ตอนที่ 37วันนี้มาสิงสถิตย์ ณ คอนโดไอ้เขต ด้วยไอ้พวกภาคไฟมันมีโปรเจ็ค เลยต้องมาสุมหัวกันอยู่ที่นี่ เอาจริงๆ ผมก็แปลกใจนะที่เห็นไอ้แต้มกับไอ้ลินเปิดหนังสือเป็น สาระเลย ไม่ได้ว่าใคร -O-;
“ไอ้เท็นกับไอ้ฟิวนี่กูไม่แปลกใจนะ แต่ทำไมมึงลากกูมาด้วยวะไอ้ลิน” ไอ้กัสถามด้วยความสงสัยสุดขีด
“ก็กลัวมึงเหงา ที่บ้านไม่มีใครอยู่ ถ้าไม่มาแล้วมึงจะเล่นกับใคร” ไอ้ลินตอบพร้อมกับปิดหนังสือ ท้าวคางมองหน้าไอ้กัสอย่างที่พยายามทำให้ตัวมันเองดูดีที่สุด
“กูก็มีแฟนมั่งเหอะ อะไรกับกูนักหนาก็ไม่รู้มึงเนี่ย”
“เอาน่าๆ มาอยู่กับเพื่อนบ้าง อยู่กันเยอะๆ อบอุ่นดี”
“มีปัญหาครอบครัวรึไง เป็นเด็กมีปมเหรอมึง” ผมอดไม่ได้เลยถามด้วยความสงสัยจริงๆ
“เหี้ยเท็นหุบปากไป ชอบตีหน้าซื่อถามแต่วาจาเชือดเฉือน!”
ผมยักไหล่นิดๆ ก่อนจะเอนหลังหยิบหนังสือมาอ่านต่อ ไอ้ลินหันหน้าไปฟ้องเมลแต่ก็แค่นั้น เวลาเมลทำงานมันจะไม่สนใจอะไรรอบตัวเลย เห็นหน้าเครียดเขียนสมการกับไอ้เขตมาได้สักพักแล้ว
“หิวยัง” ถ้าตอบไปว่าแค่เห็นหน้ามึงก็อิ่มแล้ว ไอ้พวกนั้นจะอ้วกกันป่ะวะ?
“ยัง”
“ถ้าหิวก็บอกนะ”
“รู้น่า ทำงานไป”
“หึหึ ว่าง่ายนะวันนี้”
“อยากให้ยากมั้ย เดี๋ยวจัด”
“พอๆ ขอผมมีสาระแป๊บนะครับคุณ”
พักนี้เมลมีสาระบ่อย ไม่รู้จริงจังอะไรกับชีวิตนักหนา ผมไม่ได้หมายถึงคำพูดมันเมื่อกี้หรอกนะ นั่นน่ะมันแค่กวนตีน แต่ผมหมายถึงพฤติกรรมของมันในช่วงนี้ต่างหาก ไม่รู้จะขยันเอาโล่หรือไง เห็นแล้วมันก็น่าสนับสนุนนะ มีแฟนรักดีอย่างนี้ แต่เอาจริงๆ กูหงุดหงิด เอะอะอะไรก็นอนก่อนเลยนะ อ่านหนังสือเสร็จเดี๋ยวตามไป เข้าใจนะ แต่บางทีก็ไม่เข้าใจว่ะ -*-
“ทำหน้ากริ้วใครครับท่าน แตงโมหน่อยมั้ยครับจะได้ใจเย็นๆ” ไอ้แต้มนำเสนอจานผลไม้ที่มันครอบครองแต่เพียงผู้เดียวมาเป็นเวลานานให้ผม
“ให้กูแดกอะไร วิญญาณแตงโมหรือหัวมึง”
“ง่ะ เค้ามาผิดจังหวะ โทดคร้าบบบบบ”
“กินขนมหน่อยมั้ย เดี๋ยวกูไปเอาใส่จานมาให้” ไอ้ฟิวที่นั่งถักนิตติ้งตั้งแต่มาถึงเงยหน้าขึ้นถามผม
ผมส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะลุกเดินออกมาที่ระเบียง
“เบื่อเหรอวะ” ไอ้กัสที่ตามมาด้วยถามขึ้น
“อืม”
“งั้นลงไปเดินเล่นกันมั้ย กูก็เบื่อเหมือนกัน”
“คิดว่าไปกับกูแล้วไอ้ลินมันจะไม่ตามหรือไง หึหึ”
“เออ คงงั้น จะไปมั้ยล่ะ”
“ไม่ขัดข้อง”
ผมผลักหัวไอ้กัสไปสองทีเพราะหมั่นไส้มันที่ทำตัวกระดี๊กระด๊าเกินเหตุ มันสูงแค่ปลายคางผมเองนะ ผอมบาง ตัวเล็กแต่เสือกเป็นทอม ความจริงมันก็หล่อในแบบที่มันคิดว่าหล่อ และอย่างน้อยผมก็คิดว่าหล่อกว่าไอ้ฟิว -_-
