[นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13  (อ่าน 38503 ครั้ง)

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

**************************************************

แจ้งข่าวเปลี่ยนแปลงระยะเวลาสั่งจองหนังสือครับ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41187.0

******************************

สวัสดีครับ ชาวเล้าเป็ดทุกท่าน

แฮะ ๆ ก่อนจะทำอะไรก็ต้องทักทายกันตามประสาสมาชิกใหม่กันล่ะเนอะ โดยเฉพาะเมื่อผมเป็นสมาชิกใหม่สำหรับเล้าเป็ดแห่งนี้ (กว่าจะเข้ามาได้ เล่นเอาเหงือกแห้งเลยครับ)

อ่า... มาโกโตะ-ซัง ครับ ยูสเนมนี้ตัดมาจากคันจิตัวหนึ่งของนามปากกาจริงครับ พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ จะเรียกว่า มาโกะ หรือ เคย์ ก็ได้ (เคย์ มาจากคันจิตัวหน้าครับ ฮ่าๆๆๆ) เห็นใช้สำนวนแบบผู้ชายอย่างนี้ จริงๆ แล้วผมเป็นสาวนะครับ (ฮา) พอดีว่าติดสำนวนชายมาหลายปีแล้ว พยายามลองเขียนสาวๆ อยู่ แต่ไม่ไหวแล้วฮร่ะ ธาตุชายมันออก orz

สำหรับนิยาย ณ แดนสรวง นี้เป็นแนวแฟนตาซีจ๋าเลยนะครับ ดินแดนทั้งหมดสร้างขึ้นจากจินตนาการของมาโกะเอง โดยหยิบเล็กผสมน้อย เอานั่นเอานี่มายำเข้าไป ไม่ได้อ้างอิงตำนานจริงแต่อย่างใดครับ ดังนั้นอาจจะไม่ถูกใจใครหลายคน แต่ก็ขอฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ ^ ^

Makoto-sang (มาโกะ)

-------------------------

สารบัญแจ้

ปฐมบท+บทที่ 1-1+บทที่ 1-2+บทที่ 2-1+บทที่2-2+บทที่ 3-1+บทที่ 3-2+บทที่ 4-1+บทที่ 4-2+บทที่ 4-3+บทที่5-1+บทที่+5-2+บทที่5-3+บทที่6-1+บททีุ่6-2+บทที่7-1+บทที่7-2+บทที่8-1+บทที่8-2+บทที่ 9-1+บทที่9-2+บทที่9-3+บทที่10-1+10-2+10-3+บทที่11-1+11-2+บทที่12-1+12-2+12-3+บทที่13-1+13-2+13-3+บทที่14-1+14-2+บทที่15-1+15-2+บทที่16-1+16-2+บทที่17-1+17-2+บทที่18-1+18-2+บทที่19-1+19-2+บทที่20-1+20-2+บทที่21-1+21-2+บทส่งท้าย


ตอนพิเศษ ชุดฉากที่หายไป 1+2+3
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-04-2014 06:32:28 โดย Makoto-sang »

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
ปฐมบท

มหาสงครามระหว่างเทพกับปีศาจในแดนมนุษย์นั้นไม่ต่างอันใดจากหายนะ กองทัพเทพที่มีปีกสีขาวราวกับเป็นตัวแทนความบริสุทธิ์เข้าห้ำหั่นกับปีศาจที่มีปีกสีดำทมิฬอย่างดุเดือด เลือดสีขาวกับสีแดงของชาวสวรรค์สาดกระเซ็นแปดเปื้อนปะปนไปกับโลหิตสีดำของฝ่ายมาร ความสูญเสียเกิดแก่ทั้งสองฝ่ายอย่างไม่หยุดยั้ง แต่กลับไม่มีใครยอมหยุดยั้งจนกว่าแต่ละฝ่ายจะบอบช้ำจนถึงที่สุด

หรือไม่ก็ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ย่อยยับไป!

ท่ามกลางการศึกที่ดำเนินไปอย่างหนักหน่วงและรุนแรง ในกระโจมบัญชาการของกองทัพฟ้า ฟาเบียน มหาเทพเจ้าสวรรค์ผู้มีเรือนผมหยักศกสีเหลืองอ่อนนั่งอยู่กับผู้ติดตามประมาณสิบคน ปลายนิ้วของเขาพนักเท้าพระกรเป็นจังหวะอย่างรอคอย ใบหน้าค่อนจะหวานเหมือนผู้หญิงซึ่งโดดเด่นด้วยดวงตาสีเขียวอ่อนดูเคร่งเครียด เขากำลังรอคอยข่าวจากแดนหน้าหลังมหาเทพสงครามผู้เป็นนายทัพนำทหารออกไปรบได้เกือบสี่ชั่วโมงแล้ว

“นี่มันนานแล้วนะ ไม่มีใครรู้ความเคลื่อนไหวของแนวหน้าเลยรึ” ฟาเบียนกระแทกเสียงถามอย่างเคืองขุ่น

“ท่านจ้าวโปรดรออีกสักหน่อย การสู้รบจริง ๆ เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน หากมีความคืบหน้าท่านขุนพลเทพอันดับห้าคงจะรีบให้คนมาแจ้งทันที” หนึ่งในผู้ติดตามรีบปลอบโยน

“ขุนพลเทพอันดับห้า? เซย์เรียน...ไม่สิ เซย์เรียโน่น่ะเหรอ เจ้านั่นไม่มีทางยอมรายงานง่าย ๆ ข้าจะออกไปดูด้วยตัวเอง!”

แต่อึดใจที่มหาเทพจ้าวสวรรค์ลุกขึ้นจากที่ประทับ ทหารในชุดเกราะสีขาวเขียนอักขระเวทสีทอง ปีกเต็มไปด้วยคราบฝุ่นและรอยเลือดก็วิ่งเข้ามาข้างในพอดี เขาถวายบังคบเร็ว ๆ แล้วกราบทูลด้วยเสียงสั่นเครือ

“กราบทูลท่านจ้าวสวรรค์ มหาเทพสงครามสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ดุจสวรรค์ถล่มกลางหัวใจของจ้าวแห่งฟ้า ร่างโปร่งบางพลันทรุดลงกับเก้าอี้ เหล่าผู้ติดตามรีบถลาเข้ามาประคอง แต่องค์เจ้ายกมือห้ามไว้ก่อน

“ได้ยังไง มหาเทพจุติได้ยังไง!” ทหารกำลังจะอ้าปากตอบ แต่ฟาเบียนลุกพรวดขึ้นพูดเสียงกร้าว “ไม่ต้องตอบ ข้าจะออกไปดูด้วยตัวเอง ตอนนี้เซย์เรียโน่อยู่ที่ไหน พาข้าไปหาเขาเดี่ยวนี้!!”

ทหารหนุ่มค้อมศีรษะรับแล้วนำทางมหาเทพสวรรค์พร้อมผู้ติดตามเหาะสู่สนามรบ ซึ่งต้องผ่านทวารดินที่เชื่อมต่อระหว่างค่ายพักที่อยู่ในเขตสวรรค์กับภูเขาต้องห้ามในแดนมนุษย์ ทวาราบานใหญ่ยักษ์ถูกเปิดค้างไว้ในระหว่างที่ทั้งกลุ่มบินออกไป ฟาเบียนขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์เมื่อได้เห็นทหารฝ่ายของตนถูกลำเลียงเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เขาเร่งให้คนนำทางบินเร็วขึ้นในขณะที่กลิ่นของความตายและหายนะแจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน้าผาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถูกใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ในการรบครั้งนี้ ที่นี่ฟาเบียนและทุกคนพบเด็กหนุ่มวัยรุ่นในชุดแบบจีนประยุกต์สีแดงสดยืนรออยู่แล้ว เขาหมุนตัวกลับมามองทุกคนด้วยดวงตาสีแดงสดดั่งเลือดอย่างเย็นชา ใบหน้าสวยหวานแบบผู้หญิงแท้ ๆ ไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง

“ออกมาจนได้นะ ฟาเบียน แต่ไม่มีอะไรให้เจ้าดูอีกแล้วล่ะ” เขาหันกลับไปที่เดิม มองสนามรบที่ฝ่ายปีศาจกำลังบดขยี้กองทัพเทพแบบไม่มียั้ง แต่ก็สามารถมองเห็นรองแม่ทัพกำลังบัญชาการเพื่อพลิกสถานการณ์อย่างเห็นได้ชัด

“เซย์เรียโน่ มหาเทพสงครามจุติแล้วจริงหรือ!” ฟาเบียนถาม ก่อนเสียงระเบิดจะดังกึกก้องจากสนามรบ ใครสักคงคนระเบิดอำนาจออกมา

“อา...เจ้าจับจิตของ ‘มหาเทพ’ ไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ เขาถูก...” คำพูดของผู้ตอบขาดห้วงเมื่อมือของเขาตวัดผ่านคอ ฟาเบียนเม้มปากด้วยความโกรธ “แต่มันก็เป็นความผิดของเขาที่รุกคืบโดยไม่ดูกระแสดีก่อนจนติดกับแบบนั้น”

“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เข้าไปช่วย” มีการระเบิดเกิดขึ้นกลางสนามรบพร้อม ๆ กับเสียงของฟาเบียนอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนจะมาจากฝั่งปีศาจบ้าง “ข้าให้เจ้ามาอยู่ตรงหน้าที่เพื่อเสริมทัพแทนมหาเทพสงครามนะ!”

“ข้าจะรอคุยกับเจ้าก่อนไงล่ะ เพราะรู้ว่าเจ้าต้องมาแน่”

เด็กหนุ่มเบือนหน้ามามองเขาอีกครั้ง ดวงตาสีแดงเลือดฉายแววสนุก ทั้งที่อีกฝ่ายยังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าเขาเป็นพันปี แต่ฟาเบียนก็ยอมรับกับตัวเองในนาทีนี้ว่าอีกฝ่าย ‘น่ากลัว’ จริง ๆ

“เจ้าเลือกใครเป็นมหาเทพสงครามคนใหม่แล้วหรือยัง”

คนถูกถามกลืนน้ำลาย “เลือกไปแล้ว...” เขาอึกอักนิดหน่อย “ไม่สิ ต้องบอกว่าติดต่อเป็นครั้งที่สองพันเจ็ดร้อยเก้าเก้า ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะยอมตอบรับไหม”

“อย่างนั้นเหรอ” เซย์เรียโน่รับรู้แล้วก็กระตุกยิ้มมุมปาก หันมองกลางสนามรบด้วยแววตาสนุกอีกครั้ง “ถ้าครั้งนี้เขายอมรับก็ดีสินะ สวรรค์จะได้เลิกมีมหาเทพสงครามแบบใช้แล้วทิ้งสักที”

“นี่เจ้า!” ฟาเบียนฮึดฮัดโมโห แต่ทันทีที่อีกฝ่ายสะบัดหน้ามองด้วยสายตาเย็นชา เขาก็ชะงักไป แม้แต่ผู้ติดตามก็ยังไม่กล้าสบสายตา “เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่าง แต่เราจะแพ้ศึกนี้ไม่ได้ พวกมันเข้ามาใกล้ทวารดินเกินไปแล้ว ถ้าพวกมันชนะต่อไปต้องถล่มสวรรค์แน่!”

“ดีแล้วไง...”

“เซย์เรียโน่!!”

เพราะเสียงที่ตะเบ่งออกมาด้วยความโกรธจนทนไม่ไหวหรืออย่างไรมิอาจทราบ เซย์เรียโน่จึงยกมือขึ้นชี้ไปทางสนามรบที่กำลังโรมรันพันตูกันอยู่ ริมฝีปากจิ้มลิ้มบริกรรมคาถาเก่าแก่อย่างรวดเร็ว รัศมีสีแดงฉานก่อเกิดรอบมือเรียวบางแล้วเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสีแดงสด ก่อนจะมีวงแหวนเวทสองชั้นวงเขื่องปรากฏหน้าฝ่ามือของเขา

ราวกับนกรู้ เพราะช่วงเวลาเดียวกันนั้น รองแม่ทัพเผ่าเทพที่อยู่ตรงกลางโบกธงเป็นสัญญาณให้ทุกคนถอยกลับ ทันเวลาก่อนขุนพลเทพอันดับห้าจะเอ่ยคำมนตราสุดท้าย เพียงพริบตาที่อำนาจแห่งการทำลายล้างถูกระเบิดออกไป กองทัพปีศาจก็ตกอยู่ในโดมแสงสีแดงเพลิง แนวหน้าของกองทัพเทวารวมพลังกันสร้างบาเรียต้านทานไว้ ในขณะที่กองทัพมารถูกโดมแสงนั้นกลืนกินชีวิตจนสิ้นซาก! ความรุนแรงของมันทำให้แม้แต่ฟาเบียนยังตกใจ

“จบแล้ว ทำแบบนี้ฝ่ายโน้นคงจะยอมรามือจากสงครามไปอีกนาน” เซย์เรียโน่หันมาพูด ริมฝีปากยิ้มละไม แต่ดวงตากับเย็นชาดุจน้ำแข็ง “กองทัพของเราต้องการมหาเทพสงครามที่มีความสามารถมากกว่านี้ ฟาเบียน”

คนถูกย้ำเตือนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ โกรธตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรเจ้าเด็กหน้าหวานคนนี้ได้ ทั้งที่มันปากดีจาบจ้วงเขา

“ข้ารู้แล้ว ขอเพียงขาคนนั้นยอมตกลง ทุกอย่างก็จะดีเอง!” เค้นคำพูดออกไปอย่างอยากจะคลั่ง

เซย์เรียโน่ฟังแล้วก็กระตุกยิ้มกว้างอีกนิด จากนั้นก็เดินไปยืนข้าง ๆ ชิดจนไกลเกือบจะกระทบกัน ใบหน้าหวานช้อนขึ้นมองวงพักตร์งามไม่แพ้กันขององค์ราชัน ซึ่งฟาเบียนสบลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเพื่อค้นหาให้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งที่ค้นพบนั้นกลับเป็นความเยือกเย็นสุดหยั่งถึงและหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ เหน็บหนาวเฉกเช่นเดียวกับคำพูดของเขา

“ข้าจะภาวนาให้เขายอมตกลงด้วยแล้วกัน แต่ถ้าไม่ใช่เขา หรือเขามาช้าเกินไป ข้าก็ไม่รับรองนะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”


----------------------------------

ออฟไลน์ ★KVH™★

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
จิ้มเรื่องใหม่  :L2:
รอติดตามแนวแฟนตาซีนะฮะ  :impress2:

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 1 มหาเทพสงครามองค์ใหม่
- 50% -

สวรรค์ ดินแดนแห่งความงดงามและบริสุทธิ์ผุดผ่อง มหานครอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งบนแผ่นเมฆสีรุ้ง ซึ่งยามกลางวันจะเป็นสีขาวนวลตาด้วยแสงอาทิตย์ที่สาดส่องมาอ่อน ๆ ยามกลางคืนจะเปลี่ยนเป็นสีรุ้งพรายโดยแสงจันทร์ที่สวยงามจับใจ ทวยเทพทั้งหลายล้วนมีรูปลักษณ์งดงามซึ่งกล่าวกันว่าเป็นผลจากการทำกรรมดีจากในอดีต บ้างก็พำนักในวิมานที่เกิดขึ้นพร้อมกันเมื่อตนจุติ บ้างก็พำนักเป็นเทพทหารหรือเทพรับใช้ในตำหนักของเทพที่มีตำแหน่งเหนือกว่า สุดแต่ว่าอำนาจวาสนาจะนำพาพวกเขาไปอยู่กับใคร

ทว่าสวรรค์ที่เคยร่มเย็นมาตลอดกลับต้องประสบกับความวุ่นวาย หลังเกิดสงครามกับเผ่าปีศาจซึ่งกินเวลายาวนานตั้งแต่ก่อนอดีตมหาเทพจ้าวสวรรค์จะจุติมาจนถึงยุคของมหาเทพฟาเบียน ยิ่งวุ่นวายขึ้นหลังมหาเทพสงครามองค์ล่าสุดถูกปีศาจสังหารจุติกลางสนามรบ ทั้งที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่กี่ปี แต่ความหวังอันเลือนรางก็ปรากฏขึ้นเมื่อว่าที่มหาเทพสงครามองค์ใหม่ตอบรับการเชิญของฟาเบียนแล้ว

ณ ตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย ที่พำนักของจอมเทพีเรเทเชียแห่งคีตนาฏกรรม เหล่าเทพรับใช้และนางกำนัลกำลังตกแต่งตำหนักในขั้นสุดท้ายให้พร้อมสำหรับงานเลี้ยงใหญ่ที่จะมีขึ้นในคืนนี้ เนื่องจากฟาเบียนเลือกให้ตำหนักนี้เป็นสถานที่แต่งตั้งมหาเทพสงครามองค์ใหม่ แน่นอนว่าการแต่งตั้งในตำหนักมหาเทพจ้าวสวรรค์ย่อมเป็นเกียรติแก่ผู้เข้ารับตำแหน่งมากกว่า แต่งานคราวนี้กลับมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ต้องใช้สถานที่อื่นแทน

ในขณะที่ทุกคนกำลังช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อตกแต่งสถานที่ออกมาให้งดงามที่สุดและกำลังจะมาถึงช่วงสุดท้าย นางอัปสรผมสีเงินยวงนางหนึ่งกำลังวิ่งผ่านทางเดินชั้นนอก เพื่อนำผ้าแพรสีแดงสดในอ้อมแขนไปยังห้องโถงด้านใน เธอตะโกนขอทางจากคนอื่น ๆ มาตลอดทาง

“ขอโทษเจ้าค่ะ ช่วยหลบหน่อยเจ้าค่ะ” พูดพร้อมผงกหัวประลก ๆ จนมาถึงทางเดินที่ต้องเลี้ยว แต่พอเหลือบเห็นเทพหลายองค์กำลังทำงานอยู่ในสวน ร่างแบบบางก็หมุนตัวขวับแล้ววิ่งตรงไปหาพวกเขาทันควัน

“พวกเจ้าเห็นฮาธอสไหม ข้าตามหาเขามาตั้งแต่เช้าแล้ว” เธอรัวคำพูดออกไป

“ฮาธอสเหรอ อยู่โน้นไง”

ร่างบางหันมองตามมือผู้ตอบที่ชี้ไปยังแนวพุ่มไม้สีแดงที่ปลูกไว้ริมขอบสวนด้านในสุด เพียงครู่บุรุษรูปงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นในตำหนักก็ปรากฏตัวจากพุ่มไม้ข้าง ๆ เขามีเรือนผมหยักศกเป็นลอนสีทองสุกปลั่ง ถูกรวบด้วยเชือกเส้นเล็ก ๆ ไว้ที่ท้ายทอย รูปร่างสูงโปร่งมีกล้ามเนื้อสมส่วน แต่งชุดทำสวนสีเหลืองเปรอะฝุ่นเหมือนกับถุงมือทั้งสองข้างของเขา ผิวขาวเนียนดุจน้ำนม ใบหน้าคมคายหล่อเหลาดั่งรูปสลัก ดวงตาสีน้ำเงินสดสวยราวกับอัญมณีเลอค่า

ฮาธอส คือนามของเขา เทพผู้ดูแลสวนประตำตำหนักซิมโฟเนียอาเรียแห่งนี้ เขาสามารถเนรมิตต้นไม้นานาชนิดที่ปลูกอยู่ที่นี่ให้เป็นไปตามที่ใจต้องการ ที่สำคัญยังเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของจอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมอีกด้วย เพราะเป็นคนนิสัยดีและมีน้ำใจ เขาจึงเป็นที่รักของคนในตำหนักพอสมควร โดยเฉพาะนางอัปสรน้อยผมสีเงินยวงนางนี้

“ฮาธอส!” เด็กสาวร้องเรียกพร้อมวิ่งไปหา ชายเจ้าของชื่อเงยหน้ามองด้วยความตกใจ

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ นาซิลลา เถลไถลอย่างนี้ ประเดี๋ยวก็ถูกหัวหน้านางกำนัลดุเอาหรอก” ฮาธอสเตือน

อัปสรน้อยนาม ‘นาซิลลา’ ยิ้มทะเล้น เธอเป็นเทพที่อุบัติขึ้นในตำหนักเทพจันทรา หนึ่งในเทพบรรพกาลที่ชนทั้งสวรรค์ต้องเคารพนับถือ โดยปกติแล้วเทวดาหรือเทพธิดาใหม่อุบัติขึ้นในตำหนักหรือวิมานของเทพองค์ใดจะถือว่าเป็นสมบัติของเทพองค์นั้น ๆ แต่นาซิลลามีความสามารถด้านการร่ายรำ มหาเทพีแห่งดวงจันทร์จึงส่งเธอมาเรียนรู้และฝึกฝนเพิ่มเติมที่ตำหนักนี้ และเพราะถูก ‘ฝาก’ มาเธอจึงได้บรรจุเป็นนางกำนัลของที่นี่ด้วย

“แฮะ ๆ ไม่เป็นไร ข้าแวะมาครู่เดียวก็รีบไปแล้ว นางไม่ดุข้าหรอก” นาซิลลายิ้มหวาน ก่อนจะทำท่าตื่นเต้นแบบกลั้นไม่อยู่ “ดีใจจัง คืนนี้จะมีงานรื่นเริงกันสักที หกเดือนที่ผ่านมาตั้งแต่สงครามเทพกับปีศาจจบลง สวรรค์หดหู่จนข้าแทบจะเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว ดีจังเลยเนอะ ที่มีมหาเทพสงครามองค์ใหม่เสียที”

“ถ้าองค์นี้อยู่ในตำแหน่งนานกว่าคนอื่น ๆ ก็ดีน่ะสิ” ฮาธอสพูด สีหน้าเศร้าสร้อย “ตั้งแต่ข้าอุบัติขึ้นมาเกือบหนึ่งศตวรรษได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมหาเทพสงครามมาแล้วถึงยี่สิบครั้ง ข้าไม่อยากเห็นอีกแล้วล่ะ”

พอเห็นอีกฝ่ายหดหู่ นาซิลลาก็ลนลาน เทพสาวน้อยหันมองซ้ายมองขวา ดูจนแน่ใจว่าไม่ได้มีใครมองพวกตนอยู่ก็ดึงมือชายหนุ่มไปหลบหลังต้นไม้ เพื่อคุยกันให้สะดวกขึ้น

“จริง ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าควรจะพูด แต่ข้าก็อยากให้ฮาธอส เมื่อวานก่อนหัวหน้านางกำนัลที่นี่ให้ข้าไปขอยืมผ้าแพรมาเพิ่ม ได้ยินพวกพี่ ๆ พูดกันว่าเทพที่มารับตำแหน่งนี้ขึ้นสวรรค์มาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่ตอบรับคำเชิญของใคร รวมถึงขององค์ฟาเบียนด้วย จนท่านจ้าวของเสด็จไปเยี่ยมเยียนถึงที่พัก พี่ ๆ ยังพูดกันด้วยว่าที่เปลี่ยนสถานที่ก็เพราะเทพองค์นั้นไม่อยากเข้าตำหนักใหญ่”

ฮาธอสฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว “แปลกจัง การได้รับเลือกเป็นมหาเทพถือว่าเป็นเกียรติมากแท้ ๆ ยิ่งได้รับการแต่งตั้งที่ตำหนักใหญ่ก็ยิ่งเป็นเกียรติของผู้เข้ารับตำแหน่งด้วย ทำไมเขาถึงไม่รับล่ะ”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้ยินพี่เขาพูดกันมาแค่นี้แหละ” นาซิลลาว่า ท่าทางคิดไม่ตกเหมือนเทพหนุ่ม แต่เดี๋ยวเดียวก็นึกอะไรบางอย่างได้ “อ๋อ! ยังมีอีกเรื่องนะ พวกพี่ ๆ ยังพูดด้วยเทพที่มาใหม่แข็งแกร่งมาก ขนาดองค์จ้าวฟาเบียนยังให้ความชื่นชมเลยล่ะ”

ข้อมูลใหม่ที่ได้มายิ่งสร้างความประหลาดใจให้ฮาธอสยิ่งขึ้นไปอีก เขาอุบัติบนสวรรค์มาเกือบหนึ่งศตวรรษย่อมทราบดีว่ามหาเทพจ้าวสวรรค์องค์ปัจจุบันทรงโปรดผู้ใดบ้าง แต่เทพนักรบที่โปรดปรานที่สุดล้วนรับตำแหน่ง ‘ขุนพลเทพ’ ซึ่งเป็นกองกำลังส่วนพระองค์ไปหมดแล้ว ส่วนที่ชื่นชมรองลงมาหากไม่ปฏิเสธเข้ารับตำแหน่งก็จุติในสงครามเทพ-ปีศาจทั้งสิ้น มีเทพคนอื่นที่มหาเทพเจ้าสวรรค์ทรงโปรดโดยที่เขาไม่รู้ด้วยหรือ?

...คิดมาถึงตรงนี้โสตประสาทของเทพทั้งสองก็สดับเสียงตวาดของสตรีผู้หนึ่งที่แผดขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว

“นาซิลลา ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ตรงนั้น อย่ามัวแต่เถลไถล เอาผ้าแพรมาเดี๋ยวนี้ จอมเทพีกำลังรออยู่!!!”

“ว้าย! ข้ากำลังจะไปเดี๋ยวเจ้าค่า หัวหน้านางกำนัล” นาซิลลาขานอย่างตกใจกลัวก่อนจะหันไปรัวคำพูดใส่สหายอย่างรีบร้อน “ฮาธอส งานเลี้ยงคืนนี้จะอยู่ถึงช่วงอิสระไหม...”

“ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน...”

“ถ้าอยู่ถึงช่วยเต้นรำกับข้าสักเพลงนะ”

“มาเดี๋ยวนี้ นาซิลลา!!”

หัวหน้านางกำนัลแผดเสียงเร่งอีกครั้ง ดังยิ่งกว่าเมื่อครู่ถึงสามเท่า นาซิลลากลัวความผิดจึงรีบเผ่นไปหาทั้งที่ยังไม่ได้รับคำตอบจากสหาย ฮาธอสเดินตามออกมาก็เห็นเทพธิดาร่างท้วม ผมสีน้ำตาลอ่อนเท้าเอวคอยที่ทางเดินอยู่แล้วแล้ว นางจัดการเอ็ดนาซิลลาเสียยกหนึ่ง โดยไม่ลืมส่งสายตาตำหนิมาให้เทพผู้ดูแลสวนด้วย ซึ่งฮาธอสได้แต่ผงกศีรษะขอโทษแล้วมองดูจนหญิงทั้งสองรุดเข้าไปในตำหนักด้วยกัน

เมื่อพวกเธอลับสายตาไปแล้ว ฮาธอสก็หันกลับไปเก็บอุปกรณ์ทำสวนใส่กระบะที่เตรียมไว้ แต่คำบอกเล่าของนาซิลลายังคงติดอยู่ในความคิดของเขา มือที่ยื่นออกไปเพื่อหยิบส้อมพรวนดินซึ่งปักทิ้งไว้หยุดกลางทาง ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติบางอย่าง ซึ่งตัวเขาเองก็ยังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร ถึงอย่างนั้นเทพหนุ่มก็รู้หนทางในการค้นหาคำตอบ

...ขอเพียงรู้ว่าใครได้เป็นมหาเทพสงครามองค์ใหม่ เขาก็จะได้คำตอบของทุกคำถาม...


-----------------

ราตรีกาลมาเยี่ยมเยือนพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสวรรค์ ปุยเมฆที่เปรียบได้กับแผ่นดินของเมืองฟ้าเปลี่ยนจากสีขาวนวลตาเป็นสีรุ้งพรายยามเมื่อต้องแสงจันทร์ ตำหนักและวิมานทุกหลังต่างประดับประดาดวงไฟอย่างสวยงาม แต่ในค่ำคืนนี้คงไม่มีที่ใดงดงามไปกว่าตำหนักซิมโฟเนียอาเรียอีกแล้ว

งานเลี้ยงและงานแต่งตั้งมหาเทพสงครามองค์ใหม่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ เนื่องจากเป็นงานแบบพิธีการ แขกในงานซึ่งล้วนเป็นเทพที่มีตำแหน่งสำคัญบนสวรรค์จึงได้รับการจัดที่นั่งตามลำดับชั้น แถวที่นั่งจัดไว้ริมโถงทั้งซ้ายขวา เว้นที่ตรงกลางไว้สำหรับการแต่งตั้งและการแสดง ไล่จากแถวหน้าสุดทางขวาเป็นที่นั่งของขุนพลเทพทั้งสิบสองอันดับ ในวันนี้พวกเขาและเธอมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้า รวมถึงขุนพลเทพอันดับห้า เซย์เรียโน่ที่อายุน้อยที่สุดด้วย ถัดไปก็เป็นจอมเทพและขุนศึกในสายนักรบเรื่อยไปถึงนายกองที่ได้รับเชิญ

ส่วนแถวที่นั่งทางซ้าย ด้านหน้าสุดเป็นที่นั่งมหาเทพห้าตนอันได้แก่ มหาเทพอัคคี มหาเทพวารี มหาเทพวายุ มหาเทพพฤกษา และมหาเทพีแห่งโชคชะตา ต่อด้วยแถวเดียวกันเป็นจอมปราชญ์ทั้งแปดแห่งสวรรค์ แถวถัดไปก็เป็นจอมเทพในสายบู้ที่มีตำแหน่งรองลงมาเรื่อยลงไปถึงหัวหน้าเทพในสายงานต่าง ๆ ที่ได้รับเชิญตามพระบัญชาของมหาเทพจ้าวสวรรค์

ด้านในสุดของห้องโถงที่จัดงานเป็นแท่นยกพื้นเตี้ย ๆ ซึ่งประดิษฐานมหาบัลลังก์ทองคำแห่งสวรรค์ที่ถูกยกมาไว้ที่นี่เป็นกรณีพิเศษด้วย วงสังคีตบรรเลงเพลงหวานคลอเคล้า ตรงกลางทางโถงมีกลุ่มนางระบำซึ่งมีนาซิลลาเป็นหนึ่งในนั้นร่ายรำอ่อนช้อยสร้างความเพลิดเพลินให้ทุกคนขณะรอเวลาเริ่มงาน จอมเทพีเรเทเชียผู้เป็นเจ้าตำหนักออกต้อนรับทำคนอย่างเป็นกันเอง

ฮาธอสซึ่งรับผิดชอบการดูแลสถานที่ในคืนนี้เดินตรวจดูความเรียบร้อยของงานอย่างละเอียด มันเป็นงานที่สำคัญมาก เนื่องจากหากเกิดความผิดพลาดขึ้น ความผิดจะตกแก่จอมเทพีเรเทเชียผู้เป็นอาจารย์ของทั้งหมด

หลังตรวจดูจนแน่ใจแล้วและผงกศีรษะให้เซย์เรียโน่ในตอนที่อีกฝ่ายยกจอกสุราทักทาย ชายหนุ่มจึงกลับไปหาอาจารย์ของตนซึ่งกำลังดูแลจอมปราชญ์ทั้งแปดอยู่

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ ยังไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น” เขากระซิบบอกจากด้านหลังอย่างสุภาพ

“ขอบใจมาก” จอมเทพีเอียงหน้ามาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ใกล้เวลาเสด็จของท่านจ้าวแล้ว ช่วยไปกำชับทุกคนอีกทีว่าอย่าให้เกิดปัญหา ข้าไม่อยากให้องค์มหาเทพต้องเสื่อมเสียเกียรติ”

“ทราบแล้วขอรับ”

แต่พอสิ้นเสียงของเทพหนุ่ม นายทวารที่เฝ้าประตูหน้าก็ลั่นระฆังเป็นสัญญาณเตือนพอดี จอมเทพีเรเทเชียรีบรุดไปยังที่นั่งของตน ฮาธอสก็ติดตามไปด้วยในฐานะผู้ช่วยของนาง วงดนตรีหยุดบรรเลง เหล่านางรำก็ถอยหลังกลับไปอย่างเงียบเชียบ ทุกคนในงานมีท่าทีจริงจังขึ้นทันใด ยกเว้นเพียงเซย์เรียโน่ที่อ้าปากหาววอดจนถูกเพื่อนเขกกะโหลกไปทีหนึ่ง

“มหาเทพจ้าวสวรรค์เสด็จแล้ววววว!” คำประกาศดังขึ้นในจังหวะเหมาะเจาะจนไม่น่าเชื่อ แขกเหรื่อรวมถึงผู้จัดงานลุกขึ้นถวายคำนับให้ผู้นำสูงสุดแห่งสวรรค์พร้อมกัน

องค์เจ้าฟาเบียนเสด็จเข้ามาภายในห้องโถงอย่างสง่างาม เบื้องหลังของเขาเทพรับใช้ทั้งสิบติดตามมาอย่างใกล้ชิด ราชาแห่งฟ้าทรงชุดขาวบริสุทธิ์ปักลวดลายมหาหงส์ด้วยดิ้นทองอย่างสวยงาม สวมทับด้วยผ้าคลุมขนเฟอร์สีขาวที่เสริมให้บุคลิกของเขาสง่างามยิ่งขึ้น ศีรษะประดับมงกุฎทองคำตกแต่งด้วยอัญมณีอย่างงดงาม เครื่องประดับทองคำพร่างพรายขับเน้นให้องค์เทพจ้าวฟ้าดูงดงามยิ่งขึ้นไปอีก แต่สีหน้าของเขากลับดูเคร่งเครียดอย่างบอกไม่ถูก ราชาแห่งฟ้าพยายามกลบเกลื่อนด้วยการทำสีหน้านิ่งเฉยจนกระทั่งนั่งบนมหาบัลลังก์

การแต่งตั้งกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว...

“เชิญทุกท่านตามสบาย” เขาสั่ง ทุกคนก็นั่งลงโดยพร้อมเพรียงกัน “ข้าขอขอบคุณทุกท่านมากที่กรุณามาร่วมงานในวันนี้ นับตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างเทพกับปีศาจก็กินเวลายาวนานกว่าสามศตวรรษ สูญเสียทหารและมหาเทพไปมากมาย พวกเราต่างกังวลว่าสงครามครั้งใหม่จะรุนแรงแค่ไหน จะเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือไม่ และกังวลด้วยว่ามหาเทพสงครามองค์ใหม่จะอยู่ยืนยงเพียงใด”

“แต่ในค่ำคืนนี้ข้าขอกล่าวว่าทุกท่านจะไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกแล้ว สหาย...เอ่อ เทพนักรบที่มีความสามารถสูงสุดผู้หนึ่งซึ่งข้าเคยทาบทามไปหลายครั้งได้ตอบรับคำเชิญมาเป็นมหาเทพสงครามแล้ว ข้าขอแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จัก ‘ไคซัส เพนด์ดรากอน อานาเทเซียส’ แห่งมิติเฮมอส”

มหาเทพจ้าวฟ้าผายมือไปยังประตูด้านหน้า บัดนี้มีร่างของใครบางคนยืนรออยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็มิอาจทราบได้ ฮาธอมมองเห็นศีรษะที่มีบางสิ่งเหมือนกับเขาอย่างชัดเจน แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรจนกระทั่งอีกฝ่ายก้าวเข้ามา เมื่อนั้นเองที่ทวยเทพเกือบทุกคนในงานต้องตกตะลึง

บุรุษที่ย่างเท่าเข้ามานั้น ไม่มีเพียงร่างกายสูงใหญ่ดุจป้อมปราการอย่างเดียว เรือนผมของเขายังเป็นสีขาวอมเทาจาง ขณะผิวกายเป็นสีแดงเข้มดั่งเลือดนก ใบหน้าแบบมนุษย์คร้ามเข้มหล่อเหลาเสียจนผู้ชายด้วยกันเองยังหวั่นไหว ดวงตาสีส้มสว่างเป็นประกายคล้ายมีเกล็ดเล็ก ๆ กระจายอยู่ในนั้น จมูกโด่งเป็นสันทอดกลางวงหน้ารับกับริมฝีปากหนาได้รูปที่มีปลายเขี้ยวแหลมโผล่ตรงมุมปากขวา ทว่าสิ่งที่โดดเด่นที่สุดกลับเป็นเขาแหลมยาวที่งอกจากส่วนไรผมตรงกับแนวหางตาพอดี

“อสูรนี่!” ใครบางคนร้องมาจากที่นั่งแถวหลังพวกฮาธอส จากนั้นเสียงฮือฮาของทวยเทพก็ดังเซ็งแซ่ แม้แต่จอมเทพีเรเทเชียยังตกใจ

“ทำไมอสูรถึงมาอยู่บนนี้ได้ล่ะ ไม่อยากเชื่อเลย ท่านจ้าวใช้ตำหนักของข้ารับรองอสูร...” นางร้องออกมาเหมือนกับคนอื่น ๆ ฮาธอสกับผู้ช่วยอีกคนจึงรีบทรุดลงประคองตัวและปลอบโยนเบา ๆ

“อสูรกับตำแหน่งมหาเทพรึ ไม่คู่ควรกันเลย!” ฮาธอสได้ยินจอมปราชญ์คนหนึ่งพูดแบบนี้

“ท่านจ้าวคิดอะไรอยู่ อยากให้สวรรค์ล่มจมหรือไง”

“ไม่เคยมีใครให้อสูรเป็นมหาเทพมาก่อน ไม่เคยมีเลย...”

“ใช่ ๆ ไม่เคยมี...”

ท่ามกลางความตื่นตระหนกและหวาดวิตกที่กำลังกระจายออกไปราวกับพลุแตก ฮาธอสพยายามชะเง้อคอมองว่าที่มหาเทพสงครามตนใหม่ให้เต็มตา เขาเข้าใจแล้วว่าความผิดปกติที่รู้สึกได้ก่อนหน้านี้คืออะไร

แต่แล้วจู่ ๆ อสูรร่างใหญ่ตนนั้นก็หันหน้ามาหาฮาธอส วินาทีที่นัยน์ตาต่างสีทั้งสองคู่สบประสานกัน พลันเหมือนโลกของทั้งคู่ถูกตัดขาดจากรอบข้าง เทพหนุ่มรู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างแล่นผ่านอากาศมากระแทกตัวเขาอย่างจัง แล้วพลังนั้นก็ซึมซาบไปอยู่ที่ไหนสักแห่งในตัวของเขา ก่อนอสูรจะเป็นฝ่ายละสายตาไปก่อนแล้วไปยืนหน้ามหาบัลลังก์ของฟาเบีย ซึ่งตอนนี้นั่งหลับตานิ่ง จากนั้นเขาก็หันกลับมาหาทุกคนอีกครั้ง

“ท่านจ้าวโปรดพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง” หัวหน้าจอมปราชญ์ลุกขึ้นกราบทูลอย่างกล้าหาญ “ถึงแม้ว่าอสูรจะเป็นนักรบที่เก่งกาจ แต่...พวกเขาก็ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวสวรรค์ พระองค์จะมอบตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ให้เขามิได้เด็ดขาด”

“ท่านกำลังจะบอกข้าที่มหาเทพฟาเบียนส่งหมายไปทาบทามตัวถึงสองพันเจ็ดร้อยเก้าสิบเก้าครั้ง ไม่คู่ควรกับตำแหน่งมหาเทพสงครามอย่างนั้นหรือ”

อสูรหนุ่มย้อนถามทันควัน น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาทรงอำนาจยิ่ง เวลาที่เขาพูดเหมือนมีมนต์บางอย่างสะกดให้ทุกคนต้องตั้งใจฟัง แม้แต่เซย์เรียโน่ยังผิวปากอย่างนับถือ ฟาเบียนจึงฉวยโอกาสนี้พูดต่อทันที

“ทุกท่านได้ยินไม่ผิดหรอก ข้าเป็นคนทาบทาม ‘ไคซัส’ มารับตำแหน่งนี้เอง เขาไม่ใช่อสูรธรรมดา” เสียงของเขากังวานไปทั่วทั้งสวรรค์ เพื่อประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ “แต่เป็น ‘เทพอสูร’ ที่สืบสายเลือดโดยตรงจากเทพมังกรลาเซียสกับเทพฟินิกซ์ดิอาน่า อดีตเทพคุ้มครองประจำทิศของมิติเอมมาลูน่า เทพอดีตมหาเทพจ้าวสวรรค์ให้ความเคารพในฐานะที่ปรึกษาอาวุโส ปัจจุบันเขาเป็น ‘ราชาแห่งอสูร’ ของมิติเฮมอสโลกาที่เรากำลังแย่งชิงกับปีศาจ ผู้ซึ่งทำให้กองทัพปีศาจไม่กล้ายุ่งกับดินแดนของตนอีกเลยนับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าจะมองด้านไหนเขาก็มีคุณสมบัติเพียบพร้อม”

ราชาแห่งฟ้าเว้นช่วงกวาดสายตามองทุกคนในงานอย่างเฉียบขาด จังหวะเดียวกันนั้นนาซิลลาก็อัญเชิญรัดเกล้าทองคำประดับพลอยสีน้ำเงินออกมาทางประตูข้างมหาบัลลังก์ แต่พอเห็นไคซัส อัปสรสาวก็กลัวจนไม่กล้าขยับไปไหน ผู้ติดตามคนหนึ่งของฟาเบียนจึงมารับไปแทนแล้วไล่เด็กสาวกลับไป ฟาเบียนรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่เขาไม่สนใจแล้วใช้อำนาจในฐานะมหาเทพจ้าวสวรรค์อย่างเฉียบขาด

“ข้าไม่ได้ ‘ขอ’ ให้ทุกคนทำตามที่ข้าบอก แต่ ‘สั่ง’ ให้ทุกคนทำตามและยอมรับให้ได้ นับจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ‘ไคซัส เพนด์ดรากอน อานาทาเซียส’ ผู้นี้คือ ‘มหาเทพสงครามแห่งสวรรค์’ แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น!”

แล้วฟาเบียนก็ลุกขึ้นหยิบรัดเกล้าประจำตำแหน่งมหาเทพสงครามสวมให้แก่ไคซัส โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของจอมปราชญ์กับเทพฝ่ายบุ๋นคนอื่น ๆ เลย

ฮาธอสพยายามจะชะเง้อดูการแต่งตั้ง แต่ได้เห็นถึงตอนมหาเทพสงครามองค์ใหม่หันไปคำนับให้ราชาแห่งฟ้าเท่านั้น ก่อนจอมเทพีเรเทเชียจะฟุบหมดสติทำให้เขากับผู้ช่วยอีกคนต้องรีบพาตัวไปปฐมพยาบาลที่ห้องนอน เสร็จแล้วเขาก็กลับออกมารับหน้าและส่งแขกทุกคนอย่างดีที่สุด ตระหนักได้ทันทีว่าความวุ่นวายของสวรรค์จะไม่ได้จบลงง่าย ๆ เสียแล้ว

-----------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2013 18:23:40 โดย Makoto-sang »

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
- 100% -

เพียงตะวันฉายแสง ข่าวของมหาเทพสงครามองค์ใหม่ก็กระจายไปทั่วทั้งสวรรค์ เทพทุกชนชั้นต่างล่วงรู้ ซึ่งบางส่วนวิตกกังวลเรื่องตัวตนของเขา เนื่องจากไม่เคยมีอสูร...หรือแม้แต่เทพอสูรตนใดได้รับตำแน่งยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน การฉีกหน้าประวัติศาสตร์ในครั้งนี้สร้างความหวาดกลัวให้แก่ชาวเทพอย่างยิ่ง

สำหรับชาวสวรรค์ อสูรเป็นเผ่าพันธุ์อันตรายที่ไม่ควรคบหาอย่างเด็ดขาด

ฮาธอสถูกตามตัวไปพบจอมเทพีเรเทเชียแต่เช้า ทั้งที่เพิ่งเข้านอนได้เพียงสองชั่วโมงเศษ นางกำนัลที่มาตามแจ้งว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เทพหนุ่มจึงรีบลุกจากเตียงมาจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วตามนางมาถึงศาลาพักกลางตำหนัก

ศาลาหลังน้อยตั้งอยู่กลางสระบัวสวรรค์ที่ผลิดอกบานตลอดทั้งปี เขาพบจอมเทพีเรเทเชียเหยียดตัวในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนแท่นกลางศาลา ใบหน้างามซีดเผือดฟุบกับท่อนแขน โดยมีนางกำนัลหน้าจิ้มลิ้มสองคนช่วยกันนวดให้ผ่อนคลาย หน้าแท่นของนางมีโต๊ะตัวเตี้ยวางต้นไม้เงินต้นทองที่ส่องประกายวาววับจับตาวางอยู่ด้วย ล้อมทับอีกชั้นด้วยกลุ่มนางกำนัลคนสนิท พวกนางขยับตัวเปิดทางให้ แต่ฮาธอสหยุดแค่ใต้ชายคา

“ข้ามาแล้วขอรับ ท่านเรเทเชีย”

จอมเทพีเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจและเพิ่งรู้ตัว พอเห็นว่าเป็นฮาธอสก็ถอนใจเฮือกแล้วรีบเก็บสีหน้า แต่เทพคนสวนบอกได้เลยว่านางวิตกจริตอย่างมาก

“ยังรู้สึกแย่เรื่องเมื่อคืนนี้หรือขอรับ” เขาถามอย่างเป็นห่วง

“แน่นอน ท่านจ้าวไม่ควรทำกับข้าอย่างนี้เลย ใช้ตำหนักของข้ารับรองเทพอสูรไม่พอ ยัง...” เรเทเชียพูดอย่างอึดอัดใจ พวกนางในพยายามปลอบโยนให้หายเครียดเต็มที่ “เรื่องเมื่อคืนนี้ ช่างมันเถอะ อย่างไรเสียมันก็เกิดขึ้นแล้ว สนใจเรื่องวันนี้ดีกว่า ข้าให้คนไปตามเจ้ามา เพราะทันทีที่ฟ้าสางคนจากตำหนักมหาเทพสงครามก็เอาของมาส่งให้”

“ต้นไม้เงินต้นไม้ทองคู่นี้สินะขอรับ” ฮาธอสชี้ไปที่มันอย่างสุภาพ พอจะเข้าใจบางอย่างมากขึ้น

เรเทเชียพยักหน้า มือเอื้อมหยิบม้วนสารที่วางเคียงกันอยู่มากางอ่าน “ของกำนัลเพื่อขอบคุณสำหรับสถานที่จัดงานแสนสวย และขอโทษที่ทำงานเลี้ยงของท่านล้มเหลว ลงชื่อ ไคซัส เพนด์ดรากอน อานาทาเซียส” ปลายน้ำเสียงของนางสั่น

“ของขวัญนี่เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือขอรับ ท่านกังวลเรื่องอะไรกันแน่” ฮาธอสพิจารณาอีกฝ่ายอย่างถ้วยถี่

“ข้าไม่รู้เหมือนกัน ฮาธอส ทั้งที่เป็นของกำนัลธรรมดา แต่กลับทำให้ข้าคิดไม่ตก” จอมเทพีเงยหน้ามองหัวหน้านางกำนัลที่อยู่ทางหัวแท่น “อเดลบอกว่าข้าควรจะรับไว้โดยไม่ต้องตอบอะไรกลับไป แต่ข้าอยากจะฟังความเห็นในด้านของเจ้าบ้าง”

“แต่ข้าเป็นเพียงเทพชั้นผู้น้อยมิบังอาจให้คำแนะนำหรอกขอรับ” ฮาธอสค้อมตัวลงอย่างมิอาจรับ บนสวรรค์มีการลำดับชั้นวรรณะอย่างชัดเจน เทพคนสวนอย่างเขาไม่มีสิทธิแนะนำหรือสอนเทพที่มีฐานะสูงกว่า

“ข้ารู้ ฮาธอส” เรเทเชียพยักหน้า “แต่เจ้าถือเป็นศิษย์คนหนึ่งของข้าและอยู่กับข้ามานานพอ ๆ กับอเดล ข้าจึงขอสั่งให้เจ้าแสดงความเห็นเรื่องนี้ ข้าอยากได้มุมมองใหม่ ๆ”

ฮาธอสประหลาดใจกับคำสั่งที่ได้รับมาไม่น้อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เทพหนุ่มพิจารณาต้นไม้เงินต้นไม้ทองตรงหน้า พวกมันทำมาจากคริสตัลสีเหลืองกับสีขาวเล็ก ๆ มากมายประกอบกันเป็นรูปร่าง คริสตัลแต่ละชิ้นถูกออกแบบมาเฉพาะทำให้สบมุมกันอย่างเหมาะเจาะ ไม่มีชิ้นไหนแทนที่ชิ้นไหนได้ มันเป็นผลงานที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก...ในสวรรค์ มีมูลค่าหาที่สุดมิได้

“ในความเห็นของข้า ท่านเรเทเชียควรจะรับไว้ขอรับ ของกำนัลชิ้นนี้ไม่ได้เป็นเพียงของกำนัลธรรมดาอย่างที่ข้อความอยากจะสื่อ แต่ของชิ้นนี้ถูกเลือกสรรมาเป็นอย่างดี ถูกสร้างอย่างตั้งใจ การที่มหาเทพสงครามมอบให้กับท่านหลังจากเรื่องวุ่นวายเมื่อคืนเป็นสัญลักษณ์ของการทอดสะพานไมตรี เขาอยากเป็นมิตรกับท่านและคนในตำหนักนี้ขอรับ”

จอมเทพีจ้าวตำหนักผุดลุกขึ้นทันใด “เทพอสูรผู้นั้นอยากเป็นมิตรกับเราหรือ” มุมมองใหม่ที่ได้รับทำให้นางอัศจรรย์ใจไม่น้อย “เทพอสูรเนี่ยนะ อยากเป็นมิตรกับเรา” ฮาธอสพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีของขวัญตอบแทนน่ะสิ ข้าพอจะมีเครื่องดนตรีเหมาะ ๆ อยู่หรอกนะ แต่ไม่รู้ว่าทางนั้นเล่นดนตรีหรือเปล่า...”

“เอ้อ!” อเดล หัวหน้านางกำนัลยกมือแทรกในจังหวะที่เหมาะเจาะ “นอกจากเรื่องของขวัญที่ต้องกังวลแล้ว ยังมีเรื่องคนส่งของกำนัลด้วย ใครจะทำหน้าที่นี้กันล่ะ...”

ความเงียบโถมเข้าปกคลุมศาลากลางสระบัวสวรรค์ในทันทีที่อเดลพูดจบ ฮาธอสเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท การส่งของกำนัลระหว่างตำหนักนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ผู้ส่งต้องมีความรู้เกี่ยวกับธรรมเนียมและมีไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่การส่งของกำนัลให้มหาเทพสงครามที่เป็นเทพอสูร คงต้องเพิ่มความกล้าหาญเข้ามาด้วย ซึ่งเทพทุกองค์ในตำหนักนี้ไม่มีทางทำได้แน่นอน

...กว่าฮาธอสจะรู้ตัวอีกครั้ง ทุกคนในศาลา...รวมถึงจอมเทพีเรเทเชียก็จ้องมองเขาเป็นตาเดียวกัน ชายหนุ่มขมวดคิ้วตอบด้วยความสงสัย แต่ครู่เดียวก็คลายออกเมื่อเห็นแววตาของแต่ละคน เขาร้องออกมาอย่างตกใจ

“ข้าหรือ!”

-----------------

ชั่วชีวิตของฮาธอสไม่เคยประสบกับความหนักใจขนาดนี้มาก่อนเลย นับตั้งแต่อุบัติขึ้นในดินแดนรกร้างของสวรรค์ ซึ่งเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนเต็มที่จนได้รับความเมตตาจากเรเทเชียรับมาเป็นเทพผู้ดูแลสวน อีกทั้งสอนให้เล่นเครื่องดนตรีนานาชนิดอย่างเต็มใจ เขายินดีรับใช้นางแบบถวายหัว ได้รับคำสั่งใด ๆ มาก็ปฏิบัติอย่างไม่เคยอิดออด แต่วันนี้...ขอแค่วันนี้เท่านั้นที่จะขอคิดบ่น

ข้าเกลียดคำสั่งของจอมเทพีที่สุดเลย!

ตอนนี้ฮาธอสอยู่ในชุดสุภาพสีเขียวอ่อนปักลายเถาไอวี่ตามขอบชาย ปกเสื้อทั้งสองข้างปักตราขลุ่ยล้อมด้วยเส้นกระแสเสียงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย สองมือของเขาประคองกล่องไม้ทาสีทองใบใหญ่ไว้ด้วย

ร่างสูงโปร่งยืนอยู่หน้าประตูตำหนักพาเทร่าที่พำนักของมหาเทพสงครามทุกยุคทุกสมัย ประตูศิลาสีเทาสลักลายพยัคฆ์คาบดาบประสานกันสนิท เขาอยากให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปสักหลาย ๆ ชั่วโมง เพื่อเขาจะได้กลับไปรายงานว่ามหาเทพสงครามคนใหม่ไม่อยู่ในตำหนัก

แค่ก็ทำได้แค่คิด เพราะหลังยืนอยู่ไม่นาน ประตูหนักอึ้งคู่นั้นก็เปิดช้า ๆ สองร่างเดินออกมาพร้อมกัน คนหนึ่งแต่งเครื่องแบบทหารสีขาวขลิบขอบชายสีน้ำเงิน เกราะอ่อนที่บ่าซ้ายบอกว่าเป็นทหารของสวรรค์ ส่วนอีกคนนั้นสูงไล่เลี่ยกับฮาธอส แต่มีร่างกายกำยำกว่า ผมสีแดงเพลิงตัดสั้นเกือบถึงหนังศีรษะ ใบหน้าคมเข้มบึ้งตึงกับดวงตาสีม่วงคู่นั้นคุ้นเคยในความทรงจำของฮาธอสอย่างยิ่ง

“อัลล์...” เขาร้องอย่างประหลาดใจที่สุด รีบรุดขึ้นไปข้า อีกฝ่ายก็รีบก้าวยาว ๆ ลงมาจนพบกันกลางบันได

“ไม่ได้พบกันนานเลยนะ ฮาธอส เจ้ายังสบายดีสินะ” อัลล์ถาม ใบหน้าบึ้ง ๆ มีรอยเป็นห่วงปรากฏ “นาซิลลายังเกาะแจเหมือนเดิมหรือเปล่า”

ฮาธอสยิ้มกว้าง “เหมือนเดิม ตัวข้าก็สบายดี เจ้าเองก็เหมือนกันสินะ”

“อืม ถ้านับทางกายล่ะก็ใช่ บาดแผลจากสงครามหายไปหมดแล้วล่ะ” อัลล์พูดเรียบ ๆ

“แล้วทางใจล่ะ”

คนถูกถามนิ่งไปแล้วสบตาเขาตรง ๆ “เจ้าลองนึกสภาพว่าตัวเองเป็นรองแม่ทัพที่ปกป้องกองทัพของตัวเองได้ แต่ไม่สามารถปกป้องแม่ทัพได้จนกระทั่งนายเหนือหัวไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าดูสิ นั่นแหละ คือความรู้สึกของข้าในตอนนี้”

อัลวิน มัวรีน หรือที่รู้จักกันในนามของ ‘อัลล์’ เขาเป็นเพื่อนของฮาธอสและยังเป็นรองแม่ทัพที่พยายามทุ่มเทเพื่อพลิกสถานการณ์ในสงครามเมื่อหกเดือนก่อนด้วย เขาคือ คนเดียวในสนามรบที่สังเกตเห็นการใช้พลังของเซย์เรียโน่ ซึ่งนำไปสู่คำสั่งถอยทัพที่ช่วยชีวิตทหารนับหมื่นนายในวันนั้น หลังจากเหตุการณ์จบลง เขาได้รับรางวัลในฐานะทหารกล้า แต่เพราะไม่สามารถปกป้องชีวิตของอดีตมหาเทพสงครามได้ ฟาเบียนจึงไม่เคยเรียกใช้เขาอีกเลย

ฮาธอสสัมผัสได้ถึงความน้อยเนื้อต่ำในน้ำเสียงของเพื่อน อัลล์สมควรจะได้รับการยกย่องในฐานะวีรบุรุษ แต่ตอนนี้กลับเป็นเพียงทหารที่ถูกลืม เพราะองค์เหนือหัวไม่โปรดปราน ถึงจะไม่ได้เป็นทหารก็จินตนาการถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายได้

“อดทนอีกหน่อยเถอะ อัลล์ ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เวลาของเจ้า แต่สักวันเวลาของเจ้าต้องหวนกลับมาอีกครั้ง ทุกคนล้วนแต่มีช่วงเวลาที่ตัดขัดกันทั้งนั้น ขอแค่เจ้าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเยี่ยมที่สุดเหมือนเดิมก็พอ”

ฮาธอสให้กำลังใจในแบบฉบับของเขา เคยมีคนบอกเขาว่าน้ำเสียงอันนุ่มนวลของเขาทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของผู้อื่นสงบลงได้ซึ่ง...ได้ผล สหายของเขากระตุกยิ้มเล็กน้อย

“ทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่ไปหาเจ้านะ คำพูดของเจ้าช่วยข้าได้มากเลย”

“เพราะเจ้ามัวแต่รักษาตัวแล้วก็จมอยู่ในความหดหู่ไงล่ะ ข้าดีใจที่ช่วยเจ้าได้นะ” ฮาธอยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความยินดี ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เจ้าควรจะอยู่ที่กองบัญชาการกองทัพหลวงไม่ใช่หรือ”

“อ๋อ ข้าถูกย้ายมาอยู่ในสังกัดมหาเทพสงครามน่ะ” อัลล์ทำหน้าบึ้งอีกครั้ง ฮาธอสคิดเอาเองว่าเพื่อนกำลังโทษฟาเบียน “เพราะไปขวางหูขวางตาใครเข้า กอปรกับไม่เป็นที่โปรดปรานของท่านจ้าวก็เลยโดนย้ายมาอยู่ที่นี่ ข้างในไม่มีใครเลยล่ะ นอกจากข้ากับทหารที่ติดตามมาสิบกว่าคน”

เทพคนสวนกำลังจะคิดว่า ‘อย่างที่คาดจริงด้วย’ แต่ต้องชะงักกึกตอนได้ยินประโยคท้าย ๆ

“เจ้ากำลังจะบอกข้าว่ามหาเทพสงครามอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ” อัลล์พยักหน้ายืนยัน คิ้วคมของฮาธอสขมวดเข้าหากันทันที “เขาไม่ได้พาคนของตัวเองมาด้วยหรือ มหาเทพคนอื่น ๆ ก็ทำแบบนั้น”

“คนอื่นอาจจะทำ แต่เขาไม่” นายทหารหนุ่มยืนยัน “เขามาคนเดียว ดูเหมือนจะอยู่เพียงลำพังมาตลอดสิบวันด้วย คนของตำหนักเทพจันทราคอยส่งสำรับมาให้ แต่ก็แค่ว่างไว้หน้าประตูเท่านั้น”

ฮาธอสสดับเช่นนั้นก็ใจหายวาบ ไม่รู้ว่ามหาเทพสงครามองค์ใหม่กำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้มาตัวคนเดียวแบบนี้ ในดินแดนที่ไม่มีใครยอมรับตัวตนของเขา ตั้งใจจะท้าทายกับสิ่งแปลกใหม่หรือ?

...ฤาเสียสละเพื่อสิ่งใดกันแน่...?

“เอ่อ ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไรข้าต้องขอตัวก่อนแล้วกันนะ” เสียงอัลล์กระทบหูเทพคนสวนทำให้ตื่นจากภวังค์ “เรื่องงานน่ะ มหาเทพไคซัสก็ร้ายเอาเรื่อง เข้างานวันแรกก็ถูกใช้งานซะแล้ว ส่วนเจ้า ‘เขา’ กำลังรออยู่”

“รอ?” เทพรับใช้แห่งตำหนักซิมโฟเนียอาเรียเอียงคอฉงน

“ใช่ รอ” อัลล์หันไปชี้คนของตัวเองที่รออยู่ข้างหลัง “ดูเหมือนมหาเทพไคซัสจะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวเจ้าตามคนของข้าไป เขาจะนำทางเจ้าไปพบกับมหาเทพเอง”

บอกแล้วอดีตรองแม่ทัพก็ตบบ่าเพื่อนดังป้าบสองสามที แล้วขอตัวเหาะหายไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้ฮาธอสยืนบิดตัวด้วยความเจ็บ เขาพยายามจะไม่ร้องออกมา เพราะอายทหารที่ยืนกลั้นหัวเราะอยู่ด้วยกัน ก่อนเขาจะรีบถลามารับของไป จากนั้นจึงนำทางผู้มาเยือนไปพบมหาเทพจ้าวตำหนักดั่งที่รับคำสั่งไว้

ตำหนักพาเทร่าถูกเนรมิตขึ้นโดยมหาเทพสงครามยุคแรก ลักษณะเหมือนกับป้อมปราการในยุคมืด ตัวตหนักถูกแบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นนอกเป็นลานฝึกซ้อมที่มีที่พักทหาร ที่พักองค์รักษ์ และคลังแสงเล็ก ๆ ล้อมรอบนิวาสสถานซึ่งเป็นปราสาทศิลาสูงตระหง่าน หอคอยสิบหลังสูงลดลั่นลงมาเหมือนบันไดเวียน หลังที่สูงที่สุดยื่นตระหง่านตัดแบ่งท้องฟ้าสีเหลืองนวลตาออกเป็นสองส่วน

สมัยก่อนฮาธอสเคยมาเยี่ยมเยือนสหายที่นี่บ่อยครั้ง เขายังจำได้ว่าสถานที่นี้เคยครึกครื้นขนาดไหนเมื่อมีคนอยู่ แต่วันนี้กลับเงียบเชียบและวังเวงเหมือนป่าช้า มีแต่คนของอัลล์ที่เขานับได้สิบเอ็ดคนคอยเฝ้าอยู่ตรงทางเข้า-ออกสำคัญ ได้พบกับคนที่สิบสองเมื่อผู้นำทางพามาถึงห้องแห่งหนึ่งบนชั้นสองของปราสาท เขาหันมาหาฮาธอสเพื่อขอคำอนุญาต ทันทีที่เทพคนสวนพยักหน้ายืนยัน ทหารหนุ่มก็หวดหมัดทุบประตู

“เชิญเข้ามาได้”

---------------------

ส่งอ้อยเข้าปากช้าง เอ๊ย ส่งเทพคนสวนไปส่งของกำนัลต่างหาก

ตอบคอมเมนต์ : คุณ ★KVH™★ ขอบคุณที่รอติดตามฮับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2013 18:27:02 โดย Makoto-sang »

ออฟไลน์ Kamidere

  • บรรยายมันออกมา ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
อ้ากกกก >O< อยากอ่านต่อแล้วค่าาาาาาาา

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6
อยากอ่านต่อแล้วค่ะ สนุกมากเลย ^^

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
อร๊ายยยย ชอบค่าาาา  สนุกมากเลยค่ะ

มีสารบัญเตรียมไว้ให้ใจชื้นด้วยว่าจะได้อ่านต่อ. ไม่มีค้าง

แต่ตัดฉับได้ทรมานคนอ่านมากค่ะ :hao5:


บวกเป็ดให้เรื่องใหม่จ้า~

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 2 เทพอสูรแปลกถิ่น
- 50% -

ครึ่งชั่วโมงก่อนฮาธอสจะมาถึง...

ไคซัส มหาเทพสงครามองค์ใหม่อยู่ในห้องทำงานของอดีตจ้าวตำหนักเพียงลำพัง เขากำลังทอดมองบ้านหลังใหม่ของตัวเองให้เต็มตาอีกครั้ง สวรรค์ช่างสวยงามสมกับคำนิยาม ‘ดินแดนแห่งความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ผุดผ่อง’ ทุกสรรพสิ่งล้วนงดงามเป็นประกายจนดวงตาของเขาพร่ามั่ว อีกทั้งยังสงบสงบเต็มไปด้วยความสุขผิดกับโลกเบื้องล่างที่มีแต่ความวุ่นวาย

แต่หากเลือกได้...ไคซัสจะไม่อยู่ที่นี่

สิบวันกับความโดดเดี่ยวในตำหนักร้าง เพื่อปรับตัวให้เข้ากับบ้านหลังใหม่ เทพอสูรหนุ่มยังคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งแปลกปลอมของที่นี่อยู่ดี เพียงเพราะถือกำเนิดในดินแดนเบื้องล่าง แปดเปื้อนด้วยสิ่งโสมมสำหรับสวรรค์ รูปลักษณ์ไม่งดงามและสว่างไสวอย่างชาวฟ้า สวรรค์จึงปฏิเสธเขาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงในอากาศซึ่งกดดันเขาตลอดเวลา รวมถึงปฏิกิริยาของชาวเทพทั้งหลายเมื่อเห็นเขาเมื่อคืนนี้ ฉะนั้นเขาจึงชิงลงมือด้วยการขอให้นางกำนัลที่คอยส่งสำรับช่วยนำของกำนัลไปผูกมิตรกับจ้าวตำหนักซิมโฟเนียอาเรียไว้ก่อน

...ถึงไม่เข้าใจความหมายแอบแฝงของมันก็ช่าง แค่จอมเทพีผู้นั้นมองข้าในแง่ดีบ้างก็พอแล้วน่า

คิดไป จิตสัมผัสซึ่งผูกไว้กับตัวตำหนักตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นสวรรค์รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวในปราสาท เขานับจำนวนอีกฝ่ายได้สิบสามคน หนึ่งในนั้นมีพลังโดดเด่นกว่าคนอื่นมาก พวกเขาไม่มีจิตสังหาร แต่ก็ปราศจากใจภักดี ทั้งกลุ่มกำลังมุ่งตรงมาที่นี่ ไคซัสจึงย้ายตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน เมื่อหย่อนตัวลงนั่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสามอย่างพอดี

“ขออภัยขอรับ ข้า ‘อัลวิน มัวรีน’ และทหารในสังกัดมารายงานตัวขอรับ!” เสียงต่ำขึงขังตะโกนเข้ามา

รายงานตัวรึ? ไคซัสทวนในใจ อ๋อ...

“เข้ามาสิ”

สิ้นเสียงอนุญาต ประตูก็ถูกผลักเปิดเข้ามาแล้วนายทหารผมสีแดงเพลิงในเครื่องแบบสีขาวตัดขอบแดงก็เดินนำทหารหลวงสิบสองนายเข้ามาข้างใน อัลล์มายืนเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ ขณะคนอื่นแบ่งเป็นสองกลุ่มเข้าแถวหน้ากระดานข้างหลังเทพหนุ่มอย่างเรียบร้อย จากนั้นทุกคนก็วันทยาหัตให้เขาพร้อมกัน

“ด้วยคำสั่งจากกองบัญชาการกองทัพสวรรค์ ข้า ‘อัลวิน มัวรีน’ กับทหารในสังกัดสิบสองนายถูกย้ายมาอยู่ในสังกัดของมหาเทพสงครามนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ!” อัลล์รายงาน สีหน้าจริงจัง แล้วเอาหมายสั่งวางลงบนโต๊ะเพื่อให้ไคซัสตรวจสอบ

มหาเทพอสูรหนุ่มใช้ปลายนิ้วลากมันมาถือไว้ในมือ โดยยังไม่ได้เปิดอ่าน ดวงตาสีส้มน่ากลัวนั้นกวาดตามองเหล่าบุรุษตรงหน้า แต่ละคนมองเขาด้วยความเกรงขาม หวาดหวั่น และกลัวที่จะเข้าใกล้ มีแค่อัลล์คนเดียวที่สบตาเขาอย่างไม่หวั่นไหว

“กลัวเหรอ?” ไคซัสถามออกไป น้ำเสียงของเขาแตกพร่า แต่ชัดเจนและกดดัน จิตสังหารแผ่ซ่านออกจากตัวทำให้พวกทหารหลวงตัวสั่น “พวกเจ้าปรารถนาจะอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือ กับอสูรอย่างข้า”

“ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งขอรับ” อัลล์เป็นตัวแทนตอบ เขาถูกฝึกมาอย่างทหาร ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งและหน้าที่จะละเมิดมิได้โดยเด็ดขาด

“หมายความว่าพวกเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่อย่างนั้นรึ” ไคซัสกดเสียงต่ำ ทหารของอัลล์หน้าซีดกว่าเดิม

“เป็นคำสั่งของเบื้องบน...”

“เวลานี้ข้าคือ ‘เบื้องบน’ อัลวิน มัวรีน!” มหาเทพสงครามกระแทกเสียงทำให้ทุกคนสะดุ้งกันไปตาม ๆ กัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอำนาจของเขามากล้นเกินกว่าที่ทหารเล็ก ๆ อย่างพวกเขาจะต่อต้านได้

“ขอรับ พวกเรากลัว ความจริงแล้วพวกเราไม่อยากอยู่กับท่านเลยสักนิด” ปลายเสียงของอัลล์สั่น เป็นครั้งแรกที่เขายอมรับความรู้สึกของตัวเองต่อหน้าผู้บังคับบัญชา “แต่พวกเราเป็นทหารต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด และข้าน้อยขอบังอาจชี้แจงว่าท่านจำเป็นต้องมีพวกเรา ข้อแรก ท่านไม่ใช่ชาวสวรรค์ ควรจะมีใครสักคนคอยช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ข้อสอง งานของมหาเทพสงครามมีมากมายเกินกว่าที่ท่านจะจัดการเพียงผู้เดียวได้ขอรับ”

ไคซัสกระตุกยิ้มมุมปาก เจ้าหนุ่มนี้ทั้งปากกล้าและใจกล้าไม่น้อย มิน่าถึงถูกส่งมาอยู่กับเขา “แล้วข้าจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเจ้าไม่ได้ถูกส่งมาเพื่อจับตาดูข้า” ร่างสูงสีแดงเอนพิงพนักเก้าอี้ ตามองหัวหน้าทหาร

“เอ๋!” อัลล์ร้องอย่างตกใจ พอรู้ตัวก็รีบเก็บสีหน้า “ข้าไม่ทราบขอรับ พวกเราเพียงรับคำสั่งมาเท่านั้น”

ผู้ชายคนนี้พูดความจริง...ไคซัสรู้ แววตาที่มีรอยสงสัยในเรื่องเดียวกันบอกกับเขาแบบนั้น มหาเทพสงครามพยักหน้าเข้าใจแล้วโยนหมายแจ้งบนโต๊ะ สิ่งนี้ไม่มีความสำคัญมาแต่แรกแล้ว ในเมื่อฝ่ายโน้นต้องการจะให้คนกับเขา ซึ่งคนของเขาก็เต็มใจให้ใช้ ฉะนั้นเขาจะรับไว้ก็แล้วกัน

“ลำบากหน่อยนะ ท่านรองแม่ทัพผู้เลื่องชื่อ” ไคซัสพูดยิ้ม ๆ สองมือประสานกัน จิตสังหารของเขาหายไปคล้ายไม่เคยมีอยู่ “ดูเหมือนเจ้าจะต้องลงเรือลำเดียวกับข้าแล้ว แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่เต็มใจก็ตาม”

อัลล์เบิกตากว้าง “ท่านรู้จักข้าด้วยหรือ?”

“คงจะมีแต่ฟาเบียนเท่านั้นแหละที่ปฏิเสธการรู้จักเจ้าในตอนนี้” เทพอสูรหนุ่มระบายลมหายใจช้า ๆ “ตอนเกิดสงครามเทพกับปีศาจครั้งก่อน ข้ามีโอกาสได้ดูภาพเหตุการณ์ผ่านกระจกมายาจากวังอสูรด้วย ตอนนั้นฝ่ายเทพเสียเปรียบหนักจากการสูญเสียแม่ทัพ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางชนะอยู่แล้ว แต่เจ้ายังสู้สุดความสามารถ สู้เพื่อปกป้องทหารที่เหลือ ไหวพริบของเจ้าในวันนั้น ทำให้ทุกคนรอดตายมาได้ ข้าชื่นชมในความสามารถของเจ้า”

อัลล์อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจกับคำพูดของอีกฝ่าย ไม่ใช่คำชมเชยในตอนสุดท้าย แต่เป็นคำพูดก่อนหน้านั้น คนทั้งสวรรค์...รวมถึง ‘ฟาเบียน’ ไม่เคยมองเห็นเจตนาในวันนั้นของเขาเลย ทว่ามหาเทพสงครามกลับอ่านได้อย่างเฉียบขาด เคยมีคนพูดกับเขาว่าอสูรเป็นพวกไร้สมอง แต่เทพอสูรตนนี้กลับมีสติปัญญาเทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่าเขาเสียอีก สมแล้วที่เป็นราชาแห่งอสูร...

...สมแล้วที่ได้รับเลือกมาเป็นมหาเทพสงครามองค์ใหม่

“แต่การเป็นบ่าวของอสูรคงจะทำให้พวกเจ้าถูกชนทั้งสวรรค์ดูแคลน” ไคซัสถอนหายใจยืดยาว

“พวกเราไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยขอรับ ท่านเป็นมหาเทพสงครามที่ท่านจ้าวฟาเบียนยอมรับ เรื่องนี้ชาวสวรรค์ปฏิเสธมิได้ขอรับ” อัลล์ยืนยันที่จะอยู่ ลูกน้องของเขาทุกคนล้วนแต่มาด้วยเจตจำนงของตนเองทั้งสิ้น “ในเมื่อท่านมหาเทพรับพวกเราเข้าสังกัดแล้ว พวกเราทั้งหมดจะกล่าว...”

“ไม่ต้อง” ไคซัสแทรกบททันที “ข้าไม่ต้องการคำปฏิญาณจากคนที่ไม่มีใจภักดีด้วย วันใดพวกเจ้าไม่พอใจข้าก็ถอนตัวออกไปได้ ข้าไม่ว่า แต่วันใดก็ตามที่พวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าและอยากจะฝากชีวิตไว้ด้วยค่อยสาบานตนกับข้าในวันนั้น”

ยุติธรรม...ความคิดนี้แล่นขึ้นมาในสมองของอัลล์ ชั่วชีวิตของเขาเพิ่งเคยเจอคนที่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นอย่างยุติธรรมเป็นครั้งแรก ลูกน้องของเขาทุกคนคงจะรู้สึกแบบนั้น เพราะรังสีหวาดหวั่นที่แผ่กระจายอยู่ข้างหลังหายไปแล้ว บางทีการถูกย้ายมาอยู่กับเทพอสูรผู้นี้อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้

“ทราบแล้วขอรับ ข้ากับทุกคนจะปฏิบัติตามที่ท่านส่งขอรับ” หัวหน้าทหารหนุ่มเป็นตัวแทนกล่าว

“...และต่อไปนี้ให้พวกเจ้าเรียกข้าว่า ไคซัส...มหาเทพไคซัส ตกลงไหม” ทุกคนขานรับเสียงดังพร้อมกัน

แต่ตอนนั้นเองที่ความสนใจของเขาถูเบี่ยงเบนไปอีกครั้ง เมื่อพลังที่ถูกไว้กับตำหนักส่งภาพปุยเมฆแผ่นดินนอกเขตกำแพงเข้ามาในสายตา สักครู่ก็มีรองเท้าคู่หนึ่งก้าวเข้ามาในระยะมองเห็น ไคซัสเลื่อนสายตาไล่ขึ้นไปตามสัดส่วนร่างกายสูงโปร่งของผู้มาเยือนใหม่ช้า ๆ ผ่านกล่องสีทองไม้ใบใหญ่จนถึงใบหน้าคมคายของเทพคนสวนผมสีทองซึ่งทำให้เทพอสูรหนุ่มนิ่งงัน

“...ไคซัส...มหาเทพไคซัส” เสียงอัลล์แทรกเข้ามาในความเงียบทำให้เจ้าของชื่อหันมอง

“อืม อัลวินอยู่กับข้าก่อน ที่เหลือไปเฝ้าตามทางเข้าออกสำคัญของที่นี่” ไคซัสออกคำสั่ง “พวกเจ้าเคยเข้าออกที่นี่มาก่อนคงจะรู้ดีว่าทางเข้าออกสำคัญอยู่ที่ไหนบ้าง”

“รับทราบขอรับ!” ทหารหลวงสิบสองนายทำความเคารพแล้วหมุนตัวเดินชักแถวออกไปอย่างเป็นระเบียบ ไคซัสสัมผัสได้ว่าทั้งหมดล้อมวงพูดคุยตกลงกันเล็กน้อย ก่อนสองคนจะยืนประจำหน้าประตูห้องทำงาน ส่วนที่เหลือแยกย้ายกันไปตามทางเข้าออกสำคัญดังที่เขากล่าวไว้ โดยไล่มาจากประตูชั้นในของตำหนักเป็นต้นมา ทหารพวกนี้ได้รับการฝึกมาดีจริง ๆ

“งานของข้าล่ะขอรับ” อัลล์ถามขึ้นเมื่อเหลือเพียงลำพัง “ท่านอยากให้ข้าอธิบายเกี่ยวกับระบบหรือไม่”

“ไม่ต้อง ข้าอ่านเอกสารเก่า ๆ ในห้องนี้หมดแล้ว” เทพอสูรหนุ่มบอก ทหารหนุ่มนิ่งก่อนกล่าวขออนุญาตเอี้ยวมองด้านหลังซึ่งมีตู้วางหนังสือเรียงรายสามด้านสูงจรดเพดาน ทุกตู้อัดแน่นไปด้วยตำราเก่าแก่และเอกสารของมหาเทพสงครามทุกสมัยที่ผ่านมา แต่ว่า... “ไม่รู้ว่าเพราะมหาเทพคนเก่าไม่ชอบจดบันทึกหรือเปล่า ข้าก็เลยหาของเขาไม่เจอ เจ้ารู้จักใครที่มีบันทึกทางการทหารกับความเปลี่ยนแปลงของสวรรค์บ้างไหม”

“ขุนพลเทพทั้งสิบสอง” อัลล์หยุดคิด “...แล้วก็สำนักเลขาธิการของกองบัญชาการกองทัพสวรรค์ขอรับ”

“หมายความว่าข้าต้องเข้าไปดูเองสินะ” ไคซัสว่า คู่สนทนาตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“ข้าจะล่วงหน้าไปที่กองบัญชาการ เพื่อเตรียมการให้ขอรับ” นายทหารหนุ่มบอก

“เจ้าคัดเอาเฉพาะบันทึกในช่วงหนึ่งพันปีที่ผ่านมาก็พอ เตรียมแผนที่ฉบับเปรียบเทียบรอข้าอยู่ที่นั่น ข้าจะไปสำรวจเขตแดนสวรรค์ด้วยตัวเอง อ๋อ ฝากบอกให้คนที่รออยู่หน้าประตูใหญ่เข้ามาได้เลย ข้ารออยู่” ไคซัสสั่งพลางหยิบหมายแจ้งตั้งเก็บใส่ในโต๊ะ ขณะอัลล์ยังทำหน้างง

“คนนอกประตูใหญ่หรือขอรับ”

“อืม แขกจากตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย” ไคซัสตอบด้วยสีหน้าเรียบร้อย

อัลล์ตัดสินใจไม่ถามต่อ แม้จะยังสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่ามีผู้มาเยือน เขาทำความเคารพแล้วหมุนตัวเดินออกไป แต่ก่อนที่เขาจะเปิดประตู เสียงของไคซัสก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“อัลวิน เจ้าคิดว่าใครน่ากลัวที่สุดบนสวรรค์” คนถูกถามหมุนตัวกลับมาหาไคซัสที่นั่งไขว่ห้าง สองมือประสานเหนือเข่า ดวงตาสีส้มของเขาฉายแววใคร่รู้

“ข้าคิดว่า...น่าจะเป็นมหาเทพจ้าวสวรรค์ฟาเบียนขอรับ” ไคซัสสดับแล้วพยักหน้าแสดงความรับรู้ ก่อนโบกมือไล่นายทหารหนุ่มออกไป เมื่อประตูปิดลงแล้ว มหาเทพสงครามก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แล้วลมหายใจยืดยาวก็ถูกระบายด้วยตัวของมันเอง

ประมาทไม่ได้จริง ๆ ไคซัสคิดว่าตัวเองรุกคืบได้เร็วแล้ว แต่ฟาเบียนก็เร็วไม่แพ้กัน เห็นได้ชัดว่าเตรียมการมาอย่างดีอีกด้วย ก่อนรับตำแหน่งคุยกันว่า ‘ไว้ใจ’ วันนี้กลับส่งตัวอันตรายมาอยู่กับเขาเสียแล้ว อัลล์เป็นทหารที่มีความสามารถ เฉลียวฉลาด และภักดีกับสวรรค์ ถึงตอนนี้ลูกไม้ของฟาเบียนจะยังไม่แสดงออกมา แต่สักวันก็ต้องปรากฏอย่างแน่นอน เขาคงจะต้องเตรียมแผนรับมือเสียแล้ว

ขณะที่เขากำลังคิด จิตสัมผัสก็รับรู้ว่าแขกจากตำหนักซิมโฟเนียอาเรียกำลังใกล้เข้ามา ความจริงเขาไม่ได้หวังให้จอมเทพีเรเทเชียตอบกลับมา เขาต้องการแค่ให้นางเก็บต้นไม้เงินต้นไม้ทองคู่นั้นไว้ แล้วมองเขาด้วยสายตาปกติ ไม่มีความกลัวหรือรังเกียจยามพบกันครั้งหน้า การตอบกลับมาอย่างไม่คาดฝันนี้ทำให้เขาหวั่นใจอยู่ลึก ๆ แถมคนที่ถูกส่งมายังเป็นเทพผมสีทองรูปงามคนนั้น...

...คนที่ติดตาเขามากที่สุด

เสียงเคาะประตูสามครั้งเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าแขกมาถึงแล้ว ได้เวลาของการเผชิญหน้ากับคำตอบที่ไม่ปรารถนาให้มาถึงเสียที ไคซัสหลับตาพลางสูดลมหายใจก่อนจะเอ่ยคำพูดออกไป

“เชิญเข้ามาได้”

-------------------

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
- 100% -

เมื่อประตูถูกเปิด ทหารของอัลล์ก็เดินเข้าไปก่อน เขาประคองกล่องไม้สีทองไว้ด้วยสองมืออย่างมั่นคง ฮาธอสรั้งรออยู่สักครู่ เพื่อสงบจิตใจของตนเอง เขากำลังจะได้พบกับมหาเทพอสูรสงครามตนแรกของสวรรค์ หากบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยก็คงโกหก หลังมั่นใจว่าใจของตนนิ่งพอพูดได้โดยเสียงไม่สั่นแล้ว ร่างสูงโปร่งค่อยตามเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามสมเป็นตัวแทนจากตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย

แต่เพียงได้เห็นหน้าผู้เป็นเจ้าของตำหนักพาเทร่า ฮาธอสก็รู้สึกว่าโลกรอบกายจางหายไป เหลือแค่เขากับไคซัสเหมือนอย่างเมื่อคืนนี้ เทพหนุ่มเข้าใจเลยว่าเหตุใดตนจึงรู้สึกเช่นนี้ อาจเพราะแรงดึงดูดแปลกประหลาดจากดวงตาสีส้มคู่นั้นก็เป็นได้ แต่คราวนี้เขาต้องละสายตามาก่อน เพื่อค้อมคำนับแสดงความเคารพให้อีกฝ่าย

“ข้าน้อย ‘ฮาธอส’ ตัวแทนจากตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย ขอคารวะท่านมหาเทพสงครามตนใหม่และขอแสดงความยินดีกับการเข้ารับตำแหน่งของท่านด้วยขอรับ” เทพหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนน้อมจากใจจริง

“ขอบใจมากนะ ไม่ทราบว่าจอมเทพีเรเทเชียเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อคืนนี้พอแต่งตั้งเสร็จแล้วในงานก็วุ่นวายกันมาก ข้าก็เลยไม่มีโอกาสได้ทักทายนางเลย” ไคซัสเพียงกล่าวไปตามมารยาท เพราะรู้ดีว่าต่อให้มีโอกาสทักทายก็ใช่ว่านางจะยอมคุยด้วยดี ๆ

“ข้าน้อยขอเรียนตามตรงว่าท่านจอมเทพียังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ตำหนิว่าเป็นความผิดของท่านมหาเทพสงคราม นางมีความยินดีอย่างมากที่ได้รับของกำนัลจากท่านในวันนี้” ฮาธอสพูดไปตามความจริง ด้วยถือว่าความจริงใจเป็นกุญแจสำคัญของการผูกมิตร

“อย่างนั้นรึ นางพอใจกับของขวัญทั้งสองชิ้นไหม” ไคซัสถามด้วยน้ำเสียงใคร่รู้

แต่ฮาธอสก็ล่วงรู้ถึงความหมายแฝงเร้น “ขอรับ จอมเทพีของเราพึงพอใจมาก ท่านกล่าวว่าต้นไม้เงินต้นไม้ทองทั้งสองต้นล้วนมีเพียงชิ้นเดียวในสวรรค์ มูลค่าหาที่สุดมิได้ คู่ควรกับมิตรภาพระหว่างทั้งสองตำหนักอย่างยิ่ง ท่านจึงให้ข้านำของกำนัลตอบแทนมามอบให้ขอรับ”

ไคซัสได้ยินแบบนั้นก็นึกยิ้มในใจ เท่าที่เขารู้มาเกี่ยวของจอมเทพีนางนั้นก็คือ นางเป็นคนหัวอ่อน ชื่นชอบแต่ศิลปะนาฏกรรมต่าง ๆ เท่านั้น ไม่ถนัดในวิถีการเมืองอย่างจอมเทพตนอื่น ๆ อีกอย่างเขาเองก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นของกำนัลผูกมิตร น่าจะมีคนอื่นช่วยคิดให้เป็นแน่แท้

บางทีอาจจะเป็นเจ้าหนุ่มหน้ามนที่กำลังพูดยกยอเจ้าหล่อนต่อหน้าเขาก็ได้...

แต่เทพอสูรหนุ่มต้องนิ่ง เมื่อทหารของอัลล์นำกล่องของกำนัลมาวางบนโต๊ะ แล้วเปิดฝาหยิบเครื่องดนตรีที่เรียกว่า ‘ซอง’ ออกมาวางให้เขาเห็น เครื่องดนตรีชนิดนี้มีตัวเรือนเหมือนกับลำเรือ ทำจากไม้สักทองลงรักสีดำเป็นมันวาว ตามอบโดยรอบติดแผ่นทองตีลายปักษาสวรรค์ผกผินเหนือก้อนเมฆด้านหนึ่ง อีกด้านเป็นป่าแก้วดินแดนต้องห้ามของสวรรค์ ส่วนตัวและท้ายหุ้มแผ่นทองเรื่อยไปถึงใต้ท้อง บริเวณหัวมีคันสายยาวโง้งขึ้นไปเหมือนคันศร เส้นเสียงสิบสองเส้นถูกขึงตึงกับสันที่ตัวเรือน ปลายสายที่เหลือถูกทำเป็นพู่ห้อยระย้า

มหาเทพสงครามพินิจเครื่องดีดชิ้นนี้ด้วยสายตาไม่ยินดียินร้าย ซึ่งทำให้ฮาธอสหายใจไม่ทั่วท้อง เขาพอจะรู้ว่าชาวอสูรไม่โปรดการเล่นดนตรีเท่ากับการต่อสู้ แต่ซองตัวนี้ก็เป็นของชิ้นเดียวที่มีค่าพอนำมาเป็นของกำนัลเชื่อมสัมพันธไมตรี

“เอ่อ...ไม่ทราบว่าท่านพอใจกับของกำนัลไหมขอรับ” เทพหนุ่มตัดสินใจถามจนได้ เทพอสูรหนุ่มเงยหน้ามองเหมือนตื่นจากห้วงภวังค์ “ซองตัวนี้เป็นของที่จอมเทพีของเราสร้างด้วยตัวเองทั้งหมดขอรับ”

“อ๋อ ขอโทษด้วยที่ทำให้เข้าใจผิด” ไคซัสว่า “ข้าไม่ได้ไม่พอใจของกำนัลหรอก แต่มันทำให้ข้าคิดถึงใครบางคนขึ้นมาน่ะ” พูดแล้วหันไปทหารของอัลล์ “เจ้าออกไปก่อน บอกให้เพื่อนของเจ้าเตรียมตัวด้วย หลังคุยกับแขกเสร็จแล้ว ข้าจะไปกองบัญชาการ”

“ขอรับ มหาเทพไคซัส” ทหารหนุ่มทำความเข้ารพแล้วถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเหลือกันแค่สองคน ไคซัสก็ลุกขึ้นมาย้ายของกำนัลไปวางไว้ที่โต๊ะใกล้ ๆ แล้วหยิบเก้าอี้อีกตัวมาให้แขกด้วยตนเอง สร้างความตกใจให้แก่ฮาธอสอย่างหาที่สุดมิได้

“ทะ...ท่านทำอะไรน่ะขอรับ!”

“เอาเก้าอี้มาให้เจ้านั่งไงล่ะ” เทพอสูรหนุ่มบอกพร้อมผายมือไปที่เก้าอี้ “เชิญนั่งสิ เราจะได้คุยกัน”

“ตะ...แต่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ข้าต่ำต้อยกว่าท่านมากนัก” ฮาธอสค้อมตัวลงอย่างไม่อาจรับ

“เจ้าเป็นตัวแทนมาจากจอมเทพีเรเทเชีย เป็นแขกของข้า ข้าจะต้อนรับตามวิธีการของข้าไม่ได้หรือ นั่งลง”

อีกแล้ว...เขาทำเสียงทุ้มต่ำแบบเมื่อคืนนี้อีกแล้ว มันสั่นสะเทือนผ่านอากาศมาถึงหัวใจของฮาธอสแล้วสั่งให้ชายหนุ่มทำตาม ร่างสูงโปร่งค่อย ๆ มานั่งที่เก้าอี้ ในตอนที่เดินผ่านตัวไคซัสนั้น เขามีโอกาสได้เห็นดวงตาของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด ตอนนี้มันไม่มีประกายเกล็ดเห็นแบบเมื่อคืน แต่ก็สวยสดราวกับบุษราคัมสีแสดก็ไม่ปาน

“ดีมาก ที่นี่เราจะได้คุยกันตรง ๆ เสียที จอมเทพีเรเทเชียได้ฝากอะไรมาถึงข้าอีกไหม” ไคซัสถามขณะเดินอ้อมโต๊ะกลับไปนั่งที่เดิม สีหน้าของเขายังคงนิ่งสนิท

“นางฝากให้ข้าเรียนกับท่านมหาเทพสงครามว่า ‘เมื่อท่านปรารถนามิตร ท่านก็ได้มิตร’ ขอรับ” ฮาธอสกล่าว ดวงตาสีเขียวของเขาฉายแววจริงใจเปี่ยมล้น จนอีกฝ่ายชักสงสัยว่าเป็นเพราะการฝึกหรือเพราะนิสัยเจ้าตัวกันแน่ แต่อย่างน้อยคำตอบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น

“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นโชคดีของข้าจริง ๆ ที่ได้จอมเทพีเรเทเชียมาเป็นมิตร แต่ข้าอยากจะอธิบายให้กระจ่าง ข้าไม่ได้ต้องการแรงสนับสนุนใด ๆ จากจอมเทพีเรเทเชีย สิ่งที่ข้าต้องการมีแค่...มิตร” เทพอสูรหนุ่มหงายไพ่อีกใบแล้วรอดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้า

ฮาธอสค่อนข้างประหลาดใจกับคำพูดของไคซัส ในนิยามของเขา ‘มิตร’ หมายถึงบุคคลที่มีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อ คอยช่วยเหลือดูแลกันและกันด้วยความจริงใจ ซึ่งนั่นหมายความร่วมถึงแรงสนับสนุนในเรื่องต่าง ๆ ที่มีต่อคนที่เป็นมิตรด้วย ฉะนั้นเขาจึงไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายนัก

เทพอสูรตนนี้ทำราวกับต้องการตัดตัวเองออกจากชาวเทพอย่างไรอย่างนั้น...

“ทราบแล้วขอรับ ข้าจะกลับไปเรียนจอมเทพีของเราเช่นนั้น” ฮาธอสตัดสินใจตอบอย่างเป็นกลาง

อย่างที่คิดจริง ๆ ไคซัสคะนึงในใจ เทพหนุ่มตนนี้ไม่เหมือนกับเทพชั้นผู้น้อยตนหนึ่งที่เขาเคยพบ พวกนั้นจะไม่คิดสงสัยและไม่หาคำตอบในเรื่องที่เทพชั้นสูงกว่าพูดออกมา แต่ฮาธอสเหมือนกับอัลล์ ชายหนุ่มพยายามหาคำตอบในคำพูดของเขา และยังมีไหวพริบดีพอที่จะแก้ปัญหาแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่นอีกด้วย ลำพังแค่ข้ามาเผชิญหน้ากับเขาตามลำพังก็นับว่าน่าชื่นชมมากแล้ว แต่นี่มีความเฉลียวฉลาดด้วยยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่

“ได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำแบบนั้น และเชื่อด้วยว่าระหว่างทางเจ้าอาจจะคิดจนได้คำตอบไปเสนอแนะนางด้วย” ไคซัสทดลองหย่อนระเบิดลงไป ซึ่งได้ผล ฮาธอสชะงักแล้วแล้วเบิกตามองเขาด้วยความตกใจ “ข้าชอบคนฉลาด ฮาธอส ไม่ว่าจะอยู่ในลำดับชั้นไหนก็ตาม ขอแค่เป็นคนฉลาดก็สามารถคุยกับข้าได้ทั้งนั้น”

“มิบังอาจ...” ฮาธอสก้มหน้าหลบ ดวงตาหลุกหลิก ไม่คาดฝันเลยว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าเขา ‘คิดเป็น’

“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นอยู่แล้ว” มหาเทพอสูรขยับตัวตรง มือทั้งสองข้างประสานกันบทโต๊ะ ท่าทางจริงจัง “แต่ข้าอยากให้เจ้าตอบคำถามข้าสักข้อ สำหรับเจ้า ใครน่ากลัวที่สุดในสวรรค์”

คำถามนี้ทำให้ฮาธอสนิ่งไปเหมือนกับอัลล์ ต่างกันตรงที่เทพหนุ่มมองตาเขานิ่งราวกับจะถามว่า ‘แน่ใจแล้วหรือที่สงสัยข้อนี้’ มันเป็นความกล้าเข้าขั้นบ้าบิ่นสำหรับเทพหนุ่มผู้นุ่มนวล และพอรู้ตัวก็หลุบตาลงอย่างเจียมตัวเหมือนเดิม

“ข้าคิดว่าเป็นมหาเทพ...”

“ไม่ใช่ ‘ฟาเบียน’ ฮาธอส” เทพอสุรหนุ่มพูดออกไป แววตาขึงขังยิ่งทำให้บรรยากาศดุดันยิ่งขึ้น “ข้ารู้จักฟาเบียนมานานกว่าที่เจ้า รู้ดีกว่าเขาไม่ใช่คนที่น่ากลัว ข้าอยากรู้ว่าเมื่ออยู่ในสถานะนี้ข้าควรจะระวังใครที่สุด”

ฮาธอสก้มหน้าใช้ความคิด เขาจำเป็นต้องตรึกตรองให้ละเอียดก่อนพูด เนื่องจากเป็นคำถามที่มีความเสี่ยงมาก ที่สำคัญเขาไม่เคยถูกถามแบบนี้มาก่อนด้วย แต่ไคซัสถามเพื่อประโยชน์ในการป้องกันตัวเอง เขาจึงควรจะตอบ

“ข้าคิดว่าน่าจะเป็น...ขุนพลเทพอันดับห้า...ท่านเซย์เรียโน่ขอรับ”

มหาเทพสงครามสดับแล้วก็พยักหน้าช้า ๆ ใบหน้าคร้ามเข้มยังคงปราศจากความรู้สึก ก่อนเขาจะเปิดลิ้นชักหยิบสร้อยเงินร้อยจี้รูปตรีศูลด้ามยาวออกมาคล้องคอ แล้วลุกขึ้นไปหยิบเสื้อคลุมที่แขวนไว้กับเสาข้างกรอบประตูมาสวม

“ขอบใจมาก ข้าถือว่านั่นเป็นคำแนะนำของมิตรและจะจดจำให้ขึ้นใจ” ไคซัสบอก

ถึงความหมายจะตรงไปตรงมา แต่ฮาธอสกลับรู้สึกว่ามีความหมายแอบแฝงที่เขาไม่เข้าใจอยู่ด้วย แลเพราะอีกฝ่ายพูดว่า ‘มิตร’ เขาจึงตัดสินใจทำบางสิ่งเพื่อความเท่าเทียมบ้าง

“ขออภัยขอรับ ท่านมหาเทพสงคราม แต่ข้าขอเสียมารยาทถามอะไรสักอย่าง” ไคซัสเงยหน้ามามองเป็นสัญญาณว่ากำลังรอฟังอยู่ “จากที่ข้าดูท่านไม่โปรดการอยู่บนสวรรค์ แล้วทำไมท่านถึงยอมรับตำแหน่งขอรับ”

คำถามที่เป็นประหนึ่งลูกศรทะลวงเข้ากลางใจดำของไคซัสพอดี เทพอสูรหนุ่มถึงกับยิ้มกว้างเลยทีเดียว

“เจ้าจะกล้าหาญเกินตัวไปแล้ว ฮาธอส ตอนเห็นเจ้าในงานเลี้ยงไม่นึกเลยว่าจะกล้าขนาดนี้” ไคซัสเอียงคอกลับมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหลือเชื่อที่ดูอ่อนโยนยิ่ง “แต่นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของข้าและ ‘มิตร’ ก็ไม่ควรรู้ด้วย ข้าต้องไปกองบัญชาการแล้ว เชิญกลับไปได้ บอกเจ้านายของเจ้าด้วยว่า ข้าพอใจกับของกำนัลมาก”

ว่าพลางก็เปิดประตูห้องพร้อมผายมือเชื้อเชิญแขกกลับ ฮาธอสซึ่งอยู่ในสถานะต่ำกว่าจึงโต้เถียงไม่ได้ ถึงจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายหลอกใช้ตัวเองอยู่กลาย ๆ ก็ตาม ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินมาคำนับแทนคำอำลาจากนั้นก็กลับออกไปก่อน ไคซัสรอจนกระทั่งร่างของฮาธอสเหาะออกนอกเขตเมฆของตำหนักแล้วค่อยนำทหารของอัลล์ไปทำ ‘ธุระ’ ของตัวเองบ้าง

------------------

กองบัญชาการกองทัพสวรรค์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหานครแห่งฟ้าอันกว้างใหญ่ ที่นี่ตั้งอยู่บนก้อนเมฆสีทองขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีอยู่เพียงสามก้อนในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งหากเกิดสงครามครั้งใหญ่บนสวรรค์ เมฆก้อนนี้ก็สามารถลอยตัวขึ้นและเคลื่อนไปอยู่ในแนวหน้าได้ในเวลาอันสั้น

ภายในซึ่งสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ถูกเนรมิตตามแบบสถาปัตยกรรมจีนโบราณ เหล่าทหารในเครื่องแบบสีขาวเดินขอบชุดด้วยสีแตกต่างกันจับกลุ่มพูดคุยถึงมหาเทพสงครามตนใหม่อย่างออกรส ทุกคนยังคงไม่อยากเชื่อว่าอำนาจสูงสุดของกองทัพฟ้าได้ตกไปอยู่ในมือของเทพอสูรที่มาจากโลกเบื้องล่างแล้ว

อัลล์เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ได้ร่วมวงสนทนาเรื่องนี้ด้วย เขาเพิ่งจะได้บันทึกกับแผนที่ที่ไคซัสต้องการจากสำนักเลขาธิการ ตอนนี้กำลังวิ่งไปที่ประตูหน้าเพื่อรอรับเจ้านายคนใหม่ หลังเจ้าตัวส่งคนมาบอกว่ากำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

ทว่าในตอนที่วิ่งข้ามลานกว้างอันแหล่งชุมนุมของเหล่าทหารนั้น มือเล็กแต่ทรงหลังข้างหนึ่งก็คว้าแขนของเขาไว้เสียก่อน เมื่อหันหน้า พอหันกลับไปมองอัลล์ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหน้าของเซย์เรียโน่

“เฮ้ ๆ วิ่งพรวดพราดแบบนี้เดี๋ยวก็ชนใครเข้าหรอก” เสียงเล็ก ๆ ที่ไม่มีแววแตกพานดุ

“ขออภัยขอรับ ท่านเซย์เรียโน่ ข้าน้อยกำลังรีบ” อัลล์แจ้งอย่างร้อนรน

“ทำไมล่ะ” เซย์เรียโน่ถาม แต่แปบเดียวก็เลิกสนใจแล้วชูซองบัตรเชิญสีแดงสดขึ้นมา “เจ้านายใหม่ของพวกเจ้าเข้ามาแล้วหรือยัง ข้าเอาบัตรเชิญงานเลี้ยงมาให้เขา”

อัลล์มีท่าทีร้อนรนทันใด “มหาเทพไคซัสยังไม่เข้ามาขอรับ แต่ข้าจะ...”

“ไม่ต้องหรอก อัลวิน ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”

เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยแทรกกลางปล้องเรียกความสนใจของชายทั้งสองไปยังผู้มาใหม่ ไคซัสก้าวข้ามธรณีทวารที่ยกสูงไว้เข้ามาข้างในพอดี ทหารสองนายตามเขามาด้วย ทั้งลานตกอยู่ในความเงียบ เมื่อทหารทุกนายได้เห็นเขา เทพอสูรหนุ่มกวาดตามองรอบ ๆ ก่อนจะเดินตรงไปหาพวกอัลล์เหมือนไม่สนใจ ทั้งที่เพิ่งแยกกันมาไม่ถึงสองชั่วโมง แต่ในความรู้สึกของอัลล์ เจ้านายดูน่าเกรงขามกว่าเมื่อเช้านี้หลายเท่าตัว ดวงตาของเขามีแต่ความอำมหิตด้วยซ้ำ เซย์เรียโน่กระตุกยิ้มอย่างชมชอบ

“เราได้พบกันอีกแล้ว มหาเทพสงครามไคซัส ข้า ‘เซย์เรียโน่ ดาร์กเนส’ ขุนพลอันดับเทพอันดับห้า ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กหนุ่มยื่นมือซ้ายมาให้ ซึ่งไคซัสรับไว้แล้วเขย่าสองสามที

“ยินดีที่ได้พบ เทพมังกรไฟแห่งมิติดราโกเนีย ผู้กำเนิดจากชิ้นส่วนของเทพมังกรทองแห่งสวรรค์ ข้าได้ยินชื่อของเจ้ามานานทีเดียว” เขาพูดด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก “เทพมังกรผู้ไม่ควรกำเนิดขึ้นมา”

“ใครเป็นคนกำหนดชะตากรรมของคนเรากันล่ะ” เซย์เรียโน่ยิ้มกว้าง แววตาท้าทาย “ข้าเกิดมาแล้ว ยืนอยู่ตรงนี้ สนทนาอยู่กับท่านและจะชวนไปงานเลี้ยงด้วย ข้าอยากเป็นมิตรด้วยนะ ที่ตำหนักข้ามีเหล้าเยอะแยะ”

แต่ไคซัสกลับรู้สึกว่ามันเป็นคำเชิญไปสู่อันตราย อาจเพราะคำตอบของฮาธอสที่ได้มาก่อนหน้านี้

“ขอโทษด้วยนะ แต่ต้องขอปฏิเสธ วันนี้เป็นวันทำงานครั้งแรกของข้า ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้”

ขุนพลเทพน้อยยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่เป็นไร งานเลี้ยงของข้าไม่ได้มีคืนเดียวอยู่แล้ว” ร่างโปร่งบางเดินมาใกล้แล้วเอาบัตรเชิญแปะอกของผู้อาวุโสกว่า เสียงเล็กกระซิบกลับมา “ที่สำคัญข้ามีทุกอย่างที่ท่านต้องการ ถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็มาหาข้าที่ตำหนักได้เลย แต่เตรียมใจสักนิด งานเลี้ยงของข้าไม่ใช่งานเล็ก ๆ นะ ลาก่อน”

หลังกล่าวลาด้วยใบหน้าชื่นมื่น เด็กหนุ่มในชุดจีนประยุกต์ก็อันตรธานหายไป บัตรเชิญที่เขาทิ้งไว้จึงปลิวตกกลางอากาศ อัลล์ยื่นมือเตรียมจะรับ แต่ไคซัสกลับคว้าได้ก่อน มือใหญ่ที่ไว้เล็บแหลมยาวเหมือนกรงเล็บขยำมันจนยับยู่ยี่ เจ้าเด็กนั่นอันตรายสมตำแหน่งที่ได้รับจริง ๆ

“มหาเทพ...” อัลล์เอ่ยเรียกดึงสติเจ้าของชื่อกลับสู่โลกความเป็นจริง

ในตอนนั้นเองที่ไคซัสรู้สึกถึงสายตาทิ่มแทงที่ส่งมาจากรอบข้าง มหาเทพสงครามช้อนตามองโดยรอบพบว่าพวกเขากำลังกระซิบกระซาบ บางคนชี้ไม้ชี้มือมาทางเขาเหมือนกับตัวประหลาดที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก...

...แน่นอน พวกเขาไม่เคยเห็นไคซัสมาก่อน ไม่เคยเห็น ‘อสูร’ รูปร่างอัปลักษณ์ในสถานที่สวยงามเช่นนี้ มันเป็นสิ่งที่มหาเทพหนุ่มตระหนักอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ราชาแห่งฟ้ายังกังวลจนต้องกระจายเสียงในตอนแต่งตั้งไปทั่วสวรรค์ เพื่อป้องกันการต่อต้าน แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะต้องมานั่งกลัวสายตาของทหารเล็ก ๆ พวกนี้

“อัลวินเตรียมตัว ข้าจะทำอะไรบางอย่างที่นี่” ก่อนที่อัลล์จะทันเข้าใจความหมายของไคซัส มหาเทพหนุ่มก็ตะโกนไปในลานกว้าง “ทหารทุกนายที่อยู่ในกองบัญชาการแห่งนี้ ทุกหน่วย ทุกกรมกอง จงออกมารวมกันที่ลานกว้างด้านหน้าเดี๋ยวนี้ นี่เป็นคำสั่งมหาเทพสงคราม!!!”

เสียงทุ้มต่ำถูกขยายด้วยเวทมนต์ดังกระหึ่มจนอาการทุกหลังสั่นสะเทือน ทรงอำนาจดุจเสียงคำรามพญาพยัคฆ์เขย่าขวัญทุกคนในบินหาย ทหารทุกนายรีบวิ่งไปประจำที่ แม้แต่คนที่กำลังทำงานอยู่ก็ยังรีบถลาออกมา ในขณะที่ไคซัสย่างสามขุมไปยังเวทีตั้งอยู่ด้านในสุดของลานกว้าง ซึ่งน่าประหลาดที่ไม่มีใครวิ่งชนเขาเลยสักตน ผิดกับอัลล์และลูกน้องที่ถูกชนกระเด็นไปตนละหนสองหนจนต้องกางเขตอาคมป้องกันไว้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ทหารทั้งหมดสองพันห้านายจากทุกกรมกองที่ปฏิบัติงานในวันนี้ก็มาเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบตามคำสั่ง ระหว่างนั้นไคซัสก็ขึ้นไปคอยท่าบนเวทีแล้ว

“ทหารทุกนาย...” อัลล์ที่อยู่ด้านล่าง หน้าเวทีกำลังอัลล์จะประกาศ แต่ต้องชะงักไปเมื่อไคซัสยกมือห้าม

“ไม่ต้อง ข้าจะพูดไม่ยาวนัก” ไคซัสยังคงขยายเสียงของตนด้วยเวทมนต์อยู่ หากคราวนี้เบาลงพอได้ยินทั่วทั้งลาน “วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกของข้า เดิมทีตั้งใจว่าจะยังไม่เรียกรวมตัวทันที เพราะอยากให้พวกเจ้าได้ทำใจกันอีกสักนิด แต่ในเมื่อข้ามาที่นี่แล้วก็ไม่อยากเสียเวลา”

เขาเว้นช่วงกวาดตามองทหารแถวหน้าซึ่งเป็นประหนึ่งตัวแทนของทหารในที่นี้ ทุกนายทอดมองเขาดั่งตัวประหลาด ขาดความเชื่อถือ และไม่มีความเคารพยกย่องตามสมควรแก่ฐานะของเขา

“ข้ารู้ว่าสำหรับที่นี่ ข้าเป็นตัวประหลาด แต่นั่นไม่ได้ลดทอนอำนาจของข้าในฐานะ ‘มหาเทพสงคราม’ ช้าคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในกองทัพแห่งนี้ ซึ่งข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติได้ทำหน้าที่นี้ด้วย ฉะนั้นข้าจึงหวังว่าทุกคนจะรู้สึกเหมือนกับข้า มีเกียรติและศักดิ์ศรีในฐานะทหาร ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าเคารพนับถือข้า สิ่งที่ข้าต้องการมีแค่ ‘จงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด’ ใครก็ตามที่เอาเรื่องข้าเป็นอสูรมาอ้างเพื่อละเลยหน้าที่ ข้าจะลงโทษมันผู้นั้นตามความผิดสูงสุดที่บัญญัติไว้ในกฎอัยการศึก!”

แล้วมหาเทพสงครามก็พยักหน้าให้อัลล์ซึ่งประกาศเลิกแถวทันที ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่เดิมของตนคือคือของติดตามไคซัสไปสำรวจสวรรค์ ถึงตอนนี้ไม่มีใครสนใจอีกแล้วว่าเหล่าทหารจะมองเขาด้วยสายตาเช่นไร เทพอสูรหนุ่มได้แสดงจุดยืนของตนให้เห็นแล้ว ส่วนที่เหลือก็อยู่ที่การตัดสินใจของเหล่าทหารเท่านั้น

-------------------

สวรรค์เป็นดินแดนที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลและภูมิประเทศที่หลากหลาย ทำให้ไม่สามารถดูแลความสงบเรียบร้อยได้อย่างทั่วถึง ในยุคแรกที่สวรรค์เกิดขึ้นก็เคยถูกเผ่าปีศาจโจมตีมาแล้วหลายครั้ง ราชาของชาวฟ้าองค์ที่สิบสามจึงแก้ปัญหาด้วยการสร้างเขตแดนจากพลังศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์ โดยเสาเขตแดนกว่าสองหมื่นต้นที่ปักปันตามแนวชายแดนเป็นสื่อกลาง พวกปีศาจไม่มีทางฝ่าเข้ามาได้อีก ยกเว้นแต่จะบุกมาทางทวารดินที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์

หลังออกมาจากกองบัญชาการกองทัพสวรรค์แล้ว ไคซัสกับผู้ติดตามทั้งสามนายก็เหาะมาสำรวจบริเวณชายแดนด้วยกัน พวกเขาเหาะเหินไปด้วยความเร็วสูงดุจดาวหางที่บินพาดผ่านท้องฟ้า ทั้งกลุ่มจะหยุดก็ต่อเมื่อพบกองทหารลาดตะเวน ไคซัสจะสอบถามพวกเขาเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่พบเจอทุกครั้งที่ออกทำงาน ซึ่งทุกกลุ่มตอบเหมือนกันหมดว่าทุกอย่างเป็นปกติดี สุดท้ายเทพอสูรหนุ่มก็ตัดสินใจมาที่เสาต้นใหญ่ที่สุดของชายแดนบริเวณนี้

มหาเทพสงครามสั่งให้อัลล์กับลูกน้องรออยู่ห่าง ๆ สั่งให้หัวหน้าทหารหนุ่มอ่านบันทึกเพื่อสรุปย่อให้เขาฟังทีหลังด้วย จากนั้นไคซัสก็วางมือตรงโคนเสาศิลาที่สูงกว่าตัวเขาหลายร้อยฟุต แล้วแผ่พลังของตัวเองเข้าไปตรวจสอบสภาพเขตอาคมโดยตรง อำนาจมนตราสองสายต่อต้านกันไปมา แม้ว่าจะไม่รุนแรงนัก แต่ก็มากพอเห็นกระแสพลังเคลื่อนไหวรอบ ๆ เสาได้อย่างชัดเจน

...เป็นเวลานานหลายชั่วโมงกว่าไคซัสจะสำรวจเสร็จสิ้น เทพอสูรคลายพลังของตนเองแล้วถอยหลังออกมาด้วยท่าทางอ่อนล้า กระแสมนตราที่กระจายออกมาค่อย ๆ จางหายไป

“สภาพเขตอาคมโดยรวมยังคงดูดีอยู่ แต่เสาที่อยู่ทางเหนือหลายต้นเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว จดไว้ด้วยว่าเรื่องนี้ต้องเข้าที่ประชุมสภาสวรรค์” ไคซัสสั่งซึ่งทหารคนหนึ่งรีบจดไว้ทันที “อัลวินสรุปย่อมาสิ”

“ขอรับ” อัลล์ขานรับก่อนค่อยเริ่ม “จากบันทึกช่วงที่ผ่านมาสวรรค์ไม่มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก มีเหตุการณ์ที่พวกปีศาจพยายามทะลวงเข้ามาทางชายแดนที่เปราะบาง โดยไม่ผ่านทวารดินสองสามครั้ง แต่พวกมันทำไม่สำเร็จ เพราะต้านทานพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ไหวขอรับ”

“มีการเพิ่มจำนวนการลาดตะเวนขึ้นไหม” ไคซัสถามเสียงเข้ม ดวงตาทอดมองสภาพพื้นที่โดยรอบ หวังหาสัญญาณที่ตัวเองกำลังตามหาอยู่

“เอ่อ...บันทึกระบุว่าเพิ่มเฉพาะช่วงห้าสิบแรกของการบุกแต่ละครั้ง หลังจากนั้นก็จะลดลงตามลำดับจนเหลือแค่สี่กะในปัจจุบัน แต่ที่ทวานดินมีการเพิ่มจำนวนทหารรักษาความปลอดภัยมากขึ้นขอรับ” อัลล์ตอบโดยเสริมเรื่องที่คิดว่าไคซัสจะถามต่อเข้าไปด้วย

เทพอสูรหนุ่มพยักหน้า “แล้วความเปลี่ยนแปลงจุดอื่น ๆ ในสวรรค์ช่วงพันปีที่ผ่านมาล่ะ”

“แทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงขอรับ ยกเว้นจำนวนทหารเทพที่ลดน้อยลงทุกครั้งที่เกิดสงคราม” น้ำเสียงของอัลล์หนักแน่นเพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนได้อ่านมา ดวงตาสีม่วงพิจารณาใบหน้าไร้ความรู้สึกของเจ้านาย “หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอเสียมารยาทถาม ทำไมท่านถึงอยากรู้ความเปลี่ยนแปลงของสวรรค์ขอรับ”

ไคซัสหันมองหน้าคนถามในทันที ไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นความคลางแคลงใจจากสีหน้าของอัลล์ มันเป็นปฏิกิริยาปกติที่เกิดขึ้นเสมอเวลาที่เทพอสูรหนุ่มเสนอหน้าไปยุ่งเรื่องของใคร แต่น้อยคนที่จะกล้าถามเขาแบบนี้

“ตอนฟาเบียนติดต่อมาหาข้า เขาระบุเอาไว้ด้วยว่าการป้องสวรรค์ให้พ้นจากอันตรายเป็นหน้าที่ของมหาเทพสงคราม และข้าคิดว่ามหาเทพแต่ละตนก็มีวิธีการแตกต่างกันไป นี่คือ ‘วิธีของข้า’ อัลวิน”

พูดยังไม่ทันขาดเสียงดีด้วยซ้ำ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างทางตะวันตก ไคซัสจึงตบบ่าอัลล์แล้วชี้ไปยังเมฆสีรุ้งก้อนหนึ่งที่ลอยตัวอยู่บริเวณเส้นขอบฟ้า

“นั่นอะไร”

“เมฆสีรุ้งขอรับ บางครั้งในตอนกลางวันจะมีเมฆบางก้อนที่ไม่เปลี่ยนสีตามแสง พวกมันจะลอยสะเปะสะปะไปเรื่อยเหมือนเรือไม่มีหางเสือ” อัลล์อธิบายพลางเอียงคอฉงนฉงาย “แต่แปลก...ปกติเมฆสีรุ้งจะอยู่ในมหานครหรือไม่ก็ใกล้ตำหนักเทพบรรพกาล ทำไมเจ้าก้อนนี้ถึงมาลอยเท้งเต้งอยู่แถวนี้ได้...”

“ไหนเจ้าบอกข้าว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงในสวรรค์ไงล่ะ” ไคซัสกันมาซัก คิ้วขมวดเข้ากันอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าเห็นเมฆแบบนั้นแถวชายแดนนี่อีกไหม”

อัลล์ส่ายศีรษะ “ไม่ขอรับ ข้าไม่ได้ออกจากมหานครตั้งแต่เมื่อหกเดือนก่อน หลังจบสงครามข้าก็ถูกแช่แข็งอยู่ในหน่วยเล็ก ๆ จนกระทั่งถูกย้ายมาอยู่กับท่าน”

มหาเทพสงครามชักสีหน้าผิดหวังทันที เขามองไปที่เมฆก้อนนั้นอีกครั้ง สัมผัสมันด้วยเศษเสี้ยวพลังของตนเองก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดจนกระทั่งมันลอยหายไปลับกับตา ทันใดนั้นเองที่ความหนักอึ้งถาโถมลงมาทับสองบ่าของเขา

“พวกเจ้ารู้ไหมว่านี่หมายความว่าอย่างไร” เขาเอ่ยเหมือนถามลอย ๆ

“ไม่เลยขอรับ” อัลล์ตอบตามตรง ลูกน้องของเขาก็ส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ

ร่างสูงใหญ่มีเขาหมุนตัวกลับมาหาผู้ติดตามของตน ใบหน้าคร้ามเข้มดูจริงจังจนน่ากลัว

“ข้าต้องไปงานเลี้ยงของขุนพลอันดับห้าเซย์เรียโน่น่ะสิ”

-------------------

ตอบคอมเมนต์

คุณ kamidere กับคุณ saruttaya - มาต่อให้แล้วนะครับ ^ ^
คุณ teatimes ขอบคุณสำหรับเป็ดเหลืองฮับ เรื่องนี้เขียนจบแล้ว ตั้งใจทยอยลงเรื่อยๆ ไม่ดองแน่นอนครับ  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6
เรื่องนี้จบแฮปปี้ใช่มั้ยค่ะ? แอบถามนิดนึงงงง เป็นคนไม่ชอบบริโภคดราม่าอะ 5555

ออฟไลน์ Kamidere

  • บรรยายมันออกมา ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง 2 up 19/08/13
«ตอบ #11 เมื่อ19-08-2013 20:36:05 »

เม้นก่อนเลยค่า ^^ ชอบมากๆ ขอบคุณที่ลงให้นะคะ  เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: บวกเป็ดๆๆๆๆ

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง 2 up 19/08/13
«ตอบ #12 เมื่อ20-08-2013 17:20:25 »

บทที่ 3 เสียงเพลงนำพา

บริเวณขอบชายทางตะวันออกของมหานครแห่งสวรรค์ ยังมีตำหนักลาไซสิโอน่าของขุนพลอันดับห้าอยู่บนภูเขาสูงสลับซับซ้อน หมู่อาคารที่เนรมิตตามแบบบ้านจีนโบราณกระจัดกระจายตามยอดผ้าลดลั่นกันลงไป เชื่อมโยงด้วยทางเดินกับสะพานสายรุ้งที่เสกขึ้นจากไม้ลงรักสีแดงอย่างสวยงาม ตัวเรือนหลักอยู่บนยอดสิงขรสูงที่สุด ซึ่งบัดนี้เปิดไฟสว่างไสว มีเสียงเพลงบรรเลงกระหึ่ม พร้อมต้อนรับแขกทุกคนที่มาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้

...ทว่าแทนที่บรรดาแขกจะได้สนุกสนานกับการดื่มสุราเคล้าชมการแสดงที่เซย์เรียโน่จัดหามา ทุกคนกลับเอาแต่จ้องมองแขกคนหนึ่งที่ไม่น่าจะมาร่วมงานด้วยเป็นตาเดียวกัน

ไคซัสซึ่งแต่งชุดเต็มยศสีดำสนิทขลิบขอบสีแดงสดนั่งอยู่ในมุมสงบของห้องจัดเลี้ยง บนโต๊ะของเขาเต็มไปด้วยสำรับอาหารคาวหวานและสุราชั้นเลิศที่เทพรับใช้ของตำหนักนี้จัดมารับรองอย่างสมเกียรติ ขาดแต่เพียงผู้ร่วมโต๊ะด้วย แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ปรารถนาเชิญใครมาร่วมด้วย แม้ว่าตอนนี้จะอึดอัดกับสายตารังเกียจที่ทิ่มแทงมาจากรอบข้างอย่างมากก็ตาม

“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ใครเป็นคนเชิญมา” เสียงซุบซิบแว่วมาจากที่ไหนสักแห่งด้านข้าง

“นั่นน่ะสิ ได้ยินว่าอสูรไม่คบเทพ เหมือนที่เราไม่คบหาอสูรไม่ใช่เหรอ” เสียงนี้สนับสนุนมา

“หรือเห็นว่าเป็นมหาเทพสงครามแล้ว จะทำอะไรก็ได้!”

“ไม่หรอก ข้าได้ยินว่าเซย์เรียโน่เชิญมา”

“ต๊าย! เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นน่ะเหรอ บ้าจริงเชียว ทำอะไรไม่รู้จักคิดเลย!”

มหาเทพสงครามแค่นเสียงเฮอะในคอเมื่อได้ยินประโยคนั้น ดูเอาเถิด ขนาดพวกเดียวกันยังไม่ยอมรับกันเอง เพียงเพราะเขาเป็นเด็กที่ไม่ควรเกิดมา นับประสาอะไรกับอสูรอย่างเขา นี่หากไม่ติดว่าเขาต้องการพบกับเจ้าของงานเลี้ยงด้วยเรื่องสำคัญ เขาจะไม่มีวันมานั่งดื่มเหล้ารอคนท่ามกลางสายตาทิ่มแทงแบบนี้แน่!

ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ยิ่งแค้นก็ยิ่งน้อยใจ!

“ท่านขุนพลเทพอันดับห้ากลับมาถึงแล้ว!”

นายทวารประกาศมาจากประตูหน้าทำให้ทุกสรรพเสียงเงียบลงทันใด เหล่าแขกที่มีสีหน้าปั้นปึ่งเมื่อครู่ต่างฉีกยิ้มปรี่ไปยังทิศทางนั้น มหาเทพสงครามส่ายหน้าอย่างเวทนา พวกที่ชอบสอพลอคนอื่นมีอยู่ทุกหนแห่งจริง ๆ แม้แต่สวรรค์ยังไม่เว้น

“ขอบคุณทุกท่านที่มาตามคำเชิญ ตอนนี้หลีกทางให้ข้าก่อน!” เซย์เรียโน่แผดเสียงอย่างทรงอำนาจ ฝูงแขกที่รายล้อมอยู่พลันแหวกเป็นทาง เด็กหนุ่มในชุดคอจีนสีแดงสดจึงเดินมาหาไคซัสได้อย่างสะดวก เจ้าตัวดูจะแปลกใจมากทีเดียวที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้งเร็วขนาดนี้ “ยินดีต้อนรับ ขออภัยด้วยที่ปล่อยให้มหาเทพสงครามต้องรอนาน ข้าเพิ่งเสร็จธุระจากตำหนักมหาเทพจ้าวสวรรค์พอดี”

“ข้าไม่รังเกียจการรออยู่แล้ว ถึงไม่ค่อยชอบสายตาไร้มารยาทของคนรอบข้างก็ตาม” เทพอสูรหนุ่มอดใจไม่ไหวขบพฤติกรรมของชาวเทพเสียคำหนึ่ง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ชาวเทพก็แบบนี้แหละ แค่อยู่บนฟ้าสูงกว่าคนอื่นนิดหน่อยก็คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา จะลิขิตชีวิตของคนที่อยู่ในโลกต่ำกว่าเยี่ยงไรก็ได้ บ้าบอสิ้นดีเลยเนอะ”

มหาเทพสงครามหันมองหน้าคนพูดที่กำลังหัวเราะอย่างตกใจ ขณะแขกที่ได้ยินพากันหน้าเสีย เจ้าเด็กนี่จะบอกว่าใจกล้าหรือบ้าบิ่นดีล่ะ ถึงจะมีพลังอำนาจและความสามารถสูงส่ง แต่อายุจริงก็แค่สองพันกว่าปีกลับกล้าพูดหักหน้าชาวเทพคนอื่นอย่างง่ายดาย อันตราย...ฟาเบียนกล้าให้เขารับตำแหน่งขุนพลเทพได้ยังไงนะ

“อ๊ะ! ดูเหมือนข้าจะพูดมากไปหน่อย เชิญทุกท่านสนุกกับงานต่อเถอะ” เซย์เรียโน่หมุนตัวไปพูดกับแขกในงาน ใบหน้าชื่นมื่นคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดนตรีเริ่มบรรเลง การแสดงเริ่มเริงระบำ เทพรับใช้หนุ่มสาวหน้าตาจิ้มลิ้มเป็นกองทัพยกอาหารกับสุรากลิ่นหอมละมุนออกมารับรองเพิ่มเติม บางคนเข้าควงแขนแขกหญิงแขกชายด้วยรอยยิ้มหวาน ฉอเลาะให้พวกเขากลับไปอารมณ์ดีอีกครั้ง ไคซัสเห็นกระบวนการแก้ปัญหาแล้วนับถือ

ครั้นบรรยากาศของความสนุกสนานกลับมาแล้ว เซย์เรียโน่ก็ย้ายตัวเองมานั่งข้าง ๆ ไคซัส เทพรับใช้หญิงนางหนึ่งยกกาสุรากระเบื้องเขียนลายมังกรแดงอย่างสวยงามมาให้ที่โต๊ะ ขุนพลอันดับห้าจัดการรินให้แขกคนสำคัญที่สุดของตนทันที

“เชิญดื่ม สุรากานี้ข้าบ่มด้วยตัวเอง หวังอย่างยิ่งว่าท่านจะชอบ”

ไคซัสยกจอกของตนขึ้นดมกลิ่นแล้วดื่ม ของเหลวรสร้อนผ่าวไหลลื่นลงคอจนต้องรีบกลืนลงไป สักครู่กลิ่นดอกเบญจมาศก็ซ่านขึ้นมาที่จมูกสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ดื่มอย่างยิ่ง

“สุราดี” เขาชมอย่างไม่ปิดบัง “แต่เสียดายที่ข้าไม่มีเวลามากนัก ข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องสำคัญ”

ใบหน้าพริ้มเพลาของคู่สนทนาปรากฏรอยเข้าใจทันใด “อ๋อ เรื่องนั้นเอง งั้นเราไปหาที่สงบคุยกันเถอะ” สิ้นเสียงแช่มชื่น เจ้าตัวหยิบจอกสองใบกับกาสุราลุกนำไปก่อน แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาถามไคซัส “ว่าแต่ท่านพาใครมาด้วยหรือเปล่า ถ้าพามาก็ให้ตามไปด้วยกันเลย”

“ไม่ ข้ามาที่นี่คนเดียว”

คำตอบทำให้เซย์เรียโน่ทั้งตกใจและประหลาดใจไปพร้อมกัน แล้วเขาก็ยิ้มกว้างด้วยความชื่นชม

“แจ๋ว ใจถึงแบบนี้สิดี ข้าชักจะชอบท่านซะแล้ว!” พูดทิ้งท้ายอย่างอารมณ์ดีเสร็จก็พาแขกออกจากงาน

---------------------------

สถานที่เงียบสงบของเซย์เรียโน่ก็คือ เรือนเล็กที่อยู่ด้านหลัง ริมสระน้ำที่มีฝูงปลาคราฟหลากสีแหวกว่ายอย่างเพลิดเพลิน ห่างจากตัวเรือนใหญ่พอได้ยินเสียงเพลงจากงานเลี้ยงคลอเบา ๆ บังตาอีกชั้นด้วยแนวต้นไผ่สีเงินที่ส่องแสงนวลตา

ไคซัสได้รับเชิญให้นั่งรออยู่ในห้องโถงใหญ่ระหว่างเซย์เรียโน่ไปเปลี่ยนชุด เทพรับใช้หญิงจัดสำรับให้พร้อมสรรพ กาสุราใบเดิมถูกจัดให้วางอยู่ข้างมือเขา นางกลับออกไปในตอนที่เซย์เรียโน่ในชุดสีขาวกลับมาพร้อมหนังสือปกดำเล่มหนึ่ง

“นี่เป็น ‘ของ’ ที่ข้าคิดว่าท่านกำลังอยากได้ มหาเทพไคซัส” ขุนพลเทพอันดับห้าวางมันลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ตัวแขกคนสำคัญ

“เจ้ารู้หรือว่าข้ากำลังหาสิ่งใดอยู่” ไคซัสย้อนถามทันที เนื่องจากตนยังไม่ได้บอกเลยว่าต้องการสิ่งใด

“หึ! ข้าเป็นขุนพลอันดับห้าเชียวนะ เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้” เด็กหนุ่มยิ้มแป้นแล้วก็อธิบายเสริมเมื่อไคซัสหรี่ตาคาดคั้น “ในบรรดาทหารที่ท่านเจอวันนี้ มีกลุ่มหนึ่งอยู่ในสังกัดของข้า ตัวหัวหน้ามาบอกว่าเจอท่านระหว่างทาง แถมวันนี้ท่านตรวจสอบสภาพเขตอาคมของสวรรค์ด้วย ขุนพลเทพที่เหลือตกใจกันใหญ่ ท่านรู้ไหมคนที่จะแตะต้องเขตอาคมได้มีแต่พวกเราเท่านั้น”

“ข้าได้รับอนุญาตจากฟาเบียนแล้ว” ไคซัสตอบ น้ำเสียงราบเรียบ ไม่เปิดช่องใด ๆ

“แน่นอนว่าท่านต้องได้รับอนุญาตอยู่แล้ว...ก็เจ้านั่นเคยไปพบท่านก่อนแต่งตั้งเป็นมหาเทพนี่นา ช่วยเล่าหน่อยได้ไหมว่า พวกท่านคุยอะไรกันบ้าง” เซย์เรียโน่หย่อนระเบิดลูกโต ดวงตาสีโลหิตฉายแววใคร่รู้

“นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของข้ากับฟาเบียน” เทพอสูรหนุ่มตอบเป็นกลาง เรื่องอะไรจะยอมให้ล้วงความลับง่าย ๆ อาจจะดูเห็นแก่ตัวที่เขามุ่งเอาประโยชน์ฝ่ายเดียว แต่มันก็เป็นวิธีป้องกันตัวเขากับฟาเบียนที่ดีที่สุด

“แต่ถ้ามหาเทพไคซัสไม่ตอบ ข้าจะไม่มอบ ‘ของ’ ให้นะ” ขุนพลเทพอันดับห้าตั้งเงื่อนไข เขายิ้มมุมปากอย่างท้าทาย ขณะมือรินเหล้าใส่จอกของตนจนเต็ม

มหาเทพสงครามมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเลือดคู่นั้นก็บอกได้ว่าเด็กหนุ่มเอาจริง “ข้าเป็นมหาเทพสงครามนะ...”

“ส่วนข้าก็เป็นขุนพลเทพในสังกัดของฟาเบียน ถ้าเทียบกันแล้วเราสองคนมีฐานะเท่าเทียมกันนะ” เทพมังกรไฟย้อนคำกลับมา ใบหน้าพริ้มเพลายิ้มหวาน ไม่หวาดกลัวกันสักนิด

หาเรื่องกันชัด ๆ! ไคซัสรำพึงในใจแล้วพูดออกไป “ข้าไม่อยากมีปัญหานะ”

“แต่ข้าอยากมี! อยากจะรู้สึกว่าราชาแห่งอสูรที่เขาลื่อว่าเก่งนักหนาจะแน่สักแค่ไหน!”

สิ้นเสียงขุนพลเทพน้อยก็ตวัดมือที่เปลี่ยนสภาพเป็นกรงเล็บมาที่คอของไคซัส เทพอสูรหนุ่มยกแขนขึ้นสกัดไว้พร้อมสะบัดมือไปเพื่อชิงหนังสือเล่มนั้นมา แต่เซย์เรียโน่ก็เร็วกว่า เขาถีบเก้าอี้ให้มหาเทพสงครามเสียหลักก่อนคว้าหนังสือถอยไปหลายก้าว จากนั้นก็วาดมือขึ้นแล้วซัดพลังเวทใส่อีกฝ่ายตรง ๆ ทว่าไคซัสก็ทำลายมันได้ด้วยการตบด้วยกรงเล็บเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

“เลิกเล่นเดี๋ยวนี้นะ!” เขาคำราม

“ใครบอกว่าข้าเล่นกันล่ะ ข้ากำลังเอาจริงต่างหาก!”

เซย์เรียโน่เรียกดาบเล่มหนึ่งมาอยู่ในมือแล้วพุ่งใส่ไคซัสอย่างเร็ว ดาบเพรียวบางผกพลิ้วผ่านอากาศราวกับนก ฉกไปยังช่องว่างของเทพอสูรหนุ่มอย่างแม่นยำเหมือนกับงู มหาเทพสงครามไม่อยากมีปัญหาจึงเอาแต่หลบเลี่ยง อีกฝ่ายก็พยายามบีบเขาด้วยการเพิ่มความเร็วขึ้นจนมองไม่เห็นดาบอีกแล้ว มีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้นที่บอกให้เขารู้ว่าการโจมตีมาจากตรงไหน เห็นดังนั้นร่างเพรียวบางจึงกระโจนใส่ตรง ๆ มือเปื้อนอำนาจสะบัดมาที่ใบหน้าของเขา

“อย่าเอาแต่หลบ ตอบโต้ข้าบ้าง!!”

เสียงระเบิดดังกึกก้องพร้อมผนังเรือนเล็กที่กระจุยตามแรง ต้นไผ่บังตาถูกสายลมพัดล้มระเนระนาดไปทั้งแถว แขกเหรื่อในงานต่างวิ่งออกมาดูด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะต้องตกใจเมื่อร่างของไคซัสลอยละลิ่วไปตกในส่วนหินข้าง ๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากปีกเหนือของเรือนใหญ่พอดี เทพอสูรหนุ่มคำรามในคออย่างหงุดหงิดพลางยืนขึ้นเต็มความสูง

ทว่าก่อนที่เทพอสูรหนุ่มจะทันได้ทำอะไร เซย์เรียโน่ก็ยิงพลังเวทสีขาวอันทรงอานุภาพมาจากเรือนเล็กอีกครั้ง ไคซัสแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด เขาวาดมือสร้างเกราะอาคมขึ้นรับมันไว้ก่อนจะกระแทกตัวเพียงนิดเดียวเท่านั้น แรงปะทะที่เกิดขึ้นดันตัวไคซัสถอยไปหลายก้าว พลังสองสายต่อต้านกันอย่างรุนแรงจนเกิดสายไฟปะทุออกมาเป็นระยะ เนื่องจากดวงเวทนี้แฝงพลังศักดิ์สิทธิ์อันเป็นปรปักษ์กับอสูรเอาไว้ด้วย มหาเทพสงครามจึงต้องปลดปล่อยพลังบางส่วนมาทานไว้ ส่งผลให้ร่างของเขาแปรเปลี่ยนไปทีละน้อย ก่อนเทพอสูรหนุ่มปัดพลังนั้นทิ้งไปด้านข้างด้วยกำลังทั้งหมดของตน

แต่เพราะมัวแต่ติดพันกับการป้องกันตันเอง ไคซัสจึงไม่ทันสังเกตว่าตนปัดมันไปทางไหน ดวงเวทที่ยังเหลือพลังทำลายลอยไปชนกับชั้นสองของเรือนใหญ่อย่างจัง เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งแล้วซากอาคารก็ปลิวทั่ว แขกเหรื่อในงานต่างวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ท่ามกลางความตื่นตกใจของไคซัสกับเซย์เรียโน่ แล้วเทพอสูรหนุ่มก็เหลือบเห็นเสาต้นใหญ่กำลังล้มไปยังเทพสาวสองคนที่วิ่งหนีออกมาไม่ทัน

“อันตราย!!”

เทพอสูรหนุ่มกระโจนออกไปด้วยความเร็วแสงในเสี้ยวนาทีเดียวกับที่เสาล้มครืนลงมา แขกในงานต่างกรีดร้องและมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก เซย์เรียโน่จึงรีบมาแก้ไขสถานการณ์อย่างเร่งด่วน เด็กหนุ่มร่ายมนต์เพียงครั้งเดียว ไฟที่ลุกโชนช่วงก็ดับมอดทุกจุด เหล่าเทพรับใช้ก็ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปค้นหาพวกไคซัสอย่างเร่งด่วน ขณะความวุ่นวายเริ่มแพร่กระจายออกไป

ทว่าหลังเริ่มไปได้ไม่นาน เสาต้นเขื่องที่ล้มลงมาก็เริ่มขยับจากข้างใต้แล้วก็ถูกผลักหลบออกไปโดยน้ำมือของมหาเทพสงครามนั่นเอง

“ทุกคนเป็นอะไรไหม!” เซย์เรียโน่วิ่งตะลุยมาถามด้วยความเป็นห่วงแล้วก็ต้องชะงัก

ไคซัสไม่ได้ตอบ แต่ประคองตัวเทพธิดาที่ตนช่วยไว้ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง หญิงทั้งสองนางก็เงยหน้าขึ้นเพื่อจะกล่าวขอบคุณ ทว่าพวกนางก็ต้องนิ่งหลังได้เห็นวงหน้ากึ่งอสูรที่เต็มไปด้วยเกล็ดอัปลักษณ์และดวงตาสีส้มที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีขาวเล็กมากมายดูน่าสะพรึง ความตกใจกลัวทำให้พวกนางเผลอกรีดร้องออกมา

“กรี๊ดดด..........ปีศาจ!!”

มหาเทพสงครามถึงกับสถานเมื่อได้ยินแบบนั้น รู้ตัวแล้วว่าตนเองอยู่ในสภาพใด ร่างสูงเอามือปิดหน้าแล้วข่มพลังทั้งหมดกลับเข้ามาในตัว เมื่อร่างกายกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้วค่อยถอยออกมาห่าง ๆ จากพวกผู้หญิง ซึ่งทำให้พวกนางรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ทั้งสองตนจึงรีบคุกเข่าคำนับให้อย่างสำนึกผิดทันที

“ขะ...ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ท่านมหาเทพสงคราม พวกเรา...”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่พวกเจ้าไม่ตายก็พอแล้ว” ไคซัสตัดบทอย่างเย็นชา เทพรับใช้รีบมาพาตัวพวกนางออกไป ขณะเจ้าของร่างสูงสีแดงหันไปหาคู่กรณีของเขา “ส่วนเจ้า...เซย์เรียโน่ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีจุดประสงค์อะไรถึงหาเรื่องข้าแบบนี้ แต่พอเท่านี้เถอะ ไม่อย่างนั้นข้าจะอัญเชิญป้ายทอง!”

ขุนพลเทพน้อยสดับเช่นนั้นก็หน้าเสีย “รู้แล้ว ๆ ข้าเลิกก็ได้!” พูดอย่างเอาแต่ใจพร้อมโยนหนังสือปกดำเล่มนั้นมาให้ “ถือว่าแทนคำขอโทษจากข้าก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเสียหาย ในเมื่อข้าเป็นคนก่อเรื่องก็จะรับผิดชอบและชี้แจงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเอง” ว่าพลางเดินข้ามซากปรักหักพังไปดูอาการของเทพธิดาทั้งสอง ซึ่งตอนนี้เองที่เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นในหัวเขา

‘สวรรค์เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเทพทั่วไปไม่รู้มาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีใครรู้สาเหตุ ข้าหวังว่าท่านจะพบในสิ่งที่ตามหานะ’

เซย์เรียโน่หันมาส่งยิ้มท้าทายให้มหาเทพสงครามเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหันไปเจรจากับฝูงแขกผู้ไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนไคซัสก็กลับออกมาด้วยสภาพอารมณ์แบบเดียวกัน เขาเหาะขึ้นฟ้าไปจากตำหนักลาไซสิโอน่าให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะความโกรธและชิงชังกำลังล้นทะลักจนเต็มหัวใจของเขา

เจ้าเด็กนั่น! เซย์เรียโน่จงใจหาเรื่องกันชัด ๆ ...จงใจใส่พลังศักดิ์สิทธิ์ใส่ดวงเวทที่ยิงใส่ในตอนสุดท้ายด้วย อีกฝ่ายเป็นเทพมังกรย่อมรู้อยู่แล้วว่าพลังนั้นเป็นปรปักษ์กับอสูรที่เกิดในดินแดนเบื้องล่าง ที่สำคัญไคซัสมั่นใจว่าตนกับเซย์เรียโน่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกัน เขาจึงไม่เข้าใจเลยว่าเด็กคนนั้นก่อเรื่องแบบนี้ได้ยังไง เพื่อทดสอบความสามารถของเขาหรือ?..ฤาเพื่อบีบให้เขาแสดงร่างจริงต่อหน้าทวยเทพทั้งหลาย

ปีศาจ...คำนั้นก้องสะท้อนอยู่ในหัวของไคซัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจใช่ที่อสูรกับปีศาจคล้ายกันในหลายบริบท แต่เขาแตกต่างจากอสูรที่เคยปกครองอย่างสิ้นเชิง บิดามารดาของเขาเป็นเทพอสูรจากสวรรค์ เลือดเนื้อในตัวของเขาเป็นของเทพ ผิดแค่ไม่ได้เกิดในเมืองฟ้าจึงได้ถูกเหยียดหยาม

‘พี่ชาย ข้าเตือนท่านแล้วนะ ขึ้นสวรรค์ไปก็ไม่มีความสุขหรอก!’

จริงอย่างที่เจ้าของคำพูดนั้นว่าไว้ ต่อให้มหาเทพจ้าวสวรรค์รับรองฐานะ แสดงจุดยืนกับเทพรับใช้และเหล่าทหาร แต่ก็ไม่อาจปรับเปลี่ยนความคิดของคนทั้งสวรรค์ได้ นี่แค่วันแรกของการทำงานยังทำให้เขารู้สึกแย่และเหนื่อยล้าขนาดนี้ แล้ววันข้างหน้าจะไม่เลวร้ายกว่านี้หรือ เขาจะทนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่จงเกลียดจงชังเขาไปได้อีกนานแค่ไหน จะไม่มีที่ใดให้เขาได้พักใดได้เลยกระนั้นหรือ

เทพอสูรหนุ่มเหินขึ้นเพื่อจะเร้นกายกับปุยเมฆด้านบน ทันใดนั้นโสตประสาทพลันแว่วยินเสียงดนตรีลอยมากับลม ไคซัสจึงหยุดเพื่อฟังเสียง มันเป็นเสียงของขลุ่ยที่แผ่วเบาจนแทบขาดหาด แต่ยังพอจับท่วงทำนองอ่อนหวานละมุนละไมได้บ้าง บทเพลงนั้นทำให้จิตใจของเขาคลายความว้าวุ่นคล้ายได้รับการเยียวยา

ใครกันมาเป่าขลุ่ยเอาดึกดื่นป่านนี้ ไพเราะเหลือเกิน...

มหาเทพกายสีแดงเริ่มเหาะอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เพื่อซ่อนเร้นตัวที่ไหน แต่เพื่อตามหาที่มาของเสียงเพลงเสนาะหูนั้น

---------------------------

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง 2 up 19/08/13
«ตอบ #13 เมื่อ20-08-2013 17:28:09 »

- 100% -


อีกฝากหนึ่งของมหานครแห่งสวรรค์อันเกรียงไกร ตำหนักซิมโฟเนียอาเรียในค่ำคืนนี้เงียบเหงาผิดกับคืนที่ผ่านมาอย่างมาก จอมเทพีจ้าวตำหนักกับเหล่านางกำนัลและลูกศิษย์ต่างเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำ หลังจากที่วุ่นวายกับการจัดเก็บสถานที่มาตลอดทั้งวัน

อาธอสยังไม่ได้กลับที่พัก เนื่องจากเป็นเวรยามดูแลสวนในคืนนี้ เทพหนุ่มนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ในส่วนชั้นนอกของตำหนักหลังจากเดินตรวจตราเสร็จไปรอบหนึ่ง เสียงเพลงในท่วงทำนองอ่อนโยนกังวานไปทั่วขับกล่อมเหล่าเทพทั้งหลายในตำหนักให้หลับฝันดี แต่เป่าไปได้สามเพลงเทพหนุ่มก็หยุดคิดถึงเรื่องวันนี้

หลังออกมาจากตำหนักพาเทร่า ฮาธอสก็กลับมารายงานผล รวมถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เจอให้จอมเทพีเรเทเชียได้ทราบอย่างละเอียด

‘อย่างนั้นรึ ถ้าเขาไม่อยากให้เรายุ่งด้วยก็อย่าไปยุ่งเลยนะ’ นางกล่าวเช่นนั้นในตอนที่เขาเล่าถึงคำพูดเรื่อง ‘มิตร’ ของมหาเทพสงคราม แล้วนางก็ไล่เขาออกจากห้องเพื่อพักผ่อนต่อ

ทว่าเทพหนุ่มก็ไม่สามารถสลัดคำพูดนั้นออกจากหัวไปได้ เขาจึงเก็บเรื่องนี้มาครุ่นคิดตลอดทั้งวัน กระนั้นต่อให้เปลี่ยนมุมมองใหม่สักแค่ไหน ฮาธอสก็ไม่อาจเข้าใจเจตนาของมหาเทพสงครามผู้นั้นได้อยู่ดี

...และในขณะที่กำลังใคร่ครวญอีกครั้งนั่นเอง ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่หางตา

“นาซิลลา” เทพหนุ่มหันมองแล้วร้องอย่างประหลาดใจ

เทพจันทราน้อยอยู่ในชุดนอนสีขาวคลุมด้วยเสื้อคลุมขนกว้างแบบจีนสีน้ำเงินเข้ม เรือนผมสีเงินปล่อยยายปรกบ่าดูน่ารักราวกับตุ๊กตา จะมีตำหนิก็แต่ใบหน้าที่ฉายความทุกข์ เด็กสาวย้ายตัวเองไปนั่งข้างตัวชายหนุ่มแล้วก็เอนหัวพิงบ่าของเขา

“ข้านอนไม่หลับ...” นาซิลลาบอกอย่างน่าสงสาร

“ทำไมล่ะ” ฮาธอสถามอย่างใคร่รู้แล้วก็นึกได้ “หรือว่าเจ้าฝันร้ายอีกแล้ว”

อัปสรน้อยพนักหน้า “มันน่ากลัวมากเลย ฮาธอส” เด็กสาวช้อนตามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น “ความฝันคราวนี้ชัดกว่าคราวก่อนมากเลย ข้าเห็นตัวเองอยู่ในความมืด ตอนพยายามหาทางออกก็ได้ยินเสียงคนเพรียกหา เสียงนั้นบอกกับข้าว่าจะให้ข้าทุกอย่าง ขอแค่ให้ข้าตามไปเท่านั้น แต่ข้ากลัวก็เลยปฏิเสธ ปีศาจมีเขาน่าเกลียดน่ากลัวก็เลยพุ่งออกมาจะฆ่าข้า ข้าพยายามหนีแล้วก็ตื่น”

ร่างเล็กผวากอดแขนเขาแน่น ตัวสั่นดั่งลูกสัตว์ตัวน้อย เทพคนสวนลูบผมปลอบโยนเธออย่างสงสาร เนื่องจากนาซิลลาอุบัติในตำหนักเทพจันทรา เธอจึงมีความสามารถด้านการทำนายเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดตัวมาด้วย แต่เมื่อใดก็ตามที่จิตของเด็กสาวบังเอิญสื่อกับพลังด้านมืดได้ เธอก็จะฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นกลางดึกแบบนี้เสมอ

“พักหลังมานี่เจ้าฝันบ่อยนะ” ฮาธอสพูดสีหน้าเครียด “ตอนเจ้ากลับตำหนักเทพจันทราได้รายงานเรื่องนี้ให้มหาเทพีบรรพกาลทรงทราบบ้างไหม”

“ข้ารายงานให้หัวหน้านางในของตำหนักนั้นรู้แล้ว แต่มหาเทพีบรรพกาลยังไม่ตื่นจากจำศีล ส่วนหัวหน้านักบวชประจำตำหนักก็หาสาเหตุไม่ได้ ข้าก็เลยต้องอยู่แบบนี้ไปก่อน” นาซิลลาเบียดตัวชิดชายหนุ่มอีกนิด เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องของตัวเองจึงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าลำบากใจของเขา “แต่พอลองคิด ๆ ดูแล้ว ช่วงที่ข้าเริ่มฝันร้ายบ่อยขึ้นเป็นช่วงเดียวกับที่มหาเทพสงครามขึ้นสวรรค์พอดี บางทีเขาอาจจะเป็นคนนำพลังด้านลบเข้ามา”

“เหลวไหลใหญ่แล้ว อย่าเอาอคติของตัวเองไปตัดสินคนอื่นโดยที่ไม่รู้จักสิ” ฮาธอสแย้งเสียงอ่อน “หากเขาเป็นผู้นำพลังด้านลบเข้ามาจริง เขาก็ไม่มีทางต้านทานพลังด้านลบได้หรอกนะ ที่สำคัญเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเทพอสูรจากสวรรค์ ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับพลังด้านลบได้อยู่แล้ว”

“แต่ว่าเขาเกิดในดินแดนเบื้องล่างไม่ใช่เหรอ อีกทั้งยังเป็นราชาแห่งอสูรมาตั้งหลายพันปี คลุกคลีกับพลังด้านมืดมาตั้งนาน อย่างไรเสียก็ต้องติดตัวมาบ้างสิ” นาซิลลาเถียงเสียงแข็ง “ข้ารู้นะ วันนี้เจ้าไปพบกับเขามา ยอมรับเถอะว่าเขาเป็นคนน่ากลัว”

เทพคนสวยถอนใจเฮือก “ใช่! เขาเป็นคนน่ากลัว แต่มันก็แค่รูปร่างหน้าตาภายนอกเท่านั้น เนื้อแท้แล้วเขาเป็นคนเฉลียวฉลาด มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งแล้ว” ฮาธอสช้อนคางเด็กสาวขึ้นมองตา “อย่าเพิ่งคิดมาก นาซิลลา เรื่องอาจจะไม่ได้เห็นอย่างที่เจ้ากังวลก็ได้ มา! ข้าจะเป่าขลุ่ยให้ฟัง เจ้าจะได้อารมณ์ดีขึ้นไงล่ะ”

นาซิลลาได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มหน้าบาน “จริงเหรอ” เทพหนุ่มพยักหน้า “อื้ม! ข้าจะตั้งใจฟังเลยล่ะ”

ฮาธอสหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วเอาขลุ่ยจรดกับริมฝีปากอีกครั้ง เพียงครู่มันก็เปล่งเสียงเพลงหวานซึ้งทำลายความสงัดของสวน ท่วงทำนองอ่อนช้อยเรียบลื่นดุจสายน้ำที่ไหลชโลมจิตใจของผู้ฟัง มนตราที่แฝงอยู่ในบทเพลงนั้นช่วยคลายความว้าวุ่นในใจของเด็กสาวได้ยังดี ใบหน้างอ ๆ ของนาซิลลาแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม แต่เจ้าตัวยังคงซบอิงเขาอยู่ ไม่ยอมขยับไปไหน รู้จักกันมาตั้งสิบกว่าปีไม่เคยแก้ไขนิสัยนี้ของเจ้าหล่อนได้เลย กระนั้นจะดันตัวออกไปตอนนี้ก็น่าสงสาร

แต่ตอนที่กำลังจะขึ้นเพลงที่สามนั่นเอง เทพหนุ่มรู้สึกถึงบางอย่างตรงหางตาซ้าย ต้นสนแดงที่เขาแต่งเป็นพุ่มไหวขยับไหวทั้งที่ไม่มีลมพัดผ่าน มีบางอย่างซ่อนอยู่ตรงนั้น ฮาธอสรีบลุกขึ้นเอาตัวบังนาซิลลาไว้ทันใด

“ใครน่ะ!” เขาตะโกนออกไป ส่วนนาซิลลาลุกมาเกาะหลังเขาอย่างตกใจ “ออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะเรียกทหาร!”

“เดี๋ยวก่อน!” เสียงทุ้มต่ำทรงพลังที่ตอบกลับมานั้นทำให้ฮาธอสนิ่งงัน ร่างสูงใหญ่ที่มีเรือนผมสีเทาจางกับเขาสีดำยาวโง้งค่อย ๆ เดินออกมาโดยยกมือให้เห็นว่าไม่มีอาวุธอื่นใด นอกจากหนังสือปกดำที่ถือติดมาด้วยเท่านั้น เทพคนสวนกับอัปสรจันทรามองเขาด้วยความตกใจสุดขีด

“กรี๊ดดด...!!” เด็กสาวพยายามกรีดร้อง แต่ฮาธอสรีบปิดปากของเธอไว้ก่อน ขณะไคซัสยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม บุรุษเทพทั้งสองมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครมาก่อนชายผมทองจะปล่อยมือจากนาซิลลา

“อย่าเสียงดัง นาซิลลา เจ้ารู้ไหมว่าถ้ามีใครมาเห็นเข้าจะเสียหายกันทั้งสองตำหนักนะ” ฮาธอสเตือน เทพจันทราสาวเอามือปิดปากด้วยความตกใจ ชายหนุ่มจึงเหลียวไปหาแขกไม่ได้รับเชิญบ้าง “ท่านมหาเทพสงครามมาทำอะไรที่นี่ขอรับ”

“ขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าตกใจ แต่ระหว่างทางกลับตำหนักบังเอิญได้ยินเสียงขลุ่ยที่เพราะมาก ข้าก็เลยลองตามเสียงมาจนถึงที่นี่” ไคซัสตอบ ค่อนข้างตกใจที่ตัวเองทำให้เทพทั้งสองตนนี้ตื่นตระหนก

“ตามเพลงมาหรือ มีเรื่องประหลาดแบบนี้ด้วยรึ” นาซิลลาที่แอบอยู่ข้างหลังฮาธอสพูดขึ้นมา เธอโผล่ศีรษะมาดูเขาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

“นาซิลลา ระวังหน่อย ตรงหน้าของเจ้าคือเทพระดับสูงนะ” ฮาธอสเตือนเสียงอ่อน

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสาหรอก เพียงแต่...” ไคซัสจ้องมองแต่ฮาธอส ดวงตาสีส้มฉายแววครุ่นคิด “เจ้า...ฮาธอส เพลงที่เจ้าเป่าเมื่อกี้ชื่ออะไรหรือ”

“เรียนท่านมหาเทพสงคราม เพลงเมื่อครู่นี้อยู่ในชุดเพลงกล่อมเด็กช่วงฤดูใบไม้ผลิขอรับ ที่ตำหนักนี้มักบรรเลงในตอนกลางคืน เพื่อให้ทุกคนในตำหนักหลับสบาย” ฮาธอสอธิบายด้วยท่าทางอ่อนน้อมเหมือนเคย “อ๋อ ความจริงคนที่จะบรรเลงเพลงตอนกลางคืนจะเป็นจอมเทพีเรเทเชียขอรับ แต่คืนนี้นางเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ข้าที่อยู่ยามเฝ้าสวนจึงต้องรับหน้าที่แทน”

“อ๋อ...” ไคซัสร้องออกมาด้วยความเข้าใจแล้วหมุนตัวมองสถานที่รอบกาย จึงได้เห็นความงามของสวนแห่งนี้ชัด ๆ เป็นครั้งแรก ต้นไม้แต่ละต้นได้รับการคัดเลือกมาปลูกรวมกันอย่างเหมาะเจาะ โดยจัดกลุ่มให้มีการเล่นสีและแสงของแต่ละชนิดได้อย่างลงตัว บุปผชาติราตรีเบ่งบานส่งกลิ่นหอมละเอียดกำจายไปทั่วบริเวณ แม้แต่เขาที่มิได้ชอบดอกไม้เป็นพิเศษยังรู้สึกดีเมื่อได้กลิ่น ส่วนพื้นมีการเล่นสีทางเดินอิฐอย่างมีศิลปะ ประติมากรรมต่าง ๆ ทั้งโคมหินตั้ง รูปปั้น บ่อน้ำพุได้รับการจัดวางอย่างกลมกลืนไปกับต้นไม้ ไม่มีตรงไหนเลยที่ดูขัดหูขัดตา สวนแห่งนี้แสดงถึงศักยภาพของผู้สร้างได้ดีที่สุด

ในขณะที่ไคซัสกำลังกวาดตามองพื้นที่นั้น นาซิลลาก็ดึงแขนเสื้อฮาธอสให้ก้มลงมากใกล้ ๆ ซึ่งเด็กสาวกระซิบถามว่า

“เจ้าไม่กลัวเหรอ”

เทพหนุ่มหันมองอย่างแปลกใจ “ทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ มหาเทพสงครามไม่ใช่คนน่ากลัวสักหน่อย เจ้าก็เห็นแล้ว”

“น่ากลัวสิ หน้าตาแบบนี้ น่ากลัวจะตายไป” นาซิลลาตอบตื่น ๆ ไม่กล้ามองหน้าไคซัสตรง ๆ ด้วยซ้ำ

เทพหนุ่มมองหน้าเด็กสาวแล้วนึกอยากสอนอะไรเธอสักอย่าง แต่ก่อนจะทันได้ทำก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังมาจากทางเดินที่ทอดสู่ตำหนักชั้นใน เทพทั้งสามจึงหันไปมองพร้อมกัน จอมเทพีเรเทเชียกับนางกำนัลกลุ่มใหญ่เดินออกมาด้วยท่าทางตื่นตกใจอย่างมากทีเดียว

“มีเรื่องอะไรกันหรือ สาวใช้ไปบอกข้าว่าได้ยินเสียงนาซิลลาร้อง” จอมนางจ้าวตำนักถามอย่างอกสั่นขวัญแขน เทพหนุ่มกำลังจะตอบ แต่ไคซัสมาจับบ่าห้ามเขาไว้ก่อนก้างออกไปรับหน้านางด้วยตนเอง

“ข้าต้องขออภัยด้วยที่มาเยี่ยมเยือนกลางดึกโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าและยังทำให้จอมเทพีกับบ่าวไพร่ต้องตื่นตกใจกันอีกด้วย ข้าจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ทราบ พร้อมกันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญอยากได้ความช่วยเหลือจากท่านด้วย”

เพื่อเป็นการยืนยันเจตนาบริสุทธิ์ของตนเอง เทพอสูรหนุ่มยอมลงทุนก้มหัวให้สตรีที่มียศต่ำกว่าตนเองเลยทีเดียว ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึงกับภาพนั้นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจอมเทพีที่ตกใจจนลนลานเลยทีเดียว

“เอ่อ! ได้เจ้าค่ะ เชิญตามข้าไปข้างในเลยเจ้าค่ะ”

หญิงสาวผายมือเชิญอย่างร้อนรน ซึ่งเทพอสูรหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่เห็นแล้วตามนางเข้าไป ปิดท้ายด้วยกลุ่มนางกำนัลที่ตามนางออกมาด้วย ส่วนเอเดลถลาลงมาคว้าแขนฮาธอสกับนาซิลลาหมับ ใบหน้าอวบขึงขังยื่นเข้ามาเกือบชิดทั้งสอง

“พวกเจ้าสองคนก็มาด้วย ‘เผื่อ’ ท่านจอมเทพีจะมีเรื่องต้องถาม!” พูดจบนางก็ดึงตัวทั้งสองคนไปด้วยกัน

---------------------------

แสงไฟภายในห้องฉายเงาสามร่างขึ้นประตูบานคู่บุกระดาษสีขาว นาซิลลาจ้องมองมันประหนึ่งต้องการให้เงานั้นพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อมันขยับไหวโดยไร้คำพูด เทพจันทราคนงามก็ถอนใจแล้วย้ำเท้าตึง ๆ กลับมานั่งข้างฮาธอสที่พิงเสาดูอยู่เงียบ ๆ

“เฮ้อ! จะให้รอไปถึงไหนเนี่ย ข้าง่วงแล้วนะ” เจ้าของเสียงหวานบ่นกระปอดกระแปด

“ถ้าง่วงก็ไปนอนก่อนสิ ข้าจะอยู่ที่นี่เอง อย่างไรเสียนางก็ฟังคำพูดของข้าอยู่แล้ว” อาธอสบอกพลางคิดต่อว่าจอมเทพีรับมือได้ง่ายว่าเด็กสาวหัวดื้อคนนี้เป็นไหน ๆ

“ไม่เอา...” นั่นประไรล่ะ เทพหนุ่มถอนใจยืดยาว ขณะเด็กสาวทิ้งตัวพิงบ่าเขา หน้าเง้างอ “เขาคนนั้นบุกรุกเข้ามาตำหนักยามวิกาล ถ้าว่ากันตามกฎฮาธอสจะถูกทำโทษฐานบกพร่องในหน้าที่ ข้ายอมไม่ได้หรอก”

ชายหนุ่มพ่นลมเฮือก “ไม่หรอก ท่านจอมเทพีไม่ใช่คนไร้เหตุผลเช่นนั้น” เขาลูบผมปลอบเด็กสาว น้ำเสียงอ่อนโยนประโลมจิตใจเธอให้คลายความกังวล “เจ้าปล่อยให้จิตใจของตัวเองว้าวุ่นเกินไปแล้ว ผ่อนคลายลงบ้าง”

แต่ดูเหมือนน้ำเสียงที่เคยใช้ปลอบโยนใครต่อใครจะใช้ไม่ได้อีกแล้ว นาซิลลายังคงทำหน้างอและกอดแขนเขาแน่น ชายหนุ่มส่ายหัวนึกระอาใจกับความดื้อรั้นของเด็กสาวนัก เพราะอย่างนี้แหละตำหนักเทพจันทราถึงไม่ยอมรับตัวกลับไปเสียที พวกนางกำนัลรุ่นพี่คงไม่ค่อยชอบความรั้นของเธอนัก

ขณะนั้นเองที่เงาสองจากสามร่างทำท่าลุกขึ้นแล้วมุ่งตรงมาทางประตู ฮาธอสจึงรีบสะกิดนาซิลลาให้ยืนขึ้นพร้อมกัน เมื่อประตูเปิดเรเทเชียก็ก้าวนำออกมาก่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแตกต่างจากตอนที่เข้าไปอย่างสิ้นเชิง แล้วนางก็ต้องประหลาดใจหลังพบว่าเทพรับใช้ทั้งสองตนรออยู่

“อ้าว! ยังไม่ได้ไปนอนอีกหรือจ๊ะ ทั้งสองคน” คำถามของนางไม่เพียงเรียกความสนใจจากพวกฮาธอสเท่านั้น แต่รวมถึงไคซัสที่ก้มหัวออกประตูมาด้วย

“ขอรับ ท่านเอเดลให้พวกเรามาเตรียมตัวไว้ เผื่อว่าท่านจอมเทพีจะมีคำถามเพิ่มเติมขอรับ” เทพคนสวนแจ้ง หัวหน้านางกำนัลพยักหน้ายืนยันกับนายหญิง

“ท่านจอมเทพีจะลงโทษฮาธอสเรื่องตำหนักถูกบุกรุกตอนเขาอยู่เวรไหมคะ” นาซิลลาโพล่งออกมา ฮาธอสหลับตาด้วยความรู้สึกสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก

“ทำไมข้าต้องลงโทษฮาธอสด้วยล่ะจ้ะ เขาเป็นแค่เทพผู้ดูแลสวน ไม่ใช่ทหารเสียหน่อย” เรเทเชียยิ้มอย่างอบอุ่นดุจมารดาพลางช้อนหน้าสบตาไคซัส “ข้าฟังเรื่องทั้งหมดจากมหาเทพสงครามแล้ว เขาใช้ความสามารถของตนหลบเลี่ยงสายตาทหารมาถึงในสวน เพื่อฟังเพลงของฮาธอสและได้กล่าวขอโทษในเรื่องนี้แล้วด้วย”

“ฝ่ายข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณท่านที่ไม่ถือสากับเรื่องนี้และยังรับฟังคำขอร้องของข้าอีก” ไคซัสค้อมศีรษะให้หญิงสาวอีกครั้ง คำพูดที่สุดภาพกับมารยาทอันดีงามที่ไม่น่ามีในเทพอสูรทำให้เรเทเชียอ่อนเป็นขี้ผึ้ง

“พูดอะไรเช่นนั้นคะ สองตำหนักผูกมิตรกันแล้ว เรื่องแค่นี้ย่อมช่วยเหลือกันได้อยู่แล้วค่ะ” จอมเทพีตอบด้วยรอยยิ้มหวานแล้วเหลียวมาหาฮาธอส ซึ่งเหลือบมองใบหน้ายิ้มกริ่มของไคซัสก่อนสบตานายหญิง “ฮาธอส ข้ามีงานใหญ่ที่สำคัญมากอยากให้เจ้าทำ”

“งานอันใดหรือขอรับ” เทพคนสวนถาม

“ข้าอยากให้เจ้าไปช่วยงานที่ตำหนักพาเทร่าสักพักจ้ะ” เรเทเชียตอบด้วยรอยยิ้มหวาน

“เอ๋! ทำไมล่ะเจ้าคะ” เป็นนาซิลลาที่ร้องหน้าตาตื่น “หรือว่านี่เป็นการลงโทษแบบหนึ่ง”

“เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว นาซิลลา! ท่านจอมเทพีบอกว่าไม่มีการลงโทษก็คือไม่มีสิ!” เอเดลดุเสียงดังทำให้เด็กสาวเงียบจนได้

“ข้าขึ้นสวรรค์มาคนเดียว ข้ารับใช้ในตอนนี้ก็มีแค่อัลวินกับทหารในสังกัดที่เพิ่งย้ายมาวันนี้เท่านั้น” ไคซัสอธิบาย “ตอนนี้ยังขาดคนดูแลเรื่องอาหารการกินกับที่อยู่ รวมถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยอื่น ๆ ในตำหนักด้วย จะรบกวนคนจากตำหนักเทพจันทราตลอดก็ไม่ไหว ข้าจึงอยากขอแรงฮาธอสกับคนในตำหนักนี้ไปชั่วสักระยะจนกว่าฟาเบียนจะคัดคนมาให้เพิ่มเติมน่ะ อ๋อ! งานนี้ข้ามีที่พักให้แล้วก็จ่ายเบี้ยวัตรตามระเบียบสวรรค์ แต่ถ้าเจ้าทำงานได้ดีก็จะเพิ่มให้เป็นสองเท่า สนใจไหมล่ะ”

“แต่นี่เป็นงานสำคัญจะให้ข้าที่เป็นแค่เทพเล็ก ๆ รับผิดชอบจะดีหรือ” ฮาธอสถาม แววตากังวล

“พูดอะไรอย่างนั้นจ๊ะ ฮาธอส” จอมเทพีจ้าวตำหนักก้าวไปจับมือเขาราวกับฝากความหวังทั้งหมดไว้กับชายหนุ่ม “ถึงเจ้าจะเป็นเทพเล็ก ๆ แต่ก็มีความกล้าและความสามารถยิ่งกว่าเทพรับใช้ทุกตนในตำหนักนี้ ที่สำคัญนี่เป็นโอกาสอันดีที่เจ้าจะได้สร้างผลงานไว้สำหรับเลื่อนขั้นในอนาคตนะ”

“แต่ข้า...” ฮาธอสอยากปฏิเสธด้วยไม่ปรารถนาไปจากตำหนักนี้

เรเทเชียกระชับมือเขาแน่นแล้วสบตาจริงจัง “ถือว่าข้าขอร้อง ฮาธอส ทำเพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตำหนักเถอะนะ”

“ข้าไม่ได้ให้เจ้าเริ่มงานทันทีหรอก ฮาธอส” ไคซัสบอก ทุกคนจึงหันมองเขา “ข้าจะให้เวลาเจ้าเตรียมตัวเจ็ดวัน เมื่อถึงวันที่แปดข้าจะให้คนมารับ ตกลงไหม”

ถึงจะตบท้ายประโยคมาด้วยคำถาม แต่ในความรู้สึกของฮาธอสกลับฟังดูเหมือนคำสั่งมากกว่า ซึ่งเมื่อคิดแบบนั้นเทพหนุ่มจึงค้อมตัวลงอย่างไม่มีทางเลือก

“ทราบแล้วขอรับ ข้าน้อยจะทำตามที่ท่านสั่ง” เทพหนุ่มตอบโดยไม่สนใจเสียงร้องตกใจของนาซิลลาเลย

โดยที่ไม่มีใครรู้นั้น ในอกของไคซัสอุ่นวาบเมื่อได้ยินคำตอบรับของเทพคนสวน เขาต้องพยายามควบคุมตัวเองอย่างมาก เพื่อไม่ให้ความยินดีปรีดาแสดงออกทางสีหน้ามากนัก

“ขอบใจมาก” เขากล่าวเสียงนุ่มที่สะเทือนไปถึงหัวใจของคนฟังอีกครั้ง ฮาธอสช้อนตามองหน้าเขา ทว่าเทพอสูรหันไปหาจอมเทพีเรเทเชียพอดี “ขอบคุณท่านด้วยที่กรุณาสนับสนุน ข้ามารบกวนนานเกินไปแล้วคงต้องขอตัวกลับเสียที”

“ถ้าอย่างนั้น...”

“ไม่ต้องขอรับ ข้าจะไปส่งท่านมหาเทพสงครามเอง”

ฮาธอสแทรกก่อนที่จอมเทพีจะขันอาสาตามมารยาทอันดี ซึ่งนายหญิงพยักหน้าให้อย่างตามใจ เทพคนสวนจึงผายมือเชิญมหาเทพสงครามก่อนเดินนำหน้าไปก่อน ชายทั้งสองมุ่งหน้าไปตามทางเดินโดยไม่พูดอะไรกันเลยจนกระทั่งออกมาถึงสวนที่ฮาธอสพบตัวไคซัส คนสวนผมสีทองจึงหมุนตัวกลับมาหาเขาด้วยแววตาจริงจัง

“ข้าต้องขออภัยอย่างยิ่งที่เสียมารยาท แต่ข้าจะต้องทำงานให้ท่านแล้วจึงอยากรู้เรื่องนี้ให้ได้” เสียงของเขากระด้างหูนัก “ท่านมหาเทพสงครามเลือกข้าด้วยเหตุผลใดขอรับ”

“หึ! ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง” ไคซัสกระตุกยิ้มอย่างไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ใบหน้าคร้ามเข้มปรากฏแววลับลมคมในชวนให้ค้นหาอีกครา “ข้ามีเหตุผลมากมาย ฮาธอส แต่วันนี้จะบอกแค่ข้อเดียวเท่านั้นก็คือ เจ้าไม่กลัวข้า ไม่กลัวที่จะมองหน้า ไม่กลัวที่จะสบสายตา สำคัญที่สุด...ไม่กลัวที่จะพูดคุยกับข้าอย่างตรงไปตรงมาด้วย”

ระหว่างที่พูดร่างสูงใหญ่ก็ย่างเท้าเข้าใกล้ฮาธอสช้า ๆ ดวงตาสีส้มมองตรงไปที่คนตรงหน้า ซึ่งฮาธอสไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนถึงไม่ถอยหนี ตรงกันข้ามกลับสบสายตาเขานิ่งประหนึ่งต้องมนต์สะกด ในที่สุดเทพอสูรตัวโตก็มาอยู่ต่อหน้าเขา...ห่างไปแค่คืบเดียวเท่านั้น มือที่ไว้เล็บแหลมยาวยกขึ้นมาด้วยความปรารถนาบางอย่าง แต่เจ้าตัวกลับหยุดกลางทางเสียก่อน

“ตั้งแต่ข้าขึ้นสวรรค์มาไม่มีใครทำสิ่งเดียวกับเจ้า ข้าจึงเลือกเจ้าด้วยเหตุผลนั้นเป็นส่วนหนึ่ง”

ฮาธอสมองหน้าผู้พูดอยู่นานคล้ายต้องการค้นหาความหมายอื่นที่ซ่อนอยู่ ความหมายที่ทำให้ช่องอกข้างซ้ายที่เย็นชืดมานานอบอุ่นขึ้นมาได้ แต่เมื่อไม่พบเขาก็หลุบตาลงพร้อมคำนับให้ไคซัสอย่างอ่อนน้อม

“เข้าใจแล้วขอรับ ขอบพระคุณสำหรับคำตอบ”

“ถ้าอย่างนั้นอีกเจ็ดวันเจอกันที่ตำหนักพาเทร่านะ” ไคซัสยิ้มอย่างมีหวัง

“ขอรับ” เทพคนสวนหนุ่มน้อมศีรษะรับคำเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนำทางมหาเทพสงครามไปส่งที่ประตูหน้าตามระเบียบ

แต่ทั้งสองคนกลับไม่รู้เลยว่าในเงามืดตรงทางเดินด้านหลังนั้นมีใครบางคนได้เห็นการกระทำของพวกเขาทั้งหมดแล้ว...

---------------------------

ตอบคอมเมนต์

คุณ saruttaya เรื่องนี้จบ happy แน่นอนครับ รับรองได้ แถมตอนจบยังทำให้คนเขียนเกือบจมกองน้ำตาลไปแล้วด้วย แต่ว่าจะไปถึงตอนจบได้เนี่ยสิ.......  :mew5:

คุณ kamidere ขอบคุณสำหรับเป็ดครับผม ดีใจจังเลย  :mew3:

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 3 up 20/08/13
«ตอบ #14 เมื่อ20-08-2013 22:31:16 »

สนุกมาก
ขอติดตามด้วยคน

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 3 up 20/08/13
«ตอบ #15 เมื่อ22-08-2013 18:47:15 »

เอาแล่วๆๆๆๆ

ล่อลวงเข้าตำหนัก5555

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 3 up 20/08/13
«ตอบ #16 เมื่อ24-08-2013 18:16:08 »

บทที่ 4 การประชุมสภาสวรรค์
- 50% -

เวลาเจ็ดวันที่ไคซัสกำหนดให้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว แต่ฮาธอสก็ใช้เวลานั้นอย่างมีประโยชน์สูงสุดครั้งหนึ่งในชีวิต เทพหนุ่มสามารถเกลี่ยกล่อมเพื่อนร่วมงานสองสามตน นางกำนัลอีกสิบตนย้ายไปด้วยกันได้ โดยไม่สนใจกระแสข่าวไคซัสกับเซย์เรียโน่วิวาทกันในตำหนักลาไซสิโอน่าจนเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ เป็นเหตุให้ขุนพลเทพอันดับห้าถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักมาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว พร้อมกันนั้นเขาก็ตระเตรียมของที่จะนำไปใช้ในที่ทำงานใหม่ด้วย ส่วนใหญ่ก็เป็นต้นกล้าที่ตั้งใจจะนำไปปลูกที่ตำหนักใหม่นั่นเอง

ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง รถม้ากับเกวียนลอยฟ้าจากตำหนักพาเทร่ามารอรับตั้งแต่เช้า เทพคนสวนหนุ่มกับคนที่จะไปด้วยต่างตื่นมาเตรียมตัวแต่เช้า โดยมีเพื่อนร่วมตำหนักมาช่วยกันขนย้ายข้าวของให้ด้วย เช้านี้จึงค่อยข้างวุ่นวายพอสมควร และยิ่งโกลาหลขึ้นตอนใกล้ถึงเวลาเดินทาง เมื่อเหล่านางกำนัลในตำหนักล้อมวงกล่าวอำลาฮาธอสอย่างอาลัยอาวรณ์

“จะไปจริง ๆ เหรอ ฮาธอส ที่นี่ขาดเจ้าสักคนก็เหมือนขาดฤดูใบไม้ผลิเลยนะ” หนึ่งในนั้นคร่ำครวญ

“ใช่ ๆ หลายปีมานี้พวกเราอยู่กันอย่างอุ่นใจก็เพราะมีเจ้าอยู่ด้วย แบบนี้ถ้าเกิดเรื่องอะไรใครจะช่วยเหลือกันล่ะ” อีกคนสำทับขึ้นมา

ฮาธอสยิ้มอ่อนใจ “พวกเจ้ากังวลเกินไปแล้ว ก่อนหน้าข้าจะมาตำหนักนี้ก็มาไม่เคยเกิดเรื่องร้ายนะ” เขาชี้แจง “อีกอย่างเมื่อวานนี้ท่านจอมเทพีส่งหนังสือขอกำลังทหารเพิ่มเติมจากมหาเทพจ้าวสวรรค์แล้ว ตัวข้าเองก็ย้ายไปแค่ชั่วคราว เสร็จงานจากทางนั้นก็กลับมาแล้วล่ะ”

“แต่พวกเราไม่อยากให้ไปเลยนี่นา อย่าไปเลยนะ”

แล้วเหล่านางกำนัลก็ส่งเสียงอ้อนวอนดังเซ็งแซ่ เทพคนสวนหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้งอย่างทำอะไรไม่ถูก พวกผู้หญิงไม่ว่าจะเผ่าไหนก็เอาแต่ใจเหมือนกันหมดเลยน้า แต่จะว่าไปวันนี้ยังไม่เห็นเด็กเอาแต่ใจอีกคนเลยนี่นา

แต่ขณะรำพึงในใจ สายตาก็เหลือบเห็นเรือนผมสีเงินยวงเคลื่อนตัวผ่านไปข้าง ๆ ร่างสูงนิ่งงันแปบแล้วหมุนตัวขวับไปดูภาพน่าตกใจที่สุด นาซิลลากำลังเดินตรงไปยังประตู ที่บ่าข้างหนึ่งสะพายห่อผ้าสำหรับเดินทางไว้ด้วย สองแขนโอบอุ้มเครื่องดนตรีที่ห่อไว้ด้วยผ้าแพรสีน้ำเงิน ชายหนุ่มรีบฝ่าฝูงนางกำนัลไปคว้าบ่าเอาไว้ทันที

“นาซิลลากำลังจะไปไหน!” เขาหมุนตัวเธอกลับมาถาม

“เอาของไปเก็บที่รถม้าน่ะสิ ข้าจะตามฮาธอสไปที่ตำหนักพาเทร่าด้วย” นาซิลลาพูดพร้อมสะบัดตัวออกจากมือเขา “ฮาธอสใจร้ายที่สุด ข้าอุตส่าห์รอ แต่เจ้ากลับไม่ชวนข้าเลย”

“เจ้าเป็นนางกำนัลของที่นี่นะ ข้าจะพาไปด้วยได้ยังไง” ฮาธอสแย้ง

“แล้วพวกนั้นล่ะ!” นาซิลลาชี้ไปที่กลุ่มนางกำนัลห้าคนหกที่ยืนสลอนรอขึ้นรถม้า แล้วหันกลับมามองชายหนุ่มอย่างคาดคั้น “พวกนางก็เป็นนางกำนัลของตำหนักนี้ แต่ทำไมถึงไปได้ล่ะ”

เทพคนสวนถอนใจด้วยสีหน้าหนักอึ้ง คนอื่น ๆ มองเขาอย่างกังวล แต่ไม่ได้เข้ามาช่วย

“พวกนางเป็นนางกำนัลของตำหนักแน่มาตั้งแต่ต้นแล้วจึงสามารถย้ายตามข้าไปได้ แต่เจ้าเป็นเด็กที่ถูกส่งมาจากตำหนักอื่น ข้าจึงไม่สามารถพาไปได้จนว่าตำหนักต้นสังกัดของเจ้าจะอนุญาต” ฮาธอสชี้แจงเหตุผลตามความจริง “เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าบนสวรรค์มีกฎระเบียบอย่างไร ถึงเจ้าจะถูกส่งมาเรียนและได้เข้าสังกัดนางกำนัลของที่นี่ แต่ตัวเจ้าก็ยังอยู่ในการปกครองของตำหนักเก่า ถ้าต้นสังกัดของเจ้าไม่อนุญาตก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

“ไม่เป็นไรหรอก ฮาธอส” เสียงนี้เป็นของจอมเทพีเรเทเชีย กลุ่มนางกำนัลที่ขวางทางอยู่รีบค้อมตัวหลบไปข้าง ๆ เปิดทางให้จอมนางจ้าวตำหนักเดินมาหาเทพรับใช้คนสนิท ฮาธอสกับนาซิลลาแสดงความเคารพพร้อมกัน “ให้นาซิลลาไปด้วยเถอะนะ ไม่ต้องห่วงเรื่องต้นสังกัด ข้าจะให้คนนำสารไปแจ้งกับทางนั้นเอง แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหานะ”

“ท่านอนุญาตให้ข้าไปจริง ๆ เหรอคะ ท่านจอมเทพี!” นาซิลลาถาม ใบหน้าเบิกบานทันตา

“อื้ม! รีบเอาของไปเก็บที่เกวียนลอยฟ้าสิจ๊ะ” เรเทเชียบอก เด็กสาวไม่รอช้าถอนสายบัวให้ครั้งหนึ่งแล้วรีบวิ่งเอาของไปเก็บก่อนที่เกวียนซึ่งรออยู่ด้านนอกก่อนที่ฮาธอสจะเริ่มคัดค้านอีกครั้ง

เทพคนสวนมองนาซิลลาวิ่งจากไปแล้วขยับไปใกล้นายหญิง “จะดีหรือขอรับ นาซิลลาน่ะ...”

“เราต่างรู้ว่านาซิลลาถูกส่งมาที่นี่ด้วยเหตุผลใด” จอมเทพีลดเสียงลงพอได้ยินในกลุ่ม น้ำเสียงติดจะกังวลเล็กน้อย “แต่ในสายตาข้ามันคงเป็นการดีกว่าที่ส่งนางไปอยู่ที่ตำหนักพาเทร่า อย่างน้อยมหาเทพสงครามก็มีศักยภาพในการดูแลนางมากกว่าพวกเรา”

ฮาธอสสดับเช่นนั้นก็พ่นลมออกจากจมูกอย่างเงียบงัน หันมองนาซิลลาที่กลับเข้ามาคุยกับกลุ่มนางกำนัลที่จะย้ายไปพาเทร่าอย่างสนุกสนาน ดวงตาสีน้ำเงินมีรอยกังวลใจเล็กน้อย ทว่าผู้ใหญ่ได้ตัดสินใจไปแล้ว เทพชั้นผู้น้อยอย่างเขาก็ได้แต่ก้มหน้ารับเท่านั้น

“ทุกท่านได้เวลาเดินทางแล้วขอรับ!”

ทหารจากพาเทร่าตะโกนบอกจากประตูใหญ่ ฮาธอสกับเหล่าเทพรับใช้ที่จะย้ายไปด้วยกันจึงออกไปรวมกันที่ลานเมฆนอกด้านนอก จอมเทพีเรเทเชียกับเหล่านางกำนัลและเทพรับใช้ที่เหลือตามมาส่งถึงทวารา ซึ่งก่อนออกเดินทางนั้นนางได้ให้โอวาทแก่ทุกคนวัน

“ตอนอยู่ในตำหนักนี้ พวกเจ้าทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ วันนี้พวกเจ้าจะย้ายไปทำงานกับเจ้านายคนใหม่ แม้จะแค่ชั่วคราว ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน ฮาธอสจะเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเจ้าเมื่ออยู่ในตำหนักพาเทร่า มหาเทพสงครามจะเป็นนายสูงสุดของพวกเจ้ายามอยู่ที่นั้น จงเคารพและปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขาเสมือนเป็นคำสั่งของข้า ขอให้พวกเจ้าทุกคนโชคดี”

ฮาธอสกับเหล่าข้ารับใช้ที่จะย้ายไปด้วยกันน้อมรับโอวาทนั้นโอวาทนั้นด้วยความเคารพ จากนั้นก็แยกย้ายกันไปขึ้นรถม้าคันใหญ่สองคันที่จอดรออยู่แล้ว ซึ่งทหารที่มารับบอกให้ฮาธอสกับพวกผู้หญิงไปนั่งคันหน้าสุด ส่วนพวกผู้ชายไปอยู่คันหลัง มีเทพชายสองคนไปประจำเกวียนลอยฟ้าที่บรรทุกของเต็มเล่มด้วย

หลังจากทุกคนประจำที่กันหมดแล้ว ขบวนรถม้ากับเกวียนลอยฟ้าก็เคลื่อนตัวออกเดินทางทิ้งตำหนักซิมโฟเนียอาเรียกับผู้คนที่เคยรู้จักไว้เบื้องหลังนำสมาชิกกลุ่มใหม่สู่ตำหนักพาเทร่า บ้านหลังใหม่ของพวกเขา

---------------

รถม้าแล่นแหวกอากาศด้วยความเร็วสูงจนมองเห็นภาพนอกหน้าต่างเป็นเพียงเส้นแสงหลากสีวิ่งผ่านไปเท่านั้น ฮาธอสนั่งอยู่ในส่วนด้านหน้าข้างคนขับ ซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วนจากประทุนรถข้างหลังอีกทีหนึ่ง เทพหนุ่มเหลียวมองนาซิลลาที่พูดคุยกับเพื่อนนางกำนัลอย่างสนุกสนานอีกทีค่อยหมุนตัวกลับมานั่งดี ๆ

“เป็นห่วงนางหรือขอรับ” ทหารพลขับถามขึ้นมา ฮาธอสจึงหันมองเขาอย่างแปลกใจ

“เอ่อ...นิดหน่อย” เทพคนสวนตอบอย่างไว้ที อีกฝ่ายคงเข้าใจจึงไม่ถามต่อ แต่เป็นเขาเองที่ยังเหลือเรื่องคาใจ “ข้าได้ยินว่ามหาเทพสงครามวิวาทกับท่านขุนพลเทพอันดับห้า ไม่ทราบว่าเขาเป็นไรบ้าง”

“เรื่องนั้นเขาไม่เป็นอะไรมากหรอก ตอนกลับมาก็ดูปลอดภัยดี ไม่บาดเจ็บอะไรเลย มหาเทพจ้าวสวรรค์ก็เข้าใจจึงไม่ได้ลงโทษด้วย”

ฮาธอสหันหน้าหลบไประบายลมหายใจอย่างโล่งอก วันที่ไคซัสลอบเข้าตำหนักมานั้นเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ยินข่าวว่าเทพอสูรหนุ่มก่อเหตุวิวาทกับเทพมังกรไฟแห่งตำหนักตะวันออกจึงเป็นห่วง แต่เพราะไม่มีข่าวจากทางมหาเทพสงครามเลยถึงต้องถามจากคนในเองเช่นนี้ พอรู้แล้วก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“อันที่จริงพวกเราก็เป็นห่วงเขาขอรับ” ทหารหนุ่มพูดต่อ มือบังคับบังเหียนรถม้าอย่างชำนาญ “วันนั้นน่ะ ท่านอัลวินอาสาไปด้วยแล้ว แต่มหาเทพไคซัสยืนยันว่าจะไปคนเดียว ตอนกลับมาในสภาพชุดเกรียมหน้าเหี้ยม พวกเราก็ตกใจกันแทบแย่”

“ลำบากหน่อยนะ” ฮาธอสเอ่ยอย่างเห็นใจ น้ำเสียงนุ่มนวลของเขาทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว

“ท่านอาจจะคิดว่าแปลก แต่เขาก็เป็นเจ้านายของเราจะไม่ห่วงเลยก็คงไม่ได้ขอรับ” ทหารหนุ่มหันมายิ้มให้ “ถ้าพวกท่านมองข้ามรูปลักษณ์น่ากลัวของเขาไปได้ก็ดีสินะ พอเห็นตัวตนที่แท้จริงของมหาเทพไคซัสแล้วจะได้ทำงานกับเขาอย่างมีความสุข อา...มองเห็นยอดปราสาทแล้วขอรับ”

ฮาธอสเบือนหน้ากลับไปมองข้างหน้าอีกครั้ง สิ่งที่กำลังปรากฏตัวออกจากก้อนเมฆสีขาวใหญ่ยักษ์คือ ป้อมปราสาทสีเทาที่ตั้งเด่นกลางแผ่นเมฆสีเหลืองนวล ยอดหอคอยสูงตระหง่านตัดแบ่งท้องฟ้าออกเป็นสองส่วน ฝูงนกพิราบสีขาวเรียวแถวเป็นลูกศรสามเหลี่ยมบินผ่านไป ภาพนั้นงดงามราวกับภาพสีน้ำมันก็ไม่ปาน เทพหนุ่มจึงหมุนตัวไปดูสาว ๆ ที่ตื่นเต้นกับภาพเดียวกัน ก่อนจะพึมดำตอบทหารพลขับไปเบา ๆ

“นั่นสินะ ข้าเองก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน”

--------------

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 3 up 20/08/13
«ตอบ #17 เมื่อ24-08-2013 18:20:11 »

- 65 -

อีกด้าน...ในลานฝึกชั้นนอกของตำหนักพาเทร่า อัลล์กับทหารสองนายมารอสมาชิกใหม่ที่ลานฝึกซ้อมด้านหน้าอยู่ก่อนแล้ว พวกเขารอจนกระทั่งรถม้ากับเกวียนลอยฟ้าทั้งสี่คันลอยลงมาจอดสนิทบนพื้นก่อนค่อยเข้าไปต้อนรับ ฮาธอนกระโดดลงจากรถม้าตรงมาหาเพื่อนสนิทของตนก่อนใคร

“อัลล์” เขาเรียกพร้อมจับมือทหารหนุ่ม “ดีใจจริง ๆ ที่ได้พบกันอีก แล้วก็ขอบคุณที่ออกมารับด้วย”

“ด้วยความยินดี มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” อัลล์ตอบพลางเขย่ามือเพื่อนอย่างยินดี “แต่พูดตรงนะ ข้าดีใจที่พวกเจ้ามาช่วย พวกข้าเบื่ออาหารจืด ๆ จากตำหนักเทพจันทราจะแย่อยู่แล้ว นี่มีใครมากันบ้างล่ะ”

ร่างสูงเงยหน้ามองข้ามหัวเพื่อนไปยังกลุ่มนางกำนัลกับเทพรับใช้ที่ทยอยลงมาจากรถ ซึ่งเขาประหลาดใจที่สุดเมื่อเห็นอัปสรสาวผมสีเงินลงจากรถเป็นตนสุดท้าย ตัวเธอเองก็มองเขาด้วยความแปลกใจไม่แพ้กัน

“อัลล์!!” เด็กสาววิ่งตัวปลิวมากระโดดกอดเขาอย่างดีใจ “ดีใจจังเลยที่ได้เจอกันอีก”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยายตัวเล็กไม่ได้เจอกันตั้งสี่ปี ตัวเล็กเหมือนเดิมเลยนะ” อัลล์กอดเธอแน่น ๆ ครั้งหนึ่งแล้วปล่อยตัวลงพื้น หันไปหาเพื่อน “ไม่คิดเลยนะ ว่าเจ้าจะยอมให้นาซิลลาตามมาด้วย”

“นางดันทุรังจะมาด้วยให้ได้น่ะสิ ท่านจอมเทพีก็อนุญาตแล้วด้วย” ฮาธอสตอบเสียงอ่อน คนถูกพาดพิงค้อนขวับเข้าให้ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนไปเข้าเรื่องแทน “ว่าแต่มหาเทพสงครามล่ะ อัลล์”

หัวหน้าทหารหนุ่มทำหน้านึกได้ “ท่านกำลังเตรียมตัวไปประชุมสภาสวรรค์อยู่ เดี๋ยวจะลงมาหาพวกเจ้าที่นี่เอง”

“แหม! ลงทุนจังเลยนะ อุตส่าห์จะลงมาพบด้วยตนเองเชียว” นาซิลลาค่อนแคะ

เทพคนสวนดึงแขนเธอเข้ามาดุเบา ๆ “นาซิลลาลืมแล้วโอวาทที่จอมเทพีให้ไว้แล้วรึ หากยังพูดจาไม่เคารพมหาเทพเช่นนั้นอีก ข้าจะส่งเจ้ากลับเดี๋ยวนี้เลย” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเฉียบขาด

เด็กสาวผมสีเงินช้อนหน้ามองเขาด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเลือกมารยาททางสังคมมากกว่าตัวเองเช่นนี้ ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีชมพูเผยอออกหวังเถียงกลับ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกกลืนถ้อยคำลงคอด้วยความขมขื่น เธอไม่เข้าใจเลยว่าเทพอสูรตนนั้นดีกว่าเธอตรงไหน ฮาธอสถึงได้เข้าข้าง แค่นินทานิด ๆ หน่อย ๆ ไม่เห็นต้องดุต้องขู่กันขนาดนี้เลย

เมื่อเห็นว่านาซิลลายอมสงบปากสงบคำแล้ว อาธอสจึงปล่อยมือจากเธอ ส่วนตัวเขาเองก็ใช่ว่าอยากจะดุเด็กสาวให้เสียน้ำใจ แต่เมื่อเธอหลงลืมสถานะของตนแล้วว่าร้ายเทพผู้สูงศักดิ์กว่าก็ต้องเตือนให้รู้ตัวเสียบ้าง แม้แต่อัลล์ยังส่ายศีรษะอย่างยอมรับพฤติกรรมของเทพจันทราน้อยไม่ได้เช่นกัน

“นาซิลลา ถ้าเจ้ายังอยากอยู่กับฮาธอสที่นี่ก็ควรระวังปากไว้” เขาเตือนตรงไปตรงมาตามประสาทหาร “ที่นี่แตกต่างจากตำหนักที่เจ้าจากมามากนัก การปกครองก็ไม่เหมือนกันนะ อีกอย่าง...มหาเทพไคซัสมาถึงแล้ว”

เสียงของเขาขาดห้วงในช่วงเดียวกับที่ทวารชั้นในของตำหนักเปิดออก อัลล์กับทหารผู้ติดตามจึงหลบไปอยู่ด้านข้าง แต่ร่างสูงสีแดงในชุดสีแดงขลิบขอบสีทองที่ก้าวออกมานั้นดูราวกับไม่ใช่ไคซัส ศีรษะของเขาปราศจากเขามังกรอันเป็นเอกลักษณ์ ผมหนาสีเทาจางถูกรวบไว้ที่ท้ายทอยอย่างเรียบร้อย หน้าตา ใบหู รวมถึงมือทั้งสองข้างที่หอบม้วนกระดาษมากมายเหมือนกับมนุษย์ทุกกระเบียดนิ้ว สิ่งเดียวที่หลงเหลือบ่งบอกว่าเป็นเจ้าตัวจริง ๆ คือดวงตาสีส้มสว่างที่มีประกายเกล็ดสีทองในแก้วตา ชาวตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย...รวมถึงคนของเขาเองต่างมองเทพอสูรหนุ่มอย่างตกตะลึง

“ขอโทษที่ทำให้พวกเรารอนานนะ ข้ากำลังเตรียมเอกสารไปประชุมพอดี” ไคซัสตอบพลางยื่นเอกสารให้อัลล์ถือ แต่พอหันมาหาฮาธอสก็เห็นสายตาตื่นตะลึงของอีกฝ่าย เขาจึงก้มมองตัวเองเกรงว่าจะมีอะไรผิดปกติ เมื่อไม่เจอก็เงยหน้าถาม “เจ้ามองข้าแบบนั้นทำไมรึ ชุดข้ามีอะไรแปลกๆ รึ?

“อ๊ะ! เอ่อ! ไม่มีอะไรแปลกขอรับ” ฮาธอสรู้ตัวก็รีบก้มหน้ากลบเกลื่อนอาการตกใจ เพิ่งจะเคยเห็นเทพที่มีร่างมนุษย์งดงามขนาดนี้เป็นครั้งแรก ทำให้เผลอมองอีกฝ่ายนานไปหน่อย “ขะ...ข้าเพิ่งเคยเห็นร่างมนุษย์ของท่านครั้งแรกก็เลยตกใจนะขอรับ”

ไคซัสกระตุกยิ้ม แววตาแพรวราว “เพราะต้องไปประชุมที่ตำหนักฟาเบียนก็เลยต้องอยู่ในร่างที่สุภาพหน่อยน่ะ” เขาบอก มือหนาลูบตรงที่เคยมีเขาอย่างไม่ชิน “อันที่จริงข้าไม่ได้ใช้ร่างนี้มานานแล้ว ยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่นิดหน่อย ยิ่งพอใส่กับชุดที่ออกแบบให้รับกับร่างกึ่งอสูรแล้วยิ่งรู้สึกว่ามันแปลก”

“ไม่เลยขอรับ ท่านดูดีมากเลยต่างหาก ข้าคิดว่าวันนี้เหล่าขุนนางจะต่อว่าท่านเรื่องเป็นอสูรไม่ได้แล้ว” ฮาธอสปฏิเสธแล้วหันไปหาเพื่อน ๆ ซึ่งบางคนพยักหน้าสนับสนุน มีนาซิลลาคนเดียวที่ทำหน้างอง้ำ

“ข้าภาวนาให้เป็นอย่างที่เจ้าพูดแล้วกันนะ”

ไคซัสตบบ่าเทพคนสวนเบา ๆ ด้วยความชื่นชม ปากฉีกยิ้มไม่หุบ เขาอยากจะคุยกับฮาธอสต่ออีกนิด แต่ติดที่เวลาประชุมใกล้เข้ามาแล้ว

“เข้าเรื่องกันเลยนะ ขอต้อนรับทุกคนสู่พาเทร่า ที่นี่อาจไม่ได้สวยงามและเงียบสงบอย่างซิมโฟเนียอาเรีย แต่ก็กว้างขวางสะดวกสบาย ข้าให้คนเตรียมเรือนที่พักไว้แล้ว เซบาสเตียนจะเป็นคนนำทางไป” มือใหญ่หนาผายไปยังทหารหนุ่มผมสีม่วงอ่อนซึ่งผงกศีรษะให้ “เขาจะเป็นคนแนะนำเรื่องควรรู้ของที่นี่กับพวกเจ้า ซึ่งข้าต้องขอให้พวกเจ้าปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ส่วนอื่น ๆ นอกเหนือจากนั้น หากอยากรู้เพิ่มเติมมาถามข้าหรืออัลวินก็ได้”

อัลล์ผงกศีรษะบอกตัวตนกับชาวซิมโฟเนียอาเรีย เผื่อว่าบางคนจะยังไม่รู้จักเขา อาธอสยกมือขึ้น

“เอ่อ...ข้าขออนุญาตถามเลยขอรับ ท่านจะให้พวกเราเริ่มงานเมื่อไหร่ขอรับและงานเร่งด่วนอะไรที่ต้องทำก่อนบ้าง”

เทพอสูรหนุ่มกอดอกทำหน้าครุ่นคิด “อันดับแรกก็เป็นงานห้องเครื่อง เพราะข้าแจ้งไปทางตำหนักเทพจันทราที่ดูแลเรื่องนี้แล้วว่าไม่ต้องส่งสำรับมาที่นี่แล้ว ต่อไปก็การทำความสะอาดปราสาทก็อยากให้เริ่มวันนี้เลย ทำได้ทุกห้อง ยกเว้นชั้นสามทั้งหมด ห้องบนหอคอยหลังที่สิบ ห้องทำงานส่วนตัวของข้าที่ชั้นสอง แล้วก็ห้องสมุดใหญ่ปีกตะวันออก ไม่ต้องจัดเวรประจำห้องอาบน้ำด้วย แค่เตรียมน้ำร้อนกับชุดใหม่ให้เสร็จก่อนข้าจะใช้ก็พอ งานสวนเริ่มตอนที่พวกเจ้าพร้อมก็ได้ ทำแค่รอบปราสาทของส่วนในนี่ เพราะลานข้างนอกนี้จะมีทหารมาเพิ่มเติมอีกร้อยกว่านาย ทำสวยงามไปอีกไม่นานก็คงจะเละ และฮาธอส ข้าอยากให้เจ้ามาช่วยข้าทำงานจิปาถะด้วย”

“เอ๋! ช่วยท่านหรือขอรับ” ฮาธอสเบิกตากว้างอย่างไม่คาดฝัน

“อืม หลัก ๆ แล้วก็เป็นเรื่องงานเอกสารกับการดูแลเพื่อนของเจ้า” ไคซัสบอก ดวงตาสีส้มสว่างกวาดมองชาวตำหนักซิมโฟเนียอาเรียที่ไม่มีใครยอมสบตาเขาเลยแม้แต่คนเดียว “ธรรมเนียมสวรรค์จะให้หัวหน้าเทพรับใช้ประจำตำหนักเป็นคนดูแลใช่ไหม แต่อัลวินมีงานเต็มมือแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ชินกับการปกครองแบบทหารด้วย ฉะนั้นให้ดูแลกันเองดีกว่า”

ฮาธอสกับชาวตำหนักซิมโฟเนียอาเรียต่างประหลาดใจกับความคิดของไคซัสทั้งสิ้น เพราะปกติเทพรับใช้ไม่ว่าจะย้ายไปทำงานที่ไหนก็ต้องอยู่ภายในการดูแลของหัวหน้าเทพรับใช้ที่ใหม่เสมอ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและไม่เสียอำนาจควบคุม โดยไม่สนใจเลยว่าจะเกิดปัญหาอะไรกับคนใหม่หรือไม่ แต่มหาเทพสงครามกลับใช้วิธีปรับไปตามกลุ่มบุคคลโดยไม่สนใจธรรมเนียมปกติเลย

“ข้าเข้าใจจุดประสงค์ของท่านแล้วขอรับ ข้ากับทุกคนจะทำงานอย่างเต็มที่” ฮาธอสค้อมกายอย่างอ่อนน้อม

ไคซัสพยักหน้า “ข้าก็หวังให้เป็นแบบนั้นนะ” เขาบอก อัลล์ก้าวมารายงานว่าถึงเวลาไปประชุมแล้ว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จัดการแบ่งงานแล้วเอารายงานมาให้ข้าตอนกลับมานะ ไปกันเถอะ อัลวิน”

เรียกพลางเดินฝ่ากลางกลุ่มเทพรับใช้ชั่วคราวที่แหวกทางให้ไปขึ้นรถม้าคันแรกที่พวกฮาธอสใช้เดินทางมาที่นี่อย่างไม่รังเกียจ อัลล์กับทหารอีกคนตามขึ้นไปนั่งด้วยแล้วรถม้าก็เคลื่อนตัวสู่อากาศวิ่งหายไป ท่ามกลางสายตาอัศจรรย์ใจของเหล่าเทพจากซิมโฟเนียอาเรีย

“อะไรกันเนี่ย มหาเทพอสูรตนนั้น ความคิดผิดกับชาวสวรรค์ทั่วไปเลยนะ” เทพรับใช้คนหนึ่งร้อง

“ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน” นาซิลลาแทรกเสียงดัง “มหาเทพีบรรพกาลของตำหนักข้าก็คิดอย่างนี้นะ”

“แต่นางเคยทำอะไรใกล้ชิดกับพวกเราอย่างที่มหาเทพสงครามทำไหมล่ะ” เทพคนรับใช้คนแรกย้อนถาม

“นั่นสิ แล้วร่างเมื่อกี้เป็นร่างจำแลงมนุษย์ใช่ไหม ออกจะดูดีขนาดนั้นแท้ ๆ ถ้าจำแลงมาแต่แรกพวกเราคงไม่กลัวกันหรอก” อีกคนสำทับแล้วหันไปหาเทพคนสวน “ฮาธอส! เจ้ารู้อยู่แล้วใช่ไหม ถึงได้กล้ามาทำงานที่นี่!”

นาซิลลาก็มองสหายหนุ่มด้วยความสงสัยเช่นกัน ฮาธอสถึงกับถอนใจ

“เรื่องนิสัยข้าพอรู้นิดหน่อย ส่วนร่างจำแลงเพิ่งเห็นวันนี้พร้อม ๆ กับพวกเจ้านั่นแหละ” เขาตอบตามตรง ไม่คิดปิดบัง เพราะไม่มีอะไรจะให้ปิด “แต่ข้าว่าเลิกพูดเรื่องนี้แล้วย้ายของเข้าข้างในเถอะ จะได้เริ่มงานกันสักทีไงล่ะ ท่านเซบาสเตียนช่วยนำทางด้วยขอรับ แล้วก็...นาซิลลาอย่าขนแต่ของตัวเองนะ ช่วยคนอื่นด้วย”

ชายหนุ่มสั่งเสร็จสรรพ โดยไม่ลืมสำทับเด็กสาวผมสีเงินยวงด้วย หลังจากนั้นเขาก็ช่วยเพื่อนคนของและแบ่งหน้าที่งานอย่างไม่สนใจเลยว่าการกระทำของตนจะทำให้นาซิลลาหน้าบึ้งไปทั้งวัน

--------------

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 3 up 20/08/13
«ตอบ #18 เมื่อ24-08-2013 18:21:31 »

- 100% -

ใจกลางมหานครแห่งฟ้านั้นเป็นที่ตั้ง ‘มหาตำหนักเทพสวรรค์’ ซึ่งเปรียบเสมือนพระราชวังอันเป็นศูนย์กลางอำนาจของดินแดนแห่งนี้ ที่นี่ถูกแบ่งออกเป็นเก้าส่วน ประกอบส่วน ‘ตำหนักใน’ ที่อยู่ตรงกลาง ล้อมกรอบด้วยเจ็ดหน่วยงานสำคัญอันได้แก่ กรมวังและพิธีการ กรมยุติธรรม กรมการศึกษา กรมการพลาธิการ กรมราชองครักษ์ กรมการปกครองและพลเรือน และกรมข้าหลวง ด้านหน้าตำหนักเป็นลานกว้างสำหรับจัดพิธีการสำคัญต่าง ๆ ของสวรรค์

สถานที่จัดการประชุมสภาคือ ‘โดมทองรำไพ’ ในกรมการปกครองและพลเรือน ขุนนางเทพทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าประชุมต่างมารวมตัวกัน ณ ห้องประชุมทรงกลมที่สร้างอัฒจันทร์ที่นั่งสูงลดหลั่นกันลงมาเหมือนห้องประชุมรัฐสภา ซึ่งทั้งหมดตั้งล้อมแท่นยกพื้นติดผนังฝั่งเหนืออันเป็นที่ตั้งบัลลังก์ไม้แกะสลักลามังกรคำรามพยัคฆ์คำรณของมหาเทพจ้าวสวรรค์ไว้อีกที แน่นอนว่าหัวข้อสนทนาในวันนี้ยังเป็นเรื่องของไคซัสที่วิวาทขุนพลเทพอันดับห้าในสัปดาห์ที่แล้ว แต่เรื่องที่จะดังยิ่งกว่ากำลังจะเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้เอง

ไคซัสในร่างมนุษย์เดินเข้ามาในห้องประชุมอย่างสง่างาม ข้างหลังนั้นทหารเฝ้าประตูมองตามมาชนิดคอแทบหัก หลังขัดขวางเขากับผู้ติดตามไว้โดยไม่รู้ ทำให้เจ้าตัวต้องแสดงตราประจำตัวยืนยันจึงเข้ามาได้ และเมื่อเหล่าขุนนางเห็นเขาไปนั่งโต๊ะประจำตำแหน่งมหาเทพสงคราม ทุกตนพร้อมใจกันส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจ

“ชาวสวรรค์นี่ขี้ตกใจกว่าที่คิดนะ” เทพอสูรบ่นกับอัลล์ ชักรำคาญกับเสียงรอบข้างเสียแล้ว

“เพราะไม่เคยมีใครเห็นท่านในร่างนี้มาก่อนน่ะสิขอรับ ดูสิ แม้แต่ขุนนางฝ่ายบู๊ที่เคยพบท่านมาแล้วยังตกใจกันเลย” นายทหารหนุ่มชี้ให้ดูเทพนับรบแต่ละตนที่มองไคซัสตาโต

มหาเทพสงครามชักสีหน้าเบื่อหน่าย ทั้งที่ปฏิกิริยาของชาวเทพก็เหมือนกับที่ฮาธอสทำ แต่ไฉนความรู้สึกของเทพอสูรหนุ่มถึงแตกต่างกันสุดขั้วเช่นนี้

“เออ ช่างมันเถอะ ทนมาถึงขั้นนี้แล้วก็จะทนต่อไปแล้วกัน ยังไงซะร่างนี้ก็เป็นร่างเดียวที่จะเข้ามาที่นี่ได้” เขาพูดอย่างฉุนเฉียว

“เพราะอะไรหรือขอรับ” อัลล์ถาม สีหน้าไม่เข้าใจทั้งปฏิกิริยาและคำถามของเจ้านาย แต่ไคซัสกลับไม่ตอบคำถาม หัวหน้าทหารสบตากับลูกน้องของตนแวบหนึ่งแล้วก็ยืนนิ่งให้มหาเทพสงครามอยู่เงียบ ๆ

หลังจากรออยู่ได้สักพัก มหาดเล็กก็ประกาศการเสด็จของมหาเทพจ้าวสวรรค์ ขุนนางเกือบทุกคนลุกขึ้นถวายบังคมแด่องค์ราชาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ฟาเบียนพร้อมผู้ติดตามทั้งสิบเดินมาที่บัลลังก์ไม้อย่างรวดเร็ว ก่อนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นไคซัสยืนตัวตรงอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าเพราะตกใจกับภาพลักษณ์ที่ผิดไปจากเดิม หรือการไม่ถวายความเคารพของอีกฝ่ายกันแน่ แต่ราชาแห่งฟ้าก็เลือกที่จะมองข้ามแล้วไปนั่งประจำที่ของตนเอง

“เชิญทุกท่านตามสบาย” ฟาเบียนสั่ง เสียงของเขาถูกขยายด้วยเวทมนต์ เพื่อให้ได้ยินทั้งห้องประชุม ทุกคนนั่งลงพร้อมเพรียงกัน มีแค่ผู้ติดตามเท่านั้นที่ยืนอยู่โดยไม่บังสายตาของขุนนางท่านอื่น ๆ “วันนี้ทุกตนคงได้เห็นแล้วว่ามหาเทพสงครามมาร่วมการประชุมด้วย นี่ถือเป็นการประชุมครั้งแรกของเขา ฉะนั้นข้าขอให้ทุกคนรับฟังในสิ่งที่เขาเสนอด้วย”

“เรื่องของข้าเอาไว้ทีหลังก็ได้ ข้าอยากเห็นการประชุมของที่นี่ก่อน” ไคซัสพูด เสียงของเขาถูกขยายเช่นกัน

“ถ้าเจ้าต้องการแบบนั้นล่ะก็...เปิดการประชุมได้”

เพียงสิ้นเสียงของราชาแห่งฟ้า การประชุมสภาสวรรค์ก็เริ่มต้นขึ้น โดยหัวหน้าราชเลขากราบทูนหัวข้อฎีกาที่ต้องพิจารณาในวันนี้ก่อน จากนั้นขุนนางผู้รับผิดชอบหรือเป็นเจ้าของฎีกาจะลุกขึ้นอธิบายเนื้อหา ตลอดจนความคืบหน้าในเรื่องที่ปฏิบัติไปแล้วต่อที่ประชุมทีละคน แล้วขุนนางที่เหลือจะร่วมกันแสดงความคิดเห็น ซึ่งบางครั้งก็นำไปสู่การถกเถียง แต่ความทั้งหมดนั้นจะถูกฟาเบียนไปประกอบการพิจารณาและตัดสินปัญหาต่อไป เรื่องที่หยิบยกมาพูดเป็นอันดับต้น ๆ ก็คือ แผนการเยียวยาทหารเทพที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบกับกองทัพปีศาจ

ไคซัสนั่งดูการประชุมโดยไม่ปริปากพูดสักคำ สำหรับเขา บรรยากาศการประชุมของที่นี่ไม่ต่างจากดินแดนที่เขาจากมาเท่าไหร่นัก ผู้ทรงภูมิทั้งหลายต่างแสดงความเห็นของตนอย่างตรงไปตรงมา ต่างกันแค่เมื่อถึงคราวถกเถียงกัน ชาวสวรรค์จะเลือกหยิบเหตุผลมาก่อนอารมณ์ ในขณะที่สภาอสูรมักมีอารมณ์ร่วมด้วยจนเกือบเกิดจลาจลอยู่บ่อย ๆ เทพอสูรหนุ่มจึงมีโอกาสได้เห็นทัศนวิสัยอันกว้างไกลของผู้มีอารยะ โดยเฉพาะจอมปราชญ์ทั้งแปดแห่งสวรรค์อย่างเต็มที่

ยกเว้นเรื่องเดียวคือ ‘สายตา’ ที่พวกเขาใช้มองกองทัพปีศาจ...

ในที่สุดการถกเถียงฎีกาฉบับสุดท้ายอันเกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณส่วนกลางก็จบลง ถึงเวลาของมหาเทพสงครามตนใหม่แล้ว

“เรื่องอื่น ๆ เราก็คุยกันหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่เจ้าแล้วนะ มหาเทพสงคราม” ฟาเบียนเบือนหน้ามาหาเทพอสูรหนุ่ม “มีเรื่องอะไรอยากเสนอต่อที่ประชุมหรือ”

เทพอสูรหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง ซึ่งความน่าเกรงขามของเขาไม่ได้ลงลดลงจากเดิมเลย แม้จะอยู่ในร่างมนุษย์ก็ตาม

“เรื่องที่ข้าอยากจะเสนอมีอยู่สี่เรื่องด้วยกัน” เขาเกริ่นพร้อมใช้เวทมนต์ส่งม้วนฎีกาของตนถึงมือของฟาเบียน “เรื่องแรก ข้าต้องการให้เพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดนมากขึ้น เรื่องที่สอง ข้าต้องการให้มีการเสริมสัตว์อสูรที่จะใช้ในการรบแนวหน้าให้มากกว่านี้ เรื่องที่สาม ข้าต้องการให้เปลี่ยนเสาเขตแดนที่เริ่มเสื่อมสภาพ และสุดท้ายเรื่องที่สี่ ข้าต้องการปรับวิธีการฝึกทหารสวรรค์ให้เหมือนกับการฝึกทหารอสูร”

ยิ่งไคซัสบอก ‘ความต้องการ’ ของตนเองออกไป เสียงฮือฮาในที่ประชุมก็ยิ่งดังขึ้นจนดังกระหึ่มเมื่อมาถึงเรื่องสุดท้าย หนึ่งในจอมปราชญ์ลุกพรวดขึ้นชี้หน้าเขา

“เจ้าอสูรต่ำช้า เจ้าคิดจะเปลี่ยนสวรรค์ไปเป็นของตัวเองหรือไร!”

“ท่านผู้ทรงภูมิมีเหตุผลอันใดจึงกล่าวหาข้าเช่นนั้น” ไคซัสย้อนถาม น้ำเสียงเยียบเย็นและอำมหิตยิ่ง

“มีแน่นอน เจ้าไม่รู้หรือว่าการเสาเขตแดนแต่ละต้นเป็นตัวกระจายพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สร้างอาณาเขตคุ้มครองสวรรค์ หากขาดหายไปแม้แต่ต้นเดียวจะทำให้เขตอาคมอ่อนแอลงจนถูกบุกโจมตีได้ง่ายนะ” จอมปราชญ์ผู้นั้นกล่าว

“เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้ว จึงอยากเสนอให้ใช้เสาเขตแดนขนาดเล็กผูกรวมกันสามต้นขึ้นไปตั้งแทนในตอนที่ยกเสาเขตแดนต้นใหม่แทนที่ เพียงเท่านี้การกระจายพลังศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่ขาดตอนแล้ว” ไคซัสอธิบาย “แน่นอนว่าข้าไม่ได้ขอให้ทำตอนนี้ เพราะการสร้างเสาเขตแดนใหม่ใช่เรื่องงาน แต่ข้าเห็นสมควรว่าควรลงมือให้เร็วที่สุดจะดีกว่า”

“เจ้าจะบอกว่าแค่พลังศักดิสิทธิ์ไม่สามารถหยุดยั้งพวกปีศาจได้อย่างนั้นรึ!” จอมปราชญ์ท่านที่สองช่วยเถียง ขุนนางฝ่ายบุ๋นต่างส่งเสียงสนับสนุนเต็มที่ ขณะฟาเบียนกับฝ่ายบู๊ยังนิ่งฟังเรื่องให้จบก่อน “ที่สำคัญเสาแต่ละต้นล้วนเป็นเสาเก่าแก่ที่ลงอาคมขลังที่สุดที่เคยมีมา เจ้าคิดว่าจะมีใครทำได้อีก!”

ดวงตาของไคซัสตวัดไปทางฟาเบียนโดยพลัน แต่ไหนแต่ไรมาผู้จะขึ้นเป็นมหาเทพจ้าวสวรรค์ได้นั้นจะต้องสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้เหนือกว่าเทพตนใด นั่นหมายความว่าฟาเบียนสามารถลงอาคมในเสากั้นเขตได้เฉกเช่นอดีตมหาเทพผู้สร้างเขตแดนนี้ มันเป็นความจริงที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้

“ข้านั้นทราบดีว่าสวรรค์มีขนบธรรมเนียมในเชิงอนุรักษ์สิ่งที่เป็นอยู่มาตั้งแต่ในอดีต ทว่าการตรวจสอบของข้าก็เป็นความจริง เขตแดนบางส่วนเริ่มอ่อนกำลังลงตามสภาพเสาแล้ว ถ้าทิ้งไว้แบบนั้นสักวันต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาแน่”

“เจ้ามั่นใจได้ยังไง!” คราวนี้เป็นหัวหน้าจอมปราชญ์ผู้มีเคราสีขาวถามบ้าง

“เพราะเขาเป็นเทพอสูรไงล่ะ” คนที่ตอบไม่ใช่ไคซัส แต่เป็นฟาเบียนที่ควรจะเป็นกลางที่สุดสถานการณ์นี้ “ในวันแรกที่ไคซัสเริ่มงาน เขาได้ทำการสำรวจเขตอาคมแล้ว พลังของเขาตรงกันข้ามกับพลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้หาจุดอ่อนของเขตอาคมได้ไม่ยาก เรื่องนี้มีมูลเหตุมากพอ ฉะนั้นข้าจะรับไว้พิจารณา”

จอมปราชญ์ทั้งแปดพร้อมด้วยขุนนางฝ่ายบุ๋นแสดงอาการไม่พอใจออกมาทันที แต่ไคซัสก็ใช่ว่าจะพึงพอใจกับผลที่เกิดขึ้นนั่น เพราะดวงตาสีเขียวมรกตของฟาเบียนยังจ้องมองเขาอย่างกังขา

“แต่ที่ข้าไม่เข้าใจคือ ทำไมต้องปรับวิธีการฝึกทหารใหม่ การฝึกของสวรรค์มันไม่ดีตรงไหน” น้ำเสียงแข็งกระด้างแฝงด้วยความไม่พอใจ

เมื่อนั้นเองที่ขุนนางฝ่ายบุ่นหันกลับมาสนับสนุนองค์เหนือหัวของตนเองอีกครั้ง น่าขำนัก อย่างกับกิ้งก่าเปลี่ยนสีก็ไม่ปาน

“ช่วงสิบวันก่อนหน้าจะเข้ารับการแต่งตั้ง ข้าได้ดูจากฝึกทหารจากบันทึกเวทที่เก็บเอาไว้ในพาเทร่า สำหรับข้าการฝึกทหารของที่นี่ไร้ที่ติ แต่มันเป็นการฝึกสำรับรบในแดนสวรรค์เท่านั้น!” ไคซัสกล่าว ใบหน้าคร้ามเข้มระบายด้วยความจริงจัง ตอนนี้แม้แต่อัลล์ก็มองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ทหารสวรรค์เอาแต่พึ่งพาสิ่งที่เรียกว่า ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’ กันจนเกินเหตุ ก่อนออกรบมักสะสมพลังนี้ไว้ในตัวสูงเสมอ แต่เมื่อออกสู่สนามรบในแดนมนุษย์ หากไม่ใช่พวกที่มีพลังเวทสูงส่งก็แล้วก็ไม่มีทางคงพลังนั้นได้ ด้วยสภาพแวดล้อมที่แตกต่างอย่างสุดขั้วและไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์หนุนตลอดเวลาทำให้พวกเขาเสียความสามารถในการรบอย่างรวดเร็วทุกครั้ง ตัวอย่างของคนที่พึ่งพาพลังศักดิ์สิทธิ์มาไปจนทำให้กองทัพเทพเสียทีครั้งใหญ่ก็คือ มหาเทพสงครามคนก่อนไงล่ะ! ถ้าตอนนั้นไม่ได้อัลวินกับเซย์เรียโน่พลิกสถานการณ์ก็คงแพ้ไปแล้ว!!”

ความเงียบเข้าปกคลุมห้องประชุมทันทีที่ไคซัสพูดจบ บรรดาขุนนางต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สีหน้าท่าทางตกใจและไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน พลังศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองสวรรค์มาตั้งแต่สมัยบรรพกาลกลับกลายเป็นจุดอ่อนของกองทัพในการสู้รบ แถมมหาเทพสงครามคนก่อนก็พึ่งพามันมากเกินไปอีกด้วย อัลล์เบิกตากว้างคล้ายเข้าใจบางสิ่ง

“มีหลักฐานอะไรถึงพูดแบบนี้” หัวหน้าจอมปราชญ์ถาม น้ำเสียงสั่นจากความโกรธ “อย่ามาดูถูกพลังของพวกเรานะ!”

“มีขอรับ!” เสียงอัลล์ร้องขึ้นมา ทุกคนในที่ประชุมรวมถึงไคซัสหันขวับไปหาเขาอย่างไม่คาดฝัน ทหารหนุ่มละล้าละลังอยู่สักครู่ก็ตัดสินใจพูดออกไป “ไม่ใช่หลักฐาน แต่เป็นพยานขอรับ ก่อนอดีตมหาเทพสงครามวางแผนใช้พลังศักดิสิทธิ์ต่อสู้กับกองทัพปีศาจ ซึ่งในสนามรบเขาก็ปฏิบัติตามแผนการนั้นอย่างเคร่งครัด ข้ากับลูกน้องในสังกัดรวมถึงหน่วยตะลุมบอนก็คอยสนับสนุนเขา แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งจู่ ๆ เขาก็ใช้พลังไม่ได้ ทำให้ถูก...”

เสียงของลูกน้องขาดห้วงไป ไคซัสจึงพูดต่อ แต่ด้วยสีหน้าไม่แยแส “...ถูกจอมทัพของฝ่ายนั้นบั่นหัวกระเด็น” มีเสียงกระแอมกระไอดังนั้นดั่งรับไม่ได้กับสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบนั้น “แต่ถ้าใช้การฝึกแบบอสูร ซึ่งเน้นให้พึ่งกำลังและความสามารถของตนเองเป็นหลักจะช่วยกลบจุดอ่อนข้อนี้ได้ในระดับหนึ่ง เพราะชาวเทพแม้จะอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้สูญเสียเรี่ยวแรงหรือพลังเวทส่วนตัวตามไปด้วย การเสริมสัตว์อสูรในแนวหน้า นอกจากจะเพิ่มกำลังในการรุกแล้วยังช่วยเสริมแรงในการป้องกันอีกด้วย ถ้าข้าอธิบายขนาดนี้แล้วยังไม่พอใจ จะหามหาเทพคนใหม่มาแทนก็ได้นะ ฟาเบียน”

“โอหัง!! เจ้ากล้าต่อรองท่านจ้าวอย่างนั้นเรอะ!!” จอมปราชญ์ผู้กราดเกรี้ยวคนแรกชี้หน้าเทพอสูรหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งเขาไม่สะทกสะท้านสักนิด

“พอได้แล้ว!” ฟาเบียนแผดเสียงลั่น กระจกที่บุรอบห้องนั้นถึงกับสั่นสะเทือน ความสงบพลันหวนคืนที่ประชุมในพริบตา มหาเทพจ้าวฟ้าจึงพูดกับไคซัสว่า “มหาเทพสงคราม เรื่องที่เจ้าเสนอเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาทบทวนสักหน่อย หวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจ” ไคซัสค้อมศีรษะแทนการยอมรับ “ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากจะคุยกับเจ้าด้วย ช่วยรออยู่ก่อน ส่วนท่านอื่น ๆ ไม่มีเรื่องอะไรแล้วเชิญออกไปได้”

เมื่อเป็นพระบัญชาของมหาเทพจ้าวสวรรค์ เหล่าขุนนางทุกคนจึงลุกขึ้นถวายบังคมลาแล้วทยอยออกจากห้องประชุมอย่างรวดเร็ว ซึ่งเชื่อได้เลยว่าฎีกาที่ไคซัสเสนอในวันนี้จะเป็นหัวข้อสนทนาที่ดังที่สุดในหมู่ขุนนาง และหลังจากที่ทุกคนออกไปแล้วไคซัสก็ลุกจากที่นั่งนำผู้ติดตามทั้งสองไปเข้าเฝ้าราชาแห่งฟ้าใกล้ ๆ บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ส่ายศีรษะอย่างยอมแพ้

“ในวันแต่งตั้งจงใจบอกถึงสายเลือดของตนเองก่อนข้า วันต่อมาก็ตรวจสอบเขตแดนก่อนบอกข้าอีก หนำซ้ำยังวิวาทกับเซย์เรียโน่จนวุ่นวายไปหมด มาวันนี้ยังเสนอเรื่องคอขาดบาดตายกลางที่ประชุมอีก เจ้ากำลังทำให้ตัวเองเป็นตัวปัญหานะ”

“ตัวข้าเป็นตัวปัญหามาตั้งแต่ขึ้นสวรรค์แล้ว ฟาเบียน” เทพอสูรหนุ่มตอบอย่างไม่ยี่หระ

ชายผมสีทองระบายลมหายใจหนักอึ้ง “ถ้าเจ้าเป็นศัตรูกับขุนนางทั้งสภา ข้าจะไม่ว่าอะไรเจ้าสักคำ แต่นี่เจ้าจะทำให้จอมปราชญ์ทั้งแปดมองเจ้าเป็นศัตรู และพยายามหาทางกำจัดนะ” เขาพยายามเตือน

“เรื่องนั้นข้ารู้ดีพอ ๆ กับที่รู้ว่าจอมปราชญ์พวกนั้นจะเห็นด้วยกับข้าในตอนสุดท้าย เพราะสิ่งที่ข้าเสนอไปนั้นได้ผ่านการพิจารณาและหาหลักฐานมาประกอบอย่างรอบคอบแล้ว” ไคซัสบอก

คู่สนทนาของเขาถอนใจยืดยาว เขาลืมไปเสียแล้วว่าอีกฝ่ายคือ ‘ไคซัส’ ราชาแห่งอสูรที่มีความสามารถมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกเบื้องล่าง เทพอสูรที่สามารปราบปรามบรรดาอสุรกายที่ปกครองแดนเถื่อนแห่งนั้นได้อยู่หมัด ทำให้ประชาชนได้สัมผัสกับความสงบสุขที่โหยหามานานได้ และยังทำให้ดินแดนไร้อารยธรรมแห่งนั้นเจริญรุ่งเรืองไม่แพ้แดนยมโลกที่เป็นเพื่อนบ้าน สำคัญที่สุดเขาเป็นจอมทัพอสูรที่เอาชนะกองทัพปีศาจได้อย่างเด็ดขาด ทำให้ปัจจุบันนี้แทบจะปราศจากการศึกกีบประเทศเพื่อนบ้านเลยทีเดียว

ทุกเรื่องที่ไคซัสทำนั้น ล้วนแต่ผ่านการไตร่ตรองและศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดแล้วทั้งสิ้น เทพอสุรหนุ่มจึงมีความมั่นใจในตัวเองสูง ประกอบกับความดื้อรั้นอันเป็นนิสัยที่พื้นฐานของมังกรทำให้เขาไม่เคยเปลี่ยนความคิดในสิ่งที่ตัดสินใจลงไปแล้ว ข้อนี้ฟาเบียนจึงวางใจได้ว่าจนกว่าเขาจะเป็นผู้ปลดอีกฝ่ายออกจากตำแหน่ง ไคซัสก็จะยังทำหน้าที่ของตนเองต่อไปอย่างเต็มที่ ทว่าขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขากังวลว่านิสัยนี้อาจจะเปลี่ยนเป็นดาบกลับมาแทงคอเทพอสูรหนุ่มเข้าสักวัน

มหาเทพสงครามพิจารณาท่าทีของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ เขาอ่านความคิดของอีกฝ่ายได้ไม่ยากเลย เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกับที่เขาตระหนักอยู่ตลอดเวลา

“อย่ากังวลไปเลย ฟาเบียน ข้าเจอปัญหาแบบนี้บ่อย ไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกนั้นง่าย ๆ หรอก” เขาบอก “เจ้ากับข้าต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป แค่อย่าลืม ‘สัญญา’ ที่ให้ไว้ก็พอ”

ฟาเบียนหน้าเสียเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าจะถูกอ่านใจง่ายขนาดนี้ “รู้แล้วล่ะน่า ข้าไม่ลืมหรอก!” ราชาแห่งสวรรค์พูดเสียงแข็งเล็กน้อย

“เรื่องที่อยากจะพูดมีเท่านี้ใช่ไหม ข้าจะได้กลับไปทำงานต่อ” ไคซัสถามพลางขยับเท่าเตรียมหันหลัง

“อ๊ะ! เดี๋ยว!” ฟาเบียนร้องรั้งตัวไว้ก่อน ร่างสูงจึงหยุดฟัง “เมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากจะพูดหรอกนะ”

“อย่างนั้นก็พูดเรื่องที่อยากพูดมาสิ...”

ยังไม่ทันขาดเสียงของไคซัสดีด้วยซ้ำ ฟาเบียนก็ตวัดมือเสกม้วนเอกสารสีทองปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ห่างจากปลายจมูกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คิ้วเข้มของมหาเทพสงครามจรดเข้าหากันทันใด

“นี่คืออะไร”

“โองการของข้า” ฟาเบียนตอบสั้นๆ ขณะร่างสูงยังจ้องมองมันอยู่ “อีกไม่ช้าโลกมนุษย์ก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ สวรรค์เองก็ด้วย ช่วงนั้นจะมีงานประลองสำคัญที่จะจัดขึ้นทุกสามร้อยปี ซึ่งช่วงเวลานั้นก็มาบรรจบในปีนี้พอดี เจ้าภาพมักเป็นแม่ทัพ ขุนพล หรือไม่ก็จอมเทพในสายนักรบโดยหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป”

“ฟาเบียน...” เทพอสูรหนุ่มกดเสียงขู่ ตาหรี่ลงส่อสัญญาณอันตราย อัลล์กับลูกน้องถอยไปก้าวหนึ่งทันใด

“งานคราวนี้เป็นการประลองระหว่างตำหนักเทพต่าง ๆ รวมถึงระหว่างเผ่าพันธุ์ชาวเทพด้วยกันเอง ข้าจึงคิดว่านี่คงเป็นโอกาสเหมาะที่เจ้าจะได้ทำความรู้จักกับคนอื่น ๆ บ้าง” ราชาแห่งฟ้าพูดต่อไปอย่างไม่สนใจ “อีกอย่างเราเพิ่งผ่านสงครามครั้งใหญ่มาทำให้ทหารค่อนข้างอ่อนล้า ข้าอยากให้งานคราวนี้ปลุกขวัญกำลังใจของพวกเขากลับมาและยังเป็นงานฉลองรับตำแหน่งของเจ้าด้วยอย่างไรเล่า”

“ข้าไม่เห็นด้วย!” ไคซัสแย้ง “พวกทหารคงเสียกำลังใจมากกว่าถ้ารู้ว่าข้าเป็นคนจัด!”

“เจ้าดูถูกทหารสวรรค์เกินไปแล้ว นักรบทุกคนล้วนแต่มีจิตใจที่เข้มแข็งและทะเยอทะยานกันทั้งนั้น ยิ่งเจ้าเป็นอดีตราชาอสูรยิ่งมีคนอยากแสดงความสามารถให้เห็น” ราชาแห่งฟ้ากุมมือพลางวางท่าวางอำนาจ “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว มหาเทพสงครามต้องเป็นเจ้าภาพจัดประลองในคราวนี้ นี่เป็นคำสั่ง!”

ไคซัสเม้มปากพร้อมบิดหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ เจ้าเด็กนี่เป็นอีกคนที่ประมาทไม่ได้ มิใช่ว่าน่ากลัว แต่เพราะไม่รู้ว่าจะใช้อำนาจที่มีอยู่สั่งให้เขาทำเรื่องแปลก ๆ แบบไม่ดูสถานการณ์อย่างคราวนี้ ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายย้ำว่าเป็นคำสั่ง มหาเทพที่มีศักดิ์ต่ำกว่าอย่างเขาก็ได้แต่ก้มหน้ารับทำเท่านั้น

“รับบัญชา” กล่าวแล้วก็คว้าม้วนเอกสารที่ลอยกลางอากาศมาถือไว้แล้วหันหลังนำคนของตนกลับออกมาจากห้องนั้น ทว่าเดินไปถึงกลางทางเสียงของฟาเบียนก็ดังขึ้นอีกที

“อัลวิน เจ้ารออยู่ก่อน”

อัลล์ช้อนตามองเจ้านายของตนทันที เกรงว่าเขาจะคิดว่าตนมีนอกมีในอันใดกับมหาเทพจ้าวสวรรค์ ทว่าเทพอสูรไม่ได้แสดงอาการอะไรนอกจากพยักหน้าให้ลูกน้องอีกคนตามออกไปเท่านั้น ทหารหนุ่มจึงหมุนตัวกลับไปทางองค์เหนือหัว ความปกคลุมระหว่างพวกเขาจนมีเสียงประตูปิดดังขึ้นเบา ๆ และยืดยาวออกไปอีกเล็กน้อยในตอนที่ฟาเบียนจ้องมองด้วยแววตาเฉียบคมประหนึ่งจะจ้องให้ทะลุไปถึงหัวใจ

“เราไม่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนนั้นสินะ เป็นอย่างไรบ้าง” คำถามไร้แววความรู้สึก

“กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ” อัลล์ตอบด้วยน้ำเสียงเดียวกัน

“เจ้าคงไม่ตำหนิข้าที่ย้ายเจ้าไปอยู่กับไคซัสนะ” ฟาเบียนลุกขึ้นมาหาอัลล์ช้า ๆ

“ไม่ขอรับ ข้าเป็นทหารมีหน้าที่ทำตามคำสั่งอยู่แล้ว” นายทหารหนุ่มค้อมตัวเมื่อร่างโปร่งบางมายืนเอามือไผล่หลังข้างกาย

“งั้นรึ ดีจริง ข้าจะได้รู้สึกสบายใจขึ้น” ถึงปากจะว่าแบบนั้น แต่น้ำเสียงก็เรียบจนเดาใจไม่ออก “ที่ข้ารั้งเจ้าไว้เพราะมีเรื่องสำคัญอยากถาม เจ้าทำงานกับไคซัสมาสักพักแล้ว คิดว่าไคซัสเป็นคนอย่างไร”

สมองของอัลล์ทำงานอย่างรวดเร็ว เพื่อตีความหมายในคำถามที่ฟาเบียนพูดมา น่าเสียดายที่คำตอบหลากหลายเกินกว่าเขาจะเจาะจงลงไปได้ ทหารเทพจึงเลือกตอบอย่างเป็นกลางที่สุด

“เขาเป็นเจ้านายที่ดีสำหรับพวกเราขอรับ”

นายทหารหนุ่มไม่รู้เหมือนกันว่าคำตอบของตนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเช่นไรบ้าง อัลล์เห็นอีกฝ่ายลูบคางด้วยสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะตบบ่าเขาดังปั่บ!

“ขอบใจสำหรับคำตอบ” ฟาเบียนพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็กลับออกไปพร้อมผู้ติดตาม ทิ้งให้อัลล์งุนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้คนเดียว

แต่ถ้าสัญชาตญาณนักรอบของชายหนุ่มถูกต้อง คำตอบที่เขาให้ไปเมื่อครู่นี้น่าจะมีความหมายมากกว่าที่คิดไว้ ซึ่งจะเป็นอะไรเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน

อัลล์เอามือลูบหน้าด้วยความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง สองเท้านำร่างออกไปหาอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกห้องอย่างเร่งด่วน ทว่าพอเปิดประตูออกไปก็ต้องประหลาดใจ หลังพบว่าลูกน้องที่มาด้วยกันรออยู่คนเดียวเท่านั้น

“หัวหน้า!” ทหารหนุ่มร้องพลางวิ่งมาใกล้ เอียงมองเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่าก่อนค่อยเงยหน้ามาพูดด้วย “ท่านจ้าวเรียกตัวไว้ด้วยเรื่องอะไรขอรับ”

“เรื่องเล็กน้อยน่ะ อย่าใส่ใจเลย” อัลล์ตอบพลางมองซ้ายขวา “มหาเทพไคซัสไปไหนแล้วล่ะ”

“ไปกองบัญชาการแล้วขอรับ สั่งให้ข้ารอตามไปพร้อมกันท่านนี่แหละ” ทหารหนุ่มตอบ รีบเดินตามหัวหน้าไปติด ๆ “เรื่องเมื่อกี้คงทำให้เขาหงุดหงิด ก่อนจะแยกกันเห็นเขากระฟัดกระเฟียดพอดู”

“ถ้าข้าเป็นเขาก็คงจะหงุดหงิดเหมือนกันแหละ รู้ทั้งรู้ว่าคนทั้งสวรรค์ไม่ชอบหน้า ยังจะสั่งทำอะไรแบบนี้อีก” อัลล์ลูบหลังคออย่างตึงเครียดเช่นเดียวกับทหารของเขา

“ท่านคิดว่าเรื่องคราวนี้จะมีเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า” ทหารหนุ่มตั้งคำถามน่ากังวลขึ้นมา

“...อา ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” บุรุษผู้เป็นหัวหน้าตอบอย่างจนปัญญา แต่ถ้าสัญชาตญาณนักรบของชายหนุ่มถูกต้อง คำตอบของเขาก็น่าจะมีความหมายบางอย่างสำหรับมหาเทพจ้าวสวรรค์ แต่จะเป็นด้านไหน เขาเองก็ไม่รู้

----------------

ตอนนี้ต้องขออภัยจริงๆ ครับ แบ่งช่วงตอนผิดพลาดไปหน่อยเลยต้องเบิ้ล 3 คอมเมนต์แบบนี้ ต่อไปจะทำใหม่ให้ได้แค่สองครับ

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang ขอบคุณครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ m_ _m
คุณ bulldog17 ล่อลวงสำเร็จด้วยล่ะครับ ^ ^" ที่นี่ความสัมพันธ์จะได้คืบหน้าอีกหน่อย (หรือเปล่า?)

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 4 up 24/08/13
«ตอบ #19 เมื่อ25-08-2013 17:07:43 »

บทที่ 5 การมาเยือนของเงาดำ
- 50% -

หลังจากจัดของเข้าที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้ว เทพคนสวนหนุ่มก็แบ่งงานให้เพื่อนไปทำตามความสามารถของแต่ละคน ยกเว้นนาซิลลาที่ตอนอยู่ตำหนักซิมโฟเนียอาเรียมีหน้าที่ดูแลเครื่องดนตรีของเอเดล แต่เมื่อเธอมาอยู่ที่นี่ต้องไปช่วยงานปัดกวาดเช็ดถูแทน ฮาธอสรู้ว่ามันเป็นงานที่หนักสำหรับเด็กสาวที่ไม่เคยทำงานบ้านมาก่อน แต่ก็ยังดีกว่าต้องมาขลุกกับเขาอยู่ในสวนก็แล้วกัน

เทพหนุ่มอยู่ตรงพื้นที่วางด้านหลังปราสาท ลงมือขุดหลุมเพื่อต้นกล้าด้วยตัวเอง อันที่จริงจะใช้เวทมนต์เสกต้นกล้าให้โตขึ้นตามใจชอบก็ได้ ซึ่งฮาธอสก็ทำเป็นประจำในเวลาที่เร่งรีบ แต่เขาพิสมัยการทำสวนด้วยมือล้วน ๆ มากกว่า ขุดหลุมลงต้นกล้า รดน้ำพรวนดิน และเฝ้าดูทุกวันจนเติบโตเป็นต้นที่สวยงาม เขาตั้งใจจะให้สวนตรงนี้เป็นแบบนั้น ส่วนสวนที่เป็นหน้าเป็นตากว่าจะใช้วิธีปกติ

ฮาธอสทำงานด้วยความเพลิดเพลินจนลืมเวลา ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำในตอนที่อัลล์มายืนริมสวน นายทหารผมสีแดงเพลิงกอดอกมองสหายทำงานงก ๆ ริมฝีปากยกยิ้มสนุกแล้วตะโกนออกไป

“ฮาธอส!”

ร่างสูงโปร่งสะดุ้งโหยงก่อนเงยหน้ามอง พอเห็นว่าเป็นใครก็แหวกลับ “เจ้าบ้า! อย่ามาแบบไม่ให้สุ้มเสียงซี่! ตกใจหมด” เขาวางต้นกล้าที่ประคองไว้ลงหลุมแล้วจัดการกลบให้เรียบร้อย

“ฮึ ฮึ ฮึ โทษที ไม่ได้เห็นเจ้าตั้งใจทำงานมานานแล้วนี่นา” คนตัวใหญ่ทรุดนั่งยองมองดูเพื่อนทำงาน “แต่เย็นขนาดนี้แล้วนะ ยังอยู่ที่นี่อีกหรือ”

ฮาธอสแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีส้มแล้วก็ตกใจ “ตายล่ะ ทำงานเพลินไปหน่อย ข้าต้องไปดูพวกห้องเครื่องเตรียมสำรับนี่นา” เขาร้องอย่างตกใจ รีบถุงมือกับผ้ากันเปื้อนของตัวเองออก

“เดี๋ยวข้าไปดูเอง เจ้าไปเปลี่ยนชุดแล้วเอาเอกสารที่มหาเทพไคซัสสั่งไว้ขึ้นไปให้เขาที่ห้องนอนที” น้ำเสียงที่มีแววกังวลทำให้คู่สนทนาแปลกใจ

“เกิดอะไรขึ้นรึ ท่าทางกังวลเชียว” เทพคนสวนถาม ถ้าลองให้อัลล์วิตกแสดงว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่มาก

“มหาเทพจ้าวสวรรค์ทำเรื่องน่ะสิ ทั้งข้าทั้งมหาเทพไคซัสเลย” ทหารหนุ่มตอบ สีหน้าระบายความเครียด รู้ดีว่าไม่สามารถเปิดเผยสิ่งที่เจอมาได้ แต่ก็อยากจะบ่น “ไม่รู้คิดอะไรอยู่ถึงโยนเรื่องใหญ่มาให้”

“ฮ่า ๆ ถ้าไม่สะดวกพูดก็ไม่เป็นไร ข้าจะทำหน้าที่ให้ดีแล้วกัน” ฮาธอสยิ้มแห้ง มือตบบ่าเพื่อนอย่างเห็นใจ “มีอะไรที่ข้าต้องระวังเกี่ยวกับการเข้าห้องนอนของมหาเทพไคซัสไหม”

“ไม่มี แค่เคาะประตูตามมารยาทก็พอ ถ้าไม่มีเสียงตอบก็เปิดเข้าไปได้เลย” อัลล์บอกแล้วดึงแขนฮาธอสไว้ก่อนจะเดินไป ใบหน้าเข้มโน้มลงมาใกล้ แววตาจริงจัง “ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจ ข้าไม่ได้ขายเพื่อนนะ ฮาธอส แต่พลทหารประจำตำหนักตามมหาเทพไคซัสมาประจำการแล้ว ข้าต้องดูแลพวกเขา...”

บุรุษผมสีทองยิ่งกว่าเข้าใจความคิดของเพื่อน “ข้ารู้ดี อัลล์ เวลาจอมเทพีเรเทเชียโมโหจัด ๆ พวกผู้หญิงก็ชอบตามข้าไปคุยกับนางแทนเหมือนกัน”

ว่าพลางยิ้มกว้าง อัลล์คงจะคลายความกังวลแล้วจึงยอมปล่อยมือจากเขา ฮาธอสขอตัวกลับห้องพักในอาคารปีกตะวันตกที่สร้างแยกออกมาต่างหาก เชื่อมต่อกับตัวปราสาทด้วยทางเดินที่ชั้นหนึ่งกับสะพานเหล็กดัดบริเวณชั้นสอง ห้องพักของเทพหนุ่มอยู่บนชั้นสองติดบันไดฝั่งเหนือ เขาใช้เวลาจัดการตัวเองไม่นานนักก็เสร็จเรียบร้อย ตรวจทานรายงานที่ทำเสร็จตั้งแต่เมื่อเช้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนออกจากห้องมุ่งหน้าไปพบกับไคซัส จากการแนะนำสถานที่ของเซบาสเตียน เขาจึงทราบแล้วว่าห้องส่วนตัวของมหาเทพสงครามอยู่ที่ไหน ร่างสูงโปร่งก้าวยาว ๆ ไปตามทางเดินทอดยาว เลี้ยวขึ้นบันไดฝั่งตะวันตกขึ้นไปยังชั้นสามของปราสาท

จากที่นี่เขาสามารถมองเห็นลานกว้างของส่วนนอกตำหนักได้ทุกสัดส่วนอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับใช้สังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของคนในลานมากที่สุด ซึ่งตอนนี้ทหารในเครื่องแบบสีดำตัดแดงกว่าหนึ่งร้อยนายกำลังขนสัมภาระไปยังเรือนพักที่อยู่สองข้างลานกว้างนั้น บางส่วนถืออาวุธเดินชักแถวเข้ามาข้างใน น่าจะเป็นเวรอารักขาตำหนัก ยังดีที่พวกเพื่อนของเขารับทราบแล้วว่าจะมีทหารมาเพิ่ม ไม่อย่างนั้นคงตกอกตกใจกันน่าดู

ในที่สุดฮาธอสก็มาหยุดหน้าประตูบานคู่ไม้ฉลุลายมังกรกับนกฟินิกซ์ซึ่งอยู่ตรงหน้าทางเดินของชั้นสามนั้น เบื้องหลังประตูบานนี้คือ ห้องส่วนตัวของมหาเทพสงครามผู้นั้น ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกเพื่อเตรียมใจแล้วเคาะประตู

...

ไม่มีการตอบสนองจากคนในห้อง เทพคนสวนเอียงคออย่างฉงนฉงาย หรือว่าจะไม่อยู่? ฮาธอสชั่งใจอยู่สักครู่ก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องกว้างที่รวมเอาสามห้องนอนมารวมกันตกแต่งด้วยเครื่องเรือนไม้มะค่าสีน้ำตาลแก่อย่างเรียบง่าย หน้าต่างทุกบานปิดสนิททำให้ภายในห้องค่อนข้างมืดสลัว แสงสว่างที่มีมาจากเทียนไม่กี่เล่มที่ถูกจุดทิ้งไว้ มีการแขวนผ้าม่านไว้บนคานแบ่งห้องออกเป็นสามส่วน ตรงส่วนที่ฮาธอสยืนอยู่นี้ดูเหมือนจะเป็นห้องโถงรับรองแขก เพราะมีชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับรับแขกตั้งอยู่ด้วย และเพราะเห็นแสงไฟจากร่องผ้าม่านทางฝั่งขวา เขาจึงลองเสี่ยงเข้าไปดูในนั้น

“ขออภัยขอรับ”

กล่าวพลางเปิดม่านออก พบว่าข้างหลังนั้นเป็นส่วนของห้องนอน มีเตียงหลังสี่เสาหลังใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง สภาพโดยรวมรกไปด้วยหนังสือและเอกสารต่าง ๆ ที่ถูกนำมากองกระจายไปทั่ว ขวามือของเขาเป็นโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ถัดไปติดผนังมีฉากตั้งขวางประตูบานคู่ที่เชื่อมไปที่ไหนสักแห่ง มีเสื้อผ้าอาภรณ์พาดอยู่สองสามชิ้น พอหันไปทางซ้ายเขาก็พบมหาเทพสงครามนอนอยู่เก้าอี้ยาว ตอนนี้มหาเทพสงครามกลับมาอยู่ในร่างปกติเรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะเตี้ยข้างตัวมีหนังสือ เอกสาร ตลอดจนถึงแผนที่สวรรค์กางทิ้งไว้เต็มไปหมด ตรงริมมีม้วนเอกสารผูกเชือกทองวางทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี

นั่นมัน...โองการจากท่านจ้าวนี่นา... ฮาธอสคิดพร้อมสายตาที่เหลือบไปเห็นบันทึกอีกเล่มที่ปลายโต๊ะอีกด้าน มันกำลังแสดงภาพสวรรค์ในส่วนต่าง ๆ ซึ่งบางจุดเทพคนสวนหนุ่มก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างสูงโปร่งขยับไปดูใกล้ ๆ พอดีกับตัวอักษรสามมิติวิ่งขึ้นมา แม้จะแค่ไม่กี่ข้อความ แต่ก็ทำให้เขาตัดสินใจปิดบันทึกเล่มนั้นเสีย แล้วพบว่าหน้าปกของมันเป็นสีดำ เขาคงต้องรีบลืมเนื้อหาที่เห็นไปให้เร็วที่สุดเสียแล้ว

ถึงตอนนี้สายตาก็วกกลับไปหาคนที่นอนอยู่ ซึ่งเขาเห็นความอ่อนล้าบนใบหน้าคร้ามเข้มนั้นอย่างชัดเจน เทพหนุ่มจึงวางรายงานในมือลงบนโต๊ะก่อนแล้วอ้อมไปเพื่อช่วยคลายชุดกับถอดร้องเท้าให้อีกฝ่ายได้พักสบาย ๆ

แต่วินาทีที่มือของเขาสัมผัสกับชุดของไคซัส จู่ ๆ มือของคนที่ควรจะหลับสนิทก็พุ่งขึ้นมาคว้ามือฮาธอสกระชากลงไปกองบนลำตัวหนาของคนที่นอนอยู่ เทพคนสวนยันตัวออกตามสัญชาตญาณ ทว่าต้องนิ่งแทบจะทันทีที่รู้สึกถึงบางสิ่งที่เย็นเฉียบใกล้เส้นเลือดใหญ่ที่คอของเขา

“ใคร” เสียงเหี้ยมเกรียมดึงสายตาของเขาไปมองคนเบื้องล่าง ดวงตาสีส้มสว่างอยู่ใกล้แค่คืบจับจ้องมาอย่างกินเลือดกินเนื้อ

“ขอประทานโทษอย่างยิ่งขอรับ” ฮาธอสพยายามคุมเสียงให้นิ่งที่สุด กระนั้นปลายเสียงก็ยังสั่นอยู่ดี “ข้าน้อย ‘ฮาธอส’ นำรายนามของเทพรับใช้จากซิมโฟเนียอาเรียกับรายงานการแบ่งงานของพวกเขามาให้ขอรับ”

ความตึงเครียดพลันหายไปจากสายตาของคนตรงหน้า ใบหน้าดุดันเอนลงไปอิงหมอนอิงตามเดิม ของเย็น ๆ ที่แนบคออยู่หายไปแล้วมีเสียงเคร้งเบา ๆ ดังขึ้น พอมองตามไปก็พบมีดสั้นเล่มเล็กตกบนพื้น ฮาธอสถึงกับกลืนน้ำลายฝืดคอ

“ขอโทษที ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้กลัว แต่สัญชาตญาณมันพาไปน่ะ” ไคซัสพูด น้ำเสียงมีรอยเหนื่อยอ่อน

“มิได้ขอรับ เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ได้บอกก่อนจะแตะตัวท่าน” อาธอสพูดหลบสายตา เริ่มรู้สึกหวิวแปลก ๆ ในอก หลังลมหายใจร้อนผ่าวของอีกฝ่ายรดรินผิวคอของเขา “ว่าแต่ท่านมีเรื่องยุ่งยากใจอันใดหรือขอรับ ถึงได้ดูเหนื่อยขนาดนี้”

ไคซัสหายใจแรงอีกครั้ง ความร้อนของมันทำให้คนที่ได้สัมผัสหวามหวิว แปลกจริง เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนนี่นา ไฉนถึงเกิดกับมหาเทพสงครามผู้นี้ได้

“ข้าไม่ได้เหนื่อยกายหรอก แต่เหนื่อยใจมากกว่า” เขาเริ่มบ่น “ใครว่าสวรรค์มีแต่ความสงบสุข ข้าขอค้านเลย ตั้งแต่ขึ้นมาจนแต่เรื่องน่าปวดหัวทั้งนั้น ข้ากำลังเตรียมตัวรบกับแปดจอมปราชญ์กับขุนนางทั้งสภา ฟาเบียนดันโยนปัญหาก้อนโตมาใส่ซะนี่ บ้าที่สุด”

“หมายถึงโองการที่วางอยู่ตรงนั้นสินะขอรับ” ฮาธอสขยับตัวลงไปนั่งคุกเข่าข้างล่าง แต่มือของเขายังอยู่ในการเกาะกุมของไคซัส “ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไรหรือขอรับ ไม่ทราบว่าข้าจะช่วยเหลือได้หรือไม่”

มหาเทพสงครามเอาแขนก่ายหน้าผาก ท่าทางจะลืมไปแล้วว่ากำลังจับมือของใครบางคนไว้ด้วย “ข้าไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เจ้าลองอ่านดูสิ”

ฮาธอสทำท่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ความกระหายใคร่รู้ก็มีชัยเหนือเขา เทพคนสวนหยิบม้วนโองการฉบับนั้นมาดูพร้อมดึงมือของตัวเองคืนจากไคซัสด้วย

ตอนแรกมหาเทพอสูรก็ยื้อไว้ ทว่าฮาธอสก็ดึงดันจะเอามือคืนให้ได้ เขาจึงต้องปล่อยไปด้วยความเสียดายท่วมท้นหัวอก ให้ตายเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับเขากันนี่ แค่เทพรับใช้คนนี้พูดว่าจะช่วยเหลือ ความกังวลใจของเขาก็มลายหายไปราวกับได้รับการปัดเป่า แถมแค่จับมืออีกฝ่ายไว้ก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก รูปโฉมนั้นก็งดงามจับตาของเขาเป็นยิ่งนัก ชักอยากจะได้มาอยู่ข้างกายจริง ๆ เสียแล้ว

“เอ๋! ท่านจ้าวเอาจริงหรือนี่” ฮาธอสร้องหลังอ่านโองการจบ ใบหน้าคมผินมาหาไคซัสทันใด “เรื่องให้ท่านเป็นเจ้าภาพการประลอง”

เทพอสูรพยักหน้า “ถ้าไม่เอาจริง ข้าคงไม่ได้โองการมาหรอก” เขาบ่นแบบค่อนจะมีอารมณ์ “แล้วข้าควรจะทำอย่างไร เรื่องนี้ใช้วิธีการของพวกอสูรไม่ได้นะ”

“แล้วชาวอสูรทำอย่างไรหรือขอรับ” ฮาธอสถามพาซื่อ

“เราจะใช้วิธีให้คนเก่งที่สุดประกาศหาคู่ประลอง ชาวอสูรกระหายการต่อสู้อยู่แล้ว แปบเดียวก็มาเต็มไปหมด” ไคซัสตอบหน้าตาย คู่สนทนาหัวเราะชอบใจเบา ๆ ร่างสูงใหญ่ขยับพลิกมามองเขา “บอกข้าหน่อยสิ ชาวสวรรค์ทำกันอย่างไร”

“ชาวสวรรค์ชื่นชอบพิธีรีตองขอรับ เพราะมันทำให้ดูยิ่งใหญ่และเป็นหน้าเป็นตาของผู้จัดงาน ก่อนจัดงานจะมีการดูฤกษ์งามยามดีก่อนเสมอ เมื่อกำหนดวันได้แล้วก็กำหนดสถานที่จัดงานต่อ ส่วนใหญ่จะจัดขึ้นที่กองบัญชาการกองทัพสวรรค์นั่นแหละขอรับ จากนั้นก็ส่งเทียบเชิญไปยังตำหนักต่าง ๆ เพื่อสอบถามความพร้อมและส่งรายชื่อผู้เข้าประลองมาในวันที่กำหนด สุดท้ายฝ่ายเจ้าภาพจะเป็นผู้จัดสายผู้เข้าประลอง โดยให้ผู้ชนะเลิศในครั้งก่อนอยู่ในตำแหน่งสูงสุด และมีการให้รางวัลอย่างงามเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ชนะด้วย”

ในขณะที่ฮาธอสให้คำแนะนำ ไคซัสก็มองใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง ริมฝีปากเป็นกระจับสวยที่สานทอคำพูดนั้นจุดประกายความปรารถนาบางอย่างให้ก่อเกิดขึ้นในใจเขา ทว่าเทพอสูรหนุ่มก็ต้องยับยั้งจิตใจไว้

“เข้าใจล่ะ ฟังดูเหมือนง่าย แต่ก็ยุ่งยากไม่น้อย อีกไม่ถึงสองเดือนฤดูใบไม้ผลิก็จะมาถึงแล้วด้วย แทบไม่มีเวลาให้เตรียมการเลย” ไคซัสทำหน้าครุ่นคิด “ถ้าใช้ที่นี่ล่ะ เจ้าจะคิดว่ายังไง สวรรค์เพิ่งผ่านสงครามใหญ่มาได้ไม่นาน หลายวิมานยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จะจัดงานเอิกเกริกก็ใช่ที่ แต่ถ้าจัดในรูปของงานรำลึก ให้ผู้เข้าประลองแสดงความสามารถแทนการชิงชัยเอารางวัลล่ะ แน่นอนว่ายังจะมีการตบรางวัลเหมือนเดิม”

เทพหนุ่มใช้เวลาคิดตามสักครู่แล้วก็ยิ้มกว้าง “ข้าเห็นด้วยขอรับ แต่หลังจากประลองเสร็จแล้ว ข้าอยากให้มีงานเลี้ยงแบบงานใหญ่ เพื่อว่าทุกคนจะได้รู้สึกว่าชีวิตอันสดใสกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”

“...เป็นความคิดที่ดี” มหาเทพสงครามเห็นด้วย แต่สีหน้ายังครุ่นคิดไม่เปลี่ยน “แต่ข้าไม่มั่นใจเลยว่าจะทำได้แค่ไหน เรื่องหาฤกษ์ข้าทำเองได้ แต่ในส่วนของงานเลี้ยงและอื่น ๆ ข้าไม่ถนัด...” พูดพลางถอนใจฉุนเฉียว “ฟาเบียนเอ๊ย! เอาปัญหาหนักอกมาให้ข้าเสียดาย อยากเห็นข้าอับอายต่อหน้าประชาชีหรือยังไงกัน!”

ฮาธอสจ้องมองคนบ่นอย่างอึ้ง ๆ สีหน้าของเขาตอนนี้แทบไม่เหมือนมหาเทพสงครามที่คนทั้งสวรรค์กลัวนักหนา ทั้งน้ำเสียงกับแววตาดูหนักอกหนักใจไปหมด...จนเขาอดหัวเราะไม่ได้ คนกำลังกลุ้มได้ยินเข้าก็หน้าบึ้ง

“ขำอะไรของเจ้า”

“อ๊ะ! ข้ากำลังคิดว่าคนขึงขังน่าเกรงขามอย่างท่าน ไม่น่าจะบ่นเก่งได้เลยขอรับ” คนฟังอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เทพหนุ่มจึงรู้ตัวว่าหลุดปากพูดอะไรออกไปรีบก้มหัวขอขมา “ขอประทานโทษอย่างสูงขอรับ ข้าเผลอตัวหลบหลู่ท่านมหาเทพสงครามเสียแล้ว โปรดลงโทษข้าด้วยเถิด”

แต่แทนที่ไคซัสจะโกรธ เขากลับระเบิดเสียงหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ข้าเพิ่งเคยเจอเทพรับใช้ที่กล้าพูดความจริงก็วันนี้แหละ” ลุกขึ้นตบบ่าฮาธอสป้าบ ๆ เทพหนุ่มทำเอาหน้าเหยเกด้วยความเจ็บจนหลังแทบหัก “ข้าถูกใจเจ้ามาจริง ๆ นะ ฮาธอส สนใจย้ายมาประจำที่นี่ถาวรไหม อย่างน้อยก็อยู่จนกว่าข้าจะออกจากตำแหน่งก็ได้!”

ฮาธอสกุมบ่าพูดเสียงอ่อย “ขอบพระคุณในความเมตตาอย่างสูง แต่ข้าเป็นบ่าวที่จอมเทพีเรเทเชียเมตตาให้การชุบเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย ข้าจึงตั้งใจจะรับใช้จอมเทพีจนถึงที่สุดขอรับ”

หาได้ยากนัก... ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในหัวของไคซัสอย่างชื่นชม ความกตัญญูและซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในวงสังคมอสูร หรือแม้แต่สังคมของเทพด้วยกันเอง ฉะนั้นเทพอสูรหนุ่มจึงชื่นชมในตัวฮาธอสมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ลึกลงไปในใจของเขานั้นบางสิ่งบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นช้า ๆ

ทางด้านฮาธอสนั้นเล่า เขาสบสายตาเทพอสูรนิ่ง ยามนี้ดวงตาสีส้มคู่นั้นไม่มีประกายเกล็ดให้เห็นอีกแล้ว แต่มันยังคงเปี่ยมแรงดึงดูดมหาศาลจนเขาไม่สามารถละไปได้อีกเช่นเคน ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายมองเขาด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมา ความรู้สึกประหลาดในหัวใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นนับเท่าพันทวี เขามีชีวิตอยู่ในภพนี้ยาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษยังไม่เคยพบใครที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกได้ขนาดนี้มาก่อน

ทั้งสองฝ่ายต่างสบสายตาของกันและกันอยู่นาน มือใหญ่ของคนที่นั่งบนโซฟายื่นออกไปเพื่อทำอะไรสักอย่างกับคนตรงหน้า แต่แล้วก็ต้องชักมือกลับไปเมื่อนางอัปสรผมสีเงินยวงถือชุดชาเข้ามาพอดี

“อุ๊ย! ขออภัยเจ้าค่ะ ข้ายกน้ำชามาให้เจ้าค่ะ” นาซิลลาพูดอย่างตกใจ

“ไม่เป็นไร เอาเข้ามา คราวหน้าคราวหลังเวลาจะเข้าห้องใครหัดเคาะประตูก่อนนะ” ไคซัสสอนสั่ง

“จะ...เจ้าค่ะ” นาซิลลารับคำพลางนำชุดน้ำชามาวางตรงที่ว่างบนโต๊ะ ซึ่งนางอาศัยช่วงเวลานั้นส่งสายตาค้อนใส่ฮาธอสอย่างไม่มีเหตุผล แม้ระมัดระวังกิริยาแล้วหากเทพอสูรก็เห็นอยู่ดี หลังจัดชุดชาเสร็จแล้วก็ถอยไปเล็กน้อย “ข้าน้อยขอเรียนถาม ไม่ทราบว่ามหาเทพสงครามจะให้จัดสำรับเย็นที่ไหนเจ้าคะ”

“ที่นี่” ไคซัสตอบทันที เลือกที่จะเก็บความคิดเกี่ยวกับเด็กคนนี้ไว้ในใจ “ข้ายังมีเรื่องต้องคุยกับฮาธอสอีกนิดหน่อย เจ้าออกไปก่อน”

นาซิลลาทำท่าอิดออด อยากจะอยู่กับฮาธอส เทพคนสวนจึงส่งสายตาเฉียบขาดมาให้พร้อมผงกหัวไล่เงียบ ๆ เด็กสาวทำหน้าตูมแล้วเดินออกไปแบบปิดอาการกระฟัดกระเฟียดไม่อยู่ ชายหนุ่มผมทองรอจนได้ยินเสียงปิดประตูดังปังก่อนค่อยหันมาขอขมาเจ้านายคนใหม่

“ต้องขอประทานโทษกับการเสียมารยาทของนาซิลลาด้วยอย่างสูง ข้าอบรมนางไม่ดีพอเองขอรับ”

“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก นางเป็นเทพจันทรา หากว่ากันตามศักดิ์แล้วนางมีฐานะสูกว่าเทพคนสวนอย่างเจ้าสองขั้น จะสอนสั่งอะไรก็ลำบาก ถูกไหม”

ฮาธอสรู้สึกยินดีที่อีกฝ่ายเข้าใจสถานภาพของเขา แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบใจเลยที่อารมณ์อันหลากหลายหายไปจากสีหน้าของไคซัส ทั้งที่การแสดงความรู้สึกของมหาเทพสงครามน่าดูขนาดนั้นแท้ ๆ

“ว่าแต่ว่าทำไมเทพจันทราถึงไปอยู่ที่ตำหนักซิมโฟเนียอาเรียได้ล่ะ ปกติตำหนักนี้จะหวงคนมากนี่”

“เอ่อ...นาซิลลามีความสามารถด้านร่ายรำขอรับ หัวหน้านางกำนัลของตำหนักโน้นก็เลยส่งมาอยู่กับจอมเทพีเรเทเชีย แต่นางดื้อจะย้ายมาที่นี่ให้ได้ก็เลย...” ฮาธอสตอบ ดวงตาหลุกหลิกไปมากลบอาการตกใจไม่มิด

“อืม เข้าใจล่ะ แต่ต่อไปนี้ข้าอนุญาตให้เจ้ากับอัลวินเข้ามาในห้องนี้ได้แค่สองคนเท่านั้น คนอื่นหากข้าไม่ได้สั่ง ห้ามเด็ดขาด บอกให้คนอื่นๆ รู้เรื่องนี้ไว้ด้วย” ไคซัสออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด

“ทราบแล้วขอรับ” ฮาธอสรับรู้ว่าตัวเองต่อต้านอำนาจของอีกฝ่ายไม่ได้จึงก้มหน้ารับ ก่อนนึกอะไรขึ้นได้จึงหยิบรายงานที่นำมาส่งให้มหาเทพอสูร “รายงานที่ท่านขอไว้ขอรับ ข้าทำเสร็จแล้ว ไม่ทราบว่ามีงานอื่นให้ทำอีกไหมขอรับ”

เทพอสูรหนุ่มทำท่าคิด “...มาช่วยข้าเตรียมงานประลองก็แล้วกัน ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องสวรรค์ ถ้าได้คนที่รู้ธรรมเนียมอย่างเจ้ามาช่วยคงเบาแรงไปได้มาก” เขาว่า หัวสมองของเขาทำงานรวดเร็ว “สถานที่การประลอง ข้าจะใช้ที่นี่รวมถึงงานเลี้ยงด้วย ส่วนวันข้าจะใช้วันที่ดอกซากุระสวรรค์บานเป็นวันประลอง เพราะตามฤกษ์ยามวันนั้นจะเป็นวันที่ดีที่สุดสำหรับสองเดือนข้างหน้า”

“เอ๋! ท่านเลือกโดยไม่ดูปฏิทินก่อนเลยหรือขอรับ” ฮาธอสร้องถามอย่างอัศจรรย์ใจ

“อา...มารดาของเขาเชี่ยวชาญด้านการทำนายเป็นพิเศษ นางให้ข้าท่องจำปฏิทินหมื่นปีของสามโลกมาตั้งแต่เด็ก ๆ และข้าเองก็ชอบศึกษาเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ฉะนั้นการหาวันดีไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า” ไคซัสตอบ เสียงราบเรียบ ไม่ได้รู้สึกว่าความสามารถของตัวเองพิเศษอะไร “แต่ก่อนอื่นข้าอยากได้ขั้นตอนการจัดงานโดยละเอียด เจ้าช่วยเขียนมาให้ข้าภายในวันพรุ่งนี้ เพื่อวันมะรืนนี้จะได้เริ่มต้นเตรียมงานกันเลย เรื่องของฝ่ายทหารข้าจะให้อัลวินช่วยประสานงานด้วยอีกแรงหนึ่ง ถ้าคนไม่พอ เราค่อยขอมาเพิ่ม ตกลงไหม”

“ขอรับ” เทพคนสวนรับคำอย่างแข็งขัน นึกเสียดายที่ทำให้สีหน้าของไคซัสแสดงอารมณ์ใด ๆ มิได้อีก

“จริงสิ เกือบลืมไปเลย ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่า ‘มหาเทพไคซัส’ ก็แล้วกัน เรียกตำแหน่งมันดูเหินห่างเกินไป” ไคซัสบอกแล้วรีบเสริมเมื่อเทพคนสวนตั้งท่าจะเถียง “ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น นี่เป็นคำสั่ง แล้ววันนี้ก็พอเท่านี้ เจ้ากลับไปได้แล้ว ให้อัลวินเป็นคนยกสำรับเข้ามา”

สั่งเสร็จร่างสูงก็เอนตัวลงนอนที่เดิม เอารายงานของเทพหนุ่มวางบนหน้าอกของตัวเองเผื่อจะได้อ่านหลังจากนี้ ฮาธอสยืนขึ้นช้า ๆ สายตายังจับจ้องอยู่ที่ไคซัส เขาอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อคนตรงหน้า ทว่าติดกำแพงที่อีกฝ่ายสร้างมาขวางไว้ตั้งแต่เมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกจึงค้อมศีรษะแล้วถอยหลังจากไปเงียบ ๆ

ครั้นสัมผัสได้ว่าตัวของฮาธอสลงจากชั้นสามไปแล้ว ไคซัสก็ดีดนิ้วให้ชวาลาที่แขวนอยู่เหนือศีรษะพอดีสว่างไสว จากนั้นก็หยิบรายงานที่ฮาธอสให้ไว้ขึ้นมาอ่าน ดวงตาสีส้มกวาดตามรายชื่อมาจนถึงนามของนาซิลลา

เทพอสูรหนุ่มจ้องมองนามนี้อยู่นานก่อนจะลุกมาเปิดบันทึกปกดำยังหน้าที่ตัวเองต้องการ เขาวางมือบนนั้น บริกรรมคาถาบนหนึ่ง ภาพกลุ่มเมฆสีรุ้งลอยอ้อยอิ่งรอบวิหารทรงโรมันในยามราตรีก็ปรากฏขึ้น มีข้อความสั้น ๆ วิ่งขึ้นมาเล่าเรื่องราวของมันให้อ่าน ทำให้เขาทราบวันเดือนปีที่เกิดเหตุการณ์นี้ และเมื่อเขาพลิกกระดาษไปอีกหน้า ภาพนางอัปสรผมสีเงินยวงผู้นั้นก็ลอยขึ้นมา ไคซัสพินิจใบหน้านั้นนิ่งก่อนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เสียงทุ้มต่ำพึมทำกลางความเงียบ

“มีตัวปัญหามาอยู่ที่นี่จนได้ ชักจะวุ่นวายเกินไปแล้วนะ”

---------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 4 up 24/08/13
« ตอบ #19 เมื่อ: 25-08-2013 17:07:43 »





Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 4 up 24/08/13
«ตอบ #20 เมื่อ25-08-2013 17:09:40 »

- 75% -

เด็กสาวที่ถูกเรียกว่า ‘ตัวปัญหา’ ย่องลงบันไดของอาคารที่พักมาอย่างระมัดระวัง ตอนนี้ค่อนข้างดึกแล้ว ห้องส่วนใหญ่ก็ปิดไฟกันหมดแล้วด้วย เหลือเพียงอัจกลับที่แขวนไว้บนเพดานโถงทางเดินแต่ละชั้น นาซิลลาสวมชุดนอนสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมยาวสีเบจชะเง้อคอดูแถวทหารยามเดินผ่านไปแล้วก็ยืนตัวตรงไปยังห้องของฮาธอสอย่างสง่างาม มือบางเคาะประตูอย่างมีมารยาท

“เข้ามาได้”

สิ้นเสียงอนุญาต ร่างบางก็เปิดประตูแล้วเข้าไปในห้อง พบว่าฮาธอสกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งตั้งตรงกับช่องประตูพอดี เขาเงยหน้ามามองเธอด้วยความแปลกใจ

“ยังไม่นอนอีกหรือ นาซิลลา” น้ำเสียงทุ้มนุ่มถามอย่างมีเมตตา ทำให้อัปสรน้อยมีความสุขยิ่งนัก “วันนี้ทำงานเหนื่อยมากไหม”

“เหนื่อยมากสิ ต้องปัดกวาดนั่นนี่ ข้าเคยทำซะเมื่อไหร่” นาซิลลาหน้างอ แต่เพราะอีกฝ่ายแสดงความเป็นห่วง เธอจึงไม่บ่นไปมากกว่านี้ “แล้วฮาธอสล่ะ ดึกป่านนี้แล้วยังทำงานอยู่อีกเหรอ”

“อ๋อ ข้ากำลังเขียนขั้นตอนการจัดงานประลองรับฤดูใบไม้ผลิให้มหาเทพไคซัสน่ะ” เทพคนสวนตอบด้วยรอยยิ้ม มือปิดหนังสืออ้างอิงที่ขอยืมมาจากห้องสมุดข้ารับใช้ของที่นี่ไปด้วย

ได้ยินชื่อมหาเทพจ้าวตำหนักเข้า เด็กสาวก็หน้างอ “องค์เหนือหัวคิดอะไรเนี่ย งานประลองรับฤดูใบไม้ผลิถือเป็นงานสำคัญมากเลยนะ เหล่านักรบสวรรค์ต่างก็รองานนี้อย่างใจจดใจจ่อกลับให้อสูรจัด ใครจะมากัน”

“มหาเทพไคซัสก็ไม่ได้เป็นเจ้าภาพนักหรอก เขาเข้าใจดีว่าชาวสวรรค์ไม่ค่อนชอบเขา แต่ท่านจ้าวมีโองการลงมาแล้ว ขัดมิได้” ฮาธอสชี้ประเด็นสำคัญ

นาซิลลายิ่งหน้าง้ำงอกว่าเดิม “ข้าไม่รู้แหละ แต่ขอทำนายเลยว่าไม่มีใครมาหรอก!”

“นาซิลลา” เทพคนสวนเอ่ยชื่ออีกฝ่ายเสียงอ่อน พอเป็นเรื่องของคนที่ไม่ชอบ เด็กสาวมักแสดงท่าทีเช่นนี้เสมอ “เอาเป็นว่าเราเลิกพูดเรื่องมหาเทพไคซัสก็แล้วกัน เจ้ามาที่นี่ทำไม” แตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง เนื่องจากขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว

อัปสรน้อยทำท่าลังเล “คืนนี้...ข้าขอนอนด้วยได้ไหม ข้าไม่ชินที่แล้วก็...ไม่อยากฝันร้ายด้วย” นัยน์ตาสีเงินคู่สวยช้อนมองชายหนุ่มอย่างเว้าวอน

“ไม่ได้หรอก” ฮาธอสปฏิเสธ สีหน้าลำบากใจ

“ทำไมล่ะ!” นาซิลลาถามเสียงดัง

“เจ้าเป็นหญิง ข้าเป็นชาย จะมาอยู่ร่วมห้อง นอนร่วมเตียงกันได้อย่างไร” เทพคนสวนไม่พูดเปล่า แต่ยังลุกขึ้นดันตัวเด็กสาวออกจากห้องอย่างรวดเร็ว “รีบกลับห้อง อาบน้ำนอนซะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาประชุม”

ขาดคำ ตัวของนาซิลลาข้ามพันธรณีประตูราวกับถูกโยนออกมา เธอรีบหันหลังเพื่อจะคุยกับสหาย แต่ชายหนุ่มก็ปิดประตูใส่หน้าแบบไม่เกรงใจสักนิด เด็กสาวทุบอกตัวเองด้วยความโกรธและไม่อยากเชื่อ ก่อนวิ่งกลับห้องซึ่งอยู่เหนือห้องของฮาธอสพอดี เธอเปิดปิดประตูดังโครมครามแล้วไปทิ้งตัวบนเตียง มือคว้าหมอนมาทุบตีอย่างโมโห จินตนาการว่ามันเป็นชายหนุ่มที่คุยด้วยเมื่อกี้

“บ้า ๆ ฮาธอสบ้าที่สุด!!” บริภาษพร้อมฟาดเหยื่อไส้ขนเป็ดกับฟูกดังป้าบใหญ่ “คนเขาอุตส่าห์ทำขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจความรู้สึกกันอีก! โธ่...”

หลายปีมาแล้วที่นาซิลลาแอบชอบฮาธอสมากกว่าความเป็นเพื่อน เธอกับเขาพบกันครั้งแรกเมื่อเจ็ดปีก่อนตอนที่ถูกย้ายไปอยู่ซิมโฟเนียอาเรีย เธอที่ยังไม่รู้จักธรรมเนียมและคนในตำหนักก็ได้ฮาธอสนี่เองที่คอยช่วยเหลือ เขาแนะนำนางกำนัลรุ่นพี่ที่ใจดีให้หลายคน แต่ที่ทำให้เธอปลื้มใจที่สุดคือ เขาช่วยฝากฝังเธอกับเอเชียจนกระทั่งได้บรรจุเป็นนางกำนัลในสังกัดจอมเทพีเรเทเชียด้วยอีกตนหนึ่ง ทุกครั้งที่เธอเกิดปัญหาก็มักจะได้รับความช่วยเหลือจากเขาก่อนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีเขาคอยอยู่เคียงข้าง เด็กสาวจึงตกหลุมรักเขาเต็มเปา

กระนั้นนาซิลลาก็รู้ดีว่าเทพหนุ่มแบ่งปันน้ำใจของตนให้แก่ผู้อื่นโดยไม่มีความหมายแอบแฝง อัปสรน้อยจึงเก็บงำความรู้สึกของตัวเองไว้มาโดยตลอด จนเมื่อไม่นานมานี้เธอเริ่มคิดว่าการแสดงความรู้สึกออกไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร และยิ่งอยากแสดงออกมากขึ้นหลังได้เห็นฮาธอสอยู่กับไคซัสแค่สองคนในสวนเมื่อวันก่อน แต่เทพคนสวนหนุ่มกลับไม่เคยเห็นความรู้สึกของเธอเลย!

“ฮาธอสนะฮาธอส ฉลาดเสียเปล่า แค่นี้ยังไม่เข้าใจกันอีก!” บ่นไปก็ฟาดหมอนกับเตียงไปอีกหลายครั้ง กระทั่งสาแก่ใจแล้วก็ล้มตัวลงนอนกอดหมอนฮึดฮัด “คอยดูเถอะ ไม่ว่ายังไงก็จะทำให้เจ้ายอมรับความรู้สึกของข้าให้ได้!”

ปฏิญาณด้วยความมุ่งมั่นแล้วเธอก็หลับตาลง การทำงานในวันนี้ทำให้อัปสรสาวเหนื่อยมากจริง ๆ หลักฐานคือเธอเข้าสู่ห้วงนิทราภายในไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซึ่งหากไม่มีสิ่งใดรบกวนเธอคงจะหลับสนิทจนถึงเช้า

แต่แล้วนาซิลลาก็พบตัวเองอยู่ในโลกแห่งรัตติกาล เด็กสาวจดจำที่นี่ได้ดี เพราะเคยฝันถึงมาแล้วหลายครั้ง ความกลัวแล่นปราดขึ้นมาตามสันหลังทำให้ขนทั่วร่างลุกเกลียว อัปสรน้อยรีบมองหาทางหนีไปจากที่นี่ทันที

‘นาซิลลา’

เสียงเรียกดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ร่างบางพยายามมองหาแล้วก็ต้องผวา เมื่อจู่ ๆ ร่างสีดำที่มีรัศมีสีขาวก้าวออกมาจากความมืดในระยะประชิด เด็กสาวถอยกรูดด้วยความกลัวสุดขีด แต่อีกฝ่ายคว้าแขนเธอได้ก่อน

‘กรี๊ด! ปล่อยข้านะ’

‘เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก นาซิลลา เจ้าคือคนที่ข้าตามหา หากเจ้ายอมเป็นของข้า ข้าจะมอบทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา’ เจ้าของร่างนั้นพูดด้วยเสียงสะท้อนไปมาจนฟังไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง

‘ไม่เอานะ ข้าไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น ปล่อยข้า!’ เธอกรีดร้องสุดเสียง ดิ้นรนให้หลุดจากอุ้งมือนั้น น้ำตาเอ่อคลอ ‘เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่ ทำไมต้องทำให้ข้าฝันแบบนี้ด้วย’

‘เพราะมีแต่เจ้าที่สื่อกับข้าได้ มาเถอะ นาซิลลา ทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนาจะเป็นของเจ้า’ เจ้าตัวสีดำโบกมือ ทรัพย์สินเงินทอง แพรพรรณล้ำค่า เครื่องประดับหรูหราพลันปรากฏล้อมรอบทั้งสอง ‘ถ้าเจ้ายอมเป็นร่างให้ข้า ของเล่านี้จะเป็นของเจ้า’

‘ไม่!!’ เด็กสาวยังคงปฏิเสธสุดเสียง ความกลัวพุ่งถึงขีดสุด ‘ของพวกนี้ข้าไม่ต้องการ ข้าต้องการให้เจ้าไปจากข้าซะ อย่ามายุ่งกับข้า หายไปจากชีวิตของข้าซะ!!’

นาซิลลารวบรวมกำลังสะบัดแขนจนหลุดจากการเกาะกุม จากนั้นร่างบางก็รีบวิ่งหนีมาให้เร็วที่สุด ทิ้งร่างนั้นไว้ไม่ยอมหันกลับไปมองอีกเลย เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน คิดแต่เพียงว่าต้องไปให้ไกลที่สุดเท่านั้น พร้อมกับภาวนาให้ตัวเองตื่นจากความฝันนี้โดยเร็ว เธอไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว

เบื้องหลัง ร่างนั้นดูร่างเทพจันทราที่กำลังวิ่งหนีไปด้วยความผิดหวังที่สุด ความมืดในตัวขยายออกมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นรยางค์สีนิลมากมายเคลื่อนไหวไปมาอย่างน่าสยองขวัญ

‘เสียใจด้วย ข้ายอมให้เจ้าหนีไปไม่ได้!’

รยางค์สีดำพุ่งตรงไปหานาซิลลาด้วยความรวดเร็ว เด็กสาวคงรู้สึกตัวถึงได้พยายามเร่งฝีเท้าหนีสุดชีวิต แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น สายความมืดเส้นหนึ่งคว้าข้อเท้าข้างหนึ่งข้างเธอได้ ส่งผลให้ร่างบางล้มกระแทกพื้นอย่างแรง ก่อนมันลากตัวเธอขึ้นกลางอากาศ จากนั้นรยางค์ทั้งหมดก็ทิ่มแทงตัวเธอพร้อมกัน

---------------

“กรี๊ด! กรี๊ด ๆ ๆ ๆ!!!”

เด็กสาวผมสีเงินลุกพรวดขึ้นกรีดร้อง ไฟทุกดวงในห้องสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ ขณะเทพจันทราน้อยวิ่งหนีไปหลบตรงห้องใกล้ ๆ ตามองซ้ายขวาด้วยความตื่นกลัวสุดขีด น้ำตาไหลนองหน้าไปหมด อึดใจต่อมาประตูห้องก็เปิดออกพร้อมนางกำนัลจำนวนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาหาอย่างตกใจไม่แพ้กัน หนึ่งในนั้นพยายามจะเข้ามาปลอบ แต่นาซิลลาก็ตกใจกลัวเกินกว่าจะเข้าใจความหวังดีของอีกฝ่าย

“อย่าเข้ามา! อย่าเข้ามานะ!!” นาซิลลาคลานหนีไปซุกอีกมุมราวกับลูกหนี ร้องไห้ฟูมฟายอย่างน่าสงสาร

“ขอโทษช่วยหลบหน่อย” ฮาธอสมาถึงในจังหวะนั้นพอดี ร่างสูงโปร่งแทรกตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว เทพหนุ่มถึงกับตกใจเมื่อเห็นสภาพของเด็กสาว “เป็นอะไรไป นาซิลลา ข้าได้ยินเสียงเจ้าร้อง”

ไม่น่าเชื่อว่าเสียงของเขาจะทำให้เด็กสาวรู้สึกตัวขึ้นมาได้ ร่างบางโผเข้ากอดชายหนุ่มที่วิ่งมาหาแน่น เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอย่างยิ่งยวด

“ข้าฝัน...ข้าฝันอีกแล้ว ฮาธอส” เธอคร่ำครวญแทบไม่เป็นคำ แต่ยังบอกได้ว่าพูดอะไรนะ

“อะไรนะ!” ฮาธอสตกใจกับสิ่งที่ได้ยินอย่างยิ่ง แต่ก็ยังมองโลกในแง่ดี “ไม่เป็นไร มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น ทำอันตรายเจ้าไม่ได้หรอก อย่ากลัวไปเลย”

“แต่คราวนี้มันจะฆ่าข้าด้วยนะ” นาซิลลาเงยหน้ามาเถียง ก่อนซุกตัวกอดเขาแน่นด้วยความกลัวสุดหัวใจ “เจ้าของเสียงเดินออกมาจากความมืด ตัวเปล่งแสงสีขาวออกมาด้วย มันจะให้ของมีค่ากับข้า ถ้าข้ายอมเป็นของมัน พอข้าบอกว่าไม่เอาแล้ววิ่งหนีมัน มันก็ใช้รยางค์จับข้าไว้แล้วแทงข้าทั้งตัว”

รายละเอียดของความฝันสร้างความวิตกให้กับฮาธอสกับคนอื่น ๆ อย่างมาก ดูเหมือนว่าสิ่งที่เผชิญนั้นจะไม่ใช่ความฝันธรรมดาเสียแล้ว แต่อาจเป็นนิมิตที่ใครบางคนเจาะทำให้เกิดขึ้นเพื่อดึงตัวเด็กสาวไปใช้งาน

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเห็นหน้าของคนคนนั้นไหม” ฮาธอสเสี่ยงถาม

นาซิลลาส่ายศีรษะ “ข้าไม่เห็น...ฮาธอส ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากฝันแบบนี้อีกแล้ว ได้โปรด” เธอกอดเทพหนุ่มแน่นราวกับจะฝากฝังชีวิตไว้กับเขา

เทพคนสวนมีสีหน้าลำบากใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วยเหลือเธอ แต่ชายหนุ่มไม่รู้จะช่วยเธออย่างไรดีต่างหาก ฮาธอสไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้นตอที่ทำให้เกิดความฝันมาจากไหน และสื่อถึงตัวเธอได้อย่างไร หากว่ารู้คงจัดการได้ไม่ยากนัก แต่ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น ร่างสูงโปร่งก็เหลือบตามองไปทางหน้าต่างที่ปิดไว้ แววสงสัยฉายในแววตาของเขาวูบหนึ่ง

“เกิดอะไรขึ้นหรือ”

จู่ ๆ เสียงของคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ก็ดังขึ้น ทุกคนในห้องจึงหันมองด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง ไคซัสในชุดลำลองสีขาวเดินเข้ามาพร้อมกับอัลล์ จากสีหน้าของพวกเขาบอกได้เลยว่าสงสัยและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นพอสมควร การมาถึงของมหาเทพสงครามยิ่งทำให้นาซิลลากอดฮาธอสแน่นขึ้นอีก

“มหาเทพไคซัสได้ยินเสียงด้วยหรือขอรับ” ฮาธอสถามอย่างตกใจ เพราะจากที่เขารู้ห้องของไคซัสอยู่ไกล ไม่น่าจะได้ยินเสียงกรีดร้องของนาซิลลาได้

“ข้ามาเดินตรวจตราแถวนี้กับอัลวินน่ะ พอได้ยินเสียงก็รีบมาเลย” มหาเทพสงครามตอบพลางตวัดตามองหน้าต่างบานเดียวกับฮาธอส “เด็กคนนั้นเป็นอะไรไป”

“เอ่อ...ฝันร้ายขอรับ” เทพคนสวนตัดสินใจพูดไปแค่นั้น แต่อัลล์กลับเสริมขึ้นมา

“นาซิลลาเป็นเทพจันทรา บางครั้งก็ฝันร้ายเพราะจิตสื่อตรงกับพลังด้านลบโดยไม่ได้ตั้งใจขอรับ”

ไคซัสฟังแล้วก็หันมาหาอัปสรน้อย ร่างบางห่อตัวเล็กลีบอยู่ในอ้อมแขนของฮาธอส ความหวาดกลัวสะท้อนบนสีหน้าอย่างชัดเจน เขารู้ว่าครึ่งหนึ่งเกิดขึ้นจากตัวเอง แต่อีกครั้งมาจากความฝัน เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรจะอยู่ในตัวเด็กคนนั้น คนตัวสูงใหญ่จึงย่างสามขุมเข้าไปส่งผลให้เด็กที่กำลังกลัวยิ่งเตลิดเปิดเปิง

“ไม่!! อย่าเข้ามานะ ข้ากลัว ข้ากลัวแล้ว!!” นาซิลลากรีดร้องเสียงหลงจนนางกำนัลรุ่นพี่ยังไม่กล้าดู ฮาธอสยังปลอบไม่ไหว

“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอันตรายเจ้าหรอก” ไคซัสพูด น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนโยนจนน่าตกใจ “อย่ามัวแต่หลับอยู่แบบนั้นเลย หันหน้ามาหาข้าสิ เจ้าเป็นคนกล้าหาญนะ จะยอมให้ความกลัวเป็นเจ้าเรือนของเจ้าหรือ”

เด็กสาวสะอื้น เนื้อตัวสั่นสะท้านจนนางกำนัลรุ่นพี่ยังไม่กล้ามอง ฮาธอสลูบผมเธออย่างจนปัญญา อัลล์ก็ดูเธออย่างสงสาร ต้องใช้เวลาสักพักกว่าเธอจะยอมหันมาหาไคซัสได้ ใบหน้าจิ้มลิ้มน้ำตานองอย่างไม่เต็มใจเป็นที่สุด แต่ก็ทำให้มหาเทพสงครามยิ้มออกมาได้

“เก่งมาก ที่นี่ดูมือของข้านะ” เทพอสูรหนุ่มยกมือขวาขึ้นแล้วยื่นไปช้า ๆ นาซิลลาเบียดตัวเข้าหาหลักมั่นของตนทันใด “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่แต่ตัวเจ้า แค่จะเอาอะไรบางอย่างออกมาจากตัวเจ้าเท่านั้น เสร็จแล้วเจ้าก็จะหลับไป...”

พูดพลางแผ่พลังเข้าไปในตัวเทพจันทราอย่างช้า ๆ โดยมีสายตาของฮาธอสจ้องเขม็ง นาซิลลาส่งเสียงครางด้วยความประหวั่นกลัวสักครู่ก็เงียบไป ดวงตาคู่สวยปิดลงในฉับพลัน ตอนนั้นเองไคซัสกำมือทำท่าดึงบางสิ่งออกมาจากตัวเด็กสาว เจ้าสิ่งที่มีสีดำนั้นดิ้นหลุดจากพันธนาการเวทของเขากระโจนไปทางหน้าต่าง แต่อัลล์ก็เร็วกว่าซัดมีดสั้นฉาบมนตราไปปักกลางตัวมัน ทุกคนจึงได้เห็นแมลงลักษณ์คล้ายแมงป่อง ทว่ามีขาสิบขาและบนหลังปรากฏอักษรเวทอ่านว่า ‘โอม’ อย่างแจ่มชัด มันดิ้นพราดได้แปบเดียวก็สลายไปต่อหน้าต่อตาคนในห้อง

“นั่นมันอะไรน่ะ” หนึ่งในนางกำนัลร้องอย่างตระหนก

“แมลงไสยเวท มีใครบางคนส่งมันมาเพื่อทำร้ายนาซิลลา” ฮาธอสพูดพร้อมเงยหน้าขึ้นแล้วก็ตัวแข็งไปเมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของไคซัส “เอ่อ...ข้าเคยอ่านเจอเรื่องของมันมาก่อนขอรับ ได้ยินว่าแถวดินแดนร้างมีแมลงชนิดนี้อยู่มาก อาจจะมีเทพสักตนส่งมันมาก็ได้”

“ไม่น่าเป็นไปได้ แมลงไสยเวทจะตอบสนองต่อเวทมนต์ด้านลบเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เทพความมืดที่ถูกขับออกจากสวรรค์ไปหมดแล้วกับพวกปีศาจก็ไม่มีทางทำได้หรอก!” อัลล์โพล่งออกมาก่อนทำหน้าตกใจ “หรือว่า...!”

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 4 up 24/08/13
«ตอบ #21 เมื่อ25-08-2013 17:10:26 »


“อัลวิน ระวังคำพูดของเจ้าด้วย!” มหาเทพสงครามตัดบททำให้ลูกน้องต้องปิดปากเงียบ “พวกเจ้าอย่าเพิ่งวิตกจริตไม่เข้าค่า แมลงไสยเวทแบบนี้ใคร ๆ ก็ใช้ได้ทั้งนั้น รวมถึงตัวข้าเองด้วย ข้าจะลองตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง ระหว่างนั้นห้ามใครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด ถึงจะเป็นเทพรับใช้ของจอมเทพีเรเทเชีย ข้าก็จะไม่ไว้หน้าทั้งนั้น!”

เสียงเข้มกดต่ำราวกับเสียงคำรามของพญาราชสีห์ข่มขวัญเหล่าเทพจากซิมโฟเนียอาเรียได้อย่างชะงัด ฮาธอสตัดสินใจปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปก่อน เขาเองก็ไม่อยากให้คนนอกรู้เรื่องนี้ก่อนเวลาอันควรเช่นกัน เพราะคนที่จะเดือดร้อนที่สุดก็คือ นางอัปสรน้อยที่หลับสนิทในอ้อมแขนของเขา

แต่แมลงไสยเวทนั่นก็อันตรายจริง ๆ ถ้าคนใช้ไม่ใช่คนที่เขาคิดก็คงจะดี

“เอาล่ะ! เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วก็แยกย้ายกันไปได้” ไคซัสออกคำสั่ง เหล่านางกำนัลจึงถอยหลังออกไปหมด ฮาธอสอุ้มเด็กสาวกลับไปวางไว้บนเตียงตามเดิม เทพอสูรหนุ่มตามมาลูบผมของเธอสองสามครั้ง สีหน้าของเด็กสาวก็ดูดีขึ้น “ข้าสร้างฝันดีให้กับนางแล้ว ฉะนั้นไม่ต้องกังวลอะไรแล้วนะ ฮาธอส”

“ขอบพระคุณมากขอรับ” เทพคนสวนกล่าวด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างยิ่ง

มหาเทพสงครามมองหน้าฮาธอสด้วยสายตาลุ่มลึกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก อัลล์กล่าวอำลาเพื่อนเบา ๆ แล้วตามออกไป ข้างนอกพวกเขาพบนางกำนัลกลุ่มเดิมยืนรออยู่กับเทพรับใช้ที่ตามมาสมทบทีหลัง ทั้งหมดแสดงความเคารพให้ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็กรูเข้าไปดูอาการของนาซิลลา เทพอสูรหนุ่มส่ายหัวให้ทั้งหมดอย่างอ่อนระอาหน่อย ๆ

“พวกนั้นรักกันดีนะ” เขาเปรยพลางออกเดินต่อ “นึกถึงตอนอยู่แดนอสูร พวกข้ารับใช้ที่นั่นก็รักกันแบบนี้ เวลาทำผิดก็ออกรับแทนกันตลอด”

“พวกนั้นเอ็นดูนาซิลลาเหมือนกันน้องสาวคนหนึ่งขอรับ เป็นเรื่องปกติของเทพรับใช้ที่อยู่ด้วยกันมานาน โดยเฉพาะฮาธอส นางจะติดเขามากทีเดียว” อัลล์ชี้แจ้งหวังว่าจะเป็นข้อมูลที่ดีสำหรับเจ้านาย

เทพอสูรหยุดนิ่ง ใบหน้าคร้ามเข้มขึงตึงขึ้นเล็กน้อย “ติดมาก?” เขาทวนเสียงสูงในเชิงถาม “แบบไหน”

อัลล์เอียงคอทำท่าคิด แต่ความจริงกำลังแปลกใจกับแววไม่สบอารมณ์ที่แฝงเร้นอยู่ในคำถามสุดท้ายของไคซัส “เอ่อ...ฮาธอสเห็นนางเป็นน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งขอรับ แต่นาซิลลาอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น...” ตอบเสร็จก็เหลือบมองสีหน้าเจ้านาย แต่ก็ไม่พบอะไรเลยนอกจากความสงบนิ่ง “ท่านตามทำไมหรือ”

“ไม่มีอะไร” ไคซัสปฏิเสธ แววตาครุ่นคิด “อัลวิน เดี๋ยวเจ้าจัดทหารที่เก่งด้านเวทมนต์สักสองคนคอยตามดูเด็กที่ชื่อนาซิลลาห่าง ๆ หากมีความเปลี่ยนแปลงอะไรให้รายงานข้าทันที นี่เป็นเรื่องสำคัญ ห้ามบอกใครทั้งสิ้น”

สั่งงานเสร็จ เทพหนุ่มทั้งสองก็แยกย้ายกันไป

---------------

ห่างจากตำหนักพาเทร่าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เกือบจรดถึงเขตแดนรกร้างอันเปรียบเสมือนนรกบนสวรรค์ ร่างโปร่งบางของเด็กหนุ่มสวมชุดจีนประยุกต์สีแดงสดยืนอยู่กลางอากาศเพียงลำพัง สายลมยามราตรีพัดเส้นผมทรงหน้าม้าประบ่าหยอกล้อกับแก้มขาว ดวงตาสีแดงฉานว่างเปล่าจนดูไม่ออกเลยว่ากำลังรอสิ่งใดอยู่

แต่ในที่สุดเทพหนุ่มก็เคลื่อนไหว เมื่อมีกลุ่มควันสีดำมุ่งตรงมาทางหางตาขวา กิริยาของมันเหมือนกับงูเลื่อยลงมาจากอากาศช้า ๆ แล้วหยุดลงในอุ้งมือที่กางออกรับ แมลงไสยเวทตัวเขื่องขยับก้ามขบกันเบา ๆ หางโบกเข้าออกคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งน่าอัศจรรย์ที่เซย์เรียโน่เข้าใจมันด้วย

“...คราวนี้พลาดไปสินะ” แทนที่จะผิดหวัง ใบหน้าพริ้มเพลากลับเผยรอยยิ้มหวาน “กระนั้นทุกอย่างก็เริ่มต้นจริง ๆ แล้ว บางทีการตัดสินอาจจะเป็นการประลองที่จะถึงนี้ก็ได้ ขอให้ท่านโชคดีนะ มหาเทพสงคราม”

มือเรียวบดขยี้แมลงไสยเวทจนแหลกเละ แล้วทิ้งซากมันลงพื้นเมฆซึ่งสลายไปทันทีอย่างไม่ใยดี แล้วร่างเล็กก็เลือนรางหายไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเริงร่าอันน่าสะพรึง

--------------

ตอบคอมเมนต์

คุณ อายทำไม ขอบคุณสำหรับกำลังใจมากๆ ครับ ยอมรับว่าเรื่องนี้เขียนให้เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายน่าไฝ้ว์จริงๆ แต่ละนางแต่ละตน ไม่ได้สมเป็นเทพกันเลย

ปล.เขียนยาวไป เหลือเป็นติ่งมาคอมเมนต์ที่ 3 อีกแล้ว ทำเยี่ยงไรจึงจะได้ 2 คอมเมนต์หนอ /สลด  :mew2:

ออฟไลน์ Kamidere

  • บรรยายมันออกมา ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 5 up 25/08/13
«ตอบ #22 เมื่อ25-08-2013 19:57:29 »

เม้นก่อนเลยค่าาา :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 5 up 25/08/13
«ตอบ #23 เมื่อ26-08-2013 01:10:09 »

อย่าสลดค่า
เรื่องนี้เขียนดืมากบรรยายรายละเอียดของฉากไว้เยอะ
สมเป็นบทประพันธ์จริงๆ
ขอให้กำลังใจ
อ่านแล้วสนุก

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 5 up 25/08/13
«ตอบ #24 เมื่อ26-08-2013 19:52:12 »


บทที่ 6 ในสวนแห่งใหม่
- 50% -


เช้าวันต่อมากิจกรรมในตำหนักพาเทร่าเริ่มต้นด้วยความวุ่นวายกว่าวันวานนี้มากนัก ส่วนหนึ่งอันเนื่องมาจากจำนวนทหารที่เพิ่มเข้ามาเมื่อวานกับเหตุการณ์ที่นาซิลลาต้องเผชิญ มหาเทพสงครามสั่งให้จัดกำลังคุ้มกันภายในตำหนัก โดยเฉพาะปีกปราสาทตะวันตกอันเป็นที่พักของพวกฮาธอสอย่างแน่นหนา ให้อัลล์ทำการสอบสวนหาเบาะแสที่มาของแมลงไสยเวทที่ลอบเข้าห้องของเทพจันทราน้อยด้วย

แต่การสืบหาเบาะแสก็พบทางตันเกือบจะทันที เพราะนอกจากร่องรอยของแมลงไสยเวทที่ลอบเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนของนาซิลลาแล้วก็ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากตัวแมลงไสยเวทตัวนั้นไม่ได้ผูกพลังอยู่กับผู้ใช้ กระทั่งพลังของไคซัสยังไม่อาจตรวจจับได้ สิ่งเดียวที่เขาทำเพื่อเทพจันทราน้อยได้มีเพียงให้เธอย้ายไปอยู่ในปราสาทประมุขของตำหนัก โดยมีทหารที่อัลล์จัดหามาคอยตามดูแลอย่างลับ ๆ

หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นเทพอสูรหนุ่มก็ต้องยุ่งกับงานราชการจนเรียกว่า ‘งานล้นมือ’ โดยเฉพาะเตรียมแผนปรับเปลี่ยนการฝึกทหารแบบใหม่เพิ่มเติม เพื่อนำไปเสนอในการประชุมสภาสวรรค์ครั้งต่อไป เขาทดลองให้พลทหารในสังกัดจำนวนหนึ่งรวมถึงอัลล์กับทหารในสังกัดฝึกด้วยวิธีการแบบอสูรสามวันต่อสัปดาห์ เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการฝึกทหารสวรรค์ทั้งกองทัพในอนาคต แน่นอนว่าเขาลดระดับความยากและวิธีการต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับความสามารถขั้นพื้นฐานของทหารสวรรค์เรียบร้อยแล้ว แต่การฝึกนี้ยังคง ‘หฤโหด’ อยู่ดี

ส่วนการเตรียมงานประลองรับฤดูใบไม้ผลิมีความคืบหน้าเป็นระยะ ฮาธอสรับหน้าที่ให้คำปรึกษาและจัดเตรียมสถานที่การประลอง ซึ่งเทพคนสวนทำหน้าที่ของตนเต็มที่ ดีใจที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับไคซัส เขาไม่เข้าใจหรอกว่าเหตุใดตนจึงรู้สึกเช่นนี้ รู้เพียงว่ามีความสุขกับการทำงานเพื่อใครสักคนอย่างมาก

สิบวันหลังแมลงไสยเวทลอบเข้าตำหนักพาเทร่า วันนี้ไม่มีการฝึกของไคซัส เนื่องจากเจ้าตัวติดประชุมที่กองบัญชาการกองทัพสวรรค์ ฮาธอสอยู่ใน ‘สวน’ บริเวณปีกตะวันออก ซึ่งเขาเพิ่งเนรมิตต้นไม้กับดอกไม้ให้เติบโตขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติแบบสวนชนบทของอังกฤษ มีการคุมโทนสีแบบพาสเทลและเล่นระดับความสูงของต้นไม้กับดอกไม้ให้สูงลดหลั่นสลับกัน เทพคนสวนตั้งใจจะเก็บงานซึ่งก็คือการตัดเล็มกิ่งก้านต้นไม้ให้ดูสะอาดตาให้เสร็จก่อนจะไปจัดสวนในส่วนอื่นต่อไป

“ฮาธอสมาพักก่อนเถอะ” เสียงหวานเล็กเอ่ยเรียกพร้อมกับนาซิลลาที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สองมือถือถาดของว่างที่มีฝาสีเงินครอบปิดไว้กับเหยือกแก้วใส่น้ำองุ่น เธอตรงไปยังม้านั่งยาวสีขาวที่ตั้งอยู่ริมสวน

ฮาธอสวางมือจากงานตามมาสมทบ “ขอบใจมากนะ ถ้าไม่ได้เจ้าคอยเตือน ข้าคงลืมเวลาพักไปแล้ว”

เด็กสาวยิ้มแป้น “เพื่อฮาธอส ข้าเต็มใจทำอยู่แล้ว อีกอย่างหลายวันมานี้เจ้าก็งานยุ่งตลอด ข้าจะมีเวลาเจอเจ้าก็แค่เวลานี้ด้วย”

“โทษทีนะ ช่วงเตรียมงานใหญ่แบบนี้ แถมในปราสาทไม่มีอะไรเลย อะไร ๆ ก็เลยยุ่งไปหมด” เทพหนุ่มว่าพลางถอดถุงมือแล้วล้างด้วยน้ำที่เสกขึ้นด้วยเวทมนต์

“นั่นสิ เจ้าน่าจะหาใครมาช่วยนะ ทำคนเดียวแบบนี้เหนื่อยแย่” นาซิลลานั่งลงที่ปลายด้านหนึ่งของม้านั่ง เอาถาดขนมวางตรงกลางแล้วช้อนหน้ามองเทพหนุ่ม แววตาเป็นห่วง

“อย่ากังวลเลย สมัยก่อนข้าแต่งสวนคนเดียวประจำ แค่นี้ไม่เหนื่อยมากหรอก เจ้าเถอะ ยังฝันร้ายอยู่หรือเปล่า” ชายหนุ่มนั่งลงตรงข้ามกับอัปสรน้อย มองเธอด้วยสายตาห่วงใยเช่นกัน

อัปสรน้อยมีสีหน้าตกใจแล้วส่ายศีรษะเอียงอาย “ไม่แล้วล่ะ ตั้งแต่มหาเทพสงครามช่วยไว้ ข้าก็ไม่ได้ฝันร้ายอีกเลย” เธอพยายามเชิดหน้าหยิ่ง แต่บนแก้มมีรอยแดงจาง ๆ “ข้าก็ขอบคุณเขาอยู่หรอกนะ ที่ช่วยทำให้ข้าหลับสบายได้สักที”

ท่าทางปากไม่ตรงกับใจของเด็กสาวทำให้ฮาธอสหัวเราะ เขารู้ว่าอคติที่เธอมีต่อไคซัสหายไปมากหลังจากเหตุการณ์แมลงไสยเวท เพียงแต่นางอัปสรน้อยไม่อยากยอมรับเท่านั้น สาวเจ้าเห็นเข้าก็ค้อนวงงาม ๆ ให้ทีหนึ่ง

“อะไรกันเล่า อย่าหัวเราะนะ” เธอพูดเสียงกระเง้ากระงอด “เอ้า! ของว่าง ขนมมองบลังค์นี่ข้าทำเองนะ ฮาธอสจะได้รีบกลับไปทำงานสักทีไงล่ะ”

เทพหนุ่มก้มลงมองก้อนขนมมองบลังค์สามชิ้นซึ่งนอนอยู่ในจานสีขาวสะอ้านตัดกับเนื้อแป้งเป็นสีน้ำตาลไหม้ ครีมที่ราดด้านบนก็เป็นสีน้ำตาลคล้ายกัน คิ้วขวาของฮาธอสยกตัวขึ้นสูงช้า ๆ มือชี้นิ้วไปที่ขนม ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

“เจ้าแน่ใจนะว่ามันกินได้ นาซิลลา”

“ขะ...ข้าแน่ใจสิ” นาซิลลาพูดตะกุกตะกัก ดวงตาเสมองสิ่งอื่น

“เจ้าลองกิน ‘เอง’ หรือยัง” ฮาธอสซักไซ้ เน้นคำสำคัญอย่างชัดเจน

“ก็บอกว่ากินได้กินได้สิ ฮาธอสล่ะก็! ข้าอุตส่าห์ทำมาให้เชียวนะ” เทพจันทราน้อยเริ่มเสียงดัง ทั้งด้วยความอับอายและไม่พอใจไปพร้อมกัน สุดท้ายเด็กสาวก็คว้าขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่งยื่นไปที่ปากของอีกฝ่ายเป็นการแก้แค้น “เอ้า! ข้าบอกให้ลองทานก็ลองเถอะน่า!”

“เฮ้ย! อย่านะ ข้าไม่กิน” ชายหนุ่มร้องพลางปัดป้องตัวเองเป็นการใหญ่ ในขณะที่เด็กสาวพยายามจะรังแกเขาให้ได้ เสียงหัวเราะแว่วกังวานไปทั่วทั้งสวนอย่างสนุกสนาน

---------------

อีกด้านหนึ่ง เหล่าพลทหารที่อยู่ในลานฝึกซ้อมของตำหนักชั้นนอกต้องยืนตรง เพื่อทำความเคารพมหาเทพจ้าวตำหนักที่เพิ่งกลับมาถึงพร้อมกับเหล่าผู้ติดตาม เทพอสูรหนุ่มผงกศีรษะให้ทุกคนพอเป็นพิธีก่อนข้าวเข้าสู่ตำหนักชั้นในอย่างรวดเร็ว อัลล์เป็นคนเดียวที่ตามเขาเข้ามาด้วย

ประชุมที่กองบัญชาการกองทัพสวรรค์หนักหน่วงอย่างที่เขาคิดไว้ บรรดาขุนนางสายนักรบทั้งหลายต่างวิจารณ์ถึงวิธีการฝึกทหารแบบอสูรของเขาแบบสาดเสียเทเสีย รวมถึงเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่ประดังเข้ามาในที่ประชุมนั้น ถึงผลจะออกมาอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ทั้งหมด ทว่าความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานก็เริ่มแสดงพิษร้ายของมัน ร่างสูงใหญ่หมุนไหล่ขวาไปมาอย่างอ่อนล้า

“อัลวิน เจ้านำหน้าเอาเอกสารทั้งหมดไว้ที่ห้องทำงานของข้าก่อน เตรียมบันทึกการประชุมวันนี้ไว้ ข้าอยากจะอ่านมันอีกครั้ง แบบร่างสารเชิญร่วมการประลองที่ต้องส่งไปตำหนักต่าง ๆ ด้วย แล้วก็เอกสารขอเบิกงบประมาณจากหน่วยงานต่าง ๆ ในไตรมาสนี้ ข้าอยากให้เจ้าช่วยหารายงานเบิกจ่ายย้อนหลังสิบปีมาให้ข้าด้วย ข้าอยากจะใช้อ้างอิงในการพิจารณาเป็นรายกอง”

“ขอรับ” อัลล์จดจำคำสั่งทุกคำของเจ้านายไว้ในหัวสมอง แล้วก็เหลือบตามองแผ่นหลังอีกฝ่าย “มหาเทพไคซัส ข้าน้อยคิดว่าท่านทำงานหนักเกินไปแล้ว”

เพียงประโยคเดียวก็สามารถหยุดอสูรที่ตัวใหญ่กว่าได้อย่างชะงัด ไคซัสค่อยหมุนตัวมาหาหัวหน้าทหารของเขา แววตากังขายิ่งนัก

“เจ้าคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือ”

“เอ่อ...ขอรับ” อัลล์ตัดสินใจพูดความจริง เพราะไม่อยากโกหก “ตั้งแต่การประชุมสภาสวรรค์ มหาเทพไคซัสก็ทำงานดึกดื่นมากขึ้นทุกวัน ๆ ข้าน้อยเป็นห่วงว่าท่านจะล้มป่วยเสียก่อน ถ้าอย่างไรใช้เวลาก่อนจะถึงอาหารค่ำพักผ่อนสักหน่อยดีไหมขอรับ”

ไคซัสค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดของอัลล์ สมัยก่อนเขาเองก็ตรากตรำงานหนักแบบนี้จนเกือบล้มป่วยมาสองสามครั้ง ซึ่งทุกครั้งจะลงเอยด้วยการถูกเพื่อนสนิทที่ทำงานเป็นราชเลขาส่วนตัวของเขาเอ็ดยกใหญ่ แน่นอนเขารู้ว่าอัลล์ไม่เหมือนกับอดีตสหาย แต่เขาก็ไม่อยากจะป่วยจนเสียงานไปก่อนเช่นกัน

“ตกลง แต่ถ้ากลับห้องก็คงไม่ได้พักเหมือนกัน” ไคซัสเอามือลูบคอแกน ๆ

“ไปที่สวนตรงปีกตะวันออกไหมขอรับ เมื่อวานฮาธอสบอกกับข้าว่าเขาเนรมิตสวนตรงนั้นเสร็จแล้ว ที่นั่นค่อนข้างเงียบและไม่มีคน ท่านจะได้พักผ่อนเงียบ ๆ ไงขอรับ” นายทหารหนุ่มลองเสนอดู

“สวนเหรอ...” เทพอสูรหนุ่มทวนคำอย่างไตร่ตรอง “แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน เจ้าช่วยให้คนมากันพื้นที่ไว้ด้วยนะ อ๋อ! แล้วก็ถ้าพบฮาธอสช่วยบอกด้วยว่าข้ารอรายงานของวันนี้อยู่”

เมื่อหัวหน้าทหารของเขารับคำ มหาเทพสงครามก็บ่ายหน้าไปยังปีกตะวันออก ระหว่างทางก็ปัดเป่าเรื่องต่าง ๆ ที่รกสมองอยู่ออกไปให้หมด เพื่อจะได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ เขาต้องการผ่อนคลายให้ได้มากที่สุดเมื่อได้นั่งพัก หรือดีที่สุดคือนอนเอกเขนกท่ามกลางแมกไม้ในสวนที่เทพหนุ่มน้อยรูปงามตนนั้นเป็นผู้เนรมิตขึ้นมา

ทว่าทันทีที่เลี้ยวผ่านหัวมุมทางเดินซึ่งเชื่อมต่อไปถึงสวนในปีกตะวันออก โสตประสาทของเทพอสูรพลันแว่วยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากสุดปลายทางเดินที่อยู่ห่างไปเกือบห้าสิบหลา ความสงสัยก่อเกิดทำให้พลังที่ผูกไว้กับปราสาทฉายภาพฮาธอสกับนาซิลลากำลังหยอกล้อกันในสวนให้เขาเห็น ร่างสูงใหญ่ถึงกับชะงักเมื่อได้เห็นความสนิทสนมของเทพทั้งสองตน รวมถึงแววตารักใคร่ที่เด็กสาวมีต่อเทพหนุ่มตนนั้น

หากเป็นในอดีต เขาคงหันหลังจากไปอย่างเงียบ ๆ แต่วันนี้ไคซัสกลับทำในสิ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง มหาเทพสงครามสาวเท้าไปที่สวนให้เร็วขึ้นด้วยหัวใจที่ว้าวุ้นและร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก ภาพนั้นยังคงฉายอยู่ในดวงตาข้างซ้าย เสียงหัวเราะในหูดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะทางที่ใกล้เข้าไป จนในที่สุดก็เกือบถึงปากทางพร้อมกับภาพที่จางหายไป แล้วเทพอสูรก็ได้ยินเสียงนาซิลลาอย่างแจ่มชัด

“นี่ฮาธอสชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอ”

คำถามนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ไคซัสจังงันไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงฮาธอสที่กำลังเช็ดคราบครีมขนมมองบลังค์ที่เปื้อนแก้มด้วย เขาช้อนตามองเด็กสาวที่จ้องตอบกลับมาด้วยดวงตาสีฟ้าใสแจ๋ว แววตากระหายใคร่รู้แจ่มชัดจนบอกทุกอย่างที่ซ่อนไว้ในใจของเธอ เทพคนสวนอายุกว่าศตวรรษแล้ว ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร

“ข้าชอบผู้หญิงแบบไหนน่ะหรือ” เทพหนุ่มทวนคำถาม ท่าทางครุ่นคิด “แบบจอมเทพีเรเทเชียไงล่ะ ไม่ใช่ที่รูปโฉม แต่เป็นอุปนิสัยน่ารัก อ่อนหวาน เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ใส่ใจผู้อื่น มีความเมตตาและอ่อนโยน เป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งจริยามารยาทจริง ๆ”

นาซิลลาถึงกับหน้าถอดสี รู้ดีว่าตนไม่มีทางเป็นอย่างจอมเทพีผู้นั้นได้ และยิ่งไม่มีทางแข่งขันกับนางได้เลย ถ้าหากว่าฮาธอสหลงรักสตรีผู้นั้นจริง ๆ เทพคนสวนเห็นสีหน้านั้นแล้วก็ยิ้มบาง

“แต่ว่านะ นาซิลลา ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกสามารถเกิดขึ้นกับใครเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนในแบบที่ชอบเสมอไป ขอเพียงรักและมีใจตรงกันก็สามารถครองคู่กันได้ทั้งนั้น แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครสามารถบีบบังคับให้อีกฝ่ายตอบสนองต่อความรักของเราได้เช่นกัน”

ฮาธอสสานต่อคำพูดของตนเนิบช้า น้ำเสียงละมุนนั้นซึมลึกลงไปถึงหัวใจของผู้ฟังที่คนหนึ่งนั่งอยู่ต่อหน้าเขา อีกคนซ่อนอยู่ในเงาทางเดินอย่างเงียบเชียบ ทั้งที่คำพูดของเขาคล้ายจะแฝงความหวังให้คนที่มีใจ แต่เทพจันทรากลับรู้สึกเหมือนถูกกรีดหัวใจด้วยมีดที่มองไม่เห็น เธอเผยอปากอยากพูดบางอย่างหลายครั้ง

ทว่าก่อนที่นาซิลลาจะได้เปล่งคำพูดอย่างตั้งใจ ไคซัสก็ปรากฏตัวออกไปอย่างคนที่เพิ่งมาถึง เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยในตอนเห็นเทพชายหญิงทั้งสองอย่างแนบเนียน

“อ้าว! ข้านึกว่าไม่มีใครอยู่เสียอีก มารบกวนหรือเปล่า”

“ไม่ขอรับ” ฮาธอสรีบลุกขึ้นต้อนรับ นาซิลลาก็เช่นเดียวกัน ต่างกันแค่เด็กสาวก้มหน้างุดไม่ยอมสบตาด้วยเลย “มหาเทพสงครามกลับมาตั้งแต่ตอนไหนขอรับ”

“เมื่อกี้นี้เอง อัลวินเห็นข้าเหนื่อย ๆ ก็เลยแนะนำให้มาพักที่นี่น่ะ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนอยู่ด้วย รบกวนหรือเปล่า” ไคซัสถามเสียงเรียบแต่เจือด้วยความเกรงใจ

“ไม่เลยขอรับ พวกข้าก็กำลังพักอยู่เหมือนกัน เชิญนั่งพักก่อน” เพราะไม่ทราบว่าเทพอสูรหนุ่มแอบฟังอยู่นานแล้ว ฮาธอสจึงผายมือเชิญไปยังม้ายาวอย่างสุภาพ

ไคซัสไม่ได้ไปทันที แต่ดูท่าทีของนาซิลลาก่อน เด็กสาวถึงกับสะดุ้งเมื่อสบตาเขาตรง ๆ ก่อนจะเดินไปแอบหลังเทพคนสวน ใบหน้านวลโผล่มาให้เห็นแค่ดวงตาเท่านั้น

“คารวะมหาเทพสงครามเจ้าค่ะ” เธอพูดพลางก้มศีรษะให้ทีหนึ่ง ท่าทางสับสนและอึดอัดใจ ไม่รู้จะปฏิบัติตัวอย่างไรดี เธอไม่ชอบเทพอสูรตนนี้ แต่เขาก็ช่วยเหลือเธอไว้ ถ้าเมินเฉยก็จะเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก สุดท้ายจึงออกมาเป็นท่าทางเก้อเขินแปลก ๆ เช่นนี้ “เอ่อ...วันนี้อากาศดีนะเจ้าคะ”

“อืม อากาศแถวนี้ดีมากเลยล่ะ” ไคซัสตอบพลางกลั้นหัวเราะ เขาชินกับท่าทางของเด็กสาวแล้ว เนื่องจากเจอมาตลอดหลังจากวันที่ช่วยเธอไว้ “ว่าแต่นี่อะไรเหรอ” ชี้ไปที่ขานขนมที่เละเทะไปหมดแล้ว

“เอ่อ...” ฮาธอสกำลังจะตอบ แต่นาซิลลาร้องแทรกเสียก่อน

“อ๊า! มะ...มันเป็นขนมที่ข้าทำเองเจ้าค่ะ มะ...ไม่อร่อยหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะเอาไปเปลี่ยน”

ว่าแล้วเด็กสาวก็ถลามาคว้าจานขนมมองบลังค์ไป ชะงักตอนเผลอสบตากับเทพอสูรหนุ่มอีกเล็กน้อย ก่อนจะวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เทพหนุ่มทั้งสองมองตามด้วยความประหลาดใจ ก่อนไคซัสจะเปล่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกมา

“ฮึ ฮึ ฮึ เด็กคนนั้นขี้อายกว่าที่คิดนะเนี่ย ข้านึกว่านางจะเกลียดข้าเสียแล้ว”

“นาซิลลาอาจจะดื้อไปบ้าง แต่ไม่ใช่คนไร้เหตุผลหรอกขอรับ” ฮาธอสตอบแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นมหาเทพสงครามรินน้ำองุ่นใส่แก้วของเขา “เอ่อ...ข้าก่อนขอรับ นั่น...!”

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจไม่แพ้กัน “ทำไมรึ หรือว่ามียาพิษ?” ถามหน้าเครียด

“มะ...ไม่ใช่ขอรับ” เทพคนสวนยิ่งลนลานเมื่อได้ยินแบบนั้น “มัน...แก้วที่ท่านกำลังรินน้ำใส่เป็นแก้วของข้าเองขอรับ”

ใบหน้าซีดเผือดตื่นตกใจป่านสวรรค์ถล่มนั้น ทำให้มหาเทพสงครามระเบิดเสียงหัวเราะจนได้ อีกฝ่ายมองเขาด้วยความงุนงง แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าตัวเองถูกเทพอสูรที่คนทั้งสวรรค์กลัวหนักหนาหลอกแกล้งเสียแล้ว

“มหาเทพ...” เขาพูด เสียงแทบสำลัก สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“ฮะ ๆ ขอโทษที ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเจ้าจริง ๆ นะ” ไคซัสแก้ตัวแล้วหยิบแก้วน้ำองุ่นใบนั้นขึ้นดื่มจนหมด โดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงของฮาธอสเลย

“มหาเทพสงคราม ท่านไม่ควร...!”

“ฮ้า! สดชื่นดีจัง” มหาเทพอสูรครางหลังดื่มหมดแก้วแล้ว นัยน์ต นัยน์ตาสีส้มสว่างหลิวมองคนที่กำลังอึ้ง “ฮาธอสอยู่ในสังคมสวรรค์ที่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ แบ่งแยกกระทั่งของใช้สำหรับมหาเทพกับเทพรับใช้อาจจะคิดว่าการกระทำของข้ามันไม่เหมาะไม่ควร แต่นี่คือตัวตนของข้าที่เป็นมาตั้งแต่ก่อนจะเป็นราชาแห่งอสูรเสียอีก ข้าดื่มกินกับสหายและข้าราชบริพารแบบนี้ บางคนคุยเล่นหัวกันอย่างเท่าเทียมเสียด้วยซ้ำ ข้ารู้ว่าข้าเอาสิ่งเหล่านั้นมาใช้บนสวรรค์ไม่ได้ทั้งหมด แต่ขอแค่เวลาส่วนตัวได้ไหม ขอให้ข้าได้เป็นตัวของข้าเอง”

ฮาธอสนิ่งหลังสัมผัสได้ถึงความเดี่ยวดายที่แฝงเร้นอยู่ในน้ำเสียงของเขา เทพหนุ่มเผลอลืมไปเสียแล้วว่าอีกฝ่ายมาจากดินแดนเบื้องล่าง ซึ่งแตกต่างกันทั้งด้านวัฒนธรรม สังคม และความเป็นอยู่ เมื่อต้องมาอยู่บนสวรรค์ที่มีกฎระเบียบมากกว่าอดีตอาณาจักรถึงสองเท่า ไคซัสคงจะรู้สึกอึดอัดไม่น้อยทีเดียว ในฐานะของเทพรับใช้ก็ควรจะทำให้เจ้านายมีความสุขมิใช่หรือ”

“ทราบแล้วขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านบอก” เขากล่าวออกไป แม้จะยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้างก็ตาม

ไคซัสยิ้มบาง พึงพอใจที่อีกฝ่ายยอมตามใจเขาอีกครั้ง น่าประหลาดนัก ทั้งที่เป็นแค่ความสุขเพียงเล็กน้อย แต่กลับทำให้อบอุ่นไปทั้งหัวใจ นางสนมนับร้อยพันที่เคยมี มิอาจเทียบกับหนึ่งบุรุษที่อยู่ตรงนี้ได้เลย

“ขอบใจนะ ถึงจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ข้าก็มีความสุขจริง ๆ อา...” พูดแล้วก็หงายศีรษะไปด้านหลัง เหยียดแขนพาดไปกับพนักเก้าอี้ “เจ้าเตรียมงานของวันนี้ไปถึงไหนแล้ว”

เทพคนสวนกระตุกยิ้มขำทันทีที่ได้ยินคำถาม “ส่วนของวันนี้ใกล้เก็บรายละเอียดเสร็จแล้วขอรับ วันพรุ่งนี้กับมะรืนนี้ข้าจะเริ่มทำสวนทีปีกตะวันตกแล้วก็ส่วนย่อมริมลานฝึกซ้อม” เขาตอบ “มหาเทพสงคราม...”

“ไคซัส...มหาเทพไคซัส” ไคซัสเอ่ยแทรกขึ้น ลืมไปเลยว่าตัวเองยังไม่ได้อนุญาตให้อีกฝ่ายเรียกเหมือนพวกอัลล์ “หรือจะเรียก ‘ไคซัส’ เฉยๆ ก็ได้”

“มิบังอาจ ข้าเรียกเหมือนกับพวกอัลล์ดีกว่าขอรับ” ฮาธอสรีบเลือกทางที่เหมาะกับตัวเอง ทางที่ดูอ่อนโยนอย่างยิ่งในสายตาเจ้าของชื่อ “มหาเทพไคซัส ท่านกำลังอยู่ในช่วงพักผ่อนอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องงานดีกว่าขอรับ พักผ่อนให้สมองปลอดโปร่งก่อนเกิด”

“อืม ข้าตั้งใจจะทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่พอเห็นเจ้าแล้วก็อดถามไม่ได้” ไคซัสยืดตัวขึ้นบิดคอไปมาอย่างล้า ๆ อีกครั้ง “สงสัยเพราะไม่ชินกับบรรยากาศของสวรรค์ พอทำงานหนักเข้าหน่อยก็ล้าเสียซะแล้ว”

“...ให้ข้าลองนวดดูไหมขอรับ” เทพคนสวนถามหลังจากนิ่งคิดสักครู่ “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นคนสวน แต่ก็พอจะนวดเป็นบ้าง เมื่อก่อนนวดให้หัวหน้านางกำนัลของซิมโฟเนียอาเรียเป็นประจำขอรับ”

“เอาสิ ลองดูหน่อยก็ได้ เผื่อว่าจะดีขึ้นบ้าง”

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 5 up 25/08/13
«ตอบ #25 เมื่อ26-08-2013 19:59:46 »

- 100% -

ว่าแล้วคนตัวใหญ่ก็ขยับนั่งเอนหลังกับพนักสบาย ๆ หลับตารอ ฮาธอสเอาน้ำดื่มที่นาซิลลานำมาล้างมือให้สะอาดจริง ๆ ก่อนเดิมอ้อมไปข้างหลังไคซัส เสียงย้ำเท้าหนัก ๆ ที่เขาจงใจทำนั้นบอกให้รู้ว่าเทพหนุ่มยังไม่ลืมเหตุการณ์ในห้องนอน มหาเทพสงครามกระตุกยิ้มขันเล็กน้อย สักครู่ก็คลายสีหน้า เมื่อฮาธอสมายืนอยู่ข้างหลังกล่าวขออนุญาตเบา ๆ แล้วเริ่มนวด

ปลายนิ้วที่เรียวเล็กกว่าไม่มาก แต่หยาบกร้านจากการทำงานพอ ๆ กันกดนวดกดจุดที่ท้ายทอยของไคซัสเป็นที่แรก ฮาธอสใช้เวลาสักครู่ในการหาแรงที่พอเหมาะ โดยสังเกตจากสีหน้าและท่าทางของเทพอสูรหนุ่ม เมื่อพบแล้วเทพคนสวนก็ไล่ไปยังจุดอื่น ๆ อย่างแม่นยำ วนปลายนิ้วบางครั้งเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็ง จากนั้นก็ไล้เรื่อยลงไปถึงช่วงบ่าหนาเตอะด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัด

“รู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ” ฮาธอสตัดสินใจถาม หลังอีกฝ่ายเอาแต่เงียบ

“อืม...กำลังสบาย...” มหาเทพสงครามหมายความตามนั้น ความสบายแล่นริ้วขึ้นมาตามลำคอ ขจัดความเหนื่อยอ่อนที่ถ่วงศีรษะของเขาไว้ได้มากทีเดียว เรื่องราวที่รกสมองอยู่ก็หายไปเหลือแต่ภาพสีขาวโพลน นานทีเดียวที่หัวของเขาไม่ได้โล่งขนาดนี้ และมันทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งอย่างยิ่ง “เจ้าเก่งจริง ๆ ฮาธอส”

เทพคนสวนยิ้มกว้างหลังสดับคำชมจากอีกฝ่าย ประหนึ่งว่าอยากได้ยินคำนี้จากปากของไคซัสมานานแล้วเช่นนั้น แต่ฮาธอสรู้ว่าตนรู้สึกดีก็เพราะมหาเทพสงครามรู้สึกดี เขาจึงนวดต่อไปเรื่อย ๆ หวังเพียงช่วยให้อสุรกายสีแดงตนนี้หายเหนื่อยโดยเร็วที่สุด พร้อมกับเรียนรู้ว่าร่างกายที่ซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์หรูที่เห็นนี้แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด กล้ามเนื้อเต่งตึงทรงพลังไม่ได้มีไว้ดูเล่น แต่น่าจะผ่านการใช้งานมานับครั้งไม่ถ้วน ความคิดของเทพหนุ่มเตลิดไปถึงขั้นที่ไคซัสเคยใช้ร่างกายนี้กอดสตรีมาแล้วกี่ครั้ง มันเป็นความคิดประหลาดที่เขาสลัดออกจากหัวแทบไม่ทันเลยทีเดียว

“เฮ้อ...พอแล้วล่ะ ฮาธอส” มือใหญ่หนาเอื้อมมาวางบนมือของเทพคนสวน ใบหน้าคร้ามคมยังหลับนิ่ง “แต่ก่อนข้ามีคนเคยนวดให้มากมาย ทั้งสนม สหาย แม้กระทั่ง ‘คนคนนั้น’ ยังไม่มีใครนวดได้ดีเท่ากับเจ้าเลย”

“คน...คนนั้นหรือขอรับ” ฮาธอสถามเสียงแผ่ว “ท่านทิ้งใครบางคนไว้ข้างหลังหรือ แล้วก็มีสนมด้วย”

“ทำไม...เจ้าหึงข้าหรือ” เสียงเนิบยานตอบกลับมา

“ไม่ใช่ขอรับ” เทพรับใช้สำลักคำแก้ตัวออกมาแทบไม่ทัน บ้าชะมัด! ถามออกไปได้อย่างไรกันนี่ มหาเทพสงครามเคยเห็นราชาแห่งอสูรมาก่อน สมควรจะมีสนมอยู่แล้วไม่ใช่หรือ!

ทันใดนั้นแรงบีบที่มือก็เพิ่มมากขึ้น ศีรษะของไคซัสก็เอนหงายมาข้างหลัง นัยน์ตาสีส้มสว่างเบิกขึ้นมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของฮาธอสด้วยแววตามุ่งมาด ความร้อนแรงที่เจืออยู่ในนั้นทำให้อีกฝ่ายหายใจสะดุด รีบหลบตาก่อนจะเห็นแววหลุกหลิกในนั้น พยายามสงบใจก่อนคนตัวใหญ่จะรับรู้ถึงหัวใจที่โครมครามในอก

“ข้าเป็นราชาองค์แรกที่เป็นราชาจริง ๆ การรับสนมเป็นไปเพื่อทำให้ฐานอำนาจมั่นคงในอนาคต ไม่ใช่ทุกคนที่ข้าจะมีสัมพันธ์ด้วย บางคนถูกเลี้ยงดูอย่างน้องสาวและลูกหลาน แม้จะมีสนมที่รู้ใจ แต่ข้าก็ไม่ได้รักใคร่พวกนางในแบบนั้นเลย” เสียงทุ้มต่ำมั่นคงราวกับให้ความมั่นใจกับอีกฝ่าย แต่เพื่ออะไรกันล่ะ!? “ส่วน ‘คนคนนั้น’ ก็ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดด้วย ฉะนั้นสบายใจได้เลย”

“มหาเทพไคซัส...มันไม่ใช่...แบบนั้น...” ฮาธอสปฏิเสธอย่างตะกุกตะกัก สับสนและตกใจกับความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้เจตนาจะสื่อความหมายเช่นนั้นจริง ๆ

“ฮาธอส ข้า...”

แต่ก่อนที่ไคซัสจะทันได้พูดอะไรต่อ จู่ ๆ แผ่นเมฆที่ตั้งอยู่ก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับแผ่นดินไหว มหาเทพสงครามกระโดดข้ามไปประคองตัวฮาธอสไว้ ไคซัสสาบานกับตัวเองในวินาทีนี้เลยว่าได้ยินเสียงบางสิ่งถล่มทลายมาจากที่ไกล ๆ อีกด้วย ก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ส่องแสงวูบวาบ สายฟ้าหลากสีสันแล่นมาจากทางทิศใต้ ตามมาด้วยเสียงหวัดแหลมประหลาดบาดประสาทของพวกเขา พลังศักดิ์ศิทธิ์ผันผวนก่อสายลมกระโชกพัดเมฆสีทองลอยไปอย่างรวดเร็ว แต่เพียงไม่นานทุกอย่างก็สงบลง ยกเว้นฟากฟ้าที่ยังปรากฏแสงวูบวาบอยู่!

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ฮาธอสร้องออกมาอย่างตกใจ ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย

“ยังไม่รู้ แต่ ‘เสียง’ บอกว่ามาจากทางใต้ มีใครบางคนยุ่งกับเขตอาคม” ไคซัสบอกแล้วยืนขึ้น “อัลวิน!!”

สิ้นเสียงคำรามที่ถูกขยายให้ดังไปทั่วตำหนัก ร่างของอัลล์กับทหารในสังกัดสามนายก็ปรากฏในสภาพสวมเกราะและติดอาวุธพร้อมรบ เทพในสายนักรบมักสวมเกราะด้วยเวทมนต์ยามเกิดเหตุฉุกเฉิน เขาต้องตกใจทีเดียวที่เห็นสหายอยู่ในอ้อมกอดของมหาเทพสงคราม แต่เลือกที่จะเมินไปก่อนในวินาทีนี้

“เรายังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ต้นเหตุมาจากชายแดนทางใต้แน่นอน ทหารในสังกัดของข้าแบ่งกำลังไปเฝ้าที่ประตูทางเข้าออกทั้งหมดแล้วขอรับ พลทหารเองก็กระจายกำลังเฝ้าดูแลทุกตึกแล้วด้วย เทพรับใช้จากซิมโฟเนียอาเรียกำลังถูกพากลับที่พักขอรับ” เขารายงานรวดเร็ว

“ดีมาก! ต่อไปก็งานของข้าสินะ”

ไคซัสว่าแล้วก็ปล่อยตัวฮาธอสออกจากอ้อมแขน ก่อนยกมือขึ้นเหนือศีรษะ กระแสเวทอันทรงอานุภาพไหลไปรวมที่มือข้างนั้นเกิดเป็นออร่าสีเหลืองทอง ก่อนถูกยิงขึ้นฟ้าแล้วแตกออกเป็นเจ็ดเสียงกระจายไปตกลงยังจุดต่าง ๆ เจ็ดจุดรอบตำหนักพาเทร่า ก่อนพลังทั้งเจ็ดเชื่อมโยงกันเป็นวงกลมในพริบตา ก่อนจะเกิดเป็นโดมเวทคุ้มกันขนาดใหญ่ครอบคลุมตำหนักแห่งนี้ไว้ภายในเวลาไม่กี่นาที ทั้งฮาธอสและอัลล์ต่างอัศจรรย์ใจกับพลังของเขาอย่างยิ่งยวด

“ฮาธอสกลับที่พักเดี๋ยวนี้ อัลวินกับทหารอีกสองคนตามข้าไป ที่เหลืออีกคนไปบอกคนอื่น ๆ ว่าห้ามออกไปไหนทั้งนั้น เขตอาคมจะทำงานทันทีที่พวกข้าออกไปและจะคงอยู่จนกว่าข้าจะกลับมา ตราบเท่าที่ยังไม่ถูกทำลายทุกสวนก็จะไม่หายไป ยกเว้นข้าจะตายแล้วเท่านั้น!”

ฮาธอสไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองสะดุ้งผวาในตอนได้ยินคำพูดสุดท้ายของมหาเทพสงคราม ความวุ่นวายรอบข้างเหมือนฉายช้าลงในชั่วขณะนั้น เขาได้แต่มองไคซัสเรียกสร้อยทองที่มีจี้รูปตรีศูลมาสวมคอ จากนั้นมหาเทพสงครามก็เหาะจากไปพร้อมกับผู้ติดตามทั้งสามนาย กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนทหารคนสุดท้ายตะโกนเรียกเขา

“ฮาธอส ที่พัก!!”

“อ๊ะ! จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

ถึงปากจะว่าแบบนั้น แต่เทพคนสวนยังละล้าละลังดูทิศทางที่พวกไคซัสจากไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะใช้แรงใจทั้งหมดที่มีบังคับตัวเองให้วิ่งตามทหารคนนั้นกลับไปสมทบกับคนอื่น ๆ

---------------

มหาเทพสงครามกับนายทหารผู้ติดตามทั้งสามพุ่งผ่านอากาศไปราวกับดาวหาง พวกเขายังไม่รู้ว่าที่เกิดเหตุจริง ๆ อยู่ตรงไหน เพียงแต่ตามทิศทางที่พลังศักดิ์สิทธิ์ไหลไปทางใต้เท่านั้น การถ่ายอำนาจแห่งสวรรค์นี้เป็นเรื่องที่ผิดปกติและไม่ควรเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด!

ไม่ช้าแนวเขตแดนก็ปรากฏแก่สายตาของเทพทั้งสาม ซึ่งสิ่งผิดปกติปรากฏให้เห็นเกือบจะในทันที หนึ่งในเสาเขตแดนของแถบนี้ถูกบางสิ่งถล่มย่อยยับ เขตอาคมแห่งแดนฟ้าเกิดช่องโหว่อย่างเห็นชัด ทหารประจำชายแดนมากกว่ายี่สิบนายและทยอยมาเรื่อย ๆ ช่วยกันใช้พลังเวทสกัดมิให้เขตแดนขยายใหญ่ไปมากกว่านี้ ขณะที่บางส่วนจำคนเจ็บออกจากสถานที่เป้นการด่วน แต่ช่องโหว่นั้นกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ไคซัสนำผู้ติดตามไปที่นั่นโดยพลัน

“เป็นยังไงบ้าง” ไคซัสไม่รอช้าไปหาหนึ่งใจคนเจ็บที่ยังมีสติดีอยู่ เขาได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่

“ข้า...ยังไหวขอรับ” เขาตอบเสียงสั่น ทั้งที่เจ็บมากทีเดียว มหาเทพสงครามตรวจบาดแผลก็เห็นเป็นรอยเล็บขนาดใหญ่ “เรียนมหาเทพ มีอสูรขนาดใหญ่บุกเข้ามาขอรับ เราพยายามต่อต้านแล้ว แต่มันทรงพลังมากจนฝ่าเข้ามาในเขตแดนได้แล้วก็ทำให้เสาเขตแดนล้มลงมาขอรับ”

“แผลของเจ้ามีพลังมืดแฝงอยู่ ข้าจะเอาออกให้” เขาว่าพลางถามต่อ “เจ้าเห็นไหมว่าอสูรตอนนั้นลักษณะ ยังไง และหนีไปทางไหนแล้ว” มหาเทพสงครามต้องการข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อจัดการปัญหาอื่น ๆ ที่จะตามมา

“ข้า...ไม่ทันเห็นขอรับ มันเกิดขึ้นเร็วมาก” ทหารหนุ่มสูดลมหายใจลึก “แล้วก็...ตอนที่มันบุกเข้ามาได้...ข้าได้ยินเสียงหวีดแหลมด้วยด้วย...เห็นใครสักคนเหาะตามมันไป อ๊าก!” ทหารหนุ่มดิ้นพราดด้วยความทรมาน

“พอแล้ว ขอบใจมากน่ะ” เทพอสูรหนุ่มวางมือเหนือบาดแผลของนายทหารหนุ่มแล้วดึงกลุ่มก้อนพลังที่แฝงอยู่ในนั้นออกมา พลทหารแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บ

“มหาเทพไคซัส พลังมืดแผ่เข้ามาแล้วขอรับ!!”

คำเตือนจากอัลล์ทำให้เขาตัดสินใจกระชากพลังส่วนที่เหลืออกมาจากแผลสดนั่นในครั้งเดียว ทหารหนุ่มแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บครั้งหนึ่งแล้วหมดสติไปเกือบจะทันที หากไม่มีเวลาให้ไคซัสสนใจเขามากหนัก เทพหนุ่มหมุนตัวไปยังช่องโหว่ซึ่งกลุ่มควันสีดำขนาดมหึมากำลังไหลเข้ามาเขตสวรรค์ พลังด้านมืออันทรงฤทธานุภาพปะทะกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงมหิธรานุภาพไม่แพ้กัน บังเกิดสายฟาดฟ้าไปทั่วทุกสารทิศ เหล่าทหารสวรรค์ถึงกับหนีกระเจิงไปอยู่นอกรัศมี เหลือเพียงมหาเทพสงครามเท่านั้น ร่างสูงใหญ่กระตุกจี้ที่ห้อยคอยื่นออกไปข้างหน้า

“ด้วยสายเลือดแห่งราชามังกร ข้าขอสั่งให้เจ้าแสดงร่างที่แท้จริงต่อหน้า อัลเจอร์!!”

ฉับพลันจี้รูปตรีศูลก็เปล่งแสงแล้วแปรเปลี่ยนเป็นหอกที่มีสามแฉกขนาดใหญ่ ใบหอกทั้งสามเป็นสีเงินยวงวาววับ ด้ามจับเป็นสีดำสนิท ส่วนปลายเป็นลวดลายนูนต่ำคล้ายเปลวไฟสีเงินที่ลุกลามเป็นเกลียวมาทางหัวหอก ไคซัสตั้งมันกับพื้นแล้วรวบรวมพลังเวทให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระแสมนตราอันแน่นในร่างเขาจนมองเห็นเป็นรัศมีสีส้มสว่าง มันเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบกลายเป็นสีน้ำตาลในตอนที่เขาระเบิดพลังออกไป!

เสียงคล้ายระเบิดดังกระหึ่มพร้อมสายลมที่พัดกระโชกอีกครั้ง มีเสียงอัลล์สั่งให้ทุกคนถอยขณะอำนาจของไคซัสกับพลังศักดิ์สิทธิ์ผลักดันกลุ่มควันแห่งความมืดนั้นออกไป เกือบทุกสรรพสิ่งยกเว้นซากเสาเขตแดนกับไคซัสที่อยู่ในเขตคุ้มกันถูกดูดออกไปประหนึ่งหลุมดำก็ไม่ปาน เหล่าทหารต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มหาเทพสงครามทำได้แค่นี้ เขาต้องการคนที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้มาอุดช่องโหว่นี้ซะ

“ใครก็ได้ไปตามหาเทพจ้าวสวรรค์มาเร็วเข้า!”

“โว๊ว! นี่มันอะไรกันเนี่ย” เสียงเล็กที่ดังแทรกท่ามกลางสรรพเสียงที่กระหึ่มก้องนั้นเป็นของคนที่เทพอสูรหนุ่มไม่อยากได้ยินที่สุด เจ้าของร่างมีเขาหมุนตัวไปพบกับเซย์เรียโน่กับหญิงสาวผมสั้นสีขาวในชุดทะมัดทะแมง ซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิดน่าจะเป็นขุนพลเทพอันดับสองนามว่า ‘เรซิส’ ทั้งสองตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างยิ่งยวด

“มีอสูรพังเขตแดนเข้ามา ข้าต้องการคนอุดช่องโหว่นี่!” มหาเทพสงครามก้าวถอยหลังช้า ๆ โดยคงเขตอาคมไว้ด้วย “ข้าต้องไปตามจับอสูรที่หนีไปได้ ไม่อย่างนั้นเป็นเรื่องแน่!”

“มหาเทพไปเถอะ พวกเราจะจัดการทางนี้เอง” เรซิสบอกแล้วหันไปหาเด็กหนุ่ม “เซย์เรียโน่!”

“รู้แล้วน่า มหาเทพไคซัสจับตัวก่อเรื่องให้ได้นะ!” เซย์เรียโน่ร้องบอกไคซัสที่วิ่งกลับออกไป

“ไม่ต้องบอกก็รู้น่า!”

เจ้าของร่างสีแดงกระโจนขึ้นกลางอากาศไปสั่งให้ทหารประจำชายแดนตรึงกำลังห่างจากจุดที่เกิดช่องโหว่หนึ่งไมล์ครึ่งซึ่งเป็นระยะที่ปลอดภัยที่สด เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างมหาเทพสงครามก็แผ่จิตออกไปตามหาสิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้ามา ในอดีตมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขา เพราะทุกอย่างข้างล่างถูกปกคลุมด้วยพลังที่ใกล้เคียงกับของเขา แต่ที่นี่เขาสามารถพบผู้บุกรุกได้ภายห้านาทีเท่านั้น

“ตามข้ามา!”

อดีตราชาอสูรเรียกทหารของตนเสียงดังฟังชัด หลังจากนั้นก็เหาะนำอัลล์กับผู้ติดตามไปไล่จับผู้บุกรุกอย่างรวดเร็ว พลังของเขาส่งภาพของมันผู้นั้นมาปรากฏในดวงตาข้างซ้าย จากเลือนรางเป็นชัดเจนจนเห็นว่ามันคนนั้นมีรูปร่างเล็ก ใส่ชุดคลุมทั้งตัวจนมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง แต่นั่นยังไม่อันตรายเท่ากับการที่มันยังเหาะได้เร็วทั้งที่ปกปิดพลังอย่างมิดชิด!

“มันรู้ตัวแล้วขอรับ!” จู่ ๆ อัลล์ก็ตะโกนออกมา พริบตานั้นผู้บุกรุกก็เปลี่ยนทิศเหาะหลบเพื่อหลบหนี

แต่ฝันไปเถอะ ไคซัสเป็นเทพอสูรซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดของเผ่านักล่า เมื่อเขาเล็งเป้าหมายแล้วไม่มีทางยอมให้หลุดมือไปง่าย ๆ แน่ เขาเร่งความเร็วจนเกือบถึงขีดสุด เร็วเสียจนพวกอัลล์ไม่สามารถเหาะตามทันอีกต่อไป ฝ่ายศัตรูก็พยายามเร่งหนีอย่างสุดชีวิต ทว่าไม่นานมหาเทพสงครามก็ตามมาจนเห็นตัวอีกฝ่ายด้วยตาของตนเอง และใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็อยู่ในรัศมีการได้ยิน

“ผู้บุกรุก หยุดให้จับกุมเสียดี ๆ มิเช่นนั้นชีวิตของเจ้าจะหาไม่!” เขาตะโกนออกไป น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นบ่งชัดว่าเอาจริง

ไร้การตอบสนองในด้านบวก มีแต่ลบคือ อีกฝ่ายเร่งความเร็วหนีไปจากเขาให้เร็วขึ้นอีก ช่างเปล่าประโยชน์สิ้นดี คิดปรามาสแล้วมหาเทพสงครามก็ทะยานออกไปเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ มือหนายื่นไปไขว่คว้าหลังเสื้อผู้บุกรุกได้แล้ว แต่แรงรั้งทำให้มันขาดหลุดออกมา ไคซัสคำรามก่อนพุ่งเข้าไปคว้าสิ่งที่น่าจะเป็นแขนแล้วเหนี่ยวรั้งกลับมา อีกมือเสือกหอกไปที่คอของอีกฝ่าย พริบตานั้นเองที่มันกรีดร้อง

“เดี๋ยวก่อน ๆ ข้าเอง ไคซัส!!”

ไคซัสตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงหวานใสดั่งกังสดาลที่เต็มไปด้วยความร้อนรนนั้น มือหนาคว้าชิ้นส่วนเสื้อคลุมที่สวมศีรษะอีกฝ่ายออกเผยใบหน้าอ่อนเยาว์ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำเหลือบแดงของเด็กสาว ซึ่งดูภายนอกแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบสี่ให้เห็น ดวงตากลมโตสีพริมโรสมองตรงมาที่เขาอย่างตกใจ ตื่นตระหนก และลนลานใกล้จะสติแตก...เหมือนกับเขาในวินาทีนี้

“ไคมีร่า!!” เขาคำรามเสียงดังกึกก้องทำเอาเด็กสาวอุดหูแทบไม่ทัน

“ขะ...ข้าเอง ข้าอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้นะ” ไคมีร่าพูดเร็วรี่ เต้นไปมาอย่างกลัวความผิด

“แน่นอน ข้าอยากจะฟังคำอธิบาย ดาเรียนรู้ไหมว่าเจ้ามาที่นี่!” มหาเทพสงครามปล่อยมือจากหอกให้มันลอยด้วยตัวเองแล้วกอดอกจ้องคนตรงหน้าอย่างจับผิด “เจ้ารู้ตัวไหมว่าสิ่งที่เจ้าทำสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นขนาดไหน!!”

เด็กสาวห่อตัวเล็กลีบพอดีพวกอัลล์มาถึง แต่พวกเขาไม่ทันได้พูดอะไร ไคซัสก็ยกมือห้ามไว้ก่อน ทุกคนจึงลอยตัวมองเหตุการณ์อย่างไม่เข้าใจ

“ดาเรียนไม่รู้หรอกว่าข้ามา...” เธอสะดุ้งยามไคซัสถลึงตาใส่ “แต่ข้าไม่ได้ทำลายเสาเขตแดนนะ ข้าคิดถึงท่านก็เลยขี่พัมกิ้นซ์มาแถวนี้ เผื่อเจอท่านบ้าง...”

“เดี๋ยวก่อนนะ” ไคซัสร้องแทรกขึ้นมา หน้าตาไม่อยากเชื่อ “เจ้าเอาพัมกินซ์มาหรือ!?”

“เรื่องดุข้าเอาไว้ทีหลัง ฟังก่อน!” ไคมีร่าแทบกรี๊ดใส่ด้วยความร้อนใจ “ข้าเอาพัมกินซ์มา เพราะมันรู้ทางมาสวรรค์ ข้ากำลังคิดว่าจะลองขอเข้าแดนสวรรค์เพื่อมาพบท่านที่ทวารดินด้วยซ้ำ! แต่พอพัมกินซ์บินมาถึงเสาเขตแดนต้นนั้น จู่ ๆ ก็มีบางอย่างพุ่งใส่มันทำให้มันเกิดคลั่งขึ้นมา สะบัดข้าตกจากหลัง แล้วฝ่าเข้ามาชนเสาเขตแดนจนถล่มลงมา ข้าพยายามจะหยุดมันแล้ว แต่มันไม่ฟังข้าเลย ข้าก็เลยตามเข้ามาเพื่อจับมันออกไป!”

เทพอสูรคว้าแขนเธอไปใกล้ทันทีที่เล่าจบ “เจ้าแน่ใจนะว่ามีบางอย่างวิ่งใส่มัน” เขาคาดคั้น

“แน่นอน ไคซัส ข้าไม่เคยโกหกท่านนะ!” ไคมีร่ายืนยันอย่างหนักแน่น

“เอ่อ...มหาเทพไคซัส สตรีผู้นี้...” อัลล์พยายามลองแทรก ซึ่งไม่เป็นผล

“เงียบก่อน อัลวิน นี่เป็นเรื่องสำคัญ!” เขาตัดบทแล้วจับบ่าเด็กสาว ตั้งคำถามที่กลัวที่สุดออกไป “เจ้าเห็นไหมว่าพัมกินซ์ไปทางไหน”

ไคมีร่าสูดลมหายใจลึกแล้วชี้ไปทางเหนือค่อนตะวันออกเล็กน้อย ไคซัสกับทหารในสังกัดมองตามไปแล้วหน้าถอดสีกันอย่างตกตะลึงกันทั้ง คำสบถอย่างหยาบคายที่สุดในแดนสวรรค์ก็หลุดจากปากมหาเทพผู้สูงส่ง!

“ฉิบหายแล้ว! มันกำลังมุ่งไปที่พาเทร่า!!”

----------------

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
«ตอบ #26 เมื่อ26-08-2013 20:11:28 »

นะ....นิยายตัดได้สองคอมเมนต์แล้ว ปลื้มปริ่ม  :sad4:

แต่ตอบคอมเมนต์ต้องมาติ่งแทน mod คงไม่ว่าหรอกเนอะ (เข้าข้างตัวเองไว้ก่อน ผมเปล่าปั่นเมนต์นะครับ)  :3123:

ตอบคอมเมนต์ครับ

คุณ kamidere ขอบคุณครับ ^ ^ แล้วแวะมาทักทายกันอีกนะครับ แฮะๆ

คุณ padang ขอบคุณสำหรับกำลังใจมากๆ ครับ มาโกะนิสัยเสียชอบเขียนยาวน่ะครับ บางทีบรรยายมากไปจนเวลารีไรท์ต้องกลับไปตัดฉากที่ไม่จำเป็นออกก็มี (ซึ่งเรื่องนี้หมายตาไว้สองสามฉากเหมือนกัน) ปกติจะโพสที่เด็กดีซึ่งไม่จำกัดอักษร พอมาเจอเว็บนี้จำกัดด้วย แล้วก็แถมปั่นเมนต์ด้วย เลยกลัวว่าจะทำผิดกฎน่ะครับ

คุณ อายทำไม /บิดตัวกระมิดกระเมี้ยน แฮะๆ โดนใจจับได้ซะแล้ว

มาโกโตะ-ซัง ก็คือ เคย์เซย์ นั่นเองครับ ตัวคันจิที่เป็นชื่อนามปากกาสองตัว ถ้าอ่านตามเสียงของมันเลยจะอ่านได้ว่า "เมกุมิ มาโกโตะ" ซึ่งมีความหมายว่า ความซื่อสัตย์และความเมตตา ผมอยากมีนามปากกาสำหรับแนว boy's love โดยเฉพาะก็เลยตัดเอาคำว่า มาโกโตะ มาใช้ครับ แต่ในเล้ามีคนใช้ makoto ไปแล้วก็เลยต้องมาใช้ makoto-sang แทน  :o8:

ดีใจนะเนี่ย มีคนจำได้ด้วย ^ ^  คุณอายทำไมคุณอ๊ายอายจังในเพจสินะครับ (เดาจากยูสเนม)

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
«ตอบ #27 เมื่อ26-08-2013 22:12:12 »

มีปีศาจแฝงตัวในสวรรค์แน่นอน
เดี๋ยวก็เจอ

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
«ตอบ #28 เมื่อ27-08-2013 00:59:13 »

ลงเรื่องได้ยาวสะใจมาก หุหุ

แอบมีฉากหวานชอบๆ :-[

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
«ตอบ #29 เมื่อ27-08-2013 11:27:23 »

 :m1: :m3:สนุกชอบมากเลย ชอบแนวนี้
ขอติดตามเป็นแฟนคลับนะคนเขียน
ลุ้นๆๆตอนต่อไปจะเป็นยังไง  :hao7: :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด