จะขอเก็บไว้ในความทรงจำ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จะขอเก็บไว้ในความทรงจำ  (อ่าน 136191 ครั้ง)

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๖ อุบัติเหตุในห้องเรียน

ชีวิตนักเรียน ม.๒ ในภาคเรียนแรกของผมก็คล้ายๆกับตอนอยู่ ม.๑ นั่นแหละครับ วนเวียนอยู่กับโต๊ะกลุ่ม ห้องเรียน และห้องสมุด แต่ช่วงนี้ผมมักอยู่ที่ห้องสมุดคนเดียวบ่อยๆ เพราะ ตุ่ม กับ เต่า ไม่ได้มาอยู่ที่ห้องสมุดกับผมทุกวันเหมือนที่เคย ที่โต๊ะกลุ่มบ่อยครั้งที่ผมเห็น ตุ่ม เต่า นังคุยอะไรกันอยู่ กับ สมชาย ชัย ปอ ส่วน ราญ กับ กร ก็เหมือนติววิชาอะไรกันอยู่ กับ ศักดิ์ และ สิทธิ์ ผมเห็นสถานการณ์เรียบร้อยดี ก็เลยเข้าไปหา คิดว่าจะไปนั่งคุยหรือฟังที่ติวกันอยู่ด้วยคน แต่พอผมไปถึงโต๊ะ สภาพการณ์กลับกลายเป็นเหมือนเมืองที่ถูกสัตว์ประหลาดบุกโจมตี แล้วขบวนการยอดมนุษย์ผู้พิทักษ์ธรรม จะต้องทำการปกป้องเมืองเอาไว้ ด้วยการจัดการกับเจ้าสัตว์ประหลาดที่เข้ามาบุกรุก และแล้วผมก็โดนโจมตีจากขบวนมารเรนเจอร์เหมือนเดิมครับ

จากเหตุการณ์วันนั้น ผมก็เลยคิดว่า ห้องสมุดคงจะเป็นแหล่งกบดานที่ดีที่สุดของสัตว์ประหลาดอย่างผม

จากภาคเรียนที่ ๑ เข้าสู่ภาคเรียนที่ ๒ ผมยังคงโดนลอบโจมตีเป็นระยะๆ มากบ้างน้อยบ้างตามแต่โอกาสที่จะอำนวยให้ขบวนมารเรนเจอร์ทั้งหลาย แล้ววันหนึ่ง เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในห้องเรียนหลังเลิกเรียนคาบสุดท้ายในตอนเย็นวันหนึ่ง

โครม..........ปัง.........โผล๊ะ..........ตุ๊บ...................

ผมสะดุดขาตัวเองล้มลงในขณะที่ดิ้นหนีจากการรุมโจมตีสัตว์ประหลาดของขบวนมารเรนเจอร์  โต๊ะเก้าอี้รอบๆตัวล้มระเนระนาด

“เฮ๊ย.......ตั้ม เป็นไรรึเปล่า” กร กับ จก เดินเข้ามาพยุงตัวผมที่ฟุบคว่ำนิ่งอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ที่ ต่อ ลากมาให้ผมนั่ง
“เฮ๊ย เลือด...............คิ้วแตกนี่หว่า ตั้ม” ตุ่มตกใจ เมื่อเห็นเลือดไหลออกมาตรงหางคิ้วซ้ายของผม
“ปากแตกด้วยนี่ เจ็บมากมั๊ย พาไปห้องพยาบาลก่อนดีกว่า” ราญ หันไปบอก กร กับจก แล้วก็เดินไปเก็บสมุดและเครื่องเขียนบนโต๊ะใส่ลงไปในของเป้ของผม ยังไม่ทันที่ใครจะไปไหน ก็มีเสียงมาจากทางประตูห้อง

“เสียงอะไรโครมครามกันน่ะ นักเรียน” ครูผู้หญิงท่านหนึ่งเดินเข้ามา “แล้วนั่นเป็นอะไร ถึงได้เลือดออก” ครูเดินเข้ามาดูผม “คิ้วแตกปากแตกแบบนี้ ชกต่อยกันหรือไง ฮึ” ครูถามดุๆ
“หกล้มครับครู” ผมพูดออกไป ทั้งที่ยังเบลอๆอยู่
“หกล้มยังไงกัน โต๊ะเก้าอี้ถึงได้ล้มระเนระนาดขนาดนี้ พวกเธอพาเพื่อนไปทำแผลที่ห้องพยาบาลก่อน” ครูหันไปพูดกับ กร “แล้วเธอ” ครูหันหน้ากลับมาที่ผม “ทำแผลเสร็จแล้วไปพบครูที่ห้องพักครูด้วย” พูดจบครูก็เดินออกไปจากห้อง
“พา ตั้ม ไปทำแผลกันก่อน มีอะไรเดี๋ยวค่อยว่ากัน” ราญ พูดขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนๆสีหน้าไม่ค่อยดี เพราะคิดว่า งานนี้ต้องมีคนโดนครูเล่นงานแน่ บางคนที่เห็นท่าไม่ดีก็หลบออกไปกันเงียบๆ ต่อ กับ กร จึงพาผมไปยังห้องพยาบาล มี ราญ จก ตุ่ม เต่า เดินตามกันมาด้วยความเป็นห่วง

ที่ห้องพยาบาล ราญ อีกนั่นแหละครับที่เป็นคนทำแผลให้ผม โดยที่มีเพื่อนๆคอยหยิบอุปกรณ์ต่างๆส่งให้ ผมได้แผลที่หางคิ้วซ้าย มุมปากซ้าย ที่แขนซ้ายมีรอยขีดจางๆ ตรงท้องแขน ๒-๓ รอย แล้วก็มีแผลเป็นรอยมีเลือดออกซิบๆที่โคนขาซ้ายลงมาเกือบถึงเข่า

ระหว่างที่ ราญ ทำแผลให้ผม ผมนั่งก้มหน้านิ่ง พึมพำอะไรเบาๆอยู่ในลำคอ พอทำแผลเสร็จผมก็ผลุนผลันลุกขึ้นหยิบเป้สะพายบ่า ค่อยๆเดินก้มหน้าออกจากห้องพยาบาล ไม่ได้เงยหน้ามองใครเลย ไม่แม้แต่จะพูดขอบใจในความหว่งใยและความช่วยเหลือที่เพื่อนๆให้แก่ผม ผมยังคงพึมพำประโยคเดิมอยู่ในลำคอไปเรื่อยๆ พอพ้นจากประตูห้องพยาบาล ก็เหมือนมีใครมายืนขวางทางผมไว้ ผมเลยเดินเลี่ยงไปข้างๆ คนๆนั้นก็ขยับตัวมาขวางผมไว้อีก ผมเลยเงยหน้าขึ้นมาดูว่าเป็นใคร เพราะผมเห็นแต่รองเท้า ปอ นั่นเอง

“เดี๋ยวไปพบครูแล้วพูดอะไรระวังด้วยล่ะ อย่าให้มีเรื่อง…….” ปอทำท่าเหมือนอะไรจะพูดต่อ แต่พอมองเห็นสีหน้าผมที่นิ่งสนิท พร้อมกับสายตาที่เหมือนคนเหม่อลอยของผม ทำให้ปอเงียบไป ปอ ยืนมองผมอยู่ครู่ใหญ่ๆ ส่วนผมสายตาผมเหมือนคนใจลอยเหมือนเดิม ยังคงขยับปากพึมพำประโยคเดิมซ้ำๆแผ่วเบาอยู่ในลำคอ
“อย่าเพิ่งเข้าใจเราผิดนะ เราหมายความว่า........” ปอ พูดต่อ แต่ผมไม่ได้ฟัง ก้มหน้ามองพื้น ก้าวขาออกเดินเพื่อไปยังห้องพักครู
..................................................................................

“ตั้ม ฟังเราก่อนสิ” ปอทำท่าจะเดินตาม แต่ก็ต้องหยุดไว้เมื่อมีมือหนึ่งมาจับไว้ที่หัวไหล่ ทำให้ ปอ ต้องหยุดแล้วหันมามอง
“อย่าตามไปเลย ปอ ตอนนี้ ตั้ม มันไม่รับรู้อะไรแล้ว พูดอะไรไป มันไม่รู้เรื่องหรอก” ตุ่ม บอก พร้อมกับเอามือออกจากหัวไหล่ ปอ
“ตอนนี้ในหัว ตั้ม มันคิดอยู่ประโยคเดียว เห็นใช่มั๊ย ปอ ว่า ตั้ม มันพูดพึมพำอะไรอยู่” ราญ ถามพร้อมกับมองไปยัง ตั้ม ที่เดินห่างออกไป
“นั่นสิ มันเป็นอะไรของมัน” ปอหันกลับไปมองตามหลัง ตั้ม ด้วยความสงสัย “แล้วมันบ่นอะไรของมันวะ” ปอหันกลับมามอง ราญ ด้วยความสงสัย
“มันกำลัง บ่น ว่า .......อุบัติเหตุครับครู ผมขัดขาตัวเองล้มครับครู….. นี่แหละคำพูดที่มันกำลังวนไปวนมาอยู่ในหัวมันตอนนี้” ราญ พูดพลางมอง ปอ ด้วยสายตาดุๆ เน้นคำว่า บ่น เป็นพิเศษ “เรารู้เพราะตอนเราทำแผลให้ ตั้ม เราพยายามฟังว่า ตั้ม พูดอะไรอยู่” ราญ เว้นระยะสักครู่ แล้วจึงพูดต่อ “ตั้ม มันรักเพื่อนทุกคน ถึงแม้เพื่อนบางคนจะทำมันเจ็บ มันเลือกที่จะเจ็บเอง แต่มันจะไม่ยอมทำให้เพื่อนเจ็บเด็ดขาด  อีกอย่างนะ  ตั้ม มันเกลียดใครไม่เป็นหรอก”
ราญพูดจบก็เปลี่ยนสายตาไปมอง ตั้ม ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ไม่ได้บอก ปอ ไปว่า เขามองเห็นเข้าพอดี จังหวะที่ ปอ ขัดขา ตั้ม จนล้ม และเขาก็รู้ว่า ตั้ม ตั้งใจที่จะให้ทุกคนคิดว่าสะดุดขาตัวเอง

ในเมื่อ ตั้ม เลือกที่จะปกป้องเพื่อน เขาก็ไม่ควรทำร้ายเพื่อนของน้องอันเป็นที่รักของเขาเช่นกัน
........................................................

ผมก้มหน้าเดินช้าๆไปยังห้องพักครู แล้วก็เคาะประตูห้องที่เป็นบานเพียงบังตาเล็กๆกั้นไว้เท่านั้น
“ขออนุญาตเข้าห้องครับ”
แล้วผมก็ผลักบังตาให้เปิดออก แล้วเดินเข้าไปในห้องพักครู
........................................................

วันรุ่งขึ้น ไม่มีใครเห็นผมที่โรงเรียนเลย ผมไม่ได้ไปเรียนหนังสือทั้งสัปดาห์ จนถึงวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเรียนในสัปดาห์นั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-04-2008 22:09:19 โดย tumty »

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้ได้ใจจัง  o13 o13 o13 o13 แต่ค้าง อีกแหละ  :o :o

เป็นกำลังใจให้ต่อไปครับ  :
L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
คิดว่าอีกสักครู่จะมาลงอีกตอนนะครับ เพราะตั้งแต่วันที่ ๖ จะมีสัมมนา อาจยาวไปจนหมดเทศกาลสงกรานต์  :sad2: คิดว่าจะมาลงให้จบในส่วนของมัธยมต้นก่อนจะไปสัมมนาครับ   :o8:

Mono_Koro

  • บุคคลทั่วไป
มันค้างคาอยู่ในจิตใจ

คริ คริ

 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๗ นี่หรือคือเหตุผล

เช้าวันจันทร์ของสัปดาห์ต่อมา พี่สาวมาส่งผมที่โรงเรียน พร้อมกับนำใบรับรองแพทย์มาให้กับครูที่ปรึกษาประจำกลุ่ม เพราะผมขาดเรียนไปถึง ๓ วัน (ไม่นับวันเสาร์และวันอาทิตย์) เพราะในเย็นวันที่ผมล้มในห้องเรียน ผมหกล้มที่บ้านอีก เนื่องจากสะดุดธรณีประตูเรือนใหญ่ทำให้ข้อเท้าแพลง แล้วผมยังมีไข้ขึ้นสูงอีกในเช้าวันต่อมา

“ปรกติก็เป็นเด็กค่อนข้างซนอยู่แล้ว หกล้มอยู่บ่อยๆ แต่นี่คงซนมากไปจนได้แผลมาขนาดนี้ ทางบ้านตกใจกันมากค่ะ เกรงว่าจะมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนที่โรงเรียนหรือเปล่า” พี่สาวผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่ครูที่ปรึกษาตรวจใบรับรองแพทย์เรียบร้อย แล้วนำไปเย็บติดกับสมุดบันทึกการเรียนการสอนประจำชั้น และเซนต์กำกับเรียบร้อยแล้ว

“แกยืนยันว่าเป็น อุบัติเหตุน่ะค่ะ ดิฉันคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องชกต่อยกับเพื่อนอย่างที่คุณแม่กังวลหรอกค่ะ ศิลปี แกเป็นเด็กอัธยาศัยดี ค่อนข้างจะเป็นเด็กกิริยามารยาทเรียบร้อยด้วยซ้ำไป กับเพื่อนๆก็สนิทสนมกันดี ทุกคนเอ็นดูแกค่ะ คุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีเรื่องชกต่อยกับใครหรอกค่ะ” คุณครูค๊าบบบ .....คุณครูเข้าใจอะไรผิดแล้วค๊าบ เพราะว่านี่น่ะ พี่สาวผมค๊าบ มะช่ายคุณแม่ ผมคิดอยู่ในใจ ผมส่งสายตาเตือนคุณครู

“ดิฉันเป็นพี่สาวค่ะ ไม่ใช่คุณแม่” ก็ตอนเจอครูที่ปรึกษา พี่สาวผมแนะนำตัวไปว่า .....สวัสดีค่ะคุณครู ดิฉันเป็นผู้ปกครองเด็กชาย ศิลปี ค่ะ...... เป็นงานเป็นการครับ เพราะพี่สาวผมก็เป็นครูเหมือนกัน

“ตายจริง ขอโทษด้วยค่ะ พี่สาวหรอกเหรอค่ะ ต้องขอโทษอีกครั้งค่ะ คุณพี่” ครูเปลี่ยนสรรพนาม เพราะมองแล้ว น่าจะอยู่ในวัยใกล้ๆกัน แล้วครูก็มองหน้าผมกับพี่สาวสลับกันไปมา “แต่หน้าตามีเค้าคล้ายกันมากๆเลยน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะอายุห่างกันมากเวลาพาแกไปไหนด้วยกัน คนเค้าก็ทักว่าเป็นแม่ลูกกันทั้งนั้นเลยค่ะ “ พี่สาวผมหัวเราะน้อยๆอย่างคนอารมณ์ดี “ยังไงก็ฝากคุณครูช่วยอบรมแกด้วยนะค่ะ ซนมากๆก็ทำโทษได้เลยค่ะ เพราะที่บ้านก็ขนาบกันด้วยไม้เรียวเป็นปรกติอยู่แล้วค่ะ”
ครูฟังแล้วก็หันมามองผมยิ้มๆ “คงไม่ถึงขนาดใช้ไม้เรียวหรอกค่ะ ศิลปี เค้าเป็นเด็กดี เชื่อฟังครูดีค่ะ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวกลับนะค่ะ สวัสดีค่ะ” พี่สาวผมลาครูที่ปรึกษาออกมา ผมก็เดินไปส่งพี่สาวถึงประตูโรงเรียน
............................................................................................

“หกล้มแค่นี้ ต้องเอาแม่มาขู่เหรอมึง” ทั้ง ๕ คนเดินมาล้อมผมไว้ เมื่อผมเดินออกจากห้องเรียนหลังจากหมดคาบวิชาก่อนพักเที่ยง
“......................................” ผมไม่สนใจ ยังคงจะเดินไปหากลุ่มเพื่อนที่รออยู่ แต่พวกนั้นก็มายืนขวางผมเอาไว้
“ถามไม่ตอบนะมึง คิ้วแตกอีกข้างซะดีมะ”  ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนพูด
“หยุดเรียนไป ๓ วัน ก็ต้องมีใบรับรองแพทย์ หรือมีผู้ปกครองมาชี้แจงกับครูที่ปรึกษาตามระเบียบโรงเรียน ไม่ได้พาแม่มาขู่ใคร เพราะนั่นน่ะ ....พี่สาว” ผมตอบไปทั้งๆที่ยังก้มหน้าอยู่
“เออ ดีแล้วที่รู้จักกลัว จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว” สงสัยคิดว่าที่ผมตอบเพราะกลัวคิ้วแตกอีกข้าง
“ไม่ได้กลัวจะมีเรื่อง แล้วก็ไม่กลัวเจ็บตัวด้วย เพราะไงพวกนายก็ต้องหาเรื่องให้เราเจ็บตัวอยู่ดี” ผมเงยหน้าขึ้นพูดกับพวกมัน ด้วยหน้าตาเศร้าๆ รู้สึกสงสารตัวเองครับตอนนั้น แต่ก็กลั้นใจพูดต่อไป “ที่ตอบเพราะไม่อยากให้เข้าใจผิดกันมากกว่านี้”
เงียบไปอึดใจ แล้วผมก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดมาตลอด ๕ วันที่ผ่านมา
“เราถามพวกนายจริงๆเหอะ”  ผมตัดสินใจแน่แล้วว่าต้องพูด “พวกนายทำไมจ้องหาเรื่องกับเรานัก เราทำอะไรให้พวกนายเดือดร้อนงั้นเหรอ พวกนายถึงคอยหาเรื่องกับเราขนาดนี้ หรือว่าเราทำอะไรผิด”

“มึงทำตัวน่าหมั่นไส้” มีคำตอบทันทีที่ผมถามจบ “เป็นกะเทย เป็นตุ๊ด แล้วเสือกทำตัวเหมือนผู้หญิงจริงๆ” นี่คงเป็นเหตุผลที่ ๑
“นั่นดิ อย่างพวกมึงน่ะ เค้ามีแต่ชอบให้ผู้ชายจับ แต่มึงอะ จับนิดจับหน่อยทำสะดีดสะดึ้ง หวงเนื้อหวงตัวซะยิ่งกว่าผู้หญิงจริงๆซะอีก” นี่คงเป็นเหตุผลที่ ๒
“ทั้งดำ ทั้งแห้ง หน้าตาอัปลักษณ์ ยังเสือกอยากเป็นตุ๊ด นึกว่าเป็นแล้วรุ่งเหรอมึง ทำเป็นยั่วผู้ชายเกาะคนโน้นที คนนี้ที กูเห็นแล้วทุเรศลูกตา” นี่คงเป็นเหตุผลที่ ๓
“กับคนอื่นกูเห็นให้เค้ากอดคอ ให้เค้าเดินจูงมือมึงเฉย กับพวกกูแม่งทำหวงเนื้อหวงตัว” เหตุผลนี้คงต้องยกไปรวมกับข้อที่ ๒
“พวกกูอยากเห็นหน้ามึงตอนร้องไห้หว่ะ คงสะใจพิลึก” อันนี้จะคิดเป็นเหตุผลที่ ๔ได้รึเปล่า ผมไม่รู้
“สรุปนะโว๊ย พวกกูไม่มีเหตุผลหว่ะ แค่เห็นหน้ามึงพวกกูก็อยากทำแบบที่พวกกูทำ พอใจมะ”
“อีกอย่าง มึงถามว่ามึงทำอะไรผิดเหรอ กูจะบอกให้........” คนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม แล้วพูดต่อ “ มึงน่ะ.....ผิดมาตั้งแต่เกิดแล้ว”

ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกครับว่าประโยคไหนใครเป็นคนพูด มัน งง ไปหมด ผมไปยั่วอะไรใครตอนไหน แล้วคนอื่นที่ว่าเข้ามากอดคอ เข้ามาจูงมือ ก็มีแต่เพื่อนๆในชั้นเรียนเดียวกันทั้งนั้น กอดคอคุยกันมันเรื่องธรรมดานี่นา แล้วสายตาผมมันผิดปรกติ เวลาลงบันไดตึกบางตึกผมทำท่าจะตกบันได เพื่อนๆก็ช่วยจูงมือ หรือเวลาข้ามถนน เพื่อนก็จูงมือด้วยความเป็นห่วง มี ราญ นี่แหละที่ผมสนิทมาก เดินเกาะแขนจูงมือบ่อยๆ ก็ ราญ เค้าพี่ชาย ผมเป็นน้องมันเสียหายอะไรตรงไหน กับพี่ๆที่บ้าน ผมก็ทำแบบนี้ แล้วมันไปทำให้พวกนี้หมั่นไส้ได้ยังไง ผม งง แล้วยิ่งประโยคสุดท้าย ผมเกือบน้ำตาไหล

“ถ้าพวกนายเกลียดเรา หมั่นไส้เราขนาดนั้น ก็ไม่ต้องมามามองเรา ไม่มายุ่งกับเรา มันไม่ง่ายกว่าเหรอ” ผมกลั้นใจพูดออกไปเบาๆ หลังจากที่กลั้นน้ำตาไว้ไม่ยอมให้มันไหลออกมา
“ไม่ได้หว่ะ มึงเสีอกโผล่มาให้พวกกูเห็น แล้วพอพวกกูเห็นมึงนะ มันเกิดอารมณ์หว่ะ ต้องระบายออกกับมึงแบบนี้แหละ” แล้วพวกมันก็ประสานเสียงหัวเราะกัน
“งั้นเราจะพยามยามไม่มาให้พวกนายเห็นเราก็แล้วกัน พวกนายจะได้สบายใจขึ้น” พูดจบผมก็ออกวิ่งไปหาเพื่อนๆที่ยืนรออยู่ไม่ไกลนัก
..........................................................

