กดเล่นเพลงด้านล่าง อาจไม่เข้ากันแต่อยากให้ฟัง นะคะ 
ตอนที่ 21“จะไปเรียนเหรอ”
คำถามของผมไม่ได้รับคำตอบ เมลเดินผ่านหน้าผมไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามองหรือเอ่ยทักสักคำ
“เมล กินข้าวรึยัง กินก่อนไปเรียนดีมั้ย”
เป็นเช่นเดิมที่ทั้งห้องยังมีแต่ความเงียบ เมลแค่ยืนกลัดกระดุมเสื้อช็อป หน้าหล่อๆ ของมันขรึมอย่างที่ปกติไม่เคยเป็น
“ไปทำให้นะ”
“ไม่ต้อง จะมาลำบากอะไรกับกู ไม่กลับบ้านมึงไปล่ะ”
ผมไม่คุ้นกับเมลในโหมดนี้เท่าไหร่ เลยไม่มีคำตอบดีๆ กลับไปให้มัน
ถึงจะรู้ว่ากลับมาต้องเจอแบบนี้และเตรียมใจไว้แล้วระดับหนึ่ง ทว่าไม่คิดว่าจะทำให้รู้สึกแย่ขนาดนี้เลย แต่ผมทำผิดเองก็ต้องยอมรับ เมลมีสิทธิ์จะโกรธผม หรือแม้กระทั่งอยากเลิกกับผม...
ถ้าถามผมว่าในเมื่อรู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างนี้แล้วทำไมถึงทำน่ะเหรอ... บางทีในทุกการกระทำของผมก็ไม่เคยจำกัดเหตุผลไว้เลย ในอารมณ์นั้นผมแค่อยากอยู่ไกลๆ จากเมล อยากมีอิสระกับชีวิตเดิมๆ ของผม
แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าตั้งแต่มีอีกคนเข้ามาในชีวิต มันก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว และผมต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับความเอาแต่ใจของตัวเองในราคาแพงเลยทีเดียว
“รอได้มั้ย เดี๋ยวไปเรียนด้วย”
“ทำไมกูต้องรอ”
เมลจ้องผมผ่านกระจกเงาบานใหญ่ตรงหน้ามัน ไม่ได้ดูมีความสุขเหมือนทุกครั้งที่ผมอยู่ใกล้ๆ
“เราห่างๆ กันบ้างก็ดีนะ จะได้มีเวลาทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง”
ผมได้แต่รับฟังโดยที่สมองไม่ทำการประมวลผลความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นเลยสักนิด
“ออกไปแล้วก็ล็อคประตูให้ด้วย”
ประโยคฟังดูคุ้นๆ เหมือนครั้งหนึ่งผมเคยพูด ตอนพูดเองก็คิดว่าแค่ประโยคธรรมดา แต่พอเป็นคนฟัง ทำไมมันหน่วงหัวใจอย่างนี้ก็ไม่รู้!
.
.
.
“เดี๋ยวมันก็หายโกรธ คนคบกันก็ต้องมีทะเลาะกันบ้าง แล้วผู้ชายที่แท็ครูปมาให้มึงมันเป็นใคร”
ผมละสายตาจากเป็ดน้อยตรงหน้ามามองไอ้กัสที่ยืนดูดบุหรี่อยู่ใกล้ๆ มันบอกว่าวันนี้ไอ้ฟิวอนุญาตให้โดดเรียนมาอยู่เป็นเพื่อนผม
“เพื่อนเก่ากู ไม่รู้ถ่ายตอนไหน เป็นเรื่องขึ้นมาเลยเนี่ย เซ็งแม่งจริงๆ”
“ก็ถ้ามึงกลับมาตามกำหนดที่บอกกูไว้ มันจะเป็นเรื่องขึ้นมามั้ยล่ะ”
“ต่อให้กูกลับมาตามกำหนดมันก็ยังเป็นเรื่องอยู่ดีนั่นแหละ เพราะก่อนไปแม่งก็โกรธกูอยู่แล้ว”
ไอ้กัสแสยะยิ้มแล้วถามด้วยหน้าตากวนตีนว่า
“มึงทำหน้าอย่างนี้ก็เป็นด้วยเหรอวะ”
“อะไรของมึง”
ไอ้กัสหัวเราะเบาๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“ทำหน้าเหมือนว่าโลกกำลังจะแตก นี่แหนะไอ้เท็น อย่างแรกเลย มึงรู้ตัวรึยังว่าตัวเองผิด”
ผมเงียบมองเป็ดน้อยว่ายน้ำตามหลังแม่ไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบให้ไอ้กัส
“ในเมื่อผิด ก็ต้องขอโทษ ถ้าขอโทษแล้วมันยังไม่หายโกรธ ก็ต้องขอโทษต่อไป แต่ถ้ามึงคิดว่าเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว ต่างคนต่างกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง มึงก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น อยู่เฉยๆ มองไอ้เมลโดนหมาคาบไปแดก”
“...”