“กูสังเกตนานละ ว่าจะไม่พูดแต่อดไม่ได้ เหี้ยเท็นแม่งถ้าไม่มีไอ้เมลอยู่ข้างๆ นี่ก็ผู้ชายแมนๆ คนหนึ่งเลยว่ะ แต่พออยู่กับไอ้เมลนะเหมือนมีพลังงานบางอย่าง” ไอ้แต้มหันไปพูดกับไอ้ลิน
ผมที่กำลังจะบอกเมลว่าจะลงไปเดินเล่นเป็นอันต้องเงียบฟังพวกมันเพื่อรอจังหวะสวนกลับ
“ความรักทำให้คนอ่อนโยนเว้ยมึง นั่นแหละพลังงานที่มึงว่า” ไอ้ลินชักน้ำเน่าใหญ่แล้ว
“อ่อนโยนเหรอวะ” ไอ้แต้มทวนคำก่อนจะเหลือบมองหน้าผมแล้วก็ส่ายหน้ากับตัวเองด้วยท่าทางที่บอกว่ามันรับไม่ได้
“จากการวินิจฉัยของกูแล้ว กูไม่พบร่องรอยความอ่อนโยนในตัวบุคคลดังกล่าวเลยว่ะ”
หึ! เดี๋ยวมึงได้รับความอ่อนโยนจากกูเต็มๆ แน่ไอ้แต้ม
“กูมีรูปของมึงกับเด็กไอ้เมถาปัตย์ ถ้าขืนยังพูดมาก กูเชือดไม่เลี้ยงแน่”
คราวนี้ไอ้แต้มทำท่าเหมือนโดนผีหลอก รีบคลานเข่าเข้ามากอดขาผมทันที
“หุบปากสนิทเลยครับท่าน ได้โปรดทำลายรูปที่ว่าทิ้งด้วยเถิด กูยังไม่อยากไฟท์กับไอ้เมนะ”
“เป็นไงล่ะมึง สันดานดีนัก” ไอ้ฟิวตอกย้ำอย่างพวกที่อดเห็นความไม่ถูกต้องไม่ได้ ต้องลุกมาทำอะไรสักอย่าง
“หึหึ กูจะเป็นตัวแทนดวงจันทร์ลงทัณฑ์มึงเอง ^_^”
“ไอ้เมลลลลลลลล ช่วยหยุดเมียมึงที!!!”
“สมควรโดนล่ะมึง อู้งานดีนัก แล้วก็อย่าทำให้แฟนกูอารมณ์เสีย คนนี้ห้ามเล่นไอ้สัด ปล่อยขา! อย่าให้กูเข้าไปถีบ”
เมลขยับแว่นที่กำลังใส่อยู่เล็กน้อย เออนะ ตอนมันทำหน้าจริงจังนี่หลงรักอีกครั้งเลยทีเดียว
“อะไรก็ผิด ทุกคนรังแกช้านนนน!” ว่าเสร็จไอ้แต้มก็รีบสะบัดก้นกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเอง =_=; เห็นแล้วเครียดนะ ผู้ชายสะดีดสะดิ้งก็ยังมีอยู่บนโลกใบนี้
“เมล กูไปข้างล่างกับไอ้กัสนะ เดี๋ยวมา”
“อืม แดดแรงเอาหมวกไปด้วย แล้วตอนเที่ยงก็รีบๆ ขึ้นมา จะได้ไปกินข้าวด้วยกัน”
“สั่งจริงเลย พ่อป่ะเนี่ย”
“เป็นแฟน แต่เป็นห่วง ไม่ต้องบ่น”
จบแบบไม่ต้องสวนต่อ
ผมไหวไหล่เล็กน้อย หยิบหมวกขึ้นมาใส่ ก่อนจะเดินกอดคอไอ้กัสลงมาข้างล่าง
วันนี้โลกก็ยังคงเป็นเหมือนเช่นทุกวัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ละคนที่ผ่านตาก็ยังคงก้มหน้าใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป ไม่ต่างจากผมที่แม้ในวันนี้ก็ยังว่างเปล่า ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะเรียนจบอย่างที่เมลคิด ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้เกียรตินิยมอย่างที่ไอ้ฟิวตั้งใจ ผมกลับกลัวที่ทุกอย่างมันจะจบลง กลัวว่าถ้าผมไม่ต้องเรียนแล้ว...ผมจะทำอะไร
