ตอนที่ 29แต่ไหนแต่ไรผมเป็นคนประเภทที่ปากฉีกยิ้มแต่ดวงตาไม่เคยยิ้มตาม ไอ้เต๋อเลยชอบกัดผมบ่อยๆ ว่ายิ้มเหมือนตัวโกงในละคร น้องสาวไอ้เต้เคยร้องไห้เวลาโดนผมจ้องหน้า ทีนี้เวลาน้องสาวมันดื้อก็เลยได้ทีเอาชื่อผมไปขู่ น้องเตยน่ะอยู่มัธยมกูพอเข้าใจ แต่ไอ้พวกตัวเท่าควายวัยมหาลัยที่นั่งเบียดชิดกันบนโซฟาตรงข้ามกับผมนี่มันหมายความว่าไงวะ??
ปึก!
แค่ผมวางแก้วลงบนโต๊ะ ไอ้พวกบ้านั่นก็สะดุ้งกันทั้งฝูง แม้แต่ไอ้เต๋อก็ไม่รู้ว่าผีตัวไหนไปอุดปากมันไว้ มันถึงไม่ปากมากเหมือนทุกที
“เหี้ยเต้”
“คะ..ครับท่านครับ”
ผมคิดนะว่าอีกนิด ไอ้ห่าเต้จะก้มลงกราบผมละ -_-
“เหล้าหมด เดินไปบอกพี่เจ๋งไป แล้วนี่พวกมึงเป็นห่าอะไรกัน”
“ปล๊าวววววววววววววว!”
พร้อมใจตอบกันจริงๆ
“พอแล้วเมล มึงจะแดกให้ตายไปเลยไง” ผมเบือนสายตามามองคนข้างๆ ที่ตั้งแต่เข้าร้านมาก็นั่งกรอกเหล้าเข้าปากอย่างเดียว
“เรื่องของกู”
“มึงอยากทะเลาะกันอีกใช่ไหม”
เมลไม่ตอบคำถาม มันยอมวางแก้วลง ก่อนจะเอาหัวเกรียนๆ มาไถกับไหล่ของผม ผมปรายตามองเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ผลักออก
“เอ้อ...ตกลงมึงจะบอกพวกกูได้ยังวะว่ามึงได้ผมทรงนี้มาได้อย่างไร?” ไอ้เต๋อที่ดูเหมือนจะถูกคนอื่นๆ แต่งตั้งให้เป็นหน่วยกล้าตายถามขึ้น
ผมมองไล่ตั้งแต่ ไอ้คิม ไอ้เต้ ไอ้เขต ไอ้แต้ม ไอ้ลิน ก่อนจะหยุดสายตาลงที่ไอ้เต๋อที่ได้แต่ส่งยิ้มแหยมาให้ผม ไอ้หน้าหล่อผมทรงสกินเฮดที่นั่งข้างๆ ตอนนี้แม่งเริ่มทำตัวเป็นโรงกลั่นเหล้าอีกละ
“ถามไอ้เท็นดูสิวะว่ามันทำไรกับผมกู” เมลตอบเสียงเข้ม พลางมือขาวๆ ก็ลูบท้ายทอยตัวเอง
เออ ถ้ากูรู้ว่ามึงตัดสกินเฮดแล้วจะหล่อน่าจับทำผัวขนาดนี้ กูไม่ก่อเรื่องให้มึงต้องตัดหรอกเว้ย จากผมทรงเดิมที่ทำเอาหญิงแท้หญิงเทียมหลงกันหัวปักหัวปำแล้ว มาเจอผมทรงนี้กูว่าได้มีคลั่งตายกันไปข้าง ดีหน่อยที่มันคิ้วแตกแก้มช้ำอยู่ แต่ถึงยังไงก็ดร็อปออร่าของมันลงไม่มากหรอกวะ
“อะ...เอ่อ...รวมแผลที่หน้ามึงด้วยป่ะ”
เมลไม่ตอบแต่พวกไอ้เต๋อก็ทำหน้าเหมือนได้รับคำตอบแล้ว
