- 100% -
เมื่อประตูถูกเปิด ทหารของอัลล์ก็เดินเข้าไปก่อน เขาประคองกล่องไม้สีทองไว้ด้วยสองมืออย่างมั่นคง ฮาธอสรั้งรออยู่สักครู่ เพื่อสงบจิตใจของตนเอง เขากำลังจะได้พบกับมหาเทพอสูรสงครามตนแรกของสวรรค์ หากบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยก็คงโกหก หลังมั่นใจว่าใจของตนนิ่งพอพูดได้โดยเสียงไม่สั่นแล้ว ร่างสูงโปร่งค่อยตามเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามสมเป็นตัวแทนจากตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย
แต่เพียงได้เห็นหน้าผู้เป็นเจ้าของตำหนักพาเทร่า ฮาธอสก็รู้สึกว่าโลกรอบกายจางหายไป เหลือแค่เขากับไคซัสเหมือนอย่างเมื่อคืนนี้ เทพหนุ่มเข้าใจเลยว่าเหตุใดตนจึงรู้สึกเช่นนี้ อาจเพราะแรงดึงดูดแปลกประหลาดจากดวงตาสีส้มคู่นั้นก็เป็นได้ แต่คราวนี้เขาต้องละสายตามาก่อน เพื่อค้อมคำนับแสดงความเคารพให้อีกฝ่าย
“ข้าน้อย ‘ฮาธอส’ ตัวแทนจากตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย ขอคารวะท่านมหาเทพสงครามตนใหม่และขอแสดงความยินดีกับการเข้ารับตำแหน่งของท่านด้วยขอรับ” เทพหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนน้อมจากใจจริง
“ขอบใจมากนะ ไม่ทราบว่าจอมเทพีเรเทเชียเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อคืนนี้พอแต่งตั้งเสร็จแล้วในงานก็วุ่นวายกันมาก ข้าก็เลยไม่มีโอกาสได้ทักทายนางเลย” ไคซัสเพียงกล่าวไปตามมารยาท เพราะรู้ดีว่าต่อให้มีโอกาสทักทายก็ใช่ว่านางจะยอมคุยด้วยดี ๆ
“ข้าน้อยขอเรียนตามตรงว่าท่านจอมเทพียังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ตำหนิว่าเป็นความผิดของท่านมหาเทพสงคราม นางมีความยินดีอย่างมากที่ได้รับของกำนัลจากท่านในวันนี้” ฮาธอสพูดไปตามความจริง ด้วยถือว่าความจริงใจเป็นกุญแจสำคัญของการผูกมิตร
“อย่างนั้นรึ นางพอใจกับของขวัญทั้งสองชิ้นไหม” ไคซัสถามด้วยน้ำเสียงใคร่รู้
แต่ฮาธอสก็ล่วงรู้ถึงความหมายแฝงเร้น “ขอรับ จอมเทพีของเราพึงพอใจมาก ท่านกล่าวว่าต้นไม้เงินต้นไม้ทองทั้งสองต้นล้วนมีเพียงชิ้นเดียวในสวรรค์ มูลค่าหาที่สุดมิได้ คู่ควรกับมิตรภาพระหว่างทั้งสองตำหนักอย่างยิ่ง ท่านจึงให้ข้านำของกำนัลตอบแทนมามอบให้ขอรับ”
ไคซัสได้ยินแบบนั้นก็นึกยิ้มในใจ เท่าที่เขารู้มาเกี่ยวของจอมเทพีนางนั้นก็คือ นางเป็นคนหัวอ่อน ชื่นชอบแต่ศิลปะนาฏกรรมต่าง ๆ เท่านั้น ไม่ถนัดในวิถีการเมืองอย่างจอมเทพตนอื่น ๆ อีกอย่างเขาเองก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นของกำนัลผูกมิตร น่าจะมีคนอื่นช่วยคิดให้เป็นแน่แท้
บางทีอาจจะเป็นเจ้าหนุ่มหน้ามนที่กำลังพูดยกยอเจ้าหล่อนต่อหน้าเขาก็ได้...
