http://www.youtube.com/v/TNsX6M9g0xQตอนที่ 48“เท็นชอบแบบไหนคะ เทียนหอมก็ดีนะคะ เก๋ไปอีกแบบ”
การกลับมาของผู้หญิงหมายเลขเจ็ดทำให้ชีวิตผมสะกดคำว่า 'บัดซบ' ได้เป็นครั้งแรก เธอหอบเอารูปแบบการ์ดแต่งงาน ของชำร่วย หนังสือคอลเลคชั่นชุดแต่งงาน ไปจนกระทั่งรายชื่อแขกที่ทางพ่อกับแม่ของเธอลิสท์มาให้
เหมือนโดนสิบล้อเข้าชนโครมแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะหลังจากที่เธอหายหน้าไปก็กลับมาพร้อมหายนะ อะไรคืองานแต่ง? ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้หมั้น อะไรจะข้ามขั้นตอนกันขนาดนั้นวะ? หมั้นเช้าแต่งเย็นนี่แผนการรัดกุมไปมั้ย?
“คุณเคนครับ ต่อสายถึงป๋าให้ผมทีครับ ผมมีเรื่องจะคุย”
คุณเคนที่ถูกส่งมาจัดการกับเรื่องนี้พยักหน้ารับทันที ผมเบือนหน้ามองออกมาดูวิวนอกหน้าต่างแทนใบหน้าของผู้หญิงที่กำลังพร่ำพูดอย่างไม่สนใจว่าผมจะฟังไหม อะไรดลใจให้คิดการใหญ่ขนาดนั้นก็ไม่ทราบได้
“คุณเท็นครับ ท่านอยู่ในสายแล้วครับ”
“ขอบคุณครับ
ผมรับโทรศัพท์จากคุณเคน แล้วเดินออกมาคุยนอกห้องรับแขก
(หลังจากที่ไม่ยอมรับสายฉันมาหลายเดือน ตอนนี้แกมีธุระอะไร)
“ผมมากกว่าที่ต้องถามว่าป๋าให้ผู้หญิงคนนั้นมาทำธุระอะไรที่นี่กันแน่ เล่นตลกเหรอ? บอกเลยว่าผมขำมาก”
(แกเจอหนูเฟื่องแล้วเหรอ)
“ใครคือเฟื่อง ผมไม่รู้จัก เห็นแต่ผู้หญิงน่ารำคาญที่ป๋าอยากได้ไปเป็นสะใภ้จนตัวสั่นน่ะครับ เหตุผลดีๆ สักข้อมีไหม หรือเพราะพ่อแม่ยัยนั่นมีธุรกิจใหญ่ที่พอจะทำให้บริษัทป๋าก้าวหน้าขึ้นไปอีกงั้นเหรอครับ”
(แกกล้าดียังไงมาพูดจาดูถูกฉันแบบนี้!)
“แล้วป๋ามีสิทธิ์อะไรมาบงการชีวิตผม!! ผมรักษาสัญญาจนถึงที่สุดแล้ว แต่ป๋าไม่เคารพในการตัดสินใจของผมเลย ผมบอกแล้วว่าถ้าผมเรียนจบ ผมจะทำตามที่ขอ แล้วนี่อะไร ป๋าให้ผู้หญิงคนนี้มาบอกผมว่าผมต้องแต่งงานต้นเดือนหน้างั้นเหรอ ถ้าป๋าจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรก ก็อย่ามาเรียกร้องอะไรจากผม! ที่ผมเคยบอกว่าจะทำให้ถือว่าไม่ได้พูดก็แล้วกัน!”
(แก...)