“เกิดไรขึ้นวะ พวกมึงทะเลาะกันถึงขั้นลงมือลงไม้เลยเหรอ” ไอ้แต้มถามพร้อมกับทำหน้าไม่เชื่อ
แต่ความจริงก็ยังเป็นความจริง ผมนั่งจิบเบียร์เงียบๆ ต่อไป หวนนึกถึงเรื่องเมื่อเย็นวานแล้วยังเหมือนมีไฟมาสุมอยู่ในอก
ต้นเหตุมันเกิดจาก...เสียงโทรศัพท์ที่ดังตอนตีห้าของเมื่อสามวันก่อน
ผมยังงัวเงียอยู่มากตอนนั้น แต่ที่ตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังลั่นห้อง เมลเป็นคนรับสาย ผมเลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่ที่ต้องกลับมาสนใจก็หลังจากที่เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วเมลก็ยังไม่วางสาย มันพูดคุยด้วยหน้าตาเคร่งเครียด พูดแค่ไม่กี่คำและเงียบฟังซะเป็นส่วนใหญ่
ผมแปลกใจแต่ก็ไม่อยากถามอะไรเพราะพอเมลวางสายก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนว่ามันไม่ได้คุยธุระสำคัญ ทั้งที่จริงๆ แล้ว หลังจากนั้นมันก็เหม่อลอยบ่อยๆ ถ้าระหว่างเราปราศจากบทสนทนา เมลก็จะจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ทั้งๆ แบบนั้นผมก็ยังไม่ถามอะไรมัน
ที่ไม่ถามเพราะผมไม่อยากก้าวก่าย ผมเคารพในการใช้ชีวิตของมันจนทำให้เป็นข้อกล่าวหาทีหลังว่าผม ‘ไม่ใส่ใจ’
“เย็นนี้กูกลับบ้านนะ” เมลบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนไม่มีอะไรใช่ไหมล่ะ แต่ผมรู้ว่ามันไม่ปกติ เพราะตอนบอกมันไม่มองหน้าผมเลย
“อืม งั้นกูกลับไปนอนบ้านละกัน”
“ครับ ไว้พรุ่งนี้กลับมาแล้วจะไปหา”
“อือ”
“คงดึกหน่อยนะ รอได้ใช่มั้ย”
“ได้น่า ไอ้ฟิวไอ้มายด์ก็อยู่”
“ดูแลตัวเองนะ”
“คร้าบบบบ”
ตอนนั้นผมรู้แล้วล่ะว่ามันผิดสังเกต มันแปลก ถึงเมลจะทำตัวปกติ แต่ผมรู้สึกได้ว่ามันแปลกไป
และผมก็ไม่ได้คิดผิด เมลกลับบ้านไปเย็นวันนั้น ก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย วันที่มันบอกจะมาหาก็ไม่ได้มาอย่างที่พูดไว้ ผมโทรไปก็ปิดเครื่อง ไอ้มายด์ก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไรมาก แค่บอกว่าทางบ้านของเมลเข้มงวดมาก แต่เพราะมันไม่ขยายความว่าเข้มงวดยังไง ผมเลยตีความอะไรมากไม่ได้
เลยได้แต่รอ...