แต่เทพอสูรหนุ่มต้องนิ่ง เมื่อทหารของอัลล์นำกล่องของกำนัลมาวางบนโต๊ะ แล้วเปิดฝาหยิบเครื่องดนตรีที่เรียกว่า ‘ซอง’ ออกมาวางให้เขาเห็น เครื่องดนตรีชนิดนี้มีตัวเรือนเหมือนกับลำเรือ ทำจากไม้สักทองลงรักสีดำเป็นมันวาว ตามอบโดยรอบติดแผ่นทองตีลายปักษาสวรรค์ผกผินเหนือก้อนเมฆด้านหนึ่ง อีกด้านเป็นป่าแก้วดินแดนต้องห้ามของสวรรค์ ส่วนตัวและท้ายหุ้มแผ่นทองเรื่อยไปถึงใต้ท้อง บริเวณหัวมีคันสายยาวโง้งขึ้นไปเหมือนคันศร เส้นเสียงสิบสองเส้นถูกขึงตึงกับสันที่ตัวเรือน ปลายสายที่เหลือถูกทำเป็นพู่ห้อยระย้า
มหาเทพสงครามพินิจเครื่องดีดชิ้นนี้ด้วยสายตาไม่ยินดียินร้าย ซึ่งทำให้ฮาธอสหายใจไม่ทั่วท้อง เขาพอจะรู้ว่าชาวอสูรไม่โปรดการเล่นดนตรีเท่ากับการต่อสู้ แต่ซองตัวนี้ก็เป็นของชิ้นเดียวที่มีค่าพอนำมาเป็นของกำนัลเชื่อมสัมพันธไมตรี
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าท่านพอใจกับของกำนัลไหมขอรับ” เทพหนุ่มตัดสินใจถามจนได้ เทพอสูรหนุ่มเงยหน้ามองเหมือนตื่นจากห้วงภวังค์ “ซองตัวนี้เป็นของที่จอมเทพีของเราสร้างด้วยตัวเองทั้งหมดขอรับ”
“อ๋อ ขอโทษด้วยที่ทำให้เข้าใจผิด” ไคซัสว่า “ข้าไม่ได้ไม่พอใจของกำนัลหรอก แต่มันทำให้ข้าคิดถึงใครบางคนขึ้นมาน่ะ” พูดแล้วหันไปทหารของอัลล์ “เจ้าออกไปก่อน บอกให้เพื่อนของเจ้าเตรียมตัวด้วย หลังคุยกับแขกเสร็จแล้ว ข้าจะไปกองบัญชาการ”
“ขอรับ มหาเทพไคซัส” ทหารหนุ่มทำความเข้ารพแล้วถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเหลือกันแค่สองคน ไคซัสก็ลุกขึ้นมาย้ายของกำนัลไปวางไว้ที่โต๊ะใกล้ ๆ แล้วหยิบเก้าอี้อีกตัวมาให้แขกด้วยตนเอง สร้างความตกใจให้แก่ฮาธอสอย่างหาที่สุดมิได้
“ทะ...ท่านทำอะไรน่ะขอรับ!”
“เอาเก้าอี้มาให้เจ้านั่งไงล่ะ” เทพอสูรหนุ่มบอกพร้อมผายมือไปที่เก้าอี้ “เชิญนั่งสิ เราจะได้คุยกัน”
“ตะ...แต่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ข้าต่ำต้อยกว่าท่านมากนัก” ฮาธอสค้อมตัวลงอย่างไม่อาจรับ
“เจ้าเป็นตัวแทนมาจากจอมเทพีเรเทเชีย เป็นแขกของข้า ข้าจะต้อนรับตามวิธีการของข้าไม่ได้หรือ นั่งลง”
อีกแล้ว...เขาทำเสียงทุ้มต่ำแบบเมื่อคืนนี้อีกแล้ว มันสั่นสะเทือนผ่านอากาศมาถึงหัวใจของฮาธอสแล้วสั่งให้ชายหนุ่มทำตาม ร่างสูงโปร่งค่อย ๆ มานั่งที่เก้าอี้ ในตอนที่เดินผ่านตัวไคซัสนั้น เขามีโอกาสได้เห็นดวงตาของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด ตอนนี้มันไม่มีประกายเกล็ดเห็นแบบเมื่อคืน แต่ก็สวยสดราวกับบุษราคัมสีแสดก็ไม่ปาน
“ดีมาก ที่นี่เราจะได้คุยกันตรง ๆ เสียที จอมเทพีเรเทเชียได้ฝากอะไรมาถึงข้าอีกไหม” ไคซัสถามขณะเดินอ้อมโต๊ะกลับไปนั่งที่เดิม สีหน้าของเขายังคงนิ่งสนิท
“นางฝากให้ข้าเรียนกับท่านมหาเทพสงครามว่า ‘เมื่อท่านปรารถนามิตร ท่านก็ได้มิตร’ ขอรับ” ฮาธอสกล่าว ดวงตาสีเขียวของเขาฉายแววจริงใจเปี่ยมล้น จนอีกฝ่ายชักสงสัยว่าเป็นเพราะการฝึกหรือเพราะนิสัยเจ้าตัวกันแน่ แต่อย่างน้อยคำตอบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นโชคดีของข้าจริง ๆ ที่ได้จอมเทพีเรเทเชียมาเป็นมิตร แต่ข้าอยากจะอธิบายให้กระจ่าง ข้าไม่ได้ต้องการแรงสนับสนุนใด ๆ จากจอมเทพีเรเทเชีย สิ่งที่ข้าต้องการมีแค่...มิตร” เทพอสูรหนุ่มหงายไพ่อีกใบแล้วรอดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้า
ฮาธอสค่อนข้างประหลาดใจกับคำพูดของไคซัส ในนิยามของเขา ‘มิตร’ หมายถึงบุคคลที่มีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อ คอยช่วยเหลือดูแลกันและกันด้วยความจริงใจ ซึ่งนั่นหมายความร่วมถึงแรงสนับสนุนในเรื่องต่าง ๆ ที่มีต่อคนที่เป็นมิตรด้วย ฉะนั้นเขาจึงไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายนัก
เทพอสูรตนนี้ทำราวกับต้องการตัดตัวเองออกจากชาวเทพอย่างไรอย่างนั้น...