“คุยอะไรกับพวกนั้นน่ะ” จก ถาม
“ไม่มีไร ไปกินข้าวกันเหอะ หิวแล้ว” ผมแกล้งวิ่งเลยกลุ่มเพื่อนๆไปข้างหน้า แล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมาตอบ โดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองใคร
“ไม่มีอะไร แล้วทำไมคุยกันนานขนาดนั้น” ตุ่ม ถามอีก
“เรื่องไร้สาระตามเคยแหละ รู้ๆกันอยู่ ไปกินข้าวเหอะ หิวๆๆๆๆๆ เดินช้าตามเราไม่ทันนะ” พูดจบ ผมก็วิ่งเหยาะๆตรงไปยังโรงอาหาร แอบเอามือเช็ดน้ำตาที่มันค่อยๆไหลออกมา ไม่อยากให้เพื่อนๆเห็น
“ดูมัน เมื่อกี้ยังเหมือนจะสลดอยู่เลย วิ่งแผล๋วไปโน่นแล้ว เปลี่ยนอารมณ์เร็วจริง” เต่า ส่ายหน้าเหมือนกับระอาในพฤติกรรมที่แปรเปลี่ยนไปตามความแปรปรวนของอารมณ์ของผม โดยไม่มีการปิดบังหรือเสแสร้ง
“ตั้ม มันไม่อยากให้พวกเราเป็นห่วงน่ะ” ราญ พูดแล้วก็ออกวิ่งเหยาะๆตาม ตั้ม ไป พอวิ่งทันก็จูงมือ ตั้ม เดินไปโรงอาหาร พร้อมกับเพื่อนๆที่วิ่งตามกันมา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2008 08:12:23 โดย tumty »

Mono_Koro

  • บุคคลทั่วไป
อ่ะโห เจ็บปวด :m15:

คนเราก็เนาะ ไม่รุ้จะรังเกียจอะไรขนาดนั้น

ป.ล.รีบๆมาอัพนะคับ รออย่างใจจดใจจ่อเลยคับ :m4:

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
เจ็บปวดจริงด้วย  :o12: :o12: :o12: แต่เชื่อว่าฟ้าหลังฝนต้องงดงามเสมอ 

เดี๋ยวต้องมีวีรบุรุษ มาช่วยตั้มแน่ๆ
   :a2: :a2: :a2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๘ เสียงหัวเราะที่จางหาย

จากวันนั้นเป็นต้นมา ผมจะไปโรงเรียนให้จวนเวลาเข้าเรียนให้มากที่สุด บางครั้งเข้าห้องเรียนเกือบจะพร้อมกับครูเลยก็ว่าได้ พอหมดคาบเรียน ผมก็เก็บของอย่างรวดเร็วที่สุดเพราะจะได้ออกจากห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนๆ (ปรกติผมเก็บของช้าครับ วิ่งตามเพื่อนเป็นประจำ) แต่อย่างว่าแหละครับ ยังไงก็ต้องประจัญหน้ากันอยู่ดี  อยู่โรงเรียนเดียวกัน ชั้นเดียวกันยังไม่พอกลุ่มเรียนเดียวกันอีก ยังไงก็ไม่พ้นครับ แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วครับ

สู้น่ะเหรอครับ......ไม่หรอกครับ ผมชกต่อยกับใครไม่เป็น ผมเงียบครับ นิ่งสนิท ไม่ขืนตัว ไม่สะบัดดิ้นรน  ไม่แม้แต่จะเหลือบตามองด้วยซ้ำ ว่าใครทำอะไรผมบ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่งผมถูกผลักไปผลักมา จนตัวผมเองเสียหลักลงไปนั่งกองกับพื้น ถึงตอนนั้นผมก็นั่งนิ่งมันอยู่อย่างนั้นแหละครับ นิ่งสนิทไม่ขยับตัวไปไหนทั้งสิ้น ทำใจแล้วครับ ใครอยากทำอะไรก็ทำไป จนผมรู้สึกว่าทุกคนเดินออกไปจากผมแล้วนั่นแหละครับ ผมถึงได้ยืนขึ้น เก็บเป้ ที่ถูกโยนไปกองอยู่ที่พื้น แล้วก็ออกเดินไปตามทางของผม

ผมเข้าใจครับกับการที่ไม่มีเพื่อนคนไหนเข้ามาช่วยผมตอนที่ผมโดนแกล้ง บางคนเขาอาจจะเห็นว่ามันก็แค่เล่นๆกันเฉยๆ บางคนอาจเห็นแล้วสนุกสนานตามไปด้วย และมีบางคนที่ผมเห็นด้วยกับเขาเหมือนกันว่า หากเข้ามาช่วยผม มันอาจเป็นการทำให้โดนแกล้งหนักขึ้นกว่าเดิมก็ได้ ดังนั้นทุกคนจึงดูอยู่ห่างๆ ในระยะที่เห็นว่าหากมีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงๆก็สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ทัน
 
อดทนไว้ อีกไม่กี่วันก็ปิดเทอมแล้ว....ผมท่องไว้ในใจ...อดทำไว้ ไอ้ตั้ม ปิดเทอมเดี๋ยวก็ไม่เจออะไรแบบนี้แล้ว
.................................................................

สัปดาห์หน้าก็จะมีการสอบปลายภาคแล้วเพื่อนๆทยอยกันไปทานข้าวกลางวันที่โรงอาหาร แต่ผมยังนั่งทบทวนแบบเรียนอยู่ เพราะคิดว่ารอสักพักให้คนน้อยลงก่อน จะได้ไม่ต้องไปเบียดแย่งซื้ออาหารกลางวันกับคนอื่นๆ

“หมู่นี้ลูกหมาจอมซนเรียบร้อยผิดปรกตินะ” ราญ ที่นั่งออยู่ตรงข้ามผมพูดขึ้นมาลอยๆ
“................” ผมไม่ได้ตอบอะไรไป เพราะกำลังมีสมาธิอยู่กับแบบเรียนตรงหน้า
“ตั้ม หมู่นี้ทำตัวเหินห่างกับเพื่อนๆนะ รู้ตัวรึเปล่า” คราวนี้ ราญ เรียกแล้วเอื้อมมือมาบังหน้าแบบเรียนที่ผมอ่านอยู่
“เหรอ.......ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ” ผมเงยหน้าขึ้นตอบ
 “หยุดอ่านแล้วมาคุยกันก่อนดีกว่า” พูดจบ ราญ ก็ลุกมานั่งข้างๆผม แล้วเอื้อมมือมาปิดหนังสือแบบเรียนที่ผมอ่านอยู่ โดยไม่ลืมหยิบที่คั่นหนังสือเล็กๆมาคั่นหน้าหนังสือไว้ด้วย ผมจึงต้องหยุดการทบทวนแบบเรียนไปโดยปริยาย
“จะคุยไรเหรอ” ผมยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิ แล้วหันตัวไปทาง ราญ ที่อยู่ข้างๆ
“ตั้งแต่วันนั้นเงียบๆไปนะ ไม่เห็นร่าเริงเหมือนเคย”
“................” ผมก้มหน้านิ่งไม่ตอบอะไร ผมรู้ว่า ราญ หมายถึงวันนั้น....วันที่ ราญ เห็นผมร้องไห้
“ทำหน้านิ่งๆแบบนี้อีกแล้ว........ไม่เอา ทำหน้าแบบนี้ ไม่น่ารักเลย” ผมเงยหน้ามองหน้า ราญ แบบ งง งง ….ผมเนี่ยนะ น่ารัก “เพื่อนๆเป็นห่วงกันนะ รู้มั๊ย” ราญ พูดต่อ
“แล้วพี่ชายเป็นห่วงน้องมั่งมั๊ยอะ” ผมถามเสียงอ้อนๆ เหมือนเวลาที่ผมพูดกับพี่ๆที่บ้าน
“ห่วงสิ” ราญหัวเราะ “พวกนั้นก็ห่วงนะ” พูดพลาง ราญ ก็เอามือมาจับมือผมไว้
“พวกไหนอีกอะ” ผมขมวดคิ้วถาม
“ก็พวก....พวก” ราญ อึกอักสักพัก “พวกเพื่อนๆนั่นแหละ.......เอาน่า ยังไงก็รีบๆร่าเริงให้เหมือนเดิมก็แล้วกัน” ราญพูดต่อ
“จะพยายามค๊าบบบบบ” ผมตอบแล้วยิ้มนิดๆ “เดี๋ยวปิดเทอมจะไปนั่งเลียแผลใจก่อน เปิดเทอมใหม่แล้วค่อยว่ากันนะ”
“โห......ยาวไปโน่นเลยเหรอ แต่เอานะ พยายามเข้าแล้วกัน พวกเราน่ะอยากให้ ตั้ม กลับมาเป็นเสียงหัวเราะของพวกเราเหมือนเดิม ว่าแต่รีบไปโรงอาหารกันดีกว่า ไม่รู้พวก กร ยังรออยู่รึเปล่า”

ผมกับ ราญ หันไปเก็บของลงเป้ แล้วหยิบเป้ขึ้นสะพายไหล่ ก่อนจะเดินไปโรงอาหาร ผมก็ถาม ราญ
“พี่ชายไม่ได้เล่าให้พวกนั้นฟังใช่มั๊ย” ผมหมายถึง กลุ่มเพื่อนสนิท และเรื่องที่เกิดขึ้นภายในตึกใหม่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในวันนั้น
“ก็ไม่ได้เล่า อยากให้พวกนั้นรู้เหรอ” ราญ ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า ตั้ม ถามถึงเรื่องไหน แล้วถามกลับไป ทั้งๆที่รู้ดีถึงคำตอบ
“ไม่อะ อย่าเล่านะ พี่ชายอย่าเล่าให้ใครฟังนะ ไม่ว่าใคร แล้วก็.................”  ผมคิดอยู่ว่าจะพูดดีหรือไม่

“...............” ราญ มองหน้า ตั้ม นิ่ง คิดว่า ตั้มจะพูดในสิ่งที่เขาคิดหรือเปล่า
“พี่ชายอย่าไปมีเรื่องกับใครเพราะ ตั้ม นะ” ....นั่นไงอย่างที่เขาคิด... “ไม่ว่าใครเจ็บตัว ตั้ม ก็เจ็บด้วยนะ” ...ตั้ม ห่วงคนอื่นเสมอ ทั้งพวกผม และเพื่อนคนอื่นๆ รวมทั้ง ‘พวกนั้น’ ที่ทำให้ ตั้ม ‘เจ็บ’... ราญ อดนับถือไม่ได้ในความมีน้ำใจต่อเพื่อนของ ตั้ม ถ้าเป็นเขา เขาจะทำได้แบบนี้หรือเปล่า

“อื้อ พี่ให้สัญญา พี่ไม่ไปมีเรื่องกับใครที่ไหนหรอก แล้วเรื่องนั้นด้วย เอาเป็นว่ามันเป็นความลับของพวกเราดีมั๊ย” ราญ พูดยิ้มๆแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไป แต่ก็หันมามองหน้าผมนิดหนึ่ง ทำหน้ายิ้มกวนๆ แล้วพูดขึ้นมา

“รีบๆเข้าแล้วกัน มีคนรออยู่” พูดแล้ว ราญ ก็เอามือขยี้หัวผมเบาๆ แล้วก้มมากระซิบที่หูผม “ไอ้ลูกหมาน้อย” แล้ว ราญ ก็จูงมือผมพาวิ่งเหยาะๆไปยังโรงอาหาร

แต่เอ๊ะ...ทำไมผมรู้สึกว่าคำพูดพวกนี้มันคุ้นๆยังไงก็ไม่รู้สิ


อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาติดตาม..แต่ค้างอย่างแรงอีกแล้ว  o12 o12 o12

เป็นกำลังใจให้เสมอครับ
  :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๙ ปิดเทอมใหญ่ หัวใจร่าเริง

คงเป็นเพราะช่วงปิดเทอมใหญ่ ไม่มีอะไรมากวนใจผม สีสันของความร่าเริงและรอยยิ้มจึงได้กลับมาฉายอยู่บนใบหน้าของผมอีกครั้ง โดยที่ทางบ้านคิดว่าการที่ผมซึมๆไประยะหนึ่ง คงเป็นผลมาจากการไม่สบายจนต้องหยุดเรียนไปถึง ๓ วันในครั้งนั้น ทำให้ต้องคอยติดตามบทเรียน และทำงานที่ครูแต่ละท่านสั่งไว้ให้ครบ ประกอบกับเป็นช่วงใกล้สอบปลายภาค ผมก็เลยเพลียและเครียดจนทำให้ซึมไป

ปิดเทอมใหญ่คราวนี้ ผมขออนุญาตทางบ้านออกไปร้านเช่าหนังสือสัปดาห์ละ ๒ ครั้งในวันจันทร์และวันพฤหัสบดี บางวันผมก็จะแวะไปหา ตุ่ม หรือ เต่า ที่บ้าน บางครั้งก็อาจนัดเจอกันกับเพื่อนในกลุ่มพร้อมกันหลายๆคนที่โรงเรียน ซึ่งอาจติดตามมาด้วยการไปทัศนะศึกษานอกสถานที่เป็นครั้งคราว.....ไปเที่ยวตามห้างนั่นแหละครับ หุ หุ หุ.....และผมต้องบอกทางบ้านทุกครั้งว่าจะไปไหนกันบ้าง ปรกติผมก็จะออกจากบ้านตั้งแต่เช้าพร้อมพี่ๆ ถึงโรงเรียนประมาณ ๗ โมงเช้า แต่กว่าร้านหนังสือจะเปิดก็ประมาณ ๘ โมงครึ่ง ช่วงเวลาที่ว่างอยู่ ผมก็จะหาอะไรทานแถวๆโรงเรียนก่อน แล้วก็เข้าไปนั่งเล่นในโรงเรียนรอเวลาร้านหนังสือเปิด

เช้าวันพฤหัสบดีหนึ่งก่อนที่จะถึงเทศกาลสงกรานต์ หลังจากที่ผมทานโจ๊กเสร็จ ผมก็เข้าไปในโรงเรียนเพื่อไปนั่งรอเวลาเหมือนเดิม

“เฮ๊ย....ไอ้ ตั้ม มาทำอะไรแต่เช้าวะ” เสียงเรียกคุ้นๆหูดังมาจากโต๊ะใต้ตึกใกล้ๆประตูโรงเรียน ผมมองไปก็เจอ ชัย 
“มานี่เลยมึง มาไวไวอย่าช้า” ชัย กวักมือเรียก ผมมองไปรอบๆเห็นลุงยามนั่งอยู่ที่ม้านั่งติดประตูใหญ่ ยังมีคนอยู่พอให้ใจชื้นหน่อย
“นั่งตรงนั้นทำไม” ผมกำลังจะนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ชัย “มานั่งฝั่งนี้ ข้างๆกูนี่ ที่ยังมีอีกเยอะ” ผมเลยเดินไปนั่งอยู่ข้างๆ ชัย บนเก้าอี้ยาว
“หิ้วอะไรมาเยอะแยะ ไหนเอามาดูดิ๊” แล้ว ชัย ก็คว้าเอากระเป๋าสะพายผมไปเปิดดู “กินไรมารึยัง เอ้า .... เอานี่ไปกิน”
ชัย ยื่นถุงถั่วตัดถุงใหญ่ให้ผม ผมมองอึ้งๆ คิดในใจว่าจะโดนหลอกให้กินอะไรประหลาดๆรึเปล่าเนี่ย
“น่ารำคาญมึงหว่ะ เฉยอยู่ได้ บอกให้กินก็กินดิ” แล้ว ชัย ก็หยิบถั่วตัดชิ้นหนึ่งยัดเข้ามาในปากผม “อร่อยนะเว้ย เพิ่งออกจากเตาร้อนๆเมื่อเช้าเลย บ้านกูทำเอง”

