ตอนที่ 15 Decision
ชายหนุ่มในชุดนอนลุกขึ้นบิดขี้เกียจ หลังจากปิดเสียงนาฬิกาปลุกและปล่อยให้ตัวเองนอนหลับเอาแรงไปอีกร่วมชั่วโมงเต็ม โดยไม่ลืมถอดนาฬิกาข้อมือออก ด้วยกลัวว่าหากหลับไปจะหลุดเข้าไปอยู่ในเกมอีกครั้ง
เขาลุกเดินขึ้นมานั่งที่โซฟาชุดในห้องรับแขกด้วยความเคยชิน ก่อนจะหยิบรีโมตมาเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ตามนิสัย แล้วตัวเขาเองก็เดินเข้าไปในห้องส่วนที่เป็นครัว เลือกหยิบซีเรียลที่ทำจากข้าวโพด กับนมไขมันต่ำ พร้อมทั้งชามใบเล็กและช้อนคันโปรดติดมือกลับมาด้วย
เฟี๊ยตนั่งกินซีเรียลในน้ำนมอย่างช้าๆ พลางเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ เพื่อรับรู้ข่าวสารความเป็นไปของโลก เขายอมรับเลยว่า การเล่นเกมในความฝันแบบนี้ มันทำให้เขาเกิดอาการมึนกับโลกในชีวิตจริงไม่น้อย และแน่นอน เขาต้องพยายามปรับตัวให้ได้ และเขาจะไม่ทำตัวเป็นเด็กที่แยกเรื่องจริงกับเรื่องในเกมออกจากกันไม่ได้เหมือนที่เขาเคยปรามาสเด็กบางคนบนหน้าหนังสือพิมพ์ไว้เด็ดขาด
หลังจากหาอะไรรองท้องเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มก็หันมาเปิดคอมพิวเตอร์แบบเคลื่อนที่ เพื่อเช็คข้อมูลข่าวสารความเป็นไปในสังคมออนไลน์ ทั้งๆ ที่ยังคงเปิดโทรทัศน์ให้มีเสียงคลอไม่ให้ห้องของเขาเงียบเหงาอยู่อย่างนั้น เขาพยายามจะสนใจตัวอักษรที่เรียงรายมากมายอยู่ตรงหน้า แต่ต้องยอมรับว่าเขาควบคุมสมาธิไว้ไม่ได้เลย ใจของเขายังเฝ้าวนเวียนคิดถึงเรื่องราวที่เรียกว่าเกินคำว่ามหัศจรรย์ไปไกลโขที่เขาพบเจอมาในฝันที่ผ่านมา นาฬิกาข้อมือเรือนนั้นยังย้ำเตือนเขาอยู่เสมอว่า ทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องจริง
ก่อนที่เรื่องราวในหัวเขาจะกระจัดกระจายไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มตัดสินใจหยิบกุญแจรถ กับกระเป๋าคู่ใจ ก่อนจะล็อคห้องคอนโดบนตึกสูงของเขาให้เรียบร้อย และสตาร์ทรถไปยังที่ๆ ที่ใจเขายังเฝ้าวนเวียนอยู่นาน
“อ๊าว เฟี๊ยต มาทำอะไรเนี่ย คิดถึงพี่หรอ ไม่ได้นะ ถึงพี่จะหน้าเด็ก แต่พี่ก็แต่งงานลูกสองแล้วนะจ๊ะ” หญิงสาววัยกลางคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสดใสเอ่ยทักเขาอย่างร่าเริง
ตอนนี้เฟี๊ยตในชุดเสื้อเชิ๊ตกางเกงขายาวกำลังมายืนอยู่หน้าห้องยาผู้ป่วยในของโรงพยาบาลเอกชนที่เขาเคยมาฝึกงานครั้งที่ยังเรียนอยู่ปี 6
“โหยย พี่ ผมยังไม่อยากโดนข้อหาพรากวัตถุโบราณ ฮ่าฮ่าฮ่า” เขาย้อนด้วยความขบขัน
“คิดว่าหล่อแล้วพี่ไม่กล้าด่าหรอจ๊ะ ไม่เจอกันนาน แต่ปากคอเราะร้ายไม่เปลี่ยนเลยนะ เดี๋ยวเถอะ” เธอเอ่ยตอบด้วยความร่าเริงอย่างคุ้นเคยกันดี ก่อนจะเอ่ยปากชวนเฟี๊ยตที่ก็คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดีอยู่แล้ว เข้ามานั่งคุยกันในห้องพักส่วนตัวของเธอที่อยู่แยกเป็นสัดส่วนในห้องยาของโรงพยาบาล