“ทราบแล้วขอรับ ข้าจะกลับไปเรียนจอมเทพีของเราเช่นนั้น” ฮาธอสตัดสินใจตอบอย่างเป็นกลาง
อย่างที่คิดจริง ๆ ไคซัสคะนึงในใจ เทพหนุ่มตนนี้ไม่เหมือนกับเทพชั้นผู้น้อยตนหนึ่งที่เขาเคยพบ พวกนั้นจะไม่คิดสงสัยและไม่หาคำตอบในเรื่องที่เทพชั้นสูงกว่าพูดออกมา แต่ฮาธอสเหมือนกับอัลล์ ชายหนุ่มพยายามหาคำตอบในคำพูดของเขา และยังมีไหวพริบดีพอที่จะแก้ปัญหาแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่นอีกด้วย ลำพังแค่ข้ามาเผชิญหน้ากับเขาตามลำพังก็นับว่าน่าชื่นชมมากแล้ว แต่นี่มีความเฉลียวฉลาดด้วยยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่
“ได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำแบบนั้น และเชื่อด้วยว่าระหว่างทางเจ้าอาจจะคิดจนได้คำตอบไปเสนอแนะนางด้วย” ไคซัสทดลองหย่อนระเบิดลงไป ซึ่งได้ผล ฮาธอสชะงักแล้วแล้วเบิกตามองเขาด้วยความตกใจ “ข้าชอบคนฉลาด ฮาธอส ไม่ว่าจะอยู่ในลำดับชั้นไหนก็ตาม ขอแค่เป็นคนฉลาดก็สามารถคุยกับข้าได้ทั้งนั้น”
“มิบังอาจ...” ฮาธอสก้มหน้าหลบ ดวงตาหลุกหลิก ไม่คาดฝันเลยว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าเขา ‘คิดเป็น’
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นอยู่แล้ว” มหาเทพอสูรขยับตัวตรง มือทั้งสองข้างประสานกันบทโต๊ะ ท่าทางจริงจัง “แต่ข้าอยากให้เจ้าตอบคำถามข้าสักข้อ สำหรับเจ้า ใครน่ากลัวที่สุดในสวรรค์”
คำถามนี้ทำให้ฮาธอสนิ่งไปเหมือนกับอัลล์ ต่างกันตรงที่เทพหนุ่มมองตาเขานิ่งราวกับจะถามว่า ‘แน่ใจแล้วหรือที่สงสัยข้อนี้’ มันเป็นความกล้าเข้าขั้นบ้าบิ่นสำหรับเทพหนุ่มผู้นุ่มนวล และพอรู้ตัวก็หลุบตาลงอย่างเจียมตัวเหมือนเดิม
“ข้าคิดว่าเป็นมหาเทพ...”