โห.....อร่อยจริงๆด้วย ผมคิดในใจ ทั้งกรอบ ทั้งหวาน ทั้งมัน ทั้งหอมๆถั่วใหม่ ได้กินของอร่อยผมก็ยิ้มสิครับ
“อื้อ....อร่อยมากเลยอะ ชัย ปรกติที่ซื้อกินมันไม่เห็นอร่อยอย่างนี้เลย สงสัยเพราะเพิ่งทำเสร็จอะเน๊อะ นี่ยังอุ่นๆอยู่เลย ทั้งหอม ทั้งอร่อยเลย อะ บ้านชัยทำขายเหรอ มียี่ห้อพิมพ์ที่ถุงด้วย” ผมมองเห็นตรายี่ห้อกับชื่อร้านอยู่บนถุง “สงสัยขายดีน่าดูเน๊อะ ต้องทำตรากับยี่ห้อเป็นของตัวเอง” ผมพูดต่อแล้วหันไปยิ้มให้ ชัย พลางกัดถั่วตัดในมือเป็นคำเล็กๆเข้าปาก เคี้ยวให้มันมีเสียงกร๊อบๆ
“อร่อยก็กินเยอะๆ มีตั้งถุงเบ้อเร่อ แล้วนิยายพวกนี้มึงอ่านเองหรือคนฝากมาคืนร้าน” มีตราร้านเช่าประทับอยู่ที่หนังสือครับ
“เราเช่ามาอ่านน่ะ เดี๋ยวเอาไปคืนร้าน” ผมตอบหลังจากเคี้ยวถั่วตัดจนหมดคำ แล้วกัดถั่วตัดเข้าปากไปอีกคำ
“เล่มนี้ท่าทางสนุกหว่ะ เดี๋ยวกูไปร้านกับมึงด้วยดีกว่า พอมึงคืนแล้วกูจะได้เช่าต่อเลย” ชัย พูดขณะที่พลิกหนังสือในมืออ่านคร่าวๆ
“อ้าวแล้วไหนบอกว่าอร่อยไง กินแค่นั้นน่ะเหรอ กินอีกดิวะ” ชัย หันมาบอก เมื่อเห็นว่าเสียงเคี้ยวถั่วตัดของผมเงียบไป
“๒ ชิ้นพอแล้วอะ พอดีเราเพิ่งทานโจ๊กมา ยังอิ่มอยู่เลย ไม่งั้นนะจะทานให้หมดเลย อิ อิ” ผมหัวเราะหน้าบาน พลางหยิบหนังยางมามัดปากถุงถั่วตัด
“เออ มึงก็ต้องกินบ้าง ไม่ใช่อยู่บ้านไม่ได้ทำไรก็ไม่หิว ไม่กิน  กูอยากให้มึงอ้วนมีเนื้อมีหนังกว่านี้หน่อย เอาให้แก้มยุ้ยๆหน่อย” พูดแล้วมันก็เอามือแตะเบาๆที่แก้มผม ๒-๓ ที ผมกำลังอารมณ์ดี ก็เลยยิ้มให้มันไป สงสัยเพราะถั่วตัด เอ๊ยยยย....ม่ายช่ายยยยยคงเป็นเพราะ ชัย พูดกับผมเป็นมิตรกว่าที่เคย ทำให้ลืมนึกไปว่า ชัย รู้ได้ไงว่าเวลาผมอยู่บ้านผมไม่ค่อยกินอะไรจริงๆ เพราะวันๆเอาแต่อ่านหนังสือ เลยไม่ค่อยรู้สึกหิว

ชัยมองหน้าผมนิ่งๆพักนึงก็เอามือมาจับมุมปากซ้ายผม ผมสะดุ้งตกใจนิดหน่อย กำลังคุยกันดีๆ ชัย จะแกล้งอะไรผมอีกรึเปล่า
“อยู่นิ่งๆ มึง .....กูไม่แกล้งไรมึงหรอก” ชัยพูดเหมือนรู้ แล้วก็ลูบมุมปากด้านซ้ายผมเบาๆ แล้วเลื่อนมาลูบที่แก้มสักครู่ก็ลูบผ่านหางตาไปที่หางคิ้วซ้าย แล้วก็ลูบเบาๆอยู่นาน ผมรู้สึกว่า สายตา ชัย ตอนนี้ เปลี่ยนไปมาบางทีก็เหมือนตอนที่ ราญ เอาน้ำแข็งปะคบมือผม บางทีก็เหมือน ปอ ตอนที่จับมือผมในห้องสมุดตอนนั้น

“กูกลับบ้านก่อนดีกว่า ถั่วตัดมึงเอาไว้กินแล้วกัน” พูดจบ ชัย ก็ผลุนผลันลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วก็เดินออกจากโรงเรียนไปด้วยความรวดเร็ว ปล่อยให้ผมนั่ง งง ว่าทำไม ชัย ถึงได้จากไปอย่างรีบร้อนนัก
.......................................................

เวลาผ่านไปนานพอสมควร เมื่อผมอ่านนิยายเล่นที่อ่านค้างอีก ๑๐ กว่าหน้าจนจบเล่ม ผมก็เก็บหนังสือลงกระเป๋าสะพายแล้วไปยังร้านหนังสือ ส่วนถุงถั่วตัดผมถือเอาไว้ เพราะกลัวว่าถ้าใส่กระเป๋าแล้ว ถั่วตัดจะแหลกเป็นชิ้นเล็กๆ หลังจากที่ทางร้านเซนต์ใบรับหนังสือให้ผมเรียบร้อย ผมก็เริ่มเลือกดูว่า มีหนังสือเล่มไหนที่ดูน่าอ่านสำหรับผมบ้าง

“ตั้ม.......ตั้มโว๊ย มานานรึยัง” เสียงเรียกดังมาจากทางหน้าร้าน ผมหันไปมอง ก็เห็นเต่าโบกมือให้ มี ตุ่ม กับ ราญ ยืนอยู่ด้วย ทั้ง ๓ คนเดินเข้ามาหาผมข้างในร้าน
“เพิ่งมาได้แป๊บนึงอะ แล้วนี่มากันได้งาย” ผมถามด้วยความสงสัย
“นัดกันมาให้นายเซอไพรส์เล่น” ตุ่ม บอก
“ไม่เห็นจะเซอไพรส์อะไรเลย” ผมกำลังจะพูดต่อ แต่.......
“เพราะว่าตอนเช้ามีอะไรให้เซอไพรส์มาแล้วเหรอไง ตอนนี้เลยเฉยๆ” ราญ พูดขัดขึ้นมา แล้วก็หัวเราะเบาๆ พลางเหลือบตามองถุงถั่วตัดในมือผม แล้วก่อนที่ผมจะถามอะไรออกไปตุ่ม ก็พูดขึ้นมาก่อน
“มาชวนไปกินไอติมกัน เดี๋ยวเราเลี้ยง วันนี้วันเกิดเราเอง นี่โทรฯไปชวนพรรคพวกตั้งแต่เมื่อคืน มากันได้แค่นี้เอง ที่เหลือไม่ว่าง”
“อ้าว วันเกิดนายเหรอ แย่ดิ ไม่ได้เตรียมของขวัญไว้ให้เลย”
“งั้นเดี๋ยวนายจ่ายค่าไอติมครึ่งนึงเป็นของขวัญให้เราแล้วกัน” ตุ่ม ยิ้มกวนๆ
“ม่ายอาวววววว.........จากินฟรีอะ” ผมลากเสียงตอบไป แล้วพวกเราก็หัวเราะกัน
“แล้วถุงไรในมือนั่น” เต่ามองมาที่ถุงถั่วตัดในมือผม ผมก็เลยยื่นส่งให้ “ถั่วตัดนี่หว่า ขอหน่อยแล้วกันกำลังอยากหาอะไรเคี้ยวเล่น” เต่า รับไว้ แล้วทำท่าจะแก้หนังยางที่รัดปากถุงออก แต่ ราญ มาคว้าถุงถั่วตัดไปจากมือ เต่า
“เฮ๊ย ถ้าอยากกินเดี๋ยวออกไปซื้อตรงโน้นกัน ถุงนี้คืน ตั้ม มันไป อย่าไปยุ่งของมัน” ราญ ว่าแล้วส่งถุงถั่วตัดให้ผม
“อารายวะ แค่นี้ ตั้ม มันไม่หวงหรอก” เต่า ประท้วง
“ไม่หวงหรอก จะหวงทำไมอะ ถุงเบ้อเร่อ มาๆ กินด้วยกัน แบ่งกัน” ผมกำลังจะแก้หนังยางที่รัดปากถุงออก ราญ ก็ห้ามไว้อีก
“ไม่ต้อง ตั้ม ถุงนี้ ตั้ม เก็บไว้กินคนเดียว เดี๋ยวพวกเราไปซื้อขนมกันก่อน ป่ะ....ไปร้านขนมตรงโน้นกัน” แล้ว ราญ ก็คว้าข้อมืออีก ๒ คนให้เดินออกไปนอกร้าน
“ค่อยๆเลือกหนังสือ ไม่ต้องรีบนะตั้ม เดี๋ยวพวกเรามา” ราญ หันมาพูดก่อนที่จะพากันเดินตรงไปยังร้านขนมจันอับที่อยู่ไม่ไกลจากร้านหนังสือนัก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2008 13:01:20 โดย tumty »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Mono_Koro

  • บุคคลทั่วไป
งืม~~~~ :m1:

น่ารักจาง

สงสัยชัยคิดอะไรกะตั้มเเน่เลย :m13:

หุ หุ

เอาใจช่วยคนเขียนครับ

รีบมาต่อนะคัฟฟฟฟ o13

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
งืม~~~~ :m1:

น่ารักจาง

สงสัยชัยคิดอะไรกะตั้มเเน่เลย :m13:

หุ หุ

เอาใจช่วยคนเขียนครับ

รีบมาต่อนะคัฟฟฟฟ o13

นั่นซิน้ออออ.....ชัย คิดอะไรอยู่น๊าาาาาา   :laugh:
ถ้า ชัย อ่านอยู่ รีบมาตอบเร็วเข้า คนเขียนก็ยังสับสนอยู่เหมือนกัน  :oni3:
แต่แหม ทำซะขนาดนี้ ใครเห็นเข้าเค้าก็ต้องคิดว่า ชัย คิดแน่ๆ  :o8:
เอ...แล้วตกลง ชัย คิดหรือเปล่าหว่า  :serius2:
โปรดรอสักครู่ ท่านจะได้อ่านตอนต่อไป คนเขียนขออนุญาติเติมพลังให้กองทัพก่อนนะครับ  :sad2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๑๐ เจอกันเมื่อตอนปิดเทอม

“เดี๋ยวนายนั่งรอก่อนนะ ขอคุยโทรศัพท์ก่อน” ราญ หันไปบอก ชัย ที่มาหาเขาถึงบ้าน ชัยจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ของชุดรับแขกกลางห้อง พักผ่อนซี่งอยู่บนชั้น ๒ ของบ้าน แล้วหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะมาพลิกๆดูอย่างไม่ค่อยสนใจนัก

“แล้ว ตั้ม มันจะออกมาแน่เหรอ” ราญ พูดกรอกไปในโทรศัพท์
“~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~” ทางโน้นคงพูดยาว
“เหรอ ก็ดีเหมือนกัน ตั้ม มันจะได้ไม่ต้องออกมาอีกวันหลัง บ้านมันไกล”
“~~~~~~~~~~~~~~”
“ฮ่าๆๆ ไปว่ามัน ถ้ามันได้ยินมันคงเถียงแบบเดิมๆ ว่าอยู่ๆภูเขาก็มาโผล่อยู่หน้าบ้านมันเอง ไม่ใช่ว่าบ้านมันอยู่หลังเขาซักหน่อย” ชัยได้ยินพลอยอมยิ้มไปด้วย นึกถึงเวลาที่ใครว่า ตั้ม ว่าบ้านอยู่หลังเขา
“~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~”
“งั้นก็ตามนั้นแล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ ชัย มันนั่งรออยู่ พรุ่งนี้เจอกัน” แล้ว ราญ ก็วางหูโทรศัพท์ เดินมานั่งที่เก้าอี้รับแขกฝั่งตรงข้าม ชัย

บ้านของ ราญ เป็นตึกแถว ๓ ห้อง ชั้นล่างเป็นร้านขายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าร้านใหญ่ในย่านนั้น ส่วนบ้านของ ชัย ซึ่งอยู่ถัดไปอีกไม่กี่ห้องนั้น เป็นร้านขายขนมที่มีชื่อเสียงพอสมควร เพราะถั่วตัด และขนมเปี๊ยะใส้ต่างๆในร้าน สด ใหม่ทุกวัน จึงมีลูกค้ามากมายทั้งในย่านนั้น หรือลูกค้าที่นั่งรถมาซื้อจากย่านอื่น ราญ กับ ชัย จึงสนิทสนมกันพอสมควร

“วันนี้มีอะไรรึเปล่า มาหาเราเนี่ย” ราญ ถาม
“เซ็งๆหว่ะ เลยว่าจะมานั่งคุยอะไรเล่น” ชัย ตอบแล้วถามต่อ “พรุ่งนี้ไปไหนกันเหรอไง” ชัยคิดว่า ราญ คงนัดกับเพื่อนในกลุ่มแน่ๆ
“อ๋อ พรุ่งนี้วันเกิด ตุ่ม ...มันเลยโทรฯมาชวนไปกินไอติม ไปมะ มีเรา ตุ่ม เต่า” ราญ เว้นระยะพูดนิดหนึ่ง “แล้วก็ ตั้ม” .......นั่นไง สีหน้าเปลี่ยนเชียวนะ........ ราญ คิด ราญ ก็พอรู้อยู่บ้างว่าที่จริง ชัย ก็เอ็นดู ตั้ม อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งๆที่แกล้งกันอยู่บ่อยๆก็เถอะ
“แล้วนัด ตั้ม มันไว้แล้วเหรอ นัดกันยังไง บ้านมันไม่มีโทรศัพท์” ชัยสงสัย
“ก็พรุ่งนี้วันพฤหัสบดี ปรกติ ตั้ม มันออกจากบ้านมาที่ร้านหนังสืออยู่แล้ว เดี๋ยวไปเจอมันที่ร้านเลย”
“อ้าว แล้วจะรู้เหรอว่ามันไปร้านตอนไหน” ชัยยังไม่หายสงสัย
“มันก็มาที่โรงเรียนตั้งแต่เช้าก่อน ซัก ๗ โมงมั้ง” .....อ้าวเผลอไป น่าจะบอกว่า ตี๕ อยากรู้ชัยมันจะว่ายังไง...... ราญคิดในใจ
“มันอยู่ที่โรงเรียนนั่นแหละ จนเวลาร้านเปิด มันค่อยไปที่ร้าน เดี๋ยวพวกเราไปหา ตั้ม มันที่ร้านตอนซัก ๙ โมงก็เจอ มันอยู่ที่ร้านทีนึงเกินครึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว” ราญ พูดต่อ นึกเสียดายไม่หาย น่าจะแกล้ง ชัย มันซะบ้าง แต่อย่าดีกว่า ให้ ตั้ม มันมีพี่ชายคนเดียวก็พอแล้ว มีเพิ่มอีก เดี๋ยวกลายเป็นลูกแหง่ไปมากกว่านี้ แล้วอีกอย่าง เรื่องอะไรจะยอมยกน้องตัวให้เป็นน้องคนอื่น ราญ นึกแล้วก็อมยิ้ม
“อะไรของมึงวะ อยู่ๆก็ยิ้มแปลกๆ” ชัย เริ่มไหวตัว
“เปล่า เรานึกอะไรขำๆขึ้นมาได้ ว่าแต่นาย พรุ่งนี้ไปด้วยกันรึเปล่า”
“คิดดูก่อน ถ้าไปก็เจอกัน”
...เราว่าเราคงได้เจอนายแน่...ราญ นึกอย่างขำๆ

แล้ว ชัย ก็ชวน ราญ คุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ นานพอสมควรจึงได้ออกจากบ้าน ราญ กลับไปช่วยงานที่บ้านต่อ
...............................................................

“ไหนว่ามันมาตั้งแต่เช้าไงวะ  นี่ ๗ โมงครึ่งแล้ว ยังไม่เห็นโผล่เลย” ชัยบ่นเบาๆ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะใต้ตึกใกล้ๆประตูโรงเรียนมาตั้งแต่เวลาเกือบๆ ๗ โมง ป่านนี้แล้วยังไม่เห็นใครซักคน  เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน นั่นใครเดินเข้าประตูมาวะ

ร่างบางๆในชุดเสื้อยืดคอกลมและกางเกงสามส่วนสีขาว สวมทับด้วยเสื้อแจคเกตแขนยาว เป็นผ้าตาสกอตเล็กๆสีน้ำเงินเข้ม สลับสีเขียวหัวเป็ด มีเส้นสีแดงกับเส้นสีขาวพาดเป็นลายเส้นบางๆ ด้านหลังของเสื้อ มีลวดลายเป็นรูปขบวนรถไฟ สวมรองเท้าผ้าใบขาว ใส่ถุงเท้าสีขาวไว้ครึ่งน่อง สะพายกระเป๋าสะพายสีเขียวหัวเป็ด ดูแล้วรับกันกับปกเสื้อและข้อมือของเสื้อแจคเกต ภาพที่เห็นราวกับหุ่นโชว์ชุดเด็กในห้างใหญ่ๆที่เขาเคยเห็น ผมที่ยาวจนปิดใบหูไปครึ่งหนึ่ง ทำให้ใบหน้าที่ดูเด็กอยู่แล้วนั้น ยิ่งมองดูเด็กลงไปอีก จนนึกว่าเป็นเด็กประถมตัวโตๆ มากกว่าเด็กวัยรุ่นที่กำลังจะขึ้นชั้นมัธยม ๓

...น่ารักขนาดนี้นี่เอง ราญ มันถึงได้รักนักรักหนา น่าอิจฉามันหว่ะ ถ้ากูได้น้องน่ารักแบบนี้มั่งก็ดีสิวะ... ชัย นึกในใจ

“เฮ๊ย....ไอ้ ตั้ม มาทำอะไรแต่เช้าวะ” ผมตะโกนเรียกไป ตั้ม หันมามองผม ดูสีหน้าตกใจไม่น้อย
“มานี่เลยมึง มาไวไวอย่าช้า” ผม กวักมือเรียก ตั้ม มันเหลียวมองไปรอบๆ สักครู่ก็เดินมาหาผมที่โต๊ะ
“นั่งตรงนั้นทำไม” ตั้ม กำลังจะนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม “มานั่งฝั่งนี้ ข้างๆกูนี่ ที่ยังมีอีกเยอะ” ผมรีบบอกให้ ตั้ม มันมานั่งข้างๆผมบนเก้าอี้ยาว
“หิ้วอะไรมาเยอะแยะ ไหนเอามาดูดิ๊” แล้วผมก็หยิบเอากระเป๋าสะพายของ ตั้ม มาเปิดดู “กินไรมารึยัง เอ้า .... เอานี่ไปกิน” ผมยื่นถุงถั่วตัดถุงใหญ่ให้ ตั้ม เห็นมันมองทำหน้าอึ้งๆ คงคิดในใจว่าผมจะหลอกเอาอะไรประหลาดๆให้มันกิน
“น่ารำคาญมึงหว่ะ เฉยอยู่ได้ บอกให้กินก็กินดิ” แล้วผมก็หยิบถั่วตัดชิ้นหนึ่งยัดเข้าไปในปาก ตั้ม  “อร่อยนะเว้ย เพิ่งออกจากเตาร้อนๆเมื่อเช้าเลย บ้านกูทำเอง” ผมพูดด้วยความภูมิใจ
“อื้อ....อร่อยมากเลยอะ ชัย ปรกติที่ซื้อกินมันไม่เห็นอร่อยอย่างนี้เลย สงสัยเพราะเพิ่งทำเสร็จอะเน๊อะ นี่ยังอุ่นๆอยู่เลย ทั้งหอม ทั้งอร่อยเลย อะ บ้านชัยทำขายเหรอ มียี่ห้อพิมพ์ที่ถุงด้วย” มันมองไปที่ตรายี่ห้อกับชื่อร้านที่อยู่บนถุง “สงสัยขายดีน่าดูเน๊อะ ต้องทำตรากับยี่ห้อเป็นของตัวเอง” มันพูดต่อแล้วหันมายิ้มให้ผม พลางกัดถั่วตัดเข้าไปคำเล็กๆ