“ไม่เคยมีไม่ใช่รึไง คนที่มึงบอกว่าเป็นแฟนได้เต็มปากขนาดนี้น่ะ”
“...”
“คิดดีๆ นะเท็น”
“...”
“คนคบกันมันก็ต้องมีช่วงเวลาที่ไม่เข้าใจกันบ้าง กูกับแนงบางครั้งก็ยังเบื่อๆ กันเลย มีคู่ไหนบ้างที่คบกันแล้วจะหวานกันตลอดเวลาวะ มึงดูอย่างไอ้คิม เมียมันตามจิกเช้าจิกเย็น มันก็บ่นให้ฟังประจำแต่ก็ไม่เคยเลิกกับเมียมันสักทีไม่ใช่เหรอ”
“กัส”
ผมหันไปมองหน้าไอ้กัสที่ยิ้มกริ่มทำหน้าเป็นผู้เชี่ยวชาญกลับมาให้ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นอยากถีบผมตกน้ำเมื่อผมถามมันว่า
“ทำไมวันนี้มึงพูดมากจังวะ”
“เออ ไอ้ห่า เวรของกูจริงๆที่เป็นเพื่อนกับคนอย่างมึง”
“ทำโกรธไปได้สาวน้อย”
“สาวน้อยพ่องงงงงง!”
“หึหึ”
“มึง !@#$%@^#^*&$&^%#”
ผมปล่อยให้ไอ้กัสด่าต่อไปเท่าที่มันจะสามารถหาคำพูดมาด่าผมได้ ความจริงทฤษฎีเรื่องรักนี่มันก็เป๊ะนะ แต่ทำไมผมไม่เห็นมันจะเคยมีความรักดีๆ เหมือนคนอื่นเขาสักครั้งเลยวะ -_-
“แล้วจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานมั้ยนี่”
“มึงจะรู้ไปทำไม”
“เอ้า แล้วมึงจะตอบโดยไม่ตั้งคำถามไม่ได้รึไงวะ”
ผมชายตามองไอ้กัสก่อนจะลุกขึ้นปัดเศษใบไม้ใส่หน้ามัน เห็นมันโวยวายแล้วอารมณ์ผมก็ค่อยดีขึ้นหน่อย
เดินกลับมาที่คณะโดยมีไอ้กัสบ่นไปด้วยตลอดทางทำให้พอจะหายเซ็งได้บ้าง เพราะพักหลังมานี่ไอ้ฟิวไม่ค่อยเข้ามามีบทบาทในชีวิตผมเท่าไหร่ เอาจริงๆ คือขนาดไอ้กัสยังแปลกใจที่มันไม่โดนบ่นโดนว่าเหมือนกัน จนตอนนี้พวกผมชักเริ่มเป็นห่วงมันขึ้นมาแล้วเพราะผิดปกติมากเกินไป
“โฮะ ตาย ใครออกแบบทรงผมให้มึงวะไอ้เต๋อ” ผมถามขึ้นทันทีเมื่อมาถึงโต๊ะหินอ่อนหน้าตึกภาค
จะไม่ให้ถามได้ไง ก็จากผมรากไทรเกาหลีทำสีของมัน ตอนนี้แม่งหยิกไปทั้งหัว แถมชี้ไปชี้มาไม่เป็นทรงอีกต่างหาก คือ...นี่แนว? หรือเทรน ณ ปัจจุบันเหรอ? -O-;