“ไม่ใช่ ‘ฟาเบียน’ ฮาธอส” เทพอสุรหนุ่มพูดออกไป แววตาขึงขังยิ่งทำให้บรรยากาศดุดันยิ่งขึ้น “ข้ารู้จักฟาเบียนมานานกว่าที่เจ้า รู้ดีกว่าเขาไม่ใช่คนที่น่ากลัว ข้าอยากรู้ว่าเมื่ออยู่ในสถานะนี้ข้าควรจะระวังใครที่สุด”
ฮาธอสก้มหน้าใช้ความคิด เขาจำเป็นต้องตรึกตรองให้ละเอียดก่อนพูด เนื่องจากเป็นคำถามที่มีความเสี่ยงมาก ที่สำคัญเขาไม่เคยถูกถามแบบนี้มาก่อนด้วย แต่ไคซัสถามเพื่อประโยชน์ในการป้องกันตัวเอง เขาจึงควรจะตอบ
“ข้าคิดว่าน่าจะเป็น...ขุนพลเทพอันดับห้า...ท่านเซย์เรียโน่ขอรับ”
มหาเทพสงครามสดับแล้วก็พยักหน้าช้า ๆ ใบหน้าคร้ามเข้มยังคงปราศจากความรู้สึก ก่อนเขาจะเปิดลิ้นชักหยิบสร้อยเงินร้อยจี้รูปตรีศูลด้ามยาวออกมาคล้องคอ แล้วลุกขึ้นไปหยิบเสื้อคลุมที่แขวนไว้กับเสาข้างกรอบประตูมาสวม
“ขอบใจมาก ข้าถือว่านั่นเป็นคำแนะนำของมิตรและจะจดจำให้ขึ้นใจ” ไคซัสบอก
ถึงความหมายจะตรงไปตรงมา แต่ฮาธอสกลับรู้สึกว่ามีความหมายแอบแฝงที่เขาไม่เข้าใจอยู่ด้วย แลเพราะอีกฝ่ายพูดว่า ‘มิตร’ เขาจึงตัดสินใจทำบางสิ่งเพื่อความเท่าเทียมบ้าง
“ขออภัยขอรับ ท่านมหาเทพสงคราม แต่ข้าขอเสียมารยาทถามอะไรสักอย่าง” ไคซัสเงยหน้ามามองเป็นสัญญาณว่ากำลังรอฟังอยู่ “จากที่ข้าดูท่านไม่โปรดการอยู่บนสวรรค์ แล้วทำไมท่านถึงยอมรับตำแหน่งขอรับ”
คำถามที่เป็นประหนึ่งลูกศรทะลวงเข้ากลางใจดำของไคซัสพอดี เทพอสูรหนุ่มถึงกับยิ้มกว้างเลยทีเดียว
“เจ้าจะกล้าหาญเกินตัวไปแล้ว ฮาธอส ตอนเห็นเจ้าในงานเลี้ยงไม่นึกเลยว่าจะกล้าขนาดนี้” ไคซัสเอียงคอกลับมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหลือเชื่อที่ดูอ่อนโยนยิ่ง “แต่นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของข้าและ ‘มิตร’ ก็ไม่ควรรู้ด้วย ข้าต้องไปกองบัญชาการแล้ว เชิญกลับไปได้ บอกเจ้านายของเจ้าด้วยว่า ข้าพอใจกับของกำนัลมาก”
ว่าพลางก็เปิดประตูห้องพร้อมผายมือเชื้อเชิญแขกกลับ ฮาธอสซึ่งอยู่ในสถานะต่ำกว่าจึงโต้เถียงไม่ได้ ถึงจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายหลอกใช้ตัวเองอยู่กลาย ๆ ก็ตาม ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินมาคำนับแทนคำอำลาจากนั้นก็กลับออกไปก่อน ไคซัสรอจนกระทั่งร่างของฮาธอสเหาะออกนอกเขตเมฆของตำหนักแล้วค่อยนำทหารของอัลล์ไปทำ ‘ธุระ’ ของตัวเองบ้าง
------------------
กองบัญชาการกองทัพสวรรค์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหานครแห่งฟ้าอันกว้างใหญ่ ที่นี่ตั้งอยู่บนก้อนเมฆสีทองขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีอยู่เพียงสามก้อนในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งหากเกิดสงครามครั้งใหญ่บนสวรรค์ เมฆก้อนนี้ก็สามารถลอยตัวขึ้นและเคลื่อนไปอยู่ในแนวหน้าได้ในเวลาอันสั้น
ภายในซึ่งสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ถูกเนรมิตตามแบบสถาปัตยกรรมจีนโบราณ เหล่าทหารในเครื่องแบบสีขาวเดินขอบชุดด้วยสีแตกต่างกันจับกลุ่มพูดคุยถึงมหาเทพสงครามตนใหม่อย่างออกรส ทุกคนยังคงไม่อยากเชื่อว่าอำนาจสูงสุดของกองทัพฟ้าได้ตกไปอยู่ในมือของเทพอสูรที่มาจากโลกเบื้องล่างแล้ว
อัลล์เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ได้ร่วมวงสนทนาเรื่องนี้ด้วย เขาเพิ่งจะได้บันทึกกับแผนที่ที่ไคซัสต้องการจากสำนักเลขาธิการ ตอนนี้กำลังวิ่งไปที่ประตูหน้าเพื่อรอรับเจ้านายคนใหม่ หลังเจ้าตัวส่งคนมาบอกว่ากำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
ทว่าในตอนที่วิ่งข้ามลานกว้างอันแหล่งชุมนุมของเหล่าทหารนั้น มือเล็กแต่ทรงหลังข้างหนึ่งก็คว้าแขนของเขาไว้เสียก่อน เมื่อหันหน้า พอหันกลับไปมองอัลล์ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหน้าของเซย์เรียโน่
“เฮ้ ๆ วิ่งพรวดพราดแบบนี้เดี๋ยวก็ชนใครเข้าหรอก” เสียงเล็ก ๆ ที่ไม่มีแววแตกพานดุ
“ขออภัยขอรับ ท่านเซย์เรียโน่ ข้าน้อยกำลังรีบ” อัลล์แจ้งอย่างร้อนรน
“ทำไมล่ะ” เซย์เรียโน่ถาม แต่แปบเดียวก็เลิกสนใจแล้วชูซองบัตรเชิญสีแดงสดขึ้นมา “เจ้านายใหม่ของพวกเจ้าเข้ามาแล้วหรือยัง ข้าเอาบัตรเชิญงานเลี้ยงมาให้เขา”
อัลล์มีท่าทีร้อนรนทันใด “มหาเทพไคซัสยังไม่เข้ามาขอรับ แต่ข้าจะ...”