อีกวันที่ยังคงไร้การติดต่อ ผมไม่ได้ทุรนทุรายหรือกระวนกระวายอะไร ผมห่วง แต่ไม่ได้ตื่นตูมคิดไปไกลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมัน ผมไม่ใช่คนมีเหตุผลเท่าไหร่ ว่ากันตามจริงผมใช้ชีวิตตามสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกมากกว่า และอะไรที่ทำไปแล้วไม่เกิดประโยชน์กับชีวิตผมก็จะเลี่ยงไม่ทำ
โลกนี้มีความบังเอิญซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด ผมแน่ใจว่าถ้าเมื่อวานไม่ตกลงรับปากจะไปกินข้าวกับไอ้ลินไอ้กัสล่ะก็ เรื่องก็คงไม่เกิด
พวกผมนัดกันที่ภัตตาคารของปู่ไอ้คิมโดยเลือกสาขาที่ใกล้บ้านไอ้กัสที่สุด เนื่องด้วยตอนนี้ไอ้กัสถูกกักบริเวณเลยออกไปแรดไกลไม่ได้
“เออไอ้ลิน เมื่อกี้มึงเดินไปห้องน้ำ มึงเห็นไอ้เมล...” ไอ้กัสพูดยังไม่ทันจบหน้าตาแม่งก็เหยเกเหมือนโดนใครเหยียบตีน
“เท็น อิ่มยังวะมึง เดี๋ยวไปแดกไอติมต่อ” ไอ้ลินถามผมด้วยหน้าตาแปลกพิกล แต่ปกติไอ้ห่านี่ก็น่าตาแปลกๆ อยู่แล้วน่ะนะ ตอนนั้นผมเลยไม่สะกิดใจเท่าไหร่
“เออ พวกมึงเช็คบิลด้วยละกัน กูไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“เฮ้ย! อย่าไปเลย ไปเข้าที่ห้างก็ได้ ถามไอ้กัสดู กูไปเมื่อกี้คนเยอะ”
ผมฟังคำว่าคนเยอะของไอ้ลินแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว คือ กวาดตามองทั้งชั้นที่กูนั่งเนี่ยก็มีแค่ไม่กี่โต๊ะที่ยังนั่งแดกกันอยู่ เอาง่ายๆ คือราคาระดับนี้ไม่ค่อยมีใครเลือกแดกเป็นอาหารกลางวันหรอกครับ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมื้อใหญ่ตอนเย็นโน่น
“จริงๆ ไปเถอะน่า เร็วๆ เดี๋ยวกัสต้องกลับบ้านก่อนห้าโมงเย็นนะมึง”
“รู้เวลาขนาดนี้มึงตามจีบไอ้กัสมันรึไง”
ผมก็แค่พูดไปงั้นแต่ไอ้ห่าลินเสือกเงียบรับ
“อย่าทำให้โลกที่กูอยู่มันเอียงไปมากกว่านี้เลยว่ะ ไม่เม้กเซ้น”
ในจังหวะที่ไอ้ลินกำลังใบ้แดกและไอ้กัสก็ตั้งหน้าตั้งตากินมากเป็นพิเศษนั้น ผมก็แยกตัวออกมาเพื่อไปเข้าห้องน้ำ
ผมเคยบอกไปแล้วว่าโลกนี้มีความบังเอิญมากจนเกินไป บางทีก็เกิดขึ้นบ่อยจนน่ากลัว แต่ครั้งนี้มันทำเอาผมลืมไปเลยว่าตั้งใจจะเดินไปที่ไหน
ภาพของชายหญิงคู่หนึ่งจากโต๊ะมุมติดกระจก วิวดีเยี่ยมด้วยความสูงของชั้นที่ห้า และความหล่อความสวยของคนทั้งคู่ก็ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องหันกลับมามองความเหมาะสมนี้อีกครั้ง
เหมาะสม...จนผมก็ไม่อาจปฏิเสธได้
ป๋าบอกผมว่าผมไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าผู้ชายถูกสร้างมาให้คู่กับผู้หญิง ...ตอนนั้นผมเถียง เพราะผมมั่นใจว่าความรักนั้นไร้กฎเกณฑ์ แต่ต่อหน้าความเหมาะสมนี้แล้ว...ผมก็ชักไม่แน่ใจ
“ไง” ผมเลือกที่จะเข้าไปทัก แค่อยากรู้ว่า...คนรักของผมเขาจะทักตอบกลับมาว่ายังไง
“เท็น”
ผมไม่สนใจสีหน้าของเมล หันไปมองผู้หญิงสวยเรียบร้อยที่นั่งอยู่ตรงข้ามมันก่อนจะฉีกยิ้มเป็นมารยาทออกไป
“อร่อยไหมครับ...ว่าแต่คุณ?”
“พริมค่ะ”
“หน้าคุ้นๆ นะครับ”
“พริมเป็นฝาแฝดของแพรค่ะ... เท็นใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ อ่า...แพรที่เรียนพยาบาล?”
