามืดขนาดนี้ มันโดดเด่นเป็นสง่าและไม่มีทีท่าว่าจะพยายามที่จะเป็นความลับอันเป็นข้อแตกต่างกับวิหารของเมืองอื่นอย่างชัดเจน
“สวย...”
เด็กหนุ่มผู้ศึกษาศาสตร์แห่งสิ่งก่อสร้างนั้นรำพึงออกมาอย่างหลงใหลในภาพเบื้องหน้า ตึกนั้นมีรูปร่างที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือมันไม่ได้เป็นตึกตั้งตรงราบเรียบขึ้นไปโท่ๆ แบบไร้รสนิยม แต่โครงสร้างของมันแสดงส่วนโค้งเว้าออกมาอย่างน่าสนใจ พูดให้ชัดลงไปอีกคือ ตึกนั่นเหมือนถูกสร้างให้เป็นตึกโดดๆ ขึ้นตึกหนึ่ง และมีส่วนที่ล้อมรอบไล่ลำดับขึ้นไปราวกับมามันเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่กำลังพันร่างไปบนตึกสูงนั้น หากแต่ภาพมองนั้นก็ไม่ได้ถูกนำเสนอออกมาอย่างชัดเจนว่าเป็นโครงสร้างของสิ่งใด หากแต่ถูกซ้อนภาพอย่างแยบคายไว้ในโครงสร้างที่เหมือนส่วนต่างของตึกที่ทันสมัยและสวยงาม
“ถึงเวลาบุกรังมังกร”
เสียงชายคนสุดท้ายดังขึ้นอย่างติดสนุก และเมื่อมองอย่างพิจารณาแล้วก็ไม่ผิดไปเลย ส่วนบนสุดที่มีลักษณะเหมือนใบดาบนั้นน่าจะเป็นสัณฐานของหางมังกร ซึ่งพาดลำตัวลงมาตามแรงโน้มถ่วงสู่เบื้องล่าง ก่อนจะพาดส่วนที่เหมือนจะเป็นส่วนหัวอยู่ในบริเวณที่เหมือนจะเป็นทางเข้านั่นเอง
ดูท่าพวกเขาจะต้องง้างเขี้ยวพญามังกรเพื่อเก็บการ์ดสูงสุดเสียแล้ว!
กดไลค์สิ
www.facebook.com/allornonetheauthor