“ไม่ต้องหรอก อัลวิน ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”
เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยแทรกกลางปล้องเรียกความสนใจของชายทั้งสองไปยังผู้มาใหม่ ไคซัสก้าวข้ามธรณีทวารที่ยกสูงไว้เข้ามาข้างในพอดี ทหารสองนายตามเขามาด้วย ทั้งลานตกอยู่ในความเงียบ เมื่อทหารทุกนายได้เห็นเขา เทพอสูรหนุ่มกวาดตามองรอบ ๆ ก่อนจะเดินตรงไปหาพวกอัลล์เหมือนไม่สนใจ ทั้งที่เพิ่งแยกกันมาไม่ถึงสองชั่วโมง แต่ในความรู้สึกของอัลล์ เจ้านายดูน่าเกรงขามกว่าเมื่อเช้านี้หลายเท่าตัว ดวงตาของเขามีแต่ความอำมหิตด้วยซ้ำ เซย์เรียโน่กระตุกยิ้มอย่างชมชอบ
“เราได้พบกันอีกแล้ว มหาเทพสงครามไคซัส ข้า ‘เซย์เรียโน่ ดาร์กเนส’ ขุนพลอันดับเทพอันดับห้า ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กหนุ่มยื่นมือซ้ายมาให้ ซึ่งไคซัสรับไว้แล้วเขย่าสองสามที
“ยินดีที่ได้พบ เทพมังกรไฟแห่งมิติดราโกเนีย ผู้กำเนิดจากชิ้นส่วนของเทพมังกรทองแห่งสวรรค์ ข้าได้ยินชื่อของเจ้ามานานทีเดียว” เขาพูดด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก “เทพมังกรผู้ไม่ควรกำเนิดขึ้นมา”
“ใครเป็นคนกำหนดชะตากรรมของคนเรากันล่ะ” เซย์เรียโน่ยิ้มกว้าง แววตาท้าทาย “ข้าเกิดมาแล้ว ยืนอยู่ตรงนี้ สนทนาอยู่กับท่านและจะชวนไปงานเลี้ยงด้วย ข้าอยากเป็นมิตรด้วยนะ ที่ตำหนักข้ามีเหล้าเยอะแยะ”
แต่ไคซัสกลับรู้สึกว่ามันเป็นคำเชิญไปสู่อันตราย อาจเพราะคำตอบของฮาธอสที่ได้มาก่อนหน้านี้
“ขอโทษด้วยนะ แต่ต้องขอปฏิเสธ วันนี้เป็นวันทำงานครั้งแรกของข้า ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้”
ขุนพลเทพน้อยยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่เป็นไร งานเลี้ยงของข้าไม่ได้มีคืนเดียวอยู่แล้ว” ร่างโปร่งบางเดินมาใกล้แล้วเอาบัตรเชิญแปะอกของผู้อาวุโสกว่า เสียงเล็กกระซิบกลับมา “ที่สำคัญข้ามีทุกอย่างที่ท่านต้องการ ถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็มาหาข้าที่ตำหนักได้เลย แต่เตรียมใจสักนิด งานเลี้ยงของข้าไม่ใช่งานเล็ก ๆ นะ ลาก่อน”
หลังกล่าวลาด้วยใบหน้าชื่นมื่น เด็กหนุ่มในชุดจีนประยุกต์ก็อันตรธานหายไป บัตรเชิญที่เขาทิ้งไว้จึงปลิวตกกลางอากาศ อัลล์ยื่นมือเตรียมจะรับ แต่ไคซัสกลับคว้าได้ก่อน มือใหญ่ที่ไว้เล็บแหลมยาวเหมือนกรงเล็บขยำมันจนยับยู่ยี่ เจ้าเด็กนั่นอันตรายสมตำแหน่งที่ได้รับจริง ๆ
“มหาเทพ...” อัลล์เอ่ยเรียกดึงสติเจ้าของชื่อกลับสู่โลกความเป็นจริง
ในตอนนั้นเองที่ไคซัสรู้สึกถึงสายตาทิ่มแทงที่ส่งมาจากรอบข้าง มหาเทพสงครามช้อนตามองโดยรอบพบว่าพวกเขากำลังกระซิบกระซาบ บางคนชี้ไม้ชี้มือมาทางเขาเหมือนกับตัวประหลาดที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก...