เห็น ตั้ม เคี้ยวถั่วตัดดังกร๊อบๆแล้วน่าขำ เวลากินยังเหมือนเด็ก แต่ดูแล้วก็รู้สึกอร่อยไปด้วย เออ...มารยาทดีเชียวนะเอ็ง กินอะไรทีก็เอาเข้าปากทีละนิด เคี้ยวหมดปากก่อนแล้วค่อยพูด บทจะเรียบร้อยก็ยังกับผ้าพับไว้ แต่เวลาอยู่กับเพื่อนกระโดดมั่ง วิ่งมั่ง ไปหาคนโน้นคนนี้ อยู่ไม่สุขเหมือนลูกหมาซนๆที่ชอบวิ่งไปงับโน่นงับนี่อยู่ตลอดเวลา......ชัยนึกพลางยิ้มด้วยความนึกเอ็นดูคนที่อยู่ข้างๆ
“อร่อยก็กินเยอะๆ มีตั้งถุงเบ้อเร่อ แล้วนิยายพวกนี้มึงอ่านเองหรือคนฝากมาคืนร้าน” ผมถามพลางหันไปทำท่าว่าสนใจกับหนังสือ หลบสายตากับรอยยิ้มซื่อๆหวานๆ แถมพกด้วยความไร้เดียงสาตามภาษาของมันที่ส่งมาให้ผม มันทำให้ผมรู้สึกวูบวาบแปลกๆอยู่ในใจ
 “เราเช่ามาอ่านน่ะ เดี๋ยวเอาไปคืนร้าน” ตั้ม ตอบหลังจากเคี้ยวถั่วตัดจนหมดคำ แล้วกัดถั่วตัดเข้าปากไปอีกคำ
“เล่มนี้ท่าทางสนุกหว่ะ เดี๋ยวกูไปร้านกับมึงด้วยดีกว่า พอมึงคืนแล้วกูจะได้เช่าต่อเลย” ผมพลิกหนังสือในมืออ่านคร่าวๆ รู้สึกว่าเสียงมันเงียบไป เลยหันไปดู เห็น ตั้ม กำลังหยิบหนังยางเตรียมมัดปากถุงถั่วตัด
“อ้าวแล้วไหนบอกว่าอร่อยไง กินแค่นั้นน่ะเหรอ กินอีกดิวะ”
 “๒ ชิ้นพอแล้วอะ พอดีเราเพิ่งทานโจ๊กมา ยังอิ่มอยู่เลย ไม่งั้นนะจะทานให้หมดเลย อิ อิ” ตั้ม มันหัวเราะหน้าบาน อ้อ ไปกินโจ๊กมานี่เอง ถึงมาเอา ๗ โมง ครึ่ง
“เออ มึงก็ต้องกินบ้าง ไม่ใช่อยู่บ้านไม่ได้ทำไรก็ไม่หิว ไม่กิน  กูอยากให้มึงอ้วนมีเนื้อมีหนังกว่านี้หน่อย เอาให้แก้มยุ้ยๆหน่อย” ผมเผลอพูดไป เพราะ ราญ เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนปิดเทอม ตั้ม มันเอาแต่อ่านหนังสือ ไม่ค่อยกินอะไร มองไปเห็นมันมองผมตาแป๋ว น่ารักจนผมอดใจไม่ได้ ก็แลยเอามือแตะเบาๆที่แก้ม ตั้ม ๒-๓ ที มันคงกำลังอารมณ์ดี ก็เลยยิ้มให้ผม สงสัยเพราะถั่วตัดแสนอร่อยของบ้านผม หรือไม่ก็เป็นเพราะผมพูดกับมันด้วยความเป็นมิตรกว่าที่เคย

มองๆแล้วมันก็น่ารักดี ไม่สิ.....น่ารักฉิบหายเลย ดีนะ ที่หกล้มในห้องเรียนคราวนั้นไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้เลย ผมนึกถึงอุบัติเหตุในห้องแล้วก็เอามือมาจับมุมปากซ้ายของ ตั้ม มันสะดุ้งตกใจนิดหน่อย สงสัยจะกลัวว่าผมจะแกล้งอะไรมัน
“อยู่นิ่งๆ มึง .....กูไม่แกล้งไรมึงหรอก” ผมพูดไปแล้วก็ลูบมุมปากด้านซ้าย ตั้ม มันเบาๆ .....ไม่มีรอยอะไรทิ้งไว้จากแผลคราวนั้น....แล้วเลื่อนมาลูบที่แก้มมันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลูบผ่านหางตาไปที่หางคิ้วซ้าย แล้วก็ลูบเบาๆพลางนึกในใจ ........เจ็บมากรึเปล่าวะตอนนั้น คิดๆไปสงสารมึงเหมือนกันหว่ะ เจ็บตัวจนต้องหยุดเรียนไปหลายวันเพราะพวกกู แล้วมาโดนพวกกูพูดใส่ซะขนาดนั้น วันนี้ยังมายิ้มให้กูอีก  เออ...นึกขึ้นได้ ไม่เห็นมึงยิ้มมานานแล้วนี่หว่า ทำกูเป็นห่วงนะมึง........มาทำมองกูตาแป๋วอีก เดี๋ยวกูก็............เฮ๊ย.............กูคิดอะไรของกูวะนี่ แล้วไหน ราญ บอกว่ามันไม่ค่อยกินอะไร ทำไมมันดูมีเนื้อมีหนังแบบนี้วะ จับตรงไหนก็นิ่มไปหมด แล้วกลิ่นหอมจางๆจากตัวมันอีก กลิ่นออกไทยๆ จะว่าน้ำอบไทยก็ไม่ใช่ ทำเอากูอยากเอาจมูกไปสูดกลิ่นที่ตัวมันให้ชื่นใจ

...........ไม่ได้แล้ว ก่อนที่กูจะตะบะแตก เสียฟอร์มแย่แน่กู

“กูกลับบ้านก่อนดีกว่า ถั่วตัดมึงเอาไว้กินแล้วกัน” แล้วผมก็รีบลุกขึ้น เดินออกนอกโรงเรียนไปโดยไม่หันกลับไปมอง ตั้ม เลย
...............................................................

ฮ่าๆๆ ไอ้ราญ เอ๊ย กูรู้แล้วมึงรู้สึกยังไงเวลาอยู่ใกล้ ไอ้ตั้ม ความรู้สึกของพี่ชายมันเป็นอย่างนี้นี่เอง มันจะยอมรับกูเป็นพี่ชายอีกสักคนมั๊ยวะ... ไอ้ตั้ม...ไอ้ลูกหมาตัวน้อยๆ ของพวกกู

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2008 09:42:02 โดย บุหรง »

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
ตั้งแต่อ่านมา ก่อนอื่นต้องขอชม คนโพสต์ก่อนนะครับ

"ว่าน้องรับผิดชอบเรื่องของตัวเองดีมากๆๆ ลงอย่างสม่ำเสมอ การใช้ภาษาเข้าใจง่าย  การวางหน้าก็วางได้ดี อ่านง่าย  น้องใช้ภาษาไทยได้ดีมาก ไม่มีคำผิดเลย นานๆ จะเห็นนักเขียนดีๆ เช่นนี้สักคน "

รักษาความดีไว้นะครับ  ผมเป็นกำลังใจให้  :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๑๑ เปิดเทอมใหม่ กับความเปลี่ยนแปลง

โอย......ผมยังง่วงอยู่เลยนะนี่ ปิดเทอมตื่นสายซะเคยตัว พอเปิดเทอมใหม่ต้องตื่นตั้งแต่ตี ๕ เพื่อออกจาบ้านตอน ๖ โมงเช้านี่เป็นเรื่องทรมานน่าดู แต่วันที่ออกไปร้านหนังสือตอนช่วงปิดเทอมไม่ยักกะเป็น อิ อิ......

ภาคเรียนใหม่นี้ โรงเรียนผมเปลี่ยนระบบการเรียนการสอนมาเป็นเข้าเรียนตอน ๘ โมงเช้า และเลิกเรียนประมาณ บ่าย ๓ พร้อมกันหมดทุกชั้นเรียน เพราะตึกใหม่ที่เริ่มทำการก่อสร้างมาตั้งแต่ภาคเรียนที่แล้ว ตอนนี้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำให้มีห้องเรียนเพียงพอในการจัดห้องเรียนประจำชั้นให้แก่นักเรียนชั้นต่างๆเสียที หลังจากที่ใช้ระบบการเดินเรียนมาเป็นเวลานาน

แต่ถึงกระนั้น.......ผมก็มาโรงเรียนสายจนได้ เหตุผลง่ายๆครับ..................รถเสีย     T-T

ยังดีนะครับที่เสียเอาใกล้ๆอู่ซ่อมรถ ก็เลยเดินไปตามช่างมาดูได้ รถมือสองก็แบบนี้แหละครับ ต้องมีรวนบ้าง ( สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้กันเกร่อแบบนี้หรอกครับ ขนาดโทรศัพท์สาธารณะในตัวเมือง ยังหายากเลย ยิ่งแถบชานเมืองไม่ต้องพูดถึง ) พอถึงโรงเรียนผมก็วิ่งแน่บไปที่ห้องประจำชั้น พร้อมกับความตื่นเต้นในใจ
..........เพื่อนใหม่จะเป็นยังไง
..........จะโดนใครเหม็นหน้าเอาบ้างรึเปล่า
..........เราจะเข้ากับเพื่อนใหม่ได้ไหม

ใช่แล้วครับผมโดนย้ายกลุ่ม หรือเรียกง่ายๆ ย้ายห้อง นั่นแหละครับ

น่าแปลก พวก ราญ ตุ่ม เต่า จก ต่อ กร แถมพกด้วย ศักดิ์ สิทธิ์ สมชาย ชัย ย้ายไปอยู่รวมกันหมดที่ห้อง ๒ พร้อมกับเพื่อนคนอื่นอีก  ๔-๕ คน ส่วน ปอ กับเพื่อนอีกจำนวนหนึ่ง ถูกย้ายไปอยู่ห้องที่เรียกว่าห้องการงาน ซึ่งเป็นห้องสำหรับเด็กที่เตรียมจะเข้าเรียนในสายอาชีพ อย่างงานช่าง หรือ พานิชย์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นห้อง บ๊วย และยังมีกระจายไปตามห้องต่างๆอีกหลายห้อง ห้องละหลายๆคน
ในขณะที่เพื่อนๆถูกจับย้ายไปตามห้องต่างๆกันเป็นกลุ่มๆ แต่มีเพียงผมคนเดียว ที่โดนย้ายมาห้อง ๖ คนเดียว....หัวเดียวกะเทียมลีบเลยครับ ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัวนิดๆ ดีใจหน่อยๆเพราะได้เรียนตึกใหม่ครับ อิ อิ

“คุณครูค๊าบบบบ.....ขออนุญาติเข้าห้องค๊าบบบบ” ผมขออนุญาตครูที่ปรึกษาทั้งสองท่าน พร้อมกับหอบแฮ่กๆ เพราะวิ่งมาจากประตูโรงเรียนจนมาถึงชั้น ๔ ของตึก
“ศิลปี เปิดเทอมวันแรกก็สายเลยเหรอไงจ๊ะ” ครูพูดยิ้มๆ โชคดีครับ ได้ครูประจำชั้นเป็นครูผู้หญิง ใจดีด้วย อ้อที่มีครูประจำชั้น ๒ ท่านเพราะว่าทางโรงเรียนยังคงแบ่งนักเรียนเป็นห้องละ ๒ กลุ่มอยู่ครับ มีครูที่ปรึกษากลุ่มละท่าน เพื่อจะได้ดูแลนักเรียนทั้ง ๕๐ คนในห้องได้อย่างทั่วถึงมากที่สุด
“รถเสียค๊าบครู เกือบต้องเข็นมาถึงโรงเรียนตอนเย็นๆแล้วค๊าบบบบ” ผมยิ้มกว้างบอกครู ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของนักเรียนในห้อง
“เข็นไหวเหรอจ๊ะ ครูว่าถ้าเธอเข็นมาจริงๆน่ะ คงถึงโรงเรียนเทอมหน้ามากกว่า” คราวนี้เสียงหัวเราะในห้องดังกว่าเดิมครับ ผมบอกแล้วว่าครูท่านใจดี ไม่อย่างนั้นผมไม่กล้าพูดแบบนั้นออกไปหรอกครับ “รีบเข้ามาจ๊ะ สงสัยคงต้องไปนั่งตรงนั้นแล้วมัง ศิลปี ว่างอยุ่โต๊ะเดียว” ครูอีกท่านพูดแล้วชี้มือไปที่โต๊ะหลังสุด ทางมุมซ้ายของห้องติดกับหน้าต่าง

อ๊า.........................มุมนั้นเป็นมุมพิฆาตสำหรับผมเลยนะนั่น ( คงพอจำเหตุการณ์ที่ห้องโสตฯของผมเมื่อตอน ม.๑ ได้นะครับ ) ทำไงได้อะ....มาซะสายขนาดนี้ จะมีที่นั่งดีๆเหลือได้ยังไง...... 

ผมเดินไปที่โต๊ะแล้วเอาเป้วางกับเก้าอี้ก่อนจะนั่งลง พอเห็นโต๊ะแล้วก็ยิ้มแป้นเลยครับ หุ หุ โต๊ะเก้าอี้ชุดใหม่ซะด้วย ผมนั่งลูบโต๊ะไปมาด้วยความเห่อของใหม่ นึกในใจ เดี๋ยวเย็นนี้ต้องไปโม้ให้ที่บ้านฟังซะหน่อย คริ คริ
“ดูแลเพื่อนใหม่กันให้ดีๆนะจ๊ะ เพื่อนเค้าน่ารักขนาดนี้อย่าแกล้งกันจนเพื่อนทนไม่ไหวต้องลาออกไปซะล่ะ”
หา....อารายน๊ะ.....ใครน่ารัก แล้วใครแกล้งใครจนลาออก หน้ายิ้มๆของผมเหว๋อขึ้นทันทีครับ เงยหน้ามองครูตาโต อ้าปาก เหว๋อสนิท ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆมาจากคนที่นั่งข้างๆด้านติดหน้าต่าง เสียงออดดังขึ้นพอดี
“หมดเวลาโฮมรูมแล้ว เดี๋ยวก็ตั้งใจเรียนกันนะจ๊ะนักเรียน” ครูอีกท่านหนึ่งพูด
“นักเรียนเคารพ” เสียงคนที่เป็นหัวหน้าห้องดังมาจากด้านหน้าสุดตอนกลางของห้อง
“ขอบคุณครับคุณครู” แล้วครูทั้ง ๒ ท่านก็เดินออกจากห้องไป
ยังคงมีเวลา ๑๐ นาทีเหมือนเดิมสำหรับการเปลี่ยนคาบเรียน แต่คราวนี้ไม่ได้มีไว้ให้นักเรียนครับ แต่มีไว้ให้ครูเดินเปลี่ยนห้องแทน ^_^

“นายชื่อไร เราชื่อวินท์” เสียงมาจากคนข้างๆในขณะที่ผมกำลังทยอยหยิบแบบเรียนและเครื่องเขียนออกมาจากเป้ พร้อมทั้งเอาม้วนกระดาษชำระ และกล่องแว่น ๒ กล่องใส่เข้าไปในเก๊ะใต้โต๊ะเรียน ( ผมตัดแว่นแล้วค๊าบบบ ก่อนวันเปิดเรียนประมาณ ๒ สัปดาห์ ยังไม่ค่อยชินครับ ตอนอ่านหนังสือก็ใส่ แต่ตอนเดินมักลืมครับ นึกได้ก็ใส่  บางทีก็ลืมไปไม่ได้ใส่เลยทั้งวัน )
“ศิลปี” ผมบอกชื่อจริงไป “ เรียกเราตั้มก็ได้” ผมตอบแล้วมองไปดูหน้าว่า วินท์ หน้าตาเป็นยังไง ก็เจอกับหน้าขาวๆตี๋ๆของ วินท์ ยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร ผมก็เลยยิ้มกว้างให้ วินท์ บ้าง
“ไหนชื่อไรนะ  ตั้ม เหรอ ชื่อโหลหว่ะ” ผมหันไปยังคนพูดที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าวินท์ หน้าไทยๆ ผิวคล้ำๆ ถึงจะยิ้มมาอย่างกวนๆ แต่ก็ดูเป็นมิตรเหมือนกัน “เราชื่อ เป็ด ไอ้นี่ชื่อ เบ๊” เป็ด ชี้ไปที่คนที่นั่งโต๊ะข้างๆ ก็โต๊ะหน้าผมแหละครับ
“เบ๊ เฉยๆนะครับ ตั้ม แต่ไม่ใช่เบ๊รับใช้นะครับ ฉะนั้นมีอะไรห้ามเรียกใช้” เบ๊ หันหน้าตี๋ๆมายักคิ้วให้ผม คำพูดของ เบ๊ ทำเอาผมหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ
“นี่ๆ ห้องนี้เคยมีคนโดนแกล้งจนต้องลาออกไปคนนึงเหรอ ถึงได้มีที่ว่างให้คนย้ายมาแค่คนเดียวอะ” ผมหยุดหัวเราะเพราะนึกที่ครูพูดเมื่อตอนโฮมรูมขึ้นมาได้ แล้วถามทั้ง ๓ คนด้วยสีหน้าจริงจัง ปนความหวาดกลัวนิดๆ ทั้ง ๓ คนมองหน้ากันไปมาแล้วระเบิดหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
“ฮ่าๆๆๆๆๆ เปล่าเว๊ย ครูเค้าพูดเล่น นายนี่ทำเป็นคิดมาก ตลกหว่ะ” เป็ด บอก “พอดีมีเพื่อนคนนึงลาออกไปเรียนที่อื่นเลยมีที่ว่างตั้ง ๑ ที่สำหรับเอ็งพอดี”
“เหรอ” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจในคำตอบ “เราก็ตกใจอะ นึกว่าห้องไหนที่มีคนย้ายเข้าไปเยอะๆ แปลว่าห้องนั้นมีคนโดนแกล้งจนลาออกเยอะซะอีก ที่แท้คงย้ายโรงเรียนเหมือนกันนิ”
“ฮ่าๆๆๆ......ตั้ม คิดได้ไงน่ะ” วินท์ พูดพร้อมกับหัวเราะกันใหญ่ทั้ง ๓ คน ผมเลยพลอยหัวเราะไปด้วย
“ว่าแต่ไม่กลัวโดนแกล้งจนต้องลาออกมั่งเหรอครับ ตั้ม” เบ๊ ถาม
“ไม่อะ เราโดนจนชินแล้ว” ทั้งสามคนทำหน้าประหลาดใจ คงคิดว่าผมพูดเล่น

ก่อนที่จะได้คุยอะไรกันต่อ ครูก็เข้าห้องเรียนมาพอดี
“นักเรียนเคารพ” เสียงดังมาจากทางหน้าชั้น
“สวัสดีครับคุณครู” แล้วพวกเราก็หันไปให้ความสนใจกับการสอนของครู
.........................................................