“ใช่ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะเท็น พริมอยู่แพทย์ปีสองค่ะ แพรบอกว่าเท็นเป็นเพื่อนสนิทของเมลจริงรึเปล่าคะ”
“เพื่อน? เหรอครับ”
“ค่ะ แพรบอกอย่างนั้น ยังไงฝากตัวด้วยนะคะ”
ผมสังเกตเห็นว่าพริมมองผมแปลกๆ แต่นั่นไม่ได้สะเทือนอะไรชีวิตผมหรอกครับ ผมเลิกคิ้วก่อนจะมองหน้าเมลแล้วขอตัวออกมา
ผมโกรธนะ แต่ไม่อยากทำอะไรที่เป็นการไม่ให้เกียรติเมล
ทุกอย่างมันมีเหตุผลผมเชื่ออย่างนั้น และในทุกๆ การกระทำมันก็ต้องมีที่มาที่ไป
จะให้ผมเชื่อว่าคนที่บอกรักผมทุกวัน นอนกอดกับผมทุกวันเขาเปลี่ยนใจไปจากผมเพื่อไปหาผู้หญิงหน้าจืดคนนั้นน่ะเหรอ ใครจะเชื่อลงวะ?
ตัวแปรไม่ได้อยู่ที่ผม แต่อยู่ที่หลังจากมันกลับบ้านแล้วเกิดเหี้ยอะไรขึ้นต่างหาก
ผมเข้าห้องน้ำแล้วกลับมาที่โต๊ะ ไอ้ลินเหมือนจะได้สติแล้วว่าผมไปไหนมา มันเหลือบตามองผมบ่อยๆ อ้าปากทุกครั้งราวกับจะตั้งคำถาม แต่พอผมหันไปเลิกคิ้วให้มันก็เบือนหน้าหนีทุกที
ก่อนกลับผมเขียนข้อความฝากไปถึงไอ้เหี้ยเมลที่นั่งอี๋อ๋ออยู่กับยัยหน้าจืดนั่นด้วย ในเมื่อติดต่อมือถือไม่ได้ ใช้วิธีนี้ก็ไม่เลว และผมรู้ว่ามันได้ผลเพราะพอเมลเห็นข้อความมันก็หน้าซีดทันที
‘ถ้าอีกครึ่งชั่วโมงกูไม่เจอมึงที่คอนโด...มึงจะไม่ได้เจอกูอีกเลย’
มันคบกับผมมามันก็ย่อมรู้ว่าผมไม่เคยล้อเล่น -_-
.
.
.
“มึงสายหนึ่งนาที!” ผมเลิกคิ้วมองไอ้หล่อที่ยังคงหอบแฮ่กอยู่ตรงหน้า มันจับสีข้างตัวเองก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟาอย่างหมดสภาพ
“นาฬิกามึงเร็วไปป่ะวะ ของกูยังเหลืออีกสี่นาที”
“หน้ากูตอนนี้ให้มึงพูดตลกได้ไง”
“โอเคๆ ใจเย็นๆ ครับที่รัก”
ผมให้เวลาเมลได้พัก ก่อนจะเข้าประเด็นที่ต้องเคลียร์
“มันเป็นใคร”
“ชื่อพริม”
“กูรู้ว่าชื่อพริม แต่กูอยากรู้ว่าสำหรับมึง มันเป็นใคร”
เมลหลบตาผม นั่นทำให้ประสาทโต้กลับอัตโนมัติเริ่มทำงาน
ปึก!
“เท็น”
ผมไม่ใช่ประเภทชอบใช้กำลัง ไม่ใช่ประเภทที่ไม่ยอมฟังอะไรเลย แต่ผมเป็นประเภทที่ถ้าถามแล้วไม่ได้คำตอบจะทำให้ยิ่งโมโหจนคุมตัวเองไม่อยู่ แถมยังมีความหงุดหงิดเป็นทุนเดิม บอกตามตรง ตอนนี้กูอยากบวกแม่ง!!!
“กูถามว่ามันเป็นใคร”
“ลูกเพื่อนแม่”
“ลูกเพื่อนแม่แล้วมาเกี่ยวเหี้ยอะไรกับมึง”
เมลยังคงไม่มองผม มันถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อไปว่า
“แม่ให้กูพาเขามาทานข้าว”
“ปัญญาอ่อนเหรอ แดกข้าวเองไม่ได้ไงวะ ต้องให้คนมาพาไปแดกข้าว”
“เท็น ใจเย็นๆ น่า”
“กูอาจไม่เคยบอก แต่มึงก็น่าจะรู้ว่ากูเป็นคนแบบไหน ไม่ติดต่อมากูไม่ว่า แต่มึงเล่นโผล่มาพร้อมผู้หญิง มึงคิดว่ามึงสมควรจะโดนอะไร!”