“วันนี้มีธุระอะไรจ๊ะ พ่อหนุ่ม” หญิงสาวเอ่ยถามหลังจากที่เข้ามาอยู่ในห้องส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อย
“โหย พี่ขวัญ ผมมาหาพี่เพราะผมคิดถึงพี่เฉยๆ ไม่ได้ใช่เปล่า” เขาล้อ
“คนอย่างเธอ ไม่มาที่นี่เพราะคิดถึงพี่หรอก มีธุระอะไรใช่ไหมหละ” เธอตอบอย่างคนรู้จักนิสัยกันดี
“อย่างนั้นผมเข้าเรื่องเลยนะพี่ ผมอยากได้งาน พี่พอจะมีตำแหน่งว่างในโรงพยาบาลแนะนำผมบ้างไหม” เขาเอ่ยเข้าประเด็น
“ก็บอกว่าให้สมัครตั้งแต่เรียนจบ ไปทำอะไรมาจนป่านนี้ 6 เดือนแล้วนะเฟี๊ยต โรงพยาบาลเขาก็รับเด็กใหม่รุ่นเธอจนตำแหน่งมันเต็มไปหมดแล้ว” หญิงสาวตอบอย่างไม่ร้อนใจ
“ผมไม่ได้หางานประจำนะพี่ คือตอนนี้ผมยังรับงานอื่นอยู่ด้วย แต่ผมอยากรับงานพาร์ทไทม์อ่ะพี่ คือผมไม่อยากลืมวิชาการที่เรียนมาหมด ผมกลัวว่าผมไปทำงานอย่างอื่น กลับมาความรู้ผมจะไม่เหลือหนะสิพี่” เฟี๊ยตเล่าจุดประสงค์
“พาร์ทไทม์ยิ่งยากใหญ่นะเฟี๊ยต เภสัชแทบจะล้นห้องยาอย่างนี้ แค่ฟูลไทม์อย่างเดียวก็ล้นแล้ว พี่จะไปรับพาร์ทไทม์เพิ่มได้ไง” พี่ขวัญบ่น พี่ขวัญเป็นหัวหน้าห้องยาที่นี่ครับ ดังนั้น เรื่องการรับคนเพิ่มจึงเป็นหน้าที่โดยตรงของพี่เขา
“ไม่เป็นไรพี่ ผมยื่นใบสมัครไว้ก่อนก็ได้ ถ้าคนขาดก็เรียกผมนะพี่ เดี๋ยวผมอาจจะลองไปวางที่อื่นด้วย แต่ผมมาที่นี่ก่อน เพราะผมคุ้นเคยที่นี่สุดแล้วหละครับ” เฟี๊ยตตอบ
“ความจริงมันก็ไม่ถึงขั้นจะไม่มีตำแหน่งเลยหรอกนะ”
“หมายความว่าไงครับพี่”
“ผู้อำนวยการกำลังจะอนุมัติให้เปิดห้องยาใหม่ เป็นห้องยาวอร์ดเฉพาะทาง ดังนั้น ช่วงแรกๆ ก็คงมีคนขาดๆ ไปบ้าง ตำแหน่งที่ว่างก็คงพอมี เรียกว่าจะกำลังอนุมัติก็ไม่ถูก เรียกว่าอนุมัติไปแล้วดีกว่า ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงทดลองเปิดทำงานหนะ” หัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมตอบ
“เฉพาะทาง เฉพาะทางด้านไหนหนะพี่” เขาถามอย่างสนใจ
“โรคทางสมองและจิตประสาทหนะ” เธอตอบ
ชายหนุ่มเข้าใจในทันทีว่า ทำไมพี่ขวัญถึงแสดงท่าทางไม่มั่นใจตอบบอกเขาว่ามีตำแหน่งว่างอยู่ โรคทางสมองและจิตประสาทนับได้ว่าเป็นกลุ่มโรคที่ “หิน” อยู่ไม่น้อย ด้วยความซับซ้อนของโรค รวมไปถึงยาที่ใช้รักษา จึงทำให้คนเก่งๆ ด้านนี้มีอยู่แบบนับตัวคนได้ นั่นแปลว่า ถ้าเขารับงานนี้ เขาต้องทำการบ้านอีกไม่น้อยเลย ซึ่งเขามีงานประจำอยู่แล้ว เขาจะมีแรงที่จะไปทบทวนความรู้เพื่อรับงานหนักอย่างนี้ได้หรือเปล่า
“ถ้าผมสมัครตำแหน่งห้องยานี้ ผมต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าพี่” เขาถาม
“ปรกติถ้าเป็นฟูลไทม์เราจะมีเทรนด์ให้นะเฟี๊ยต แต่พาร์ทไทม์ โรงพยาบาลไม่มีงบให้ แปลว่า เฟี๊ยตต้องทวนเนื้อหามาเองทั้งหมดนะ ตกไหนตกหล่นก็มาถามพี่ๆ ที่ห้องยาเอาได้ แต่พาร์ทไทม์คงไม่ได้ลงงานหนักเท่าไหร่หรอก คงเน้นจ่ายยาเป็นหลัก พวกงานหินๆ ก็ให้ฟูลไทม์ลุยกันไป”