“ตามรอยไอดอลกูเว้ย เป็นไงวะ หล่อมากเลยเหรอ อืม ความจริงกูก็พอเข้าใจในรูปโฉมของตัวเองดีน่ะนะว่าทำทรงไหนก็เกิด มึงอย่าคิดจะมาพูดให้กูเปลี่ยนทรงผมเสียให้ยาก”
“ไอดอลมึงน่ะใคร”
นึกไม่ออกเลยว่ามีดารานักร้องที่ไหนที่ทำผมทรงเดียวกับมัน คือ ต้องมาเห็นเองอ่ะ แบบ...เหนือความเข้าใจของมนุษย์มาก
“อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” ไอ้เต๋อทำหน้าเหมือนข้ารู้ ข้าเห็นใส่ผม ก่อนจะหันไปลอกโน๊ตจากชีทไอ้ฟิวต่อ
“ไม่มีใครห้ามมันเลยไงวะ” ผมถามอย่างแปลกใจ แต่ไอ้เต้กับไอ้คิมก็พร้อมกันทำหน้าละเหี่ยใจมาให้แทน
สงสัยกูได้เลิกคบมึงเพราะผมทรงนี้นี่แหละ -_-
“หน้าเหี้ยไม่พอเหรอมึง” ไอ้กัสถามขึ้นอีกคน แต่โดนไอ้เต๋อตบหัวเข้าให้มันเลยหุบปากที่กำลังจะพูดประโยคต่อไปทันที
ผมใช้ตีนเขี่ยไอ้แม็คให้ขยับพอให้มีที่นั่ง ก่อนจะนั่งลงมองพวกมันตั้งหน้าตั้งตาจดโน๊ต อาจจะเพราะใกล้ไฟนอลแล้วพวกมันถึงได้ขยันเหมือนไปอัพยามาอย่างนี้
ผมจมอยู่ในโลกของตัวเองอยู่สักพัก ไม่ได้ต่อบทสนทนากับใคร ก่อนที่ประโยคระคายหูจะดังลอยมาให้นึกอยากถือมีดไว้ในมือ
“ได้ข่าวว่าสามีขอหย่าเหรอคุณพะชอน ไม่ยอมเซ็นดีๆ ระวังโดนฟ้องหย่านะครับ หึหึ”
นอกจากทรงผมจะกวนตีนผมแล้ว คำพูดมันยังมาจี้เส้นประสาทให้ตีนกระตุกอีกต่างหาก
“พูดอีกทีกูจะบอกอีเชอร์รี่ให้อัดตูดมึง”
“ขอโทษคร้าบบบบบบ แต่ว่าก็ว่าเถอะมึง เป็นกูก็ไม่ทนอ่ะ อยู่ๆ แม่งเล่นหายหัวไป มึงไม่รู้หรอกว่าตอนที่ไอ้เมลมันวิ่งหน้าตั้งมาตามหามึงที่คอนโดกูน่ะ มันทำหน้ายังไง”
ผมมองหน้าไอ้เต๋ออย่างชั่งใจ เพราะไม่รู้ว่าต้องใช้แรงขนาดไหนที่จะทำให้หัวมันโขกกับพื้นแล้วความจำเสื่อมไปซะ
“รู้มั้ยว่าทำไมมึงไม่มีเมียเหี้ยเต๋อ”
“มึงรู้เหรอวะ?” ไอ้เต๋อถามหน้าเหวอๆ ปนงงๆ ที่จู่ๆ ผมก็พูดคนละเรื่องกับมัน
“รู้ เพราะมึงเป็นผู้ชายพูดมากอย่างนี้ไง ผู้หญิงเขาเลยไม่เอา เขากลัวมึงไปแย่งเขาพูด”
“ห้ะ!”
“อ้อ หนังหน้ามึงด้วย”
“เหี้ยยยยยยยยยยยเท็นนนนนนนนนนนนนนนนนน!!”