ปึก!
ผมถีบมันไปอีกที แต่เมลก็ไม่ตอบโต้ มันทำหน้าสำนึกผิด ก่อนจะรวบแข้งผมไว้แล้วลูบเบาๆ
“มึงตอบกูมาให้ตรงประเด็นนะเมล กูจะถามอีกที”
“....”
“มันเป็นใคร”
เมลเงียบอยู่นาน มันถอนหายใจออกมาก่อนจะตอบว่า
“ว่าที่คู่หมั้น”
เสียงเบาๆ ของเมลทำให้ผมแสยะยิ้ม เข้าอีหรอบนี้เหมือนกูคิดไว้เด้ะ
“โฮะ ตาย แฟนกูกำลังจะหมั้น”
“เท็นเท็น”
“เรียกชื่อกูทำไม กลัวจำไม่ได้ตอนพิมพ์การ์ดแจกรึไงวะ”
“ใจเย็นๆ ก่อน”
“ให้กูใจเย็นแล้วเห็นมึงโดนหมาคาบไปแดกรึไง ปล่อย ไม่ต้องมาจับกู”
ผมดีดตัวออกห่างจากเมล แต่มันก็เข้ามารวบตัวผมไปกอดไว้ ตอนนี้ผมโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ไม่รอตอนพวกมึงหมั้นกันแล้วค่อยมาบอกกูล่ะวะ ไอ้สัด!
เพียะ!
มือข้างหนึ่งของผมฟาดไปโดนแก้มของเมลเข้า แต่มันก็ไม่ยอมปล่อย
“ทำมากกว่านี้ก็ได้ แต่เท็นใจเย็นๆ ก่อนได้ไหม”
“ต่อให้กูใจเย็น มึงก็สมควรโดนไอ้เหี้ย เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมมึงไม่บอก กะจะบอกวันที่กูไปยืนหน้างานมึงเลยรึไงวะ! ปล่อยกูไอ้ห่าเมล!”
ผลัวะ!
“เท็น!”
เพราะเมลเสียงแข็งขึ้นมา ผมเลยหยุดทำร้ายร่างกายมัน ผมเป็นคนมือหนัก เพราะฉะนั้นตอนนี้คิ้วของเมลเลยแตกจนเลือดไหลซึมออกมาแล้ว
“เอาให้พอใจมึงเลย หยุดทำไม ไม่คิดจะฟังกันแล้วนี่”
“ตอนที่กูถามแล้วทำไมไม่ตอบกูมาตรงๆ ตั้งแต่แรก มึงทำให้กูโมโหเองนะ ปล่อยได้แล้ว จะไปหายามาให้”
สุดท้ายก็ต้องหายามาใส่ให้มัน นี่ถือว่ากูยังเมตตามึงอยู่หรอก ไม่งั้นปากมึงได้แตกอีกที่แน่ -*-
“โอ้ย ต้องเย็บป่ะเนี่ย แตกเยอะป่าววะ”
ผมไม่ตอบ เก็บอุปกรณ์ทำแผลเสร็จก็ปล่อยให้เมลโอดครวญตามเรื่องตามราวของมันไป ผมนั่งพิงหลังกับโซฟา จมลงไปในความคิดของตัวเองที่ตอนนี้หมุนวนแต่เรื่องคู่หมั้นของเมล
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมในการปฏิเสธที่จะหมั้นกับใครสักคน ป๋ากับแม่เคารพในการตัดสินใจของผมเสมอ แต่สำหรับเมลผมไม่รู้ ถ้ามันยอมทำตามทางบ้าน...แล้วผมล่ะ...จะทำยังไงต่อไป ผมอาจจะแค่อกหัก อาจจะแค่เสียใจไปอีกสองสามปี แต่นั่นใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นจริงอย่างนั้นไหม ผมอาจจะรักใครอีกไม่ได้ไปตลอดชีวิตก็เป็นได้
ผมไม่เคยคิดว่าการคบกันของเราสองคนจะมีอุปสรรคมากมายอย่างนี้ ผมอาจจะเห็นไม่ชัดเจนเพราะป๋าไม่ได้ต่อต้านอย่างออกนอกหน้า ยังอยู่ในขอบเขตที่ผมรับมือได้ แต่พ่อกับแม่ของเมล ผมไม่รู้จักพวกท่านเลย ไม่รู้ว่าพวกท่านมีทัศนคติแบบไหนเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ชายรักกัน ตามตรรกะทั่วไปก็คงจะรับไม่ได้อยู่แล้ว...