ผมไม่ชอบคนที่ไม่ทำตามสัญญา ไม่ชอบคนที่ใช้วิธีอย่างนี้เพื่อบีบบังคับคนอื่น ผมเกลียดการมัดมือชก เกลียดเวลาที่เจอปัญหาแล้วไม่มีตัวเลือกไหนให้เลือกสำหรับเป็นทางออกได้นอกจากยอมจำนน
“ขอบคุณที่เลี้ยงดูผมมา แต่ผมคงต้องเนรคุณป๋าแล้วล่ะครับ ...ผมอยากให้ป๋าเข้าใจว่าผมไม่ได้เลือกคนอื่น หรือเห็นคนอื่นดีกว่าป๋า แต่ผมเลือกความสุขของตัวผมเอง ผมเห็นแก่ตัวผมยอมรับ แต่ผมคงฝืนตัวเองไม่ได้จริงๆ ผมจะไม่ไปให้ป๋าเห็นหน้าอีก ดูแลตัวเองนะครับ ส่วนแม่ของผม ผมจะดูแลท่านเอง ไม่ต้องห่วง”
คนที่ยื่นคำขาดมาก่อนไม่ใช่ผม และตอนนี้ในเมื่อผมเลือกคำตอบของผมแล้ว ก็คงต้องยอมทำตามเงื่อนไขของป๋า คือเราคงต้องหันหลังเดินกันคนละทาง
ส่วนแม่...ผมก็หวังว่าป๋าคงไม่ใจร้ายพอจะพูดเรื่องนี้ให้แม่ฟัง อย่างน้อยก็ให้ผมได้เป็นคนไปบอกท่านเอง แม่น่ะ...เข้าใจผมอยู่แล้ว ท่านจะต้องไม่เป็นไร
หลังจากวางสายจากป๋าแล้ว ผมก็ทำแค่ยื่นนิ่ง มือที่ไร้แรงทั้งสองข้างยังคงสั่นเทา
นี่คงเป็นครั้งที่สอง...ที่ผมกับป๋าทะเลาะกันรุนแรงอย่างนี้
ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไร...ผมน่ะ โคตรเสียใจเลย เพราะผมก็รักป๋าไม่น้อยไปกว่าที่รักแม่เลยสักนิด
“คุณเท็น! คุณเท็นครับ!!! คุณเท็นอยู่ไหนครับ!” เสียงของคุณเคนดังก้องไปทั่ว จับน้ำเสียงได้ว่าอาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เพราะน้อยครั้งที่คุณเคนจะมาดหลุด ทำเสียงดังขนาดนี้
“ผมอยู่นี่ครับ”
หน้าตาตื่นๆ ของคุณเคนทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้
“มีอะไรเหรอครับ”
“เมื่อกี้คุณกัสโทรมาครับ บอกว่า คุณเมลกับคุณมายด์ประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล! รีบๆ ไปดีกว่าครับ”
ผมเคยแปลกใจว่าทำไมเวลาคนที่ตกใจถึงชอบปล่อยของที่อยู่ในมือให้หล่นพื้น พอมาเจอกับตัวจริงๆ ผมถึงได้เข้าใจ เพราะทั่วทั้งร่างมันชาจนแทบไม่มีแรง ปากได้แต่อ้าค้าง อยากพูดออกมาแต่ก็ไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดให้เป็นประโยคได้
“คุณเท็นครับ ทำใจดีๆ ไว้ ไปกันเถอะครับ ผมจะขับรถให้”
ต้องขอบคุณคุณเคนที่มาส่งผมที่โรงพยาบาล เพราะลำพังตัวผมเองคงขับรถมาไม่ถึงแน่ ความกังวลมาพร้อมกับคำถามมากมายว่าตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมบอกให้มันรออยู่ที่บ้าน สี่ทุ่มจะรีบกลับ แค่ออกมาคุยธุระ แล้วอุบัติเหตุบ้าๆ นั่นมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ถ้ามันเชื่อผม ถ้ามันฟังสักนิด จะเป็นอย่างนี้มั้ย! ทั้งเป็นห่วง ทั้งโกรธ แต่ในใจก็ยังอยากให้มันปลอดภัย
ผมมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน เห็นไอ้กัสยืนรอกับไอ้ฟิวอยู่ก่อนแล้ว ไอ้กัสดูเหมือนคนบ้า แต่ไอ้ฟิว สภาพมัน...