ระหว่างการรอครูในช่วงต่อของคาบเรียน เพื่อนๆที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันก็หันมาทักทายทำความรู้จักกับผมเป็นระยะ จนกระทั่งการเรียน ๓ คาบแรกในตอนเช้าก็หมดลง ก่อนจะลงไปทานข้าว ผมก็ถาม วินท์ ด้วยความเกรงใจ หลังจากที่ผมเปลี่ยนแว่นแล้ว
“วินท์ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้ว เราขอยืมสมุดจดงาน วินท์ ลอกหน่อยได้มั๊ยอะ”
“วิชาไหนบ้างล่ะ” วินท์ ถาม
“๓ วิชาเลย เราจดบนกระดานไม่ค่อยทัน” ผมตอบอายๆ เพราะกลัวว่า วินท์ จะคิดว่าผมเป็นคนขี้เกียจ ไม่ตั้งใจเรียน
“จดไม่ทันหรือไม่ได้จด เราไม่เห็น ตั้ม จดอะไรเลยเวลาที่ครูขึ้นกระดาน” วินท์ ขมวดคิ้ว “เออ...จริงสิ หรือ ตั้ม มองกระดานไม่เห็น” วินท์พูดอย่างนึกขึ้นได้
“อื้อ” แล้วผมก็บอก วินท์ ถึงปัญหาของสายตาผม
“โธ่....แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก เราเห็นแว่นหนาซะขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่นึกว่าจะเป็นมากขนาดนี้” วินท์ ตอบยิ้มๆ
“เกรงใจอะ มาวันแรกก็รบกวนเพื่อนแล้ว” ผมบอก วินท์
 “ไปกินข้าวกันก่อน เดี๋ยวกลับขึ้นมาเราค่อยหยิบให้ ดู...เป็ด มันเร่งใหญ่แล้ว” แล้วผมกับ วินท์ ก็เดินไปหา เป็ด ที่กวักมือเรียกพวกเราอยู่ที่ประตูห้อง พร้อมๆกับเพื่อนคนอื่นอีก ๕-๖ คน

ทานข้าวเสร็จ วินท์ ก็มานั่งอ่านในสมุดจดงาน ให้ผมจดตาม
“เราลอกเองก็ได้มังอะ วินท์” ผมบอกวินท์ด้วยความเกรงใจ
“เราว่าแบบนี้ดีกว่า เดี๋ยวอะไรที่เป็นตาราง ตั้ม ค่อยลอกจากสมุด เราจะได้ทวนไปด้วยในตัวไง” วินท์ ให้เหตุผล ผมก็จดๆๆไปตามที่ วินท์ บอกจนเสร็จทั้ง ๓ วิชา ก็ได้เวลาเรียนในคาบบ่ายพอดี


Mono_Koro

  • บุคคลทั่วไป
อ่ะนั่นเเน่ :m13:

ว่าเเล้วเชียวว่าชัยต้องคิดอะไรกับตั้ม

คริ คริ :m12:

มาอัฟต่อเร็วๆนะค้าฟฟฟฟฟฟ

รออยู่น้า~~~ :m1:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
ขอขอบคุณอีกครั้งครับ สำหรับคำติชมจากเพื่อนๆในเวป โดยเฉพาะ อาจารย์สีฟ้า
การที่ผมสามารถใช้ภาษาไทยได้ในระดับนี้ คงเป็นเพราะพระคุณของคุณครูทุกท่านที่กวดขันผมมาตั้งแต่สมัยอยู่ชั้นประถม จนกระทั่้งจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยนัี่นเอง

งานเขียนชิ้นนี้ของผมเป็นงานเขียนยาวๆชิ้นแรกของผม ผมอยากจะทำให้ดีที่สุดด้วยเหตุผลหลายๆประการ ซึ่งผมคงต้องขอบอกหลังจากที่นิยายของผมเรื่องนี้จบลง

จริงๆแล้วไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรครับว่าจะทำได้ดีหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาษา พลอตเรื่อง และการดำเนินเรื่อง  :o8: เพราะมีความรู้สึกว่า ตัวเองเขียนในลักษณะของสัญลักณ์มากไป และยังไม่อธิบายรายละเอียดหลายๆอย่าง แต่ให้ผู้อ่านคาดเดากันเองจากบทสนทนา หรือความคิดของตัวละคร ผมไม่ทราบว่าการเขียนในลักษณะนี้ ทำให้ผู้อ่้านเข้าใจตัวละครได้มากน้อยเพียงใด

เพราะผมตั้งคอนเซปของเรื่องไว้ อย่างที่บอกไว้ในบทนำ
อ้างถึง
เคยไหมครับ...เมื่อคุณได้รับรู้ถึงความจริงของเรื่องราวบางเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับคุณในวัยเรียน ซึ่งคุณเคยเข้าใจแบบหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ผมยังคิดอยู่ว่า มีผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า
-ตกลงว่า ตั้ม เป็นเด็กที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างไรกันแน่
-ทำไม ราญ ถึงได้ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัยนัก
และอีกหลายๆประการ

ดังนั้น ผมจึงอยากได้คอมเมนท์ในเรื่องต่างๆ เช่นความคิดของผู้อ่านที่มีต่อตัวละคร หรือการดำเนินเรื่อง เพื่อผมจะได้ทราบว่าผมสามารถสื่อในสิ่งที่ต้องการให้ผู้อ่านทราบได้ถูกต้องหรือไม่
เพราะผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก
ที่สำคัญคือ ผมจะได้นำไปปรับปรุงงานเขียนของผมให้ดีขึ้น

ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความคิดเห็นที่จะมามานะครับ

 :pig4:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-04-2008 20:25:57 โดย tumty »

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
 :serius2: :serius2: :serius2:
ทีแรกตั้งใจว่าก่อนจะไปสัมมนาจะมาลงให้จบในส่วนของมัธยมต้น
แต่ตรวจต้นฉบับไม่ทัน เพราะพออ่านๆแล้วยังรู้สึกว่ามีจุดบกพร่องอยู่อีก  o7
ยังไงคืนนี้จะพยายามลงให้ได้สัก ๒ ตอนครับ  :sad2:
แล้วผมคงต้องขอหายไปสัก ๒ สัปดาห์นะครับ เพราะมีสัมมนา แต่ก็จะเอางานเขียนไปทำต่อด้วย (ไม่รู้จะได้ทำรึเปล่า :o8: )
ถ้ามีโอกาศแว่บมาลงเพิ่มเติมได้ ก็จะพยายามครับ พบกันอีกครั้งหลังสงกรานต์นะครับ  :bye2:

ใครที่ไปเที่ยว เที่ยวเผื่อผมด้วย ผมไปค้างคืนที่ไหนม่ายด้ายยยยยยยยย...... :sad2:

.................................................

๑๒ เพื่อนใหม่-เพื่อนเก่า

คาบวิชาเรียนในภาคบ่ายของวันนั้น เวลาที่ครูมีอะไรต้องขึ้นกระดาน ผมก็จะชะโงกหน้าไปดูที่สมุดจดงานของ วินท์ แทน วินท์ บอกว่า ไม่ต้องเกรงใจ ทำแบบนี้ง่ายกว่า ไม่ต้องเสียเวลามานั่งลอกที่หลัง หรือถ้าจดไม่ทันจริงๆ ก็ค่อยมานั่งลอกบางส่วนแทนที่จะต้องมานั่งลอกทั้งหมด วินท์ จดงานละเอียดยิบครับ ผมนึกไปถึงสมุดจดงานของ ราญ เลย แต่ ราญ ละเอียดกว่า เพราะถ้าเป็นสมุดจดงานของ ราญ คงมีคำว่า เป๊าะ......เสียงที่ครูทำชอกล์หักเมื่อสักครู่นี้อยู่ในสมุดจดงานของ ราญ ด้วยแน่ๆเลย  ^0^
แต่ลายมือของ วินท์ อ่านง่ายกว่าลายมือ ราญ มากครับ ตัวอักษรตัวโตๆ ป้อมๆ สวยงาม เรียนด้วยกันไปสักพัก ผมถึงได้รู้ว่า วินท์ มีฝีมือในการวาดรูปหรือการเขียนตัวอักษรแบบต่างๆ รูปสวยๆ หรือตัวอักษรที่งดงาม ที่อยู่บนบอร์ดข้างกระดานดำหน้าชั้น ส่วนใหญ่เป็นฝีมือวินท์ พูดง่ายๆว่า วินท์ เป็นฝ่ายศิลป์ของห้องเลยก็ว่าได้

หลังจากหมดคาบวิชาเรียนในวันแรกของเทอม เพื่อนๆในห้องก็ถามกันว่าบ้านผมอยู่แถวไหน รอรถกลับบ้านที่ป้ายไหน พอผมตอบไป มีเพื่อนบางคนชวนออกไปรอรถกลับบ้านพร้อมกัน ผมก็ปฏิเสธไปครับ โดยให้เหตุผลว่า ปรกติ ผมจะกลับบ้านเย็นกว่านี้ เพราะผมไม่ชอบขึ้นรถแน่นๆตอนช่วงโรงเรียนเพิ่งเลิกเรียน อีกอย่าง วันนี้ผมอยากเจอพรรคพวกกลุ่ม ม.๒ เดิมด้วย เพื่อนๆก็เข้าใจครับ บอกว่าตามสบาย ไว้วันหลังก็ให้กลับพร้อมกันกับพวกเขาบ้าง

พอเพื่อนๆห้อง ๖ แยกย้ายกันไป ผมก็วิ่งตื๋อ ตั้งใจจะไปหากลุ่มเพื่อนซี้ที่ย้ายไปอยู่ห้อง ๒ กะๆเอาว่าถึงแน่แล้ว ก็เกาะประตูชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้อง เห็นมีคนนั่งจับกลุ่มกันอยู่ ๒-๓ กลุ่ม ผมก็มองดูกลุ่มแรกก่อน......ไม่มี กลุ่มต่อไป....ไม่มี กลุ่มต่อไป........
จากที่ยิ้มๆมองหาเพื่อนอยู่ ผมหน้าสลดเลยเพราะไม่เจอใครสักคน ผมก้มหน้าคิดในใจ .....ไวจริง กลับกันไปหมดและ ไม่มีใครอยากเจอเราเลยเหรอ........
“หาใครอยู่จ๊ะน้อง” มีเสียงถามมาจากกลุ่มหนึ่งในห้อง ผมเงยหน้าขึ้น กำลังจะอ้าปากถามถึงเพื่อน
“ตั้ม.....อ่ายตั้มม๋า ผิดห้องแล้วเว๊ย พวกเราอยู่ห้องนี้ ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงคุ้นๆหูดังมาจากประตูห้องข้างๆผมก็เห็น ตุ่ม กวักมือเรียกผมอยู่ มี ราญ ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ ........อ้าว นี่ผมวิ่งเลยมาห้อง ๑ เหรอเนี่ย -*-
“โม่ๆๆ.....มานี่เร็ว ตั้ม” ราญ ดีดนี้วเรียกผม
“แฮ่ๆ” ผมวิ่งแลบลิ้นตรงไปกระโดดงับนิ้ว ราญ แต่ ราญ ก็เอานิ้วหลบจากฟันผมได้ทันท่วงที แล้วก็เอามือมาขยี้หัวผมเบาๆด้วยความเอ็นดูเหมือนที่เคยทำบ่อยๆ แล้วก็เอามือโอบไหล่ผมพาเดินเข้าไปหาพรรคพวกที่นั่งอยู่ในห้อง ๒ ผมเห็นเต่านั่งอยู่กับใครก็ไม่รู้อีก ๓ คน ผมกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง
“ไม่ต้องมองหาหรอก ๓ ตัวนั่นกลับไปแล้ว เห็นว่ารีบกลับ” ตุ่มพูด เพื่อนซี้ ย้อมรู้ใจกันดี เพราะที่ผมมองหาอยู่คือ จก ต่อ กร นั่นเอง
“นี่เพื่อนเราตั้งแต่เรียนประถม วา โชค เชียร เคยเจอกันหลายหนแล้วนี่” เต่า แนะนำให้ผมรู้จักกับ ๓ คนนั้น ผมหันไปมอง ....ตี๋ อีกแล้ว เป็นไงนะ โรงเรียนนี้ มีแต่ ตี๋ๆ เอ........แล้วผมเคยเจอ ๓ คนนี้ที่ไหนหว่า แต่ก็คุ้นหน้ากันอยู่ เพราะคงเคยเห็นกันบ้างตอนเรียน ม.๑-ม.๒
“ดี ดี เรา ตั้ม” ผมยิ้มให้เพื่อนใหม่ พูดแล้วผมก็นั่งลงไปบนเก้าอี้ที่ ราญ ลากมาให้ แล้ว ราญ ก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่ลากมาพร้อมๆกัน
“รู้แล้ว นายตั้ม ศิลปี คนดัง” วา พูด แล้วหันไปหัวเราะกับ โชค เชียร
“...............................” งง ครับ.........คนดังอะไรอีกอะคราวนี้..............หน้าผมคงเหว๋ออีก เลยหัวเราะกันใหญ่เลย ผมมองเพื่อนใหม่ทั้ง ๓ คนอีกรอบ แล้วก็คิดในใจ ........ทำไม โชค กับ เชียร หน้าคล้ายๆกัน
“ไม....เราหล่อขนาดต้องมองขนาดเลยเหรอ” เชียร ยักคิ้วให้ผม
“เปล่าอะ เรากำลังมองว่า ทำไม พวกนายสองคนหน้าคล้ายๆกัน” ผมตอบ
“สองคนนี้พี่น้องกัน” ราญ บอกผม “แล้วห้องใหม่เพื่อนๆเป็นไงมั่ง” ราญถามต่อ
“ก็ดีอะ เพื่อนๆห้องนั้นนิสัยดีนะ เมื่อกี้ยังชวนกลับบ้านพร้อมกันเลย” ผมหันไปตอบราญ
“แล้วทำไมไม่ไป” ตุ่ม ถาม
“ก็โรงเรียนเพิ่งเลิก คนเยอะ ขี้เกียจกลับ” ผมตอบพร้อมกับยักคิ้วให้ ตุ่ม “เดี๋ยวคนน้อยๆแล้วค่อยกลับพร้อมพวกนายงายยยย”
“ทำเป็นอ้อนนะ” ราญ พูดยิ้มๆ
“ม่ายอ้อนพี่ แล้วจาให้น้องปายอ้อนครายยยยยยยยยยยยยยยยย” ผมทำจมูกย่น ยื่นหน้าไปให้ ราญ
“โอ๊ย......จาหมูกหักแย้วววววววววววววววว” ผมร้อง เพราะโดน ราญ บีบจมูกบิดไปบิดมา .....จริงๆร้องไปงั้นแหละ ไม่เจ็บหรอก อิ อิ......สักพัก ราญ ก็ปล่อยมือ พวกเราก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน

พวกเราพากันคุยรื่องเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้รู้จัก ให้แก่เพื่อนเก่าที่คุ้นเคยกันได้รับรู้ แล้วก็ต่อด้วยอีกสารพัดเรื่อง ตามแต่จะนึกออก จนเห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงได้พากันออกจากโรงเรียนเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน
....................................................................

 แล้วนับจากวันแรกของวันเปิดภาคเรียนในระดับชั้น ม.๓ ผมก็วิ่งเข้าวิ่งออกระหว่างห้อง ๖ ของผม กับห้อง ๒ เป็นว่าเล่น จนคนในห้อง ๒ แทบจะนึกว่าผมอยู่ห้อง ๒ ไปด้วยแล้ว ส่วนเพื่อนๆในห้อง ๖ ก็สนิทสนมเข้ากันกับผมได้เป็นอย่างดี การกลั่นแกล้งที่ผมเคยกลัวไม่เคยเกิดขึ้นเลย มีแต่การหยอกล้อกันเล็กๆน้อยๆ ความช่วยเหลือในเวลาที่ผมทำอะไรไม่ได้ และอีกหลายๆอย่างที่มีแต่ความประทับใจในวัยเรียน
....................................................................