...แน่นอน พวกเขาไม่เคยเห็นไคซัสมาก่อน ไม่เคยเห็น ‘อสูร’ รูปร่างอัปลักษณ์ในสถานที่สวยงามเช่นนี้ มันเป็นสิ่งที่มหาเทพหนุ่มตระหนักอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ราชาแห่งฟ้ายังกังวลจนต้องกระจายเสียงในตอนแต่งตั้งไปทั่วสวรรค์ เพื่อป้องกันการต่อต้าน แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะต้องมานั่งกลัวสายตาของทหารเล็ก ๆ พวกนี้
“อัลวินเตรียมตัว ข้าจะทำอะไรบางอย่างที่นี่” ก่อนที่อัลล์จะทันเข้าใจความหมายของไคซัส มหาเทพหนุ่มก็ตะโกนไปในลานกว้าง “ทหารทุกนายที่อยู่ในกองบัญชาการแห่งนี้ ทุกหน่วย ทุกกรมกอง จงออกมารวมกันที่ลานกว้างด้านหน้าเดี๋ยวนี้ นี่เป็นคำสั่งมหาเทพสงคราม!!!”
เสียงทุ้มต่ำถูกขยายด้วยเวทมนต์ดังกระหึ่มจนอาการทุกหลังสั่นสะเทือน ทรงอำนาจดุจเสียงคำรามพญาพยัคฆ์เขย่าขวัญทุกคนในบินหาย ทหารทุกนายรีบวิ่งไปประจำที่ แม้แต่คนที่กำลังทำงานอยู่ก็ยังรีบถลาออกมา ในขณะที่ไคซัสย่างสามขุมไปยังเวทีตั้งอยู่ด้านในสุดของลานกว้าง ซึ่งน่าประหลาดที่ไม่มีใครวิ่งชนเขาเลยสักตน ผิดกับอัลล์และลูกน้องที่ถูกชนกระเด็นไปตนละหนสองหนจนต้องกางเขตอาคมป้องกันไว้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ทหารทั้งหมดสองพันห้านายจากทุกกรมกองที่ปฏิบัติงานในวันนี้ก็มาเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบตามคำสั่ง ระหว่างนั้นไคซัสก็ขึ้นไปคอยท่าบนเวทีแล้ว
“ทหารทุกนาย...” อัลล์ที่อยู่ด้านล่าง หน้าเวทีกำลังอัลล์จะประกาศ แต่ต้องชะงักไปเมื่อไคซัสยกมือห้าม
“ไม่ต้อง ข้าจะพูดไม่ยาวนัก” ไคซัสยังคงขยายเสียงของตนด้วยเวทมนต์อยู่ หากคราวนี้เบาลงพอได้ยินทั่วทั้งลาน “วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกของข้า เดิมทีตั้งใจว่าจะยังไม่เรียกรวมตัวทันที เพราะอยากให้พวกเจ้าได้ทำใจกันอีกสักนิด แต่ในเมื่อข้ามาที่นี่แล้วก็ไม่อยากเสียเวลา”
เขาเว้นช่วงกวาดตามองทหารแถวหน้าซึ่งเป็นประหนึ่งตัวแทนของทหารในที่นี้ ทุกนายทอดมองเขาดั่งตัวประหลาด ขาดความเชื่อถือ และไม่มีความเคารพยกย่องตามสมควรแก่ฐานะของเขา
“ข้ารู้ว่าสำหรับที่นี่ ข้าเป็นตัวประหลาด แต่นั่นไม่ได้ลดทอนอำนาจของข้าในฐานะ ‘มหาเทพสงคราม’ ช้าคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในกองทัพแห่งนี้ ซึ่งข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติได้ทำหน้าที่นี้ด้วย ฉะนั้นข้าจึงหวังว่าทุกคนจะรู้สึกเหมือนกับข้า มีเกียรติและศักดิ์ศรีในฐานะทหาร ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าเคารพนับถือข้า สิ่งที่ข้าต้องการมีแค่ ‘จงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด’ ใครก็ตามที่เอาเรื่องข้าเป็นอสูรมาอ้างเพื่อละเลยหน้าที่ ข้าจะลงโทษมันผู้นั้นตามความผิดสูงสุดที่บัญญัติไว้ในกฎอัยการศึก!”