“เท็น!” ไอ้กัสเรียกชื่อผมดังลั่นก่อนจะวิ่งเข้ามากอดผมไว้ มันดูไม่ไหวจริงๆ เมื่อกำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดผม คงอดทนมานานมากแล้ว ไอ้กัสจะเป็นอย่างนี้เสมอเมื่อต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นที่พึ่งให้ไอ้ฟิว
“มันเกิดอะไรขึ้น...เล่าให้กูฟัง กัส มันเกิดอะไรขึ้น”
ไอ้กัสพยายามเช็ดน้ำตา กลั้นเสียงสะอื้นจนสำเร็จแล้วก็เริ่มเล่าด้วยเสียงที่บังคับไม่ให้สั่น
“ไอ้ฟิว...ทะเลาะกับไอ้มายด์ กูไม่เคยเห็นพวกมันเถียงกันเสียงดังขนาดนั้นมาก่อน แล้วไอ้มายด์มันก็ออกไป ไอ้เมลมันบอกให้กูอยู่ดูฟิว แล้วมันก็ไปตามไอ้มายด์ กูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น รู้อีกทีก็ตอนที่ตำรวจโทรมาบอกว่ารถของไอ้มายด์ชนกับรถตู้ ให้ตามมาที่โรงพยาบาล...” ไอ้กัสตาแดงก่ำ มันยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาลวกๆ “เมลมันยังมีสติ ก่อนเข้าห้องไป มันถามหาแต่มึง แต่ไอ้มายด์...”
ไอ้กัสพูดอะไรต่อไม่ได้อีก ผมหันมองไอ้ฟิวที่นั่งคุดขู้อยู่บนพื้น ซบหน้าลงกับเข่าตัวเอง ตัวสั่นเทาจนน่ากลัว ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา แต่ผมรู้ว่ามันคงกำลังร้องไห้อยู่เงียบๆ
ผมเดินเข้าไปหามัน รวบตัวมันมากอดไว้ แค่เห็นว่าเป็นผม มันก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง เอาแต่พูดโทษตัวเอง จนถึงตอนนี้...ถ้าจะบอกว่าคนในใจของไอ้ฟิว...ไม่ใช่เมลอีกต่อไปแล้วคงจะไม่ผิด
“คำพูดสุดท้ายที่กูพูดกับมัน...กูไล่มัน กูบอกว่าถ้ามันตายไปซะกูคงมีความสุข แต่กูไม่ได้ตั้งใจ กูไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย กูอยากขอโทษ... อยากขอโทษ มันจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย บอกกูสิเท็น ว่ามันจะไม่เป็นไร”
ผมยืนยันอะไรกับไอ้ฟิวไม่ได้เลยได้แต่กอดมันอยู่เงียบๆ ไม่นานนัก พวกไอ้เต๋อก็ตามมาสมทบ พวกมันบอกผมเบาๆ ว่าเพิ่งไปโรงพักกันมา สภาพรถคันละหลายล้านของไอ้มายด์มีสภาพไม่ต่างจากเศษเหล็ก ที่นั่งฝั่งคนขับยุบไปกว่าครึ่งด้วยแรงกระแทกของรถที่ขับด้วยความเร็วเกินร้อยมาทั้งสองคัน คนขับรถคู่กรณีเสียชีวิตคาที่เพราะคอหัก ...เรื่องที่ได้รับรู้ทำเอาผมใจกระตุกวูบไปทันที
จากกล้องวงจรปิดที่ ไอ้แต้มบอกว่ารถตู้มันพุ่งมาทางเลนที่รถของไอ้มายด์กำลังวิ่งอยู่ ตำรวจบอกว่าที่ศพของคนขับรถตู้ชันสูตรแล้วพบแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นจำนวนมาก คงดื่มมาพอสมควรนั่นแหละครับ
“พวกมันเข้าไปนานยังวะ” ไอ้เต๋อถามขึ้นมาด้วยเสียงสั่นๆ มันอยู่ในชุดนอน คงเตรียมตัวจะเข้านอนแล้ว แต่คนอื่นๆ ที่มาด้วยยังอยู่ในชุดออกเที่ยวเต็มยศ