“กูไปละ มัดหมาด้วยไอ้กัส”
ผมลุกออกจากโต๊ะ ดูเวลาแล้วเมลคงใกล้จะเลิกเรียน ไปชวนกินข้าวสักหน่อยดีกว่า
“มึงว่าใครหมาาาาาาาาาาาาาาา” เสียงไอ้เต๋อตะโกนตามหลังมา ผมเลยหยุดชะงักแล้วหันกลับไปมองมันที่มีไอ้กัสกับไอ้คิมช่วยกันดึงแขนไว้
“ต้องให้บอกอีกเหรอออออออ หืออออ ไอ้หมาเต๋อออออออออออออออ หึหึ” ผมตะโกนตอบกลับไปแล้วยกมือขึ้นบายๆ ให้มัน
มองดูไอ้เต๋อกระฟัดกระเฟียดจนพอใจแล้วผมก็หันหลังเดินจากมา
เฮ้อ ทำไมมันหน่วงอย่างนี้วะ ผมเพิ่งรู้ว่ากลัวการเจอเมลมากขนาดนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่ผมไม่มีความมั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี ไม่ใช่ข้อสอบหรือทฤษฏีความรู้อะไรที่ผมจะใช้สมองผมแก้ปัญหามันได้
เมลน่ะ...ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น
ผมมาถึงหน้าตึกเลคเชอร์ของคณะด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่ไอ้ตอนจะทำใจกล้าเดินเข้าตึกไปนี่ก็นานอยู่เหมือนกัน ผมตั้งใจไว้ว่าจะไปดักรอมันหน้าห้องเรียนเลย แต่ความตั้งใจก็เป็นอันล่มไปเมื่อพบกับห้องเรียนที่มันร้างผู้คน
อาจารย์ปล่อยก่อนเวลาหรือว่าเขาย้ายที่เรียนกันแน่วะ? -_-
โทรหาก็ไม่รู้ว่าจะรับรึเปล่า แต่ก็ต้องลองดูนั่นล่ะถึงจะรู้ เพราะวันสองวันมานี้มันไม่ค่อยรับโทรศัพท์ผม ต้องโทรจนเกือบห้าสิบสายนั่นแหละมันถึงจะรับ
และคราวนี้กว่ามันจะรับสายได้ผมก็สร้างสถิติใหม่อีกแล้ว ห้าสิบเก้าสายเป็นตัวเลขที่น่าเอ็นดูภูธรมาก โทรแม่งตั้งแต่สิบเอ็ดโมงยันเที่ยงล่ะครับ
“อยู่ไหนเมล กินข้าวยัง”
(กำลังจะกิน โทรมาทำไมนักหนา มีธุระอะไร)
“จะชวนไปกินข้าว”
เมลเงียบไปสักพัก ผมก็รอให้มันพูด แต่ผ่านไปสามนาทีแล้วมันก็ไม่พูดอะไร
“อยู่ไหนเหรอ ไปหาได้มั้ย”
(จะมาทำไม)
“อยากเจอ”
(รำคาญว่ะเท็น กูวางนะ จะกินข้าว)
แล้วมันก็กดตัดสายทิ้งทันที ผมได้แต่ฟังเสียงสัญญาณก่อนที่มือถือจะเข้าสู่การสิ้นสุดการโทรไปเอง ผมก็แค่อยากเจอเท่านั้น ไม่ได้จะไปทำให้รำคาญเลย ทำไมต้องพูดถึงขนาดนี้ด้วยวะ
ผมยืนนิ่งอยู่สักพักก่อนมือถือจะสั่นเพราะมีข้อความเข้า เปิดอ่านก็เห็นเป็นไอ้เขตที่ส่งมา
‘อยู่โรงอาหารคณะ รีบมานะ เดี๋ยวมีเรียนต่อ’และด้วยเหตุนั้นผมจึงมาถึงโรงอาหารคณะในอีกสิบนาทีต่อมา พักเที่ยงอย่างนี้คนเต็มโรงอาหาร แถมเสียงก็โหวกเหวกโวยวาย แต่มองหาได้ไม่ยากหรอกโต๊ะของพวกเมล แค่เดินตามสายตาของผู้หญิงไปก็คงเจอ