แล้วมหาเทพสงครามก็พยักหน้าให้อัลล์ซึ่งประกาศเลิกแถวทันที ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่เดิมของตนคือคือของติดตามไคซัสไปสำรวจสวรรค์ ถึงตอนนี้ไม่มีใครสนใจอีกแล้วว่าเหล่าทหารจะมองเขาด้วยสายตาเช่นไร เทพอสูรหนุ่มได้แสดงจุดยืนของตนให้เห็นแล้ว ส่วนที่เหลือก็อยู่ที่การตัดสินใจของเหล่าทหารเท่านั้น
-------------------
สวรรค์เป็นดินแดนที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลและภูมิประเทศที่หลากหลาย ทำให้ไม่สามารถดูแลความสงบเรียบร้อยได้อย่างทั่วถึง ในยุคแรกที่สวรรค์เกิดขึ้นก็เคยถูกเผ่าปีศาจโจมตีมาแล้วหลายครั้ง ราชาของชาวฟ้าองค์ที่สิบสามจึงแก้ปัญหาด้วยการสร้างเขตแดนจากพลังศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์ โดยเสาเขตแดนกว่าสองหมื่นต้นที่ปักปันตามแนวชายแดนเป็นสื่อกลาง พวกปีศาจไม่มีทางฝ่าเข้ามาได้อีก ยกเว้นแต่จะบุกมาทางทวารดินที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์
หลังออกมาจากกองบัญชาการกองทัพสวรรค์แล้ว ไคซัสกับผู้ติดตามทั้งสามนายก็เหาะมาสำรวจบริเวณชายแดนด้วยกัน พวกเขาเหาะเหินไปด้วยความเร็วสูงดุจดาวหางที่บินพาดผ่านท้องฟ้า ทั้งกลุ่มจะหยุดก็ต่อเมื่อพบกองทหารลาดตะเวน ไคซัสจะสอบถามพวกเขาเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่พบเจอทุกครั้งที่ออกทำงาน ซึ่งทุกกลุ่มตอบเหมือนกันหมดว่าทุกอย่างเป็นปกติดี สุดท้ายเทพอสูรหนุ่มก็ตัดสินใจมาที่เสาต้นใหญ่ที่สุดของชายแดนบริเวณนี้
มหาเทพสงครามสั่งให้อัลล์กับลูกน้องรออยู่ห่าง ๆ สั่งให้หัวหน้าทหารหนุ่มอ่านบันทึกเพื่อสรุปย่อให้เขาฟังทีหลังด้วย จากนั้นไคซัสก็วางมือตรงโคนเสาศิลาที่สูงกว่าตัวเขาหลายร้อยฟุต แล้วแผ่พลังของตัวเองเข้าไปตรวจสอบสภาพเขตอาคมโดยตรง อำนาจมนตราสองสายต่อต้านกันไปมา แม้ว่าจะไม่รุนแรงนัก แต่ก็มากพอเห็นกระแสพลังเคลื่อนไหวรอบ ๆ เสาได้อย่างชัดเจน
...เป็นเวลานานหลายชั่วโมงกว่าไคซัสจะสำรวจเสร็จสิ้น เทพอสูรคลายพลังของตนเองแล้วถอยหลังออกมาด้วยท่าทางอ่อนล้า กระแสมนตราที่กระจายออกมาค่อย ๆ จางหายไป
“สภาพเขตอาคมโดยรวมยังคงดูดีอยู่ แต่เสาที่อยู่ทางเหนือหลายต้นเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว จดไว้ด้วยว่าเรื่องนี้ต้องเข้าที่ประชุมสภาสวรรค์” ไคซัสสั่งซึ่งทหารคนหนึ่งรีบจดไว้ทันที “อัลวินสรุปย่อมาสิ”
“ขอรับ” อัลล์ขานรับก่อนค่อยเริ่ม “จากบันทึกช่วงที่ผ่านมาสวรรค์ไม่มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก มีเหตุการณ์ที่พวกปีศาจพยายามทะลวงเข้ามาทางชายแดนที่เปราะบาง โดยไม่ผ่านทวารดินสองสามครั้ง แต่พวกมันทำไม่สำเร็จ เพราะต้านทานพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ไหวขอรับ”
“มีการเพิ่มจำนวนการลาดตะเวนขึ้นไหม” ไคซัสถามเสียงเข้ม ดวงตาทอดมองสภาพพื้นที่โดยรอบ หวังหาสัญญาณที่ตัวเองกำลังตามหาอยู่
“เอ่อ...บันทึกระบุว่าเพิ่มเฉพาะช่วงห้าสิบแรกของการบุกแต่ละครั้ง หลังจากนั้นก็จะลดลงตามลำดับจนเหลือแค่สี่กะในปัจจุบัน แต่ที่ทวานดินมีการเพิ่มจำนวนทหารรักษาความปลอดภัยมากขึ้นขอรับ” อัลล์ตอบโดยเสริมเรื่องที่คิดว่าไคซัสจะถามต่อเข้าไปด้วย
เทพอสูรหนุ่มพยักหน้า “แล้วความเปลี่ยนแปลงจุดอื่น ๆ ในสวรรค์ช่วงพันปีที่ผ่านมาล่ะ”
“แทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงขอรับ ยกเว้นจำนวนทหารเทพที่ลดน้อยลงทุกครั้งที่เกิดสงคราม” น้ำเสียงของอัลล์หนักแน่นเพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนได้อ่านมา ดวงตาสีม่วงพิจารณาใบหน้าไร้ความรู้สึกของเจ้านาย “หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอเสียมารยาทถาม ทำไมท่านถึงอยากรู้ความเปลี่ยนแปลงของสวรรค์ขอรับ”
ไคซัสหันมองหน้าคนถามในทันที ไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นความคลางแคลงใจจากสีหน้าของอัลล์ มันเป็นปฏิกิริยาปกติที่เกิดขึ้นเสมอเวลาที่เทพอสูรหนุ่มเสนอหน้าไปยุ่งเรื่องของใคร แต่น้อยคนที่จะกล้าถามเขาแบบนี้
“ตอนฟาเบียนติดต่อมาหาข้า เขาระบุเอาไว้ด้วยว่าการป้องสวรรค์ให้พ้นจากอันตรายเป็นหน้าที่ของมหาเทพสงคราม และข้าคิดว่ามหาเทพแต่ละตนก็มีวิธีการแตกต่างกันไป นี่คือ ‘วิธีของข้า’ อัลวิน”
พูดยังไม่ทันขาดเสียงดีด้วยซ้ำ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างทางตะวันตก ไคซัสจึงตบบ่าอัลล์แล้วชี้ไปยังเมฆสีรุ้งก้อนหนึ่งที่ลอยตัวอยู่บริเวณเส้นขอบฟ้า
“นั่นอะไร”
“เมฆสีรุ้งขอรับ บางครั้งในตอนกลางวันจะมีเมฆบางก้อนที่ไม่เปลี่ยนสีตามแสง พวกมันจะลอยสะเปะสะปะไปเรื่อยเหมือนเรือไม่มีหางเสือ” อัลล์อธิบายพลางเอียงคอฉงนฉงาย “แต่แปลก...ปกติเมฆสีรุ้งจะอยู่ในมหานครหรือไม่ก็ใกล้ตำหนักเทพบรรพกาล ทำไมเจ้าก้อนนี้ถึงมาลอยเท้งเต้งอยู่แถวนี้ได้...”
“ไหนเจ้าบอกข้าว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงในสวรรค์ไงล่ะ” ไคซัสกันมาซัก คิ้วขมวดเข้ากันอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าเห็นเมฆแบบนั้นแถวชายแดนนี่อีกไหม”
อัลล์ส่ายศีรษะ “ไม่ขอรับ ข้าไม่ได้ออกจากมหานครตั้งแต่เมื่อหกเดือนก่อน หลังจบสงครามข้าก็ถูกแช่แข็งอยู่ในหน่วยเล็ก ๆ จนกระทั่งถูกย้ายมาอยู่กับท่าน”
มหาเทพสงครามชักสีหน้าผิดหวังทันที เขามองไปที่เมฆก้อนนั้นอีกครั้ง สัมผัสมันด้วยเศษเสี้ยวพลังของตนเองก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดจนกระทั่งมันลอยหายไปลับกับตา ทันใดนั้นเองที่ความหนักอึ้งถาโถมลงมาทับสองบ่าของเขา
“พวกเจ้ารู้ไหมว่านี่หมายความว่าอย่างไร” เขาเอ่ยเหมือนถามลอย ๆ
“ไม่เลยขอรับ” อัลล์ตอบตามตรง ลูกน้องของเขาก็ส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ
ร่างสูงใหญ่มีเขาหมุนตัวกลับมาหาผู้ติดตามของตน ใบหน้าคร้ามเข้มดูจริงจังจนน่ากลัว
“ข้าต้องไปงานเลี้ยงของขุนพลอันดับห้าเซย์เรียโน่น่ะสิ”
-------------------
ตอบคอมเมนต์
คุณ kamidere กับคุณ saruttaya - มาต่อให้แล้วนะครับ ^ ^
คุณ teatimes ขอบคุณสำหรับเป็ดเหลืองฮับ เรื่องนี้เขียนจบแล้ว ตั้งใจทยอยลงเรื่อยๆ ไม่ดองแน่นอนครับ