ผมจนมุมนะ...เอาจริงๆ ก็ไม่รู้จะทำยังไง แค่คิดภาพว่าตลอดชีวิตของมันจะไม่ใช่ผมอยู่เคียงข้าง ผมก็หายใจแทบไม่ออก ทุกอย่างที่มันทำให้ ทุกความอ่อนโยนที่ผมเคยได้รับ กลับต้องเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่จะได้รับแทน แบบนั้นให้ผมความจำเสื่อมจำมันไม่ได้ไปซะดีกว่าที่จะต้องตกนรกทั้งเป็นแบบนั้น
“ที่ไม่บอกเพราะไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้ไง ขอโทษนะ” ความอบอุ่นจากทางด้านหลังที่สัมผัสได้ทำให้ผมหลับตาลงช้าๆ แค่อ้อมแขนของเมลเท่านั้นที่ผมรู้สึกว่าปลอดภัยและวางใจได้
“กูจัดการได้น่า ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วกูจะดูแลมึงไปตลอดชีวิตได้ยังไง”
“....”
“ยิ้มหน่อยนะครับ เดี๋ยวเย็นนี้พาไปกินกระเพาะปลาดีมั้ย”
“ไม่กิน”
“แล้วจะกินไร หืมมมม ร้านไหนดี”
ผมเอียงหน้าเข้าหาริมฝีปากที่เบียดอยู่ตรงแก้มเล็กน้อย ก่อนจะลูบต้นคอของเมลเล่น
“เอาร้านแพงกว่าที่มึงพาผู้หญิงคนนั้นไปกิน”
“หึหึ ได้สิครับ ดูๆ หน้าบึ้งอีกละ”
“กูหวง” ผมกอดรอบคอเมลให้แน่นยิ่งขึ้นไปอีก “ไม่อยากให้ใครมายุ่ง”
“งอแงตลอด”
“ก็แค่กับมึง”
“กูโชคดีใช่มั้ย”
“โชคดีมั้ยไม่รู้ แต่ในโลกนี้มีแค่มึงเท่านั้นที่ได้เห็น”
“รักเลยแบบนี้ ^^”
“บอกไม่รักสิ มึงได้คิ้วแตกอีกข้าง”
“เหอๆ”
ผมกลั้นยิ้มไว้ นานๆ ทีจะได้เห็นเมลทำหน้าเกรงผมแบบนี้ ฮ่าๆๆ
ส่วนเรื่องที่มาของทรงผมที่เปลี่ยนเป็นสกินเฮดของเมลก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แค่ตอนไปกินข้าวกันเย็นวันนั้นผมกับมันบังเอิญไปเจอครอบครัวของคนที่(แอบอ้างว่า) เป็นว่าที่คู่หมั้นมัน มาทั้งแฝดพี่แฝดน้อง แรดพอกัน กูบอกไม่ถูกเลยว่าคนไหนแรดกว่า เอาจริงๆ แฝดพี่เหมือนเรียบร้อย อารมณ์ประมาณกูเรียนแพทย์ กูเทพ กูเก่ง เจ๋งสาดอะไรประมาณนั้นเลยดูเชิดๆ หยิ่งๆ หน่อย ส่วนคนน้องมาแนวใสๆ แอ๊บหน้าเป็นเพื่อนเหมือนที่นางทำมาตั้งแต่ครั้งกระโน้น แต่เชื่อเถอะ ดูจากท่าทางการอ่อยแล้วแม่งอยากเลื่อนจากเพื่อนขึ้นมาเป็นเมีย
แล้วด้วยสันดานที่ไม่คิดไม่ถึงว่ากำลังโดนผู้หญิงลวนลาม มันเลยปล่อยให้ผู้หญิงเขาแตะเนื้อต้องตัวไปทั่ว แต่ภาพที่บาดใจกูมากที่สุดคือแม่งยืนระริกระรี้หัวเราะกัน มีจับมือปัดผมเหมือนเป็นแฟนกันปานฉะนั้นทั้งๆ ที่กูนั่งแทงสเต็กจานแทบแตกอยู่ตรงนี้ -_-