ผมชะงักเท้าไปนิดกับผู้หญิงที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างเมล น่ารักนะ โดดเด่นกว่าทุกคนรอบข้างที่ส่งสายตามาให้มัน แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ผมแค่อยากรู้ว่ามานั่งกับเมลทำไม
“อ้าว เท็น กินไรมายังวะ” ไอ้ลินทักเสียงร่าเริงเกินปกติ
“ยัง”
“ไปซื้อมาดิ มานั่งกินด้วยกัน”
ผมกำลังจะไปซื้อข้าวตามที่ไอ้ลินบอก แต่ก็ต้องหยุดเพราะเสียงทุ้มๆ ของเมล
“ตาบอดเหรอไอ้ลิน แค่นี้ก็เบียดกันจะตายอยู่แล้ว ชวนมาอีกคนไม่ต้องเกยตักกันเลยรึไง”
“ก็ยังเหลือที่ข้างๆ ไอ้เขต มึงน่ะหุบปากไป นั่งเขี่ยข้าวมาตั้งนานละไม่รู้จักแดก ไปซื้อข้าวเถอะเท็น” ไอ้แต้มบอกพลางทำหน้าหงุดหงิด แต่เพราะผมเห็นสายตาของเมล ผมเลยเปลี่ยนใจ
“ไม่เป็นไรว่ะแต้ม กูยังไม่หิว”
“เมลคะ นี่ใครเหรอ” เสียงใสๆ ที่สอดแทรกบทสนทนาขึ้นมาทำให้ทั้งโต๊ะเงียบกริบ
ผมยังคงยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะเพราะไม่อยากไปเบียดที่นั่งกับไอ้เขต เพราะม้านั่งฝั่งมันก็มีไอ้แต้มกับไอ้ลินนั่งอยู่แล้ว คงว่างแต่ฝั่งของเมลเท่านั้นที่นั่งอยู่กับสาวหมวยอกอึ๋มแค่สองคน ไม่ปรากฎร่องรอยของไอ้มายด์แต่อย่างใด
ไม่มีคำตอบจากเมล เพราะมันคงหาคำจำกัดความมาให้ผมไม่ได้ ไอ้ลินเลยแก้สถานการณ์ให้แทน
“คนนี้ชื่อเท็นครับแพร เท็นวิดวะคอม ปีสอง”
“อ๋อ สวัสดีค่ะเท็น ชื่อแพรนะคะ พยาบาลปีสองค่ะ”
“ครับ”
สาวพยาบาลมากินข้าวไกลถึงนี่ คงต้องมีคนไปรับมาล่ะครับ แค่ดูกิริยาของฝ่ายหญิงก็รู้ว่ามากับใคร ผมไม่ต้องถามอะไรให้มากความ
“งั้นกูไปนะ มีธุระต้องไปทำ”
“เอ่อ...จะไปแล้วเหรอวะ กินข้าวก่อนดิเท็น” ไอ้เขตพูดขึ้น
“ไม่ดีกว่าว่ะ กูต้องรีบไป”
ผมเดินออกมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากตอนมามาก เหมือนมีอะไรถ่วงอยู่ในท้องชอบกล
คำว่าห่างกัน...มันหมายความว่าอย่างนี้เหรอวะเมล
.
.
.
ร้านพี่เจ๋งตอนสามทุ่มกับตอนเที่ยงคืนไม่ได้แตกต่างกันเลย ลูกค้าแม่งนั่งครบทุกโต๊ะอย่างกะนัดกันมาเช็คชื่อ ความจริงร้านนี้ตอนเปิดกิจการชื่อนั่งชิว แต่เด็กในมอเรียกติดปากว่าร้านพี่เจ๋ง หนึ่งเดือนหลังจากเปิดกิจการพี่แกเลยขึ้นป้ายใหญ่ๆ หน้าร้านว่า ‘ร้านพี่เจ๋ง’ ไปซะเลย เพราะเวลารุ่นพี่นัดรุ่นน้องไปเลี้ยงร้านนั่งชิว เด็กมักหากันไม่เจอ แต่ถ้าบอกว่าร้านพี่เจ๋ง พวกมันบอกว่าหลับตาเดินมาก็ยังถูก -_-