เวลาผ่านไปเกือบ ๒ เดือน ในช่วงพักกลางวันวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังให้ วินท์ สอนเรื่องการให้สีภาพต้นไม้อยู่ ก็มีเสียงเรียกมาจาก บัติ ที่คุยกันอยู่กับเพื่อนอีก ๓-๔ คนตรงประตูหน้าห้อง
“ตั้ม โว๊ย ตั้ม........มีหนุ่มหล่อมาหาอีกแล้วหว่ะ”  ตามด้วยเสียงเป่าปากวี๊ดวิ้วจากในกลุ่มนั้น

ผมนั่งวาดรูปต้นสนอยู่ที่โต๊ะ มีวินท์ยืนอยู่ข้างๆ มือหนึ่งวางไว้ที่พนักเก้าอี้ที่ผมนั่ง  อีกมือจับมือผมระบายสีไปตามต้นสนในกระดาษ พร้อมกับอธิบายถึงน้ำหนักของสีที่ควรเป็นให้ผมฟังไปด้วย
“เดี๋ยวค่อยมาต่อแล้วกัน ตั้ม ไปหาเพื่อนก่อนไป” วินท์ปล่อยมือผมแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง
เออ.....หล่อกันหมดทั้งโรงเรียนนั่นแหละ ยกเว้นตู แล้วโรงเรียนชายล้วนคงมีสาวสวยมาหาหรอกเน๊อะ......ผมคิดในใจ แล้วก็ลุกจากโต๊ะไปดูว่าเป็นใคร โดยที่ไม่ได้ถอดแว่นสายตาออก และยังมีดินสอสีสีเขียวที่กำลังระบายใบของต้นสนถือค้างอยู่ในมือ

แต่พอเดินมาได้นิดหน่อย
......ทำไมพี้นมันเอียงๆหว่า...อ้อ ไม่ได้เปลี่ยนแว่น ช่างมัน เดี๋ยวคนที่มาหาจะรอ

ผมค่อยๆเดิน เอามือคอยจับโต๊ะประคองตัวไว้ไม่ให้ล้ม เพราะรู้สึกว่าพี้นมันเอียงลาดลง เหมือนทางลงเขา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2008 21:53:49 โดย บุหรง »

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๑๓ รอยแผลใหม่บนมือข้างเดิม

“ว่าไง ปอ” ผมยิ้มให้ เมื่อเห็นว่าคนที่มาหาผมคือ ปอ นั่นเอง จะว่าไปตั้งแต่เปิดเทอมมา ผมยังไม่ได้เจอกับ ปอ จังๆแบบนี้เลย จึงยังไม่ได้คุยกันสักครั้งตั้งแต่วันเปิดเทอม แล้วนี่ ปอ มาหาถึงห้อง มีธุระอะไรหรือเปล่า ผมสงสัยในใจ
“อ้อ.......ยังจำกูได้เหรอมึง......มานี่” ปอ มองหน้าผมนิ่งสักครู่ แล้วจึงคว้ามือขวาที่ถือดินสอสีของผมไว้ แล้วลากให้เดินไปที่รั้วเหล็กริมระเบียง พอผมรู้ว่าจะไปที่ไหน ผมก็ฝืนตัวไว้
“เป็นไร เห็นผู้ชายมาหาเลยทำเล่นตัวหรือมึง” ปอ ดุ เมื่อเห็นฝืนตัวไม่ยอมเดินไปด้วย รังสีอำมหิตเริ่มกระจายตัวออกมา
“ปอ เราไม่อยากไปยืนตรงนั้นอะ เรากลัวความสูง” ผมตอบ หน้าแหยๆ ปอ นิ่งไปสักครู่
“เออ กูลืมไป งั้นไปกับกูตรงโน้น” ทีแรกผมคิดว่า ปอ จะลากตัวผมไปหาพวกศักดิ์ แต่ก็เปล่า ปอ ลากผมให้เดินอย่างรวดเร็ว ผ่านห้อง ๒ไป แล้วมาหยุดที่ผนังตึกริมหน้าต่างด้านหน้าห้องน้ำชาย ซึ่งปรกติจะไม่ค่อยมีคน เพราะเป็นห้องน้ำบนชั้น ๔ ของตึก

......แว๊ดๆๆๆๆๆๆ......
ปอ พูดอะไรสักอย่าง ผมจับใจความไม่ค่อยได้ เพราะกำลังมึนหัวเนื่องจากแว่นที่ผมสวมอยู่เป็นแบบใส่สำหรับนั่งอ่านหนังสือ ถ้าใส่เดินผมจะเวียนหัว แล้วนี่ยังเดินมาอย่างเร็ว ผมจึงเกิดอาการ เมา  เล็กน้อย เนื่องจากการปรับระยะสายตาไม่ทัน แต่จับน้ำเสียงได้ว่า ปอ กำลังโกรธ ผมยังคงเอามือขยี้บริเวณหัวคิ้วเพื่อให้หายจากอาการเวียนหัว และอาการคลื่นไส้ที่กำลังเกิดขึ้น

“เดี๋ยวก่อน ปอ เมื่อกี้ว่าไรนะ เราไม่ทันฟัง” ผมคงใช้คำผิด..........ไม่ทันฟัง แทนที่จะบอกไปว่า ผมฟังไม่ทัน
“สาดดดดดดดดด.....ทำเป็นไม่ฟังที่กูพูดเหรอ” ท่าทาง ปอ เหมือนยิ่งโกรธหนักกว่าเดิม
“ปอ เดี๋ยวดิ ปอ โกรธอะไรเราอีกแล้วอะ” ผม งง ผมทำอะไรผิดให้ ปอ โกรธอีกแล้ว
“กูน่ะเหรอโกรธมึง กูมันไม่สำคัญอะไร กูพูดอะไรมึงถึงไม่ฟังกู แล้วกูจะมีสิทธิ์อะไรไปโกรธมึง” คำพูดกับการกระทำของ ปอ ขัดแย้งกันเห็นๆ เพราะดินสอสีในมือผมเริ่มทำให้ผมเจ็บมากขึ้นทุกที ตามแรงบีบที่มากขึ้นของ ปอ
“มึงนั่นแหละ โกรธอะไรกู” ปอพูดเสียงเขียว
“.....................................” ผมไม่ตอบ เพราะกำลัง งง หน้าเหว๋อเลยครับ ตอนนั้นลืมความเจ็บที่มือไปชั่วขณะ
“ไปหาคนอื่นถึงห้องมึงไปได้นะ กับกูไม่ไปให้เห็นหน้า หรือเพราะกลัวคนรู้ว่ามีเพื่อนอยู่ห้องบ๊วย มึงเลยไปไม่ได้”
“.....................................” ผมยังคง งง ก็ห้อง ปอ อยู่อีกตึกนึง ไกลไปคนละฟากของโรงเรียน แล้วคนอื่นที่ ปอ ว่าน่ะ พี่ชายกับเพื่อนสนิทผมเชียวนะ เพื่อนคนอื่นผมก็ไม่ได้ไปหาเหมือนกันนี่
“กูไปหามึงที่ห้องสมุด มึงก็เดินหนีกู กูเดินเฉียดมึง มึงก็ทำเป็นไม่เห็น เอาแต่จี๋จ๋ากับเพื่อนใหม่” ปอยังคงพูดต่อ ผมยังคงเงียบ กำลังนึกว่า ปอ พูดอะไร ผมไม่เคยเจอ ปอ ที่ห้องสมุดสักครั้งนอกจากครั้งนั้น แล้วผมก็ไม่เคยเห็น ปอ เดินเฉียดผ่านผมเลยสักครั้ง ผมเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บที่มืออีกครั้ง เพราะน้ำหนักมือที่แรงขึ้นของ ปอ

แล้วสายตาผมก็มองไปเห็นคน ๓ คนยืนอยู่ข้างหลัง ปอ ห่างออกไปแค่ ๒-๓ ก้าว เรา ๒ คนไม่รู้เลยว่า มีคนเดินเข้ามาตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
“มึงนะมึง มึงมันลืมเพื่อน ได้เพื่อนใหม่แล้วลืมเพื่อนเก่า” ปอ กัดฟันกรอดๆ มือผมถูกบีบแรงขึ้น แรงขึ้น ในขณะที่ผมตกใจในคำพูดประโยคนี้ของปอ
.....มึงมันลืมเพื่อน
.....มึงมันลืมเพื่อน
คำนี้มันสะท้อนไปมาอยู่ในหัวผม จนผมลืมความเจ็บที่มือไปชั่วขณะ

.........เป๊าะ........
.........อุ๊บ/โอ๊ย เชี่ยเอ๊ย......... เสียงผมกับ ปอ ร้องขึ้นพร้อมกัน แล้วปอก็ปล่อยมือผม
....แต๊ก....แต๊ก... เสียงของดินสอสีสีเขียวที่เคยอยู่ในมือผมหลุดจากมือ หล่นไปกลิ้งอยู่บนพื้น ผมเห็นมันหักเป็น ๒ ท่อน ผมเจ็บเปร๊บๆที่ง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้มือขวา ผมยกมือขึ้นดู เห็นแผลที่ตรงนั้น เนื้อหลุดออกมาเป็นวง เลือดไหลซิบๆออกมาจากเนื้อแดงๆ

“ตั้ม เป็นอะไรรึเปล่า” ราญ เดินเข้ามาจับมือผมขึ้นดู ขณะที่ผมจะก้มลงไปเก็บดินสอสีที่กลิ้งอยู่กับพื้นไปทางที่ เต่า กับ วา ยืนอยู่ วา ก็เลยก้มตัวหยิบดินสอสีทั้ง ๒ ท่อนเข้ามายื่นให้ผม ผมก็รับไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง โดยไม่ได้สังเกตุสีหน้าของ เต่า
“ถอดแว่นออกกก่อน แล้วไปทำแผลหน่อยดีกว่ามั๊ง ตั้ม แผลลึกเหมือนกันนะนี่” ราญ พูดแล้วถอดแว่นกลมของผมใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อของผม  แล้วหยิบกระดาษชำระออกมาเช็ดเลือดที่ซึมออกมาจากแผลออก แต่เลือดยังคงไหลซึมออกมาอีก
“ปอ มือโดนดินสอบาดรึเปล่า” ผมหันไปถาม ปอ ด้วยความเป็นห่วง เพราะมือผมยังเป็นแผลขนาดนี้ โดยที่ไม่ได้คิดว่าดินสอสีแท่งนั้นเป็นผมกำไว้ แล้ว ปอ ก็ กำมือผมไว้อีกทีหนึ่ง “ไปทำแผลด้วยกัน” ผมยังพูดต่อ แต่ ปอ นิ่ง
“วา กับ เต่า ช่วยพา ตั้ม ไปทำแผลที่ห้องพยาบาลก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเรากับ ปอ ตามไป” พอ ราญ พูดจบ วา ก็เอามือโอบไหล่ผมพาเดินออกไปพร้อมกับ เต่า เพื่อพาผมไปทำแผลที่ห้องพยาบาล หลังจากที่ทำแผลเสร็จ ผมยังคงนั่งรอ ราญ กับ ปอ อยู่ วา กับ เต่า ก็นั่งคุยกันอยู่หน้าห้องพยาบาล ผมรออยู่จนกระทั่งเสียงออดบอกเวลาเข้าเรียนของคาบวิชาหลังพักเที่ยงดังขึ้น พวกเราจึงต้องรีบกลับไปยังห้องประจำชั้นของเต่ละคน เพื่อเช้าเรียนในคาบวิชาต่อไป เข้าเรียนแล้ว ผมก็ยังนั่งคิดอยู่ว่า ปอ เป็นอย่างไรบ้าง
........................................................


................มึงมันลืมเพื่อน ได้เพื่อนใหม่แล้วลืมเพื่อนเก่า..........
................มึงมันลืมเพื่อน ได้เพื่อนใหม่แล้วลืมเพื่อนเก่า..........
................มึงมันลืมเพื่อน ได้เพื่อนใหม่แล้วลืมเพื่อนเก่า..........


ตอนนั้นมีแต่ประโยคนี้วนเวียนซ้ำซากอยู่ในหัวผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2008 13:23:48 โดย tumty »

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๑๔ เข้าใจผิด

“ปอ ทำไมนายทำแบบนี้” ราญ ถามเสียงเอาเรื่อง “ลาก ตั้ม มันมาแบบนั้น มันจะตายเอา”
ปอ หันมามอง ราญ ด้วยความงุนงง นั่นสินะ เขาเห็นอาการแปลกๆของ ตั้ม  ตอนที่มาถึงตรงนี้ แต่เขาไม่ได้สนใจ
“แล้วมันเป็นอะไร เห็นทำท่าเหมือนจะอ๊วก” ปอ ถามด้วยความสงสัย
“มัน เมา” ราญ บอก  ปอยิ่ง งง “เหมือนเมารถ เมาเรือ แบบนั้นแหละ” ราญ พูดต่อ ให้ ปอ เข้าใจเมื่อเห็น ปอ ทำหน้างุนงง
“ทำไมวะ เป็นได้ไง เมื่อก่อนเห็นมั่นวิ่งไปวิ่งมาไม่เห็นเป็นอะไรนี่” ปอ ยังไม่หายสงสัย
“ก็แว่นมันนั่นแหละ ที่มันใส่อยู่มันแว่นอ่านหนังสือ ไม่ใช่แว่นเดิน” ราญ เรียกแว่นทั้ง ๒ อันนั้นสั้นๆ
“อะไรของเอ็ง แว่นอะไรแล้วมันต่างกันยังไงวะ” ปอ นึกถึงตอนที่เห็น ตั้ม เปลี่ยนแว่นที่ห้องสมุดเมื่อหลายวันก่อน
“ตั้ม มันใช้แว่น ๒ อัน อันนึงเป็นแว่นอ่านหนังสือเอาไว้ใส่อ่านหนังสือหรือทำงานตอนที่นั่งอยู่กับที่ ถ้าใส่เดินแล้วมันจะเวียนหัว เพราะมันจะเป็นพื้นเอียงๆเหมือนทางลงเขา แต่มันจะเห็นอะไรค่อนข้างชัด” ราญ ค่อยๆอธิบาย “ส่วนแว่นเดินน่ะ มันจะมองเห็นพี้นเหมือนปรกติ แต่มันจะมองอะไรไม่ค่อยชัด ยิ่งห่างๆก็เหมือนภาพเบลอๆไปเลย”
“มิน่า มันถึงทำท่าเหมือนมองไม่เห็นกูตั้งหลายที” ปอ อุทานเบาๆ แววตาบอกถึงความเสียใจ
“มีอะไรกันรึเปล่า” ราญ ถาม “ไม่สิ ต้องมีอะไรแน่ๆ นายบอกเรามาดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น นายถึงต้องตามมาหาเรื่อง ตั้ม มันถึงตึกนี้” ราญ คาดคั้น
“ใครว่ากูมาหาเรื่องมัน” ปอ เถียง
“ก็เราเห็นอยู่เมื่อกี้ไง หรือนายจะบอกว่าเราเข้าใจผิด นายบอกเรามาดีกว่า ว่าเรื่องมันเป็นยังไง” ราญ ยังคงคาดคั้นเสียงเรียบๆ
ปอ เถียงไม่ออก เพราะความจริงเขาตั้งใจแบบนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า เขาเข้าใจผิด ตั้ม ไม่ได้เมินเขาเลยสักนิด แต่ ตั้ม มองไม่เห็นเขาจริงๆเพราะแว่นที่ ตั้ม ใส่อยู่
“ไม่บอกก็ตามใจ เราจะไปดูว่า ตั้ม มันเป็นยังไงบ้าง” ราญ พูดจบก็หันหนังทำท่าจะเดินออกไป แต่ก็หันกลับมาพูดกับ ปอ อีกครั้ง “เราหวังว่านายคงเข้าใจในสิ่งที่นายเห็นได้ถูกต้องทั้งหมดนะ” ราญ พูดเหมือนกับจะประชด ปอ แล้วหันหน้ากลับไป
“เดี๋ยว ราญ เราจะเล่าให้ฟัง” ปอ ตัดสินใจ เพราะคิดว่า ราญ คงเป็นคนที่สามารถให้คำตอบกับเขาได้ดีที่สุด
.........................................................................................

แล้วเรื่องในห้องสมุดและเรื่องที่เกิดขี้นบนระเบียงตึก ก็ได้ถูกถ่ายทอดออกมาจากปากของ ปอ ให้ ราญ ฟัง
“เมื่อกี้เราบอกนายแล้วเรื่องแว่นของ ตั้ม นายก็เข้าใจซะด้วยว่ามันไม่ได้เมินนาย แต่มันมองไม่เห็นนายจริงๆ” ราญ สรุป
“เออ กูก็เพิ่งรู้จากเอ็งนี่แหละ แล้วเรื่องนี้พวก ไอ้ศักดิ์ มันรู้มั๊ยวะ” ปอ ถามอย่างนึกขึ้นได้
“คนอื่นเราไม่รู้ว่ารู้รึเปล่า แต่ ชัย มันรู้ เราบอกมันเอง” ราญ เคยเล่าให้ ชัย ฟังเมื่อตอนที่ ชัย มาหาเขาที่บ้านตอนเปิดเทอมใหม่ๆ
“แล้วทำไม ชัย มันไม่เล่าให้กูฟังวะ” ปอ ถามอย่างหัวเสีย
“อันนี้ นายต้องไปถาม ชัย มันเอง แต่เราคิดว่า ชัย คงไม่คิดว่ามันจะสำคัญจนกลายเป็นเรื่อง แล้วไม่คิดว่านายจะเข้าใจ ตั้ม ผิดถึงขนาดนี้ ก็เลยไม่ได้เล่า” ราญ ตอบยิ้มๆ
... นั่นสินะ ราญ พูดถูก ราญ มันดีตรงทำความเข้าใจกับเพื่อนๆ แล้วก็มีเหตุที่ดีเสมอในการอธิบายถึงการกระทำของเพื่อนๆ มันถึงได้เข้าใจ ตั้ม มากกว่าคนอื่น... ปอคิด

........แล้วตัวเขาควรจะทำอย่างไรดี ถึงจะแก้ไขเรื่องคราวนี้ได้ มันคงง่ายเหมือนครั้งแรกที่เขาทำมือของ ตั้ม เจ็บเมื่อตอน ม.๑ คราวนั้นเขาก็รู้สึกอาย ราญ อยู่แล้ว ที่มาเห็นเขากับ ตั้ม ที่ห้องสมุด แล้วยังอุบัติเหตุในห้องเมื่อตอน ม.๒ เขาแน่ใจว่า ราญ ต้องรู้แน่ๆ ว่าเขาเองนี่แหละ เป็นคนขัดขา ตั้ม จนหกล้ม .........เขาคิดว่า ราญ รู้ แต่ทำไม ราญ ไม่พูดออกมา....... มาครั้งนี้อีก เหมือน ราญ พยายามอธิบายสิ่งต่างๆเพื่อ   ตั้ม.......ทำไม.......คำตอบอย่าให้เป็นอย่างที่เขากลัวเลย ไม่อย่างนั้น ตั้ม คงเลือก ราญ มากว่าที่จะเลือกเขา

.............................................