“อืม”
“พวกมึงกินอะไรหน่อยมั้ย เดี๋ยวกูไปซื้อนมซื้อน้ำอะไรมาให้” ไอ้แต้มที่หน้าซีดไม่แพ้ไอ้กัสถามขึ้น
“ฟิว เอาอะไรหน่อยมั้ย น้ำเปล่าก็ยังดี” ผมก้มลงถามคนที่นั่งเอาหัวพิงไหล่ผม หน้าตามันดูอ่อนเพลียมาก คงเพราะร้องไห้มานาน จนถึงตอนนี้น้ำตาของมันก็ยังคงไม่หยุดไหล
“พวกมึงซื้อน้ำเย็นๆ มาให้กูสักขวดละกัน เอานมมาด้วยก็ดี เผื่อไอ้ฟิวมันอยากกิน” ผมสรุปความตามนั้นถึงไอ้ฟิวมันจะส่ายหน้าบอกถึงความไม่ต้องการก็เถอะ
ไอ้แต้มกับไอ้เขตอาสาไปซื้อที่เซเว่นในโรงพยาบาลมาให้ คล้อยหลังพวกมัน ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมดังเดิม
ไม่คิดเลยว่าผมจะต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ถึงสองครั้งสองครา บอกไอ้ปลื้มก็คงไม่ดีหรอก ให้เมลหายดีแล้วค่อยบอกมัน เพราะลำพังแค่เรื่องของไอ้พี่โปรด ไอ้ปลื้มก็แทบจะไม่กินไม่นอนอยู่แล้ว
ผมรู้สึกไม่ดีจริงๆ เพราะไม่ได้เห็นว่าเมลกับไอ้มายด์เป็นอย่างไรก่อนเข้าห้องฉุกเฉินไป เลยได้แต่นั่งกระวนกระวายรอคำตอบจากหมอเพียงเท่านั้น
“มันนานเกินไปแล้วนะ ถ้าหมอไม่รีบออกมากูจะพังประตูเข้าไปจริงๆ ด้วย!” อยู่ดีๆ ไอ้ลินก็โวยวายขึ้นมา ทำท่าจะพังประตูห้องฉุกเฉินเข้าไปจริงๆ แต่ไอ้คิมกับไอ้เต้ก็รั้งตัวมันไว้ได้ทัน
“มึงจะเข้าไปรบกวนหมอทำไม เขากำลังช่วยเพื่อนพวกเราอยู่นะ” ไอ้คิมตบหัวไอ้ลินเพื่อเรียกสติ
“โทษทีว่ะ กูใจคอไม่ดีจริงๆ”
ไม่ใช่แค่ไอ้ลินที่รู้สึกอย่างนั้น ไม่ว่าใครที่รออยู่ที่นี่ ผมก็คิดว่าคงรู้สึกไม่ต่างกัน แต่ไอ้ฟิวคงจะมากกว่าใครเพื่อน มันอ้วกออกมาเลอะกางเกงเต็มไปหมด เสื้อของผมก็โดนไปด้วย แต่ผมก็ทำได้แค่นั่งลูบหลังมันโดยไม่ขยับหนี
“ไอ้เขตมาพอดี มึงรีบๆ เอาน้ำมา เร็วๆ” ผมร้องบอกไอ้เขตที่รีบวิ่งมาหาทันที ส่วนไอ้แม็คอาสาไปตามพยาบาลกับแม่บ้านมาให้
“ใจเย็นๆ ฟิว ไอ้มายด์ต้องไม่เป็นไร พ่อของไอ้เมลเก่งจะตายไป เดี๋ยวทุกอย่างต้องเรียบร้อย” ไอ้แต้มพูดปลอบ แต่ใบหน้ามันกำลังฝืนยิ้มเต็มที
ไม่รู้ว่าทุกอย่างต้องเรียบร้อยของไอ้แต้มจะมาถึงเมื่อไหร่ นั่งรอกันจนเกือบตีสาม เตียงของเมลก็ถูกเข็นออกมา แผลที่หัวที่เคยโดนด้ามปืนฟาดคงแตกอีกที เพราะผมเห็นเลือดยังซึมออกมาตำแหน่งเดิมที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ แขนซ้ายถูกเข้าเฝือกอ่อนไว้ นอกนั้นก็ดูจะปลอดภัยดี แต่มันยังคงไม่ได้สติ คงเพราะถูกยาสลบ
“พ่อครับ...” ผมรีบเข้าไปหาพ่อของเมลทันที เขาเดินตามหลังเตียงของเมลมา
“เท็น เมลปลอดภัย ทุกอย่างโอเค หายห่วง พรุ่งนี้เช้าก็ตื่น”
“แล้วไอ้มายด์...”
“เดี๋ยวเท็นตามไปคุยกับพ่อที่ห้อง”
ผมเหลือบมองหน้าเพื่อนๆ พวกมันพยักหน้าให้ ก่อนจะเข้าไปรุมเตียงของเมลที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้เข็นไปที่ห้องพิเศษ เว้นแต่ไอ้ฟิวที่ยังคงนั่งมองประตูห้องฉุกเฉินอยู่คนเดียว
ผมตามคุณพ่ออเล็กมาที่ห้องทำงาน ท่านดูเครียดและมีแต่ความกังวล มันทำให้ผมแน่ใจว่า...เรื่องที่จะได้รับรู้ คงไม่ใช่ข่าวดี
“มีใครพอจะติดต่อพ่อของน้องมายด์ได้บ้างมั้ยเท็น”
“ทำไมเหรอครับ”
คำตอบที่ผมได้รับหลังจากได้เห็นรอยยิ้มเศร้าๆ ของคุณพ่ออเล็กคือ สมองของไอ้มายด์ตายไปแล้ว มีเลือดออกและคั่งอยู่ในสมอง กว่าจะมาถึงโรงพยาบาลก็สายเกินไป ตอนนี้ไอ้มายด์มีลมหายใจอยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น... ผมพูดอะไรไม่ออกไปหลายนาที ได้แต่ทบทวนถึงสิ่งที่กำลังได้ยิน
“พ่ออยากปรึกษาพ่อของน้องมายด์...เรื่องถอดเครื่องช่วยหายใจ มันคงยากที่จะยอมรับ แต่อยู่อย่างนี้ น้องมายด์ก็ทรมาน”
เรื่องแบบนี้คงต้องให้ผู้ปกครองของไอ้มายด์เป็นคนตัดสินใจ
“อาการอื่นๆ ล่ะครับพ่อ”
“ซี่โครงหัก คงถูกกระแทกแรงน่าดู เมลยังพอมีสติบ้างตอนที่พ่อเรียก แต่น้องมายด์ไม่รู้สึกตัวเลย ยังไงเดี๋ยวพ่อขอตัวไปโทรศัพท์ก่อนนะ”
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าคิดผิดมากที่ต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้แต่เพียงลำพัง...เพราะผมไม่รู้ว่าจะบอกพวกเพื่อนๆ ยังไง ผมไม่รู้เลยว่าจะบอกไอ้ฟิวยังไงไม่ให้มันต้องร้องไห้มากไปกว่านี้
แต่สุดท้าย...ความจริงก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีมันพ้น
ไม่ว่าผมจะพยายามปลอบใจใครยังไง...แต่ความจริงก็มีเพียงแค่...ไอ้มายด์กำลังจะจากพวกเราไป
ผมเดินกลับมาที่หน้าห้องฉุกเฉิน ที่ตอนนี้พวกเพื่อนๆ ยังคงอยู่กันครบ เตียงของเมลคงถูกเข็นไปที่ห้องพิเศษแล้ว แต่ที่พวกมันยังไม่ไปไหน คงเพราะกำลังรอเพื่อนอีกคน
“เท็น...คุณลุงว่าไงบ้าง ไอ้มายด์ล่ะ ทำไมมันยังไม่ออกมา” ไอ้เขตถามด้วยสีหน้าที่แย่เต็มที
คำถามของไอ้เขตตามมาด้วยความเงียบที่ไม่มีใครตั้งใจก่อ แต่เพราะผมไม่ได้ตอบและพวกมันยังคงรอ บรรยากาศในตอนนี้ถึงได้แย่เต็มที
“มันยังอยู่ข้างใน...”
ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน...แต่การได้เห็นไอ้แต้มกับไอ้ลินปาดน้ำตาออกจากแก้มก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า...สีหน้าผมกำลังแย่เต็มที
“แค่รอพ่อของไอ้มายด์มาตัดสินใจ...ว่าจะถอดเครื่องช่วยหายใจออกตอนไหน” ผมบอกก่อนจะเบือนหน้ามองไปอีกทางที่ไม่ต้องเห็นสีหน้าของเพื่อนแต่ละคน
“ไม่จริง! มึงโกหก! ไม่จริง! กูไม่เชื่อ! มึงโกหก โกหก”
เพราะมันรวดเร็วเกินจะตั้งตัวกันไหว ไม่มีใครสามารถปลอบใครได้ พวกผมทำได้แค่ยืนให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ ในขณะที่ไอ้ฟิวร้องไห้ออกมาเสียงดังอย่างไม่อายใคร มันนั่งอยู่หน้าประตู ใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาแนบชิดอยู่กับบานประตู ปากได้แต่พร่ำเรียกหาแต่ไอ้มายด์อยู่อย่างนั้น
“กูขอโทษ...ไม่พูดอีกแล้ว กูขอโทษ มายด์ มายด์ได้ยินมั้ย...ได้ยินมั้ย...”
ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองยืนมองไอ้ฟิวร้องไห้อยู่นานเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีมันก็ช็อคไปแล้ว มือที่กำลังเกร็งแน่น และน้ำตาที่ไหลไม่หยุดของมัน ทำเอาผมกลัวว่ามันจะเป็นอะไรไปอีกคน พี่พยาบาลรีบมาช่วยตามที่ไอ้เขตวิ่งไปตามมา โชคดีที่ได้ผ้าเช็ดหน้าของไอ้กัสมาให้มันกัดไว้ ไม่อย่างนั้นก็คงลิ้นขาดไปแล้ว
“พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอวะ... ทำไมกูมันโคตรไร้ประโยชน์เลย เพื่อนจะเป็นจะตายแต่ทำได้แค่ยืนดู” ไอ้เต๋อตาแดงก่ำ มันร้องไห้ออกมาตอนเห็นไอ้ฟิวชักไปต่อหน้าต่อตา
พวกผมมาออกันอยู่หน้าห้องที่ไอ้ฟิวถูกพาตัวเข้าไป แต่ละคนดูอ่อนเพลียและเหมือนพร้อมจะสติแตกได้ทุกเมื่อหากเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนคนอื่นๆ อีก
“ไม่ใช่ความผิดมึง แล้วก็ไม่มีใครผิดด้วย... พวกมึงกลับไปพักเถอะ พรุ่งนี้ตอนเช้าๆ ค่อยมากัน เดี๋ยวกูจะไปหาเมล”
“เราจะเข้าเยี่ยมไอ้มายด์ได้เมื่อไหร่” ไอ้เขตถาม
“ไว้กูถามพ่อของเมลให้ ตอนนี้มีใครพอจะติดต่อพ่อมันได้บ้าง หรือญาติคนอื่นๆ ของมันก็ได้”
“ไอ้มายด์ไม่มีใครแล้วนอกจากพ่อมัน แต่พ่อมันตอนนี้คงอยู่ต่างประเทศ” ไอ้ลินเป็นคนให้คำตอบ
“อืม ไว้ยังไงพรุ่งนี้เจอกัน กูไปหาเมลก่อน”
แยกย้ายกับคนอื่นๆ แล้ว ผมก็มาที่ห้องพักผู้ป่วยของเมล มันยังคงหลับอยู่ ผมเดินเข้าไปนั่งลงข้างเตียง ยกมือข้างที่ไม่บาดเจ็บของเมลขึ้นแนบกับแก้ม
อุ่นดีจัง...ผมบอกไม่ถูกว่าดีใจมากแค่ไหนที่มือคู่นี้ยังคงอุ่นเช่นเคย แต่ในอีกความรู้สึก...ที่ต่อให้จะรู้ว่าดีใจมากแค่ไหน ก็ยังคงยิ้มไม่ออก
จะบอกเมลยังไงเรื่องไอ้มายด์... จะบอกยังไงว่าเพื่อนที่มันรักที่สุดกำลังจะจากมันไปแล้ว
“เมล...เครื่องหยุดเวลาที่มึงอยากได้ กูจะสร้างได้มั้ยนะ...”
คงดีนะ...ที่จะหยุดเวลาไว้... แต่ผมไม่ได้อยากหยุดเวลาของผมหรอก ผมอยากหยุดให้ไอ้ฟิวมันต่างหาก...
หยุดไว้...แค่เวลาที่พวกมันสองคน ได้มีความสุขด้วยกัน
...........................................To be continue.................................................

มายด์!!!