“ไงมึง ทำหน้าเป็นปลาน้ำจืดไปได้ ไอ้เต๋อโชว์กากอยู่ชั้นบน สนใจก็ขึ้นไป” พี่เจ๋งบอกพลางยื่นแก้วเบียร์มาให้ผม แกเป็นเจ้าของร้านนะแต่ชอบมาทำเนียนนั่งดื่มกับพวกผมอยู่เรื่อย -_-
“ไม่ว่ะพี่ เบื่อๆ”
“ทะเลาะกับแฟนไงมึง”
ผมดื่มเบียร์แบบไม่สนใจจะตอบคำถาม พี่เจ๋งเลยเปลี่ยนเรื่องไปหาน้องกัสจังของแก
“น้องกัสกูไปไหนอ่ะวันนี้”
“ไม่รู้ดิพี่ วันนี้มาไม่ได้นัดใคร”
“หน้าตาท่าทางเหมือนคนอกหัก ถ้ากูไม่เห็นกับตากูก็ไม่เชื่อนะว่าคนอย่างมึงจะมีมุมดราม่าแบบนี้”
“พูดมากว่ะพี่ ผมก็คน”
“ด่ากูซะงั้น”
พี่เจ๋งทำหน้าเอือมๆ แต่ก็นั่งดื่มเป็นเพื่อนผมต่อไป คุยเรื่องสัพเพเหระให้ฟังแต่ก็ไม่ได้เข้าหัวผมเลย เรื่องเมื่อกลางวันยังสะเทือนอารมณ์ผมอยู่ทุกขณะจิต หายใจเข้าก็เจ็บ หายใจออกก็ปวด ถุย! ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมแค่รู้สึกหน่วงๆ เหมือนยืนอยู่ดีๆ ก็มีอะไรหนักๆ ใหญ่ๆ มาชนให้วูบไป
แต่ผมรู้ว่าเรื่องนี้ต้องใจเย็น เพราะที่เป็นอย่างนี้ผมเป็นคนก่อเอง
ครืดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ผมขมวดคิ้วกับเบอร์ที่หน้าจอ ก่อนจะกดตัดสายทิ้งและบล็อคเบอร์นี้ไว้ ทั้งงานวิจัยและเงินที่ตกลงกันไว้ก็คุยกันรู้เรื่องแล้ว ผมก็ไม่มีธุระอะไรจะรับสายเพื่อนเก่าคนนี้อีก แม่งถ่ายรูปลงไอจีตอนไหนผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ก็รูปปกติล่ะนะ ไม่ได้จะกอดจูบกันถ่าย ลับหลังก็ไม่มีอะไร ผมไม่ได้ชอบผู้ชายมาโดยกำเนิดนะครับถึงจะได้มองเพศเดียวกันแล้วพิศวาสไปซะทุกคน แต่แฟนผมมันไม่ใช่คนคิดปกติไง มันเลยเป็นเรื่องเป็นราว แต่เอาเถอะ ผมก็มีส่วนผิดด้วยนั่นแหละ
ช่างมันละกัน ผ่านมาแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ต่อให้ย้อนกลับไปผมก็จะทำตามนั้นอยู่ดี ก็คนมันไม่อยากทะเลาะ ไม่อยากตอบคำถาม แล้วจะรับโทรศัพท์ให้มันโวยวายใส่ทำไมวะ -*-
สามทุ่มครึ่งไม่รู้เมลจะอยู่ไหน ผมยกเบียร์ดื่มอีกสองแก้วก่อนจะขอตัวพี่เจ๋งออกมาโทรศัพท์ ลังเลอยู่ชั่วอึดใจ นิ้วก็กดโทรหามันไปแล้ว แต่คราวนี้แปลกที่มันรับสายไว
(แบ็ตจะหมด รีบๆ พูด)
อ้อ อย่างนี้เอง แต่มันก็ทำให้ผมแน่ใจนะว่า ถึงมันจะปล่อยให้ผมกระหน่ำโทรหายังไงสุดท้ายมันก็จะรับสาย
“ชาร์ตสิ ไม่ได้อยู่ห้องเหรอ”
(อยู่ห้อง)
“กับใคร สาวพยาบาลคนนั้นรึเปล่า”
(หาเรื่องรึไง)
“อย่าเพิ่งหงุดหงิดเลยน่า ไปชาร์ตแบ็ตเร็ว”
(ขี้เกียจ)