คงต้องพักไว้แค่นี้ก่อนนะครับ o7
ช่วงวันหยุดยาว ขอให้ทุกคนเที่ยวกันให้สนุกนะครับ
ส่วนผม คงจะสนุกกับการสัมมนาเช่นกัน  :serius2:
กลับมาเื่มื่อไรจะรีบมาต่อให้ท้นทีครับ  :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-04-2008 22:52:41 โดย tumty »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
กลับมาแล้วรีบมาต่อหนา  รออยู่ครับ

ปล.น้องเขียนได้ดีแล้ว รักษาระดับไว้หนา


เป็นกำลังใจให้ครับ
  :L2: :L2: :L2: :L2: 1+ สำหรับความน่ารักของคนโพสต์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-04-2008 16:55:24 โดย อาจารย์..สีฟ้า »

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
พอมีเวลานิดหนึ่งก่อนไปสัมมนา เลยแวะมาอัฟครับ ตอนนี้หากมีข้อผิดพลาดก็ต้องขออภัยนะครับ มีเวลาตรวจทานน้อยไปหน่อย
ช่วงวันหยุดสงกรานต์ขอให้เพื่อนๆเที่ยวกันให้สนุกนะครับ  o13

๑๕ ความหวังของพี่ชาย

“แล้วนายก็เลยทำแบบนี้ นายคิดว่ามันดีแล้วเหรอ” ราญ พูดขึ้น เมื่อเห็น ปอ นิ่งไป “ความเข้าใจผิดมันจะทำให้พวกนายเจ็บกันทั้งคู่”
“เจ็บทั้งคู่เหรอ ไม่จริงมั๊ง กูว่ากูเจ็บกว่ามัน มันเจ็บแค่มือ แต่กูน่ะ เจ็บใจ” ปอว่า
“แล้วนายรู้ได้ยังไง ว่าใจ ตั้ม มันไม่เจ็บ นายไม่ได้ยินที่มันถามก่อนเดินไปหรือไง” ราญเริ่มเสียงเข้มขึ้น
“กูไม่ทันได้ฟัง” ปอ ตอบห้วนๆ
“ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเองนะ ปอ เมื่อกี้นายว่า ตั้ม มันว่าไม่ฟังนาย แต่นายก็ไม่ได้ฟังมันเหมือนกัน” เสียง ราญ อ่อนลงอย่างระอาใจ
ราญ ได้ยินตั้งแต่ประโยคแรกที่ ปอ พูดกับ ตั้ม เมื่อสักครู่แล้ว เพราะเสียง ปอ ไม่เบาเลย ราญ เดินตามมาเมื่อเห็น ปอ จูงมือ ตั้ม เดินผ่านห้องเรียนของเขาไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขามองเห็น ตั้ม เดินหน้าซีดพลางเอามือกดที่หัวคิ้ว เขาจึงตัดสินใจเดินตามมา โดยที่มี วา และ เต่า ที่กำลังนั่งคุยอยู่ด้วยกันเดินตามมาด้วย ทั้งสองคนไม่เห็นพวกเขา เพราะ ปอ ยืนหันหลังมาทางที่เขาเดินมา ส่วน ตั้ม กำลังก้มหน้าเอามือกุมขมับ ขณะที่พูดกับ ปอ อยู่ ก็ยังไม่เอามือออกจากขมับอยู่อย่างนั้น

“ปอ ถ้านายยังทำอย่างนี้ ต่อไปใครจะรู้ว่าใจ ตั้ม มันจะยิ่งเจ็บกว่านายตอนนี้ซะอีก แล้วถ้าถึงตอนนั้นนายจะทำยังไง นายจะทนได้มั๊ย”
“................................” ปอ กำลังคิดว่า ราญ จะบอกอะไรเขากันแน่
“นายเคยทำให้มันเจ็บที่มือมาครั้งนึง คราวนั้นมือมันเจ็บ ใจมันก็เจ็บเพราะคิดว่าถูกเพื่อนเกลียด แล้วนายก็ทำให้ ตั้ม มันหายเจ็บด้วยวิธีของนายที่ทำในห้องสมุดคราวนั้น ต่อจากนั้นนายก็จะทำให้มันเจ็บตัวอีก เมื่อตอนที่มันล้มในห้องเรียน  ตอนที่นายทำเรื่องพวกนั้น นายคิดว่าใจ ตั้ม มันจะเป็นยังไง นายคิดว่าใจมันไม่เจ็บเหรอไง” เสียง ราญ แข็งขึ้นมาอีกเมื่อเขาคิดถึงเรื่องเหล่านั้นขึ้นมา เขายังจำได้ถึงคำพูด น้ำเสียง และรอยยิ้มที่ ปอ กับ ตั้ม ในห้องสมุดวันนั้น วันที่เขาตาม ตั้ม ไปที่ห้องสมุด ยังมีวันนั้นอีก ยังมีวันที่ ตั้ม ปกป้อง ปอ ด้วยความห่วงเพื่อน ทั้งๆที่ ปอ ทำให้ ตั้ม เจ็บจนต้องหยุดเรียนไปหลายวัน และวันที่เขาได้เห็น ตั้ม ร้องไห้แบบนั้นเป็นครั้งแรก วันที่เขารู้สึกว่าหัวใจเจ็บปวดอย่างสาหัส เพราะไม่สามารถปกป้องน้องอันเป็นที่รักของเขาได้

“กู...............กู...............” ปอ พูดไม่ออก ราญ รู้จริงๆด้วย ว่าเขาเป็นคนขัดขา ตั้ม เมื่อคราวนั้น
“ตอนนั้นนายก็เห็นว่า ตั้ม มันเป็นยังไงมั่ง บอกตรงๆ ตอนนั้นเราอยากจะตะบันหน้าพวกนายให้หมอบจริงๆ” ราญ พูดแล้วถอนหายใจ
“กูรู้นะราญ ว่าเอ็งก็.......” ปอ พูดหวั่นๆ
“หยุดเลย ปอ เราไม่ได้คิดแล้วก็ไม่เคยคิดแบบนั้น” ราญ พูดขัดขึ้นมาก่อนที่ ปอ จะพูดอะไรต่อ เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ ราญ จะพูดต่อ “เราเคยคิดนะ ปอ เราเคยคิดว่าเราอยากมีน้องสาวซักคน” ราญ พูดต่อด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความฝัน “น้องสาวหน้าตาน่ารัก ตาโตๆ ปากนิด จมูกหน่อย แก้มใสๆ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ น้องสาวที่ชอบวิ่งมาเกาะแขนเรา ให้เราจูงมือพาไปทางโน้นทางนี้ แล้วเรียกเราว่าพี่ชาย...พี่ชาย ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ก็ยังเป็นน้องสาวเล็กๆ ไร้เดียงสาของเราตลอดไป แต่นายคงรู้ มันคงเป็นไปไม่ได้” สายตาของ ราญ สลดลงนิดหนึ่ง ปอ ยังคงนิ่งฟัง

“คนเรานะ ปอ พอโตขึ้น ความไร้เดียงสามันจะค่อยๆลดลง รอยยิ้มกับแววตามที่เคยใสซื่อ มันจะเริ่มมีอะไรเข้ามาบดบัง ยิ่งเริ่มโตความเป็นเด็กของคนเรามันก็ยิ่งหายไป จนเราเริ่มหมดหวัง ที่จะมีน้องสาวที่แสนบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนเด็กน้อย” ปอ ยังคงนิ่ง รู้สึกแปลกใจในความคิดและความรู้สึกของเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า ไม่น่าเชื่อ คนที่ตัวสูงใหญ่ดูเข้มแข็ง เป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุ ทั้งขยันเรียน เอาการเอางาน มีความรับผิดชอบ จะมีความในใจแบบนี้

“จนกระทั่งเรามาเจอ ตั้ม” ราญ พูดต่อ สายตาเริ่มทอประกายอ่อนโยน “ถีงมันจะผิดกว่าที่เราหวังไว้นิดหน่อย ฮ่าๆๆๆ นิดหน่อยเท่านั้น” ราญ หัวเราะแล้วส่ายหน้าเบาๆ ๒-๓ ครั้ง “นี่ก็นานแล้วที่เรารู้จักกับ ตั้ม ถึงจะมีบางช่วงที่รอยยิ้มของมันหายไป แต่รอยยิ้มที่ทั้งสดใส บริสุทธิ์และไร้เดียงสาของมันก็กลับมาได้ทุกครั้ง รอยยิ้มของมันไม่เคยเปลี่ยน ตั้ม ยังคงวิ่งตามเราต้อยๆ มาเกาะแขนเรา ให้เราจูงมือไปโน่นไปนี่ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ สำหรับเรา มันเป็นเหมือนน้องที่เราเคยอยากได้ ตอนนี้เรามีน้องสมใจที่เราหวังแล้ว”
“แต่ตอนนี้ มันคงเกลียดกูน่าดู” ปอ พูดเบาๆ
“เราจะบอกอะไรนายอย่างหนึ่งนะ ปอ นายตั้งใจฟังดีๆ” ราญ ตัดสินใจแล้วว่า ควรจะบอกเรื่องนี้ให้ ปอ รู้ ก่อนที่ความใจร้อนและะเจ้าอารมณ์ของ ปอ อาจจะทำให้ ตั้ม เจ็บ อีก เขาไม่อยากเห็น ตั้ม ร้องไห้แบบนั้นอีกเป็นครั้งที่ ๒

“ปอ” ราญ มองหน้า ปอ สีหน้าจริงจัง “ตั้ม น่ะ มันไม่เคยโกรธหรือเกลียดนายเลยสักครั้งนะ กระทั่งพวก ศักดิ์ ตั้ม มันก็ไม่เคยคิด ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนที่ ตั้ม มันเคยเกลียด มีอยู่คนเดียว” ราญ พูดช้าๆ อย่างชัดเจนทุกคำ
“มันคงเกลียดกูนี่แหละ” ปอ พูดเสียงเข้ม
“ปอ เราขอบอกนายอีกทีนะ ตั้ม ไม่เคยโกรธหรือเกลียดนายซักครั้ง” ราญ ย้ำ
“แล้วมันเกลียดใคร เกลียดเอ็งเหรอไง” ปอ พูดประชดออกไป
“ตั้ม มันเกลียดตัวมันเอง” ราญ มอง ปอ นิ่ง
“.............................” ปอ งุนงงกับคำพูดของราญ นึกในใจว่า .........วันนี้มันพูดอะไรของมันวะ แต่ละอย่าง........

“มึงพูดไร เกลียดตัวเอง กูไม่เข้าใจหว่ะ” ราญถอนใจ อยากจะโผล่งออกไปว่า ......เหมือนที่นายกำลังเกลียดตัวเองอยู่ตอนนี้ไง.... แต่อย่าดีกว่า เดี๋ยวเสียเรื่องหมด ปอ มันไม่ยอมรับหรอก
“ใช่ ปอ .... ตั้มมันเกลียดตัวเอง มันว่าทำไมตัวมันไม่ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น มันไม่สามารถทำให้ตัวดำๆของมันขาวขึ้นได้ มันไม่สามารถทำให้หน้าตาที่น่าเกลียดของมันดูดีขึ้นมาได้ มันไม่สามารถเปลี่ยนเสียง เและวิธีการพูดแบบเด็กๆของมันที่เพื่อนๆรำคาญได้ มันเกลียดที่มันทำตัวไม่ดี เพื่อนๆถึงเกลียดมัน”
“แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่า ตั้ม มันคิดอย่างนั้น แล้วใครไปพูดว่ามันแบบนั้น..........อ้อ กูลืมไป มึงมันพี่ชาย รู้ความคิดน้องดี” ปอ พูดแล้วเหยียดปาก ส่งสายตากวนโมโหให้ ราญ....ดูมันถามมาได้ ว่าใครพูด ลืมใช่มั๊ย เดี๋ยวจะทำให้นึกออกเอง......ราญ คิดในใจ
“เราไม่ได้รู้เองหรอกนะ ปอ แต่เราฟังมาจากปาก ตั้ม เองเลย นายอย่าเพิ่งพูดอะไร เรารู้ว่านายกำลังโกรธ แล้วพวกนายเองไม่ใช่หรือไง ที่คอยตอกย้ำ ตั้ม มันอยู่ทุกวัน เรียกว่าไอ้ดำ ไอ้อัปลักษณ์ ไอ้เหม็นเน่า ไอ้แห้ง” ราญ พูดกระแทกเสียง ปอ อึ้งไปนิดหนึ่ง .......เออ เพิ่งจะนึกได้เหรอไง ที่จริงไม่น่าลืมได้นะ เรื่องแบบนี้... ราญ รู้สึกเหมือนสะใจนิดๆ ที่เห็นสีหน้าลำบากใจของ ปอ
“เราบอกนายแล้วไง เรารัก ตั้ม มันเหมือนเป็นน้องแท้ๆของเรา แล้วเราก็รู้ว่า ตั้ม เองมันก็รักเราไม่แพ้พี่ๆสองคนของมัน แล้วเรื่องนี้มันก็พูดให้เราฟังจากปากของมันเองอย่างที่เราบอก มันยังย้ำอยู่หลายครั้งว่าอย่าบอกใคร ถ้าจะให้ดี ลืมไปเลยก็ได้ แต่เราจะไม่ลืมหรอก แล้วคิดว่านายเองก็ควรรู้ไว้ด้วย ”

............ขอโทษนะ ตั้ม ที่พี่ชายคนนี้ผิดสัญญา แต่ความลับของเราเรื่องนี้ ปอ ควรได้รู้

แล้ว ราญ ก็เริ่มเล่าให้ ปอ ฟัง ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น เมื่อภาคเรียนที่แล้ว
......... ภาคเรียนที่พวกเขายังเรียนอยู่ ม.๒
.........วันจันทร์ที่ ตั้ม กลับมาเรียน หลังจากที่หยุดเรียนไปถึง ๓ วัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2008 21:56:38 โดย บุหรง »

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาติดตามและเป็นกำลังใจให้ครับ  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


สวัสดีปี๋ใหม่เมือง

 :สงกรานต์2: :สงกรานต์3: :สงกรานต์3: :สงกรานต์3: :สงกรานต์2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๑๖ คนที่ถูกเกลียด

วันแรกที่ ตั้ม กลับมาเรียนหลังจากที่หยุดเรียนไปถึง ๓ วัน เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ผมเห็นพวก ศักดิ์ เดินเข้าไปคุยอะไรกับ ตั้ม สักอย่าง พวกผมยืนมองอยู่ห่างๆ กะระยะว่าหากมีเรื่องอะไร จะได้เข้าไปช่วยได้ทัน กร บอกพวกเรามาตั้งแต่ตอนที่สนิทกันแรกๆว่า พวกเราควรดูอยู่ห่างๆ มากกว่าการเข้าไปกีดกันพวกศักดิ์ไม่ให้เข้าใกล้ ตั้ม เพราะอาจทำให้พวก ศักดิ์ กลั่นแกล้ง ตั้ม รุนแรงกว่าเดิม ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะเท่าที่ผมเห็นก็ีมีเพียงการจับไปตามแขนขา จับกอดบ้าง จับหอมหรือหยิกตามแก้มบ้าง ซึ่งการหยอกล้อแบบนี้ดูแล้วอาจจะหนักไปสักหน่อยสำหรับความรู้สึกของ ตั้ม  แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นเจ็บเนื้อเจ็บตัวสักครั้ง มีครั้งที่ผ่านมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั่นแหละ ที่ ตั้ม เจ็บตัวจนถึงกับต้องหยุดเรียนไป

นานพอสมควร ตั้ม ก็ก้มหน้าวิ่งออกมาจากกลุ่มของศักดิ์ ที่ล้อมอยู่
“คุยอะไรกับพวกนั้น” จก ถามออกไป ตั้ม วิ่งเลยกลุ่มพวกผมไปข้างหน้า แล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมาตอบ โดยที่ไม่ได้หันกลับมามองใคร
“ไม่มีไร ไปกินข้าวกันเหอะ หิวแล้ว”
“ไม่มีอะไร แล้วทำไมคุยกันนานขนาดนั้น” ตุ่ม ถามอีก
“เรื่องไร้สาระตามเคยแหละ รู้ๆกันอยู่ ไปกินข้าวเหอะ หิวๆๆๆๆๆ เดินช้าตามเราไม่ทันนะ” พูดจบ ตั้มก็วิ่งเหยาะๆตรงไปยังโรงอาหาร ผมเห็น ตั้ม เอามือเช็ดอะไรที่ตา ......คงจะไม่ใช่น้ำตา.......ถ้าผมไม่คิดมากไปเองนะ
“ดูมัน เมื่อกี้ยังเหมือนจะสลดอยู่เลย วิ่งแผล๋วไปโน่นแล้ว เปลี่ยนอารมณ์เร็วจริง” เต่า ส่ายหน้าเหมือนกับระอาในพฤติกรรมที่แปรเปลี่ยนไปตามความแปรปรวนของอารมณ์ของตั้ม โดยไม่มีการปิดบังหรือเสแสร้ง
“ตั้ม มันไม่อยากให้พวกเราเป็นห่วงน่ะ” ผมพูดแล้วก็ออกวิ่งเหยาะๆตาม ตั้ม ไป พอวิ่งทันก็จูงมือ ตั้ม เดินไปโรงอาหาร พร้อมกับเพื่อนๆที่วิ่งตามกันมา
..........................................................

“เราอิ่มแล้ว ไปก่อนนะ” ตั้ม พูดขึ้นหลังจากที่นั่งทานข้าวราดแกงไปได้สักครู่ แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไป
“ทำไมมันอิ่มเร็วจังวะ เพิ่งกินได้ไม่กี่คำเอง” จก พูดขึ้นแล้วมองไปที่จานข้าวของ ตั้ม อย่างเสียดาย “ปูจ๋าของโปรดมันก็ไม่แตะสักคำ”
“งั้นเอ็งกินไป เสียดายนักก็” พูดจบ ราญ ก็เลื่อนจานข้าวของ ตั้ม ที่อยู่ตรงข้ามมาให้ จก ที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วก็หยิบเป้ลุกออกจากโต๊ะไปอีกคน
“อ้าว เป็นอะไรไปวะ ไม่กินอีกคนนึงแล้ว” ต่อ พูดพลางมองตาม ราญ ที่กำลังเดินออกจากโรงอาหารไป
“คนเค้าจะไปทำหน้าที่ พี่ชายที่แสนดีของน้องสาวผู้น่ารัก ปล่อยไปเหอะ” กร พูดยิ้มๆ “จก กับ ต่อ อย่าเพิ่งกินกับข้าวของ ตั้ม กับ ราญ นะ เผื่อจะกลับมากินกันต่อ” กร พูดจบก็กินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นของเขาต่อไป ทำเป็นไม่สนใจกับสายตาอาฆาตเล็กน้อยของ จก กับ ต่อ ในขณะที่ ตุ่ม กับ เต่า หันไปยิ้มให้กัน
“รอพี่ก่อนนะจ๊ะปูจ๋า ยังไงน้องหนีพี่ไม่พ้นแน่ ฮ่าๆๆ” จก พูดแล้วก็กินข้าวราดแกงในจานของตัวเองต่อไป
................................................................