เฟี๊ยตเดาไว้ไม่ผิดเลย พี่ขวัญคงกลัวว่าเขาจะไม่ไหวมากกว่า เพราะเขาก็บอกพี่ขวัญไปแล้วว่าเขามีงานอื่นประจำอยู่ด้วย
“แล้วถ้าผมรับปากจะกลับไปทวนความรู้มา ผมจะขอยื่นใบสมัครไว้ได้ไหมพี่”
“ได้สิเฟี๊ยต ไม่มีปัญหา ความจริงคนก็กำลังขาดอยู่ แต่เรายังให้คนมารับยาที่ห้องอื่นได้ไง พี่เลยไม่ได้รีบหาคน แต่ถ้าเฟี๊ยตอยากทำ พี่ก็โอเค แต่อย่าทำให้พี่เสียชื่อหละ” พี่ขวัญกล่าวสำทับ
“ได้เลยพี่ ผมอยากมารื้อฟื้นความรู้อยู่แล้ว ยิ่งยากยิ่งดีพี่” เขาพูดอย่างคนชอบความท้าทาย
“งั้นก็ไม่มีปัญหาเลยเฟี๊ยต ยิ่งเป็นห้องยาเฉพาะทางแบบนี้ ค่าตอบแทนสูงกว่าปรกติอยู่แล้ว ขอให้มีฝีมือจริง พี่สนับสนุนสุดตัว”
บทสรุปของวันนั้นจึงลงท้ายด้วยการที่ชายหนุ่มนั่งกรอกใบสมัครและส่งหลักฐานที่เตรียมมาไว้อยู่แล้ว อาจจะขาดหลักฐานบางอย่างไปบ้าง พี่ขวัญก็บอกว่าให้นำมาส่งตอนเริ่มงานก็ได้ ไม่เป็นไร ส่วนเรื่องผลการสมัคร พี่ขวัญแจ้งว่าจะโทรเข้าไปแจ้งอีกครั้งภายในเวลาอันใกล้นี้ แถมท้ายสุดพี่ขวัญแอบกระซิบกับเขาอีกว่า หัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมอนุมัติให้แล้ว เหลือแค่ลายเซ็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเท่านั้นก็ผ่านฉลุย เขาจึงได้แต่ยิ้มขอบคุณในความใจดี ของผู้หญิงที่เขานับเป็นพี่สาวอีกคน
ความรู้สึกอยากทบทวนความรู้ที่เรียนมาก็เป็นส่วนหนึ่งที่นำเขามาเขียนใบสมัครงานอยู่ที่นี่ แต่แท้จริงแล้ว การที่ได้กลับไปนั่งปรุงยาและจ่ายยาผู้ป่วยในเกมอีกครั้ง มันทำให้เขารู้สึกดี และเป็นเหตุผลหลักที่พาเขามามากกว่า เขาทำงานห่างกับผู้ป่วยมานาน จนเกือบจะลืมไปว่า รอยยิ้มที่ได้รับจากผู้ป่วยที่ขอบคุณเขาตอนที่เขาช่วยดูแลความเจ็บป่วยของคนเหล่านั้นเป็นอย่างไร บางที ถ้าเขาหมดพันธะผูกพันกับเกมออนไลน์นั่นเมื่อไหร่ เขาอาจจะกลับเปิดร้านยาเล็กๆ ที่บ้านเกิดของเขา ปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา เขาคงจะรู้สึกดี
ชายหนุ่มกลับมาถึงคอนโดมิเนียมเวลาบ่ายสองเศษๆ หลังจากแวะหาข้าวกลางวันใส่ท้องไปเรียบร้อยแล้วที่ห้างแถวๆ โรงพยาบาลที่เขาไปสมัครงาน เขาเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนชุดเป็นชุดออกกำลังกาย ก่อนจะลงมาที่ฟิตเนสสวัสดิการของคอนโดที่เขาแวะเวียนมาเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ด้วยจุดประสงค์ที่ต่างออกไปในวันนี้
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ” หญิงสาวที่เคานเตอร์เอ่ยถามเขาเมื่อเขาก้าวเข้ามาในฟิตเนส
“ผมจะมาสมัครเรียนมวยไทยครับ” เขาตอบอย่างตัดสินใจมาแล้ว
“รบกวนเชิญเข้ามาปรึกษาเทรนเนอร์ด้านในได้เลยค่ะ” เธอยิ้ม ก่อนจะผายมือสู่ห้องรับรองด้านใน
จากผู้แต่ง : ตอนนี้ดูสั้นๆพิกล สงสัยตอนแต่งจะถูกตัวขี้เกียจเข้าสิง 555