มันเป็นความกลัวอย่างที่ถ้าเล่าให้ใครฟังก็ต้องมีแต่คนหัวเราะ แต่ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ ไม่มีสิ่งที่ผมอยากทำ ไม่มีเรื่องให้ต้องดิ้นรน ผมอยู่เฉยๆ ได้โดยไม่อดตาย ไม่ต้องหวังเงินจากพ่อแม่ เพราะมันเป็นแบบนั้น...ชีวิตของผมถึงได้น่าเบื่อ
“กัส กูให้ลุงชิดไปดูที่ที่พะเยาให้ ป้าเนียมแกขายพร้อมบ้าน มึงว่าโอเคป่ะวะ” ผมยื่นไอโฟนไปให้ไอ้กัสเพื่อให้มันได้ดูรูปบ้านทรงไทยที่ผมเห็นครั้งแรกก็ถูกใจทันที
“สวยว่ะ อากาศคงดีมากอ่ะ แล้วทำไมเขาขายวะ”
“ความพอใจส่วนตัวมั้ง”
“=_=; มึงไม่รู้ล่ะสิ”
ผมรู้นะ แต่ไม่ใช่ธุระอะไรที่ต้องบอกเล่าเรื่องของคนอื่นให้คนอื่นฟัง บ้านหลังนั้นกำลังจะถูกธนาคารยึด เพราะเงินกู้นอกระบบของป้าเนียมถูกชักดาบ หมุนเงินไม่ทันเลยไปกู้นั่นมาโปะนี่ สุดท้ายก็ไม่รอด ผมเลยทำการเปลี่ยนมือเจ้าหนี้ บ้านหลังนั้นเลยตกมาเป็นของผม และผมไม่ได้ใจดีช่วยคนพร่ำเพรื่อหรอกนะ เพราะลุงชิดแกทำงานให้ผมแบบยอมถวายหัว ผมเลยช่วยน้องสาวของลุงก็แค่นั้น
โลกนี้ไม่มีคำว่าฟรีหรอก อยากได้อะไรก็ต้องแลกมันมาด้วยความเท่าเทียม ทำดีก็ได้ดีตอบ มันไม่มีหรอกที่อยู่ๆ ใครสักคนคิดจะทำอะไรเพื่อคนที่ไม่ได้รู้จักกันเลย ถ้าจะมีก็คงมีแต่การทำบุญเท่านั้นแหละครับ
“กูจะดร็อปเรียน”
“ห้ะ”
“-_-”
“จะดร็อปทำไม จะปีสามแล้วนะเฮ้ย เกิดเหี้ยนอะไรขึ้นมาอีกวะ”
“กูจะไปสร้างเนื้อสร้างตัวที่พะเยาสักพัก ถ้าคิดว่าดีคงไม่กลับมาเรียนละ”
“=_= เท็น สติจงกลับมา”
“มึงบ้าป่ะ”
“มึงสิบ้า แล้วบอกไอ้เมลรึยัง”
“ยัง”
“มันไม่ยอมแน่ มึงไม่ต้องหาเรื่องดราม่าอีกหรอก เลิกคิดซะ”
ผมแค่ยักไหล่ให้เป็นคำตอบ ไอ้กัสที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ ถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ
ไม่ใช่ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำให้ใครหลายๆ คนไม่สบายใจ แต่ผมก็ไม่อยากต้องเลิกทำในสิ่งที่ตั้งใจเพียงเพราะแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากเกินไป ผมอาจจะต้องไฟท์กับเมลอีกแน่ แต่ไม่เป็นไร สุดท้ายมันต้องเข้าใจว่าผมก็มีสิ่งที่ผมอยากทำเหมือนที่มันมี
ผมไม่ใช่ไม่แคร์ ไม่ได้บอกว่าเมลไม่สำคัญ ...เมลสำคัญแต่ยังไม่ใช่ทุกอย่าง ผมรักแต่ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของผมต้องอยู่ภายใต้ความเห็นชอบของมันไปซะหมด ผมมีความตั้งใจของผม ความคิดของผมและความชอบของผม
มันอาจจะเห็นแก่ตัวที่ต้องพูด แต่มันก็ไม่เกินจริงเลยว่า
ถ้าหากรักผม...ก็ต้องเข้าใจ
..................................................To be continue.................................................
มาแบบสั้นๆ มาแบบมึนๆ
ขอบคุณที่ให้กำลังใจ
เอาดอกไม้ไปเลยยย อิอิ 