ผมไม่ได้เข้าไปเหวี่ยงอะไรเขา แค่เดินเข้าไปตัดกลางแล้วลากมือคนของผมให้เดินตามก็แค่นั้น แล้วพอกลับถึงห้องผมก็แค่เดินไปหยิบกรรไกรออกมา เมลก้าวถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว มันคงคิดว่านิยายเรื่องนี้จะกลายเป็นนิยายฆาตกรรมไปซะแล้ว
“เท็น กูรู้ว่ามึงโกรธ แต่มันก็ตามตรรกะทั่วไป เขาดีมาเราก็ดีตอบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาชอบกูกูจะชอบเขาซะหน่อย ใจเย็นๆ ก่อนนะ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กูต้องให้คนอื่นมาบอกให้ใจเย็นๆ กูใจเย็นพอนะเมล ขยับมานี่!”
“จะทำไร”
“กูไม่เอามาแทงคอมึงหรอก”
เมลทำหน้าไม่เชื่อ แต่ก็ยอมขยับเข้ามาใกล้ผมอีกก้าวหนึ่ง
“จะใช้แทงได้ยังไง มันไม่คม”
“เท็นเท็น!”
“กูบอกให้ขยับมา!”
“มึงจะทำไร”
ผมดึงแขนของเมลให้ขยับเข้ามาใกล้พอที่ผมจะจัดการอะไรได้สะดวก
ชับบบบบบ!
“เท็นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!! ตัดผมกูทำไม”
“มันจับมึงตรงไหนอีก”
“โอ้ยยยย กูจะบ้า! ห้ามตัดดดดด”
ชับๆๆๆๆ
“เท็น! ไม่หยุด กูโกรธนะ”
“ตอนนี้กูโกรธมากกว่า หรือมึงจะไฟว์กับกู จะเอารึไง”
เมลเงียบไปเพียงครู่ แต่พอผมจะตัดอีกมันก็จับมือผมไว้
“พอแล้วน่าที่รัก นะครับ”
“ไม่ตัดแขนมึงด้วยก็บุญเท่าไหร่แล้ว อย่าไปให้มันจับอีกนะ”
“ทำไมคนนี้มึงตั้งท่ารังเกียจเขาจังเลยวะ”
“เพราะมันเล่นเข้าทางแม่มึงนี่”
“เออนะ ซวยกูอีก มีเรื่องทีไรลงที่กูตลอด”
“ก็ต้องลงที่คนของตัวเองสิวะ กูถือคติว่าก่อนจะโทษคนอื่น ต้องโทษตัวเองก่อน แต่บังเอิญกูเกิดมาพร้อมเครื่องหมายถูก ฉะนั้นถ้ามีเรื่องอะไรมึงนั่นแหละผิด ไม่ทำตัวดีๆ ล่ะก็มึงเจอกูแน่เมล”
“ดุยิ่งกว่าไอ้เจคอีกนะมึง” เมลบ่นพึมพำ ผมเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“พูดให้มันดังๆ ฐาปกรณ์”
“กูบอกว่าเดี๋ยวพากูไปร้านตัดผมด้วย”
พอมองสำรวจเมลตอนนี้ดีๆ แล้วแม่งฮามาก ผมหน้าแหว่งไปเลยอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หน้ามึงฮาว่ะเมล ก๊ากกกกกกกกกกกกกก”
“เออ หัวเราะไปเถอะ ถ้าไม่ติดว่าเป็นเมียกูกระทืบแม่งไปแล้ว”
“เก่งจริงๆ เลย หึหึ ^^”
ก็แค่นี้แหละครับที่มาของทรงผมสกินเฮดหล่อลากตับไตไส้พุงของเมล พอตัดสกินเฮดแม่งดูหล่อเลวขึ้นมาทันที เห็นทุกส่วนบนใบหน้าชัดขึ้นแล้วไม่ว่าใครเดินผ่านเป็นต้องหันมามองอีกรอบ บางคนสองรอบก็มี แต่เจ้าตัวมันไม่ชอบผมทรงนี้ มันบอกว่าตัดแล้วสร้างความวุ่นวายให้ชีวิตขึ้นจากเดิมอีกสิบเท่า -_-
ครับ ไอ้หล่อ มึงตัดทรงไหนคนก็สนใจ เว้นแต่มึงจะตัดหัวทิ้งนั่นแหละ เขาถึงจะเลิกสนใจมึง เปลี่ยนเป็นไว้อาลัยแทน -*-
“เท็น มองใคร” เห็นมันเงียบอยู่ตั้งนาน นึกว่าตายเพราะฤทธิ์เหล้าไปแล้ว
“เปล่า”
“หันมา”
“อะไร”
“ก็บอกให้หันมา”
ผมจำต้องหันไปตามคำสั่ง แต่เมลเกิดนึกบ้าอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา แม่งพุ่งเข้ามาจูบแบบไม่เกรงใจไอ้พวกที่นั่งเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่บนโซฟาอีกฝั่งหนึ่งเลย
“อู้วววววววววววววววววววววววววววววววววว”
ผมปล่อยให้พวกไอ้เต๋อมันร้องขอส่วนบุญต่อไป ไม่ได้นึกอายอะไรพวกมันหรอก เพราะไม่ได้อยู่ในสายตา ฮ่าๆๆๆ
“แดกแต่เหล้า ขมชิบหาย” ผมบ่นออกมาหลังจากที่เมลผละออกไป มันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยื่นมือมาขยี้ผมของผมเล่น
“หายโกรธละไง” ผมถามพลางยื่นปลาเส้นไปป้อนให้
“หึ”
“ยังเหรอ”
“^^”
“เมลลลลล”
“ใครจะโกรธคนบ้าๆ อย่างมึงลง”
“ที่รักกกกกก”
ผมกำลังจะโผตัวเข้ากอดมันอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าโดนนิ้วชี้เรียวยาวของมันดันหน้าผากไว้
“แต่คาดโทษไว้นะเพราะทำอะไรไม่คิด”
“อื้อออ ^^”
เมลก็คาดโทษไว้อย่างนั้นแหละ มันใจดีกับผมจะตายไป ถึงบางทีจะดุไปบ้างก็เถอะ...
“สถานการณ์ปกติแล้วสินะครับบบบบ พวกกูกลับไปนั่งตามปกติได้แล้วใช่มั้ย เบียดกันอย่างนี้ร้อนชิบบบบ ไอ้ห่าแต้มเมื่อกี้มึงแอบจับตูดกูด้วย”
ไอ้เต๋อผีออกแล้วสินะ -_-
ผมว่าผมทำได้ดีทีเดียวสำหรับการเลือกคบแฟน แต่การเลือกคบเพื่อนคงยังต้องพยายามกันอีกเยอะ หึ!
......................................To be continue...................................................
ผลกระทบจากพายุนารี (เหรอ?) พายุลูกใหม่กำลังจะเข้ารึเปล่า? โปรดติดตาม ฮ่าๆๆๆๆ
เหมือนจะเป็นตอนที่ยาวที่สุดตั้งแต่เริ่มเรื่องมา แต่ก็ไม่อยากตัดแบ่งตอนให้เสียอารมณ์กันค่ะ
มีหลายคนตั้งคำถามมาว่า เต้แม็ค ยังไง???
งั้นตอนหน้าเราไปจัดคู่นี้กันค่ะ จะได้ออกอีเว้นคู่ซะที 55555555555555 (หรือจะเอามายด์ฟิว? เอ๊ะ แต่คู่นั้นดราม่ามากนะ จะเอาจริงเหรอ ? อืมมมม มายด์ฟิวไว้ออกตอนพายุเข้าดีกว่า
)
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นเลยนะคะ ไว้ว่างๆ จะมานั่งคุยด้วยค่ะ

ปล. ฉลองวันหยุดเลยรีบปั่นเพื่อให้ทุกคนได้อ่านกัน 