“เร็วๆ เมล อยากคุยด้วย”
(แต่กูไม่อยากคุย)
“งั้นเดี๋ยวไปหา”
(ไม่ต้องมา)
“อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน”
(พูดไม่รู้เรื่อง)
“ก็คิดถึง อยากอยู่ด้วย ไม่ได้รึไง”
เมลไม่ตอบในทันที มันปล่อยให้ผมรออยู่สักพัก ก่อนจะพูดกลับมาด้วยเสียงนิ่งๆ ว่า
(ถ้าเมาก็ไม่ต้องมาหากู)
“จ่ะ ไม่เมาแน่นอน”
ผมรีบเดินไปที่ลานจอดรถ ในระหว่างนั้นก็โทรหาไอ้เต๋อเพราะถ้าไปแบบไม่บอกใครเดี๋ยวไอ้พี่เจ๋งจะหาว่าผมชักดาบ เสียเครดิตเปล่าๆ
“เออ เหี้ยเต๋อ มึงแทงสนุ๊กอยู่ใช่มั้ย”
(ใช่ อยู่ร้านพี่เจ๋ง ทำไมวะ มึงจะมาเหรอ)
“กูต้องไปทำธุระ มึงจ่ายค่าเบียร์ให้กูด้วยนะ ร้านพี่เจ๋งนั่นแหละ สองทาว แล้วไปเอาเงินที่ไอ้กัส”
(อ้าว เหี้ยเท็น แดกกูก็ไม่ได้แดก)
“เออน่ะ แล้วเดี๋ยวกูบอกไอ้ตะนอยขอเบอร์น้องแจมให้”
(งั้นก็จัดไปครับเพื่อน จุ๊บๆ)
“จุ๊บพ่องงงง!”
จัดการค่าเบียร์เสร็จก็มาจัดการปัญหาชีวิตตัวเองต่อ ผมมาถึงคอนโดของเมลก็เกือบห้าทุ่มแล้ว คือครึ่งชั่วโมงที่บอกมันไว้ก็เลทมาอีกหนึ่งชั่วโมงเต็ม ผมไม่ได้เถลไถลที่ไหนเลยนะ เพราะมีอุบัติเหตุรถแท็กซี่ชนรั้วกั้นทางด่วนนั่นแหละ มันถึงได้ติดกันเป็นพรืดตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถวเลยจริงๆ
ผมเปิดประตูเข้าไปด้วยคีย์การ์ดอีกใบที่เมลให้ไว้ ห้องชั้นล่างมืดสนิท ผมเดินเบาๆ ขึ้นไปชั้นบน ได้ยินเสียงทีวีดังลอดมาจากในห้องนอน และพอเปิดประตูเข้าไปก็เจอเมลนอนดูทีวีอยู่ที่เตียง มันหันมาสนใจผมแค่ไม่กี่วินาทีก็หันกลับไปดูทีวีต่อ
“อาบน้ำรึยัง”
คำถามของผมทำให้เมลยกรีโมทขึ้นมาเพิ่มเสียงทีวีให้ดังขึ้น
“คุยกันหน่อยได้ไหม”
เสียงจากในทีวีกลบเสียงของผมไปจนหมด
“เมล”
เมื่อเห็นความนิ่งเงียบจากคนตรงหน้า กับสายตาที่จ้องเขม็งอยู่ที่หน้าจอทีวี ผมก็จำใจยอมแพ้ เดินออกจากห้องมาแล้วปิดประตูเบาๆ
คงต้องใช้เวลาสักหน่อยล่ะมั้ง...กับเรื่องแบบนี้ แต่พูดจริงๆ นะ
หายใจไม่ออกเลยกับความเย็นชาของมัน...
...........................................To be continue...........................................
อืมมม เคยรึเปล่าคะ ที่เรื่องบางเรื่อง คำขอโทษก็คงไม่พอ 
ขอบคุณทุกๆ กำลังใจ ขอบคุณๆ ทุกๆ การติดตาม ต่อให้เรื่องจะดำเนินไปในทิศทางไหน ก็อย่าลังเลใจที่จะเข้ามาอ่านเลยนะคะ
ฟังเพลงที่คุณ sukie_moo ให้ลิ้งไว้แล้วรู้สึกหน่วงจังเลยค่ะ
http://www.youtube.com/v/BtgdWlhPKOA