ผม มองหา ตั้ม ที่เดินออกมาจากโรงอาหาร นั่นไง....เจอแล้ว ชุดนักเรียนเนื้อผ้าอย่างดีเข้ารูป ดูสะอาดสะอ้าน มองดูก็รู้ว่าตัดเย็บมาจากช่างฝีมือดี ยิ่งทำให้ร่างที่ดูค่อนข้างขาว ถึงจะไม่ขาวแบบคนเชื้อชาติจีนอย่างพวกเขา แต่ก็ยังจัดว่าขาวในแบบของคนที่มีเชื้อชาติไทยแท้ๆนั้น ชวนมองมากขึ้น รวมกับท่าเดินเหมือน เขย่ง-ก้าว-กระโดด แบบนั้นมีคนเดียว ยังคงเดินท่านี้ได้คงไม่เป็นอะไร สงสัยว่าเขาคงคิดมากไปเอง
แต่เดี๋ยวก่อน......ทางที่ ตั้ม เดินไป เป็นตึกเรียนใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างนี่นา วันนี้ไม่มีคนงานมาทำงาน แต่ ตั้ม จะไปที่นั่นทำไม ผมคิดแล้วจึงตัดสินใจเดินตามไปห่างๆ ตั้ม เดินเลี้ยวเข้าไปด้านในของตึก แล้วเดินหายเข้าไปในประตูห้องห้องหนึ่ง เสียงเดินในห้องที่ดังก้องเพราะความใหม่ของตึกเงียบลงไป ผมตัดสินใจยืนรอดูอยู่ด้านนอก เพราะไม่แต่ใจว่า ตั้ม จะโกรธหรือเปล่าถ้ารู้ว่าผมตามมา
...โกรธน่ะเหรอ....ผมคิดแล้วส่ายหน้า หัวเราะให้กับความคิดนี้ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา ผมไม่เคยเห็นตั้ม “โกรธ” ใคร หรือ อะไร จริงๆเลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่อาการ งอนๆ เท่านั้น

....ฮึก......ฮึก.......
เสียงเหมือนคนสะอื้นไห้ดังแผ่วๆ มาจากในห้อง เป็นเสียงของใครไม่ได้ นอกจาก ตั้ม ผมเดินเข้าไปในห้องทันที ภาพที่ผมเห็นทำให้ผมตกตะลึง

ตั้ม ยืนหันหลังพิงกำแพงห้องด้านที่เป็นประตู สองมือไขว้หลังไว้ ไหล่ทั้งสองข้างสั่นสะท้าน ศรีษะโคลงเบาๆ ไปตามแรงของก้อนสะอื้นที่ถูกเก็บกักไว้ในลำคอ ริมฝีปากเม้มสนิท หน้าตาแดงกล่ำ น้ำตาค่อยๆไหลรินออกจากตาทั้งสองข้าง

ผมเคยเห็นแต่คนที่ร้องไห้โฮๆ บางทีก็กรีดร้องเสียงดัง เหมือนกับจะระเบิดความเสียใจให้มันกระจายพ้นออกไปจากตัว

แต่การร้องไห้ของ ตั้ม กลับเหมือนกับการเก็บกดความทุกข์เอาไว้ในร่างกายของตน เหมือนกับความทุกข์นั้นค่อยๆถูกบดสลายไปภายในพร้อมๆกับตัวเอง

ตอนที่ผมเห็นภาพนั้น หัวใจผมเจ็บปวด ใครกัน...ใครมันบังอาจทำให้น้องที่แสนจะน่ารักของผมต้องเป็นถึงขนาดนี้...ใคร..... ถ้าผมรู้ ผมจะตะบันหน้ามันให้คว่ำ

ผมเดินเข้าไปหาตั้มช้าๆจนไปยืนอยู่ข้างหน้าตั้ม ผมค่อยๆรั้งร่างของ ตั้ม เข้ามากอดไว้กับอก แขนหนึ่งของผมโอบตัว ตั้ม ไว้ราวกับจะปกป้องให้พ้นจากอันตรายทั้งหลาย อีกมือหนึ่งผมลูบปอยผมนิ่มๆตรงท้ายทอยของ ตั้ม เบาๆ
“นิ่งซะ ตั้ม อย่าร้องไห้” ผมปลอบโยน “ใครทำให้ ตั้ม เสียใจขนาดนี้ บอกพี่ชายคนนี้มา พี่ชายจะไปคิดบัญชีกับมัน” ผมพูดเสียงแข็งด้วยความโกรธ
“.......................................”
ไม่มีเสียงตอบ นอกจากไหล่ที่ยังคงสั่นสะท้าน พร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นไห้อยู่ในลำคอ ผมรู้สึกว่าน้ำตาของ ตั้ม ที่เปียกชุ่มอยู่บนอกของผม มันไม่ใช่เพียงแค่น้ำตาที่ไหลจากตาของ ตั้ม เท่านั้น มันเหมือนมีน้ำตาที่ไหลออกจากหัวใจของผมผสมอยู่ด้วย

สักพักใหญ่ๆ ร่างที่สั่นไหวของ ตั้ม ก็ค่อยๆเงียบสงบลง จนนิ่งไปในที่สุด ตั้ม คงหยุดร้องไห้แล้ว ผมยังคงกอดน้องสุดที่รักของผมไว้ในอ้อมแขน สักพักผมจึงค่อยๆคลายวงแขนออก แล้วจับคาง ตั้ม ให้เงยหน้าขึ้น แววตาที่เศร้าสลดของน้องรัก ทำใหคนที่เป็นพี่ชายใจหายวูบ
“ไปล้างหน้าล้างตาซะก่อนนะ” ผมพูดเบาๆ
 ตั้ม พยักหน้ารับ ผมจึงจูงมือ ตั้ม พากันเดินไปยังสวนหย่อมใกล้ๆนั้น ซึ่งมีก๊อกน้ำอยู่ด้วย

หลังจากที่ ตั้ม ล้างหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาเสร็จแล้ว ผมก็พา ตั้มไปนั่งที่เก้าอี้เล็กๆใต้ต้นไม้ใกล้ๆนั้น
“บอกพี่ชายมา ใครทำอะไรน้องพี่ขนาดนี้ พี่ชายจะไปตะบันหน้ามัน” ผมเริ่มถาม
“......................................” ตั้ม ก้มหน้านิ่ง
“พวกศักดิ์ใช่มั๊ย เมื่อกี้ที่คุยกันก่อนไปกินข้าว พวกนั้นพูดอะไร ตั้ม ถึงได้เสียใจขนาดนั้น” ผมคิดว่าต้องเป็นพวกนั้นแน่ๆ
“......................................” ตั้ม ยังคงเงียบ
“พวก ศักดิ์ ใช่มั๊ย.........ต้องใช่แน่ พี่ชายจะไปถามพวกมันเอง จะตะบันหน้าพวกมันยับ” ผมลุกขึ้น ทำท่าจะเดินออกไป
“ไม่ใช่ พี่ชายอย่าไปมีเรื่องกับใครนะ ไม่ใช่พวก ศักดิ์ พี่ชายอย่าไปนะ” ตั้ม พูดด้วยสีหน้าตกใจ พร้อมกับคว้ามือผมไว้
“แล้วใคร ตั้ม ต้องบอกนะถ้าคิดว่าคนคนนี้ยังเป็นพี่ชาย ตั้ม แต่ยังไงพี่ต้องตะบันหน้ามัน พี่ยอมไม่ได้” ผมนั่งลงไปอีกครั้ง
“งั้น พี่ชายตะบันหน้า ตั้ม ที” ตั้ม พูดกับผมด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“ว่าไงนะ” ผมตกใจ “พี่ชายจะทำอย่างนั้นกับ ตั้ม ได้ยังไง”
“ก็..........” ตั้ม นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ก็คนที่ทำ ตั้ม เสียใจจนร้องไห้ ก็คือ ตั้ม เอง”
“.................................” ผมตกใจ ตั้ม คิดอะไรอยู่

“ตั้ม เองแหละที่ผิด เพราะ ตั้ม เป็นแบบนี้ พวกนั้นเขาถึงได้เกลียด ตั้ม” ตั้ม ก้มหน้าลง “เรื่องที่ตัว ตั้ม ทั้งดำ ทั้งเหม็น ผอมเป็นไอ้แห้ง หน้าตาก็น่าเกลียด เรื่องพวกนี้ ตั้ม คงแก้อะไรไม่ได้ แล้วยังท่าทาง ทั้งเสียง ทั้งการพูดจาอีก ตั้ม เป็นของ ตั้ม อย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก จะให้ ตั้ม เปลี่ยน ตั้ม ก็ทำไม่ได้อีก สมแล้วที่เพื่อนเค้าเกลียดเอา............ตั้ม ผิดเองที่แก้ไขอะไรตัวเองไม่ได้” ผมเห็น ตั้ม ตาแดงๆ เหมือนว่ากำลังพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ “ ตั้ม เกลียดตัวเองที่ทำให้เพื่อนเกลียด”


“พี่ชาย ตั้มเกลียดตัวเอง”  ตั้ม พูดเสียงแผ่ว ในขณะที่น้ำตาหยดลงสู่พื้นทรายด้านล่าง แล้วก็ค่อยๆซึมหายลงไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2008 09:45:38 โดย บุหรง »

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้เศร้าจัง  o7 o7 o7 o7 o7

เป็นกำลังใจให้นะครับ 
:L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๑๗ ผิดสัญญา

ปอ นิ่งไปเมื่อฟังเรื่องที่ ราญ เล่าจบลง สมองกำลังนึกทบทวนสิ่งที่ ราญ เล่า....ตั้ม มันพูดขนาดนั้นเชียวหรือ จากสายตาที่ ปอ มองเห็นถึงความสดใสร่าเริงของ ตั้ม ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ว่ามันจะคิดอะไรขนาดนั้น  ปอ ไม่อยากจะเชื่อ แต่ ราญ จะปั้นเรื่องหลอกเขาทำไม

“ทำไมมึงเล่าเรื่องพวกนี้ให้กูฟัง” ในที่สุด ปอ ก็ถามออกไป
“เพราะเราคิดว่านายควรรู้เรื่องพวกนี้ อย่างน้อยจะได้รู้ไว้ว่า ตั้ม มันคิดว่านายเป็นเพื่อนมาตลอด” ราญ ตอบ แล้วมองดูปฏิกิริยาของ ปอ
“แต่กูไม่อยากเป็นแค่เพื่อน กูอยากเป็นคนพิเศษสำหรับมัน” ปอ ระเบิดคำพูดออกมา แล้วมอง ราญ ด้วยสายตาที่ปนไปด้วยความอิจฉา “แบบมึง” ปอ ยังมองหน้า ราญนิ่ง
“ฮ่าๆๆ ปอ บอกมาให้ชัดๆหน่อยดีกว่า ว่าคำว่า คนพิเศษ ที่นายพูดน่ะ หมายถึงแบบไหน เราว่า คงไม่ได้หมายถึง พิเศษแบบพี่ชาย แบบที่เราเป็นหรอกนะ” ราญ มอง ปอ ยิ้มๆ ... สารภาพมาซะดีๆดีกว่า ไอ้ผู้ร้ายปากแข็ง ปากอย่างใจอย่าง... ราญ นึกในใจ
“กู... กู...” ปอ อึกอัก ก้มหน้าหลบสายตาที่มองมา ตัดสินใจไม่ถูกว่า ควรจะบอกคนตรงหน้านี้ถึงความรู้สักที่แท้จริงในใจของเขาหรือไม่ เขายังไม่แน่ใจว่า ราญ รู้สึกกับ ตั้ม เพียงแค่คำว่า ‘พี่ชาย’ เพราะสายตาของราญ เหมือนจะเยาะๆเย้ยๆเขาอย่างไรพิกล

“ไม่พูดไม่เป็นไร เอาเป็นว่าเราคิดว่าเรารู้แล้วกัน ว่านายรู้สึกยังไงกับ ตั้ม มัน เราถึงได้ยอมผิดสัญญา เล่าเรื่องนี้ให้นายฟัง”
“สัญญาอะไร” ปอ เงยหน้าขึ้นมามอง ราญ อีกครั้ง ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“สัญญาที่เราให้ ตั้ม ไว้ ว่าเราจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง นี่ถ้า ตั้ม มันรู้คงโกรธ” ราญ เว้นระยะนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ไม่สิ มันคงเสียใจมากกว่า ตั้ม มันโกรธเป็นซะที่ไหน นายว่ามั๊ย” ราญ ยิ้มอย่างอบอุ่น เมื่อนึกถึง ตั้ม

“เออ กูยอมรับ กู.......กู.....รักตั้ม” ปอ พูดออกไปเบาๆ รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงเล็กน้อยที่พูดคำนั้นออกไป เป็นเพราะคำพูดประโยคสุดท้ายของ ราญ ทำให้เขาตัดสินใจบอกความในใจที่เขาเก็บไว้มานมนาน
“ดี” ราญ ตบไหล่ ปอ เบาๆ แล้ววางไว้อย่างนั้น “จวนได้เวลาเรียนแล้ว มีอะไรไว้วันหลังค่อยคุยกัน” ราญ ปล่อยมือออกจากไหล่ของปอ แล้วพูดต่อ “อย่าให้เราเห็น ตั้ม มันร้องไห้เพราะพวกนายอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่อย่างนั้นเราคงต้องผิดสัญญากับ ตั้ม มันอีกข้อ สัญญา ที่เราบอกมันว่าเราจะไม่มีเรื่องกับใคร เราไม่อยากผิดสัญญาข้อนี้ โดยเฉพาะกับเพื่อนของ ตั้ม เพราะมันจะยิ่งทำให้ ตั้ม มันเจ็บเป็นสองเท่า”

ราญ พูดจบก็เดินออกไป ทิ้งให้ ปอ ยืนคิดทบทวนถึงเองราวในหลายวันที่ผ่านมาอยู่คนเดียว จนเสียงออดบอกเวลาเรียนดังขึ้น



ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
 :m1: :m1:รักตั้มจัง :o8:


ขอชมนะคะว่าเขียนดีมากๆเลย ชอบๆ o13 o13


มาต่อตอนต่อไปเร็วๆนะคะ  ตามอ่านอยุ่ค่ะ :m1:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๑๘ นอนไม่หลับ

เปิดเทอมแล้ว ปอ ก็ยังคงได้เจอพวกศักดิ์อยู่บ้าง ถึงแม้จะถูกแยกจากกลุ่มออกมาอยู่ห้อง ๑๒ ที่มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า ‘ห้องการงาน’ หรือที่หลายๆคนเรียกว่า ‘ห้องบ๊วย’ ส่วนใหญ่เขาก็มานั่งคุยกับ ศักดิ์ และพรรคพวกที่โต๊ะใต้ต้นไม้ ซึ่งมีอยู่หลายตัวรอบๆบริเวณสนามใหญ่ของโรงเรียน

“ไอ้ตั้ม แม่งไปหาพวกกูที่ห้องอีกแล้วเมื่อเย็นวาน” ชัย พูดขึ้นมา
“ไปหาพวกมึงเนี่ยนะ กูไม่เชื่อหรอก” ปอ หันมามองหน้าชัยด้วยความสงสัย
“อ้าว ก็พวกกูอยู่ห้องนั้นด้วย มันมาหาพวก ไอ้ราญ ทีไรก็ยิ้มให้พวกกูทุกที แบบนั้นแปลว่ามันมาหาพวกกูด้วยเหมือนกัน จริงป่ะวะ” ชัย ว่าแล้วก็หันไปพยักเพยิดกับพรรคพวกที่อยู่ห้อง ๒ ด้วยกัน
“แต่กูหมั่นไส้แม่งหว่ะ ทำเป็นระริกระรี้ หน้าบานกับไอ้พวกห้อง ๒” ศักดิ์ว่า
“นั่นดิ ถ้ากูไม่คิดว่าจะมีเรื่องกับพวกห้อง ๒ นะ กูอยากจะเข้าไปตบกระบาลมันให้คว่ำ” สมชาย เสริม
“แต่กูว่า หมู่นี้ตัวมันดูเต็มๆหว่ะ กูว่าน่าฟัด” ชัย ว่ายิ้มๆ
“ฮ่าๆๆ มึงจะเอามันทำเมียหรือไงวะ” สิทธิ์ พูด “ว่าไปน่าลองนะมึง เค้าว่ามันส์ไปอีกแบบ”
“เฮ๊ย พวกมึงคิดอะไร เอี้ยๆกันวะ” ปอ พูดดังๆ
“ถ้ามึงไม่เอาด้วยก็ไม่ต้องเว๊ย งานนี้พวกกูหาโอกาสกันเอง เป็นยังไงเดี๋ยวค่อยมาเล่าให้มึงฟังแล้วกัน ฮ่าๆๆๆๆ” ศักดิ์ พูดแล้วหันไปหัวเราะกับอีกสามคนที่เหลือ
“งานนี้กูขอผ่านหว่ะ ไม่เอากะพวกมึงด้วยหรอก แม่งพิเรนท์ขึ้นทุกวันนะพวกมึง” พูดจบ ปอ ก็เดินออกจากโต๊ะไป
.........................................................................................

.......เวรแล้วไง จากที่แกล้งมันเล่นๆ สนุกๆกัน ท่าทางจะกลายเป็นเรื่องซะแล้ว กูไม่ยอมให้พวกมึงทำแบบนั้นเด็ดขาด ไอ้ตั้ม มันต้องเป็นของกูคนเดียว.......

....ผิวเนียนๆของมึง ต้องมีแต่มือกูที่ได้สัมผัส
...ตัวหอมๆของมึงต้องมีไว้ให้กูดมได้คนเดียว
... ทั้งตา ทั้งคิ้ว ทั้งปาก ทั้งแก้ม ทุกส่วนในตัวมึงต้องเป็นของกู ใครอย่าได้มาแตะของกูเชียว

..........จะว่าไปจากที่กูเห็นไกลๆ มึงดูเนื้อเต็มๆขึ้นเหมือนที่ ไอ้ชัย มันว่าจริงๆหว่ะ เอี้ยเอ๊ยยยยยย....... ไอ้หมาตั้ม ทำไมมึงน่ารักจังวะ คิดถึงมึงแล้วกูสยิวจนนอนไม่หลับเลยหว่ะ พรุ่งนี้ก่อนนะมึง......พรุ่งนี้ก่อนกูจะไปหามึง
.........................................................................................

...โอย เสร็จซะที ทำไมงานมันเยอะแบบนี้วะ กินข้าวเสร็จยังต้องมานั่งทำต่ออีก... ปอ นึกในใจ ...เลยยังไม่ได้ไปหาไอ้ลูกหมาของกูเลย ไม่ได้ ไม่ได้ วันนี้ยังไงต้องไปให้ได้...
คิดแล้ว ปอ ก็ไปยังตึก ๗ ที่อยู่ตรงข้ามกับตึก ๓ ที่เขาอยู่ โดยมีสนามใหญ่ และ ตึก ๑ คั่นอยู่

“ไอ้ตั้ม อยู่รึเปล่า” ปอ ถามกลุ่มที่ยืนคุยกันอยู่ตรงประตูหน้าห้อง ๖ เห็นไอ้คนนั้นมองๆเข้าไปในห้องแล้วหันมาตอบ
 “ไม่อยู่ ลองไปดูห้อง ๒ สิ มันไปบ่อยๆ” ปอเห็นคนนั้นตอบพลางมอง ตัวอักษรกลุ่ม ที่ปักอยู่เหนือชื่อตรงอกเสื้อขวาด้านบนของกระเป๋าเสื้อ ซึ่งบอกให้รู้ว่าอยู่ห้องไหน
“เออ ขอบใจ” แล้ว ปอ ก็หันตัวเดินไปห้อง ๒

“ปอ ทางนี้โว๊ย มึงมานี่ได้ไงวะ” สิทธิ์ตะโกนเรียกมาจากทางหลังห้อง เมื่อ ปอ ชะโงกหน้าเข้าไป
“มาหาพวกมึงนั่นแหละ ไม่เจอพวกมึงหลายวัน มัวแต่ทำรายงาน” ปอ พูดแล้วเดินไปหากลุ่มเพื่อน ...จะให้พวกมันรู้ได้ยังไงวะ ว่ากูมาดูว่า ไอ้ตั้ม มันมาอยู่นี่รึเปล่า เสียฟอร์มตายห่าเลย...

คุยไปก็มองไปรอบๆห้อง ...พวก ราญ มันก็อยู่นี่ครบนี่หว่า แล้วมันไปไหนของมันวะ... ปอ คิด
...เอ๊ะ หรือว่ามันไปห้องสมุดวะ แหงเลยหว่ะ ทำไมเพิ่งนึกออกวะ...
“เฮ๊ย กูไปก่อนนะ เพิ่งนึกได้ มีธุระต้องทำหน่อย” พูดจบ ปอ ก็วิ่งออกจากห้องไป
“อะไรของมันวะ เพิ่งคุยกันได้นิดเดียว แล้วธุระอะไรของมันวะรีบซะขนาดนั้น” สมชาย บ่น
“มันไปตามควายมั๊ง” ศักดิ์ พูด แล้วก็หันไปหัวเราะกับเพื่อนในกลุ่ม

...ปอ มันไปตามลูกหมาน้อยของมันต่างหาก พวกนี้มันไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ ... ราญ คิด เขารู้ทันทีว่า ปอ คงมาตามหา ตั้ม เพราะ ตอนที่ ปอ คุยกับพวกศักดิ์ ตามันมองมาทางนี้เหมือนสำรวจหาอะไรอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาหันไปทาง ชัย ก็เห็น ชัย หันมายิ้มให้เขาอย่างรู้กัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2008 08:27:43 โดย บุหรง »

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาติดตาม และเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมครับ   :L2: :L2: :L2:

1+ สำหรับความรับผิดชอบ และความตั้งใจในการเขียนเรื่องครับ

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
เพิ่มอีก 1 ค่ะ o13


รักตั้มเหมือนเดิม


ขอรักราญอีกคนด้วยเน้อ :o8: :o8: :o8:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด