[นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13  (อ่าน 38426 ครั้ง)

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
«ตอบ #30 เมื่อ27-08-2013 19:46:50 »

บทที่ 7 ความสามารถของคนสวน
- 50% -

เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังกระหึ่มไปทั่วตำหนักพาเทร่า ขณะเหล่าทหารภายในโดมอาคมรีบคว้าอาวุธออกมาตั้งรับที่ลานกว้าง ข้างนอกนั้นมีสัตว์อสูรที่มีลักษณะเหมือนสิงโตสีดำปรอด นัยน์ตาสีแดงฉาน ขนแผงคอตรงช่วงอกมีขนสีขาวเป็นรูปลูกศรีชี้ลงด้านล่าง มีพยายามจะฝ่าเข้ามาในตำหนักพาเทร่าให้ได้

“ตั้งแถว ตั้งแถว!!” เซบาสเตียนซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดในตอนนี้ออกคำสั่ง ทหารทุกนายจึงเข้าแถวตามที่ถูกฝึกฝนมา หอกสีทองยาวถูกตั้งขึ้นชี้ตรงไปยังสัตว์อสูรข้างนอกนั้น ทว่าสัตว์ประหลาดข้างนอกนั่นหาสนใจไหม มันแผดเสียงคำรามอีกครั้ง ก่อนพ่นไฟสีน้ำเงินใส่เขตอาคมทำให้เกิดส่องแสงวูบวาบจากความร้อนที่แผ่ไปทั่ว แต่ยังตั้งอยู่ได้ กระนั้นเจ้าอสุรกายสีดำก็ไม่ยอมแพ้และพยายามพุ่งชนด้วยกำลังของตนเอง

“เสริมพลัง!!” เซบาสเตียนสั่งอีกครั้ง ทหารทุกนายก็ปล่อยพลังไปเสริมแรงให้เขตอาคมโดยทันที

ฮาธอสยังไม่ได้กลับเข้าไปที่พัก เขาเกาะขอบประตูชั้นในมองดูเหตุการณ์ด้วยความตกใจ เกิดมาเพิ่งเคยเห็นอสูรแห่งความมืดที่ตัวใหญ่และทรงพลังขนาดนี้เป็นครั้งแรก แข็งแกร่งจนเขานึกกลัวว่ามันจะฝ่าเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้

“ฮาธอส!” เสียงร้องเรียกดังมาจากข้างหลัง เมื่อหันไปก็พบเพื่อนจากตำหนักเดียวกันเกาะเสาทางเดินหน้าซีดอยู่ แผ่นเมฆที่ตั้งปราสาทสั่นสะเทือนท่ามกลางเสียงระเบิดของการโจมตีอีกครั้ง เขตอาคมสว่างวาบ เทพคนสวนประคองตัวเองผ่านพื้นสั่น ๆ ไปหาเพื่อนอย่างลำบาก

“มีอะไร! เจ้าไม่ควรออกมาที่นี่นะ” หลับหูหลับตาถามพร้อมคว้าเสาต้นเดียวกันไว้

“ขะ...ข้าก็ไม่อยากออกมานักหรอก หวา!” สหายของเขาร้องสั่นเมื่ออสุรกายชนเขตอาคมจนเกิดเสียงดังกึกก้อง ความกลัวทำให้เขาพูดตะกุกตะกักจนฟังไม่รู้เรื่อง “พะ...พวก...หา...ไม่เจอ...!”

“เดี๋ยว ๆ นี่เจ้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ!” ฮาธอสถามเสียงเข้ม เริ่มตกใจบ้างแล้ว

“...หาไม่เจอ...” สหายร่วมตำหนักของเขาเค้นเสียงอีกครั้ง “พวกเราตามหานาซิลลาไม่เจอ!!”

“ว่าไงนะ! นางไปที่ห้องเครื่องนี่ นางกำนัลที่นั่นไม่ได้พานางกลับไปด้วยรึ!” ฮาธอสร้องอย่างตกใจสุดขีด ขณะเดียวกันนั้นราชสีห์อสูรก็ส่งเสียงคำรามอย่างดุร้ายทำให้เขาแทบไม่ได้ยินคำตอบของเพื่อน

“เปล่า! นางไม่ได้ไปที่ห้องเครื่องตั้งแต่แรกแล้ว!!”

สิ้นเสียงของสหายร่วมตำหนัก เจ้าสัตว์ร้ายก็ยิงพลังเวทสีดำใส่โดมคุ้มกันติด ๆ กัน ซ้ำที่จุดเดิมถึงเจ็ดครั้ง แต่ละครั้งดวงเวทจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และให้ตำหนักสั่นสะเทือนจนแทบยืนไม่อยู่ พวกเซบาสเตียนไม่สามารถเสริมกำลังให้ได้ เขตอาคมจึงเริ่มเกิดรอยร้าวแผ่ออกมาจากจุดศูนย์กลาง และเมื่อมันยิงกระสุนเวทลูกสุดท้ายออกมา ม่านมนตราบริเวณนั้นก็แตกกระตาย พลังสีดำลอยเข้ามาระเบิดในเขตพาเทร่า!

เสียงระเบิดดั่งสนั่นหวั่นไหว แรงระเบิดทำให้อาคารที่พักทหารแตกร้าว สายลมกระโชกซัดร่างทหารที่ตั้งรับตรงนั้นกระเด็นไปไกลหลายเมตร ฮาธอสกับเพื่อนกอดเสาที่จับอยู่แน่น ได้ยินเสียงสหายของเขาร้องลั่นด้วยความกลัวสุดขั้วหัวใจ มีแต่เทพคนสวนที่พยายามเบิ่งตาดูสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเห็นเขตอาคมซ่อมแซมตัวเองเร็วที่สุดเท่าที่เคยพบมา ทว่าก็ไม่อาจขวางกั้นสิงโตอสูรได้ มันทะยานฝ่าเข้ามาในเขตพาเทร่าได้ เมื่อนั้นเองที่เขตอาคมหดเล็กลงเหลือครอบคลุมแค่ชั้นในเท่านั้น!

“ถอยกลับ! ตั้งรับหน้าเขตอาคม!!” เซบาสเตียนออกคำสั่งแข็งกับสายลม ทหารที่ลุกไหวก็รีบทำตามคำสั่ง บางส่วนวิ่งเข้าไปเสริมพลังให้กำแพงมนตราจากด้านใน ฮาธอสฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังวุ่นวิ่งออกมาตะโกนบอกผู้นำทหารว่า

“เซบาสเตียน นาซิลลาหายไป!”

ยังไม่ทันขาดเสียงของฮาธอสดีด้วยซ้ำ สิงโตดำที่หยุดทำจมูกฟุดฟิดก็วิ่งไปยังที่พักทหารทางฝั่งขวา พุ่งชนปีกหนึ่งที่อยู่ใกล้กำแพงชั้นในที่สุดพังลงมาทั้งแถบ ฮาธอสกับเหล่าทหารอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ก่อนหัวใจเทพคนสวนจะร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อร่างเล็กไว้ผมสีเงินยวงวิ่งออกมาจากซอกข้างตึกที่เป็นสวนหย่อมเล็ก ๆ เธอก็คือคนที่ฮาธอสกำลังตามหาอยู่ นาซิลลาพยายามมาหาพวกทหาร แต่กลับสะดุดซากไม้ล้มลงอย่างไม่น่าให้อภัย อสุรกายสีดำกลับตัวแล้วทะยานตรงเข้าเธอด้วยความเร็วสูง

“กรี๊ดดด!!!” นาซิลลากรีดร้องอย่างตื่นกลัวสุดขีด ดวงตาปิดแน่นคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ แต่หลังผ่านไปสักครู่โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็ลืมตาขึ้นมาพบกับภาพที่น่าตกใจ “ฮาธอส!!”

บุรุษผมสีทองนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งห่างตัวเธอไปแค่คืบเดียวเท่านั้น แขนข้างหนึ่งกางกั้นเด็กสาวไว้ข้างหลัง มืออีกข้างถือดาบที่มีแสงสีขาวเปล่งเป็นโล่สกัดสิงโตอสูรไว้ โล่แสงนั้นขยายใหญ่ขึ้นเมื่อสิงห์ร้ายพยายามจะขย้ำเขา เทพหนุ่มกัดฟันกรอดเสียวสันหลังวาบตอนเขี้ยวคมเฉียบศีรษะไปนิดเดียว อำนาจมหาศาลของอีกฝ่ายก็ถาโมลงมากดดันจนแทบหายในไม่ออก แต่เขายังอดทนไว้เพื่อชีวิตของคนข้างหลัง ทหารทุกนายทำตาโตอย่างตกตะตึง แล้วเซบาสเตียนก็รู้ว่าดาบที่ฮาธอสใช้นั้นเป็นของเขานั่นเอง!

“นาซิลลามัวทำอะไรอยู่ รีบกลับเข้าไปในเขตอาคมเร็วเข้า!!”

เทพจันทราน้อยเพิ่งรู้สึกตัวจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นวิ่งไปหาพวกเซบาสเตียน สิงโตอสูรไม่รอช้ากระโจนข้ามหัวฮาธอสตามเธอไป เทพคนสวนหายอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ เขาใช้วิชาหายตัวไปปรากฏเบื้องหน้ามันอีกครั้ง ตั้งดาบขึ้นในแนวขวางขนานพื้น ก่อนกระแทกตัวมันออกไปด้วยพลังปราณ ราชสีห์ตัวเขื่องลอยละลิ่วไปตกลงบนพื้นห่างไปเกือบสามสิบหลา มันคำรามกราดเกรี้ยวขณะลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับเทพหนุ่ม

ฮาธอสสะบัดดาบมาอยู่ในแถนขวาง เตรียมพร้อมรับทุกอย่างที่จะตาม และเมื่อสิงโตดำพ่นไฟสีดำออกจากปาก เทพคนสวนก็สร้างกำแพงมนตราขึ้นต้านทานไว้ กระนั้นรังสีความร้อนยังแผ่เข้ามาถึงตัวจนเทพหนุ่มกัดฟันกรอดอีกหน ก่อนรวบรวมพลังไว้ที่ดาบตวัดทำลายไฟนั้นจนสิ้นซากในครั้งเดียว!

“อะไรกันเนี่ย เทพรับใช้ตนนี้...” เซบาสเตียนครางอย่างตะลึง ทุกคนรวมถึงนาซิลลาก็อัศจรรย์ใจ

“กลับไปเถิด อสูรเอ๋ย เจ้าหาควรอยู่ที่นี่ไม่!” ฮาธอสตะโกนบอกอสุรกาย

แต่สัตว์ร้ายกลับเลือกกระโจนใส่เทพคนสวนโดยตรง ชายหนุ่มกระโดดขึ้นหลบกรงเล็บที่หวดใส่ ตามด้วยตวัดดาบไปกันอีกข้าง เขาสะท้อนมันออกไปอีกทีแล้วร่ายมนต์คุ้มกันป้องกันเพลิงบรรลัยกัลป์ แต่คราวนี้เขาวาดมือซ้ายเป็นวงทำให้ไฟนั้นรวมกันเป็นลูกใหญ่ ก่อนยิงอัดกลับไป เจ้าสิงโตกระโจนหลบได้ก่อนพุ่งเข้าใส่ ปากอ้ากว้างหวังขย้ำตัวฮาธอสให้ได้ เทพหนุ่มยกดาบที่เป็นสื่อกลางของโล่แสงกั้นไว้ เขากัดกรามแทบแตกเมื่อรับรู้ถึงน้ำหนักมหาศาลที่โถมลงมา

“ย๊าก!!” เทพคนสวนคำรามพร้อมใช้พลังในร่างผลักอสุรกายออกไปอีกครั้ง ไกลกว่าเดิมมากทีเดียว ร่างสูงโปร่งที่หอบโยนเริ่มปรากฏรัศมีสีขาวชัดเจนขึ้น ความเหนื่อยจากการต่อสู้ทำให้เขาเริ่มควบคุมพลังไม่ได้ บางส่วนจึงไหลออกมาภายนอกอย่างที่เห็น ซึ่งเขาไม่ชอบเอาเลยจึงหันไปตะโกนบอกคนข้างหลัง “พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่ รีบถอยกลับเข้าไปข้างในสิ พานาซิลลาไปด้วย...อ๊ะ!!”

เพียงพริบตาที่ฮาธอสละสายตาจากศัตรู อสูรสีดำก็ทะยานเข้าใส่เขาอีกครั้ง อุ้งเท้าหนักอึ้งพาดลำตัวของเขาอย่างจัง แม้ว่าเทพหนุ่มจะไหวตัวทันใช้พลังป้องกันตัวเองไว้ได้ ทว่าแรงปะทะที่เกิดขึ้นก็ส่งเขาลอยละลิ่วไปชนกับผนังที่พักทางซ้ายจนถล่มลงมาด้วยกัน ชายหนุ่มบิดตัวเกร็งด้วยความเจ็บบนพื้น เศษอิฐตกใส่ศีรษะจนปวดแปลบไปหมด

นาซิลลาหวีดร้องแล้วทำท่าจะวิ่งออกไปช่วยเทพคนสวน แต่เซบาสเตียนคว้าตัวลากกลับมาเสียก่อน ตอนนั้นเองที่สิงโตดำจู่โจมโดมมนตราอีกครั้ง มันใช้กรงเล็บตะปบจนเกิดสายฟ้าปะทุออกมาตัวม่านตรา สายหนึ่งนั้นกระแทกตัวมันอย่างจังจนกระเด็นไปอีก แต่แทนที่จะหยุด มันแผดเสียงอย่างโมโห อ้าปากรวมพลังเข้าด้วยกันอีกครั้ง เซบาสเตียนสั่งให้ทุกคนถอยพร้อมพาเทพจันทราน้อยไปด้วย

แต่ก่อนที่อสูรร้ายจะรวมหลังได้อย่างใจหวัง แสงสีขาวก็พุ่งกระแทกหัวมันอย่างจังจนกระเด็นออกไปอีกครา ฮาธอสลงพื้นอย่างนุ่มนวลแล้วกระโดดหมุนตัวกลับไปอยู่หน้าโดมคุ้มกัน เลือดสีแดงไหลจากไรผมลงมาตามซีกหน้า รัศมีรอบตัวของเขาเข้มชัดและทรงพลังกว่าเมื่อครู่นี้เป็นเท่าตัว เขาไม่สนใจแล้วว่าใครจะมองด้วยสายตาเช่นไร สิ่งที่คิดตอนนี้มีเพียงสู้เพื่อปกป้องคนอื่น ๆ ให้ได้เท่านั้น! ดวงตาจ้องมองสิงโตดำลุกขึ้นช้า ๆ อย่างมึนงง มันส่งเสียงต่ำดูหัวเสียหนักทีเดียว

“ไปซะ” ฮาธอสสั่งมัน นาซิลลากับพวกเซบาสเตียนไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำไปเพื่ออะไร อสูรร้ายตนนี้ควรจะฆ่าทิ้งมากกว่า! “ข้ายังไม่อยากฆ่าเจ้า รีบไปจากที่นี่ซะ!!”

แน่นอนว่าอสูรราชสีห์ย่อมไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด มันสะบัดหัวให้หายมึนเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ควบเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว ฮาธอสมองมันด้วยความเจ็บปวด ร่างสูงสืบเท้าข้างหนึ่งไปข้างหลัง สองมือวาดสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกกลางอากาศ ก่อนสะบัดมือทั้งสองข้างออกไปด้านข้าง บังเกิดม่านอาคมสีขาวป้องกันเขาจากสัตว์ร้ายทันในนาทีสุดท้ายพอดิบพอดี แรงกระแทกหนักหน่วงทำให้เขาถอยหลังไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ค้ำยันไว้ได้ สิงห์ดำพยายามตะกายหาทางเข้ามาเต็มที่ เขี้ยวแหลมคมห่างจากใบหน้าของเขาแค่นิดเดียว

“ทำไมล่ะ เจ้าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร!” ฮาธอสตะเบ่งเสียงก้อง ดันมือส่งพลังสะท้อนอสุรกายออกไปอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงเขาก็ทำใจลงมือฆ่ามันไม่ลงจริง ๆ

‘ฮาธอสเอ๋ย เจ้าอ่อนแอเกินไป ไม่มีทางเป็นเทพชั้นสูงได้หรอก’ กระแสเสียงที่มีสำเนียงคล้ายกันผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของความทรงจำ ประหนึ่งจะตอกย้ำความไม่กล้าสังหารสัตว์ร้าย เทพคนสวนสะบัดหัวขับไล่มันออกไปแล้วเสริมพลังให้มนต์ป้องกัน เพราะรู้ว่าการตัดสินใจเมื่อครู่นี้เป็นความผิดพลาด

สิงโตดำม้วนตัวลงพื้นได้ดีกว่าเก่า ครั้นตั้งหลักได้ใต้เท้าทั้งสี่ก็ปรากฏวงแหวนเวทดาวห้าแฉกขึ้นมาแวบหนึ่ง จากนั้นกระแสพลังมืดก็ไหลออกจากตัวมันไปรวมกันในปากที่อ้ากว้าง รวมกันเป็นหนึ่งจากก้อนเล็กเท่าเข็มแล้วขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาสีแดงฉานลุกโชนราวกับเปลวไฟแห่งซาตาน กระทั่งอำนาจเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดมันก็ยิงกระสุนเวทใส่กำแพงของฮาธอสทันที

กระสุนมนตราแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูง เขตอาคมของฮาธอสเรืองอำนาจสูงสุดส่องแสงที่สว่างเจิดจ้าจนต้องปิดตาก่อนจะมืดบอด พร้อมกันนั้นก็เตรียมใจรับการกระแทกอันรุนแรงที่จะตามมาด้วย แต่เมื่อเขาเขาทำเช่นนั้น พลันมีแสงสีส้มตกลงมาจากฟ้า เงาร่างใหญ่โตยืนจังก้าดั่งไม่กลัวพลังนั้น เทพคนสวนกำลังจะบอกให้ถอยก็บังเกิดเสียงระเบิดดังกระหึ่มเสียก่อน

และท่ามกลางสายลมระเบิดที่พัดปั่นป่วนไปทั่วลานกว้าง ร่างใหญ่นั้นก็พุ่งไปข้างหน้าแล้วก็มีเสียงร้องของสิงโตดังขึ้นวูบหนึ่งก่อนเงียบหาย ตามด้วยเสียงตูม พื้นเบื้องล่างสั่นสะเทือนเบา ๆ ฮาธอสพยายามเปิดตาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ากระแสลมพัดปะทะใบหน้าของเขาพอดี ทำให้ต้องหลับตารอจนทุกอย่างจะสงบ พร้อมกับสลายพลังทิ้งไป หลังจากนั้นจึงเบิ่งตาขึ้นมองเบื้องหน้า

ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของเขาคือ มหาเทพสงครามยืนเหยียบส่วนหัวของสิงโตดำ ซึ่งบัดนี้นอนสลบเหมือดบนพื้นที่มีแต่รอยแตกราว มือถือหอกจ่อคอมันพลางว่าคาถาด้วยสีหน้าโกรธจัด สักครู่ดึงหอกถอยออกมาแล้วก็มีดวงแสงสีแดงลอยมาอยู่ในมือ ภายในนั้นมีแมลงไสยเวทตัวเขื่องวิ่งพล่านหาทางหนี

“มีใครเป็นอะไรไหม” มหาเทพเบือนหน้ามาถามอย่างร้อนใน ก่อนชะงักเมื่อเห็นเลือดเปื้อนหน้าเทพคนสวน “ฮาธอส เจ้าบาดเจ็บ”

“เอ๊ะ! นี่หรือ...” ฮาธอสเอามือแตะใต้ไรผมที่เคยเจ็บ แต่ไม่มีบาดแผลอยู่ตรงนั้น มันคงจะหายแล้ว “บาดแผลสมานตัวแล้วขอรับ ร่างกายของข้าฟื้นตัวเร็วกว่าเทพทั่วไปมาก”

“งั้นรึ! คนอื่นล่ะ!” ไคซัสมองเข้าไปข้างใน เซบาสเตียนวิ่งออกมาแสดงความเคารพ ขณะทหารนายอื่น ๆ กระจายกำลังล้อมพื้นที่ไว้ เหลือแต่นาซิลลาที่ถูกเพื่อนร่วมตำหนักห้ามไม่ให้ตามออกมาด้วย

“เรียนมหาเทพไคซัส การโจมตีของอสูรราชสีห์เกิดขึ้นเมื่อประมาณสิบนาทีก่อนขอรับ มันพังเขตอาคมเข้ามาทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บสิบเอ็ดนาย ตอนนี้ถูกพาไปเยียวยาที่ลานด้านหลังปราสาทแล้วขอรับ” เซบาสเตียนรายงานแล้วคุกเข่าคำนับ “ข้าน้อยต้องขอประทานโทษอย่างยิ่งที่ไม่สามารถปกป้องตำหนักได้ ขอมหาเทพไคซัสลงโทษอย่างหนักด้วยขอรับ!”

“พัมกิ้นซ์!!”

ทุกคนเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกัน หลังมีเสียงหญิงแปลกหน้ากรีดร้อง ไคมีร่าที่อัลล์กับทหารในสังกัดคุมตัวตามมาถลาไปดูอาการของสิงโตอสูรด้วยความเป็นห่วง ปากพร่ำพูดว่า ‘มันจะตายไหม’ ตลอดเวลา ยังความประหลาดใจให้แก่ทุกคนอย่างมาก ฮาธอสเหลียวมองสหายที่ทิ้งตัวลงมาอยู่ข้างกาย แต่นายทหารผมสีแดงเพลิงส่ายหัวให้อย่างไร้คำตอบ

“เฮ้อ! มันไม่เป็นไร” ในที่สุดเด็กสาวก็ถอนใจอย่างโล่งอก ก่อนเงยหน้าไปหาเทพอสูรกายสีแดง ซึ่งเธอถึงกับอึ้งเมื่อเห็นแมลงไสยเวทในมือเขา “สวรรค์ แมลงไสยเวทตัวใหญ่อะไรอย่างนี้”

“เพราะมันกินพลังของพัมกิ้นซ์เข้าไปน่ะสิ!” ไคซัสพูดเสียงกร้าว ก้มลงหิ้วเด็กสาวตัวลอยขึ้นมาแล้วผลักไปห่าง ๆ “ถอยไป ข้ายังไม่เสร็จธุระ”

ว่าแล้วมหาเทพสงครามก็เอามืออีกข้างไปอยู่เหนือที่กักขังแมลงไสยเวท ส่งพลังเข้าไปในตัวแมลงร้ายที่วิ่งพล่านไม่หยุด ครู่ต่อมาก็มีภาพอุโมงค์มืดปรากฏในดวงตาแล้ววิ่งผ่านไปด้วยความเร็วสูง เขากำลังย้อนรอยไปหาคนที่ส่งแมลงไสยเวทตัวนี้มาสิงพัมกินซ์แล้วบังคับให้มันก่อเรื่องร้าย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับมันให้จงได้

แต่ทันทีที่มองเห็นปลายทางซึ่งจะไปสู่ตัวการของเรื่องนี้ จู่ ๆ ก็มีแสงสีแดงฉานบังเกิดขึ้นพร้อมกับความแสบร้อนในดวงตาของเขา

“อ๊าก!!” มหาเทพสงครามเอามือปิดตา ทำให้ที่กักขังแมลงไสยเวทร่วงจากมือ

ไคมีร่ารีบยื่นมือออกไปเพื่อรับมัน ทว่าคลาดไปเพียงปลายนิ้ว ดวงเวทกระทบพื้นทำให้เวทมนต์สลายไป แมลงไสยเวทพุ่งตัวขึ้นกลางอากาศเพื่อหลบหนี ก่อนจะถูกศรเวทลมยิงทะลุกลางลำตัวสลายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน แล้วเรซิสกับเซย์เรียโน่ที่เพิ่งมาถึงก็ลอยตัวลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล ท่าทางคุกคามเอาเรื่อง ฮาธอสกับอัลล์จึงวิ่งไปสมทบกับเจ้านายของตน เทพคนสวนเข้าประคองตัวไคซัสไว้คนแรก

“พวกเราจัดการปิดช่องโหว่ของเขตอาคมเรียบร้อยแล้ว” เรซิสแจ้ง ใบหน้านวลผ่องเหลียวมองเด็กสาวแปลกหน้า “พวกเราเลยตามมหาเทพสงครามมา”

“แต่ดูเหมือนท่านจะจับคนร้ายได้แล้ว จะเริ่มการสอบสวนเมื่อไหร่ล่ะ” เซย์เรียโน่ก็มองไคมีร่า เด็กสาวย่นคิ้วใส่อย่างเป็นศัตรู แต่เด็กหนุ่มเลือกจะเมินไปมองไคซัสที่เพิ่งจะลืมตาขึ้น “ไง สาวถึงตัวผู้บงการไหม”

“ไม่! ถูกขัดขวางเสียก่อน” ไคซัสเหยียดตัวขึ้นตรง ส่งสัญญาณบอกให้ฮาธอสปล่อยมือ เทพคนสวนส่ายศีรษะประท้วงจนต้องดันบ่าออกไปถึงยอมปล่อย “แล้วไคมีร่าก็ไม่ได้เป็นคนร้ายด้วย แต่เป็น...”

“เป็นอะไรหรือ”

เสียงของฟาเบียนดังกังวานไปทั่วตำหนักตัดบทของไคซัสอย่างเหมาะเจาะ อากาศธาตุเบื้องหน้ามหาเทพสงครามบิดเบี้ยวแล้วแหวกออกเป็นประตูมิติ มหาเทพจ้าวสวรรค์ก้าวออกมาจากช่องนั้นด้วยใบหน้าโกรธจัด ถึงจะดูไม่น่ากลัวเอาเสียเลยก็ตาม

“เสาเขตแดนต้นหนึ่งถูกทำลายโดยอสูรตนนี้ ทำให้เกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่เขตแดน ขุนพลเทพถึงสองคนต้องช่วยกันซ่อมแซม...” ฟาเบียนพยายามข่มกลั้นในช่วงแรก ทว่ายิ่งพูดน้ำเสียงของเขาก็ยิ่งกราดเกรี้ยวขึ้น “ส่วนเด็กสาวคนนี้ก็ฉวยโอกาสบุกเข้ามาในเขตสวรรค์ หลบหนีการจับกุมของเจ้า แถมอสูรตนนั้นยังมาอาละวาดที่นี่จะเกือบพัง เจ้าจะบอกว่านางเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ!”

“ไคมีร่าเป็น ‘น้องสาว’ ของข้า”

เพียงประโยคเดียวที่เอ่ยสวนออกมาอย่างสงบ แต่กลับหยุดความพิโรธของราชาแห่งฟ้าได้อย่างชะงัด ก่อนเขากับเทพคนอื่นๆ จะเหลียวมองไคมีร่าด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่งยวด แต่คนที่ตกใจที่สุดดูเหมือนจะเป็นฮาธอส หรือว่า ‘คนคนนั้น’ ที่ไคซัสเคยพูดถึงจะเป็นเด็กสาวคนนี้ แล้วมหาเทพจ้าวสวรรค์ก็พูดออกมา

“ข้าต้องการที่คุยเงียบ ๆ”

“ห้องทำงานของข้า ฮาธอสไปเปลี่ยนชุดแล้วดูแลเรื่องน้ำชากับของว่างให้ที เซบาสเตียนกับคนอื่น ๆ สร้างกรงขังด้วยพลังเทพขังพัมกินซ์ไว้จนกว่าข้าจะสั่ง ห้ามปล่อยเด็ดขาด!”

มหาเทพสงครามสั่งเสียงกร้าว ประกาศชัดถึงเจตนารมณ์ที่แม้แต่มหาเทพจ้าวสวรรค์ยังไม่อาจขัดได้ มือหนาที่กุมอาวุธสะบัดครั้งหนึ่ง มันก็ย่อตัวลงกลับไปเป็นจี้อันเล็กเหมือนเดิม ส่วนอีกมือคว้าแขนไคมีร่าพาเข้าไปในปราสาท อัลล์วิ่งนำหน้าไปเตรียมสถานที่ให้พร้อม เขตอาคมหายไปในตอนที่ลับร่างไคซัส เหลือแต่ฮาธอสที่ตัดสินใจรอให้ผู้สูงศักดิ์เข้าไปก่อน

ฟาเบียนกวักมือเรียกเรซิสกับเซย์เรียโน่ตามไปด้วย ทหารทุกนายต่างค้อมคำนับส่งเสด็จอย่างสมพระเกียรติ แต่ก่อนจะเข้าสู่ตำหนักชั้นใน ราชาแห่งฟ้าหมุนตัวกลับมาส่งสายตาอาฆาตให้เทพทุกตน

“คนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดมีแต่พวกข้าเท่านั้น หากข้ารู้ว่าใครแพร่งพรายออกไป มันผู้นั้นไม่ได้จุติโดยดีแน่!”

แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่น้ำเสียงทุ้มที่เคยไร้พิษสงของราชาแห่งฟ้า บัดนี้กลับทรงพลังยิ่งชนิดทิ่มแทงใจคนฟัง เซย์เรียโน่อาศัยจังหวะที่ฟาเบียนหันหลังเข้าประตูไปส่งสัญญาณมือบอกให้รู้ว่า ‘เอาจริง’ เทพทุกตนจึงกลืนน้ำลายเอื้อกและสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ละเมิดคำสั่งโดยเด็ดขาด!

---------------

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
«ตอบ #31 เมื่อ27-08-2013 19:53:05 »

- 100% -

ควันไฟลอยกรุ่นจากปล่องควันเหนือห้องเครื่องที่อยู่ด้านหลังปีกตะวันตกพอดี นางกำนัลจากซิมโฟเนียอาเรียสองคนช่วยกันจัดเตรียมชุดน้ำชากับของว่างชุดใหญ่โดยเร็วที่สุดเท่าที่เคยทำมา ฮาธอสซึ่งบัดนี้อาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วยืนดูเงียบ ๆ โดยไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ที่ส่งมาจากเพื่อนนางกำนัล เรื่องความสามารถลับของเขาคงโจษขานมาถึงพวกนางแล้ว

“ฮาธอส” ร่างสูงโปร่งหันขวับไปทางต้นเสียง นาซิลลายืนห่างไปเพียงเล็กน้อย เธอก็เปลี่ยนชุดใหม่แล้ว “คือ..เรื่องวันนี้...ข้าขอโทษนะ...”

เทพคนสวนพินิจแววสำนึกผิดบนใบหน้าหวานแล้วดันร่างบางออกไปที่ทางเดิน ซึ่งเขาเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เจ้าไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น”

เด็กสาวมีสีหน้าลังเล “ข้ารู้สึกไม่ดีก็เลยออกไปสูดอากาศหายใจที่สวนหย่อมตรงข้างนอก พอตำหนักทั้งหลังสั่นข้ากลัวมากก็เลยซ่อนอยู่แถวนั้น ข้าขอโทษนะ” เธอสะอื้นด้วยความเสียใจ

ฮาธอสเอามือลูบหน้าผาก เข้าใจดีว่าความเสียใจของนาซิลลาถูกส่งมาถึงตัวเขามากกว่าเหตุการณ์โดยรวม ถ้าเธอไม่ไปอยู่ตรงนั้น เทพหนุ่มก็คงจะปล่อยทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของพวกเซบาสเตียน ส่วนตัวเองคอยดูแลแค่สหายที่มาจากตำหนักเก่าเท่านั้น

แต่สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับฉันใด กาลเวลาย่อมไม่อาจหวนคืนฉันนั้น เมื่อเขาเผลอตัวเปิดเผยความสามารถออกไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฮาธอสก็ต้องทำใจและ ‘จำใจ’ ยอมรับผลที่จะติดตามมาหลังจากนี้ และภาวนาให้มันหยุดแค่ตัวเขาในปัจจุบัน ไม่ไปไกลมากกว่านั้น

“ฮาธอส น้ำชากับของว่างพร้อมแล้ว” นางกำนัลผู้หนึ่งโผล่หน้ามาเรียกจากครัว พร้อม ๆ กันนั้นเซบาสเตียนก็โผล่มาจากปลายทางเดิน

“ฮาธอส มหาเทพไคซัสให้มาตาม” เขาทำหน้าโล่งใจเมื่อเห็นนาซิลลา “เทพจันทราด้วยนะ มหาเทพไคซัสต้องการพบทั้งสองคนเลย”

เทพหนุ่มสาวมองหน้ากันเองแวบหนึ่งจึงหน้าตอบรับ แล้วเทพหนุ่มก็หันไปรับถาดชุดน้ำชาประกอบด้วยชาสามกากับของว่างเป็นขนมมองบลังค์ที่สวยกว่าที่นาซิลลาทำมาก เขาแอบเหล่เด็กสาวเล็กน้อย อีกฝ่ายก็หน้าทำหน้างอตอบกลับมาก่อนจะช่วยยกอีกชุด และเซบาสเตียนก็นำทั้งคู่ขึ้นไปที่ทำงานของไคซัสด้วยกัน

หน้าประตูห้องที่ปกติจะมีทหารยามเฝ้าอยู่สองคน แต่ตอนนี้กลับเพิ่มขึ้นมาถึงสิบคนด้วยกัน นาซิลลาแอบผวาจึงขยับมาอยู่ใกล้กับชายหนุ่ม ฮาธอสบอกให้เธอทำตัวเฉย ๆ ไว้ ขณะเซบาสเตียนเคาะประตู รออยู่สักครู่อัลล์ก็มาเปิดให้ทั้งสองคนเข้าไปข้างในห้องที่บรรยากาศตึงเครียด ไคซัสนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน เคียงข้างด้วยน้องสาว มหาเทพจ้าวสวรรค์ประทับตรงกันข้ามกับเขา เรซิสยืนหยัดอยู่ข้างหลัง ส่วนเซย์เรียโน่ไปนั่งชันเข่าเท่ห์ที่ขอบหน้าต่างซึ่งปิดม่านไว้ทั้งหมด

“ขออภัยที่มาช้าขอรับ” ฮาธอสเป็นตัวแทนกล่าวก่อนจะเสิร์ฟน้ำชาให้กับแขกผู้สูงศักดิ์ทุกคนด้วยตนเอง นาซิลลาถูกสั่งให้ยืนรออยู่หน้าประตูกับอัลล์

เทพผู้สูงศักดิ์ทุกตนต่างมองเธอด้วยสายตาพินิจพิจารณาขนาดที่เด็กสาวต้องก้มหน้าหนีด้วยความประหวั่นกลัว ฮาธอสเหลือบเห็นไคซัสส่งสายตากินเลือดกินเนื้อไปให้ฟาเบียน แต่อีกฝ่ายนิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน และเหมือนมหาเทพสงครามจะรู้อะไร ๆ ดีจึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนประเด็นก่อน

“เอาเป็นว่าเรื่องของไคมีร่าเป็นอย่างที่นางเล่าไป นางหนีมาจากผู้ดูแลมาที่นี่เพื่อพบข้า แต่ระหว่างทางพัมกิ้นซ์ถูกแมลงไสยเวทควบคุมจนเกิดเหตุร้าย ข้าจะเป็นรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดเอง” ไคซัสพูดเสียงดังฟังชัด ฮาธอสที่กำลังวางถ้วยชาให้เขาชะงักไปเล็กน้อย

“เรื่องนี้ท่านไม่เกี่ยวด้วยเลยนะ” ไคมีร่าแย้งขึ้นมา

“แต่ในฐานะของพี่ชายและมหาเทพสงคราม มันเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุดแล้ว”

เทพคนสวนเหลือกตาขึ้นมองสีหน้าจริงจังของมหาเทพสงคราม คนผู้นี้ตั้งใจจะรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเองจริง ๆ ก่อนเขาจะถอยไปหยิบถ้วยชาอีกใบไปมอบให้กับเซย์เรียโน่ ขุนพลเทพยกมุมปากยิ้มชมเชยแล้วรีบเครื่องดื่มไปดื่ม

“ในเมื่อน้องสาวของเจ้าไม่เจตนาและท่านเองก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ข้าจะให้ท่านรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนเสาทั้งหมด ส่วนเรื่องอื่น ๆ ข้าจะพยายามช่วยเท่าที่ทำได้” ฟาเบียนพูด ท่าทีสุขุมและน่าเกรงขามกับเป็นราชา “เรื่องเสาเขตแดนที่ไคซัสพูดไว้ก่อนในที่ประชุมถูกต้องทุกประการ การที่เสาต้นนั้นถล่มทำให้ข้าได้เห็นสภาพเขตอาคมทั้งหมด พลังของมันอ่อนแอลงกว่าเมื่อหนึ่งพันปีก่อนมาก แต่ว่าจอมปราชญ์ทั้งแปดไม่ยอมรามือจากเจ้าเพียงเท่านี้แน่ ไคซัส”

“เรื่องนั้น...” ไคซัสกำลังจะพูด เซย์เรียโน่ก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“หมาป่าต่อให้เดี่ยวดายเพียงใด สักวันก็ต้องเข้าฝูง” ขุนพลเทพอันดับห้าดื่มชาดังซู้ด คนอื่นมองเขาเป็นตาเดียวกัน “มหาเทพไคซัสลดทิฐิแล้วยอมรับความช่วยเหลือจากพวกเราบ้างเถอะน่า อย่างไรเสียท่านก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกเรานะ”

“ส่วนหนึ่งที่แตกต่างต่างหาก”

เทพอสูรหนุ่มตัดรอนอย่างไร้ไมตรี เทพมังกรยักไหล่ยอมแพ้ ราชาแห่งสวรรค์ระบายลมหายใจยืดยาว อัลล์กับฮาธอสยังทำหน้าสิ้นหวัง เขาจะบีบคั้นให้ตัวเองอยู่ตัวคนเดียวไปถึงเมื่อไหร่นะ ไคมีร่าคงคิดแบบเดียวกันถึงได้มองพี่ชายอย่างไม่สบายใจเลย

“อืม เมื่อเจ้าต้องการแบบนั้นก็ตามใจ แต่ข้าได้ออกปากไปแล้วว่าจะช่วยก็จะตามทำตามนั้น” ฟาเบียนยืนขึ้นเต็มความสูง เทพตนอื่นยกเว้นไคซัสพลอยลุกตามไปด้วย “ส่วนเรื่องของน้องสาวเจ้า ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีก ภายในเช้าวันพรุ่งนี้จะให้คนเอารายละเอียดการเปลี่ยนเสาต้นใหม่มาให้ รอฟังด้วยว่าข้าจะเรียกประชุมเมื่อไหร่”

“แล้วเรื่องการประลองล่ะ” ไคซัสถามประเด็นสำคัญที่สุดทันใด

“ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ข้าไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด” ยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นแล้วมหาเทพจ้าวสวรรค์ก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับขุนพลเทพทั้งสองอันดับ อัลล์ค้อมศีรษะให้ไคซัสอาสาไปส่งทั้งสามด้วยตนเอง

แต่ในตอนที่เซย์เรียโน่เดินผ่านหน้าฮาธอสที่คำนับส่งให้นั้นเอง เสียงของเขาก็ดังขึ้นในหัวของเทพหนุ่ม

“ดูแลเจ้านายคนใหม่ของเจ้าให้ดีล่ะ อสูรก็มีเลือดเนื้อเหมือนกัน”

ความตกใจทำให้ชายหนุ่มช้อนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างลืมตัว สิ่งที่เห็นคือ ดวงตาสีแดงที่ปรายมองมาอย่างเหยาะหยันแวบหนึ่งก่อนเจ้าตัวจะคล้อยหลังไป ฮาธอสเหล่มองมหาเทพสงครามซึ่งนั่งหลับตานิ่งราวกับไม่อยากรับรู้เรื่องราวรอบข้างนิดหน่อย จากนั้นก็วิ่งไปปิดประตูแล้วไปยืนข้างกายนาซิลลา แล้วไคมีร่าก็ถามอย่างเป็นห่วง

“ทหารที่ชื่อ เซบาสเตียน เล่าว่าพัมกิ้นซ์ตั้งใจจะทำร้าย...เอ่อ...นาซิลลาสินะ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า”

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าน้อยปลอดภัยดี ขอบพระคุณในความเป็นห่วงเจ้าค่ะ” นาซิลลาตอบเสียงแข็งเล็กน้อย เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นเจ้าของอสูรที่เกือบจะทำร้ายเธอและเกือบฆ่าฮาธอส

“แต่ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ เจ้าทำให้ใครเดือดร้อนไว้หรือ แมลงไสยเวทถึงได้บังคับให้พัมกิ้นซ์มาทำร้ายเจ้า” ไคมีร่าตั้งคำถามอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งกระตุ้นต่อมความไม่พอใจของอีกฝ่ายเขา เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองตรง ๆ

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่เคยก่อความเดือดร้อนให้ใคร” เทพจันซากล่าว สีหน้าจริงจัง “หากจะมีก็คงจะเป็นคนที่พยายามเข้าฝันข้ามาหลายครั้ง”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าสงสัย” ไคซัสเปิดปากพูดในที่สุด ใบหน้าดุดันเบือนมาหาเด็กสาว นาซิลลาถอยหนีตามสัญชาตญาณ “มันต้องการตัวเจ้าไปเพื่ออะไร”

คำถามก่อเกิดความเงียบแทนคำตอบ ฮาธอสเหลียวมองเสี้ยวหน้าของเด็กสาวที่ต้องเผชิญปัญหานี้มาหลายปีอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน มันเป็นปัญหาเดียวที่เขาขบไม่เคยแตก รู้แต่เพียงว่ามันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เทพจันทราน้อยถูกส่งตัวมาอยู่ที่ซิมโฟเนียอาเรีย และเป็นเหตุผลที่จอมเทพีเรเทเชียอนุญาตให้เธอมาอยู่ที่นี่...เพื่ออาศัยใบบุญของมหาเทพสงครามคุ้มหัวเธอให้พ้นจากอันตรายที่มองไม่เห็นนี้ แต่ก็เกือบจะป้องกันไม่ได้เสียแล้ว

เทพอสูรหนุ่มถอนใจยืดยาวยามไม่มีใครให้คำตอบกับเขาได้ “หึ! ใครจะไปเชื่อว่าสวรรค์ที่ใคร ๆ ต่างก็ใฝ่ฝันอยากจะขึ้นมาอยู่เต็มไปด้วยปริศนาดำมืดมากมายขนาดนี้ ซ่อนเขี้ยวเล็บพร้อมเล่นงานคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่รู้ตัว...โดยไม่มีโอกาสได้รู้ความจริงเลย”

“มหาเทพ!” นาซิลลาโพล่งเมื่อได้ยินวาจาเสียดใจนั้น ฮาธอสอึ้งกับการกระทำของทั้งสอง “ตัวท่านไม่เข้าใจ ตัวข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทั้งที่ข้าไม่เคยทำอะไร แต่กลับต้องถูกทำร้ายนับครั้งไม่ถ้วน ท่านคิดว่าข้ามีความสุขมากนักหรือ!”

“เจ้าอย่ามาว่าพี่ชายข้านะ!” ไคมีร่าเถียงสวนทันควัน “เพราะชาวสวรรค์เอาแต่ใจอย่างเจ้าไม่ใช่หรือไง ที่ทำให้เกิดสงครามไปทุกย่อมหญ้า พวกเจ้าเดือดร้อนก็เพราะการกระทำของตัวเองทั้งนั้น!”

“อะไรนะ!” อัปสรน้อยฮึดฮัดด้วยความโกรธ

“หยุด!!”

เสียงห้ามนี้มิได้มาจากมหาเทพสงคราม แต่มาจากชายผมสีทองคำที่เป็นกลางที่สุดในห้องนั้น เทพคนสวนค้อมกายให้ไคซัสเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยวาจา

“มหาเทพไคซัส ข้าน้อยเข้าใจว่าท่านไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่การกระทบกระเทียบเด็กสาวที่เป็นเหยื่อออกจะไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่นัก ส่วนท่านหญิงน้อย ข้าน้อยต้องขอโทษกับการเสียมารยาทของนาซิลลาด้วย ขอท่านหญิงอย่าได้ถือสาหาความนางเลยขอรับ วันนี้ทุกท่านเหนื่อยและเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพอสมควรแล้ว ข้าน้อยเห็นว่าทุกท่านควรพักผ่อนก่อนขอรับ”

กระแสเสียงนุ่มนวลและเนิบช้าราวกับสายน้ำแทรกซึมผ่านโสตประสาทถึงหัวใจของคนทั้งหมด ปลุกสติพวกเขาให้ตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความโกรธกริ้ว ไคซัสกุมขมับเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ส่วนไคมีร่ากับนาซิลลาก้มหน้ามองพื้นอย่างรู้สึกผิด

“จริงอย่างที่ฮาธอสว่า ข้าขอโทษด้วยนะ นาซิลลา ข้าทำตัวไม่เป็นผู้ใหญ่เอาเลย” เทพอสูรยอมรับอย่างตรงไปตรงมาอีกครา

“มิได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยก็เสียมารยาทไปมากเช่นกัน ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ” นาซิลลาค้อมตัวอย่างไม่อาจรับ ความเถรตรงของเขายากแก่การรับมือจริง ๆ

“ข้าจะลองหาทางสืบเรื่องนี้อีกที ตอนนี้เจ้ากลับไปก่อน” ไคซัสสั่ง นาซิลลาถอนสายบัวรับแล้วกลับออกไป “ไคมีร่า แม้เหตุการณ์ที่จะไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจของเจ้า แต่เพราะเจ้าแอบหนีดาริคมาจนทำให้พัมกิ้นซ์ถูกแมลงไสยเวทควบคุม ข้าจะกักบริเวณเจ้าจนกว่าดาริคจะมารับ ใส่กำไลกักพลังเวทสามเดือน เมื่อกลับไปแล้วกักบริเวณอีกหกเดือน เขียนใบสำนึกความผิดอีกสองร้อยจบมาส่งข้าภายในสิบวัน และยึดพัมกิ้นซ์คืนด้วย”

“โหดร้าย! พัมกิ้นซ์เป็นอสูรของข้านะ” ไคมีร่าลุกขึ้นโวยวายทันที

“แต่มันเป็นอสูรที่ข้าให้เจ้าไปเหมือนกัน ในเมื่อเจ้าดูแลมันไม่ได้ ข้าก็ต้องขอคืน” ผู้เป็นพี่ตอบน้องอย่างสงบชนิดที่อีกฝ่ายเถียงไม่ออก “อีกอย่างเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์เป็นรานีแห่งอสูร เจ้าปรารถนาอสูรที่ทรงพลังเท่าพัมกิ้นซ์อีกสักกี่ตนก็มีคนถวายให้”

เด็กสาวชาวอสูรหน้าตึง แก้มแดงเห่อขึ้นด้วยความโกรธ ก่อนสะบัดหน้าพรืดเดินย้ำเท้าตึงตังตรงไปที่ประตูซึ่งฮาธอสช่วยเปิดให้ตามหน้าที่ ร่างเล็กบางชะงักแล้วจ้องหน้าเขาเขม็งแวบหนึ่งค่อยเดินพรวดพราดออกไป มหาเทพสงครามร้องบอกให้เซบาสเตียนนำทางไปส่งที่ห้องนอนแขกบนชั้นสี่ด้วย เสร็จแล้วก็เขาก็ปิดประตูให้เรียบร้อย จากนั้นจึงหันไปเพื่อเก็บถ้วยชากับของว่างกลับไป แต่ต้องนิ่งเมื่อพบสายตาล้ำลึกที่ส่งมาจากมหาเทพสงคราม แววแน่วแน่ในแก้วตาสีส้มสว่างนั้นทรงพลังเสียจนเขายังสู้ตาไม่ไหว

“มะ...มีอะไร...หรือ...ขอรับ” เขาถามตะกุกตะกักเหมือนคนกลัวความผิด ลางสังหรณ์กำลังร้องเตือน

“...ตั้งแต่วันแรกที่ข้าพบกัน เจ้าทำให้ข้าอัศจรรย์ใจกับความกล้าคิดกล้าสงสัยของเจ้า ต่อมาเจ้าก็ทำให้ข้าทึ้งกับความกล้าที่จะคุยด้วยแบบไม่หวาดกลัว ข้าสงสัยมาตลอดว่าเจ้าไม่น่าจะเป็นเทพชั้นต่ำธรรมดา แล้ววันนี้ข้าก็ได้เห็นว่าตัวเองคิดถูก เจ้าทำให้ข้าทึ่งกับพลังของเจ้ามากทีเดียว ฮาธอส”

วาจาประโยคท้ายนั้นทำให้หัวใจของฮาธอสร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม “ท่านเห็น...ด้วยหรือ...” เสียงทุ้มนุ่มแหบแห้ง ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วแต่ก็ยังหวั่นไหวอยู่ดี

“อา...ระหว่างทางที่ข้ารีบมาที่นี่ พลังหยั่งรู้ที่ผูกไว้กับตำหนักฉายภาพเหตุการณ์ให้ดู...ทั้งหมด...”

เทพอสูรหนุ่มเน้นเสียงคำสำคัญ ขณะลุกเดินอ้อมโต๊ะมาอยู่ตรงหน้าเทพรับใช้หนุ่มที่หลบตาอย่างลุกลี้ลุกลน นิ้วแกร่งแตะปลายคางอีกฝ่ายให้เงยขึ้นมองหน้าเขา นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่สวยฉายแววหวั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด

“ในขณะที่เขตอาคมของข้าถูกพัมกิ้นซ์พังเข้ามาอย่างง่ายดาย แต่เทพเล็ก ๆ อย่างเจ้ากลับป้องกันมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ พลังที่ข้าสัมผัสได้ไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ ฮาธอส มันอาจจะเทียบเท่ากับจอมเทพเลยก็ได้”

ยิ่งพูด นัยน์ตาสีน้ำเงินของคนตรงหน้าก็ยิ่งวูบไหวด้วยความหวาดหวั่น ใบหน้าคมซีดเผือดจนแทบไม่เหลือสีอีกแล้ว เขาส่ายศีรษะน้อย ๆ ลมหายใจสั่นสะท้าน ร่างสูงโปร่งถอยไปติดประตู น่าสงสาร...

...แต่ก็น่าเอ็นดู

“ท่าน...เข้าใจผิดแล้วขอรับ” ฮาธอสเอ่ยปฏิเสธ น้ำเสียงสั่นพร่า ริมฝีปากได้รูปสั่นระริก “พลังของข้า...ไม่ได้มากมาย...เลย...” ใบหน้าคมบิดหนี

“มากมายสิ” ไคซัสก้าวเข้าใกล้ ปลายนิ้วรั้งใบหน้าอีกฝ่ายกลับมาสบสายตาสับสน สายตาคมสบลึกตรึงอีกฝ่ายนิ่ง “ไม่เช่นนั้นจะหยุดพัมกิ้นซ์ที่มีพลังใกล้เคียงกับเทพอสูรได้หรือ ทำไมเจ้าถึงปกปิดเรื่องนี้ไว้”

ฮาธอสสะท้าน หัวใจหวิววามในตอนปลายนิ้วแกร่งไล้ผ่านปลายคาง “ข้า...ไม่อยากให้ใครรู้...”

“เพราะอะไรถึงไม่อยากให้ใครรู้...” เสียงทุ้มต่ำถามกลับมา มือหนาทาบแก้มส่งไออุ่นแล่นเข้าไปกระตุ้นหัวใจของฮาธอสให้เต้นแรง เทพคนสวนรู้สึกปั่นป่วนไปหมด อยากหลบหนีไปให้ไกล แต่สายตาคู่นั้นกลับหยุดเขาไว้

“เจ้ากำลังกลัว ฮาธอส” พูดเสียงนุ่ม ก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าว สองร่างแทบแนบชิด “ทำไม...”

ฮาธอสไม่ได้ตอบ เพียงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความหวาดหวั่นที่สุดในชีวิต แววตาของอีกฝ่ายมีบางสิ่งที่ทำให้เขาเสียจริต มิอาจตั้งสติต่อกรหรือคิดหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองได้ เขามองตามมือหนาที่ยื่นมาวางข้างศีรษะ พริบตาเดียวทั้งห้องก็ถูกฉาบเคลือบด้วยเวทมนต์

“ห้องนี้มีแต่ข้ากับเจ้า ฮาธอส”

“ข้า...” เทพหนุ่มอ้าปากเอ่ยได้เพียงค่ำ หัวใจเต้นไม่เป็นต่ำยามถูกอีกฝ่ายจ้องมอง แววตาร้อนแรงนั้นแทบแผดเผาเขาให้มอดไหม้ ภายในอกร้อนรุมดุจถูกสุมด้วยเพลิงที่มองไม่เห็น ริมฝีปากเผยอค้างเรียกความสนใจจากนัยน์ตาสีส้มดุดันเล็กน้อย และช้อนขึ้นตรึงร่างฮาธอสให้นิ่งงันอีกครา

“ฮาธอส ข้ากำลังรอคำตอบอยู่นะ” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยคาดคั้นอย่างนุ่มนวล

กลีบปากสวยอ้าออกอีกครา เสียงใกล้จะหลุดออกมาตามความปรารถนาของหัวใจ แต่เศษเสี้ยวสติที่หลงเหลืออยู่กลับร้องเตือนให้เขานิ่งไว้ ใครก็จะรู้ความลับนี้ไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้ทุกคนรู้เรื่องพลังของเขาแล้วก็ตาม ผลสุดท้ายดวงตาสีน้ำเงินก็ช้อนมองมหาเทพสงครามอย่างเว้าวอน เทพอสูรช้อนหน้าขึ้นแยกเขี้ยวใส่เพดานอย่างหมดสิ้นความอดทน!

“ให้ตายสิ เจ้านี่มันดื้อจริง ๆ!”

ก่อนฮาธอสจะทันได้คิดอะไร ร่างสูงใหญ่ก็ฉวยจังหวะนั้นโน้มใบหน้าลงจุมพิตริมฝีปากของเขาเสียแล้ว นัยน์ตาสีน้ำเงินเบิกกว้างอย่างตกใจ ร่างสูงโปร่งถอยหนีตามสัญชาตญาณ แต่ติดประตูกับอุ้งมือใหญ่ที่จับบ่าไว้ตอนไหนไม่ทราบ ร่างกายถูกตรึงนิ่งบังคับให้รับจูบหนักหน่วงที่ทำให้อึดอัดหายใจไม่ออก ฮาธอสพยายามตามให้ทันเพื่อต่อลมหายใจของตัวเอง

แต่ทุกครั้งที่เผยอปาก ไคซัสก็จะเบียดบดลงมาจนแทบลมหายใจ ทรมานให้สิ้นเรี่ยวแรงอย่างช้า ๆ ก่อนล่อลวงให้ลุ่มหลงด้วยจุมพิตหวานละมุน ฮาธอสรู้สึกว่าโลกหมุนเคว้ง พื้นอ่อนยวบยาบจนต้องไขว่คว้าคนตัวใหญ่ไว้ แก้มร้อนผ่าวเมื่อลมหายใจอุ่นรดริน รับรู้ถึงรสเลือดเมื่อเขี้ยวแหลมไล้ผ่านกลีบปาก สมองมึนเมายาวลิ้นสากสอดมาเกี่ยวกระหวัดกับเขา

เร่าร้อน...เป็นคำเดียวที่เขาคิดออกก่อนถูกลบออกไปด้วยจูบอ่อนหวานและอ้อยอิ่งดุจภมรดอมดมเกสรดอกไม้ แล้วกระตุ้นให้ปรารถนาไม่รู้จบด้วยจูบที่ดื่มด่ำและล้ำลึก เวลาผ่านมานับพันปี เพิ่งมีชายคนนี้เองที่ทำให้เขาเป็นเหมือนลูกแมวไร้เดียงสาเต้นไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ ถึงอย่างนั้น...ทั้งที่ถูกจาบจ้วงเพียงนี้...ทว่ากลับเกลียดไม่ลง มีแต่ความรู้สึก ‘อื่น’ ที่เพิ่มพูดขึ้นมา

มหาเทพสงครามลิ้มรสริมฝีปากนิ่มนั้นจนหยดสุดท้าย กว่าจะข่มใจได้และผละออกมามองวงหน้าคม ซึ่งบัดนี้แก้มขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ กลีบปากแดงเห่อเปื้อนคราบเลือดจากการจูบเมื่อครู่ ไคซัสยิ้มบางพลางไล้นิ้วโป้งเช็ดออกให้ ขณะดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างอย่างตกตะลึงอีกครั้ง

“มหาเทพ...” เสียงทุ้มขาดห้วง

“ดูเหมือนข้าจะทำให้เจ้าเจ็บ แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้ความรู้สึกของข้า” ไคซัสบอก ปลายเสียงสั่นราวกับประหม่า

“ไม่ขอรับ ข้าไม่ได้เจ็บ...” ฮาธอสร้องลั่นผวาจับร่างใหญ่ไว้แน่น ตกใจอย่างหาที่สุดมิได้ เขาจะเจ็บได้อย่างไรในเมื่อนี่มิใช่เลือดของเขา!

ของเหลวสีแดงไหลรินจากปากหนาได้รูปของคนตรงหน้า ไคซัสยกมือขึ้นมาแตะดูเล็กน้อยก่อนวางกลางอกของตนเอง เขาหลับตาลงกล่ำกลืนสิ่งที่ไหลย้อนขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดซึ่งแผ่ซ่านจากกลางอก เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะยืนอยู่ได้อีกไม่นาน และฮาธอสกำลังลนลานพาเขาไปหาเก้าอี้ มหาเทพสงครามจึงลืมตาขึ้นสั่งงาน

“เมื่อข้าล้มไปแล้วห้ามใครเข้ามาเด็ดขาด ถ้าจะตามหมอก็ตามไคมีร่ามา นางจะเป็นคนอธิบายเรื่องทั้งหมดเอง ให้อัลวินดูแลทุกอย่างให้สงบจนกว่าข้าจะตื่นมา เข้าใจไหม...”

“ขอรับ ข้าจะจัดการตามนั้น” ฮาธอสลนลานบอก สองแขนประคองตัวมหาเทพไว้ด้วยแรงทั้งหมด “มหาเทพไคซัสอดทนอีกสักนิด ท่านต้องไม่เป็นไรขอรับ”

ไคซัสยิ้มให้กับภาพใบหน้าอันเลือนรางของอีกฝ่าย “ข้าเองก็หวังเช่นนั้น...”

สานคำพูดด้วยแรงเฮือกสุดท้าย ร่างสูงใหญ่ก็ทรุดตัวลงในอ้อมแขนเทพรับใช้ ภาพที่เคยเห็นพลันดับวูบ เสียงร้องของบุรุษจ้าวหัวใจดังแผ่วราวกับมาจากที่อันแสนห่างไกล

“มหาเทพไคซัส...ทำใจดี ๆ ไว้ขอรับ...!!”

----------------

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
«ตอบ #32 เมื่อ27-08-2013 19:54:11 »

อา...จับคนสวยใส่พานแล้วถวายแด่ไคซัส /กราบ

ตอบคอมเมนต์

คุณอายทำไม ยิ่งกว่าเริ่มหวานอีกครับ เหอๆ ตอนนี้ถึงกับโดนมดตอบเลยทีเีดยว

แหม...เคยเห็นกันในเด็กดีนี่เอง ผมก่อวีรกรรมไว้เยอะซะด้วยสิ ที่นั่นน่ะ orz ติ่งวายที่แยกแยะอะไรไม่เป็น (พวกรักแบบไม่แยกแยะผมเรียกติ่งหมดครับ) คงเห็นผมเป็นศัตรูไปกันหมดแล้ว (ฮา)

อนึ่ง เห็นยูสจากที่ไลค์กันนั่นล่ะครับ

คุณ padang ครับ เดี๋ยวตัวร้ายตัวจริงต้องโผล่แน่นอน!

คุณ bulldog17 ขืนไม่หวานเลย คนเขียนตายก่อนแน่นอนครับ เครียดลงกระเพาะเลยล่ะ ฮ่าๆ

คุณ cher7343 อา...ขอบคุณมากครับ มาโกะปลื้ม  :mew4: ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2013 22:14:01 โดย Makoto-sang »

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 7 up 27/08/13
«ตอบ #33 เมื่อ27-08-2013 23:59:16 »

เกิดอะไรขึ้นกับมหาเทพสงคราม
ทำไมฮาธอสมีพลังเยอะ
นาซิลลามีปัญหาอะไรกับปืศาจ
ติดตามต่อไป

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 7 up 27/08/13
«ตอบ #34 เมื่อ28-08-2013 20:06:34 »

บทที่ 8 หมาป่าเข้าฝูง
-50%-

สองมือเรียวเล็กกอบกุมมือใหญ่ของเทพอสูรกายสีแดงที่นอนสลบไสลบนฟูกสีอ่อนไว้มั่น รัศมีสีทองจางล้อมรอบมือทั้งสองคู่นั้น ขณะเด็กสาวเจ้าของมือเล็กถ่ายพลังเยียวยาเข้าไปในร่างมหาเทพสงคราม ฮาธอสนั่งมองเธอทำงานจากอีกฝากหนึ่งของฟูก ดวงตาสีน้ำเงินมองมือคู่นั้นก่อนไล่ขึ้นไปยังใบหน้าที่หลับตานิ่งของไคมีร่า

หลังจากไคซัสหมดสติในอ้อมแขนของเทพคนสวน ชายหนุ่มก็ใช้เวทมนต์เรียกเครื่องนอนมาปูหน้าเตาผิง จากนั้นก็เอาตัวมหาเทพสงครามมานอนตรงนี้ ก่อนจะออกไปตามไคมีร่ามาดูอาการของพี่ชายและบอกคำสั่งของเจ้านายกับอัลล์ตามที่รับปากไว้ เสร็จแล้วก็มานั่งรอเผื่อว่าท่านหญิงชาวอสูรจะต้องการอะไรเพิ่มเติม ซึ่งตอนนี้เวลาก็ผ่านมานานหลายชั่วโมงแล้ว

หยดเหงื่อไหลรินลงมาตามซีกหน้าของไคมีร่า ฮาธอสจึงถือวิสาสะหยิบผ้าแล้วอ้อมไปซับให้เธออย่างนุ่มนวล เมื่อได้ลองสัมผัสตัวเธออย่างใกล้ชิด เทพคนสวนก็ยิ่งรู้สึกว่าพลังของเด็กสาวช่างบริสุทธิ์และอ่อนโยนเหมือนเจ้าแม่สวรรค์ไม่ผิดเพี้ยน มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ อสูรที่มีพลังของชาวเทพอย่างสมบูรณ์แบบ

แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับเรื่องของไคซัส เทพคนสวนนึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าเขามองอีกฝ่ายพลาดไปตอนไหน ก่อนออกไปมหาเทพสงครามยังแข็งแรงดีทุกอย่าง รวมถึงตอนที่กลับมาจัดการกับพัมกิ้นซ์ด้วย เขามีโอกาสได้เห็นไคซัสใกล้ ๆ หลายครั้ง แต่กลับจับสังเกตอาการบาดเจ็บไม่ได้เลย ไม่รู้สึกแม้กระทั่งความปั่นป่วนของพลัง ถ้าตอนถูกจูบไม่มีเลือดไหลย้อนออกมา เขาคงไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ

“เฮ้อ...” เสียงถอนใจเรียกความสนใจของเขากลับไปหาไคมีร่า เด็กสาวสลายพลังของตัวเองแล้วและกำลังวางมือของพี่ลงกับฟูก “เสร็จสักที”

“อาการของมหาเทพเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” ฮาธอสถาม สีหน้าร้อนใจ

“อาการของเขาไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ แต่ที่ข้าเป็นห่วงคือ ผลข้างเคียงที่จะตามมาต่างหาก” ไคมีร่าบอกก่อนกล่าวขอบคุณเมื่อเทพคนสวนรินน้ำชาให้ดื่มดับกระหาย “แต่ไหนแต่ไรมาพลังป้องกันเกือบทุกรูปแบบของพี่ชายข้าจะผูกพันกับพลังชีวิตของเขา ในอดีตจึงไม่เคยมีใครทำลายเวทมนต์ของเขาได้เลย แต่ที่นี่...พลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้เขาใช้พลังได้ไม่เต็มที่ เขตอาคมจึงอ่อนแอพอให้พัมกิ้นซ์ทำลายได้ พลังบางส่วนจึงสะท้อนกลับมาทำร้ายเขา”

“แบบนี้ก็แย่น่ะสิขอรับ” ฮาธอสทำหน้ากังวล ตามองอสูรที่หลับไม่รู้เรื่องราว

“อืม! ชาวอสูรโดยกำหนดอย่างเรา จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอไม่ได้ขึ้นอยู่กับตบะญาณ แต่อยู่ที่ระดับพลังอำนาจ ยิ่งพลังมากเท่าไหร่ก็แข็งแกร่งเท่านั้น อัตราการฟื้นตัวเร็วจึงมากตามไปด้วย” เด็กสาวกล่าวพลางเบือนหน้ามาหาคู่สนทนา “แต่คราวนี้ข้าเกรงว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่จะทำให้เขาพื้นตัวช้ากว่าปกติ”

ชายหนุ่มผมทองกลืนน้ำลายอย่างลำบาก เมื่อเห็นแววตาเย็นยะเยือกของท่านหญิงแห่งอสูร สายตาคู่นั้นราวกับจะบอกว่าเป็นความผิดของชาวเทพที่ทำให้พี่ชายเธอต้องเป็นแบบนี้ ฮาธอสรู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็อดเสียใจมิได้ เพราะไคซัสต้องบาดเจ็บเพื่อปกป้องพวกเขาโดยแท้

“แต่จะว่าเจ้าก็ไม่ได้สินะ ก็เจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี่นา”

เทพคนสวนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจคำพูดของเด็กสาวอีกครั้ง แต่ดูเหมือนกับขึ้นสวรรค์ของมหาเทพไคซัสจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังจริง ๆ ด้วย ไคมีร่าดื่มชาที่เหลือจนหมดก่อนส่งถ้วยคืนชายหนุ่ม แต่ในตอนที่เขายื่นมือไปรับมันมาเก็บนั้น จู่ ๆ เธอก็เอนตัวเข้าหาเขา ฮาธอสตกใจผงะถอยตามสัญชาตญาณ แต่มือเรียวคว้าคอเสื้อดึงตัวกลับไปอยู่ที่เดิม เทพหนุ่มถึงกับเหงื่อตกหลังเห็นปลายจมูกโด่งสวยของฝ่ายหญิงอยู่ห่างแค่คืบ ดวงตาสีคริมสันโรสกวาดดูทั่วใบหน้าของเขาแล้วเลื่อนไปที่อกข้างซ้าย

“หินโมราแดงจริง ๆ ด้วย” ในที่สุดเธอก็พูดออกมา น้ำเสียงคล้ายไม่อยากเชื่อบางสิ่ง แต่เพียงครู่แววตาก็เปลี่ยนเป็นการยอมรับ มือเรียววางเหนือหัวใจของเขา “...มันติดอยู่ที่ตรงนี้ของเจ้า”

“ข้าไม่เข้าใจที่ท่านหญิงพูดขอรับ” ฮาธอสบอกก่อนจะนิ่งเมื่อนัยน์ตาคมคู่สวยตวัดมาจ้องหน้าเขาอีก วงพักตร์งามยื่นมาใกล้จนชายหนุ่มเผลอกลั้นใจโดยไม่รู้ตัว

“ไม่ต้องเข้าใจก็ได้ แค่รักษามันไว้ก็พอแล้ว”

พูดจบ ไคมีร่าก็ถอยหลับไปนั่งที่เดิม ฮาธอสมองเธอหยิบผ้าไปชุบน้ำในอ่างแล้ววางบนหน้าผากของพี่ชายอย่างฉงนฉงาย มือวางทาบบนหน้าอกก็พบว่า หัวใจยังเต้นปกติดีอยู่ แล้วจะมีหินโมราแดงไปติดอยู่ในนั้นได้อย่างไรกัน...หรือว่านางจะเปรียบเปรยถึงสิ่งอื่นกันแน่

“เจ้ากลับไปพักผ่อนได้แล้วล่ะ ข้าจะดูแลท่านพี่ต่อเอง” ไคมีร่าหันมาบอกทำให้ความคิดเทพหนุ่มสะดุด

“ไม่ดีกระมังขอรับ ท่านหญิงต้องไล่ตามสัตว์อสูรมาแล้วยังต้องรักษามหาเทพไคซัสอีก ท่านควรจะพักผ่อนมากกว่า ข้าจะดูแลมหาเทพเองขอรับ” ชายหนุ่มเสนอตัวด้วยเห็นว่าเหมาะสมที่สุด

“พอเลย ข้าไม่ใช่ท่านพี่นะ ไม่ชอบการต่อล้อต่อเถียงที่สุด” เด็กสาวขมวดคิ้วดุ ๆ ถึงจะไม่ได้ดูน่ากลัว แต่รัศมีอำนาจที่แผ่ออกมาก็น่ายำเกรงอยู่ “ข้าไม่ได้เจอกับท่านพี่มานานแล้วนะ ขออยู่ตามลำพังกับเขาบ้างเถอะ เจ้าเองก็มีงานต้องทำเหมือนกันไม่ใช่หรือ”

เมื่ออีกฝ่ายยกเหตุผลมาเช่นนี้ ฮาธอสก็หมดสิทธิ์เถียง เทพหนุ่มอ้อยอิ่งมองมหาเทพสงครามที่นอนไม่ได้สติด้วยความห่วงใยอีกสักครู่ ก่อนจะก้มศีรษะเป็นเชิงลาไคมีร่าแล้วลุกออกจากห้องไป

ท่านหญิงชาวอสูรมองตามจนกระทั่งเทพคนสวนปิดประตูสนิทแล้ว ใบหน้าหวานหยดค่อยผินกลับมาหาพี่ชายของตนอีกครั้ง แต่คราวนี้มหาเทพสงครามกลับลืมตามองตรงมาที่เธอแล้ว ผู้เป็นน้องสาวกระตุกมุมปากยิ้มอย่างไม่ประหลาดใจสักนิด

“ท่านรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนข้ารักษาเสร็จแล้วนี่นา ทำไมไม่ลืมตาให้ ‘เขา’ เห็นหน่อยล่ะ” เธอเท้าคางถาม แววตาล้อเลียน

“แต่เจ้าก็กล้ามากเลยนะที่ทำนายเลยต่อหน้าข้า...ต่อหน้าเขา” ไคซัสส่งสายตาตำหนิ แต่คนก่อเรื่องจะสนใจหรือก็หาไม่ “ไม่เสียใจหรือที่ข้าเป็นแบบนี้”

ไคมีร่าเสตามองทางอื่นอย่างครุ่นคิดสักครู่ แล้วเอนตัวลงนอนข้าง ๆ พี่ชาย “เสียใจ...” เธอหลุบตาตอบ ก่อนช้อนมองอย่างตรงไปตรงมา “แต่เมื่อท่านตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะยอมรับ นั่นคือสิ่งที่ข้าควรทำที่สุด" แล้วดวงตาสีคริมสันโรสก็ปรากฏแววกังวล “ไคซัสไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม การรักษาของข้าช่วยท่านได้หรือเปล่า”

ถึงแม้ว่าเธอจะเกิดมาพร้อมพลังมากมายเหมือนกัน แต่น้องสาวของเขาก็เป็นเพียงอสูรอ่อนวัยตนหนึ่งเท่านั้น เมื่อต้องมารักษาพี่ชายด้วยตัวเองทั้งหมด เธอย่อมเป็นกังวลว่าตนทำได้ดีพอแล้วหรือยัง มหาเทพสงครามยิ้มละไมอย่างเข้าใจแล้วเอื้อมมือไปขยี้ผมเธอด้วยความเอ็นดู

“ช่วยได้มากกว่าที่เจ้าคิดเลยล่ะ ขอบใจมากนะ”

คำตอบทำให้ไคมีร่ายิ้มกว้างอย่างมีความสุข สำหรับไคซัสถือเป็นภาพที่สวยงามที่สุด ความเหนื่อยล้าที่มีหายไปคล้ายไม่เคยมีอยู่ น่าเสียดายที่เขามีเวลาเชยชมไม่มากนัก ร่างสูงยื่นมือไปแตะบ่าน้องสาวแล้วถามเธอ

“ไคมีร่าช่วยข้าอีกหน่อยได้ไหม ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ”

----------------

หลังออกจากห้องของไคซัสมาแล้ว ฮาธอสก็ลงมาที่ชั้นล่างตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมดูอาการของพวกทหารที่ได้รับบาดเจ็บการต่อสู้ในวันนี้ แต่เมื่อมาถึงสระน้ำตื้นกลางแจ้งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปราสาท มีซุ้มทางเดินยาวสองเส้นตัดขนานสระนั้นไปถึงปีกตึกด้านหลัง รอบพื้นที่ยังไม่มีการตกแต่งใด ๆ ฮาธอสพบอัลล์ยืนกอดอกพิงผนังทางเข้าเหม่อมองไปที่ด้านนอก เทพหนุ่มรู้โดยสัญชาตญาณเลยว่าสหายดักรออยู่ เขาจึงเดินไปหาด้วยตนเอง

“เฮ้!”

ใบหน้าเข้มเบือนมาหา ดวงตาสีม่วงกวาดมองเขาครั้งหนึ่ง “เฮ้ เป็นยังไงบ้าง” ถามเสียงห้วนสั้น

“มหาเทพไคซัสปลอดภัยแล้ว แต่อาจจะใช้เวลาพักฟื้นอีกสักระยะ ท่านหญิงไคมีร่าคอยดูแลอยู่...”

“ข้าหมายถึงเจ้า” อัลล์พูดสวนมาทันที ฮาธอสชักสีหน้าประหลาดใจ ชายตัวใหญ่กว่าจึงเหยียดตัวเต็มความสูงแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ “เจ้ามีความลับกับข้า”

ฮาธอสหน้าเสียทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ยกมือกุมหน้าผากด้วยความอดสู เขากับอัลล์รู้จักกันมาตั้งแต่ตอนอยู่ในแดนร้างแห่งสวรรค์ ได้รับการเลื่อนขั้นมาอยู่ในมหานครพร้อมกันอีกด้วย ตลอดระยะเวลายาวนานเกือบหนึ่งพันปีที่ผ่านมา เขากับสหายไม่เคยมีความลับต่อกันเลย ยกเว้นเรื่องนี้

“ข้าขอโทษ” นั่นเป็นคำเดียวที่ฮาธอสนึกออกตอนนี้

“ทำไมต้องขอโทษด้วย เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” อัลล์มองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ คนตัวใหญ่ก้าวเข้ามาใกล้ แววตาคาดคั้นเหมือนจะบีบให้มั่นคั้นให้ตาย “แต่ที่ข้าสงสัยก็คือ ทำไมเจ้าถึงปกปิดเรื่องนี้ไว้ ถ้าเจ้าใช้ความสามารถนั่นกับสติปัญญาที่เจ้ามี ป่านนี้เจ้าคงเลื่อนขึ้นมาอยู่ขั้นเดียวกับข้าไปแล้ว”

“แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ อัลล์!” ฮาธอสจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

นายทหารหนุ่มคิดว่าตัวเองคงกดดันเพื่อนมากเกินไปจึงถอยออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาสีม่วงพินิจเพื่อนอย่างสงสัย แต่ไม่นานเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้

“ฮาธอสอย่าบอกข้านะ ว่าที่เจ้าจงใจปกปิดเรื่องนี้ไว้ก็พอคนคนนั้น...พี่ชายของเจ้า” คำถามตรงไปตรงมาเปรียบได้กับหอกแหลมแทงทะลุใจคนฟัง “เรื่องมันนานมาแล้วนะ เจ้ากับเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้วด้วย...”

“เรื่องนี้เป็นความตั้งใจของข้าเองต่างหาก!” เทพคนสวนโพล่งออกมา สีหน้าสุดจะทน

อัลล์ชะงักไปอีกหนด้วยความตกใจกว่าเก่า ฮาธอสจึงรู้ตัวว่าทำอะไรออกไปแล้วยกมือขึ้นขอเวลานอนสักครู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกสองสามครั้งจนแน่ใจว่าอารมณ์ของตนนิ่งพอค่อยเอ่ยคำพูดต่อ

“อัลล์ ทั้งข้าทั้งเจ้าต่างก็มีความปรารถนาสูงสุดของตัวเอง” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกล่าวเนิบช้า พลังบางอย่างที่แฝงในนั้นค่อย ๆ โน้มน้าวเพื่อนให้คิดตามไปด้วย “เจ้าอยากเป็นขุนพลเทพแห่งสวรรค์ แต่ข้าอยากเป็นแค่เทพเล็ก ๆ ตนหนึ่งที่ไม่ต้องใช้พลังนี้ทำร้ายใครทั้งนั้น เข้าใจข้าหน่อยเถอะนะ อัลล์”

สิ้นเสียงที่เปลี่ยนเป็นตัดพ้อในตอนสุดท้าย อัลล์ก็เงียบไปด้วยความรู้สึกผิดลึก ๆ ที่ผ่านมาสหายผู้นี้สนับสนุนให้เขาทำตามความฝันมาตลอด กระทั่งมายืนในจุดที่ใกล้เคียงความฝันของตนเองที่สุด ฮาธอสให้เขามากมายในฐานะเพื่อน ทว่าเขากลับไม่เคยให้อะไรกับอีกฝ่ายเลย สมควรแก่เวลาแล้วหรือยังที่เขาจะให้เพื่อนบ้าง

ฝ่ายฮาธอสนั้น ถึงจะได้พูดในสิ่งที่คิดออกไปแล้วก็ยังรู้สึกหนักอึ้ง ความจริงเขาอึดอัดกับการปกปิดความลับนี้มาตลอด แต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยความลับนี้ให้ใครรู้ ดังนั้นเมื่อมันปรากฏในเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและถูกคาดคั้นจากไคซัสด้วยวิธีการที่ออกจะ...หวามใจแบบนั้น เทพหนุ่มจึงค่อนข้างสับสนใจไม่น้อย

“ข้าเข้าใจ” สุ้มเสียงแหบห้าวที่เอ่ยห้วน ๆ นั้นทำให้ฮาธอสเงยหน้าคนพูดด้วยความประหลาดใจ อัลล์ยักไหล่ด้วยสีหน้าประมาณว่ามันควรเป็นแบบนี้อยู่แล้ว “ข้ากับเจ้าเป็นเพื่อนกัน รู้จักกันมานาน ทำไมข้าจะไม่เข้าใจเจ้าล่ะ” พูดแล้วก็กอดอก “แต่ว่าเบื้องบนรู้เรื่องแล้ว เจ้าคงจะถูกจับตามองแน่นอน ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน”

สำหรับฮาธอส คำเตือนนี้ออกจะมาช้าสักหน่อย เพราะไคซัสทำยิ่งกว่าการจับตามองไปแล้ว ยังดีที่ยังไม่มีใครรู้เรื่องของเขากับมหาเทพสงคราม ไม่อย่างนั้นเขาคงอายชนิดแทรกแผ่นดินหนีเป็นแน่

“ขอบใจนะ อัลล์ เจ้าคือเพื่อนแท้ของข้า” เทพคนสวนยื่นมือให้อีกฝ่าย

อัลล์รับไว้แล้วกระชับแน่น “เจ้าก็เหมือนกัน” เขาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไปทำงานต่อล่ะ วันนี้ยุ่งมากจริง ๆ”

แล้วชายหนุ่มทั้งสองก็แยกย้ายกันไปตามทางของตนเอง ฮาธอสไปข้างหลัง ส่วนอัลล์มุ่งไปยังลานฝึกซ้อมด้านหน้า ทว่ายังไม่ทันพ้นทางเดินนั้นเลยด้วยซ้ำ ไคมีร่าก็ปรากฏตัวจากมุมทางเดิน ทำให้นายทหารหนุ่มตัวแข็งทื่อไปโดยทันที เธอมาตั้งแต่ตอนไหน? ได้ยินเรื่องที่เขากับเพื่อนคุยกันหรือเปล่า!?

“อัลวินสินะ” เด็กสาวเอียงคอถาม สีหน้าใคร่รู้จนอ่านเนื้อในไม่ออก แล้วเธอก็ยื่นซองจดหมายสีเงินยวงมาให้เขา “ท่านพี่สั่งให้เจ้าถือจดหมายฉบับนี้ไปมหาเทพีแห่งจันทราและรอจนกว่าจะได้คำตอบ นี่เป็นเรื่องสำคัญ จงไปอย่างลับ ๆ และห้ามทำพลาดเด็ดขาด”

“งานทางนี้ล่ะขอรับ”

“ท่านพี่ฟื้นแล้ว เขาจะจัดการเองทุกอย่าง ที่นี่เองก็มีผู้ช่วยอยู่หลายคน เจ้าคงไม่ต้องห่วงสินะ” น้ำเสียงในตอนสุดท้ายบ่งชัดว่านี่ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำสั่ง พี่น้องคู่นี้ช่างเหมือนกันจริง ๆ

อัลล์คำนับให้ไคมีร่าครั้งหนึ่งเป็นเชิงรับคำสั่ง (แบบจำใจ) จากนั้นก็รับจดหมายไปซ่อนไว้ในช่องลับของเสื้อตัวใน ก่อนขอตัวไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย

---------------

สองวันหลังจากการบุกสวรรค์อย่างอุกอาจของไคมีร่ากับพัมกิ้นซ์ ตำหนักพาเทร่าที่ได้รับความเสียหายจากการต่อสู้ก็ซ่อมแซมเสร็จสิ้นด้วยฝีมือช่างกรมวัง เหลือแต่เพียงสวนหย่อมที่ฮาธอสเป็นคนรับผิดชอบ ซึ่งเทพคนสวนแต่เช้าตรู่ ทว่าทันทีที่เปิดประตูออกจากห้องก็เจอเซบาสเตียนเข้าพอดี ทหารหนุ่มร้องอย่างประหลาดใจ

“อ้าว! ข้ากำลังจะเคาะประตูเรียกพอดีเลย”

“บังเอิญจริง ๆ ข้ากำลังจะออกไปทำงาน ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยหรือ” ฮาธอสถาม แววตาเอื้ออาทรเหมือนที่ผ่านมา

“มหาเทพไคซัสใช้ให้มาตามน่ะ ท่านสั่งให้เจ้าแต่งตัวดูดีหน่อยแล้วขึ้นไปพบท่านที่ห้องทำงาน เห็นว่ามีงานสำคัญจะให้ช่วย”

ฮาธอสเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มด้วยความดีใจ ชายหนุ่มไม่ได้เจอไคซัสอีกเลยตั้งแต่ถูกไคมีร่าไล่ออกจากห้อง แถมยังถูกเด็กสาวที่อ้างตัวเป็นผู้ช่วยแทนอัลล์ที่ออกไปทำงานข้างนอกหลายวันแล้วใช้งานจนไม่มีเวลาไปเยี่ยมด้วย ดังนั้นเมื่อโอกาสได้พบหน้ามหาเทพสงครามมาถึง มีหรือที่เขาจะปล่อยให้หลุดลอย

“ขอบใจมาก ข้าจะรีบเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้ล่ะ” บอกกับผู้มาแจ้งข่าวอย่างยินดีแล้วรีบถอยกลับไปเปลี่ยนชุดในห้องแล้วขึ้นไปพบกับไคซัสโดยเร็วที่สุด

แต่กว่าเจ้าตัวจะเอะใจว่าไคซัสอยากให้ช่วยงานอะไรถึงต้องแต่งตัวดูดีด้วยก็สายไปเสียแล้ว


-------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-08-2013 20:09:43 โดย Makoto-sang »

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 7 up 27/08/13
«ตอบ #35 เมื่อ28-08-2013 20:09:10 »

- 100% -

ณ โดมทองรำไพในมหาตำหนักเทพสวรรค์ เหล่าเทพขุนนางมารวมตัวกันอย่างคับคั่งแต่เช้าเหมือนวันแรกที่ไคซัสเข้าประชุมไม่ผิดเพี้ยน เพราะวันนี้จะมีการประชุมด่วนตามโองการของราชาแห่งฟ้าที่มีลงมาเมื่อคืนนี้

ไคซัสก็ยังคงทำให้ทุกคนประหลาดใจเหมือนกับครั้งแรกที่เหยียบมาที่นี่ เขาในร่างมนุษย์สมบูรณ์ปรากฏตัวลงจากรถม้าในชุดยาวกรุ่ยกรายสีขาวสวมทับด้วยเสื้อคลุมดำปักดิ้นทองที่ปกแบบอาหรับ ไม่สวมผ้าคลุมศีรษะ เรือนผมยาวสีเทาจางปล่อยสยายปรกบ่า ใบหน้าคร้ามเข้มยังดูซีดเซียวจากอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี แม้แต่ดวงตาสีส้มสว่างยังดูอิดโรยตามไปด้วย ให้ความรู้สึกอ่อนแอผิดกับเทพอสูรที่ดุร้ายเมื่อครั้งก่อนมาก ที่สำคัญผู้ติดตามไม่ใช่อัลล์ แต่เป็นเทพหนุ่มผมทองรูปงามที่ถือม้วนเอกสารตามมาติด ๆ ปิดท้ายด้วยทหารในสังกัดของอัลล์อีกสี่นาย

ฮาธอสอยู่ในชุดสุภาพสีเขียวอ่อนปักลายเถาไอวี่ด้วยด้ายสีเขียวเข้มตามขอบชาย เรือนผมยักศกสีทองคำยาวสลวยรวบไว้ด้วยริบบิ้นสีเขียวเข้าชุด ด้านหน้าปล่อยปอยยาวสองข้างระแก้มขาวเนียน แต่ชายหนุ่มอยู่ในอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีน้ำเงินกรอกไปมาอย่างหวาดระแวง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในสถานที่สำคัญที่มีแต่เทพชั้นสูงเข้ามาได้เท่านั้น พวกขุนนางคงจะรู้แล้วว่าเขาเป็นเทพชั้นต่ำถึงได้ดูเขาแล้วหันไปซุบซิบคุยกันเอง เขาไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่จริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของไคซัสล่ะก็...ต่อให้ตายเขาก็ไม่มาที่นี่เด็ดขาด!

“เป็นอะไรไปหรือ” ไคซัสเอ่ยถามหลังเลี้ยวเข้ามาในห้องประชุมแล้ว ขุนนางยังเข้ามาประปลายจึงมีช่องว่างพอให้คุยเป็นการส่วนตัวชั่วครู่

“...ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีขอรับ” ฮาธอสตอบ สีหน้าไม่ค่อยดีอย่างว่าจริง ๆ “ท่านแน่ใจแล้วหรือที่ให้ข้ามาด้วยกัน เทพชั้นต่ำเยี่ยงข้าไม่ควรเข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เลย”

หลังจากเปลี่ยนมาสวมชุดนี้แล้วไปพบไคซัสตามคำสั่ง มหาเทพสงครามก็จัดการมัดมือชกให้เขาเป็นผู้ช่วยแล้วพามาที่นี่ แน่นอนว่าฮาธอสคัดค้านเพื่อตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว แต่เทพอสูรหนุ่มก็ลากตัวมาจนได้

“นิยามคำว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’ ของเจ้าหน่อยสิ” เทพอสูรสั่ง น้ำเสียงไร้แววยียวน แต่เทพคนสวนก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองกำลังถูกป่วนประสาท

“สิ่งของหรือสถานที่ซึ่งเปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องและทรงอำนาจเหนือกว่าข้าน้อยขอรับ” ฮาธอสตอบไป ที่ตามมาข้างหลังหันมองหน้ากันเองเล็กน้อย

“ถ้าแบบนั้นข้าที่มีพลังมืดในตัวก็ไม่ควรมาที่นี่เหมือนกันน่ะสิ” ไคซัสหลิวตาให้ยิ้ม ๆ ขณะเดินไปยังที่นั่งของตน “สถานที่ก็คือสถานที่ ไม่เกี่ยวข้องกับพลังใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่เจ้ากังวลก็คือ ‘สายตา’ ของคนรอบข้าง เพราะเจ้าอยู่ในสังคมที่แบ่งวรรณะมานาน อย่ากังวลไปเลย ฮาธอส ข้าให้เจ้ามาแทนอัลล์ที่ไปทำงานให้ข้าอยู่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง”

แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างสูงใหญ่ก็เซไหวใกล้จะล้ม ฮาธอสถลาไปพยุงตัวเขาไว้ตามสัญชาตญาณ ก่อนจะนิ่งไปเมื่อไคซัสช้อนหน้าขึ้นส่งสายตาแพรวพราวมาให้ เสียงทุ้มต่ำที่สั่นพร่ากระซิบมาอย่างมีความสุข

“อีกอย่างข้าอยากจะเห็นหน้าเจ้าด้วย ไคมีร่าตัวดีส่งเจ้าไปทำงานข้างนอกเรื่อยเลย”

เทพคนสวนหน้าร้อนฉ่า นึกถึงตอนที่ถูกจูบอย่างเสียไม่ได้ “อย่าล้อเล่นสิขอรับ” พูดเสียงลอดไรฟัน

มีเสียงหัวเราะในลำคอตอบกลับมาเบา ๆ แล้วฮาธอสกับทหารอีกคนก็ประคองตัวไคซัสไปนั่งที่เก้าอี้ ถึงตอนนี้ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของมหาเทพสงครามซีดลงอักโข พอเทพรับใช้หนุ่มลองจับมือเขาดูก็พบว่าเย็นมากทีเดียว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะทำอะไรต่อไป เด็กหนุ่มในชุดจีนประยุกต์สีแดงสดก็แทรกตัวเข้ามาเอาถ้วยน้ำชาที่มีฝาปิดแบบจีนวางบนโต๊ะ กลุ่มไคซัสจึงเงยหน้ามองผู้มาใหม่พร้อมกัน

“นี่เป็นน้ำชาจากสมุนไพรบำรุงร่างกายที่พี่สาวข้าชอบดื่ม ข้าเห็นว่ามันเหมาะกับมหาเทพไคซัสตอนนี้ดีก็เลยชงมาให้ ฟาเบียนไม่ว่าหรอก” เซย์เรียโน่ส่งอย่างเป็นมิตร

“พี่สาว?” ไคซัสทวนแล้วก็นึกได้ “นึกออกแล้ว พี่สาวฝาแฝดสินะ พักหลังข้าไม่ได้ยินข่าวของนางเลย”

ดวงตาสีส้มจับจ้องอีกฝ่าย พยายามอ่านสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากยิ้มแย้มนั่น แต่อีกฝ่ายก็สมเป็นขุนพลเทพอันดับห้า ไม่เปิดช่องให้เห็นแม้แต่น้อย

“ช่วงนี้นางอาการไม่ค่อยดีก็เลยหลับอยู่” เด็กหนุ่มวางมือลงกลางอกของตน ริมฝีปากจิ้มลิ้มอมอยิ้มหวานอย่างอ่อนโยน...แม้จะเพียงเสี้ยวนาทีก็มากพอทำให้คนที่มองอัศจรรย์ใจได้ เจ้าหนูนี่ยังพอมีหัวใจอยู่สินะ

มหาเทพสงครามเอื้อมมือไปหยิบน้ำชาถ้วยนั้นมาดื่ม ซึ่งทำให้ฮาธอสแปลกใจนิดหน่อย สำหรับคนที่เกลียดน้ำหน้ากับแทบตาย

“เจ้าต้องการอะไร” คำถามเอ่ยมาหลังดื่มอึกแรก นึกในใจว่ารสชาติใช้ได้ทีเดียว

“ไม่นี่ แค่เป็นห่วงตามประสาเพื่อนร่วมงานเท่านั้นเอง” เซย์เรียโน่หยักไหล่แล้วเขยิบมานั่งบนโต๊ะ ขณะขุนนางท่านอื่นทยอยเข้ามาประจำที่ “ได้ยินว่าหมดสติหลังจากพวกเราออกมาแล้ว เล่นเอาตกอกตกใจหมด แต่เห็นมาร่วมประชุมได้แล้วค่อยโล่งใจหน่อย”

“ความจริงคนที่รักษาข้าก็ยังไม่อยากให้ข้าออกไปไหน แต่เพราะนี่เป็นการประชุมใหญ่ยังไงก็ต้องมา” ไคซัสตอบ สีหน้าเรียบเฉย

“ทุ่มเทเหลือเกินนะ”

มีเสียงค่อนแคะลอยมาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างสมเพช มหาเทพสงคราม ขุนพลเทพอันดับห้า และเทพคนสวนมองไปยังทิศที่มาพร้อมกันก็เห็นว่าจอมปราชญ์ทั้งแปดรวมตัวอยู่ในที่ของตน บางคนเหล่มองพวกเขาด้วยหางตาอย่างหยามเหยียด ก่อนจะเมินไปเหลือแต่หัวหน้ากลุ่มที่จ้องมองไคซัสอย่างเป็นศัตรู เซย์เรียโน่ยิ้มบางอย่างสนุก

“เอาล่ะสิ พวกจอมปราชญ์ดูจะเตรียมตัวมาเพื่อขยี้ท่านโดยเฉพาะเลยนะ จะไหวไหมหนอ” เสียงเล็กเปรยเบาอย่างสงสัย

“เมื่อมาอยู่ตรงนี้ ต่อให้ไม่ไหวก็ต้องไหว ขอบใจสำหรับน้ำชา” ว่าแล้วไคซัสก็วางถ้วยชาลงเป็นสัญญาณว่าหมดเรื่องคุยด้วยแล้ว เซย์เรียโน่ก็เข้าใจความหมายจึงยอมถัดตัวลงจากโต๊ะโดยดี

แต่ก่อนที่จะผละไปนั้น ร่างเล็กก็ชะโงกคอมาใกล้มหาเทพสงคราม แล้วพูดต่อหน้าเขากับทุกคนว่า

“เรื่องนี้ยังไม่จบ ท่านควรระวังตัวไว้ด้วย”

----------------

การประชุมเริ่มต้นขึ้นเมื่อมหาเทพจ้าวสวรรค์กับผู้ติดตามทั้งสิบมาถึง เนื่องจากเป็นการประชุมด่วนจึงไม่มีพิธีรีตองมากนัก เพียงฟาเบียนประทับบัลลังก์ไม้แล้วแจ้งเรื่องที่ยากจะพูดด้วยตนเอง

“ช่วงที่ผ่านมาทุกท่านคงรู้กันแล้วว่าสวรรค์ต้องเผชิญกับเรื่องแย่ ๆ หลายอย่าง ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน อสูรจากดินแดนเบื้องล่างถูกใครบางคนส่งแมลงไสยเวทไปควบคุมแล้วบุกเข้ามาในสวรรค์ ทำให้เสาเขตแดนต้นหนึ่งถล่มลงมา มหาเทพสงครามกับขุนพลเทพอันดับสองและอันดับห้าร่วมกันแก้ไขปัญหาในเวลาอันสั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ข้าได้เห็นสภาพที่แท้จริงของเขตคุ้มครองสวรรค์ ฉะนั้นข้าจะ...”

“ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าจอมปราชญ์ลุกขึ้นคำนับเป็นเชิงขออนุญาต ทุกคนในที่ประชุมมองเขาด้วยความสนใจ “กระหม่อมมีเรื่องสำคัญอยากจะให้พระองค์กับมหาเทพไคซัสช่วยแถลงไขให้เข้าใจ ขอท่านจ้าวโปรดประทานอนุญาตด้วย”

ฟาเบียนเบือนหน้ามาหาไคซัสที่นั่งหน้านิ่งคล้ายปรึกษา มหาเทพสงครามผงกศีรษะเป็นเชิงตกลงโดยไม่พูด ฮาธอสกับทหารทั้งสี่เตรียมพร้อมรับความเครียดที่จะตามมา

“เชิญ” ร่างโปร่งบนบัลลังก์ผายมืออย่างมีมารยาท

“กระหม่อมได้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว ทราบว่าสัตว์อสูรที่บุกเข้ามานั้นได้มุ่งไปโจมตีตำหนักพาเทร่า แต่ระหว่างทางนั้นมหาเทพไคซัสได้จับเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเหาะตามสัตว์อสูรเข้ามาได้อีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นทั้งสองก็ถูกกักตัวไว้ในตำหนัก โดยไม่มีการสอบสวนใด ๆ เลย...”

“อันที่จริงมีการสอบสวนเป็นการลับไปแล้ว ข้าเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง สักขีพยานก็คือ เรซิสกับเซย์เรียโน่” ฟาเบียนบอกทันควัน เจ้าของชื่อทั้งสองลุกขึ้นผงกศีรษะยืนยันด้วย ราชาแห่งฟ้าตั้งอกตั้งใจทำตามที่ตนออกปากไว้อย่างดี “เด็กสาวผู้นั้นเป็นบุคคลสำคัญจากโลกเบื้องล่างซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุด ข้าไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดความบาดหมางระหว่างสองดินแดนจึงจัดการโดยเร็วที่สุด”

หัวหน้าจอมปราชญ์นิ่งไปเล็กน้อย ฮาธอสเห็นแววตาที่คล้ายสมใจบางอย่างของเขาก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงก้มลงเพื่อเตือนให้ไคซัสรู้ แต่เทพอสูรหนุ่มยกมือเป็นเชิงห้ามไว้ก่อน นัยน์ตาส้มจับจ้องชายเคราขาวเหมือนกับเขา

“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเด็กสาวตนนั้นเป็น ‘ญาติ’ ของมหาเทพสงครามสินะพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าจอมปราชญ์ทำทีเป็นถามเสียงดัง เหล่าขุนนางต่างฮือฮา “ท่านจ้าวไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยหรือ อสูรสองตนที่บุกเข้ามาในสวรรค์ล้วนเป็นคนรู้จักของมหาเทพสงคราม มิหนำซ้ำตำหนักพาเทร่ายังตกเป็นเป้าหมายที่แรกด้วย”

“ท่านกำลังจะบอกว่าไคซัสจงใจสร้างเรื่องเพื่อเรียกร้องความสนใจหรือ!” ราชาแห่งฟ้าเริ่มขึ้นเสียง

“มิได้พ่ะย่ะค่ะ ท่านจ้าวลองตรึกตรองให้ดี ๆ แมลงไสยเวทจะตอบสนองต่อพลังมืดเท่านั้น และในสวรรค์คนที่มีพลังนี้...”

“เดี๋ยวก่อน” เรซิสเอ่ยแทรกก่อนชายเคราขาวจะพูดจบ ทุกคนจึงมองไปที่นาง “มหาเทพสงครามอาจจะมีพลังด้านมืดเข้มข้นที่สุดในสวรรค์ แต่ข้าขอยืนยันว่าแมลงไสยเวทนั้นมาจากคนอื่น เพราะข้ากับเซย์เรียโน่ได้เห็นมันกับตาก่อนจะยิงทิ้งด้วยตัวเอง”

“ก่อนหน้านั้นมหาเทพไคซัสก็พยายามย้อนพลังไปหาคนที่ส่งมาด้วย แต่...” ร่างเล็กยักไหล่ให้ไคซัสอย่างช่วยไม่ได้ “...ไม่สำเร็จ ฝ่ายโน้นคงใช้พลังเวทสกัดกั้นไว้ แล้วเจ้าตัวยังต้องบาดเจ็บจากการปกป้องคนของตัวเองบอก ถ้าบอกว่าเป็นการสร้างเรื่องเพื่อสร้างความดีความชอบก็ออกจะมากไปสักหน่อยนะ”

ฮาธอสสาบานเลยว่าเห็นจอมปราชญ์ทั้งแปดหนวดกระดิกไปตาม ๆ กัน แต่ไคซัสยังจ้องมองทั้งแปดอย่างไม่วางตา เขาเข้าใจดีว่าผู้ทรงภูมิเหล่านี้ไม่มีทางรามือง่าย ๆ แน่

“แต่การที่มหาเทพไคซัสไม่จัดการอะไรกับ ‘ญาติ’ ของตนเองเลยเท่ากับละเลยหน้าที่ กระหม่อมเห็นควรว่าให้นำตัว ‘ผู้บุกรุก’ ทั้งสองตนมาลงโทษตามกฎสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าจอมปราชญ์งัดลูกไม้สำคัญออกมาจนได้ บรรดาเทพขุนนางต่างส่งเสียงสนับสนุน

“หากทำแบบนั้นก็เท่ากับเป็น ‘ศัตรู’ กับเผ่าอสูรนะ” ในที่สุดไคซัสก็เอ่ยปากพูดจนได้ เสียงคุยหึ่ง ๆ เหมือนผึ้งของเทพคนอื่นเงียบหายทันใด “การที่ไคมีร่าไปอยู่แถวนั้นก็เพราะเส้นทางขึ้นสวรรค์โดยตรงอยู่บริเวณนั้น นางกำลังสำรวจดูว่าจะมีโอกาสได้เจอข้าที่ชายแดนหรือเปล่า แต่เมื่อไม่พบก็ตั้งใจจะมาที่ทวารดินแล้ว นางไม่ได้มีเจตนาจะบุกแดนสวรรค์อย่างผิดธรรมเนียมใด ๆ ทั้งสิ้น” พูดจบก็ส่งสายตาให้ฟาเบียน

“ที่สำคัญกว่าก็คือเด็กสาวคนนั้นเป็น ‘ว่าที่จ้าวเผ่าอสูร’ ที่จะขึ้นครองราชย์แทนไคซัสในเร็ว ๆ นี้” มหาเทพจ้าวสวรรค์อธิบาย น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังเนื่องจากเกี่ยวพันกับความมั่นคงของสวรรค์ “พวกเจ้าทุกคนต่างรู้อยู่ว่าแดนอสูรเป็นกันชนชั้นดีของโลกมนุษย์ การที่กองทัพปีศาจยังไม่สามารถเคลื่อนพลได้เต็มที่ก็เพราะมีเผ่านี้ขวางกั้นอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้เสีย ‘พันธมิตร’ นี้ไปในช่วงที่สวรรค์กำลังระส่ำระสายเด็ดขาด”

“ท่านจ้าว!” หัวหน้าจอมปราชญ์ครางอย่างไม่อยากเชื่อ ขณะฮาธอสพอจะเดาได้ว่าช่วงสามสิบนาทีก่อนที่เขากับนาซิลลาจะไปที่ห้องทำงานไคซัส ประดาผู้สูงศักดิ์คงตกลงเรื่องการเมืองกันเรียบร้อยแล้ว

“จอมปราชญ์ทั้งแปดและขุนนางเทพทุกท่าน เรายังไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของผู้ใช้แมลงไสยเวท เพราะฉะนั้นไม่ควรด่วนตัดสินใจอะไรในตอนนี้” ฟาเบียนกวาดสายตาเฉียบขาดกราดไปหาทุกคน “ไคซัสยังจำเป็นต่อพวกเราในฐานะมหาเทพสงครามและพันธมิตรที่สำคัญ และข้าจะทำตามที่เขาเสนอไว้คือ เปลี่ยนเสาเขตแดนที่อ่อนแอใหม่ทั้งหมด ส่วนต้นที่พังทลายไป ข้าจะใช้คทาวิเศษของข้าไปตั้งแทนชั่วคราวจนกว่าเสาใหม่จะเสร็จ และเรื่องในกองทัพให้เห็นไคซัสมีอำนาจเต็มทุกอย่าง ยกเว้นทหารในสังกัดของข้าโดยตรงเท่านั้น!”

เมื่อมีบัญชาเสร็จสิ้น มหาเทพจ้าวสวรรค์ก็เสด็จออกจากโดมทองรำไพ โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของจอมปราชญ์กับบรรดาขุนนางเทพฝ่ายบุ๋นเลย กลุ่มขุนพลเทพออกจากห้องเป็นลำดับต่อไป เหล่าผู้ติดตามทั้งสิบของฟาเบียนใช้ตัวเองเป็นรั้วกันมิให้บุคคลเหล่านั้นตามไปกวนฟาเบียนได้ ฮาธอสค่อนข้างอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นเล็กน้อย ตอนแรกเหมือนว่าไคซัสจะต้องถูกไล่บี้แน่นอน หากตอนนี้กลับลอยตัวในฐานะพันธมิตรสำคัญแห่งสวรรค์ เรื่องราวช่างซับซ้อนเสียจริง

“ไปกันเถอะ”

ไคซัสสั่งแล้วยืนขึ้นด้วยตนเองอย่างทระนง ฮาธอสมองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินนำพวกตนออกจากห้องโดยแยแสเสียงรอบข้างด้วยความนับถือ ทั้งที่เรื่องนี้มีโอกาสหลุดรอดจากความผิดยากแท้ ๆ ไคซัสกลับใช้สิ่งที่ตนมีสร้างทางรอดไปได้ ทว่าในสายตาของเขาคงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มค่านัก

“มหาเทพสงคราม”

เสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง ทั้งกลุ่มจึงหันกลับไปพร้อมกัน ทหารผู้ติดตามแหวกทางให้เจ้านายได้พบกับกลุ่มเทพฝ่ายบู๊ที่ทยอยออกมารวมตัวกันข้างนอก ไคซัสกับฮาธอสเหลียวมองหน้ากันและกันด้วยความสงสัย ก่อนขุนพลผิวคล้ำตัวใหญ่จะเป็นตัวแทนกล่าวกับเทพอสูรว่า

“พวกขุนนางฝ่ายบุ๋นอาจไม่ค่อยชอบท่านนัก แต่พวกเราขุนนางฝ่ายบู๊ยังพร้อมทำตามหน้าที่เสมอ หากท่านต้องการสิ่งใดสามารถเรียกใช้ได้เลยนะขอรับ”

ทุกคนนิ่งไป โดยเฉพาะไคซัสที่ดูประหลาดใจกว่าเพื่อน ฮาธอสเหลือบมองเขาด้วยความสงสัยเหลือเกินว่าจะตอบเช่นไร เพราะที่แล้วมาเทพอสูรหนุ่มพยายามตัดตัวเองออกจากชาวเทพมาตลอด แต่เวลานี้ทุกคนพยายามจะนำเขาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งให้ได้

“ขอบคุณ ข้าจะขอรับรับน้ำใจของทุกท่านไว้”

ไม่น่าเชื่อว่าหมาป่าผู้โดดเดี่ยวอย่างไคซัสจะตัดสินใจเข้าร่วมฝูงอย่างง่ายดายเช่นนี้ ซึ่งคนที่ตกใจที่สุดเห็นจะเป็นเทพคนสวนนั่นเอง ฮาธอสกะพริบตาปริบ ๆ มองอีกฝ่ายผงกศีรษะลาขุนนางกลุ่มนั้นอย่างอึ้ง ๆ ก่อนจะรีบสาวเท้ายาว ๆ ไปอยู่ข้างกายมหาเทพสงคราม

“ท่านขอรับ เมื่อกี้...”

เทพอสูรหนุ่มมองหน้าคนถามที่อ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนปลาด้วยความตกตะลึงระคนตื่นเต้น ท่าทางนั้นขันนั้นทำให้ริมฝีปากหนาที่โค้งลงมาแต่เช้ายกมุมสูงขึ้นพร้อม ดวงตาสีส้มสว่างค่อยฉายแววอ่อนโยน เทพตนนี้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้เสมอ

“พวกเจ้าสี่คนออกไปเตรียมรถม้าก่อน” ไคซัสสั่งกับทหารผู้ติดตามและรอให้ทั้งสี่วิ่งหายไปก่อนค่อยดึงตัวฮาธอสมาใกล้ จุดที่พวกเขาอยู่ตอนนี้เป็นทางเดินขนาดกับโดมทองรำไพ สองข้างทางปลูกต้นกุหลาบสีเหลืองสูงท่วมหัวจึงพอกำบังสายตาได้ชั่วระยะหนึ่ง เทพอสูรรวบมือแทบหนุ่มไว้ในชายเสื้อของตน “เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก ฮาธอส ข้ายอมรับน้ำใจจากพวกเขา”

“แต่ท่านพยายามแยกตัวเองจากพวกเรามาตลอด” ฮาธอสถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก จังหวะการก้าวของเขาช้าลงกว่าเดิมมาก เพราะอยากยืดเวลานี้ให้ยาวออกไปอีก...สักเล็กน้อยก็ยังดี มือเล็กที่หยาบกร้านของเขากระชับมือใหญ่แน่น

ไคซัสยิ้มกว้างอีกนิด การตอบรับของอีกฝ่ายทำให้เขามีความสุข แม้แต่สิ่งที่จะพูดต่อไปก็ยังไม่อาจทำลายได้

“ใช่ ข้าทำแบบนั้นมาตลอด แต่สองวันที่ผ่านมาข้าได้นอนคิดอย่างจริงจัง ร่างกายที่อ่อนแอกับสายตาที่จับจ้องมาจากภายนอกเตือนให้ข้ารู้ว่าไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้อีกแล้ว ข้าจึงคิดว่าให้เทพตนอื่นช่วยเหลือบ้างก็ไม่เสียหาย แต่นี่ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของข้า เพราะข้าเป็นอสูรและเป็นคนนอก ไม่มีทางรู้เลยว่าใครจะจริงใจบ้าง”

“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลเลยขอรับ นอกจากขุนพลเทพแล้ว ขุนศึกกับเทพนักรบส่วนมากจะทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ท่านคงเห็นแล้วว่าทหารสวรรค์ให้ความสำคัญกับคำสั่งของเจ้านายขนาดไหน ดูอย่างอัลล์นั่นประไร นอกจากเรื่องในสงครามครั้งก่อนแล้ว เขาแทบไม่เคยหลุดนอกกรอบเลย”

ฮาธอสบอกเล่าอย่างภาคภูมิ เพราะนายทหารผู้นั้นไม่ได้เป็นเพียงอดีตแม่ทัพเปี่ยมความสามารถ แต่ยังเป็น ‘ตัวอย่างชั้นดี’ สำหรับปั้นบุคลากรในกองทัพด้วย ไคซัสพยักหน้าอย่างเห็นจริง หลายวันที่ทำงานมาด้วยกัน อัลล์คนนั้นแบ่งเบาภาระของเขาได้อักโข ปรับตัวเข้ากับวิธีการทำงานของเขาได้อย่างดีเยี่ยม คงจะเป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่เทพอสูรหนุ่มนึกขอบคุณฟาเบียนที่ส่งทหารหนุ่มตาสีม่วงคนนั้นมา จากนี้อยู่ที่ว่าจะเอาเข้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกันด้วยใจภักดีอย่างไรสินะ

ร่างสูงใหญ่หยุดเดินทำให้คนข้างกายพลอยหยุดตามไปด้วย ฮาธอสช้อนหน้ามองอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติแล้วก็นิ่งไปเมื่อเห็นแววลึกล้ำของมหาเทพ ใจของเขาเต้นตึกตัก รู้ตัวเลยว่าแพ้ ‘สายตา’ แบบนี้ของไคซัสเข้าเสียแล้ว ถูกจ้องทีไร ตัวเหมือนจะละลายไปกองกับพื้น แต่จำต้องสร้างกำลังใจสบตากลับ เพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“ฮาธอส” สุ้มเสียงต่ำทรงพลังเอ่ยชัด ใจคนฟังยิ่งเต้นแรงขึ้นอีก “ข้าอยากให้เจ้าคิดเรื่องย้ายมาอยู่ตำหนักของข้าเป็นการถาวร”

“เอ๊ะ!” หางเสียงของเทพหนุ่มมีรอยไม่คาดฝัน

“ข้ารู้ว่าเจ้าจงรักภักดีต่อเรเทเชียอย่างมาก แต่ข้าก็อยากให้เจ้ามาอยู่ข้างกายของข้าด้วย เจ้าเองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับข้าใช่ไหม”

มหาเทพจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง จับมือเล็กวางเหนืออกข้างซ้ายของตน ข้างใต้นั้นจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อที่ซ่อนอยู่ข้างในแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับฮาธอส สิ่งที่สัมผัสได้นั้นทำให้เทพคนสวนประหลาดใจไม่น้อย หมายความว่าอย่างไร? เขากับมหาเทพสงครามมีใจตรงกันอย่างนั้นหรือ เพียงแค่ ‘จูบเดียว’ ในวันนั้นสามารถสร้างสายสัมพันธ์ได้ขนาดนี้เลยหรือ ไม่สิ...เส้นใยสายสัมพันธ์กำลังถูกถักทอเข้าด้วยกันต่างหาก

“ข้า...ยังไม่มั่นใจขอรับ” แพขนตาสีทองหลุบต่ำอย่างรู้สึกผิด ทว่าเขาก็คิดเช่นนั้นจริง ๆ ความรักและคนรักเป็นสิ่งที่เขาละเลยมาตลอดหนึ่งศตวรรษ ถึงจะเคยปากกล้าสอนสั่งนาซิลลาไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่เอาเข้าจริงเขาก็แค่ไก่อ่อนตัวหนึ่ง ไก่อ่อนที่ถูกผู้ชาญยุทธ์กว่าล่อลวงด้วยหนึ่งจูบสะท้านหัวใจ ฉะนั้นเขาจึงอยากได้เวลาทบทวนตนเองให้แน่ใจเสียก่อน แต่มิใช่เพื่อตนเอง...เพื่อเทพอสูรหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างหาก

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี เพราะเมื่อก่อนข้าก็เป็นเหมือนกัน” ไคซัสหัวเราะเก้อ ๆ ประสบการณ์สมัยแตกเนื้อหนุ่มซึ่งหลงรักชายงามผู้หนึ่งเข้าสอนให้เขาเตรียมใจรับทุกคำตอบ กระนั้นก็อดรู้สึกผิดหวังกับคำตอบปฏิเสธมิได้ แต่เมื่อเขามั่นใจว่าตนเอง ‘รัก’ อีกฝ่ายแล้วก็ต้องเปิดใจกว้าง “ใช้เวลาได้ตามที่เจ้าต้องการ ข้ามีเวลามากมายเพื่อรอเจ้า”

แม้จะเป็นคำพูดง่าย ๆ แค่ไม่กี่ประโยค แต่ความเข้าอกเข้าใจและความอารีที่แฝงมาในน้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นทำให้ฮาธอสตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าการหวั่นไหวกับเทพอสูรตนนี้อาจเป็นเรื่องดีกว่าที่คิด เขาพยักหน้ายอมรับเรื่องเวลากับอีกฝ่ายแล้วก็นึกได้ วงหน้าคมสะดุดตาช้อนขึ้นมองเทพอสูรอีกครั้ง

“สำหรับท่าน ‘ความรัก’ หรืออะไรหรือขอรับ”

ถามแล้วรอคำตอบด้วยใจระทึก เป็นครั้งแรกที่เทพหนุ่มรู้สึกถึงเสียงหัวใจที่เต้นเป็นรัวกลองในอกนั้น ไคซัสยืนเงียบอยู่ชั่วอึดใจที่ใช้ความคิด...ชั่วอึดใจที่ฮาธอสรู้สึกว่ายาวนานนับสิบปี แล้วมือที่หนากว่า...หยาบกร้านกว่าก็ประคองมือเล็กของเขาขึ้นจุมพิตปลายนิ้ว แม้ร่างกายจะเย็น หากริมฝีปากกลับยังอุ่นพอสัมผัสได้ ไออุ่นนั้นแล่นริ้วไปกระแทกหัวใจเทพคนสวนอีกหน และอีกหลายครั้งตามจำนวนลมหายใจอุ่นที่เอ่ยคำพูดออกมา

“สำหรับข้า ความรักคือ ‘การให้’ เป็นการให้โดยไม่หวังค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งนั้น ให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความปรารถนาให้อีกฝ่ายมีความสุข ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ” นัยน์ตาสีส้มคมกริบปรากฏเกล็ดประกายพราวระยับเปี่ยมด้วยความจริงจังและจริงใจ “ข้าสามารถให้เจ้าอีกมากมายนัก ขอเพียงเจ้าให้โอกาสข้าสักครั้งก็พอ”

คงไม่มีครั้งไหนอีกแล้วที่ฮาธอสจะคิดว่าคำพูดสามารหวานได้จับใจขนาดนี้ หวานจนเขายังนึกกลัวว่าวันหนึ่งจะถอนตัวจากความรู้สึกนี้ไม่ขึ้น

----------------

หลังเสร็จจากการประชุมที่โดมทองรำไพ ขุนพลเทพทั้งสิบสองนายก็ไปประชุมย่อยกันต่อที่กรมราชองครักษ์ หน้าที่หลักของพวกเขาคือ การดูแลการศึกในมิติต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปตามกำหนดของสวรรค์ หรือไม่ก็ดูแลการศึกที่มหาเทพจ้าวสวรรค์ตัดสินใจส่งกองทัพสวรรค์ไปช่วย แต่การประชุมครั้งนี้เป็นเพียงการสรุปผลการทำงานคร่าว ๆ ของทุกคนเท่านั้น

“สรุปผลเสร็จแล้วขอให้ทุกคนส่งรายงานกันด้วยนะ เซย์เรียโน่ห้ามลืมเด็ดขาด!” ซีลี ขุนพลเทพอันดับหนึ่งตะโกนตามหลังเด็กหนุ่มที่เผ่นแผล้วออกประตูไปทันทีที่ประชุมเสร็จ

“รู้แล้วน่า!!” เสียงเล็กแว่วกลับมาพอให้ได้ยิน ขณะที่เจ้าตัวไปถึงไหนต่อไป

เด็กหนุ่มในชุดจีนประยุกต์สีแดงพลิ้วตัวลงบันไดสองชั้นมาด้วยความรวดเร็ว คิดจะใช้ช่วงเวลาว่างจากนี้ไปเยี่ยมเยือนตำหนักเทพบรรพกาลตนหนึ่งที่เจ้าตัวกำลังติดอกติดใจสุราชั้นเลิศของที่นั่นอยู่

แต่ความสุขก็มีอันต้องสะดุดทั้งที่ยังไม่ทันเริ่ม เมื่อขุนพลเทพอันดับห้าวิ่งมาถึงทางออกมหาตำหนักเทพสวรรค์ ซึ่งมีลักษณะเป็นทางแคบ กำแพงหินอ่อนสูงว่าตัวเขาถึงห้าเท่า มีประตูกั้นทั้งหน้าและหลัง ปลายทางออกนั้นมีชายหนุ่มผมสั้นสีขาว สวมหน้ากากสีขาวปิดใบหน้าครึ่งบน คลุมทับด้วยเสื้อคลุมไม่มีแขนยาวจรดพื้น แค่เห็นชายคนนั้น เซย์เรียโน่ก็หมดอารมณ์จะทำเรื่องที่คิดในฉับพลัน ร่างเล็กเอานิ้วยอนหูเดินไปหาอีกฝ่ายแบบจำใจสุด ๆ

“ว่าไง” ถามพลางเป่าเศษขี้หูทิ้ง ท่าทางกวนประสาทอีกฝ่ายยิ่งนัก

“ท่านผู้นั้นให้มาเรียนถามว่าจัดการ ‘เรื่องนั้น’ ไปถึงไหนแล้ว”

“ก็ไปเรื่อย ๆ” เซย์เรียโน่ตอบปัด ๆ ตาหลุกหลิกมองไปเรื่อย หากไม่ติดว่าที่นี่ห้ามบิน ห้ามหายตัว เขาคงจะอันตรธานหายไปเดี๋ยวนี้เลย

“ท่านผู้นั้นต้องการคำตอบที่ชัดเจนขอรับ” เจ้าหนุ่มชุดขาวกัดฟันทำเสียงข่ม

ทว่าค่าตอบแทนก็สวนกลับมาเกือบจะทันที แมลงไสยเวทตัวเท่าฝ่ามือกระโดดออกจากแขนเสื้อเซย์เรียโน่ไปเกาะที่ชายคนหนึ่ง ปลายคางของมันจ่อคอหอยในระยะประชิดจนรู้สึกถึงเข็มพิษแหลมเคลียผิวเนื้อ ผู้ข่มขู่ตัวแข็งเป็นหินทันใด

จริงอย่างที่ไคซัสพูด แมลงไสยเวทไม่เพียงตอบสนองต่อผู้ใช้พลังด้านมืดเท่านั้น ขอเพียงมีอำนาจสูงสุดเพียงพออย่างมหาเทพ จอมเทพ หรือแม้แต่ขุนพลเทพก็สามารถใช้งานมันได้เท่านั้น เจ้าสัตว์เล็ก ๆ นี้ต้องการแค่พลังเวทที่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนตัวเองไปตามคำสั่งเท่านั้น

“รู้แล้วน่า” สุ้มเสียงเล็กเอาแต่ใจตอบกลับมา นัยน์ตาสีแดงวาวโรจน์อย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ทำให้เสียเรื่องอยู่แล้ว ช่วยนั่งเป็นผู้ชมเงียบ ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ยังไงซะเรื่องนี้ก็จบอย่างที่เจ้านั่นต้องการอยู่แล้ว!”

ขณะเจ้านายพูด แมลงไสยเวทก็ไล้เข็มพิษผ่านผิวของชายชุดขาวไปด้วย เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ๆ อาบชุ่มตัวจนเปียกไปหมด เซย์เรียโน่เห็นแล้วเวทนาหรือไรไม่ทราบจึงดีดนิ้วเรียกแมลงรับใช้กลับคืนมาก่อนเดินไปใกล้

“เอาคำพูดข้าไปบอกกับเขาตามนั่นแหละ” ว่าแล้วเจ้าของร่างเล็กก็เฉียดผ่านไปอย่างไม่สนใจ ไม่แยแสแม้กระทั่งตอนที่ชายคนนั้นทรุดคลานกับพื้น


-----------------

เซย์เรียโน่...นับวันจะร้ายขึ้นนะเอ็ง orz


Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 7 up 27/08/13
«ตอบ #36 เมื่อ28-08-2013 20:10:02 »

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang นั่นสิครับ เป็นอะไรกันหนอ แต่ที่แน่ๆ เซย์เรียโน่กำลังร้ายหนักข้อกว่าเดิมครับ

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 7 up 27/08/13
«ตอบ #37 เมื่อ28-08-2013 20:45:58 »

หวานปนเครียด555

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 8 up 28/08/13
«ตอบ #38 เมื่อ28-08-2013 20:49:28 »

จินตนาการล้ำลึก
เทพหรืออสูรก็ยังมีกิเลส

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 8 up 28/08/13
«ตอบ #39 เมื่อ29-08-2013 20:52:09 »

บทที่ 9 เรื่องของเทพจันทรา
- 50% -

สายลมเย็นพัดเอื่อยหยอกล้อกับต้นไม้ใบหญ้าในสวนสวย เสียงใบไม้เสียดสีกัดฟังดูเหมือนเสียงสตรีหัวเราะร่วนอย่างสนุกสนาน กลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดขจรขจายไปทั่ว ฮาธอสนั่งอยู่ที่บ่อน้ำพุกลางสวนดื่มด่ำกับความสงบที่ไม่มีทางหาได้จากสถานที่อันเต็มไปด้วยทหารอย่างตำหนักพาเทร่า

...ไม่ใช่ว่าเขาเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายของพาเทร่าหรอก สำหรับที่นั่น ความวุ่นวายก็คือ ‘ชีวิต’ เหมือนกับความสงบสุขของตำหนักซิมโฟเนียอาเรียแห่งนี้ เพียงแต่บางครั้งฮาธอสก็ต้องการความสงบให้กับหัวใจบ้าง โดยเฉพาะหลังจากขอเวลาทบทวนหัวใจจากไคซัส เมื่อเสร็จจากการซ่อมแซมสวนหย่อมที่ถูกพัมกิ้นซ์ทำให้เสียหายแล้ว เขาก็ขอลากลับตำหนักซิมโฟเนีอาเรียหนึ่งวัน

“มาหลบอยู่แถวนี้เองหรือ ฮาธอส” ร่างสูงที่กำลังใจลอยสะดุ้งสุดตัวและลุกขึ้นเมื่อเห็นจอมเทพีเจ้าตำหนักเดินมาหา เขากำลังจะก้มศีรษะแสดงความเคารพ แต่นางยกมือห้ามไว้ก่อน “ทำตัวตามสบายเถอะ ข้าเองก็มาพักจากการสอนเหมือนกัน” หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วชี้พื้นที่ข้างตัวชายหนุ่ม “ขอนั่งด้วยได้ไหม”

“ได้แน่นอนขอรับ” ฮาธอสกล่าวด้วยความเต็มใจ แล้วทั้งสองก็ทรุดนั่งลงด้วยกันและมองยิ้ม ๆ ต่างกันแค่เทพหนุ่มไม่รู้เจตนาของอีกฝ่ายแน่ชัดนัก ปกติจอมเทพีเรเทเชียไปไหนมาไหนก็จะมีนางกำนัลตามไปด้วยเสมอ แต่การที่นางมาหาเขาคนเดียวเช่นนี้แสดงว่ามีเรื่องอยากจะคุยเพียงลำพัง

“เจ้าไปอยู่ที่พาเทร่าเป็นอย่างไรบ้าง นาซิลลาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นให้ฟังยกใหญ่เชียว” นางเปิดปากพูด แถมยังยกชื่อเด็กสาวเจ้าปัญหามาสำทับ เพื่อมิให้เขาหลบเลี่ยง เพราะมีคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้ว

“หากไม่นับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ การอยู่ที่นั่นสนุกมากขอรับ แต่ละวันมีเรื่องใหม่ ๆ มาท้าทายความสามารถของพวกข้าเสมอ ทำให้มีโอกาสได้ทดลองสิ่งใหม่ ๆ ตลอดขอรับ” ฮาธอสตอบตามความจริง

“อย่างการเป็นผู้ช่วยของมหาเทพไคซัสสินะ”

ฮาธอสตัวเย็นวาบยามสดับคำถามที่ย้อนมา นาซิลลาเล่าแม้กระทั่งเรื่องนี้รึ นี่เธอตั้งใจจะ ‘ฟ้อง’ ทุกอย่างเลยหรือไร ยังดีที่เทพจันทราไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับไคซัส ไม่อย่างนั้นคงยุ่งกว่านี้

“ขอรับ” เขายอม “แต่หลัก ๆ แล้วก็แค่คอยดูแลงานเอกสารกับดูแลสหายที่ไปด้วยกัน แล้วก็ให้คำแนะนำเรื่องการจัดเตรียมงานประลองที่ตอนนี้กำลังรุดหน้าไปด้วยดี เพราะพวกเทพสายนักรบมาช่วยกันหลายท่าน”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าถึงกลับมาที่นี่ล่ะ” มือเรียวยื่นมาจับตักเขาอย่างใคร่รู้ เรเทเชียอาจเป็นเทพหัวอ่อน แต่นางก็ยังเก่งพอมองออกว่าเทพรับใช้ของตนมีเรื่องคิดไม่ตก

“ข้าแค่คิดถึงที่นี่เท่านั้นเอง” ฮาธอสลองเสี่ยงหลบเลี่ยงดู ทว่าอีกฝ่ายก็ส่ายศีรษะไม่ยอมรับข้อแก้ตัวนี้

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้ายอมให้เจ้าไปช่วยงานที่ตำหนักอื่นนะ ทุกครั้งที่เจ้าไปช่วยงานตำหนักไหนจะกลับมาก็ต่อเมื่อถูกเจ้านายของที่ใหม่ใช้ให้มาหาข้า หรือเพื่อนที่ไปด้วยก่อปัญหาจนต้องพากับมาส่ง เจ้ามีเหตุผลหนักแน่นทุกครั้งที่กลับมา แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ มีเรื่องลำบาใจอะไรหรือ ฮาธอส”

ผู้ถามเอามือวางทาบแก้มขาวเนียนของเทพคนสวน ชายหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบ ใครจะกล้าบอกได้ล่ะว่ามีปัญหาเรื่องความรัก แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายที่มีตำแหน่งยิ่งใหญ่และถูกเกลียดโดยคนเกือบทั้งสวรรค์ แต่การปกปิดก็เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อเรเทเชียคาดคั้นเขาด้วยคำที่ไม่อยากได้ยินที่สุด

“ฮาธอส ข้าสั่งให้เจ้าพูด” น้ำเสียงหวานไม่มีแววคาดคั้นใด ๆ แต่นางก็รู้ว่าคำนี้ได้ผลเสมอ

เทพคนสวนก้มหน้าเรียบเรียงความคิดเพื่อตอบ “ข้ากำลังทบทวนเรื่องความรู้สึกของตัวเองอยู่ขอรับ”

จอมเทพีฟังคำตอบแล้วก็ชะงัก เป็นครั้งแรกที่เทพคนสวนพูดคลุมเครือเช่นนี้ ราวกับว่าไม่อยากให้ก้าวก่ายเรื่องของเขาซึ่งอันที่จริงนางก็เป็นคนเช่นนั้น เพียงแต่ไม่อยากให้เห็นเขานั่งกลุ่มคนเดียวเหมือนกัน

“ความรู้สึกแบบไหนกันจ๊ะ” นางเอียงคอมองอย่างสงสัย พออีกฝ่ายไม่ตอบก็ลองเดาดู “ความรักหรือ”

ใบหน้าของฮาธอสปรากฏรอยสีแดงขึ้นวาบหนึ่งพร้อมอาการตกใจ ซึ่งหายไปเมื่อเจ้าตัวรีบเก็บอาการ แต่จอมเทพีก็เห็นแล้วและเทพหนุ่มก็รู้ด้วย เพราะดวงตาคู่สวยของนายหญิงเบิกกว้างอย่างอัศจรรย์ใจ

บุรุษที่ไม่เคยสนใจเรื่องคู่ครองมานานเกือบพันปีกำลังมีความรัก!

“จอมเทพี ข้าอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของข้าขอรับ” ฮาธอสชิงบอกก่อนอีกฝ่ายจะถามว่าเป็นใคร

“โอ้! ได้สิจ๊ะ” เรเทเชียพยักหน้าตกลง นึกเสียดายที่รุกช้าไปนิด “แล้วกังวลเรื่องแบบไหนล่ะจ๊ะ”

ชายหนุ่มเม้มปากพลางพ่นลมออกจมูกอย่างไม่อยากตอบสักนิด “ข้าไม่เคยมีความรักมาก่อน แม้จะรู้ว่ารักเป็นแบบไหน แต่ข้าก็ไม่รู้จักมันดีนัก ดังนั้นข้าจึงกังวลว่าถ้าความรู้สึกนี้ไม่ใช่ของจริงจะทำให้อีกฝ่ายเสียใจ”

“โถ...คนดี” จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมลูบมือเรียวลูบแก้มของเขาเรื่อยไปถึงเรือนผมหยักศกสีทองสลวยเหมือนมารดาปลอบโยนลูกน้อย “เจ้ารู้แล้วว่าความรักเหมือนกับความรู้สึกอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากหัวใจ เพราะแบบนั้นเจ้าจึงได้กลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้งสินะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า ทุกอย่างเป็นไปตามที่จอมเทพีพูด แต่หญิงสาวยิ้มแล้วส่ายหัวน้อย ๆ

“เหตุผลไม่สามารถใช้กับอารมณ์และความรู้สึกได้เสมอไป” นางขยายยิ้มกว้างนิดหนึ่งเมื่อเทพหนุ่มทำหน้าสงสัย หญิงสาวย้ายมือลงมาวางหัวหัวใจของเขา “เจ้าควรจะถามหัวใจของเจ้าเอง ถามมันว่าเจ้าพร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับใครคนนั้นไหม ถามมันว่าเจ้าพร้อมที่จะแบ่งเบาภาระไม่ว่าจะดีหรือร้ายกับใครคนนั้นหรือเปล่า ถามมันว่าตนเองพร้อมที่จะเสียสละตัวเองเพื่ออีกฝ่ายไหม เท่านี้ก็พอแล้ว”

แค่นี้เองหรือ? ฮาธอสถามตัวเองในใจ ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ เรื่องที่เขาคิดไม่ตกมาหลายวันกลับหาคำตอบได้ด้วยวิธีการง่ายดายขนาดนี้ แต่ละคำถามที่จอมเทพีเอ่ยมามิได้ส่งมาถึงสมองของเขา ทว่าส่งไปถึงหัวใจที่ขานรับกับความปรารถนา ในที่สุดก็เข้าใจ ‘เหตุผล’ ไม่อาจใช้กับเรื่องของ ‘หัวใจ’ ได้เสมอไป

ฝ่ายจอมเทพีเห็นศิษย์รักยิ้มก็อารมณ์ดีตามไปด้วย นางไม่รู้หรอกว่าคนที่ฮาธอสหลงรักเป็นใคร แต่ถ้าลองให้เทพคนสวนใส่ใจถึงขนาดนี้ย่อมแสดงว่ามีความสำคัญต่อเขามากทีเดียว นางจึงอยากช่วยเขาจากวังวนแห่งความสับสนได้บ้าง แต่รอยยิ้มนั้นกลับคงอยู่ได้ไม่นานก็เจื่อนลงเหลือแต่ใบหน้ากังวลใจกับอีกเรื่อง

“อะไรอีกหรือ” เรเทเชียสังเกตเห็นจึงเอ่ยถาม ไม่บ่อยนักที่ฮาธอสจะมีเรื่องซ้ำซ้อนกันแบบนี้

เทพคนสวนทำหน้าคิด...เนื่องจากมันเกี่ยวข้างกับอนาคตต่อจากนี้ของเขา ถ้าลองพิจารณาในฐานะที่จอมเทพีเรเทเชียเป็นนายเหนือหัวของเขา นางก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนี้พอ ๆ กับที่ไม่ควรรู้ แต่การปล่อยให้เรื่องนี้ล่วงเลยไปโดยไม่มีความชัดเจน คนที่จะมองหน้าใครไม่ติดเลยก็คือ ‘เขา’

“มหาเทพไคซัสชวนข้าย้ายไปอยู่ที่พาเทร่าเป็นการถาวรขอรับ” ฮาธอสพูดออกจนได้และเบี่ยงสายตาดูปฏิกิริยาของนายหญิง เขาใจเต้นแรงหลังเห็นอีกฝ่ายเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ แววตาที่คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง “เอ่อ...เขาพอใจกับผลงานของข้ามากก็เลยชวนไปอยู่ด้วยกันน่ะขอรับ”

“อ๋อ เข้าใจล่ะ” เรเทเชียเกือบจะคิดแล้วว่าฮาธอสหลงรักไคซัส พอมันถูกเบี่ยงประเด็นไป นางก็เข้าใจตามนั้น ใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”

“ตอนไปอยู่ใหม่ ๆ ข้าเคยปฏิเสธไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาก็ชวนอีก...”

“ข้าพอจะเข้าใจว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่และขอบใจสำหรับความกตัญญูนั้นด้วย แต่ว่าการที่เทพระดับสูงต่างรับเทพซึ่งมิได้อุบัติในตำหนักมาอยู่ด้วยนั้น ก็เพื่อเปิดโอกาสให้เทพเหล่านั้นได้พบกับเจ้านายที่แท้จริง หรือได้แสดงความสามารถจนได้เลื่อนขั้นของตนเองได้เร็วขึ้น มีเทพและเทพธิดามากมายที่เคยอยู่กับข้าและย้ายออกไป ดังนั้นเมื่อเจ้าพบทางที่ดีสำหรับเจ้าก็รับไว้ แค่กลับมาหาข้าบ้างในเวลาที่ว่างก็พอแล้ว”

เป็นอีกครั้งที่จอมเทพีเรเทเชียสอนสั่งเทพรับใช้คนสนิทด้วยความเมตตา สำหรับนาง ฮาธอสมักคิดเล็กคิดน้อยไม่เข้าท่า หลายครั้งที่นางนึกเสียดายโอกาสดี ๆ ที่ชายหนุ่มปฏิเสธไปเพราะไม่อยากทรยศผู้มีพระคุณ แต่มันก็น่าสงสัยว่าเหตุใดเพิ่งมาคิดถึงตอนนี้ แถมผู้ชวนยังเป็นเทพที่ทั้งสวรรค์ต่างหวั่นเกรง มีอะไรหรือเปล่านะ...

ฝ่ายฮาธอสพอเห็นว่าจอมเทพีที่เคารพรักเปิดกว้างในเรื่องก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง ที่เหลือก็แค่คิดทบทวนให้แน่ใจอีกครั้งค่อยบอกกับมหาเทพไคซัส เรื่องของความรักกับการย้ายตำหนักใหม่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา เทพหนุ่มจึงอยากจะคิดใคร่ครวญให้แน่ใจอีกสักที แม้ว่าปมหนึ่งในนั้นจะเริ่มคลายตัวแล้วก็ตาม

หลังจากพูดคุยหัวข้อนี้จบไปได้สักครู่ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งซอยถี่มาจากทางเดินตำหนักเรื่อยมาตามทางในสวนซึ่งอยู่อีกฝากหนึ่งของแนวรั้วต้นไม้ที่บังสายตาไว้ นาซิลลาโผล่พรวดเข้ามาและชะงักไปทันทีที่เห็นจอมเทพีเรเทเชียอยู่กับฮาธอส

“อุ๊ย! ขอประทานโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ทราบว่าจอมเทพีอยู่ด้วย” เด็กสาวถอนสายบัวอย่างอ่อนช้อย

“พวกข้าคุยกันเสร็จแล้ว เจ้าล่ะ คุยกับพวกเอเดลจบแล้วหรือ” จอมเทพีเอ่ยถามอย่างเมตตา นาซิลลายิ้มกว้างดีใจที่ไม่ถูกดุจนตาเป็นประกาย

“เจ้าค่ะ” เธอตอบอย่างร่าเริงและดูจะตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น “ท่านหัวหน้านางกำนัลบอกข้าว่าในมหานครมีตลาดแก้ว ข้าอยากจะไปเที่ยวดูเจ้าค่ะ นางจึงบอกให้ข้ามาเรียนขอจอมเทพีกับชวนฮาธอสไปด้วยเจ้าค่ะ”

“ไปสิจ๊ะ ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว พอเดินตลาดเสร็จ พวกเจ้าจะได้กลับพาเทร่าเลยยังไงล่ะจ๊ะ”

“เย้!” นาซิลลาร้องอย่างดีใจหลังจอมเทพีพูดจบ เทพคนสวนส่ายศีรษะอย่างอ่อนระอา

“จอมเทพีจะตามใจนาซิลลาเกินไปแล้วขอรับ” ฮาธอสเอ่ยเสียงเบา สีหน้าอ่อนใจ

“แค่ข้าก็อยากให้เจ้าผ่อนคลายบ้างนะ ไปได้แล้ว เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน ว่าง ๆ ก็กลับมาอีกนะ” เรเทเชียตบบ่าฮาธอสแล้วดันกระตุ้นเบา ๆ เทพหนุ่มกับอัปสรน้อยแสดงความเคารพก่อนเดินจากไปพร้อมกัน

“ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากเวลาผ่านไปอย่างเงียบงันสักครู่ เสียงของเอเดลก็ดังขึ้นจากด้านข้าง จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมเบือนหน้าไปมอง แต่ไม่ได้พบแค่หัวหน้านางกำนัลของตนเท่านั้น ด้านหลังเยื้องไปทางซ้ายของนาง เซย์เรียโน่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้

“ขุนพลเทพ...” หญิงสาวลุกขึ้นเตรียมทำความเคารพ แต่เด็กหนุ่มยกมือปรามไว้ก่อน

“ไม่ต้อง ๆ ทำตัวตามสบายเถอะ จอมเทพี” ขุนพลเทพอันดับห้ายิ้มหวาน “ขอบคุณมากที่ทำตามที่ข้าบอก ตอนนี้เหลืออีกเรื่องเดียงแล้วนะ”

“เพื่อทุกคนที่นี่ ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด” เรเทเชียพูดไปอย่างกล้าหาญ ทั้งที่ปลายน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความกลัวเอาการทีเดียว สีหน้ายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปนั้นถูกต้องหรือไม่

เซย์เรียโน่เห็นสีหน้าจอมเทพีแล้วก็กลอกตาไปมา อันที่จริงเขาไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของเรเทเชียนักหรอก การเกิดอย่างผิดปกติของเขาทำให้สูญเสียความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง แต่เด็กหนุ่มก็เดาว่ามันคงจะเหมือนสิ่งที่เขาทำกับพี่สาวกระมัง ร่างเล็กจึงเดินเข้ามาจับมือเพื่อให้กำลังใจหญิงสาว

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี จอมเทพี” ใบหน้าจิ้มลิ้มส่งยิ้มหวานให้ “เชื่อข้าเถอะ ถ้าทุกอย่างสำเร็จด้วยดี ทุกคนจะเข้าใจและขอบคุณในความหวังดีของท่าน” ถึงจะข่มอารมณ์ของตัวเองแล้ว แต่เรเทเชียก็สัมผัสความสนุกที่แฝงในเสียงของเซย์เรียโน่ได้ดี หญิงสาวถึงกับขนลุกเกลียวด้วยความกลัวอย่างช่วยไม่ได้

เซย์เรียโน่มาพบกับนางเมื่อคืนนี้และขอความร่วมมือเรื่องหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทพคนสวนตนนั้น แรกเริ่มเดิมทีนางตั้งใจว่าจะไม่ทำตาม เพราะเห็นว่าก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของฮาธอสเกินไป ทว่าขุนพลเทพอันดับห้าก็ใช้เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นในพาเทร่าครั้งล่าสุดมาโน้มน้าวให้หญิงสาวต้องยอมทำตามจนได้ เรเทเชียคาดเดาจุดประสงค์ของเขาไม่ออกเลยจริง ๆ แต่จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมก็มาถึงจุดที่มิอาจถอยกลับได้อีกแล้ว

“ขอบคุณนะ ขุนพลเทพ” หญิงสาวพยักหน้าขอบคุณให้เด็กหนุ่ม แล้วเทพผู้สูงศักดิ์ทั้งสองจึงล่ำลากันเล็กน้อย ก่อนแยกย้ายกันไปคนละทาง

--------------

อย่างที่รู้กันว่าสวรรค์คือ ดินแดนที่เต็มไปด้วยความสงบสุขและมีงานรื่นเริงอยู่บ่อยครั้ง ในแต่ละปีนอกจากงานใหญ่ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ยังมีงานยิบย่อยซึ่งเป็นของเทพในสายต่าง ๆ จัดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ตลาดแก้วก็เป็นหนึ่งในนั้น เทพสายช่างซึ่งทำงานเกี่ยวกับแก้วมารวมตัวกันเพื่อนำผลงานของตนมาจัดแสดง บางครั้งก็อาจจะมีการมอบเป็นของกำนัลให้คนที่พึงพอใจ หรือซื้อขายด้วยเงินทองอีกด้วย

นาซิลลากับฮาธอสเดินมาตามถนนสายเล็กที่แทรกตัวอยู่ระหว่างมหานครแห่งฟ้า เรือนผมสีเงินสลวยประดับปิ่นแก้วที่มีส่วนหัวเป็นรูปนกหงส์หยกสีฟ้าที่เทพคนสวนเป็นคนซื้อให้ มือซ้ายถือสายผูกลูกโป่งแก้วลายดอกกุหลาบบานบรรจุน้ำสีชมพูอ่อนซึ่งชายหนุ่มก็เป็นคนซื้อให้เหมือนกัน เด็กสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มีความสุขกับช่วงเวลานี้เป็นที่สุด คนที่อยู่ข้าง ๆ หันมองแล้วก็ส่ายศีรษะอ่อนระอา

“เด็กหนอเด็ก”

“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ” ฮาธอสตั้งใจเปรยกับตัวเองคนเดียว แต่นาซิลลาดันหูผีจมูกมดได้ยินเข้าเสียที เธอทำแก้มป่องใส่เขาอย่างเคือง ๆ “ข้าไม่ใช่เด็กสักหน่อย แต่กำลังมีความสุขกับของที่ฮาธอสซื้อให้ต่างหาก”

“เจ้า ‘ขอ’ ให้ข้า ‘ซื้อให้’ ต่างหากล่ะ”

“ก็ซื้อให้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ!” เด็กสาวย้อนคำเข้าให้เล่นเอาฝ่ายตรงข้ามกลอกตายอมแพ้ ร่างบางเสเข้าไปกอดแขนโดยไม่สนใจว่าชายหนุ่มจะคิดอย่างไร ตั้งแต่ไปอยู่ที่ตำหนักพาเทร่า นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอกับเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองโดยไม่มีใครขัด เธออยากจะตักตวงความสุขไว้ให้ได้มากที่สุด “ก่อนกลับเราไปหาอะไรกินด้วยกันไหม ฮาธอส จะได้ไม่เสียเวลาไงล่ะ”

“อย่าเลย ตอนนี้ใกล้จะเย็นแล้ว จากที่นี่กว่าจะกลับไปถึงตำนักพาเทร่าก็ใช้เวลามากอยู่นะ” คำตอบของฮาธอสทำให้เทพจันทราน้อยหน้ามุ่ย แต่มันก็เป็นความจริง สถานที่ที่พวกเขาไปในวันนี้ล้วนแต่อยู่ห่างไกลมากทั้งนั้น ลำพังจากซิมโฟเนียอาเรียมาที่นี่ก็ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เมื่อบวกรวมเข้ากับช่วงเที่ยวเล่น พวกเขาเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนพระอาทิตย์ตกดินสำหรับกลับพาเทร่าที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวชายเขตใต้

“แหม นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่ได้ ไม่มีใครตามเรามาสักหน่อย”

จริงเหรอ? ฮาธอสถามตัวเองในใจพลางเอี้ยวตัวไปมองหัวมุมถนนที่เพิ่งเดินผ่านมา เขาสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังจ้องดูอยู่ แต่พอเขาหันมองมันก็หายไปราวกับคิดไปเอง กระนั้นเทพหนุ่มก็รู้ว่ามีคนจับตาดูเขาอยู่จริง ๆ แค่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“ตั้งแต่เรามาช่วยงานที่พาเทร่าก็แทบไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลย...ฮาธอสฟังข้าอยู่หรือเปล่า!” ขณะฮาธอสกำลังมองนาซิลลาก็บ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อย พอเห็นอีกฝ่ายไม่ได้สนใจก็ส่งเสียงแหลมขึ้น ชายหนุ่มหันมามองงง ๆ ยิ่งทำให้เจ้าหล่อนหงุดหงิดไปกันใหญ่ ความสุขที่เคยมีหายไปคล้ายไม่เคยมีอยู่

“อะไรหรือ เจ้าอยากได้อะไร” อาการงุนงงทำให้ฮาธอสขาดความเฉลียวไปชั่วขณะ แต่ก็ยังเลือกถามในสิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด น่าเสียดายที่เด็กสาวหน้างอกว่าเดิม

“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องสนใจข้าหรอก” ปลายน้ำเสียงหวานตวัดสูงอย่างไม่พอใจ ร่างบางปล่อยมือจากแขนเขาแล้วจ้ำเท้าทิ้งห่างไปดื้อ ๆ ชายหนุ่มรีบวิ่งตามก่อนจะนึกออกว่าตัวเองทำอะไรผิด ฮาธอสมีเหตุผลที่ทำไปแบบนั้น แต่นาซิลลาที่กำลังโกรธคงไม่ยอมฟังแน่ ดูได้จากการที่เธอไม่ยอมหันกลับมาหาเขาอีกเลย

เมื่อทั้งสองมาถึงปลายถนนก็เหินขึ้นฟ้ามุ่งหน้ากลับตำหนักพาเทร่า ฮาธอสไปอยู่ข้างกายนาซิลลาอีกครั้ง เด็กสาวเบือนหน้ามามองเขาอย่างงอน ๆ ก่อนจะเชือนกลับไปดูทางข้างหน้า เทพคนสวนลอบถอนใจอย่างอึดอัด เขาไม่ชอบเวลาอัปสรสาวแสดงกิริยาแบบนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาและเธอคบกับทั้งที่ไม่ใช่...

ทั้งสองออกจากตัวมหานครหลักทางประตูใหญ่ มุ่งหน้าข้ามทะเลเมฆซึ่งเปรียบได้กับเส้นแบ่งระหว่างเขต ถ้าหากเขาไปถึงตัวเมืองของเขตใต้ได้ ตำหนักพาเทร่าก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว แต่พอเหาะไปถึงครึ่งทาง ฮาธอสสังเกตเห็นบางอย่างอยู่ข้างหน้า ผู้ชายตัวใหญ่ใส่ชุดมอซอสวมปิดใบหน้าลอยตัวกลางท้องฟ้าสีส้มยามเย็น เทพคนสวนเอื้อมมือมาจับแขนนาซิลลาก็พาเลี่ยงไป ประสบการณ์เติบโตในแดนร้างสอนให้เขารู้ว่าไม่ควรเข้าใกล้ใครก็ตามที่มาอยู่ในที่เปลี่ยวนี้ แต่อีกฝ่ายเห็นพวกเขาและรีบเหาะมาขวางหน้าไว้ ฮาธอสเอาตัวบังนาซิลลาไว้ก่อน

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ” ชายแปลกหน้ายกมือให้เห็นว่าตกปราศจากอาวุธและมาดี “ข้ากำลังจะไปทำธุระในมหานคร แต่เกิดหลงทางเสียก่อน ไม่ทราบว่าประตูใหญ่ไปทางไหนหรือ”

ฮาธอสมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ รู้สึกไม่ดีกับชายคนนี้แม้แต่น้อย กระนั้นก็ยังแสดงน้ำใจด้วยการผงกศีรษะไปข้างหลังที่พวกเขาเหาะมาเล็กน้อย

“ทางที่พวกเรามานั่นแหละ ขอตัวก่อนนะ” ว่าแล้วเทพเทพคนสวนก็ดึงมือนาซิลลาไปข้าง ๆ แล้วดันร่างบางให้เหาะนำหน้าไปก่อนเลย แต่พอเขาจะตามไปชายคนนั้นกลับคว้าแขนฮาธอสไหว

“แต่ข้ายังไม่รู้ทางอยู่ดี ช่วยทำทางหน่อยได้ไหม แค่เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ได้”

สิ้นเสียงทุ้มที่กดต่ำอย่างเหี้ยมเกรียมในตอนสุดท้าย ฮาธอสก็รู้สึกถึงความร้อนแล่นมาตามลำแขนที่ถูกจับ ร่างสูงสะบัดอีกฝ่ายออกแล้วฉุดแขนนาซิลลาหนีไปด้วยกันทันที แต่ไปยังไม่ทันถึงไหน ชายคนนั้นก็ปรากฏตัวขวางหน้าฮาธอสในระยะประชิด เทพหนุ่มต้องหยุดกะทันหันจึงนาซิลลาชนหลังเข้าเต็มรัก ทว่าไม่มีเวลาให้เขาสนใจนัก เพราะฝ่ายตรงข้ามสะบัดมือส่งรยางค์ผ้าสีดำที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อปากกว้างออกมาแล้ว เวทมนต์ทำให้ผ้านั้นเคลื่อนไหวไปดังความตั้งใจของผู้ใช้ และมันกำลังหมายจะเอาชีวิตเทพคนสวน ฮาธอสฃกางมือออกสะท้อนมันกับเจ้าของออกไปด้วยพลังของตนเองฃ พร้อมกันนั้นก็ผลักตัวเทพจันทราไปด้านข้าง

“หนีเร็วเข้า...โอ๊ย!!” เทพคนสวนออกคำสั่งและกำลังจะเหาะตามร่างบางไปเมื่อจู่ ๆ ก็เกิดอาการเจ็บจี๊ดตรงท้ายทอย มือเรียวกร้านตะปบไปตรงนั้นคว้าเอาสิ่งที่เกาะอยู่มาดูพบว่ามันเป็นแมลงไสยเวทขนาดเท่านิ้วก้อย มันฝังเหล็กในที่ปลายหางลงในผิวมือของเขาอีกครั้ง

“ฮาธอส!” ฮาธอสขยี้แมลงตัวนั้นทิ้งก่อนรู้สึกคล้ายพลังหมดเอาดื้อ ๆ แล้วตัวของเขาร่วงลงกลางอากาศ นาซิลลาร้องลั่นและถลาลงมาฉุดแขนชายหนุ่มไว้สุดแรง

“เจ้ามานี่!!” ชายสวมหน้ากากโผล่มาขวางอีกครั้ง มันจับแขนเทพจันทราดึงแยกจากฮาธอส เด็กสาวกรีดร้องขอความช่วยเหลือสุดเสียง ขณะมือเกาะแขนสหายของตนไม่ยอมปล่อย ป้องกันตัวเองด้วยการเตะเท้าสะเปะสะปะใส่ศัตรูถูกบ้างไม่ถูกบ้าง

ระหว่างนั้นฮาธอสรวบรวมพลังที่เหลืออยู่จับคอเสื้อคนแปลกแน่นแล้วกระชากไปให้พ้นจากเด็กสาว พิษร้ายพลันแล่นกระจายในวินาทีนั้น ตัวของเขาเริ่มร้อนจากบาดแผลที่ท้ายทอยกับฝ่ามือแล้วแผ่ไปทั่วร่าง ภาพในดวงตาพร่าเลือนด้วยความรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด เขารู้ว่าตัวเองมีเวลาไม่กี่นาทีก่อนจะหมดสติไปจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงทุ่มพละกำลังที่เหลืออยู่ยึดตัวเทพที่จับไว้สุดแรงเกิน

“ไปซะ นาซิลลา รีบหนีไป!” ฮาธอสนั่งกับสายสีเงินที่สะบัดวูบวาบตรงหน้า

“แล้วเจ้าล่ะ” พร้อมกับเสียงของเด็กสาวที่ร้องตอบมา ชายแปลกหน้าใช้รยางค์ของตนกับฮาธอสอีกครั้ง มันรัดพันรอบศีรษะเทพหนุ่มจนมองอะไรไม่เห็นและแทบหายใจไม่ออก ไม่เพียงแค่นั้นยังถูกอีกฝ่ายถอกศอกเข้าเต็มท้อง มีเสียงนาซิลลากรีดร้องห้ามและบอกให้ปล่อยเทพคนสวน

“ตรงนั้น หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” เสียงของบุคคลที่สามดังกระหึ่มมาแต่ไกล นาซิลลากับคนร้ายหันไปยังที่มาก็เห็นทหารในเครื่องแบบสีดำตัดแดงกำลังเหาะมาด้วยความเร็วสูง เด็กสาวผวากอดช่วยฮาธอสจับคนร้ายทันที

“ช่วยด้วย ช่วยพวกเราด้วยเจ้าค่ะ!!”

“ระยำเอ๊ย...ถอยไป!!”

ชายแปลกหน้าพยายามสลัดคนที่เกาะหลังอยู่ออกไป แต่ฮาธอสก็ใจแข็งเหลือเชื่อ ทั้งที่พิษร้ายกำลังทำให้เขาพบกับความเจ็บปวดแสนสาหัส นาซิลลาก็ยิ่งกอดแน่นถ่วงเวลารอผู้ช่วยเหลือที่ทะยานใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คนแปลกหน้าไม่มีทางเลือก เขาช็อตเธอด้วยเวทสายฟ้า เด็กสาวกรีดร้องเช่นเดียวกับฮาธอสที่ได้ยินเสียง ร่างบางเกร็งค้างครู่หนึ่งก่อนหมดสติหงายไปข้างหลัง

เมื่อนั้นเองที่ผู้ทำร้ายจับข้อมือของเธอแล้วร่างบางใส่ทหารที่เหาะมาถึงอย่างเหมาะเจาะ ก่อนตัวเขาจะอันตรธานหายไปพร้อมกับคนที่เกาะบนหลัง!

---------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 8 up 28/08/13
« ตอบ #39 เมื่อ: 29-08-2013 20:52:09 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 8 up 28/08/13
«ตอบ #40 เมื่อ29-08-2013 20:53:16 »

- 100% -

ไคซัสในชุดลำลองแบบสบาย ๆ นั่งเอนตัวบนเก้าอี้หวานซึ่งปูด้วยเบาะหนา ๆ ทับด้วยหนังเสือขาวผืนใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของเขา สายตาของเขากวาดมองเอกสารซึ่งเป็นรายนามของทหารที่ตำหนักกับวิมานเทพสำคัญส่งมาเพื่อร่วมการประลองฉลองฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง ทางซ้ายมือมีขุนพลผิวคล้ำซึ่งบัดนี้เป็นผู้ช่วยมือวางอันดับสี่ของเขานั่งอยู่ด้วย

หลังจากยอมรับความช่วยเหลือจากเทพสายนักรบเมื่อหลายวันก่อน การเตรียมงานประลองก็คืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว สถานที่จัดงานซึ่งก็คือตำหนักพาเทร่าได้รับการซ่อมแซมเสร็จแล้ว เหลือแค่การสร้างแท่นประลองในลานฝึกซ้อมด้านนอกซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ และวันนี้จ้าวตำหนักกับจ้าววิมานเทพสำคัญก็ส่งรายชื่อกลับมาหลังส่งบัตรเชิญไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

“ส่งเข้ามาเยอะกว่าที่คิดนะเนี่ย หนึ่ง สอง...” มหาเทพสงครามนับจำนวนแผ่นกระดาษในมือ “ห้าตำหนักกับอีกสิบวิมาน ทุกคนพร้อมสำหรับการประลองรอบคัดเลือกที่จะมีขึ้นสัปดาห์หน้า สถานที่ใช้ลานประลองในกองบัญชาการกองทัพสวรรค์ ข้าจะให้ท่านเป็นคนดูแลเรื่องนี้แล้วกันนะ เสนาธิการฮิลว์”

เทพอสูรหนุ่มมองคู่สนทนาเพียงคนเดียวในห้องก่อนเบี่ยงสายตาไปยังประตูที่ไคมีร่าเปิดเข้ามา เด็กสาวเอาเอกสารปึกหนึ่งมาวางบนตักเขาและหย่อนตัวนั่งที่พนักเท้าแขน

“อัลวินเอามาให้เมื่อกี้ เขาว่าส่งมาจากตำหนักฟาเบียน” ในสายตาคนนอก สองพี่น้องคู่นี้เหมือนกันมาก แม้กระทั่งวิธีการเรียกชื่อมหาเทพจ้าวสวรรค์อย่างห้วน ๆ ฮิลว์เหงื่อตกเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“งบประมาณเรื่องเสาสินะ” ไคซัสหยิบมันมาดูหน้าปกเล็กน้อย ก่อนก้มหยิบรายชื่อผู้เข้าร่วมประลองให้ฮิลว์ “ท่านเอานี่ไปให้ทหารสำเนาเก็บไว้ชุดหนึ่ง ต้นฉบับคืนให้ที่เซบาสเตียน ขอบคุณมาก”

จากการทำงานด้วยกันมาหลายวัน ท่านขุนพลจึงทราบว่าเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนี้แสดงว่าต้องการเวลาส่วนตัว ฮิลว์จึงรับเอกสารมา ลุกขึ้นทำความเคารพแล้วออกจากห้อง ไคมีร่ามองตามจนกระทั่งประตูปิด

“วันนี้ไม่เห็นฮาธอสเลยนะ” พอเปิดปากเด็กสาวก็พาดพิงถึงคนที่หายไป ไคซัสที่ก้มหน้าอ่านรายละเอียดในเอกสารใหม่เงยหน้าขึ้น สีหน้าไม่ค่อยอยากพูดถึงนัก เพราะหลังจากที่อีกฝ่ายขอเวลาทบทวน พวกเขาก็แทบไม่ได้พบกันอีกเลยจนเมื่อคืนนี้ฮาธอสมาขอลาพักหนึ่งวัน ถ้าให้พูดตรง ๆ เขาคิดถึงฮาธอสจะแย่อยู่แล้ว

“ฮาธอสกับนาซิลลาขอลากลับซิมโฟเนียอาเรียวันหนึ่ง อีกเดี๋ยวก็กลับมา” ว่าพลางก้มหน้าอ่านต่อ ในความรู้สึกของคนเป็นน้อง ประโยคสุดท้ายของเขาส่งถึงเจ้าตัวมากกว่าเธอ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เธอถามถึงเทพคนสวน เธอรู้จากเทพรับใช้แล้วว่าเขาไปไหน มือเรียวฉวยเอกสารออกจากมือพี่ชาย “เฮ้!”

“หยุดเลย! ในฐานะที่ข้าเป็นคนรักษาท่าน ขอสั่งให้พักผ่อนซะ” ไคมีร่าไม่พูดเปล่าแต่ยังเจ้ากี้เจ้าการเอาย้ายกองงานทั้งหมดไปไว้ไกลมือไคซัส เทพอสูรหนุ่มมองตามไปอย่างไม่พอใจนัก เธอหันกลับมาเห็นก็ถลึงตาใส่ “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นใส่ข้าเลย ตั้งแต่ฮาธอสออกไปพี่ก็ทำงานมาตลอด ตอนนี้ใกล้จะเย็นแล้วนะ”

“รู้แล้วน่า บ่นอย่างกับแม่เลย” ไคซัสยอมเอนตัวลงนอนเพื่อป้องกันเสียงบ่นของน้องสาวที่บั่นทอนกำลังกายและใจของเขาให้ลดน้อยถอยลงไปได้ เจ้าตัวก็ดูจะพอใจถึงได้เดินยิ้มหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างเขาแล้วนั่งลงข้างกาย สายตามองมาเหมือนอยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้า “อะไรหรือ?”

คนฟังกระตุกยิ้ม พี่ชายของเธอตาไวเสมอ “ดาริคติดต่อมา บอกว่าอีกสองสามวันจะขึ้นมารับ”

“อย่างนั้นหรือ” มหาเทพสงครามพยักหน้าเข้าใจ แต่ลึกลงไปก็หวั่นไหวด้วย เขาทิ้งน้องสาวมาในตอนขึ้นสวรรค์ พอพบกันอีกครั้งก็อยู่ด้วยกันไม่นานก็จะจากกันอีกแล้ว ซึ่งไม่รู้เลยว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไหร่

“เขาว่าจะเอา ‘ของ’ มาให้ด้วย” สีหน้าของไคซัสเปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อได้ยินแบบนั้น ขณะไคมีร่าไม่ค่อยเข้าใจนัก พี่ชายของเธอกับสหายที่ชื่อ ‘ดาเรียน’ มีความลับหลายอย่าง บางเรื่องเธอคงจะได้รู้หลังจากนั่งบัลลังก์แล้ว แต่บางเรื่อง...อย่างเรื่องนี้เธอกลับรู้สึกว่าจะไม่มีโอกาสได้ทราบเลย

ความเงียบคงอยู่อึดใจหนึ่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสามครั้ง เซบาสเตียนเปิดมาพบกับผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง

“มหาเทพไคซัส จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมมาขอพบขอรับ”

สองพี่น้องเบือนหน้ามาสอบตากันและกัน น่าประหลาดใจแต่ก็คล้ายจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะฮาธอสกับนาซิลลาเพิ่งจะกลับไปเยี่ยมตำหนักเก่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากทั้งสองจะเล่าเรื่องภายในจนจอมเทพีผู้นั้นมาเยือนด้วยตนเอง ไคซัสออกปากอนุญาต เซบาสเตียนก็ถอยกลับออกไป ในขณะที่เทพอสูรหนุ่มย้ายไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน ไคมีร่าช่วยหยิบเสื้อคลุมยาวมาสวมให้ เมื่อเขานั่งประจำที่เรียบร้อย แขกกับผู้ติดตามของนางก็มาถึงพอดี

“ขออภัยด้วยที่มาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหันและขอขอบคุณที่มหาเทพกรุณาให้เข้าพบ” เรเทเชียกับเอเดลถอยสายบัวแสดงความเคารพอย่างชดช้อย

“ตามสบายเถอะและขอโทษด้วย แต่ผู้ติดตามของเจ้าต้องรอข้างนอก ห้องทำงานนี้อนุญาตให้เทพที่ได้รับอนุญาตแล้วเข้ามาได้เท่านั้น” ไคซัสบอกแล้วหันไปหาน้องสาว “ไคมีร่าขอน้ำชาด้วย”

เรเทเชียเหลียวมองผู้ติดตามของตนด้วยสายตาแตกตื่นเล็กน้อย นางไม่ได้เตรียมใจเรื่องนี้ไว้เลย เพราะตามธรรมเนียมสวรรค์ เทพตั้งแต่ระดับจอมเทพขึ้นไปจะมีผู้ติดตามที่ไว้ใจที่สุดหนึ่งคนตามไปทุกหนแห่ง แต่หญิงสาวก็ไม่มีทางเลือก อย่างไรเสีย ‘คำพูด’ ของมหาเทพย่อมมีอำนาจเหนือกว่านางอยู่วันยันค่ำ

หลังเอากล่องของกำนัลเล็ก ๆ ที่เอเดลเป็นคนถือมาแล้วก็พยักพเยิดให้นางออกไปก่อน เซบาสเตียนปิดประตูเหมือนกับตอนที่เปิดเข้ามา เรเทเชียพาตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้อย่างเกร็ง ๆ และเงยหน้ายิ้มให้ไคมีร่าที่นำถ้วยน้ำชาแบบมีจานรองมาวางใกล้ ๆ

“พักนี้บนสวรรค์เกิดเรื่องบ่อย ไม่ทราบว่าทางเจ้ากับทุกคนที่ซิมโฟเนียอาเรียเป็นอย่างไรบ้าง” ไคซัสเริ่มต้นด้วยการถามสารทุกข์สุกดิบตามมารยาท “มีอะไรขาดเหลือก็บอกข้าได้”

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ แต่ตำหนักของข้ายังไม่ขาดเหลือสิ่งใด” เรเทเชียออกอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเพราะสายตาเย็นชาของฝ่ายตรงข้ามที่ทำให้หนาวไปทั่งสันหลัง ก่อนนางจะนึกได้ “เอ่อ...นี่เป็นของเยี่ยมไข้จากข้าเจ้าค่ะ เป็นโสมหมื่นปีที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ข้าหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่าน” ว่าพลางวางกล่องของเยี่ยมลงบนโต๊ะ ไคซัสก็หยิบไปวางข้าง ๆ “ทางข้าต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้มาเยี่ยมเลยจนวันนี้ เหตุการณ์ครั้งที่ผ่านมาทำให้ตำหนักของข้าวุ่นวายเอาเรื่อง ทางท่านที่เสียหายโดยตรงคงลำบากไม่น้อย กว่าจะเข้ามาต้องผ่านการตรวจเข้มแทบแย่ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

ฝ่ายตรงกันข้ามเลิกคิ้วกับอาการพูดรัวเร็วของหญิงสาว จำได้ว่าตอนพบกันครั้งขอฮาธอสมาทำงานด้วยนั้น จอมเทพีผู้นี้จะติดจะขลาดกลัวและไม่ค่อยกล้าสบตาด้วย แต่วันนี้นางมองตาเขาเป็นระยะ อีกทั้งรักษากริยาได้ดีแสดงถึงความพัฒนา ยกเว้นอย่างเดียวคือการพูดรัวเวลาประหม่า

“ร่างกายกำลังฟื้นตัวอยู่ ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วง ของกำนัลที่ให้มาข้าจะใช้อย่างเปิดประโยชน์ที่สุด” มหาเทพสงครามตอบและคิดว่าหมดเวลาสำหรับการอ้อมค้อมแล้ว “เจ้ามาหาข้าวันนี้ มีธุระอะไรหรือ”

จอมเทพีคนงามสะดุ้งเมื่อถูกดึงเข้าเรื่องอย่างไม่ทันตั้งตัว นางหยิบถ้วยน้ำชามาจิบพลางกลอกตาเรียบเรียงความคิดที่กระจัดกระจายในหัวสมองเข้าด้วยกัน ไคมีร่าหาที่ให้ตัวเองในมุมหนึ่งที่ไม่เกะกะสายตาใคร

“ข้ามาด้วยเรื่องของฮาธอส ข้า...” น้ำเสียงของเรเทเชียขาดห้วงไปเล็กน้อย “...ต้องการตัวเขาคืนเจ้าค่ะ”

“เหตุผลล่ะ” สุ้มเสียงเย็นชาเอ่ยกลับมาชนิดที่ไคมีร่าได้ยินแล้วยังหันมอง ใบหน้าของไคซัสยังนิ่งอยู่ แต่ลึกลงไปในแววตามีความโกรธแฝงอยู่ด้วย

“พอดีว่าสวนที่ตำหนักของข้าเริ่มรกแล้ว ข้าจึงอยากให้เขากลับไปทำงานที่นั่นต่อ” จอมเทพีให้เหตุผลที่คิดมาอย่างดีแล้ว...โดยเซย์เรียโน่ “อีกอย่างตำหนักนี้เกิดเรื่องบ่อยครั้ง ข้าจึงคิดว่าไม่เหมาะที่จะให้เขาอยู่ต่อ”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ขอกลับไปทั้งหมดเลยล่ะ โดยเฉพาะเด็กที่ชื่อ ‘นาซิลลา’” มหาเทพสงครามยิงคำถามตรงไปตรงมา รู้สึกเหมือนถูกเรเทเชียแตะต้องของสำคัญ แน่นอนเขารู้ว่าฮาธอสเป็นของหญิงสาว ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนเขาคงยอมคืนฮาธอสให้แต่โดยดี ทว่าเทพรับใช้ตนนั้นยังมีภาระผูกพันกับที่นี่...ผูกพันกับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่พร้อมจะส่งผู้มีพันธะต่อกันให้ใครทั้งสิ้น ‘การหาเรื่อง’ ครั้งนี้เป็นไปเพื่อเปลี่ยนหัวข้อ...มายังเรื่องที่เขากำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ คนที่อ่านความคิดของเขาออกมีแค่ไคมีร่า

“ตะ...แต่ท่านยังต้องการเทพรับใช้มาช่วยงานมิใช่หรือเจ้าคะ” การเผชิญหน้ากับเทพอสูรผู้ทรงอำนาจในทุก ๆ ด้านกำลังทำให้เรเทเชียสติแตก

“เมื่อเทียบกับแล้ว นาซิลลากับเทพรับใช้ตนอื่น ๆ ยังช่วยงานข้าได้ไม่ถึงครึ่งของฮาธอสด้วยซ้ำ” ไคซัสลุกไปที่ตู้เก็บเอกสารที่มีประตูแบบบานคู่ เขาเปิดมันแล้วหยิบม้วนเอกสารที่ผูกด้วยเชือกสีดำกับบันทึกปกดำมาวางบนโต๊ะ เรเทเชียทำหน้าตาตื่น “แต่นั่นยังไม่ใช่เหตุผลที่ข้าพูดถึงนาซิลลา ข้าอยากรู้เหตุผลที่เจ้าให้นางมาที่นี่”

“ช...ช่วยงานไงเจ้าคะ” จอมเทพีมือไม้สั่นจนแทบประคองถ้วยชาไม่ได้ ร่างสูงจึงเท้ามือกับโต๊ะแล้วโน้มตัวเข้ามาหยิบถ้วยชา แต่แทนที่จะถอยออกไปทันที เขากลับจ้องตานางนิ่ง

“เรเทเชีย ข้าอาจเป็นเทพอสูรที่มาจากข้างล่าง แต่ข้าไม่ใช่คนโง่ กฎระเบียบของสวรรค์ทุกข้อจารอยู่ในหัวของข้า” หลังจากเกริ่นเขาก็ย้ายถ้วยชามาวางในที่ปลอดภัยบนโต๊ะ ดวงตาสีส้มจับอยู่ที่ใบหน้าของเรเทเชีย “นาซิลลาเป็นเทพจันทราซึ่งถ้านับด้านการปกครอง นางยังอยู่ภายใต้อำนาจของมหาเทพีแห่งดวงจันทร์ ซึ่งนั่นหมายความว่านางไม่มีย้ายมาที่นี่โดยพลการ แต่เจ้ากลับผิดกฎและให้นางมาที่นี่...”

ร่างสูงใหญ่เคลื่อนตัวอ้อมโต๊ะมายืนกอดอกพิงโต๊ะทำงานใกล้ตัวหญิงสาว เขาเห็นแก่ที่อีกฝ่ายเป็นพันธมิตรคนแรกของเขาจึงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าจ้องมองเธอด้วยดวงตาอันแสนดุดันของตน เพียงแค่นี้ก็ทำให้เรเทเชียขวัญบินไปหมดแล้ว

“...เจ้าอาจไม่เก่งการเมือง แต่ก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล บอกข้า ทำไมถึงให้นาซิลลามาที่นี่” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างนุ่มนวลที่สุด แต่กลับทรงพลังคุกคามและคาดคั้นจนชั้นไคมีร่าที่นั่งอยู่ไกล ๆ ยังสัมผัสได้ พี่ชายของเธอมีความสามารถในด้านการกดดันคนอื่น คงเพราะรังสีจริงจัง ดวงตาดุดัน ไปถึงเสียงไร้เมตตานั่น

ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเคาะเกิดเสียงกังวาน ทำให้จอมเทพีที่นั่งเงียบตกใจสะดุ้งโหยงและหันมองที่มาด้วยความหวังว่าคนที่เคาะจะเป็นเอเดล แต่ความผิดหวังก็จู่โจมโดยทันที เมื่อไคมีร่าลุกไปเปิดประตูแล้วพบว่าคนที่รออยู่ก็คือ ‘หัวหน้าทหารแห่งพาเทร่า’ ซึ่งหายไปทำงานลับมาหลายวัน

“ขออนุญาตขอรับ” อัลล์ก้าวเข้ามาอย่างองอาจตามประสาทหาร สองมือประคองกำปั้นเงินที่เหนือตัวล็อกตีตราพระจันทร์เสี้ยวง่ายขึ้นไว้ด้วย “ข้าอัญเชิญสารจากมหาเทพีจันทรามาให้มหาเทพไคซัสขอรับ”

ไคมีร่าเป็นคนนำกำปั่นเงินนั้นไปให้พี่ชาย ส่วนอัลล์ยืนรออยู่หน้าประตูที่ถูกปิดโดยเซบาสเตียน มหาเทพสงครามรับมันมาแล้วเปิดฝ่าออกหยิบม้วนสารที่ผูกด้วยเชือกสีเงินมากางอ่าน สักครู่ก็เหลือบตาขึ้นมองใบหน้าซีดเซียวของเรเทเชีย แววตาตื่นกลัวจนไม่อาจปกปิดได้อีกแล้ว

“อัลวิน เจ้ารับสารนี้มาจากใคร” มหาเทพสงครามเบี่ยงสายตาไปหาอัลล์

“มหาเทพีบรรพกาลเป็นผู้มอบให้ข้าน้อยโดยตรงขอรับ นางตื่นช่วงสั้น ๆ เมื่อวานหลังจากอ่านสารที่มหาเทพไคซัสสั่งให้ข้านำไปส่งแล้วก็เขียนให้ทันที” หัวหน้าทหารตอบอย่างซื่อสัตย์ เพราะยังไม่รู้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นจึงต้องตามน้ำไปก่อน

“มหาเทพสงครามส่งสารไปหามหาเทพีจันทราด้วยเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” เรเทเชียถาม น้ำเสียงของนางสั่นจนแทบจับใจความไม่ได้

ไคซัสมองหน้าหญิงสาวก็ถอนใจเฮือกสั้น ๆ มือหนาเลื่อนไปยังบันทึกปกดำและเปิดหน้าที่คั่นไว้ ภาพวิหารโรมันที่ถูกล้อมด้วยเมฆสีรุ้งก็ปรากฏขึ้นแล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้าของนาซิลลา จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมถึงกับพูดอะไรไม่ออก นึกรู้ทันทีว่านี่คือ ‘บันทึกลับ’ ซึ่งใช้บันทึกเหตุการณ์ผิดปกติที่ไม่ควรปรากฎในประวัติศาสตร์สวรรค์ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของเทพจันทราน้อยองค์นี้

“...นาซิลลาอุบัติขึ้นในตำหนักของข้าเมื่อหนึ่งร้อยสิบเจ็ดปีก่อน เป็นเทพจันทราองค์เดียวที่เกิดขึ้นในปีนั้น ตรงกับคืนเดือนมืด สวรรค์และโลกเบื้องล่างปราศจากแสงจันทร์โดยสิ้นเชิง ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่พลังด้านมืดทรงอานุภาพที่สุด ตำหนักของข้าถูกล้อมด้วยกลุ่มเมฆสีรุ้งที่ซึมซับพลังนั้นอย่างเต็มเปี่ยม ข้าสังหรณ์ใจจึงลองตรวจสอบนางด้วยตนเอง ข้าพบว่าบางสิ่งบางอย่างในตัวนางตอบสนองต่อความมืดและยังอาจจะดึงดูดเมฆสีรุ้งนั้นมากอีกด้วย ลำพังแค่การกำเนิดของนางผิดแปลกไปจากเทพจันทราตนอื่น ๆ ก็ถือว่าเต็มกลืนแล้ว การที่นาซิลลาสื่อกับพลังมืดได้ทุกครั้งที่พลังจิตลดต่ำลงยิ่งทำให้นางเป็นอันตรายต่อตำหนักเทพจันทรา ข้าจึงตัดสินใจส่งนางในวัยเหมาะสมไปยังตำหนักคีตนาฏกรรม...”

เมื่ออ่านเนื้อความสำคัญที่จารไว้ในสารจบ ดวงตาสีส้มเหลือบมองเรเทเชียอีกครั้ง วงหน้าขาวซีดเผือดเหมือนกระดาษ นัยน์ตาที่เบิกกว้างนั้นไหวระริกด้วยความกลัว ไคมีร่ากับอัลล์ก็ตกใจไม่แพ้กัน แน่นอนจอมเทพีรู้ว่าเหตุผลที่นาซิลลาถูกส่งมาอยู่กับตนเอง มหาเทพีแห่งจันทราเป็นผู้อธิบายให้เข้าใจด้วยตนเอง ย้ำเตือนให้เธอคิดทบทวนให้ดี ๆ ถึงสามครั้ง ซึ่งเรเทเชียยอมรับและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มใจ

ตลอดช่วงสิบปีที่นาซิลลาอยู่ด้วยกันนั้น สิ่งที่เธอเป็นไม่เคยก่อปัญหาใด ๆ นอกจากฝันร้ายที่บังเอิญเกิดขึ้นปีหนึ่งไม่กี่ครั้ง แต่หลังจากสงครามเทพ-ปีศาจจบลง เรเทเชียเริ่มสัมผัสได้ถึงพลังมืดที่คอยวนเวียนแถวตำหนัก นาซิลลาก็เริ่มฝันร้ายหนักข้อขึ้นทุกวัน แต่ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ตัวนางเองก็ไม่ได้บอกใคร เพราะยังหาที่มาของพลังนั้นไม่ได้ ในจังหวะที่กำลังกลัดกลุ้มไคซัสก็ขอตัวฮาธอสไปช่วยงานซึ่งทำให้เทพจันทราน้อยตัดสินใจตามไป นางจึงได้โอกาสอนุญาตให้เธอมาในนาทีสุดท้าย

คิดมาถึงตรงนี้ จะว่าหญิงสาวใช้ประโยชน์จากไคซัสและฮาธอสในการกำจัดนาซิลลาออกจากตำหนักก็ได้ กระนั้นเรเทเชียก็คิดว่าตัวเองทำไปเพื่อเทพคนอื่น ๆ ในตำหนัก

สีหน้าครุ่นคิดระคนหวาดหวั่นของเรเทเชียบอกอะไรหลาย ๆ อย่างกับไคซัส อย่างเช่นนางรู้เรื่องนี้เต็มหัวอกและคิดใช้ประโยชน์จากเขาโดยไม่บอกสักคำ ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดเขาด้วยที่ประวิงเวลามาจนถึงวันนี้

“เรเทเชีย ข้าจะบอกเจ้าสักอย่าง วันแรกที่นาซิลลามาอยู่ที่นี่ นางก็ถูกแมลงไสยเวทโจมตี ต่อมาก็ตกเป็นเป้าหมายของพัมกิ้นซ์ที่ถูกแมลงไสยเวทควบคุมได้ด้วย...” คำพูดของเขาแทบทำให้เรเทเชียหยุดหายใจ ‘เรื่อง’ ที่นางกังวลได้เกิดขึ้นจริงแล้ว “ในเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นขณะนางอยู่ในการดูแลของข้า ข้าจึงมีสิทธิ์ที่จะรู้ ทำไม...เรเทเชีย ทำไมถึงเป็นข้า”

“เพราะข้าคิดว่าท่านรับมือกับเรื่องนี้ได้ดีกว่าข้า” ในที่สุดคำสารภาพก็พรั่งพรูออกมาพร้อมกับน้ำตาของจอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรม “หกเดือนที่ผ่านมานาซิลลาฝันร้ายซ้ำ ๆ เพราะพลังมืดที่ข้าไม่สามารถหาที่มาได้ นับวันฝันของนางจะหนักข้อขึ้นจนข้าคิดว่าอาจเป็นอันตรายต่อทุกคน ข้าก็เลย...” เสียงหวานขาดห้วงเมื่อก้อนแข็ง ๆ โผล่ขึ้นจุกในคอ อัลล์หลับตาและเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่กล้าพูด ไคมีร่ายืนฟังอย่างอึ้ง ๆ

“นาซิลลาติดฮาธอสแจ พอเขาย้ายมาตามคำขอของข้า นาซิลลาก็ดื้อแพ่งตามมาด้วยสินะ” ไคซัสลองสันนิษฐานตามที่คิด หญิงสาวผู้สำนึกผิดพยักหน้าทั้งน้ำตา ชายหนุ่มกลอกตาอย่างยอมแพ้ นี่หรือชาวเทพที่มีแต่ความดีงาม สุดท้ายก็ไม่ต่างจากเผ่าพันธุ์ในดินแดนเบื้องล่างสักนิด “ข้าจะไม่ตำหนิเจ้าเรื่องนี้ก็ได้ แต่อยากจะถามเจ้าจริง ๆ เถิด เจ้ามาขอตัวฮาธอสไปไม่คิดบ้างหรือว่านาซิลลาจะหาทางตามกลับไปด้วย”

เมื่อแรกได้ยินประโยคให้อภัยของจ้าวตำหนักพาเทร่า เรเทเชียเงยหน้ามองเขาอย่างดีใจ แต่พอเขาวกกลับเข้าเรื่อง ใบหน้างามก็ก้มต่ำอีกครั้ง เรือนผมสลวยทิ้งตัวบดบังสีหน้าที่มีแต่ความเสียใจ ไคซัสถอนใจสั้น ๆ อย่างอ่อนใจ ตอนมาก็เพราะฮาธอส พอเขากลับมีหรือที่เด็กสาวจะไม่ตามมาด้วย ตรรกะง่าย ๆ ยังลืมเสียดาย ถ้าหญิงสาวไม่อยากได้ตัวเทพจันทรากลับไปด้วยก็ต้องทิ้งฮาธอสไว้ที่นี่ ถ้าคิดในแง่นี้การหาเรื่องของเขาก็ดูจะประสบผลสำเร็จอยู่...

“เอ้อ!” เสียงไพเราะที่แทรกกลางปล้องเรียกความสนใจจากตุลาการกับจำเลยที่กำลังไต่สวนกันให้หันไปหา ไคมีร่ายกมือขอเวลานอกอยู่ โดยมีอัลล์แอบดูอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่

“มีอะไรเหรอ ไคมีร่า” คนเป็นพี่เอ่ยถาม

“ข้ากำลังสงสัยว่าฮาธอสหรือนาซิลลาไปเล่าอะไรให้ท่านเรเทเชียฟัง นางถึงได้มาขอตัวฮาธอสคืนจนกลายเป็นแบบนี้”

ความเงียบโรยตัวปกคลุมห้องชั่วอึดใจที่ท่านหญิงชาวอสูรพูดจบ มีเพียงอัลล์เท่านั้นที่ทำหน้างง เพราะเพิ่งจะมาถึง สักครู่มหาเทพสงครามก็เบือนหน้าไปหาจำเลยของตน หญิงสาวทำหน้าตกใจและกล้ำกลืนบางสิ่งลงคอ ไคซัสไม่ชอบสิ่งที่เห็นนั้นเลย เพราะมันเป็นท่าทางของจำเลยที่พยายามปกปิดบางสิ่ง

“เรเทเชีย”

“ฮาธอสไม่ได้เล่าอะไรน่าห่วง แค่ปรึกษาเรื่องความรักกับการย้ายตำหนักแค่นั้น” เมื่อไคซัสเรียกชื่อ จอมเทพีก็เงยหน้าขึ้นตอบตามตรงแล้วก้มลงเอามือกุมหน้า นางจึงไม่ได้เห็นแววตาตกใจของไคซัสเหมือนคนอื่น ๆ “นาซิลลาก็ไม่ได้เล่าอะไรเลย นอกจากเรื่องการทำงานที่นี่กับบ่นพวกทหารชีกอ แต่คนที่บอกให้ข้ามาขอฮาธอสคืนเป็นขุนพลเทพอันดับห้าเจ้าค่ะ”

คราวนี้ความตกตะลึงบังเกิดกับทุกคนในห้อง โดยเฉพาะไคซัสที่แสดงอาการออกมาทางสีหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หมายความว่าอย่างไร...เจ้าเด็กแสบนั่นน่ะเหรอ?

“ข้าต้องการคำอธิบาย” พร้อมกับคำพูด ไคซัสกระแทกมือลงกับโต๊ะด้วยความตั้งใจพยุงตัวเองที่จู่ ๆ ก็เกิดอาการหน้ามืดให้ยืนอยู่ได้ แต่เรเทเชียสะดุ้งโหยงและคิดว่าตัวเองถูกโกรธจึงยิ่งกลัวไปกันใหญ่

“เจ้าค่ะ! เขาเล่าเรื่องที่ฮาธอสช่วยปกป้องพาเทร่าไว้ได้ ข้าดีใจที่เขาได้ทำหน้าที่ แต่เจ้าตัวกลับบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เขาเป็นอันตรายมากขึ้นควรจะให้เขากลับไปปกป้องพาเทร่ามากกว่า” หญิงสาวห่อตัวเล็กลีบในเก้าอี้พลางเล่าสิ่งที่ต้องเจอมาจนหมด “ข้าเองก็เชื่อตามนั้น เพราะฮาธอสมักเลือกข้าด้วยความกตัญญูก่อนเสมอ...”

“นั่นสินะ...” ไคซัสพูดลอดไรฟัน หน้ามืดตาลายจนต้องเอามือกุมหน้าผาก ความโกรธพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง...โกรธเจ้าเด็กแสบชุดแดงนั่น มันกำลังจะทำอะไรอีก! “แล้วตอนนี้ฮาธอสอยู่ที่ไหน” คำถามสำคัญถูกเอ่ยไป

เรเทเชีบทำหน้าอึกอัก เพราะเซย์เรียโน่เป็นคนตระเตรียมแผนการทุกอย่างให้ นางรู้แค่เขาสั่งให้เอเดลบอกเรื่องตลาดแก้วกับนาซิลลา แนะนำให้เด็กสาวที่ชอบของสวย ๆ งาม ๆ ชวนฮาธอสไปเที่ยวด้วยกัน และตระเตรียมเดินทางมาที่พาเทร่า นอกเหนือจากนั้นหญิงสาวไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย

แต่ขณะเผยอปากเพื่อตอบตามที่คิด พลันเสียงเคาะประตูรัว ๆ อย่างเร่งร้อนและเสียงที่ตะโกนเข้ามานั้นทำให้บรรยากาศในห้องเคร่งเครียดกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

“มหาเทพสงครามเกิดเรื่องใหญ่กับพวกฮาธอสขอรับ”

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 8 up 28/08/13
«ตอบ #41 เมื่อ29-08-2013 20:56:25 »

ชั่วอึดใจเดียวหลังสิ้นเสียงจากข้างนอก ไคซัสที่ไม่รู้กำลังวังชามาจากที่ไหนพุ่งไปที่ประตูและกระชากเปิดออก เขาถึงกับชะงักเมื่อเห็นนาซิลลาที่หมดสติถูกอุ้มโดยทหารคนหนึ่ง ส่วนอีกคนยืนอยู่ข้าง ๆ เขาจำได้ว่าทั้งสองคนนี้ทำหน้าที่ติดตามเด็กสาวอย่างลับ ๆ เอเดลยืนลูบผมเธออย่างเป็นห่วงมากทีเดียว เด็กสาวปรือตามองมาทางเขาแล้วก็เบิกตาโพล่งอย่างคนเพิ่งพบที่พึง มือเรียวยื่นออกมาราวกับจะไขว้คว้าเทพอสูร

“ได้โปรด...มหาเทพช่วยได้...ช่วยฮาธอสด้วย!”

“เขาอยู่ไหน” ไคซัสถลาเข้าไปจับมือเธอไว้พลัน ไม่สนใจแล้วว่าใครจะมองด้วยสายตาเช่นไร แต่นาซิลลาอ่อนแรงเกินกว่าจะตอบเสีย ร่างสูงใหญ่จึงตวัดตามองทหารที่อุ้มเธอ

“พวกเขาถูกคนร้ายสวมชุดสีขาวโจมตีระหว่างทางกลับ พวกเรารีบตามไปช่วยแล้วแต่ไม่ทันการ เทพรับใช้ฮาธอสพยายามปกป้องเทพจันทราจึงถูกจับไปแทนขอรับ เราย้อนพลังแล้วพบว่าเป็นคนของหัวหน้าจอมปราชญ์ขอรับ”

คำบอกเล่าเหตุการณ์ไม่ต่างอันใดกับมีดคมกริบที่ฝากรอยแผลไว้ที่หัวใจของมหาเทพสงคราม เรเทเชียปิดปากกั้นเสียงร้องอย่างตื่นตะลึงของตนเองไว้ เอเดลช่วยประคองตัวนายหญิงไว้ก่อนทั้งที่ตนก็รู้สึกไม่ต่างกัน ไคมีร่ากับอัลล์และทหารคนอื่น ๆ ยืนรอคำสั่งจากเจ้านายสูงสุดอย่างร้อนใจ

“พานาซิลลาไปพักที่ห้อง เรเทเชียกับผู้ติดตามให้อยู่ที่นี่ก่อนจนกว่าจะจบเรื่อง ไคมีร่าเป็นคนดูแล...”

“เดี๋ยวก่อน! พี่ยังไม่หายนะ” เจ้าของชื่อสุดท้ายในประโยควิ่งมารั้งแขนพี่ชายไว้ด้วยความกังวลว่าเขาจะฝืนใช้พลังจนอาการทรุดหนัก แต่ความห่วงใยของเธอเหมือจะดูถูกไครอสไปนิด

“เพราะอย่างนั้น...” มหาเทพสงครามเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบจนน่าตกใจ ทว่าใบหน้าที่เบี่ยงสายตาไปหาอัลล์กลับเต็มไปด้วยความจริงจังและโกรธเคืองราวกับมังกรที่ถูกแตะเกล็ดย้อน “อัลวิน หากว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าให้เจ้ากับองครักษ์ทั้งสิบสองนำหน้า”

นายทหารหนุ่มเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหู ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาไคซัสใช้งานเขาไปทำงานใหญ่มาหลายครั้ง ที่ใหญ่ที่สุดคือการนำสารเข้าพบมหาเทพีจันทรา ทว่าระดับความไว้วางใจที่ได้นั้นกลับเทียบงานนี้ไม่ได้เลย

เพียงรอพบมหาเทพีบรรพกาลตอบจดหมายหรือสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่แม่ทัพ!

“ขอรับ!

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปทวงคืนคนสวนกันเลย!” อัลล์กับลูกน้องที่อยู่ในที่นั้นขานรับคำสั่งของไคซัสพร้อมกับสาวเท้าตามเจ้านายไปติด ๆ

ดูท่าการหาเรื่องคราวนี้จะกลายเป็นการมีเรื่องครั้งใหญ่เสียแล้ว...

---------------------

ตอบคอมเมนต์

คุณอายทำไม ไคซัสมีจุดอ่อนแน่นอนครับ ด้วยความตั้งใจของมาโกะเอง ในความคิดของมาโกะ ทุกสรรพสิ่งเหมือนกันหมด ไม่มีสิ่งใดแข็งแกร่งจนเกินไป หรืออ่อนแอจนเกินเหตุ มีข้อดีและเสียแตกต่างกันไป ถึงจะแข็งแกร่งแค่ไหน ยังไงก็ต้องมีจุดอ่อนฮับ ^ ^

คุณ bulldog17 ทั้งหวานทั้งเครียด บทจะหวานก็หวานซะ บทจะเครียดก็...สุดๆ มาโกะไม่เคยเขียนได้พอดีสักที

คุณ padang ขอบคุณครับ อย่างว่าล่ะฮะ มนุษย์เรามีรัก โลภ โกรธ หลง พระที่ว่าตัดจากกิเลสยังมีกิเลส นับประสาอะไรกับเทพล่ะเนอะ

อนึ่ง...ผมจะทยอยลงนิยายทุกวัน รับรองว่า นำหน้าเด็กดีแน่นอนครับ (ฮา)

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 9 up 29/08/13
«ตอบ #42 เมื่อ29-08-2013 21:26:10 »

อสูรมาอยู่บนสวรรค์นี่น่าหนักใจ
เพราะมีเทพเจ้ายศอยู่เยอะ
เป็นใหญ่ในแดนอสูรจะสบายใจกว่านะ

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 9 up 29/08/13
«ตอบ #43 เมื่อ30-08-2013 15:28:32 »

บทที่ 10 ทวงคืนคนสวน
- 50% -

ของเหลวให้สัมผัสเหนี่ยวข้นเล็กน้อยถูกหยดลงในปาก รสขมร้ายกาจพลันแผ่ซ่านไปทั่วโพรงปากปลุกสติคนที่หลับอยู่ให้ตื่นขึ้น เขาสำลักของในปากออกมา แต่กลับมีมือข้างหนึ่งอุดปากไว้จนคายออกมาไม่ได้ พอดิ้นหนีจากมือนั้น ร่างกายพลันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดซึ่งกรีดลึกไปถึงกระดูก โดยเฉพาะฝ่ามือข้างขวากับท้ายทอยที่ปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกเหล็กเผาไฟนาบ เจ็บไปถึงสมองแล้วกลั่นออกมาเป็นเสียงร้องอู้อี้ในลำคอ

“ถ้าเจ้ายังไม่อยากตายก็กลืนยาลงไปเดี๋ยวนี้” เสียงแหบพร่าสั่งอย่างเฉียบขาดหลังเขาดิ้นได้สักครู่ ซึ่งอันที่จริงไม่ต้องบอกคนเจ็บก็ตั้งใจจะทำอยู่แล้ว เพราะทนกับความขมไม่ไหว เมื่อยาไหลลงคอเจ้าของมือก็ผละออกไป ในขณะผู้บาดเจ็บหายใจถี่กระชั้นอย่างทรมาน แค่การหายใจก็ทำให้เจ็บเสียดไปทั้งทรวงอก

เกิดอะไรขึ้น? ฮาธอสถามตัวเองแล้วตั้งสมาธิจดจ่อกับการหายใจ สมองที่รับรู้แต่ความเจ็บปวดต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะทำงานได้ แล้วเขาก็นึกออก...ว่าตนกับนาซิลลาถูกผู้ชายแปลกหน้าโจมตีระหว่างทางกลับพาเทร่า เขากถูกแมลงไสยเวทต่อยเข้าขณะปกป้องเด็กสาว หลังจากนั้นก็นึกอะไรไม่ออกอีกเลย

ชายหนุ่มนอนหอบสักพัก อาการเจ็บก็ทุเลาลงมากพอลืมตาขึ้นมองรอบข้างได้ เขาต้องตกใจเมื่อเห็นภาพเลือนรางของกลุ่มคนแต่งชุดรุ่มร่ามล้อมอยู่ทางขวา โดยหนึ่งในนั้นนั่งอยู่ข้างกายของเขานั่นเอง แต่พอรวบรวมสติเพ่งสายตาดูอีกทีก็พบว่าทั้งหมดนั้นคือ จอมปราชญ์ทั้งแปดแห่งสวรรค์นั่นเอง!

“พวกท่าน...”

“ข้าถามว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เรมันต์...หัวหน้าจอมปราชญ์เคราขาวกดเสียงต่ำถามย้ำคำเดิม

“ดีขึ้นนิดหน่อยขอรับ” ฮาธอสตอบเสียงเบาหวิว แววตามุ่งมาดของฝ่ายตรงข้ามก่อความไม่ดีในใจเขา พร้อมกับคำถามว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน มาได้อย่างไร นาซิลลากับคนที่โจมตีพวกเขาไปไหนแล้ว

“ดีแล้ว ที่นี้ฟังข้า!” เรมันต์สั่งเสียงหวน แววตาไร้ความเป็นมิตร “เจ้าถูกแมลงไสยเวทต่อยเข้าที่จุดสำคัญและกำลังลุกลามไปทั่วทั้งตัวของเจ้า มีแต่ยาที่ข้าหยอดให้เมื่อกี้เท่านั้นที่จะถอนได้ แต่ข้ายังให้เจ้าไม่ครบสามหยด ดังนั้นถ้าไม่อยากเกิดใหม่ในเร็ว ๆ นี้ก็จงทำตามที่ข้าบอก” สั่งโดยละเลยส่วนสำคัญของเรื่องไป

ฮาธอสย่นคิ้ว สมองทำงานหนักกว่าจะเข้าใจคำพูดอีกฝ่าย ดูเหมือนเขาจะตกเป็น ‘เชลย’ ของจอมปราชญ์ทั้งแปดเสียแล้ว “ท่านต้องการอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแหบแห้ง

“ความลับทุกอย่างของมหาเทพสงคราม” เทพคนสวนสาบานกับตัวเองว่าน้ำเสียงของเรมันต์เต็มไปด้วยความมุ่งมาดและเอาจริงเอาจัง ประหนึ่งเสือที่ตะครุบเหยื่อของมันไว้แล้วรีดเลือดเนื้อมาดื่มกิน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่เหยื่อที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ

“ข้า...ไม่รู้ความลับใด ๆ ทั้งนั้นขอรับ” ฮาธอสเค้นคำพูดออกไปอย่างลำบาก เพราะยาแค่บรรเทาความเจ็บปวดให้เท่านั้น ขณะพิษยังลุกลามต่อไป เขารู้สึกปวดหนึบที่ท้ายทอยลามเลียไปตามแนวสันหลัง

“อย่าพูดเป็นเล่น เจ้าทำงานอยู่ที่ตำหนักพาเทร่ามานานแล้วไม่ใช่หรือ!” หนึ่งในจอมปราชญ์ซึ่งอยู่ใกล้หัวเตียงร้องมา “เมื่อหลายวันก่อนเจ้ายังไปประชุมกับมันอยู่เลย!”

“ข้าแค่ติดตามเท่านั้น เรื่องอื่นข้าไม่ทราบ” เทพคนสวนยืนยันคำเดิม มันเป็นเกียรติยศของเขาที่จะไม่เปิดเผยความลับของเจ้านาย ทั้งเรเทเชียและไคซัส อย่างเด็ดขาด

“เป็นแค่เทพชั้นต่ำคิดต่อกรกับจอมปราชญ์เชียวหรือ!” จอมปราชญ์คนเดิมตวาดใส่ เรมันต์ยกมือปรามก่อนเกิดเหตุร้าย แววตาที่ทอดมองคนเจ็บเจือแววนับถือเล็กน้อย เจ้าหนุ่มคนนี้สู้เพื่อปกป้องเด็กผู้หญิงมาแล้ว ตอนนี้ก็ยังสู้เพื่อปกป้องเจ้านายอย่างไม่เสียดายชีวิต

“ข้านับถือในความเด็ดเดี่ยวของเจ้านะ แต่เราจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้า เพื่อความปลอดภัยของสวรรค์” มือเหี่ยวย่นวางกลางอกฮาธอสและส่งพลังเข้าไปบรรเทาอาการเจ็บของเขาอีกแรง “เจ้าได้เห็นแล้วว่าสวรรค์วุ่นวายขนาดไหนหลังเขากับน้องสาวขึ้นมา เราจำเป็นต้องกำจัดพวกเขาพี่น้องออกไป”

“หัวหน้าจอมปราชญ์ ทุกอย่างเป็นความบังเอิญทั้งนั้น” ฮาธอสว่า “มหาเทพไม่ได้รู้เรื่องเลย เขาไม่ใช่คนนำพาสิ่งเหล่านั้นมาด้วย สิ่งที่เขาทำมีแค่พยายามปกป้องสวรรค์”

“หากปกป้องจริง ทำไมเหตุร้ายยังเกิดขึ้นได้อีก” เรมันต์แย้งอย่างสุขุม “ที่แล้วมามหาเทพสงครามมีหน้าที่แค่รบเพื่อสวรรค์ แต่สิ่งที่เขาทำมันเกินเลยออกไป ตรวจสอบเขตแดนโดยไม่ขออนุญาต เปลี่ยนวิธีการฝึกทหาร เพิ่มกำลังสัตว์อสูร ทุกอย่างที่เขาทำคือการชักพาอันตรายมาสู่สวรรค์”

ฮาธอสหลับตาเพื่อทบทวนคำพูดของอีกฝ่าย ซึ่งคราวนี้ดูจะใช้เวลานานสักหน่อย เพราะพิษที่กำลังแผ่กระจายทำให้ร่างกายของเขาเจ็บปวดอีกครั้ง กระนั้นก็ใช่ว่าจะเกินกำลังสมองอันเฉียบคมของเขา เพียงแต่ในขณะที่กำลังคิดนั้น หนึ่งในจอมปราชญ์มองเขาและนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาก้มลงกระซิบบอกเรมันต์ใกล้ ๆ แล้วถอยหลังไปก่อนเทพคนสวนจะลืมตาขึ้นแค่นิดเดียว

“ข้ายอมรับขอรับ ว่า...” ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกและกระแอมเบา ๆ หลังเสียงขาดห่วง “ว่าสิ่งที่มหาเทพสงครามทำอาจนำพาอันตรายมาสู่สวรรค์ แต่แผนการของท่านเป็นแบบระยะยาว ค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ทุกเรื่องร้ายเกิดขึ้นก่อนที่แผนการของเขาจะเป็นชิ้นเป็นอันเสียอีก...!”

“เฮสเลน” สุ้มเสียงเยือกเย็นของเรมันต์เอ่ยออกมาแช่ร่างกายของฮาธอสให้แข็งทื่อ ความเจ็บปวดคล้ายหายไปในชั่วขณะที่ตัวชาวาบและดวงาตาเบิกโพล่งด้วยความตกใจสุดขีด ถึงรีบตั้งสติเก็บอาการแค่ไหน ฝ่ายตรงข้ามก็เห็นเข้าแล้ว “ใช่จริง ๆ เจ้าเกี่ยวข้องกับเทพกาลกิณีตนนั้น...”

“ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพูดอะไร” หลังคำพูดที่แสร้งทำเป็นเรียบเฉย ฮาธอสก็เสตามองผนังสีขาวทางซ้ายอย่างไม่สนใจเงาร่างเงาที่ทอดบนนั้น

“เจ้าเข้าใจสิ่งที่เราพูดอย่างแน่นอน ฮาธอส” เรมันต์จับหน้าเขาไปมองตา “ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าเคยเห็นดวงตาคู่นี้ที่ไหน ที่แท้เจ้าก็เป็นครอบครัวเดียวกับเขานี่เอง”

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว” ฮาธอสออกแรงยื้อใบหน้าของตนออกมา ทว่ามือผอมแห้งนั้นกลับบีบคางเขาแน่นด้วยแรงที่มากมายอย่างเหลือเชื่อ

“เจ้ายังอยากอยู่สวรรค์ต่อไปไหม” หัวหน้าจอมปราชญ์ถามอย่างเมตตา แต่แววตากลับเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็งขั้วโลก “ถ้าเจ้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองมีสายเลือดเดียวกับเฮสเลนคนนั้นก็จงเล่าความลับของมหาเทพสงครามออกมาให้หมดและเล่าโทษว่าเขาคือสาเหตุของเรื่องทั้งหมดต่อหน้ามหาเทพจ้าวสวรรค์ ทำให้อสูรตนนั้นถูกขับออกไปซะ...”

“ไม่!!” ฮาธอสโพล่งเสียงดัง ครั้นรู้ตัวก็ชะงักงันไปเหมือนกันคนอื่น ๆ คงเพราะเขาทำงานใกล้ชิดกับไคซัสมาพักใหญ่ ได้เห็นความทุ่มเทในการทำงานของเจ้าตัว จึงอยากปกป้องด้วยความภักดีในฐานะบ่าว...ขอให้มันเป็นแบบนั้น เพราะถ้ามันเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกอื่น...ต่อหน้าคนเหล่านี้ สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าอาจเกิดขึ้นก็ได้!

“ดี” หางเสียงของเรมันต์สั่นด้วยความโกรธ มือที่วางกลางอกเอื้อมตรงไปที่ใบหน้าฮาธอส ชายหนุ่มเบี่ยงตัวออกตามสัญชาตญาณ แต่ร่างกายที่บาดเจ็บหนักกลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง เขาจึงเปลี่ยนใช้พลังล้อมสมองของตนไว้ในจังหวะเดียวกับมือของชายชราตะปบหน้าผากเขาและบีบแน่น

กระแสเวทร้อนฉ่าไหลเวียนเข้ามาในศีรษะของฮาธอส ชายหนุ่มรับรู้เลยว่ามันกำลังมุ่งไปที่สมอง พลังของเขาต่อต้านฝ่ายตรงข้ามเต็มที่จนเกิดเสียงเปรี๊ยะ ๆ ลั่นในหูตามมาด้วยอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ร่างสูงโปร่งดิ้นพราดบนเตียงและแผดเสียงร้องอย่างทรมานจนจอมปราชญ์ที่เหลือต้องช่วยกันจับไว้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ดังนั้นเขาจึงปกป้องตัวเองอย่างสุดกำลังโดยไม่สนใจว่าอาจทำให้อวัยวะสำคัญของตนมอดไหม้!

“ฮึ่ม! แข็งแกร่งจริง ๆ!”

นั่นไม่ใช่คำสบถธรรมดาอย่างแน่นอน เนื่องจากจนถึงตอนนี้เรมันต์ที่มั่นใจในพลังของตนเองยังไม่สามารถเจาะผ่านเกราะของฮาธอสได้เลย ชายหนุ่มตนนี้เป็นเทพชั้นต่ำจริง ๆ น่ะหรือ ไฉนอำนาจของเขาจึงแข็งแกร่งเช่นนี้ เพราะกำลังใจที่จะปกป้องอสูรชั่วตัวนั้น หรือเพราะสายเลือดต้องสาปที่ไหลเวียนในตัวกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรเขาก็ต้องล้วงเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในหัวเจ้าหนุ่มนี่ออกมาให้ได้

แต่ในตอนกำลังจะเพิ่มพลังทำลายมนต์ป้องกันของฮาธอสนั้น จู่ ๆ ประตูหน้าก็ถูกเปิดโครมเข้ามาทำให้เหล่าจอมปราชญ์ตกใจไปตาม ๆ กัน เทพนักรบผมดำหน้าตาดุดันคนหนึ่งเดินนำบ่าวชายที่หน้าตาตื่นเข้ามาข้างใน เขาค้อมกายรายงานด้วยความตกใจกลัว

“เรียนท่านจอมปราชญ์ทั้งแปด มหาเทพสงครามมาขอรับ”

“ว่าไงนะ!” เรมันต์ร้องและหันมองฮาธอสซึ่งนอนตัวสั่นระริกใกล้หมดสติอยู่รอมร่อ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้านั่นมาเพราะชายคนนี้ แต่จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เนื่องจากอีกฝ่ายมียศสูงกว่าและมาเยือนด้วยตนเอง ชายชราจึงผละจากเทพคนสวนมาจัดชุดของตนให้เรียบร้อย “ซามี เจ้าเฝ้าข้างนอกไว้ ส่วนที่เหลือตามข้ามา” ออกคำสั่งกับบ่าวชายและนำจอมปราชญ์ที่เหลือออกไปพบกับไคซัส

เพียงผู้ทรงภูมิทั้งแปดคล้อยหลังไป ฮาธอสก็ปรือตามองเทพที่ชื่อ ‘ซามี’ แม้ภาพจะบิดเบี้ยวและพร่าเลือนไปบ้าง แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนทำร้ายเขากับนาซิลลา เจ้าตัวได้ยินการสนทนาทั้งหมด มันช่วยกระตุ้นความทรงจำที่ขาดหายไปของเขากลับมาเล็กน้อย บางทีนาซอลลาที่รอดไปได้อาจจะบอกเรื่องนี้กับไคซัส

นี่ก็เป็นโอกาสของเขาแล้ว เทพคนสวนยกมือสั่นเทาของตัวเองขึ้นเล็งไปทางช่องสี่เหลี่ยมสีดำที่ทุกคนมุ่งหน้าไป จากนั้นก็ยิงเศษเสี้ยวพลังที่อ่อนจนเทพรับใช้กับเทพนักรบสองคนนั้นยังจับสัมผัสไม่ได้ออกไปก่อนประตูปิดเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น

หลังจากนี้ก็คงได้แต่หวัง...

หวังแค่ใครสักคนที่มีพลังพอ...

ขอแค่ ‘ไคซัส’ เห็น ‘มัน’ เขาก็จะปลอดภัย...

---------------

ไคซัสยืนอยู่ตระหง่านกลางห้องโถงกว้างสีขาวเปลือยเปล่า ปราศจากเครื่องเรือนและของตกแต่ง อัลล์ในชุดเต็มยศยืนอยู่ข้างหลังเยื้องไปทางซ้าย ด้านหลังเป็นทหารทั้งสิบสองนายในสังกัดของเขาซึ่งตอนนี้ถูกเรียกว่า ‘องครักษ์’ เข้าแถวหน้ากระดานสองแถว โดยสองคนที่ช่วยนาซิลลาไว้ยืนอยู่ตรงกลาง ทุกคนรอคอยเจ้าบ้านอย่างเงียบเชียบ...แต่เตรียมพร้อมสำหรับทุกอย่าง

ในที่สุดความเงียบอันน่าอึดอัดก็ถูกทำลาย เมื่อเรมันต์นำจอมปราชญ์อีกเจ็ดตนเข้ามาทางประตูใหญ่ด้านหน้า ไคซัสพิจารณาฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาก็เห็นว่าปกติดีทุกคน แม้แต่ความจงเกลียดจงชังที่ถูกส่งออกมาทางสีหน้าและแววตาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องนั้นด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกนี้ไม่อยากเสวนากับเขา แต่เมื่อเขามาเยือนถึงที่ก็ต้องออกมา คงเป็นครั้งแรกที่เขานึกขอบคุณสังคมแบบแบ่งวรรณะของสวรรค์

“ต้องขออภัยด้วยที่ออกมาช้า แต่พอดีข้ากับปราชญ์ท่านอื่น ๆ กำลังถกปริศนาธรรมกันอยู่ ไม่ทราบว่าท่านมาเยือนด้วยเรื่องอันใด” เรมันต์ก็เหมือนเทพตนอื่น ๆ ที่เอาเรื่องมารยาทมาก่อนเสมอ แต่ไคซัสกลับไม่อยากคล้อยตามหัวเหมือนที่แล้วมา เทพอสูรหนุ่มไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว

“วันนี้คนของข้า...อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นเทพรับใช้ของซิมโฟเนียอาเรียที่ข้าขอยืมตัวมาช่วยงานที่พาเทร่าถูกลอบโจมตีระหว่างทางกลับตำหนัก...”

“โอ้! นั่นเป็นเรื่องแย่มากและขี้ขลาดที่สุดเลยนะ ไม่ทราบว่าเทพรับใช้สองคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” หลังไคซัสเกริ่น หัวหน้าจอมปราชญ์ก็แสดงความห่วงใยแบบไม่จริงใจสักนิด

“คนหนึ่งเป็นผู้หญิงถูกเวทสายฟ้าได้รับบาดเจ็บ อีกคนเป็นชายหายตัวไปพร้อมกับคนร้าย” จบประโยคอัลล์ก็มองไคซัสอย่างนึกทึ่งที่ยังวางท่าสุขุมได้ ทั้งที่ภายในน่าจะโกรธจนแทบอยากอาละวาด

“ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ถ้าเทพรับใช้คนนั้นเป็นคนร้ายขึ้นมา ตำหนักของท่านได้เดือดร้อนแน่” เรมันต์แสดงความวิตกซึ่งดูเหมือนจริงมาก จอมปราชญ์ที่เหลือก็แสดงกิริยาเดียวกัน

“แต่อาจจะสมใจท่านก็ได้นะ ท่านผู้ทรงภูมิ เพราะคนของข้าย้อนพลังที่เหลือติดบนตัวเด็กผู้หญิงแล้วพบว่าคนร้ายเป็นคนของวิมานนี้!” มหาเทพสงครามบอก น้ำเสียงเข้มชัด แววตาวาววับจับจ้องหัวหน้าจอมปราชญ์ที่แสดงอาการประหลาดใจนิ่ง

“หึ! ถึงข้าจะเกลียดท่านก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะอยู่เบื้องหลังนี่” หัวหน้าจอมปราชญ์หนวดกระตุก ดวงตาวาววับราวกับไม่พอใจไคซัสที่กล่าวหาเขาต่อหน้าทุกคน “ตัวข้าเองก็รับเทพระดับล่างมาชุบเลี้ยงไว้หลายตน อาจมีใครไปมีเรื่องพิพาทกับคนของท่านแล้วก่อเหตุก็ได้ ท่านบอกว่าก่อเหตุทำร้ายพร้อมผู้หญิงใช่ไหม บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องชู้สาวก็ได้นะ”

ความเงียบปกคลุมห้องชั่วขณะที่ไคซัสมองหน้าเรมันต์เรื่อยไปถึงปราชญ์คนอื่น ๆ อย่างหมิ่นแคลน เทพพวกนี้ไม่ควรได้เป็นปราชญ์แห่งสวรรค์สักนิด นอกจากจะดำรงตนบนความอคติแล้ว ยังหน้าไหว้หลังหลอก วางแผนร้ายสารพัด เป็นคนจำพวกที่ไม่ควรมีอยู่บนสวรรค์ แต่เพราะเป็นอย่างนี้แหละถึงได้เข้าทางเขา

“ท่านพูดแบบนี้แสดงว่าตัวเองไม่รู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างนั้นสินะ”

“แน่นอน พวกเราไม่...” เรมันต์เป็นตัวแทนตอบอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องชะงัก เมื่อไคซัสเผยรอยยิ้มเย็นชาอย่างคนสมความปรารถนาในบางสิ่ง

“อย่างนั้นท่านคงไม่ว่าอะไร ถ้าหากข้าจะขอตรวจสอบวิมานแห่งนี้ เพื่อหาตัวคนร้ายกับคนของข้า” ไคซัสย่างสามขุมไปยืนต่อหน้าเรมันต์ แต่ละก้าวเพิ่มแรงกดดันและความเครียดให้บรรยากาศอึดอัดยิ่งขึ้น

“บังอาจ! เป็นแค่อสูรแท้ ๆ ริหาเรื่องหัวหน้าจอมปราชญ์แห่งสวรรค์เชียวหรือ!” หนึ่งในจอมปราชญ์ชี้หน้าและโวยวายใส่เทพอสูรหนุ่ม

“แต่ข้าก็มีตำแหน่งสูงกว่าพวกเจ้า เพราะอย่างนั้นพวกเจ้าถึงได้ยอมออกมาพบไม่ใช่หรือ” ไคซัสย้อนคำเหมือนหมัดฮุดอัดเต็มท้องคนฟัง “ข้าขอถามเป็นครั้งสุดท้าย จะยอมให้ข้าตรวจค้นวิมานแห่งนี้หรือไม่!”

เรมันต์จับจ้องเทพอสูรตรงหน้าของตนนิ่ง นัยน์ตาสีเข้มเปล่งประกายด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาเป็นถึงหัวหน้าจอมปราชญ์แห่งสวรรค์ที่มีคนนับหน้าถือตา ราชาแห่งฟ้ายังนับถือ ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อสวรรค์ แต่เจ้าอสูรที่น่ารังเกียจนี้กลับมาอวดเบ่งที่นี่และบีบให้เขาทำตามที่สั่ง มันน่าโมโหจริง ๆ!

“ก็ได้” ชายชรายอมอนุญาตด้วยเสียงสั่นจากความโกรธ แล้วยกมือปรามจอมปราชญ์ที่ร้องแย้งขึ้นมา “แต่ถ้าท่านไม่พบอะไรก็อย่าลืมกล่าวขอโทษกันด้วยล่ะ!”

“รู้แล้ว!” สิ้นเสียงของไคซัส การตรวจค้นก็เริ่มต้นขึ้นโดยทันที

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 9 up 29/08/13
«ตอบ #44 เมื่อ30-08-2013 15:29:43 »

- 75% -

วิมานหรือบ้านของชาวเทพนั้น มักอุบัติขึ้นพร้อมกับผู้เป็นเจ้าของ หรือถูกเนรมิตขึ้นเมื่อเทพตนนั้นได้รับการเลื่อนขึ้นให้เป็นเทพชั้นกลางแล้ว มีขนาดและพื้นที่เล็กใหญ่แตกต่างกันตามระดับพลังของเจ้าของ และจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเนรมิตตกแต่งของเจ้าบ้านอีกด้วย

นิวาสสถานของหัวหน้าจอมปราชญ์แห่งสวรรค์จัดว่าใหญ่มากทีเดียว ประกอบด้วยอาคารใหญ่ขนาดสองชั้นสามหลัง ตึกหลังเล็ก ๆ อันเป็นที่พักของเทพรับใช้ หอสูงเก็บตำรา โกดังสมุนไพร และอื่น ๆ อีกหกหลัง ทหารของอัลล์แบ่งกำลังเป็นกลุ่มละสองตนแยกย้ายกันตรวจค้นอย่างละเอียด ไคซัสกับอัลล์ก็ไม่ได้รออยู่เฉย ๆ แต่ช่วยคนหาด้วยเช่นกัน ทั้งสองใช้ญาณหยั่งรู้ในการจับสัมผัสพลังจิตหรืออำนาจของฮาธอสกับคนร้ายไปด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาให้เจอ...อย่างน้อยก็ขอแค่ฮาธอสสักคนก็ยังดี!

ถึงอย่างนั้นการค้นหาก็ยังเป็นเรื่องยาก ส่วนหนึ่งเพราะหลายห้องรวมถึงหอเก็บตำราถูกปิดผนึกด้วยเวทมนต์อย่างแน่นหนา ซึ่งเรมันต์เล่นแง่ไม่ยอมให้ตรวจสอบด้วยเหตุผลว่าเก็บตำราและข้อมูลการวิจัยลับไว้หลายอย่าง ตลอดจนถึงการที่พวกเทพรับใช้ไม่ยอมให้ความร่วมมือยิ่งทำให้งานยากยิ่งขึ้นไปอีก การต่อต้านเหล่านี้ทำให้ไคซัสหงุดหงิด...และยิ่งรู้สึกมากขึ้นหลังหาเท่าไหร่ก็ไม่พบร่องรอยของฮาธอสหรือคนร้ายเลย

เพราะอะไรกันนะ? ไคซัสถามตัวเองอย่างร้อนรน ขณะลูกน้องกระจายกำลังค้นหารอบลานกว้างหน้าหอเก็บตำรา ในอาคารใหญ่ถูกค้นอย่างละเอียดหมดแล้ว ใช้พลังจับก็ไม่เจออะไรอีกต่างหาก เหมือนว่าสิ่งที่เขาตามหาถูกดูดหายไปในความว่างเปล่า ทำไมกัน...ก่อนออกมาจากพาเทร่าเขาก็ย้อนพลังบนตัวของนาซิลลาจนแน่ใจว่าคนร้ายอยู่ที่นี่ ระหว่างทางพวกมันรู้ตัวและย้ายสองคนนั้นไปอย่างนั้นหรือ? ดวงตาสีส้มสว่างตวัดไปยังกลุ่มจอมปราชญ์ที่รวมตัวกันอยู่หน้าประตูอาคารหลัก

ไม่! ชายหนุ่มส่ายศีรษะกับตัวเอง จากที่คุยกับก็แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดไม่ใส่ใจเรื่องของเทพรับใช้เลย พวกมันน่าจะคิดว่าเขาเป็นแบบเดียวกัน ถึงได้ตกใจที่เขามาเยือนกะทันหัน ถ้าอย่างนั้นฮาธอสอยู่ที่ไหน พวกมันยอมให้เขาหาเพราะมั่นใจว่าไม่มีชายคนนั้นอยู่...หรือเพราะรู้ว่าเขาหาไม่เจอกันแน่

“มหาเทพไคซัส” เสียงเรียกดึงความสนใจเขาไปหาอัลล์ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เมื่อเขาส่งสายตาในเชิงถาม นายทหารหนุ่มก็ส่ายศีรษะเป็นสัญญาณบอกว่าไม่พบ

“บ้าจริง! ข้าและคนของเจ้าต่างมั่นใจว่าอยู่ที่นี่นะ!” หลังเสียงสบถ เทพอสูรหนุ่มก็กุมขมับเมื่อเกิดอาการเวียนศีรษะอีกครั้ง อัลล์สังเกตเห็นความผิดปกติจึงขยับเข้ามาเพื่อจะช่วย แต่ไคซัสยกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรและยืนหยัดด้วยกำลังของตนเองอย่างทระนง นายทหารหนุ่มเห็นแบบนั้นก็ทำสีหน้าไม่ดีนัก

“ข้าเข้าใจว่าท่านอยากช่วยฮาธอสให้ได้ แต่อย่าฝืนตัวเองเกินไปนะขอรับ ฮาธอสต้องไม่เป็นไรแน่ เขาเป็นคนฉลาด ยังไงก็น่าจะหาทางรอดให้ตัวเองไว้บ้าง”

“แต่เขาถูกแมลงไสยเวทต่อยนะ พิษของมันร้ายแรงมาก ต่อให้เก่งขนาดไหนก็ไม่มีทางต้านทานได้หรอก” ไคซัสแย้งไป คนฟังชะงักแล้วทำหน้าสลด เพราะสิ่งที่เจ้าตัวพูดมานั้นเป็นความจริงที่ปฏิเสธมิได้ เทพอสูรหนุ่มลูบหน้าผากและหลับตาลงถามกับตัวเองว่า ถ้าหาฮาธอสไม่เจอขึ้นมาจริง ๆ เขาจะทำอย่างไรต่อไป

...จะจัดการกับความร้อนรุ่มและความหวั่นไหวในใจนี้ยังไงดี!

มหาเทพ...

ไคซัสลดมือลงแล้วมองซ้ายมองขวาหาต้นเสียงที่แว่วในหู อัลล์หันมองดูเขาด้วยความประหลาดใจ ขณะพวกลูกน้องกำลังทยอยกลับมาทีละกลุ่ม หลังค้นหาจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบคนที่หายไป

“เจ้าได้ยินไหม” เทพอสูรถามโดยยังหาไม่หยุด “ข้าได้ยินเสียงฮาธอส เจ้าได้ยินหรือเปล่า!” ใบหน้าดุดันหมุนกลับไปหานายทหารคู่ใจ แต่อีกฝ่ายมีสีหน้าไม่เข้าใจจนเห็นชัด “ไม่รึ? หรือว่าข้าหูฝาด...”

มหาเทพไคซัส

วินาทีที่กำลังจะคิดว่าตัวเองอาจประสาทหลอนเพราะความรู้สึกส่วนตัว เสียงของฮาธอสก็ดังขึ้นในหัวของเขาราวกับจะยืนยันว่าอีกฝ่ายกำลังเรียกเขาจริง ๆ และคราวนี้ไคซัสก็เชื่ออย่างสนิทใจเสียด้วย

“ฮาธอส! เจ้าอยู่ไหน!!” มหาเทพสงครามโพล่งออกมาอย่างลืมตัว ร่างสูงหมุนดูโดยรอบหวังหาที่มาของเสียง คนรอบข้างมองเขาอย่างตกใจ จอมปราชญ์ทั้งแปดถึงกับตกตะลึง ทุกคนคงคิดว่าเขาเป็นห่วงฮาธอสจนหลอนไปจริง ๆ แล้ว “ถ้าได้ยินเสียงก็ตอบข้าหน่อย ฮาธอส!!”

ม...มหา...เทพ...

เทพอสูรตัวเย็นวาบหลังเสียงของฮาธอสขาดหายไป เสียงที่แผ่วเบาและขาดห้วงประหนึ่งเจ้าของเสียงเพิ่งพบกับวาระสุดท้ายของชีวิต ความกลัวที่ถูกสะกดไว้ในซอกลึกสุดของหัวใจพลันปะทุขึ้นดุจภูเขาไฟระเบิด ภาพที่อยากลืมเลือนที่สุดในอดีตก็หวนกลับมาอีกครั้ง

จะเสียไปอีกแล้วหรือ...คนที่...สำคัญต่อเขา...

ไม่! ไม่ยอมเด็ดขาด!!

มหาเทพสงครามหลับตาลงตั้งสมาธิ ทุกความคิดและความรู้สึกหายวับไปเหลือแต่สมองสีขาวโพลน เปิดพื้นที่ซึมซับข้อมูลทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาเมื่อเขาแผ่จิตที่เข้มข้นแต่ทรงพลังออกไป ภาพขอสรรพชีวิตและสรรพสิ่งที่อยู่ในวิมานแห่งนี้เผยชัดในสมองเขา...เห็นแม้กระทั่งขุมพลังในร่างของเทพทุกตนในวิมานแห่งนี้ เพียงไม่กี่อึดใจภาพกแพงสีมุขช่วงหนึ่งของวิมานก็ปรากฏให้เห็นแล้วดวงตาสีส้มสว่างก็เบิกโพล่ง

“พวกเจ้าตามข้ามา!!” ไคซัสออกคำสั่งพร้อมนำเหล่าทหารไปทางหอเก็บตำราซึ่งเป็นหอคอยทรงสี่เหลี่ยมสูงห้าชั้น แต่แทนที่พวกเขาจะทำการสำรวจในอาคารซึ่งไม่พบอะไรก่อนหน้านี้ มหาเทพสงครามกลับนำทหารทั้งหมดไปยังกำแพงวิมานที่อยู่ข้างหลัง เขากวาดตามองต้นไม้สองตนที่แผ่กิ่งเหมือนซุ้มประตูข้างหน้า ก่อนจะเข้าไปเอามือวางทาบกำแพงและหลับตาลง อัลล์กับนายทหารคนอื่น ๆ ตามไปดูห่าง ๆ อย่างไม่เข้าใจ ในสายตาของพวกเขาสิ่งปลูกสร้างนี้ก็ดูเหมือนกำแพงธรรมดาเท่านั้น

“ข้างหลังนี่มีอะไรซ่อนอยู่” ในที่สุดมหาเทพสงครามก็พูดออกมา พวกอัลล์พากันสงสัยว่าอีกฝ่ายพูดกับใคร แล้วคำตอบก็ปรากฏเมื่อเจ้าของคำถามหมุนตัวกลับมามองข้างหลัง...ยังกลุ่มของเรมันต์ที่ตามมาดูเหตุการณ์ หน้าตาแต่ละคนดูเคร่งเครียดทีเดียว

“ไม่มี...มันเป็นแค่กำแพงเปล่า ๆ ...”

ยังไม่ทันขาดเสียงของเรมันต์ มหาเทพสงครามก็สะบัดมือซัดพลังใส่กำแพงจนเกิดเสียงระเบิดดังตูมใหญ่ ทุกคนในที่นั้นหมอบตัวลงโดยสัญชาตญาณ และเมื่อทุกอย่างสงบลง พวกอัลล์ก็เงยหน้าขึ้นดูแลพบว่ากำแพงยังคงอยู่ดีทุกประการ ตรงกันข้ามประจุสายฟ้าที่ลั่นเปรี๊ยะ ๆ รอบกำแพงนั้นบ่งบอกว่ามีอาคมคุ้มกันอยู่ และไม่ใช่อาคมธรรมดา แต่เป็นเวทมนต์ที่แข็งแกร่งขนาดพลังของไคซัสยังทำลายไม่ได้

เทพอสูรหนุ่มจับจ้องใบหน้าตื่นตระหนกของเรมันต์กับพรรคพวกนิ่ง พวกเขาเหมือนจะพ่ายแพ้ แต่แววตาพยศและไม่ยอมรับกลับสื่อความหมายไปคนละทาง

“ดูท่าจะไม่ยอมให้เข้าไปง่าย ๆ สินะ ข้าคงต้องใช้ไม้แข็งซะแล้ว” ไคซัสยกมือขวาขึ้นระดับไหล่และแสงสีทองอันบริสุทธิ์ผุดผ่องก็ปรากฏขึ้นกลางอุ้งมือนั้น “อัญเชิญป้ายทอง!!”

เพียงขาดเสียง แสงสีทองเจิดจรัสก็สาดส่องจากอุ้งมือนั้นไปทั่วทุกทิศ แม้แต่ผู้อัญเชิญยังต้องปิดตาก่อนมืดบอด มีเสียงเรมันต์ร้องห้ามตามมาด้วยเสียงฝีเท้าจำนวนมากกรูมาทางนี้ ทว่าสายเกินไปแล้ว

แสงสว่างจากหายไปเหลือแต่ป้ายทองทรงสี่เหลี่ยมในมือของไคซัส ลายนูนต่ำของป้ายนั้นเป็นรูปนกยูงสองตัวทอดร่างล้อมอักษรพระนามของราชาแห่งฟ้า เหล่าเทพต่างมองมันด้วยความไม่อยากเชื่อ เพราะนั่นคือ ‘ป้ายทองอาญาสิทธิ์’ ใครก็ตามที่แสดงป้ายนี้ คำสั่งของคนผู้นั้นจะถือเป็นโองการจากองค์ราชัน ไม่เพียงแค่นั้นมันยังมีพลังลบล้างเวทมนต์และคำสาปของเทพสวรรค์ทุกรูปแบบอีกด้วย!

“ทำลาย!” ร่างสูงใหญ่กลับหลังหันเอาป้ายทองอาญาสิทธิ์ทาบกับกำแพง เรมันต์ร้องสั่งให้ทหารทุกตนที่มารวมตัวกันจากเสียงระเบิดเมื่อครู่นี้เล่นงานเทพอสูรหนุ่ม ทว่าองครักษ์ทั้งสิบสองนายก็ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ แปดคนสกัดมิให้ทหารประจำวิมานผ่านเข้ามาได้เลยสักตน ส่วนอัลล์กับคนที่เหลือคุ้มกันไคซัส

มนตราจากป้ายทองอาญาสิทธิ์กระเพื่อมแผ่ไปทั่วกำแพงเหมือนผิวน้ำที่ถูกกระทบ ไม่กี่อึดใจสิ่งปลูกสร้างตรงหน้าก็บิดเบี้ยวและหลอมละลายลงกองแทบเท้ามหาเทพสงคราม แต่พริบตาที่เห็นภาพอาคารชั้นเดียวหลังเล็กข้างใน รยางค์สีน้ำตาลแก่ที่แหลมคมพุ่งเข้าใส่ไคซัสด้วยความเร็วสูง อัลล์เป็นคนแรกที่ถลามาขวางทางและใช้ดาบฟันทั้งหมดจนขาดสะบั้น จังหวะเดียวกันนั้นทหารของเขาก็ทะยานเข้าใส่คนร้าย ซามีชักดาบเตรียมจะสู้ ทว่าคนของอัลล์เร็วกว่า พวกเขาใช้พลังรัดตรึงร่างอีกฝ่ายจนดิ้นไม่หลุด

ตลอดเวลานั้น ไคซัสไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างเลยสักนิด ร่างสูงใหญ่ตรงไปยังอาคารหลังเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ในช่องกำแพงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ สายตาจับจ้องประตูบานคู่ที่ปิดสนิท แต่เขารับรู้ได้...ถึงเศษเสี้ยวพลังบางเบาที่ติดบนพื้นและขอบประตูทั้งสองนั้น พลังเฮือกสุดท้ายของฮาธอสที่ส่งออกมาเพื่อบอกที่ซ่อนของตน

เมื่อตัวของซามีอันเป็นอุปสรรคสุดท้ายถูกกระชากให้พ้นทาง มหาเทพสงครามจัดการพังประตูคู่นั้นเข้าไปด้วยการถีบเพียงครั้งเดียว และภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้น...แทบทำให้หัวใจของเขาแหลกลาน...

ฮาธอสนอนแน่นิ่งบนเตียงปูผ้าสีขาวที่ยับยู่จากการดิ้นรนก่อนหน้านี้ มันเปรอะเปื้อนด้วยคราบสีดำกับสีแดงกระดำกระด่าง กลิ่นคาวที่โชยมาบอกว่ามันเป็นเลือด พลังชีวิตร่างกายอ่อนแออย่างมาก ใบหน้าซีดเผือดราวกับศพที่รอเวลาสูญหลาย เสียงสุดท้ายที่ไคซัสได้ยินคงเกิดขึ้นก่อนเจ้าตัวจะหมดสติไป

“ฮาธอส เข้มแข็งไว้นะ!!” เจ้าของร่างสีแดงวิ่งมานั่งข้างกายผู้บาดเจ็บ มือใหญ่จับชีพจรที่คอซึ่งเขาถึงกับนิ่งเมื่อได้เห็นรอยสีดำกำลังลุกลามมาจากหลังคอ พอลองตรวจดูก็พบรอยถูกต่อยที่มือท้ายทายกับมือขวา ลักษณะการบวมและปากแผลที่เป็นสีดำบ่งชัดว่าถูกแมลงไสยเวทต่อย เทพอสูรก้มลงฟังเสียงลมหายใจ ขณะอัลล์กับพวกวิ่งมาคุมเชิงหน้าประตู พร้อมกันนั้นก็เงี้ยหูฟังความเคลื่อนไหวข้างในไปด้วย “ยังมีลมหายใจ!” คำนั้นไม่เพียงทำให้คนพูดใจชื้น แต่ยังรวมไปถึงฝ่ายเดียวกันที่อยู่ข้างนอกด้วย “ฮาธอสได้ยินเสียงข้าไหม ข้ามาช่วยเจ้าแล้วนะ ลืมตามาดูข้าหน่อย!”

น้ำเสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความร้อนรนสะท้อนไปทั่วห้อง สำหรับที่แทบไม่เหลือสติแล้ว เสียงนั้นฟังราวกับห่างไกลเกินเอื้อมคว้า แต่เพราะมันมาจากคนที่อยากได้ยินมากที่สุด เขาจึงพยายามตอบสนอง แต่เนื่องจากเจ็บจนไม่เหลือเรียวแรงแล้ว เขาจึงทำได้แค่ขยับเปลือกตาไปมาอย่างคนลืมตาไม่ขึ้นเท่านั้น ปฏิกิริยาที่เห็นยิ่งทำให้ไคซัสร้อนใจ อาการของฮาธอสหนักหนาเกินไป เทพอสูรถอดเสื้อนอกของตนมาห่อตัวเทพคนสวนแล้วอุ้มพาออกมาจากห้องนั้น

“ช้าก่อน! ท่านจะพาเทพตนนั้นไปไม่ได้” เรมันต์โผล่มาขวางพร้อมกับทหารซึ่งถืออาวุธจังก้าพร้อมสำหรับการต่อสู้ จอมปราชญ์ท่านอื่นมองดูห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ สถานการณ์กำลังบานปลายหนักขึ้นทุกที “เจ้านั่นมีสายเลือดเดียวกับเทพกบฏที่ชื่อ ‘เฮสเลน’ ข้าให้คนจับตัวเขามาเพื่อสอบสวนว่าเกี่ยวข้องกับเหตุร้ายที่ผ่านมาหรือเปล่า!”

นามที่ปรากฏในประโยคทำให้ไคซัสชะงักไปนิดหน่อย ดวงตาสีส้มสว่างเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ไม่นึกเลยว่าจะได้ยินนามของเทพร้ายตนนั้นบนสวรรค์แห่งนี้ และยังน่าตกใจที่ได้รู้ว่าฮาธอสมีความเกี่ยวพันกับมันอีกด้วย กระนั้นก็หาใช่เหตุผลที่เรมันต์จะมาทำแบบนี้...กับคนของเขา!

“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ควรจะทำอะไรอย่างมีมารยาทและสง่างามกว่านี้สิ” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยไปอย่างเย็นชา หัวหน้าจอมปราชญ์ถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อไคซัสยกป้ายทองอาญาสิทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง “ด้วยอำนาจของป้ายทองอาญาสิทธิ์ที่รับมอบมาจากมหาเทพจ้าวสวรรค์ ข้าขอสั่งให้หัวหน้าจอมปราชญ์เรมันต์กับทหารในสังกัดหลีกให้พ้นทาง!”

เหล่าทหารประจำวิมานหันมองชายชราผู้เป็นเจ้านายของตนอย่างไม่มั่นใจนัก ปกติคำสั่งของมหาเทพถือเป็นสิทธิ์ขาดเหนือวาจาของเทพในระดับรองลงมา ยิ่งประกาศพร้อมป้ายทองอาญาสิทธิ์แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากบัญชาจากราชาแห่งฟ้า ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เรมันต์ตระหนักถึงเรื่องนี้ดีถึงได้ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธอย่างหาที่สุดมิได้ ทำไมกัน...เพราะอะไร...ทั้งที่ทุ่มเททำเพื่อสวรรค์แท้ ๆ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้...


Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 9 up 29/08/13
«ตอบ #45 เมื่อ30-08-2013 15:31:03 »

- 100% -

“เรื่องนี้ไม่จบง่าย ๆ หรอกนะ”

มหาเทพสงครามเบี่ยงสายตาดุเสี้ยวหน้าของชายชราที่ปรายตามองเขาอย่างชิงชัง แล้วมุมปากของเทพอสูรก็ยกยิ้มเห็นด้วยอย่างเหนือกว่าโดยสถานะ

“แน่นอน มันไม่จบง่าย ๆ แน่ เพราะข้ากับเจ้าจะสะสางเรื่องนี้ต่อหน้าฟาเบียนยังไงล่ะ!” พูดจบ ไคซัสก็พาฮาธอสกับลูกน้องกลับตำหนักพาเทร่าโดยไม่เหลียวกลับมาอีกเลย

-----------------

จอมเทพีเรเทเชียเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องโถงใหญ่ของปราสาทประมุขแห่งพาเทร่า โดยมีเอเดลที่รออยู่เป็นเพื่อนมองดูอย่างห่วงใยยิ่ง หญิงวัยกลางคนรู้ดีว่านายหญิงของตนกำลังกระวนกระวาย ร้อนใจ และเป็นห่วงฮาธอสอย่างมาก อย่างไรเสียเทพหนุ่มตนนั้นก็ถือเป็นศิษย์คนสำคัญ หากว่าเขาได้รับอันตรายจากการที่นางยอมทำตามแผนการของเซย์เรียโน่ นายหญิงของหล่อนคงใจสลายเป็นแน่แท้

“จอมเทพีเจ้าคะ มาพักก่อนเถอะเจ้าค่ะ” หลังทนดูเรเทเชียเดินวนไปรอบแล้วรอบเล่านานนับชั่วโมงโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด เอเดลก็ตัดสินใจมาห้ามจนได้

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าอยากพักก็พักก่อนเถอะ” หญิงสาวโบกมือปัด ๆ ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาสักนิด ความกระวนกระวายและความร้อนใจกำลังกัดกินจิตใจหล่อนอย่างไร้ความปราณี ยังไม่นับรวมความห่วงใยฮาธอสที่ทะลักทลายออกมาไม่หยุด เป็นความผิดของนางเอกที่ยอมทำตามคำขอของเซย์เรียโน่ “นี่มันกี่โมงยามกันแล้ว ทำไมยังไม่มีข่าวจากมหาเทพสงครามเลยล่ะ!”

“มหาเทพสงครามกลับมาถึงแล้ว” เสียงประกาศดังขึ้นอย่างเหมาะเจาะ เรเทเชียหันไปตามเสียงก็เห็นอัลล์กับเซบาสเตียนช่วยกันเปิดประตูให้ไคซัส...และฮาธอสที่ไร้สติในอ้อมแขนเข้ามาข้างใน

“ตายจริง ฮาธอส!” หลังเสียงร้องแหลมอย่างตกใจของเรเทเชีย หญิงสาวกับเอเดลก็วิ่งไปดูอาการของลูกศิษย์ใกล้ ๆ หญิงสาวทั้งสองถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นรอยสีดำกำลังลุกลามไปตามผิวคอของชายหนุ่ม พลังชีวิตในร่างของเจ้าตัวก็กำลังลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ เธอจึงเงยหน้าขึ้นถามไคซัส “เกิดอะไรขึ้นกับฮาธอสน่ะ มหาเทพสงคราม”

“ฮาธอสถูกแมลงไสยเวทต่อยน่ะสิ อัลวินไปตามไคมีร่ามา!” มหาเทพสงครามสั่ง

“ข้าอยู่นี่แล้ว” เสียงหวานดังมาจากทางเดินชั้นสอง เด็กสาวยืนอยู่ตรงหัวบันไดพอดี “ข้าเตรียมห้องของเจ้ากับของจำเป็นไว้แล้ว เด็กสาวที่ชื่อนาซิลลาก็ปลอดภัยแล้วด้วย รีบพาเขาขึ้นมาสิ” ว่าจบเธอก็สะบัดตัวเดินหายไปก่อน

ไคซัสทำท่าจะเดินตามไปอย่างไม่สนใจใครทั้งสิ้น เรเทเชียวิ่งมากางแขนขวางทางไว้ก่อน

“ถ้าถูกแมลงไสยเวทต่อยก็พากลับไปที่ตำหนักของข้าเถอะ ข้าจะขอให้ท่านจ้าวช่วย”

“ฮาธอสไม่มีเวลาขนาดนั้น หลีกทางไป” ไคซัสสั่งเสียงดังเหมือนภูเขาไฟระเบิด คนที่อยู่ในอ้อมแขนนี้กำลังจะตาย เขาจึงไม่อยากเสียเวลากับใครทั้งนั้น

“ไม่ได้! ฮาธอสบาดเจ็บเพราะข้า ข้าต้องรับผิดชอบ” เรเทเชียแย้งกลับมา น้ำตาคลอเบ้าด้วยความเสียใจ

“บ้าจริง อัลวิน!” เทพอสูรหนุ่มระเบิดเสียงแห่งความขุ่นเคืองกึกก้องจนใคร ๆ ก็ใจสั่นความกลัว ก่อนจะส่งร่างของฮาธอสให้อัลล์ นายทหารหนุ่มรับไว้ด้วยกริยางุนงง “รีบพาเขาขึ้นไปหาไคมีร่าเดี๋ยวนี้และอยู่ช่วยนางด้วย บอกนางด้วยว่ารักษาฮาธอสให้ได้!”

อัลล์ฟังคำสั่งอย่างอึ้ง ๆ และหันมองเรเทเชียที่ส่งสายตาขอร้องให้เข้าข้างตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ หากว่ากันตามธรรมเนียม เขาควรจะส่งคืนฮาธอสคืนให้จอมเทพีตามที่นางออกปากขอ แต่ความรู้สึกจากส่วนลึกบอกกับเขาว่าถ้าปล่อยฮาธอสกลับไปคงไม่ได้เห็นหน้าเพื่อนอีกแน่ และเขาจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นด้วย

นายทหารหนุ่มตัดใจหลบสายตาเรเทเชียและอุ้มร่างฮาธอสวิ่งขึ้นบันไดตามไคมีร่าไปอย่างรวดเร็ว

ไคซัสดูอยู่จนกระทั่งอัลล์กับฮาธอสลับสายตาแล้วค่อยเบือนหน้ามาหาเรเทเชียอีกครั้ง หญิงสาวก็หันมาหาเขาพอดีด้วย ดวงตาสีส้มสว่างสะท้อนใบหน้าสวยที่เปี่ยมด้วยความสับสนและไม่เข้าใจอย่างเด่นชัด นางคงกำลังรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหักหลังโดยเทพที่เคยเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยเป็นแน่แท้

“เรเทเชีย” สุ้มเสียงเย็นชาที่เอ่ยไปทำให้เจ้าของชื่อกับผู้ติดตามสะดุ้งพร้อมกัน พวกนางมองหน้าเขากลืนน้ำลายอย่างลำบากขณะจ้องหน้าดุดันของเขา “เจ้ามาหาข้าเพื่อขอตัวฮาธอสคืนไปสินะ” จอมเทพีพยักหน้า “ข้ายังไม่คืนให้”

“ทำไมล่ะ!” เรเทเชียโพล่ง “ถ้ากลับไปที่ซิมโฟเนียอาเรีย เขาจะได้รับการรักษาอย่างดีเลยนะ”

“แต่ที่นี่รักษาได้ดีกว่า ไคมีร่าเป็นเทพอสูรที่มีพลังเยียวยาระดับสูง นางสามารถกำจัดพิษแมลงไสยเวทได้อย่างหมดจด” ไคซัสแย้งกลับไปอย่างสงบ ความโกรธและเย็นชาผสมผสานกันในแววตาของเขาอย่างลงตัว

“ถ้าเช่นนั้นก็ให้เด็กคนนั้นตามไปรักษาที่ซิมโฟเนียอาเรียสิ” จอมเทพียังดื้อแพ่งเถียงต่อไป คงเพราะความห่วงใยและสำนึกผิดที่มีต่อฮาธอสที่ทำให้นางดึงดันแบบนี้ เทพอสูรหรี่ตาอย่างน่าอันตราย อันที่จริงเขาเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวดี เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่อาจให้อภัยนางได้อีกแล้ว

“เจ้าคงไม่ลืมสินะ ว่าใครทำให้ฮาธอสกับนาซิลลาเป็นแบบนี้” เรเทเชียตัวเย็นเยียบ ดวงตาเบิ่งโพล่งจ้องค้างอยู่ที่ใบหน้าโกรธจัดจนเกือบอำมหิต หากประกายแห่งความกราดเกรี้ยวที่เต้นเร่าในดวงตาของเป็นไฟจริง ๆ มันคงแผดเผาตัวเธอเป็นจุณไปแล้ว “เรื่องกลับตำหนักจะให้ฮาธอสเป็นคนตัดสินใจ ระหว่างนี้ข้ากับทุกคนจะดูแลเขากับนาซิลลาเอง ส่วนคนที่เหลือจะเอากลับไปก็ได้”

มหาเทพสงครามทิ้งทวนการเผชิญหน้าด้วยทำลายสะพานมิตรภาพที่เคยเชื่อมโยงสองตำหนักไว้ ก่อนมุ่งหน้าขึ้นบันไดตามไคมีร่ากับอัลล์ไปอีกคน เหล่าองครักษ์ได้แต่ยืนดูเหตุการณ์เงียบและแยกย้ายกันไปประจำตำแหน่งต่าง ๆ ในปราสาทหลังเจ้านายลับหายไปแล้ว

จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมทรุดลงกองกับพื้น น้ำตาหยดลงบนแก้ม เอเดลมานั่งข้างตัวและประคองบ่านายหญิงอย่างเบามือ

“จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ จอมเทพี” หญิงร่างอวบถาม สีหน้าอับจนหนทาง

“กลับกันเถอะ...” เสียงหวานตอบกลับมาแผ่ว ๆ ขณะคนพูดยังอยู่ในอาการช็อก แต่ไม่นานความรู้สึกถึงที่รุนแรงก็ก่อตัวขึ้นในใจของเรเทเชีย ซึ่งมันเปลี่ยนความคิดของหญิงสาวอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนั้น ฮาธอส...นาซิลลา...รวมถึงตัวนางเองคงไม่เป็นแบบนี้ “กลับไปแล้วก็ให้คนไปบอกเรื่องนี้กับขุนพลเทพอันดับห้าด้วย เขาต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ยัดเหยียดให้ข้าทำ!”

และแล้วเทพธิดาผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องก็ได้เรียนรู้ว่าในใจของตนก็มีความดำมืดซ่อนอยู่เหมือนเทพอสูร

----------------

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang นั่นสิครับ หากเลือกได้ ไคซัสก็ไม่อยากขึ้นสวรรค์เหมือนกันล่ะครับ

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
«ตอบ #46 เมื่อ30-08-2013 17:07:54 »

เรื่องราวซับซ้อนขึ้นทุกที
ต่อเลยค่า

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
«ตอบ #47 เมื่อ30-08-2013 22:44:51 »

เง้อ.. ชาวสวรรค์นี่มากเรื่องแท้

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
«ตอบ #48 เมื่อ31-08-2013 00:07:37 »

แว็บไปอ่านที่เด็กดี...แล้วก็แว็บมาเม้นท์ที่นี่ต่อ   :katai4:

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
«ตอบ #49 เมื่อ31-08-2013 23:12:26 »

บทที่ 11 ช่วยชีวิต
- 50% -

การช่วยชีวิตฮาธอสเริ่มต้นขึ้นทันทีที่อัลล์พาตัวเขามาถึงห้องนอนของไคซัส ซึ่งในช่วงที่รอไคซัสกลับมา ไคมีร่าจัดแจงเปลี่ยนผ้าปูเตียงใหม่เป็นผ้าสะอาดสีขาว ของใช้ราคาแพงถูกย้ายออกไปและแทนที่ด้วยหมอนกับผ้าห่มสีขาวสะอาดตา ข้างเตียงมีโต๊ะเล็กที่จัดอุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้หลายอย่าง รวมถึงยาสมุนไพสารพัดชนิดที่เจ้าหล่อนสามารถจัดหามาได้ในเวลาอันสั้นนี้

ในเบื้องต้นเด็กสาวตรวจดูบาดแผลภายนอกพบว่ามีแค่รอยแมลงต่อยที่ท้ายทอยกับฝ่ามือขวาเท่านั้น มันกำลังบวมจากการอักเสบ ปากแผลเป็นสีดำคล้ำอันเป็นผลจากพิษร้าย แค่เห็นลักษณะบาดแผล ไคมีร่าก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มถูกทำร้ายด้วยสิ่งใด มันกำลังคุกคามร่างกายของฮาธอสอย่างหนักและมีมากเสียจนเด็กสาวยังไม่แน่ใจว่าจะถอนพิษออกมาหมดหรือไม่ ที่สำคัญเธอยังสัมผัสสิ่งแปลกปลอมได้จากในตัวของฮาธอสด้วย

“ท่านหญิงไคมีร่า ฮาธอสจะเป็นอะไรไหมขอรับ” อัลล์ตัดสินใจถาม หลังนั่งดูเด็กสาวตรวจดูอาการอยู่สักครู่ “ถ้ามีอะไรที่ข้าช่วยได้โปรดบอกมาเลย ข้ายินดีทำทั้งสิ้น”

“ถ้าอย่างนั้นก็ถ่ายพลังชีวิตให้ที อาการของเขาแย่มากจนข้าไม่แน่ใจว่าจะรอดจนกว่าจะรักษาเสร็จไหม ไอ้พวกบ้านั่นคิดยังไงถึงใช้แมลงไสยเวทกับเทพบอบบางแบบนี้นะ!”

ขาดคำสั่งที่พ่วงมาด้วยคำบ่นอย่างหัวเสีย ไคมีร่าก็หันไปหยิบถ้วยกระเบื้องมาเตรียมไว้เพื่อปรุงยา หยิบจับส่วนผสมต่าง ๆ ด้วยความชำนาญผิดกับรูปลักษณ์ที่ดูอายุน้อยและไร้เดียงสาดั่งเด็กสาวแรกรุ่น ทว่าอัลล์ไม่ได้สนใจเธอมากนัก กลับทุ่มความห่วงใยให้กับสหายของตนมากกว่า นายทหารหนุ่มจับมือซ้ายของเพื่อนแล้วถ่ายพลังชีวิต แต่ก็ทำได้ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากพิษของแมลงไสยเวทขวางกั้นมิให้เขาผสานอำนาจกับพลังของเทพคนสวนได้ ต้องใช้เวลาสักครู่กว่าจะทำได้สำเร็จ แต่พอทำไปได้สักพักก็รู้สึกถึงแรงต่อต้านจากฮาธอส

“ท่านหญิงขอรับ พลังชีวิตของฮาธอสกำลังต่อต้านข้า” แค่ได้ยินสุ้มเสียงแหบต่ำที่สั่นพร่านั่นแหละ ไคมีร่าก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายตกใจแค่ไหน ร่างเล็กบางจึงหมุนตัวกลับมาวางมือบนหน้าผากชื้นเหงื่อของคนเจ็บและส่งพลังเข้าไปตรวจดูอาการของเทพคนสวนจากภายในโดยตรง สิ่งที่พบนั้นทำให้เธอตกใจอย่างมาก ไม่เพียงพลังชีวิตของเขาจะต่อต้านอัลล์อย่างเดียว แต่ดูเหมือนจะเข้ากับพลังเทพไม่ได้ด้วยซ้ำ หมายความว่ายังไงกัน?

“หยุดมือแค่นี้ก่อน” หลังเสียงสั่ง นายทหารหนุ่มก็ชักมือออกไปทันที ขณะไคมีร่ากลอกตาคิดหาคำตอบอย่างเร่งด่วน “บางทีอาจจะเป็นเพราะผลข้างเคียงของพิษแมลงไสยเวทก็ได้ ข้าเคยได้ยินว่าถ้าได้รับพิษในปริมาณมากพอ พิษก็จะสกัดกั้นมิให้ผู้อื่นถ่ายพลังชีวิตให้ได้จนกระทั่งตาย” เธอพูดในเชิงปลอบทั้งตัวเองและอัลล์ “ถ้ายังไงตอนนี้ถอนพิษให้เขาก่อนดีกว่า เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”

เทพนักรบผมแดงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ท่านหญิงเทพอสูรจึงหันไปปรุงยาต่อด้วยผงสมุนไพรหนึ่งพันแปดอย่าง น้ำทิพย์ที่ไคซัสได้รับฟาเบียนประทานมาในวันแรกที่ไคซัสรับตำแหน่ง และกระสายยาคือ ผงแมลงไสยเวทบดละเอียดที่เธอเอาติดตัวมาพร้อมยาอื่นตอนหนีจากวังเผ่าอสูร หลังจากปรุงยาเสร็จเธอก็ใส่ปากเทพหนุ่มอย่างระมัดระวัง รสชาติขมที่แม้จะร้ายกาจน้อยกว่ายาของเรมันต์มาก แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มผมทองรีบกลืนมันลงคออย่างรวดเร็วเกือบครึ่งถ้วยเลยทีเดียว

เพียงครู่เดียวหลังรับยาของไคมีร่าเข้าไป ภายในร่างกายของเทพคนสวนก็เกิดอาการเจ็บจี๊ดตามจุดต่าง ๆ คล้ายถูกเข็มทิ่มแทงไปทั่วร่าง ชายหนุ่มบิดตัวเร่าอย่างทรมาน เส้นเลือดตามแขนขาปูดโปนเมื่อยาถอนพิษแล่นไปต้านพิษร้ายทั่วร่างของเขา คราบสีดำอันเป็นผลข้างเคียงของพิษร้ายจางลงเป็นสีเทา แล้วความรู้สึกนั้นก็ไหลเวียนไปรวมกันที่ท้องจนเกิดอาการปวดมวนอย่างรุนแรง ในที่สุดเขาก็อาเจียนเลือดสีดำออกมา

ไคมีร่าหันไปคว้าชามปากกว้างมารองเลือดเสียไว้ทันที ขณะอัลล์พลิกตัวสหายตะแคงข้างเพื่อให้ระบายของเสียออกมาอย่างสะดวก แต่บางส่วนก็ไหลลงไปถึงพื้นอาบย้อมผ้าปูเตียงให้กลายเป็นสีเดียวกัน ฮาธอสสำลักและปรือตาด้วยสีหน้าทรมานหลายครั้ง แต่กลับไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้เลย นอกจากความเจ็บปวดกับความร้อนแรงเหมือนถูกหลอมละลายในเตาหลอมเหล็กให้ตายทั้งเป็น

และในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ไคซัสที่เพิ่งเสร็จธุระจากข้างหลังก็สะบัดผ้าม่านที่กางปิดไว้เข้ามาพบกับภาพน่าตกใจนี้

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ ไคมีร่า” หลังเสียงร้องถามอย่างร้อนใจ ไคซัสก็วิ่งไปอยู่ข้างตัวน้องสาว ช่วยเธอลูบหลังคนเจ็บที่กำลังสำรอกของเสีย

“ข้าเพิ่งให้ยาถอนพิษเขาน่ะ ยาเพิ่งออกฤทธิ์” ไคมีร่ากับพี่ชายมีสีหน้าโล่งใจนิดหนึ่ง หลังรอยดำตามตัวของฮาธอสเริ่มจางและหดหายกลับไปยังต้นต่อทั้งสองจุดอย่างช้า ๆ เด็กสาวฉวยโอกาสนี้วางมือตรงกลางอกเขาและลองถ่ายพลังเยียวกับพลังชีวิตเข้าไปพร้อมกัน เพราะเธอได้รับอำนาจมาจากมารดาจึงมีความใกล้เคียงกับเทพมากกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะเข้ากับพลังของคนสวนก็ได้ แต่อีกฝ่ายก็ต่อต้านเธออีกครั้ง “บ้าจริง! แบบนี้ข้าก็รักษาเจ้าไม่ได้น่ะสิ ฮาธอส”

เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของไคซัสทั้งสิ้น สีหน้าหนักใจและเป็นกังวลของอัลล์ก็ยืนยันสิ่งที่เขาคิดไว้ในใจเสียด้วย

“พวกเจ้าถ่ายทอดพลังชีวิตให้ฮาธอสไม่ได้หรือ” ดวงตาสีส้มมีเกล็ดประกายจับจ้องทั้งสองนิ่ง ไคมีร่าอยากจะโกหกเหลือใจ แต่เกรงต่ออำนาจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแววจับผิดในดวงตาของเขา

“อืม...” เธอพยักหน้าช้า ๆ สีหน้าลำบากใจยิ่ง “ตอนนี้ข้าค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ใช่เพราะพิษแมลงไสยเวทแน่ เทพที่ต่อต้านพลังของเทพด้วยกันเอง ในโลกนี้มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”

ไคซัสฟังแล้วก็เหลียวมองใบหน้าซีดเซียวของฮาธอสอีกครั้ง เทพหนุ่มกำลังตัวสั่นเทาและเพ้อเบา ๆ ด้วยพิษไข้กับความเจ็บปวด พลังชีวิตอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ประหนึ่งเทียนเล่มน้อยที่ให้แสงสว่างกลางสายลมที่เริ่มพัดกระโชกจะดับตอนไหนก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เขารู้โดยสัญชาตญาณเลยว่าถ้าไม่ถ่ายพลังชีวิตให้ต้องเทพคนสวนผู้แสนอ่อนโยนตนนี้ต้องจุติแบบไม่มีโอกาสเกิดใหม่แน่นอน

คิดมาถึงตรงนี้ คำพูดก่อนจากของเรมันต์ก็ลอยเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง ถ้าสิ่งที่เจ้าแก่นั่นพูดเป็นความจริง บางทีคนที่ช่วยฮาธอสได้ก็คือ...

“ข้าจะลองดู พวกเจ้าออกไปก่อน”

“เอ๋! ท่านจะทำเองหรือ อย่าล้อเล่นนะ” ไคมีร่าร้องเสียงหลง มือที่กำลังจะป้อนยาให้ฮาธอสพลันชะงัก อัลล์ก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง “ถึงร่างกายของพี่จะทนพิษแค่ไหน แต่ท่านก็ยัง...”

“ข้าบอกให้ออกไป” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยย้ำอย่างสงบ แต่กลับเย็นชาและอำมหิตราวกับมีดน้ำแข็งแทงจ่อคอหอยคนฟัง มันเตือนให้รู้ว่าหากยังไม่รีบไปเดี๋ยวนี้ต้องเจอดีอย่างแน่นอน เทพทั้งสองเหลียวมองหน้ากันนิดหน่อยแล้วรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

ไคซัสเงี้ยหูฟังจนได้ยินเสียงประตูปิด ซึ่งเขาจัดการลงดาลด้วยเวทมนต์จากภายในห้อง เพื่อป้องกันมิให้ใครเข้ามาได้ หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าฮาธอสสำรอกเลือดเสียรอบล่าสุดออกมาหมดแล้ว เทพอสูรหนุ่มก็จัดการย้ายชามรองโลหิตนั้นไปไว้ไกล ๆ เอาผ้าใหม่ที่หนากว่ามาปูทับส่วนที่เปื้อนคราบเลือดไว้แล้วถอดเสื้อออกจนเหลือแต่แผ่นอกเปลือยเปล่า ผมถูกรวบไว้ที่ท้ายทอยมิให้เกะกะตอนทำงาน

หลังจากเตรียมการเสร็จเรียบร้อย ไคซัสก็กลับมาที่เตียงแล้วบรรจงพลิกตัวฮาธอสมาอยู่ในท่านอนคว่ำอย่างเบามือที่สุด เขาถึงกับนิ่งงันเมื่อเห็นแผ่นหลังขาวเนียนดุจเนื้อหยกชั้นดีของอีกฝ่าย เส้นผมหยักศกแผ่สยายคลุมหลังของเขาเหมือนสาหร่ายช่างเข้ากับผิวอย่างเหลือเชื่อ แก้มที่แดงระเรื่อจากพิษไข้...ร่างกายที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหอบสะท้าน...เป็นภาพที่น่าดูชมนัก ไคซัสมองภาพนี้สักครู่ก่อนสลัดความคิดบ้า ๆ ออกไปและเตือนตัวเองว่าชายที่เขาพึงใจกำลังอยู่ในชั้นวิกฤต หาใช่เวลามาคิดเรื่องพรรค์นั้น

ปลายนิ้วหยาบกร้านปัดแพผมที่ท้ายทอยฮาธอสออก เผยแผลถูกแมลงไสยเวทต่อยที่กำลังบวมเป่ง ไคซัสพิจารณามันแปบหนึ่งก่อนโน้มลงฝังเขี้ยวลงในปากแผลแล้วกัดขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ฮาธอสสะดุ้งเบาเมื่อความเจ็บที่แตกต่างแล่นเข้ามา แม้จะไม่เหลือสติแล้ว แต่ร่างกายก็ยังตอบสนองอย่างซื่อสัตย์ ไคซัสอยู่ในท่านั้นจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายสงบแล้วค่อยดูดเลือดออกมาคำใหญ่ ก่อนถมทิ้งในชามรองใบใหม่ที่เตรียมไว้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่วิธีการรักษาที่ดีนัก กระนั้นเขาก็มีเหตุผล หลังคายเลือดจนหมดปากแล้ว เขาก็ก้มลงงับที่เดิมอีกครั้งและคราวนี้ได้ถ่ายพลังชีวิตของตนเข้าไปด้วย

กระแสพลังเย็นเฉียบแต่แข็งแกร่งเหมือนเจ้าของแทรกตัวเข้ามาทีละน้อยตัดกับความร้อนในตัวฮาธอส ชายหนุ่มสะท้านเฮือกด้วยความเสี่ยวซ่านประหลาดที่ก่อตัวข้างใน กำลังทำให้ร่างกายของเขาตอบสนองในทางที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย ใบหน้าคมคายเชิดสูงเมื่อมืออุ่นจับเขาเบา ๆ เสียงครางแผ่วชวนหวิววามแว่วผ่านลำคอในวินาทีที่พลังของอีกฝ่ายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับขุมพลังชีวิตของเขาอย่างน่าอัศจรรย์

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ไคซัสมีสีหน้าไม่อยากเชื่อเล็กน้อย เพราะถ้าว่ากันตามเผ่าพันธุ์ พลังอสูรของเขาไม่ควรเข้ากับพลังเทพของฮาธอสได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากมีความมืดซึ่งถือเป็นของแสลงของชาวเทพเจือปนอยู่มาก การอำนาจของพวกเขาเข้ากันได้ก็มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น...

“...เจ้าเป็นลูกครึ่งเทพรัตติกาลหรือ ฮาธอส แถมยัง...”

มหาเทพสงครามยืดตัวขึ้นและยกมือปิดปากด้วยความไม่อยากเชื่อ ดวงตากลอกไปมาอย่างไม่เข้าใจ สวรรค์มีเทพตั้งมากมายให้ฮาธอสผูกพันทางสายเลือด แต่ไฉนฟ้า...เทพแห่งโชคชะตาจึงกำหนดให้เขาเป็นมีสายเลือดเดียวของ ‘เทพร้าย’ ตนนั้น เพราะเรื่องนี้ใช่ไหมที่ทำให้ฮาธอสปกปิดเรื่องพลังของตนเอง

“อือ” เสียงครางของฮาธอสปลุกสติมหาสงครามให้ตื่นจากภวังค์ พอก้มลงมองก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลืมตาขึ้น ครั้งนี้แววตาที่เคยเลื่อนลอยดูมีเป้าหมายสื่อชัดว่า เทพคนสวนได้สติแล้ว

“ฮาธอสเป็นอย่างไรบ้าง” ไคซัสนอบตัวลงถาม โดยลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้ตนอยู่ในท่าคล่อมทับอีกฝ่าย

ฮาธอสปิดตาสนิท แม้ว่าพลังชีวิตของไคซัสจะช่วยประคับประคองชีวิตเขากลับมาได้ แต่สมองของเขาก็ยังทำงานช้ากว่าปกติ ต้องใช้เวลาสักครู่กว่าเขาจะทำความเข้าใจคำพูดอีกฝ่ายได้ ระหว่างนั้นเจ้าตัวก็ถามซ้ำ ๆ ไม่หยุดจนกระทั่งเขาพูด

“เจ็บ...ไป...ทั้ง...ตัว...” นั่นคือคำพูดทั้งหมดที่ฮาธอสสามารถเปล่งออกมาได้ด้วยเสียงอู้อี้ของตัวเอง ไคซัสต้องเอียงหูลงมาฟังใกล้ ๆ ถึงจะเข้าใจ

“ตกลง แต่ข้าอยากให้เจ้าอดทนอีกหน่อย ข้าจะถอนพิษให้หมด”

ไคซัสไม่ได้รู้เลยว่าฮาธอสไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด ตัวของเขากระตุกวูบเมื่อเทพอสูรดูดพิษจากบาดแผลที่ท้ายทอยอีกครั้ง และครางแผ่วยามอีกฝ่ายถ่ายพลังชีวิตเข้ามาตัดกับความร้อนในร่างกาย เนื้อตัวสั่นอย่างหวิวหวามหลังมือใหญ่และลากลูบไล้ปลอบโยนไปทั่วตัวเขา หยุดจับตรงไหนก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นเข้ามาให้หัวใจกระตุกทุกครั้ง เลือดในกายพลุ่งพล่านไปทั่วด้วยแรงอารมณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น

“ใจเย็น ๆ ฮาธอส” ไคซัสกระซิบข้างหูฮาธอส หลังร่างสูงโปร่งบิดตัวเสียดสีกับเขาหลายครั้ง โดยเฉพาะเขาที่กระหวัดก่ายกับเขาจนแทบแยกไม่ออก อันที่จริงเขาควรจะเตือนตัวเองมากกว่า เพราะเป็นฝ่ายกระตุ้นฮาธอสก่อน แม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาในแบบเขาก็ตาม แต่ยอมรับเถิด เสี้ยวหน้าที่มีรอยเลือดฝาดบนแก้มขาว สีหน้ากระสันซ่านระคนเจ็บปวด ร่างกายที่ตอบสนองทุกครั้งเมื่อสัมผัสนั้นช่างน่าดู เสียงครางไม่เป็นภาษานั้นก็น่าฟัง...จนเทพอสูรที่เต็มไปด้วยกิเลศอย่างเขายังแทบทนไม่ไหว

“อดทนไว้” หลังปลอบตัวเองกับคนในอ้อมแขนไปพร้อมกัน มหาเทพสงครามก็พลิกตัวเทพคนหงายขึ้นแล้วโน้มใบหน้าลงจูบล้ำลึก แต่มิได้เป็นไปด้วยความสิเน่หา เพราะเทพอสูรหนุ่มถ่ายทอดพลังเยียวยาเข้าไปในตัวฮาธอสโดยตรง เพื่อกระตุ้นยาถอนพิษของไคมีร่าให้ออกฤทธิ์เร็วและแร่งขึ้นอีก รวมถึงบรรเทาความเจ็บปวดในหัวเทพคนสวนอีกด้วย

ทว่าถึงแม้อาการเจ็บทั้งหลายจะจางหายไป เทพรับใช้ก็ยังบิดกายตะครั่นตะครอจากพลังที่ตัดกันไปมาในตัวเขา ความรู้สึกที่มิใช่ผลจากอาการบาดเจ็บทำให้หัวใจเขาวาบหวิวทุกคราวเมื่อไคซัสจูบ ร่างสูงโปร่งแอ่นรับสัมผัสจากมือใหญ่ที่ประทับมอบพลังชีวิตให้ ดวงตาหลับพริ้มรับรู้ถึงริมฝีปากหนาที่เริ่มเลาะเล็มไปทั่วใบหน้า สองแขนเลื่อนขึ้นโอบรอบบ่าคนตัวใหญ่ราวกับจะเหนี่ยวรั้งตัวเองไว้ ร่างกายส่วนล่างเสียดสีกับท่อนขาแกร่งคล้ายกำลังปรนเปรอความสุขให้ตนเอง แต่ไคซัสรู้...ฮาธอสทำไปโดยไม่รู้สึกตัว...และเป็นเขาที่ต้องกดฟันทนจนกว่าจะจบ...

ในที่สุดยาถอนพิษของไคมีร่าก็ออกฤทธิ์ถึงขีดสุด มันทำให้ฮาธอสปวดมวนในท้องอีกครั้ง ก่อนลมปราณจะตีขึ้นอย่างกะทันหัน เทพหนุ่มสะบัดหน้าจากคนตัวใหญ่หันไปข้าง ๆ แล้วเลือดสีดำก็กระอักออกทางปากของเขา ไคซัสเอาชามมารองรับไว้และลูบหลังเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายสำรอกเลือดเสียให้หมด

“อย่างนั้นแหละ ทำต่อไป ฮาธอส” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยปลอบอย่างอ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อว่าเทพอสูรอย่างเขาจะทำได้ ร่างสูงใหญ่ก้มลงจูบหน้าผากเมื่อเทพคนสวนอาเจียนเสร็จแล้ว “เรียบร้อย เจ้าจะไม่เป็นไร ข้ารับรอง เดี๋ยวจะไปตามไคมีร่ากับอัลวินมาช่วยทำความสะอาดให้นะ”

แน่นอนว่าประโยคยาว ๆ พวกนั้นต้องไม่เข้าหัวฮาธอสแม้แต่น้อย สิ่งที่เขารับรู้ได้มีเพียงร่างสูงใหญ่ที่ผละจากตัวเองและกำลังจะไปที่ไหนสักแห่ง จิตใจอันอ่อนไหวทำให้เขากลัวการอยู่เพียงลำพัง มือเรียวจึงยื่นออกไปฉวยปลายนิ้วอีกฝ่ายไว้ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย

ไคซัสหมุนตัวกลับมาด้วยคิดว่าฮาธอสอาจต้องการอะไรเพิ่มเติม แต่ต้องชะงักเมื่อพบกับดวงตาสีน้ำเงินที่เศร้าสร้อยระคนสิ้นหวังราวกับเด็กที่กำลังจะถูกทิ้ง แววตาแบบเดียวกับที่เขาเคยเห็นจากไคมีร่าตอนจะขึ้นสวรรค์ ตอนนั้นเขาตัดใจทิ้งเธอมาเพื่องานสำคัญ แต่ตอนนี้สถานการณ์ต่างกันคนที่รักถูกลูกหลงจากแผนร้าย ได้รับบาดเจ็บ และกำลังต้องการเขา มีหรือที่มหาเทพสงครามจะสามารถละเลยไปได้

อสูรกายสีแดงเอนลงข้างกายเทพคนสวน มือตวัดผ้าห่มที่หยิบจากปลายเตียงคลุมตัวพวกเขาพร้อมกัน ก่อนไคซัสจะดึงตัวฮาธอสมาแอบอิงอกอุ่น...

“ข้าอยู่แล้ว ฮาธอส จะไม่ไปไหนทั้งนั้นด้วย ข้าสัญญา”

มหาเทพสงครามตอกย้ำคำสัญญาของตนด้วยริมฝีปากหนาที่ประทับกลางกระหม่อมของคนผมทอง ความอบอุ่นที่ส่งผ่านการจูบนั้นคลายความกังวลใจให้ฮาธอสได้อย่างไม่น่าเชื่อ เทพหนุ่มยิ้มบางและซุกตัวกับแผ่นอกแกร่งของคนตรงหน้า ฝากชีวิตไว้ในการดูแลของเทพอสูรหนุ่ม ก่อนความง่วงจะโน้มนำเขาสู่ห้วงนิทรา

---------------

สุริยันฉายแสงผ่านรอยแยกของผ้าม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนของจ้าวตำหนักพาเทร่า เตือนให้รู้ถึงยามเช้าที่หมุนเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ไคซัสนอนตะแคงข้างกกกอดฮาธอสเหมือนกับแม่ไก่กกลูกน้อย สายตาทอดมองแสงตะวันอย่างไม่ชอบใจนัก เพราะมันหมายความว่าเขาจะต้องผละจากเทพที่น่าสงสารตนนี้ในอีกไม่ช้า...และดูเหมือนจะมาถึงเร็วกว่าที่คาดด้วย

“เรียนมหาเทพสงคราม ขุนพลเทพอันดับห้า เซย์เรียโน่ ขอพบเจ้าค่ะ” เสียงเทพรับใช้หญิงนางหนึ่งดังตามเสียงเคาะประตูสามครั้งเข้ามาในห้อง

ไคซัสรับรู้คำบอกเล่านั้นด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย พลังหยั่งรู้ที่ผูกไว้กับตำหนักเตือนให้เขารู้ว่าเด็กคนนั้นมาถึงตั้งแต่ตอนรุ่งสางแล้ว และรออยู่ในลานฝึกซ้อมของตำหนักชั้นนอกมาโดยตลอด แต่การที่เพิ่งให้คนมาแจ้งให้ทราบตอนนี้แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายยังมีมารยาทพอไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้าบ้าน อย่างน้อย ๆ ก็มีคนสอนเรื่องนี้ให้เขาบ้างล่ะนะ

“ให้เขาไปรอที่ห้องทำงานของข้า” มหาเทพสงครามบอกไปด้วยเสียงที่ขยายด้วยเวทมนต์ แล้วหันกลับมามองเทพที่หลับเหมือนคิวปิดตัวน้อย ๆ ในอ้อมแขน ฮาธอสไข้ลดแล้ว สีหน้าก็ดูสงบ และไม่แสดงอาการเจ็บปวดให้เห็นอีกเลย ท่าทางการถอนพิษเมื่อคืนนี้กับเวทหลับใหลที่เขาร่ายตอนจูบกระหม่อมเจ้าตัวจะได้ผลดี สิ่งเดียวที่ต้องลุ้นกันหลังจากนี้คือ ฮาธอสจะจดจำเรื่องเมื่อคืนนี้ได้หรือไม่

...และไม่ว่าจะจำได้...หรือไม่ได้ เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป

มหาเทพสงครามจับจ้องใบหน้าฮาธอสอย่างเนิ่นนาน ด้วยความรู้สึกไม่อยากจากไปไหน แต่การประวิงเวลาต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะฝ่ายเรมันต์คงจะเริ่มเคลื่อนไหวในอีกไม่ช้า คิดแบบนั้นเขาก็ก้มลงหอมแก้มลาคนที่กำลังหลับแล้วขยับตัวออกมาอย่างระมัดระวังที่สุด หลังจากห่มผ้าให้เทพหนุ่มเรียบร้อยแล้ว ไคซัสก็ไปจัดการตัวเองในห้องน้ำก่อนกลับออกมาชุดทะมัดทะแมงพร้อมสำหรับการพูดคุย

แต่เมื่อมหาเทพสงครามเปิดประตูหน้าห้องออกไปก็พบไคมีร่า อัลล์ กับเทพรับใช้ฝ่ายซิมโฟเนียอาเรียสองสามตนรออยู่ หนึ่งในพวกนางคงเป็นผู้แจ้งเรื่องเซย์เรียโน่ ทั้งหมดมาล้อมพวกเขาทันทีที่ก้าวออกมา สีหน้าแต่ละคนเป็นห่วงอย่างยิ่ง พวกเธอคงจะมารอผลการรักษาฮาธอส

“มหาเทพไคซัส...” เป็นอัลล์ที่เอ่ยเรียกเขา

“เพื่อนของเจ้าปลอดภัยแล้ว ตอนนี้กำลังหลับอยู่ แต่ยังต้องรักษาตัวต่อ เพราะพิษของแมลงไสยเวทมีผลข้างเคียงเสมอ ไคมีร่า...”

“ข้าจะสานต่อเอง” เด็กสาวตอบเมื่อพี่ชายหันมาหาตน ดวงตาสีคริมสันโรสจับจ้องพี่ชายนิ่ง “ท่านไม่เป็นไรนะ พักผ่อนแล้วหรือยัง”

“แค่เหนื่อยนิดหน่อยแล้วพักผ่อนมาพอสมควรแล้ว ถ้ายังไงข้าจะลงไปพบแขกก่อน หากเจ้าพบความผิดปกติอะไรจากฮาธอสให้มาบอกข้าทันที ขอตัวล่ะนะ” ไคซัสตัดบทโดยไม่ลืมกำชับเรื่องสำคัญกับน้องสาวไว้ด้วย แม้จะไม่ได้เจาะจงถึงความผิดปกติที่อยากให้จับตา แต่เขาก็เชื่อว่าไคมีร่าเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เพราะเธอเป็นผู้ตรวจฮาธอสคนแรก

มหาเทพสงครามรุดลงบันไดอย่างรวดเร็ว ร่างกายสูงใหญ่ของเขาเคลื่อนไหวด้วยความคล่องแคล้วจนน่าตกใจ ไม่นานเขาก็มาถึงห้องทำงานส่วนตัวบนชั้นสอง ที่นั่นเซย์เรียโน่ในชุดจีนแบบผสมผสานตะวันตกสีขาวทั้งตัวนั่งรออยู่แล้ว เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นทันทีที่เจ้าบ้านก้าวเข้าไป นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นไม่มีแววล้อเล่นสักนิด

“ขอบคุณที่ให้เข้าพบ ข้าทราบเรื่องทั้งหมดจากจอมเทพีเรเทเชียแล้ว” สุ้มเสียงเล็กแจ้งเหตุแห่งการมาเยือนของตนให้ทราบ ขณะไคซัสไปประจำที่นั่งหลังโต๊ะทำงาน ตรงข้ามกับแขกวัยเยาว์ของเขา ร่างเล็กได้รับอนุญาตให้นั่งลงเมื่อมหาเทพสงครามผายมือเชิญ

“แล้วอย่างไร” มหาเทพสงครามไขว้ขาข้างหนึ่งและประสานมือกันบนตักอย่างสงวนท่าที มีเพียงดวงตาที่มองคู่สนทนาอย่างใคร่รู้

“ข้ายอมรับว่าข้าเป็นคนแนะนำให้จอมเทพีเรเทเชียมาขอตัวฮาธอสคืนจากท่าน เพราะข้าเห็นพลังที่แท้จริงของเขาแล้ว และคิดว่าเขาจะปกป้องตำหนักซิมโฟเนียอาเรียยามเกิดเหตุฉุกเฉินได้” เซย์เรียโน่ตอบ สีหน้าและแววตาจริงจัง เพราะหากเขาพิสูจน์ไม่ได้ว่าตัวเองบริสุทธิ์ใจก็จะถูกไคซัสหมายหัวตลอดชาติแน่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
« ตอบ #49 เมื่อ: 31-08-2013 23:12:26 »





Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
«ตอบ #50 เมื่อ31-08-2013 23:17:20 »

“เมื่อวานหลังจอมเทพีมาบอกว่าฮาธอสกับนาซิลลากลับมาเยี่ยมตำหนักและยอมรับข้อเสนอของข้า ข้าวางแผนให้จอมเทพีล่อเด็กสองคนนั้นไปที่ตลาดแก้ว เพื่อถ่วงเวลาให้จอมเทพีมาคุยกับมหาเทพที่นี่ ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่รู้เห็นด้วย” ขุนพลเทพอันดับห้าจ้องตาไคซัสนั่ง ยืนยันความจริงด้วยแววตาของตน

“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเป็นหนึ่งในคนที่เคยป่วนข้าจนเกือบเสียชื่อ” ไคซัสถามอย่างมีอารมณ์และหมายความตามนั้นด้วย เจ้าเด็กนี่เคยแกล้งลองดีกับเขามาหนหนึ่งแล้ว มีหรือที่จะไม่ทำอีกหากมีโอกาส

“ข้าไม่ปฏิเสธเรื่องนั้น ยอมรับด้วยว่าตัวเองนิสัยไม่ดี” มหาเทพสงครามคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินแบบนั้น ยอมรับแบบหน้าด้าน ๆ เลยหรือ? “แต่ข้าก็ขุนพลเทพที่มีกรอบกฎระเบียบล้อมอยู่นะ การสร้างความร้าวฉานระหว่างสองตำหนักโดยไม่มีเหตุอันควรถือเป็นความผิดร้ายแรงของขุนพลเทพ เพราะงานหลักของพวกเราอยู่นอกแดนสวรรค์ แม้ว่าบางครั้งพวกเราจะแสดงน้ำใจด้วยการแนะนำวิธีการรักษาความปลอดภัยภายในก็เถอะ”

“เจ้ากำลังบอกข้าว่าไม่รู้เห็นเรื่องนี้หรือ” ร่างสูงใหญ่เปลี่ยนท่าไปเท้าแขนกับโต๊ะ เขาไม่เชื่อหรอกว่ากฎระเบียบของสวรรค์จะมัดเทพมังกรไฟจอมพยศตนนี้อยู่หมัด ขนาดฟาเบียนยังเกรง กฎสวรรค์จะเหลือหรือ?

“แน่นอน!” เซย์เรียโน่โพล่งแล้วกลอกตาอย่างรู้ว่าคู่สนทนาคิดอะไรอยู่ “ฟังนะ หลังจากฮาธอสกับนาซิลลาออกจากซิมโฟเนียอาเรียแล้ว ข้าก็ให้กำลังใจจอมเทพีเรเทเชียอีกนิดหน่อยแล้วไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักมหาเทพแสงสว่างต่อ เขากับข้าอยู่ด้วยกันตอนคนของจอมเทพีไปบอกเรื่องพวกฮาธอส และเขาก็สั่งให้ข้ามาที่นี่ จะให้เขามาเป็นพยานก็ได้นะ”

“ข้าจะสอบถามแน่นอน เซย์เรียโน่” ไคซัสตอบอย่างสงบเช่นเดิม “คำถามต่อไป ทำไมถึงต้องกันพวกฮาธอสออกไปด้วย”

“เพราะข้าเห็นว่าพวกท่านสองคนควรจะคุยกันเป็นการส่วนตัวก่อนน่ะสิ ข้าไม่รู้เรื่องระหว่างสองตำหนักหรอกนะ แต่การที่จอมเทพีให้ยอมเทพรับใช้มาที่ตำหนักนี้ได้ แสดงว่าเป็นมิตรกันพอสมควร ตามมารยาทก็ควรจะคุยกันตรง ๆ ก่อนถูกไหมล่ะ” เซย์เรียโน่ถามกลับราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ควรจะเกิดขึ้น แต่ไคซัสกลับหลุบตาลงอย่างไม่เห็นด้วยนัก เพราะพาเทร่ากับซิมโฟเนียอาเรียมิใช่มิตรอย่างแท้จริง “ข้าถึงได้ตกใจที่สองคนนั้นถูกโจมตีจากแผนการของข้า ทั้งที่ข้าไม่ได้ต้องการให้ใครเจ็บตัวเลย แต่ข้าไม่ตกใจหรอกนะ ที่รู้ว่าคนทำเป็นหัวหน้าจอมปราชญ์ อย่าถามว่ารู้ได้ยังไง ข้ามีเส้นสายส่วนตัว”

“...ก็พอจะเดาออก” ไคซัสพูดกลาง ๆ สมองประติดประต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว “ถ้าเรื่องที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง คนของเรมันต์อาจล่วงรู้หรือแผนการของเจ้า หรือสะกดรอยตามพวกฮาธอสอยู่แล้วและชิงลงมือตอนที่กำลังกลับพาเทร่า และเป้าหมายตอนลงมือก็น่าจะเป็นนาซิลลา แต่ทุกอย่างเปลี่ยนเมื่อฝ่ายนั้นได้ตัวฮาธอสไปแทน เจ้าแก่นั่นกัดเขาไม่ปล่อยแน่”

“อืม”

มหาเทพสงครามนิ่งงันคล้ายเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ เมื่อได้ยินเสียงครางอย่างเห็นด้วยจากเทพที่นั่งตรงหน้า ดวงตาสีส้มตวัดมองเด็กหนุ่มที่มีอาการเหมือนตกในห้วงภวังค์ อากัปกิริยานั้นเหมือนกับเขาก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวรู้อะไรบางอย่างเหมือนกับเขา

“เซย์เรียโน่ เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับฮาธอสบ้างไหม” ไคซัสตัดสินใจทำตัวอย่างคนไม่รู้อะไรเลยและถามออกไป

“หืม?” เซย์เรียโน่สะดุ้งอย่างคนเพิ่งรู้ตัว ดวงตาแป๋วแหววที่มองมาอย่างงง ๆ นั่นคงจะดูน่ารักกว่านี้ถ้าไม่ได้ประดับบนหน้าของเด็กเจ้าเล่ห์นี่ หลังใช้เวลาทบทวนถึงคำถามเล็กน้อย เขาก็ตอบ “ข้ารู้ไม่มากหรอก”

“เซย์เรียโน่ หัวหน้าจอมปราชญ์พูดอย่างกับข้า อย่างบางที่น่าตกใจมากด้วย ข้าต้องสะสางเรื่องนี้ต่อหน้าฟาเบียน ในฐานะของมหาเทพสงครามและเจ้านายของเทพรับใช้ในตำหนักนี้ ข้าจำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง เพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์”

ไคซัสกล่าวด้วยความจริงจังที่แสดงออกทั้งสีหน้าและท่าทาง ซึ่งดูเหมือนจะทรงพลังพอโน้มนำความคิดของเทพมังกรจอมพยศให้คล้อยตามได้ เจ้าตัวกลอกตาครุ่นคิดแวบหนึ่ง ก่อนขยับเก้าอี้มานั่งชิดโต๊ะทำงานของไคซัสมากขึ้นแล้วพูดออกมาว่า

“หยิบบันทึกปกดำที่ข้าให้มาสิ ข้าจะเล่าสิ่งที่รู้ให้ฟัง”

-----------------

เซย์เรียโน่กลับออกจากห้องทำงานของไคซัสในอีกสองสามชั่วโมงหลังจากนั้น ตอนแรกท่าทางของเขาก็ดูสงบและจริงจังเหมือนกันตอนเข้ามา แต่พอพ้นจากทางเดินชั้นสองเท่านั้นแหละ ดวงตาสีแดงฉานก็ฉายแววร้อนแรงอันเกิดจากความดื้อรั้นและกราดเกรี้ยวอีกครั้ง เด็กหนุ่มเดินย้ำเท้าตึงตังกลับออกไปโดยไม่สนใจเลยว่าใครจะมองอยู่บ้าง

‘เกือบไปแล้ว’ เด็กหนุ่มครุ่นคิดในใจระหว่างที่รุดออกจากห้องโถงชั้นล่างสุด สองมือกำหมัดแน่นจนรู้สึกเจ็บ ‘ไอ้เจ้าแก่นั่นช่างน่าโมโหจริง ๆ จุ้นไม่เข้าเรื่อง! จะอยู่เฉย ๆ ทำงานของตัวเองไปไม่เป็นหรือไง!’

แล้วคำสบถอย่างหยาบคายอีกมากมายก็แล่นเข้ามาในหัวเขา ซึ่งทั้งหมดเด็กหนุ่มมอบให้กับจอมปราชญ์ทั้งแปดซึ่งล้วนแต่มีอายุมากกว่าเขาหลายพันปี คิดดูแล้วกันว่าเขาตั้งใจจะช่วยเหลือจอมเทพีที่รู้จักกันมานาน แต่กลับผิดแผน เพราะการกระทำของพวกเรมันต์จนตัวเองเกือบถูกลูกหลงไปด้วย ไม่เพียงแค่นั้นยังต้องผิดใจกับจอมเทพีเรเทเชียและยังต้องมาแก้ต่างต่อหน้าเทพอสูรที่ดุยิ่งกว่าราชสีห์ ใครเจอแบบนี้ก็ต้องโมโหอย่างเขา

ขุนพลเทพอันดับห้าเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาถึงข้างนอกตำหนัก ซึ่งมีรถม้าสีดำคันใหญ่เทียมอาญาศึกสีนิลกาฬสี่ตัวจอดรออยู่แล้ว เทพรับใช้ในชุดจีนกี่เผ้าเปิดประตูให้เขาเข้าไปข้างใน แต่เมื่อนั่งลงที่เบาะซึ่งหันหน้าไปทางคนขับรถม้าและเทพรับใช้ปิดประตูเรียบร้อยแล้ว เซย์เรียโน่ก็มองชายชุดขาวที่เขาเคยพบในมหาตำหนักเทพสวรรค์นั่งรออยู่ในเงา

“เสร็จแล้วหรือขอรับ”

“อืม เรียบร้อยดี แต่เหนื่อยเป็นบ้า มหาเทพสงครามเวลาโกรธนี่น่ากลัวชะมัด” เซย์เรียโน่บ่นอย่างหัวเสีย

“นั่นเพราะท่านเคยทำให้เขาไม่พอใจมาก่อนมิใช่หรือขอรับ” ชายชุดขาวถามแล้วก็กลืนน้ำลายเมื่อดวงตาสีแดงกราดเกรี้ยวตวัดมาหาตน “ขออภัยขอรับ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิท่าน”

“ช่างมันเถอะ ยังดีหน่อยที่แผนของข้ายังไม่ล่มจมเสียหมด แต่ก็เลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาใหญ่ไม่ได้แล้วด้วย” เซย์เรียโน่บ่นพลางเบี่ยงหน้ามองตำหนักพาเทร่าที่กำลังเคลื่อนผ่านไปเมื่อรถม้าออกวิ่ง

ในสายตาของคนฟัง คำพูดของอีกฝ่ายออกจะเกินจริงไปเสียหน่อย เพราะหากเซย์เรียโน่อยากเลี่ยง ‘ปัญหาใหญ่’ ก็สามารถกระทำได้ เพียงแต่เจ้าตัวเลือกที่จะไม่ทำด้วยเหตุผลบางอย่าง

“ท่านผู้นั้นต้องไม่พอใจมากแน่ เขาไว้ใจท่านมากนะขอรับ” ชายชุดขาวว่า

เสียงหัวเราะใจลำคออย่างเย็นชาดังขึ้น ขับเน้นบรรยากาศภายในรถม้าให้เย็นยะเยือกยิ่งขึ้นอีก ชายชุดขาวถึงกับหนาวสันหลังและกลืนน้ำลายอย่างลำบาก เมื่อเห็นรอยยิ้มน่ารักแต่เปี่ยมความอำมหิตบนใบหน้าพริ้มเพราของเซย์เรียโน่ แววตาเย็นชาไหวระริกอย่างขำขัน

“เชื่อใจหรือ ถ้าเชื่อใจจริงจะส่งเจ้ามาจับตาการทำงานข้ารึ” สุ้มเสียงเล็กเอ่ยแดกดันทำให้คนฟังชะงักไปอีกครา ส่วนคนพูดนั้นเอนกายอย่างสบายหลังได้ที่ระบายอารมณ์โกรธเสียที “เอาเถอะ จะจับตาหรือไม่ ข้าไม่สนใจ เมื่อเจ้ากลับไปแล้วก็บอกเจ้านั่นด้วยแล้วกันว่า มหาเทพสงครามกับเทพที่ชื่อ ‘ฮาธอส’ จะเป็นนำสิ่งที่พวกเราตามหามาให้เอง”

----------------

กว่าฮาธอสจะได้สติก็อีกหลายชั่วโมงหลังจากนั้น เทพคนสวนลืมตาขึ้นมองรอบข้างอย่างมึนงง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าห้องกว้างใหญ่ ตกแต่งด้วยของหรูหรา และเต็มไปด้วยหนังสือนี้ไม่ใช่ห้องพักของเขา แต่เป็นห้องของจ้าวตำหนักพาเทร่า ที่สำคัญข้างกายของเขา...ห่างไปไม่กี่คืบยังมีน้องสาวของเขานั่งอ่านหนังสือเฝ้าอยู่อีกต่างหาก

“ท่านหญิง...” หลังลุกพรวดพราดพร้อมร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความตกใจ ร่างสูงโปร่งก็แข็งค้างด้วยอาการเจ็บระบมที่สำแดงฤทธิ์พร้อมกัน โดยเฉพาะอาการปวดศีรษะที่ทำให้เขาต้องเอนลงไปนอนที่เดิม “โอย...”

“อย่าลุกพรวดพราดแบบนั้นสิ เดี๋ยวก็เจ็บหนักอีกหรอก” ไคมีร่าหันมาดุอย่างไม่จริงจังนัก ดูจะปลง ๆ เสียมากกว่า คงเพราะอยู่กับพวกผู้ชายที่ชอบทำอะไรเกินตัวมานาน เด็กสาวจึงชินชาเสียแล้ว “รู้สึกยังไงบ้างล่ะ”

ฮาธอสฟังคำถามแล้วก็นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนลองขยับตัวเบา ๆ ตอนนี้เขาได้รับการเช็ดตัวจนสะอาดแล้วและอยู่ในชุดนอนเนื้อนุ่มสบายตัวสีขาวสะอ้าน บาดแผลถูกแมลงไสยเวทต่อยได้รับการรักษาและพันแผลอย่างเรียบร้อย แม้แต่เตียงนอนของเขา...ของไคซัสยังได้รับการทำความสะอาดอย่างดี กระนั้น...

“...รู้สึก...ระบมขอรับ” ฮาธอสตอบจากใจจริง หลับตาลงจับจุดที่เจ็บท่ามกลางอาการเจ็บทั้งตัว “โดยเฉพาะท้ายทอย ตรงมือขวา แล้วก็ท้อง”

“อืม เจ้าถูกแมลงไสยเวทต่อยที่ท้ายทอยกับมือขวาน่ะ ส่วนท้องก็เพราะอวัยวะถูกพิษทำให้เสียหาย ช่วงนี้เจ้าคงจะมีปัญหาเรื่องปวดท้องบ่อย ๆ สักหน่อย แต่อีกไม่นานก็จะหายดี แต่แผลถูกต่อยอีกสองสามวันก็หายแล้ว ตอนนี้กินข้าวกินยาสักหน่อยดีกว่าจะได้หายเจ็บ” ไคมีร่าว่าพลางหันไปหยิบถ้วยต้มที่เตรียมไว้มาอุ่นด้วยพลังของตนก่อนจะป้อนชายหนุ่มทีละช้อนอย่างเอาใจใส่

ฮาธอสเหลือบตามองเด็กสาวที่กำลังดูแลตนด้วยความรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย เธอก็เหมือนกับพี่ชายของตนที่แตกต่างจากอสูรร้ายที่ผู้คนเล่าลือ แรกพบเธออาจจะเอาแต่ใจและแง่งอนตามประสาเด็กไปบ้าง แต่เมื่อเป็นเรื่องงานหรือเรื่องสำคัญ ไคมีร่าก็สลัดคราบนั้นทิ้งไปแล้วทำงานของตนด้วยความตั้งใจ อย่างตอนนี้...ทั้งที่เคยต่อว่าเทพตั้งมากมาย แต่กลับดูแลเอาใจใส่เขาราวกับมีฐานะเสมอกันก็ไม่ปาน

หลังจากป้อนข้าวต้มเท่าที่อีกฝ่ายรับประทานได้และป้อนยาให้แล้ว ไม่นานยาก็ออกฤทธิ์ทำให้ความเจ็บปวดในตัวฮาธอสหายไปเกือบครึ่ง เทพคนสวนถอนใจเบา ๆ อย่างสบายตัว

“ดีขึ้นแล้วสินะ” ไคมีร่าเอียงคอมองด้วยรอยยิ้มบาง แววตาอ่อนโยนมากทีเดียว

“ขอรับ ขอบพระคุณมาก” ฮาธอสตอบด้วยรอยยิ้มเดียวกัน

“ถ้าจะขอบคุณก็ขอบคุณไคซัสเถอะ ท่านพี่เป็นคนพาพวกอัลล์ไปช่วยเจ้ามาจากวิมานของหัวหน้าจอมปราชญ์ แล้วก็เป็นคนถอนพิษให้เจ้าด้วย ถึงข้าจะเป็นคนปรุงยาให้ก็เถอะ”

ฮาธอสฟังที่ไคมีร่าพูดแล้วก็หลับตาลงรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ แต่สิ่งที่เขานึกออกกลับมีเพียงใบหน้าของเรมันต์กับพรรคพวกและความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายมอบให้ตอนพยายามเจาะเอาความลับของไคซัสจากสมองของเขา สิ่งที่เหล่าจอมปราชญ์กระทำกับเขานั้น ช่างโหดร้ายราวกับไม่ใช่ผู้ทรงภูมิ...ราวกับไม่ใช่เทพแห่งสวรรค์

“นึกไม่ออกหรือ” ไคมีร่าเอ่ยถามหลังเห็นฮาธอสก่ายหน้าผากคิดอยู่นาน

ร่างสูงโปร่งสะดุ้งน้อย ๆ หันมองอีกฝ่ายอย่างตกใจแล้วก็ส่ายหัว “ไม่เลยขอรับ ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปที่วิมานหัวหน้าจอมปราชญ์ได้ยังไง นึกออกแค่ตอนอยู่ที่นั่นสั้น ๆ เท่านั้น...” ยิ่งพูด เสียงก็ยิ่งแผ่วอย่างสิ้นหวัง

มีเสียงถอนใจตอบมาจากเด็กสาวข้างกาย เธอยื่นมือมาลูบหน้าผากเขาเบา ๆ สัมผัสนั้นนุ่มนวลและอ่อนโยนดุจมารดา...สัมผัสที่เขาไม่เคยได้รับรู้มาก่อน

“ข้าไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าง แต่จากสภาพที่ข้าตรวจดู สิ่งที่พวกนั้นทำกับเจ้าจะต้องเลวร้ายมากทีเดียว ถ้าลืมมันได้ข้าก็อยากให้ลืมนะ” ไคมีร่าบอกทั้งที่รู้ดีว่าความทรงจำนั้นอาจหลอกหลอนเทพผู้บริสุทธิ์ตนนี้ไปอีกนานทีเดียว

ฮาธอสปล่อยตัวปล่อยใจครั้งแรกด้วยการยอมรับสัมผัสจากมือของไคมีร่าโดยไม่บ่น เขาอยากจดจำความรู้สึกนี้ไว้ในใจว่าครั้งหนึ่งน้องสาวของมเทพสงครามก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน แต่เมื่อคิดถึงผู้เป็นพี่ของนาง เทพคนสวนจึงเพิ่งสังเกตว่าเขาไม่ได้อยู่ด้วย ความผิดหวังระคนเสียใจประหลาดพลันก่อตัวในใจเขา

“...ขอบพระคุณขอรับ” ชายหนุ่มตอบตามมารยาทก่อนจะถามสิ่งที่อยากรู้ที่สุด “มหาเทพไคซัสล่ะขอรับ”

“อ๋อ มีแขกสำคัญมาขอพบน่ะ ตอนนี้อยู่ที่ห้องทำงาน” ไคมีร่าตอบตามตรง เธอต้องดูแลฮาธอสตั้งแต่ตอนที่ไคซัสออกไปจึงไม่ทราบว่าเซย์เรียโน่กลับไปได้สักพักแล้ว

เทพคนสวนได้ยินคำตอบก็มีสีหน้าผิดหวัง ความจริงเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่อยู่นั้นสามารถยอมรับได้ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกหดหู่และห่อเหี่ยวใจขนาดนี้ ความรู้สึกเหมือนถูกมหาเทพผู้สูงส่งผิดสัญญาที่สำคัญมากอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่เขานึกไม่ออกเลยว่าสัญญานั้นคืออะไร...และให้ไว้ตอนไหน

เสียงเปิดประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบและสัมผัสอันอ่อนโยนจากไคมีร่า เด็กสาวหยุดมือแล้วหันไปมองผ้าม่านขนแกะสีน้ำตาลอ่อนปักลายภูเขาสีน้ำตาลแก่ที่กางปิดไว้ ฮาธอสก็เอียงหน้าดูเหมือนกัน แต่เพราะตัวท่านหญิงเทพอสูรบังอยู่จึงมองไม่เห็น กระนั้น...เมื่อผ้าม่านถูกแหวกโดยเทพที่มีโครงร่างกายใหญ่โตสีแดงนั่น เขาก็จดจำได้ทันทีว่าคนมาใหม่เป็นใคร

“คุยธุระเสร็จแล้วหรือ ไคซัส” นามที่ไคมีร่าเอ่ยมาราวกับหมุดที่ย้ำลงมาในความเข้าใจของฮาธอส คนที่เขาอยากพบหน้าที่สุดมาแล้ว

“อืม เมื่อกี้อัลวินมาบอกว่านาซิลลากินอาหารได้ปกติ บ่นเรื่องยาขมนิดหน่อย”

“งั้นรึ บ่นได้แบบนั้นอีกสองสามวันก็คงจะหายแล้วล่ะ ยังไงก็บาดเจ็บน้อยกว่าฮาธอสตั้งเยอะนี่” ไคมีร่าหัวเราะชอบใจ “อ๋อ เทพรับใช้คนโปรดของท่านตื่นแล้วนะ...อา คงไม่ต้องบอกแล้วล่ะมั้ง”

น้ำเสียงระรื่นของเด็กสาวแทบไม่กระทบโสตประสาทของมหาเทพสงครามเลยสักนิด ไคซัสกับฮาธอสจ้องตากันและกันประหนึ่งโลกทั้งใบมีพวกเขาแค่สองคน ดวงตาต่างสีสันทั้งสองคู่เปี่ยมด้วยมนต์ขลังดึงดูดกันและกันไว้ โดยเฉพาะฮาธอสที่แทบจะส่งสายตาวิงวอนให้อีกฝ่ายเข้ามาหา โดยไม่สนใจอีกแล้วว่าจะมีคนอื่นอยู่ในห้องส่วนหรือไม่ ความสับสนกับความหวั่นไหวในตัวเขาต้องการใครสักคนมาจัดการ และหัวใจของเขาก็บอกว่ามีแค่มหาเทพสงครามผู้นี้เท่านั้นที่ทำได้ ไคมีร่ามองพี่ชายทีคนสวนทีและคิดว่าตัวเกะกะควรจะหายไปได้แล้ว

“ข้าจะกลับไปพักที่ห้องนะ อย่าทำให้คนป่วยเครียดล่ะ เดี๋ยวอาการจะทรุดอีก” เด็กสาวพอจะเดาได้จากท่าทางของพี่ชายว่าอาจจะมีอะไรในใจ เธอจึงทิ้งท้ายไว้แบบนั้นก่อนกลับออกไป

เมื่อมีเสียงปิดประตูแว่วมาเบา ๆ ไคซัสก็ก้าวมานั่งข้างกายฮาธอสและวางมือกลางอกของเขา ในใจรู้สึกโล่งอกที่เห็นเทพคนสวนได้สติแล้ว สีหน้าก็ดูดีกว่าตอนเขาออกไปเมื่อเช้านี้มาก ถึงจะต้องพักรักษาตัวไปอีกนาน ทว่าเขาจะต้องหายดีอย่างแน่นอน และเพราะอาการทรงตัวค่อนไปในทางที่ดีนี้เองที่ทำให้เขาต้องทำสิ่งที่คิดไว้

“เจ้าจำได้ไหมว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง” ฮาธอสต้องตกใจหลังได้ยินน้ำเสียงเย็นชาชองไคซัส ดวงตาที่แลดูอ่อนโยนจนถึงเมื่อครู่กลับกลายเป็นความเยือกเย็น

“ข้า...” เทพคนสวนอึกอัก “...ข้าจำไม่ได้เลยขอรับ”

พริบตาหลังได้ยินคำตอบ ไคซัสได้แสดงสีหน้าเสียดายเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนกลับไปเป็นความเย็นชาและเมินเฉยอีกครั้ง ฮาธอสมัวแต่ตกใจกับท่าทีที่แปลกไปของอีกฝ่ายจึงไม่ทันสังเกตเห็น

“ข้าจะบอกให้ฟังไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” มหาเทพสงครามทอดสายตามองมา แววตาบ่งชัดว่าไม่ได้ต้องการคำตอบ “เจ้าถูกแมลงไสยเวทต่อยและยังถูกหัวหน้าจอมปราชญ์ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและสูญเสียพลังชีวิตอย่างรวดเร็ว ตอนถอนพิษให้พวกเราต้องช่วยกันถ่ายพลังชีวิตให้กับเจ้า เพื่อพยุงอาการจนกว่าจะถอนพิษเสร็จ แต่รู้ไหม พลังของเจ้าเข้ากับไคมีร่าที่มีพลังของเทพกับอัลวินที่เป็นเพื่อนของเจ้าไม่ได้เลย มันกลับเข้ากับพลังของข้า...”

เทพคนสวนเบิ่งตากว้างด้วยความมึนงงและตกใจอย่างสุดขีด เรื่องนี้จะโทษฮาธอสก็คงมิได้ เพราะชายหนุ่มเพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้เป็นครั้งแรก และที่ผ่านมาก็ไม่เคยถ่ายพลังชีวิตให้กับใครมาก่อน เขาจึงเพิ่งทราบตอนนี้เองว่าอำนาจแห่งชีวาของตนไม่สามารถเข้ากับเทพปกติได้ นัยหนึ่งก็หมายความว่าความลับที่เขาปกปิดไว้ถูกเปิดเผยแล้ว

“ข้า...ข้าน้อย...” ฮาธอสพยายายามจะพูด แต่ลมหายใจขาดห้วงทำให้เขาเอ่ยไม่เป็นคำ สีหน้าตื่นตระหนกราวกับคนที่กำลังจะถูกฆ่า ซึ่งคนที่กำลังทรมานเขาให้ตายทั้งเป็นก็คือ ไคซัส นี่เอง

ถึงแม้ว่ามหาเทพสงครามเห็นสีหน้านี้แล้วยังปั้นหน้านิ่งอยู่ได้ แต่ลึกลงไปหัวใจของเขากำลังร้าวรานราวกับถูกทุบด้วยค้อนที่มองไม่เห็น เขาไม่ได้อยากทำแบบนี้ โดยเฉพาะกับคนที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้อย่างฮาธอส

มันอาจดูเป็นเรื่องตลกที่เทพอสูรอย่างเขาจะหลงรักเทพสักตน แต่ความรู้สึกของเขาก็เป็นของจริงและมันก็งอกเงยทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเทพคนสวน ความอ่อนโยนและความใจดี...ตัวตนที่อีกฝ่ายเป็นเปรียบได้กับที่พักพิงทางใจของเขา ดังนั้นตอนเขาได้เห็นฮาธอสตอนเจ็บในห้องเล็ก ๆ ที่วิมานของเรมันต์ เทพอสูรจึงเจ็บปวดเหมือนถูกมีดคมกริบปักกลางหัวใจ และเจ็บปวดยิ่งกว่าเมื่อต้องแสร้งทำเย็นชาเพื่อให้ได้ความจริง

ทว่าความทุกข์ทรมานของอีกฝ่ายกลับมากมายกว่าที่เขาคาดคิดไว้ จิตใจที่กำลังอ่อนไหวทำให้อีกฝ่ายน้ำตาเอ่อคลอ ซึ่งทันทีที่ไคซัสเห็นเส้นความอดทนก็ขาดผึงอีกครั้ง

“บ้าชะมัด! เจ้าจะทดสอบความอดทนของข้าไปถึงไหน” น้ำเสียงของมหาเทพสงครามมีแต่ความปวดร้าว ร่างใหญ่โน้มลงจูบกลางหน้าผากขาวเนียนก่อน...ประทับพรมไปทั่วใบหน้าคนป่วย แล้วรวบมือคนตัวเล็กกว่ามาแนบอก “ข้าไม่ได้อยากทำร้ายเจ้านะ ดังนั้น...ขอร้องล่ะ...บอกความจริงกับข้ามาเถอะ เจ้ารู้ไหม การรู้เรื่องนี้ด้วยตัวเอง...กับปากคนอื่น มันเจ็บปวดขนาดไหน”

ฮาธอสสดับคำพูดอีกฝ่ายแล้วก็น้ำตาหยด เทพอสูรตนนี้ช่างแสนดีและอ่อนโยนกับเขามาเหลือเกิน...จนชายหนุ่มอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ที่ทำให้อีกฝ่ายต้องพบกับความผิดหวังและปวดร้าวครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่ไคซัส ‘ให้’ ได้ทุกอย่าง ทว่าเขากลับเอาแต่กลัวที่จะเปิดเผยความจริง...ที่อาจทำให้เขาอยู่ในมหานครแห่งฟ้านี้ได้อีก แต่...ในเมื่อมันถูกเปิดเผยไปแล้ว ไม่เช้าก็เร็ว...เขาต้องยอมรับ

“บิดาของข้าน้อยเป็นเทพแห่งความมืดขอรับ” เสียงทุ้มนุ่มที่พร่าสั่นเอ่ยอย่างเนิบช้า ฮาธอสนอนนิ่งในขณะที่ไคซัสค่อย ๆ ถอยมามองใบหน้าที่มีดวงตาฉ่ำน้ำ “ข้าไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน รู้แค่ว่าเขาถูกขับไล่ออกจากสวรรค์และจุติไปนานแล้ว ส่วนมารดาเป็นเทพความรู้ของหอสมุดหลวง นางถูกขับออกไปอยู่แดนร้างที่อยู่ทางเหนือ นอกมหานคร นางให้กำเนิดข้า...กับพี่ชายฝาแฝดอีกคนหนึ่งที่มีรูปลักษณ์แตกต่างจากข้ามาก ข้าคือ ‘แสงสว่าง’ ส่วนพี่ของข้าคือ ‘ความมืด’ แต่ความจริงแล้วทั้งข้าทั้งเขาก็เป็นลูกครึ่งเทพความมืดทั้งคู่”

“หลังให้กำเนิดข้ากับพี่ชายแล้ว ท่านแม่ก็จุติ เพราะสูญเสียพลังมากเกินไป ข้ากับพี่จึงพยายามดิ้นรน เพื่อความอยู่รอดด้วยกันจนกระทั่งถึงช่วงวัยรุ่น พี่ของข้าที่ได้พลังและความสามารถของพ่อมาอย่างเต็มเปี่ยมเริ่มลุแก่อำนาจ เขาบอกว่าการแก้แค้นให้พวกเราคือหนทางที่ถูกต้อง แต่ข้าไม่ชอบการต่อสู้จึงคัดค้าน เราทะเลาะกันแล้วเขาก็ทิ้งข้าไป รวบรวมเทพที่ถูกเนรเทศแล้วตั้งกองโจรขึ้นมาอาละวาดในเขตเหนือ มหาเทพจ้าวสวรรค์ส่งคนมาปราบปรามหลายต่อหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งพี่ของข้าหายตัวไป...”

เทพคนสวนเว้นช่วงสูดลมหายใจ แล้วยิ้มเย้ยหยันกับตัวเองเมื่อคิดถึงประโยคที่จะพูดต่อไป

“ใช่แล้วขอรับ...ข้าน้อยเป็นลูกครึ่งเทพแห่งความมืด ‘เฮสเลน’ คือนามของพี่ชายข้า ข้าได้เลื่อนขั้นเข้ามาอยู่ในมหานครโดยไม่มีใครรู้ความจริงข้อนี้ และข้าก็ปกปิดไว้ก็เพราะอยากอยู่ในมหานครแห่งนี้ต่อไปขอรับ”

“มีใครรู้เรื่องของเจ้าอีกไหม”

“อัลล์ขอรับ เขากับข้าเลื่อนขึ้นมาอยู่ในมหานครพร้อมกัน แต่เขาเพิ่งรู้เรื่องพลังของข้าเมื่อตอนท่านไคมีร่าบุกสวรรค์ขอรับ” พูดแล้ว ฮาธอสก็หลับตา น้ำตาไหลรินเงียบเชียบอย่างคนพร้อมรับชะตากรรม

มหาเทพสงครามฟังเรื่องราวของฮาธอสด้วยความสงสารจับใจ คงไม่มีใครอยากเชื่อว่าเบื้องหลังเทพคนสวนผู้อ่อนโยนและแสนดีจะมีอดีตที่ดำมืดเยี่ยงนี้ แต่เรื่องราวของเขาก็ได้รับการยืนยันแล้ว...จากคำพูด...พลังของเจ้าตัว...และบันทึกปกดำซึ่งเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นถูกบันทึกโดยอดีตขุนพลเทพอันดับห้าตนก่อนหน้าเซย์เรียโน่ คำพูดของเด็กหนุ่มคนนั้นลอยขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง คำพูดที่เป็นเสมือนคำบอกใบ้สำหรับสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด แต่ยังไม่เท่ากับสภาพจิตใจของฮาธอสในตอนนี้

“ขอบใจนะ” คำกล่าวนั้นทำให้เทพคนสวนเบิกตามองมหาเทพสงครามอย่างตกใจ และยิ่งอึ้งเมื่ออีกฝ่ายส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้แล้วโน้มมาจูบซับน้ำตาที่ขมับ “ขอบใจที่ยอมเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง จากนี้ไปขอให้เจ้าพักรักษาตัวที่นี่จนกว่าจะหายดี ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ข้าจะจัดการเอง”

“หมายความว่า...” ฮาธอสกะพริบตาปริบ ๆ สีหน้าคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ท่านไม่โกรธข้าที่ปกปิดเรื่องนี้...ไม่รังเกียจข้าที่เป็นลูกครึ่งเทพความมืด...ไม่รังเกียจ...”

คำพูดต่อไปของเขาถูกหยุดด้วยปลายนิ้วสีแดงที่แตะลงมาอย่างนุ่มนวล ไคซัสส่ายศีรษะอย่างช้า ๆ ปฏิเสธทุกอย่างที่อีกฝ่ายอย่างพูดถึง ริมฝีปากหนาแย้มยิ้มบางด้วยความคิดบางอย่างในหัว

“เจ้ากลัวข้าไหม” ฮาธอสส่ายศีรษะ สีหน้าไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายถามไปเพื่ออะไร

“เจ้าเกลียดความเป็นอสูรของข้าไหม” เทพคนสวนก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง

“งั้นเจ้ารังเกียจ ‘ตัวตน’ ของข้าหรือเปล่า”

“ไม่เลยขอรับ!” ฮาธอสโพล่งออกมา “ข้าจะรังเกียจท่านได้อย่างไร ในเมื่อท่านเป็นคนดี มีน้ำใจ และยุติธรรมต่อพวกเรามาก ข้าเห็นตัวตนที่แท้จริงของท่านมาตลอด ข้าไม่มีวันรังเกียจได้หรอกขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็เหมือนกัน” ไคซัสตอบกลับเกือบจะทันทีที่ฮาธอสพูดจบ ร่างสูงโปร่งเบื้องล่างนั้นนิ่งงัน หัวใจพลันอุ่นวาบยามสบสายตารักใคร่ของอีกฝ่าย “ข้าเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้ามาตลอด แล้วทำไมข้าจะต้องรังเกียจเจ้าด้วยเหตุผลงี่เง่าพรรค์นั้นด้วยล่ะ”

ฮาธอสกะพริบตาปริบ ๆ ราวกับสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ แต่เมื่อเซลล์สมองเริ่มประมวลผลคำพูดของมหาเทพสงคราม ความยินดีก็ล้นปรี่ขึ้นมาจากส่วนลึกปั่นเปาทุกความกังวลให้หายไปจากหัวใจของเขา รอยยิ้มปีติที่สวยงามที่สุดค่อย ๆ ปรากฏบนใบหน้าคมคาย อาการเขินอายที่เกิดตามมาทำให้แก้มขาวเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อย ไคซัสอาจไม่ใช่คนแรกที่รู้เรื่องของเขา แต่เทพหนุ่มก็ดีใจที่สุดที่อีกฝ่ายยอมรับในตัวตนของเขา

“ขอบพระคุณขอรับ มหาเทพไคซัส”

“ขอเปลี่ยนคำขอบคุณเป็นรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วกันนะ” ว่าแล้วไคซัสก็นอบใบหน้าลงจุมพิตฮาธอสด้วยความรักสุดหัวใจ...

จูบที่ได้รับการตอบสนองด้วยความรู้สึกเดียวกัน...

------------------

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
«ตอบ #51 เมื่อ31-08-2013 23:19:32 »

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang มาต่อแล้วครับ >w<

คุณ bulldog17 ฮ่าๆ เพราะแบบนี้แหละฮับ คนข้างล่างถึงไม่ค่อยชอบชาวสวรรค์

คุณ saruttaya อ่า...โลภจังเลย อ่านสองที่เลยอ่ะ >w< แต่เด็กดีนำหน้าเขาไปไกลมากแล้วจริงๆ นั่นแหละ เพราะอัพก่อนจะมาสมัครเล้าซะอีก

อนึ่ง ขอลาไปธุระสักสองสามวันนะครับ

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 11 up 31/08/13
«ตอบ #52 เมื่อ01-09-2013 00:10:46 »

โอ้ เค้าจูบกันๆๆๆ  :mc4:

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 11 up 31/08/13
«ตอบ #53 เมื่อ02-09-2013 15:35:16 »

ที่จริงเทพอสูรกับอาธอสก็มีกำเนิดคล้ายกัน

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 11 up 31/08/13
«ตอบ #54 เมื่อ02-09-2013 19:34:24 »

บทที่ 12 ความ (อ) ยุติธรรมในการไต่ส่วน
- 50% -

‘หัวไม่ได้วาง...หางไม่ได้เว้น...’

ฟาเบียนคิดแบบนั้น เพราะนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาต้องมาเยือนพาเทร่าเพื่อสะสางปัญหาให้กับไคซัส เขาก้าวลงจากรถม้าประจำตำแหน่ง ซึ่งจอดอยู่หน้าประตูทางเข้าปราสาทชั้น หัวหน้าจอมปราชญ์ในชุดสีขาวสื่อถึงความบริสุทธิ์ตามมาสมทบทางด้านหลัง อัลล์กับองครักษ์หกนายที่ทำหน้าที่ต้อนรับแสดงความเคารพผู้สูงศักดิ์พร้อมเพียงกัน

“ไคซัสล่ะ” นั่นคือคำถามแรกของมหาเทพจ้าวสวรรค์หลังไม่เห็นไคซัส แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่เคยให้ความเคารพเขาในฐานะราชาแห่งฟ้าเลย แต่พอเจ้าตัวไม่ออกมาต้อนรับก็อดเสียความรู้สึกมิได้

“ท่านรออยู่ข้างในพ่ะย่ะค่ะ สั่งให้กระหม่อมนำคนออกมาต้อนรับและนำทางท่านจ้าวกับหัวหน้าจอมปราชญ์ไปพบ” อัลล์ตอบด้วยท่าทางอ่อนน้อมเหมือนเช่นเคย แต่น้ำเสียงมีร่องรอยของความห่างเหินจนสัมผัสได้ “มหาเทพไคซัสแจ้งด้วยว่าท่านจ้าวนำผู้ติดตามไปได้คนเดียวเท่านั้น ส่วนท่านหัวหน้าจอมปราชญ์ให้เข้าไปคนเดียว ส่วนที่เหลือให้รออยู่ข้างนอกนี้ ทหารของตำหนักเราจะคอยรับรองเองพ่ะย่ะค่ะ”

“โอหังจริง ๆ มันมีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ท่านจ้าวทิ้งผู้ติดตามไว้ที่นี่!” เรมันต์แสดงอาการไม่พอใจทันที แต่ต้องนิ่งไปเมื่อฟาเบียนยกมือเป็นเชิงห้าม

“ไม่เป็นไร ทำตามที่เขาบอกก็แล้วกัน” มหาเทพจ้าวสวรรค์ตัดสินใจแบบนี้ เพราะรู้ดีว่าไคซัสไม่ชอบให้ใครเข้าไปวุ่นวายในนิวาสสถานของเขา แม้ว่าฟาเบียนจะเคยมาที่นี่บ่อยแล้วก็ตาม แน่นอนว่าเรมันต์ต้องทำตามอย่างไม่เต็มใจนัก

หลังจากมหาเทพจ้าวสวรรค์เรียกผู้ติดตามที่ไว้ใจที่สุดมาแล้ว อัลล์ก็นำทางคนทั้งหมดเข้าไปในปราสาท โดยองครักษ์ทั้งหกคอยขนาบหัวหน้าจอมปราชญ์ไว้ เพื่อป้องกันมิให้หลบหนีและยังป้องกันมิให้ใครเข้ามายุ่งย่ามกับชายชราด้วย เพราะในห้องโถงใหญ่อันเป็นทางผ่านนั้น มีสหายของฮาธอสกับนาซิลลาจำนวนหนึ่งมารอดูหน้าชายชราอยู่แล้ว ฟาเบียนเห็นสายตาของแต่ละคนแล้วก็บอกได้เลยว่า พวกเขาไม่พอใจมาก

“เทพรับใช้นั่นมีคนที่รักเยอะดีนะ อัลวิน” ฟาเบียนเอ่ยในขณะถูกพาเข้าไปในห้องโถงเล็กปลายปีกตะวันออก

“ฮาธอสเป็นที่รักของทุกคนและเขาก็เป็นเพื่อนของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” อัลล์ตอบ

เป็นอีกครั้งที่ราชาแห่งฟ้าขมวดคิ้ว เพราะน้ำเสียงอันแสนเย็นชาของอัลล์ เขาจำไม่เห็นได้เลยว่าอีกฝ่ายเคยเฉยชากับตนขนาดนี้ ทั้งที่สมัยก่อนออกจะกระตือรือร้นและทำหน้าดีใจเหมือนลูกหมาทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ความจงรักภักดีที่เคยมีให้กันนั้นหายไปลงตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ ฟาเบียนคิดพลางเม้มปากอย่างไม่ชอบใจนัก   นายทหารหนุ่มเดินไปบิดเชิงเทียนสามแฉกข้างเตาผิง เพียงครู่ผนังว่างเปล่าข้าง ๆ ก็ยุบลงก่อนเลื่อนไปด้านข้างเผยทางลับที่มีบันไดทอดลงไปด้านล่าง ปกติประตูนี้มิได้เปิดง่าย ๆ เยี่ยงนี้ เพราะถูกอำพรางด้วยเวทมนต์อันแข็งแกร่งที่มีแต่จ้าวตำหนักเท่านั้นที่เปิดได้

“เชิญขอรับ” กล่าวแล้วนายทหารหนุ่มก็นำหน้าเข้าไปก่อน เมื่อทั้งกลุ่มเข้ามาแล้ว ประตูลับก็ปิดด้วยตัวของมันเอง ไฟเย็นสีฟ้าพลันลุกพรึบในกระถางเพลิงบนผนังให้แสงสว่างอย่างเพียงพอ กระนั้น เทพทุกตนยังต้องระมัดระวังในการเดิน เนื่องจากบันไดค่อนข้างสูงชันเอาการ บรรยากาศก็ดูลึกลับและกดดันจนไม่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทบนสวรรค์เลย

ไม่นานทั้งกลุ่มก็ลงมาถึงชั้นล่าง ซึ่งถูกเนรมิตเป็นคุกแบบกรงขังขนาดหกห้อง ด้านในสุดเป็นโถงสำหรับการไต่สวน ทุกตนสามารถเห็นซามีที่ตัวอ่อนปวกเปียกถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนติดผนัง ปิดตาด้วยแถบผ้าสีดำสนิทและอุดปากด้วยสายคาดติดลูกบอลเนื้อนิ่มขนาดเล็กราวกับสัตว์เดรัจฉาน ทำให้ผู้สูงศักดิ์ตกใจไม่น้อย

“นี่มันอะไรกัน ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย” เรมันต์โพล่งออกมาและทำท่าจะวิ่งไปช่วยคนของตนเอง แต่ถูกองครักษ์ของไคซัสแขนจากข้างหลังจนขยับไม่ได้

“ถ้าไม่ทำแบบนี้ พยานปากเอกคนเดียวของข้าก็ฆ่าตัวตายก่อนน่ะสิ” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเย็นชาดังมาจากด้านข้าง ผู้มาเยือนจึงสังเกตเห็นมหาเทพสงครามที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง ดวงตาสีส้มสว่างจับจ้องเรมันต์ด้วยแววตาวาววับราวกับราชสีห์เล็งเหยื่อ “ดีจริงที่ท่านผู้ทรงภูมิยอมมา ข้านึกว่าต้องให้คนไปรับถึงวิมานซะแล้ว”

“ตัวเขาก็ไม่อยากมาหรอก แต่ข้าให้คนไปพามาเอง” ฟาเบียนชี้แจง เนื่องจากไคซัสใช้ป้ายทองอาญาสิทธิ์ช่วยฮาธอสออกมา เขาจึงรู้เรื่องตั้งแต่วันแรกและสั่งให้ทหารหลวงล้อมวิมานหัวหน้าจอมปราชญ์ไว้ ห้ามใครเข้าออกอย่างเด็ดขาดจนกระทั่งวันนี้ แล้วชายหนุ่มก็นึกได้ก่อนมองซ้ายขวาอย่างสงสัย “ว่าแต่เจ้าทุกข์ที่เหลือล่ะ”

“นาซิลลายังเด็กไป ฮาธอสก็ยังไม่หายดี ข้าไม่อยากให้สองคนนั้นลำบากใจจึงไม่ให้ลงมา แต่พวกเขาก็ให้ปากคำในส่วนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว” ไคซัสลุกขึ้นใช้เวทมนต์ย้ายเก้าอี้ไปให้ฟาเบียนนั่ง

“เฮอะ! คำพูดของเทพชั้นต่ำเชื่อได้ที่ไหนกัน โดยเฉพาะเทพผมทองนั่น!” เรมันต์กล่าวอย่างเหยียดหยาม สีหน้าท่าทางบ่งชัดว่าตั้งใจจะโยนความผิดให้กับฮาธอส...อาจรวมถึงซามีที่ไคซัสจับไว้ด้วย

“จะเชื่อหรือไม่นั่นดูเอาเองก็แล้วกัน”

มหาเทพสงครามบอกแค่นั้นแล้วสะบัดมือสร้างฉากมนตรารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงินขนาดใหญ่กลางอากาศ ฟาเบียนเอียงคอด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร แล้วก็ได้คำตอบเมื่อมหาเทพสงครามดีดนิ้ว ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นที่ฮาธอสกับนาซิลลาถูกลอบทำร้ายก็ปรากฏขึ้นฉากนั้นเหมือนจอภาพยนตร์ มันไม่ได้มีแค่ภาพ แต่ยังรวมถึงเสียงที่เทพรับใช้ทั้งสองได้ยินในตอนนั้นด้วย โดยถ่ายทอดจากสายตาของนาซิลลาที่เห็นทุกอย่างเป็นหลัก ไคซัสถึงอาความทรงจำส่วนนี้มาจากเทพรับใช้ทั้งสองเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

เรมันต์ถึงกับอึ้ง นึกไม่ถึงว่ามหาเทพสงครามจะเตรียมการมาถึงขนาดนี้ ขณะฟาเบียนดูรายละเอียดของเหตุการณ์และความไร้เหตุผลทุกอย่างด้วยความตกตะลึง ซึ่งความรู้สึกนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อภาพเหตุการณ์ถูกทำร้ายดับวูบไป แล้วถูกแทนที่ด้วยช่วงเวลาที่ฮาธอสอยู่ในวิมานของเรมันต์ แม้จะเป็นช่วงเวลาอันสั้น แต่เสียงแผดร้องกับภาพที่บิดเบี้ยวตามความทรงจำบ่งบอกถึงความทุกข์ทรมานที่เทพคนสวนต้องเผชิญ หัวหน้าจอมปราชญ์แทบทรุดเมื่อภาพจบลงพร้อม ๆ กับมหาเทพจ้าวฟ้าที่ระเบิดความโกรธออกมา

“นี่มันอะไรกัน!” หลังเสียงตวาดอันกราดเกรี้ยว ฟาเบียนก็ลุกขึ้นแล้วหมุนตัวไปพาชายชราที่ยืนเยื้องไปด้านหลัง ดวงตาสีเขียวลุกโชนด้วยความพิโรธทำให้คนถูกจ้องทรุดกองกับพื้นไปจริง ๆ

“กระหม่อมอธิบายได้นะพ่ะย่ะค่ะ” เรมันต์พยายามยื้อฟางเส้นสุดท้ายอย่างเต็มที่

“อธิบายอะไร?” ไคซัสแทรกก่อนอีกฝ่ายจะทันได้พูดอะไรต่อ เขาเดินไปทอดผ้าผูกตาของซามีออก เทพหนุ่มเบิกตาขึ้นเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนและต้องตกตะลึงเมื่อเห็นเรมันต์ “ท่านผู้ทรงภูมิอยากจะอธิบายว่าให้ผู้ชายตนนี้มาลักพาตัวนาซิลลาและยังทำร้ายฮาธอส ซึ่งทั้งสองคนเป็นเทพรับใช้ของซิมโฟเนียอาเรียโดยตรงสินะ”

ซามีทั้งดิ้นรนทั้งใช้พลังหมายสะบัดให้หลุดจากพันธนาการ แต่ไคซัสก็ผนึกอำนาจของเขาไว้มิดชิดจนไม่สามารถใช้ได้อย่างใช้ได้อย่างใจ ฟาเบียนมองหน้ามันแล้วเบือนไปจ้องหัวหน้าจอมปราชญ์โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม

“ถ้าไม่ตอบข้าจะถือว่าท่านกระทำการเกินกว่าเหตุ”

ชายชราเงยหน้าขึ้นมองราชาแห่งฟ้าอย่างตกตะลึง “ท่านจ้าวโปรดเห็นแก่ความดีความชอบของกระหม่อมด้วย กระหม่อมทำไปเพราะอยากปกป้องสวรรค์เท่านั้น ท่านจ้าวโปรดตรึกตรองให้ดี ตั้งแต่เทพอสูรตนนี้ขึ้นรับตำแหน่งก็มีแต่ความวุ่นวายเต็มไปหมด มันเป็นตัวกาลกิณีของสวรรค์...”

“หุบปาก!” ฟาเบียนตวาดลั่น เรมันต์สะดุ้งโหยง แม้แต่ซามียังอึ้ง เพราะเขาถูกสะกดไว้ตลอดจึงไม่รู้เลยว่าราชาแห่งสวรรค์เห็นสิ่งใดบ้าง “ถ้าเจ้าสังเกตให้ดี ๆ ความวุ่นวายเกิดขึ้นหลังจากไคซัสพยายามหาทางป้องกัน มีใครบางคนพยายามจะทำให้สวรรค์อ่อนแอก่อนแผนของเขาจะสำเร็จ แต่เจ้ากลับถูกทิฐิอันโง่เขลาบดบังสายตากระทำการหยาบช้ากับเทพชั้นต่ำ ไม่ละลายแก่ใจบ้างหรือไร!”

“ท่านจ้าว” เรมันต์คลานเข่าไปใกล้องค์ราชา “พระองค์ทรงเป็นอะไรไปแล้วจึงเข้าข้างอสูรเช่นนี้ กระหม่อมทำไปก็เพื่อปกป้องสวรรค์นะพ่ะย่ะค่ะ”

“อย่าเอาสวรรค์มาอ้าง หากทำเพื่อสวรรค์จริง ทำไมถึงไม่เชื่อฟังข้าง!” ไคซัสเลิกคิ้วเมื่อได้ยินราชาแห่งฟ้าพูดแบบนั้น ช่างเป็นประโยคเอาแต่ใจเสียจริง แต่เขาไม่อยากขัดให้เสียประโยชน์จึงปล่อยไป “ข้าอุตส่าห์ดึงคนมีความสามารถมารับตำแหน่งมหาเทพสงคราม อุตส่าห์คิดทบทวนแผนการของไคซัสตามที่พวกท่านขอ แต่แทนที่จะช่วยกันแก้ปัญหา ท่านกลับทำเรื่องงี่เง่าพรรค์นี้ ท่านยังมีหน้าเรียกตัวเองว่า ‘จอมปราชญ์’ อีกหรือ เสียทีที่มีภูมิปัญญามากมาย แต่ต้องเสียไปเพราะอคติส่วนตน”

“ท่านจ้าว เทพอสูรตนนี้ไว้ใจไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ เขาเลี้ยงลูกครึ่งเทพรัตติกาลที่เป็นพี่น้องกับเฮสเลนไว้ด้วย”

ในที่สุดเรมันต์ก็โพล่งประโยคที่ไคซัสกลัวที่สุดออกมาจนได้ แต่เทพอสูรหนุ่มยังคงสีหน้านิ่งก่อนเหลียวมองซามีที่พยายามพยักหน้ายืนยันเพื่อช่วยเหลือเจ้านายของตนจนนิ่งไป ขณะอัลล์สะดุ้งตกใจนิดหนึ่งก่อนรีบเก็บอาการ แล้วทั้งสองตนก็หันมองมหาเทพจ้าวสวรรค์ขมวดคิ้วมองเทพอสูรหนุ่มด้วยสายตากังขา

“เจ้าพิสูจน์ได้แล้วหรือว่าฮาธอสเป็นลูกครึ่งเทพรัตติกาลจริง ๆ น่ะ” ไคซับถามเนิบช้า ดูไม่ร้อนรนตกใจเลยสักนิดขนาดที่อัลล์ยังเหลือบมองด้วยความนับถือ

“แน่นอนสิ จอมปราชญ์อมาลานจำหน้ามันได้ หน้าตาของมันคล้ายเฮสเลนขนาดนั้น!” เรมันต์ยืนยันเสียงแข็ง “และพลังของมันแข็งแกร่งไม่สมกับเป็นเทพชั้นต่ำด้วย”

“แต่เทพชั้นต่ำหลายองค์ก็มีพลังแข็งแกร่งนะ” เทพอสูรหนุ่มพยักพเยิดปาทางหัวหน้าทหารของเขาอย่างไม่ยี่หระ “เดิมทีอัลวินก็เป็นเทพระดับล่างที่มีพลังแข็งแกร่งเหมือนกัน เพียงแต่เขาเลือกที่จะไต่เต้าขึ้นมาจนมีฐานะอย่างปัจจุบัน ส่วนฮาธอสเลือกปกปิดพลังไว้เพราะอยากเป็นแค่เทพคนสวนแค่นั้นเอง”

“โกหก เจ้าตั้งใจจะปกป้องมันใช่ไหม!” เรมันต์ตะเกียกตะกายลุกขึ้นชี้หน้าคู่กรณี “เจ้ามาช่วยมันไป ทั้งยังพูดกับข้าด้วยว่าควรทำอะไรให้สง่างามกว่านี้”

“หรือว่าข้าพูดผิด ท่านทรงภูมิ” ไคซัสสืบเท้าเข้าใกล้อย่างไม่เกรงกลัวสักนิด ผิดกับจอมปราชญ์ที่ผงะถอยอย่างลืมตัว “หากท่านต้องการตัวฮาธอสหรือนาซิลลาไปสอบสวนก็ควรจะมีหนังสือแจ้งขอตัวพร้อมเหตุผลหรือข้อหามาถึงข้า เพื่อข้าจะได้ทำเรื่องส่งต่อไป ว่าไงล่ะ? ท่านไม่มีเหตุผลใช่ไหม ถึงได้ทำอะไรแบบนี้”

“เจ้า...!” เรมันต์กัดฟันกรอด นึกอยากบริภาษอีกฝ่ายให้แรงกว่านี้ แต่เพราะเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์มิเคยสำรากคำหยาบคายมาก่อนจึงสรรพาคำพูดไม่ได้ เขาจึงได้แต่ชี้นิ้วสั่น ๆ ไปที่หน้าอีกฝ่ายอย่างโกรธแค้น

“พอที! ไม่ต้องเถียงกันแล้ว” ฟาเบียนตะโกนเสียงอย่างโมโห ทุกคนจึงหันไปสนใจเขาอีกครั้ง “หัวหน้าจอมปราชญ์อาจไม่รู้ว่าข้าได้เลื่อนขั้นลูกครึ่งเทพรัตติกาลหลายตนเข้ามาอยู่ในมหานคร ถ้าเจ้าไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดพอว่าเทพรับใช้ตนนั้นเป็นน้องของเฮสเลนจริงก็ไม่ต้องคุยกันอีก และต่อให้เขาเป็นจริง ๆ ท่านก็ไม่มีสิทธิ์กระทำการหยาบช้าราวกับไม่ใช่เทพแบบนั้นกับเขา!”

“ท่านจ้าว!”

“ถ้ายังไม่ยอมแพ้ ข้าจะเอาสิ่งที่อยู่ในหัวเจ้านี้ออกมาให้ดูก็ได้นะ”

มหาเทพสงครามวางมือใหญ่โตกลางกระหม่อมของซามี ทำให้เทพหนุ่มเบิ่งตาโพลงด้วยความตื่นกลัวสุดขีด ดวงตาสีส้มบ่งชัดว่าเอาจริง เพราะเขาทำมาแล้ว...หลังจากปรับความเข้าใจกับฮาธอสเรียบร้อย ซึ่งทำให้เขารู้ว่าชายคนนี้เป็น ‘เทพนักรบคู่ใจ’ ของเรมันต์ ทำงานสกปรกให้หัวหน้าจอมปราชญ์มาแล้วหลายอย่าง ล่าสุดก็คือความพยายามลักพาตัวนาซิลลา ซึ่งหัวหน้าจอมปราชญ์วางแผนให้เหมือนการโจมตีครั้งก่อน ๆ แล้วกล่าวโทษว่าไคซัสบกพร่องในหน้าที่ เนื่องจากไม่สามารถคุ้มครองสาวกของเทพจันทราได้ มันเป็นแผนการที่วางขึ้นเอง เซย์เรียโน่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

ถ้าว่ากันตามความจริง แผนการของเรมันต์ก็เกือบจะสำเร็จแล้ว เพราะไคซัสให้คนของอัลล์คอยตามดูแลนาซิลลาอยู่ห่าง ๆ และตอนนั้นก็เกือบจะไปไม่ทันการอีกด้วย เพียงแต่นาซิลลาไปเที่ยวกับฮาธอส ซึ่งเทพหนุ่มสู้สุดใจขาดดิ้นทำให้ผิดแผนไปหมด ตัวซามีเองก็เกรงจะถูกจับได้ตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการทิ้งเทพจันทราน้อยและเอาตัวเทพคนสวนไปแทน พลอยทำให้แผนการของเรมันต์หลังจากนั้นรวนไปหมดจนกระทั่งนำไปสู่ ‘การขุดหลุมฝั่งตัวเอง’ ของเรมันต์ ซึ่งคิดจะใช้ฮาธอสมาฆ่าไคซัส

หัวหน้าจอมปราชญ์ยืนจ้องหน้ามหาเทพสงครามนิ่ง เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธอย่างหาที่สุดมิได้ พลางถามตัวเองอย่างสงสัยว่าทำไมถึงพ่ายแพ้ให้แก่มหาเทพอสูรตนนี้ ทั้งที่ตนทำทุกอย่างเพื่อสวรรค์ แต่กลับไม่มีใครเห็นความดีของเขาเลยสักตนเดียว

“ไม่ต้องถามแล้วล่ะ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของราชาแห่งฟ้าแว่วเข้ามาในโสตประสาท พอหันมองฟาเบียนก็กำลังมองซามีอย่างใคร่รู้ “ดึงออกมา ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามีอะไรซ่อนอยู่บ้าง จะได้จัดการทีเดียวเลย”

“ท่านจ้าวโปรดเมตตา กระหม่อมยอมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เรมันต์ทรุดคุกเข้าและก้มคำนับกับพื้น ในที่สุดเขาก็รู้ตัวเสียทีว่าถึงเวลาต้องยกธงขาวแล้ว ก่อนโทษทัณฑ์ที่จะได้รับจะมากมายไปกว่านี้ “กระหม่อมจะสารภาพทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ”

แล้วทุกถ้อยคำก็พร่างพรูออกมาจากปากของชายชรา ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ คำสารภาพนั้นตรงกับที่ไคซัสเห็นจากความทรงจำของซามีทุกอย่าง หนำซ้ำยังออกหน้าแทนจอมปราชญ์ที่เหลือด้วยว่าเป็นคนวางแผนทุกอย่างด้วยตนเอง ซึ่งคราวนี้เป็นฟาเบียนบ้างที่ตัวสั่นเทิ้ม ผิวหน้าแดงจัดด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านไปทั่วจนผู้ติดตามต้องมายืนใกล้ ๆ เผื่อจะเกิดอะไรขึ้น แม้แต่อัลล์ยังย้ายไปอยู่ข้างกายไคซัส

ทว่าสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มหาเทพจ้าวสวรรค์สามารถสะกดกลั้นอารมณ์ได้จนถึงตอนจบ แม้เขาจะกำหมัดทำให้เล็บจิกเนื้อจนเลือกออกซิบ ๆ ให้ผู้ติดตามมาปฐมพยาบาลไปด้วยก็ตาม ร่างโปร่งบางค่อยหมุนตัวมาหาไคซัสช้า ๆ สีหน้าอดกลั้นขนาดคนมองอย่างแปลกใจ

“ข้าจะลงโทษเขาเอง ซึ่งตอนนี้เขาถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว...หยุด!” ฟาเบียนสะบัดตัวไปชี้หน้าสั่งเรมันต์ที่เงยหน้าขึ้นเพื่ออุทธรณ์ “ข้าไม่สั่งประหารเจ้าที่นี่ก็บุญเท่าไหร่แล้ว”

“เอาสิ เพราะข้าสำเนาหลักฐานไว้ให้หมดแล้ว” ไคซัสส่งผ้าผูกตาให้อัลล์ด้วยท่าทางสบาย ๆ นายทหารหนุ่มก็จัดการเอาไปผูกซามีไว้ทำให้นายทหารหนุ่มถูกสะกดอีกครั้ง “ระวังหน่อยแล้วกัน ผู้ชายคนนี้พร้อมฆ่าตัวตายเพื่อปกป้องเจ้านาย ข้าเลยต้องสะกดให้หลับตลอดเวลา”

“ไม่ต้องห่วง ทหารของตำหนักข้าดูแลได้อยู่แล้ว พวกเจ้ามาเอาตัวพวกมันไป!”

หลังจากให้คำรับรองกับไคซัสแล้ว มหาเทพจ้าวสวรรค์ก็ออกคำสั่งกับเหล่าองครักษ์ ทั้งหมดจึงช่วยกันคุมตัวผู้ต้องหาออกจากคุก มหาเทพสงครามบอกให้อัลล์ตามไปคุมอีกคน กำชับด้วยว่าหากเกิดอะไรขึ้นให้จัดการขั้นเด็ดขาด ซึ่งนั่นพอจะข่มขวัญเรมันต์ได้อยู่เหมือนกัน ฟาเบียนก็ให้คนของตัวเองตามไปดูแลด้วย และเมื่อทั้งหมดออกไปแล้ว ทั้งห้องก็เหลือแต่เทพผู้สูงศักดิ์ทั้งสองตน

“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย” เป็นไคซัสที่เริ่มการสนทนาก่อน

“อันใดหรือ?”

“ช่วยข้าปกป้องฮาธอส ถ้าเป็นปกติเจ้าจะสั่งให้มีเรียกตัวเขามาสืบพลังไม่ใช่รึ” มหาเทพสงครามเหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างกังขา อันที่จริงเขาก็ชอบที่ฟาเบียนยอมเข้าข้าง แต่ก็อดสงสัยพฤติกรรมอันผิดวิสัยมหาเทพจ้าวสวรรค์ผู้เที่ยงธรรมมิได้

“ไม่มีอะไรนี่ ข้าแค่ทำตามที่บอกไว้เท่านั้นเอง” เจ้าของร่างเล็กกอดอกเป็นสัญลักษณ์ของการป้องกันตัวเอง “ถ้าไคซัสอยากให้ข้าทำแบบนั้นก็คงให้เจ้าทุกข์ทั้งสองคนลงมาเจอข้าแล้ว แต่นี่ไม่ให้ลงมาแสดงว่าต้องการปกป้องพวกเขาไว้ อีกอย่างข้าเองก็ไม่ได้โกหกด้วย เพราะข้าได้อนุมัติให้ลูกครึ่งเทพรัตติกาลหลายตนมาอยู่ในมหานครจริง ๆ ถึงพ่อหรือแม่ของพวกเขาจะไม่เป็นที่ยอมรับของสวรรค์ แต่พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่กำเนิดขึ้นในแดนสวรรค์ จะมีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องกดขี่พวกเขาด้วย และก็ไม่มีหลักฐานยืนยันด้วยว่าเทพฮาธอสนั่นเป็นน้องชายของเฮสเลนจริง ๆ”

...ก็มีเหตุผล

นาทีนั้นไคซัสตัดสินใจกับตัวเองไปสองอย่าง หนึ่งคือยอมรับเหตุผลของฟาเบียนโดยไม่ซักไซ้อะไรอีก และสองคือจะไม่บอกเรื่องฮาธอสยอมรับกับเขาแล้วว่าเป็นน้องชายของเฮสเลนจริง ๆ

“ยังไงก็ตาม ถึงเรื่องนี้จะจบแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปัญหาที่คาราคาซังมาจะจบลงนะ” ฟาเบียนเอ่ยประเด็นสำคัญในจังหวะที่ไคซัสอยากเปลี่ยนเรื่องพอดี เจ้าของร่างเล็กหันมามองเขาด้วยแววตาจริงจัง “เรายังหาตัวต้นเหตุของความวุ่นวายก่อนหน้านี้ไม่พบ สิ่งที่เรมันต์ทำเองก็มุ่งไปหาเจ้าคนเดียว มิหนำซ้ำยังมีพลังไม่มากพอควบคุมแมลงไสยเวทตัวใหญ่ ๆ มาทำตามใจชอบได้ด้วย”

“ข้ารู้ดี แต่ยังไม่มีเบาะแสอะไรให้สืบมากกว่านี้” มหาเทพสงครามถอนใจ สภาพที่เป็นอยู่ในตอนนี้กับปัญหามากมายที่เกิดขึ้น ทำให้เทพอสูรหนุ่มรู้สึกเหนื่อยหน่ายเป็นบางครั้ง “คิดไปแล้วข้าก็เหมือนตัวปัญหาจริง ๆ นะ เพราะพอขึ้นมาแล้วปัญหาก็ระเบิดออกมาเหมือนลาวาในภูเขาไฟ ลาออกดีไหมนะ”

เนื่องจากไคซัสพูดโดยใช้น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายจริง ๆ ฟาเบียนจึงแสดงอาการตกอกตกใจออกมาทันที

“ไม่ได้นะ เจ้ายังไม่เจอ...” เขานิ่งไปเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังจะพูดอะไรออกมา สมองอันฉับไวรีบคิดหาคำใหม่อย่างรวดเร็ว “...ต้นตอของเรื่องทั้งหมดเลยไม่ใช่หรือ เจ้าสัญญาว่าจะปกป้องสวรรค์ให้ข้านะ”

“รู้แล้วน่า” ไคซัสบอกปัด ๆ แม้จะรับรู้ถึงอาการสะดุดของอีกฝ่าย แต่คร้านจะสนใจ...สนใจทีไรราชาเทพก็หาทางมุดดินหนีได้ทุกคราวไป “ข้าแค่รู้สึกเหนื่อย ๆ เท่านั้นแหละ”

“งั้นเอาอย่างนี้” เมื่อได้ยินคำบ่นของมหาเทพสงครามตนสำคัญ ฟาเบียนจึงตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เขาสบายใจและยอมทำงานให้เขาต่อไป “ข้าจะเลื่อนการประลองออกไปก่อน และก่อนมาที่นี่ข้าเพิ่งอนุมัติให้มีการเพิ่มเติมสัตว์อสูรในกองทัพด้วย ส่วนการฝึกเจ้าเลือกทหารที่เหมาะสมมาฝึกนำร่องได้เลย ข้าจะได้ใช้ประกอบการพิจารณาเปลี่ยนแปลง”

ข้อเสนอถูกหยิบยื่นมาอย่างง่ายดายชนิดที่ไคซัสยังประหลาดใจ เพราะฟาเบียนเป็นคนจำพวกเอาประโยชน์เข้าตัวเองกับดินแดนที่ปกครองก่อนเสมอ จึงน่าแปลกใจที่อีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ขนาดนี้ แต่ในเมื่อยื่นข้อเสนอมาให้แล้วจะไม่รับก็น่าเสียดาย

“ตกลง เอาตามนั้นก็แล้วกัน”

“แต่ว่า...” ราชาแห่งฟ้าก้าวมาใกล้พร้อมกับแรงกดดัน “...ต้องมีความคืบหน้านะ ถ้าหากว่าถึงเวลาเหมาะสมแล้วยังไม่มีความคืบหน้า ข้าจะให้ท่านจัดการประลองเหมือนเดิม”

ไคซัสพยักหน้าตอบรับ เพราะรู้ดีว่าไม่มีทางหลบเลี่ยงเงื่อนไขนี้อย่างแน่นอน แต่ความคืบหน้าที่ฟาเบียนต้องการนั้นช่างทำได้ยากนัก เพราะทุกอย่างถูกดูดหายไปในหลุมมืด สิ่งที่เขาทำได้มีแค่ ‘รอ’ เท่านั้น

เมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไคซัสก็ออกไปส่งมหาเทพจ้าวสวรรค์กับคณะด้วยตนเอง ซึ่งเขามีโอกาสได้เห็นราชาเทพเนรมิตอดีตรถม้าประจำตำแหน่งของเรมันต์ให้กลายเป็นรถกรงขังของเขากับตา เรื่องนี้จะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน ทุกปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเขาไม่เคยเงียบเลย...

“ข้าจะกลับไปพักผ่อนที่ห้องนอน ถ้ามีอะไรก็ไปตามที่นั่นนะ อัลวิน” หลังจากพวกฟาเบียนกลับไปแล้ว ไคซัสก็สั่งกับอัลล์เช่นนั้น ก่อนเจ้าของร่างใหญ่จะรุดกลับเข้าปราสาทด้วยความรวดเร็ว

เหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ ได้แต่มองตามด้วยความสงสัยว่า ทำไมเจ้านายถึงรีบร้อนนัก เพราะวันนี้ไม่มีงานเร่งด่วนอะไร คงมีแต่อัลล์คนเดียวที่ดูจะเข้าใจ มหาเทพสงครามคงจะรีบกลับไปบอกผลการสอบสวนคดีให้ฮาธอสรู้ เนื่องจากเพื่อนของเขายังพักอยู่ในห้องนอนของมหาเทพจ้าวตำหนัก เพื่อความสะดวกในการดูแลอาการบาดเจ็บ

ใจหนึ่ง อัลล์ก็ดีใจที่สหายของเขาเป็นที่เอ็นดูของมหาเทพสงคราม แล้วก็อยากให้เพื่อนรู้ผลการสอบสวนโดยเร็ว เพราะฮาธอสต้องกังวลเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนเองอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากเรื่องนี้อีกเช่นกันที่ทำให้เขาเกิดคำถามขึ้นมาว่าควรปล่อยให้ไคซัสดูแลฮาธอสต่อไปดีไหม...

...ดีแล้วหรือที่ปล่อยให้ทั้งสองตนใกล้ชิดกันแบบนี้...

--------------

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 11 up 31/08/13
«ตอบ #55 เมื่อ02-09-2013 19:36:26 »

เจ็บ...

ฮาธอสถอนใจเฮือกหนึ่ง ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก แล้วหลับตาลงจดจ่อสมาธิกับลมหายใจอันถี่กระชั้นจากความทรมานของตนเอง อีกมือหนึ่งขย้ำเสื้อเหนือท้องที่ภายในปวดแสบปวดร้อนเหมือนอวัยวะภายในถูกลวกด้วยน้ำร้อนที่เดือดพล่าน ทั้งที่อาการบาดเจ็บภายนอกหายสนิทแล้วแท้ ๆ แต่อาการปวดท้องอันเป็นผลข้างเคียงจากพิษแมลงไสยเวทกลับไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย พลังชีวิตของเขาก็ฟื้นฟูได้ช้าจนน่าตกใจ บางทีอาการบาดเจ็บครั้งนี้อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะหายดี

“ฮาธอส รู้สึกยังไงบ้าง” น้ำเสียงไพเราะเรียกขานพร้อมคำถามตบท้าย ทำให้ฮาธอสลืมตามองไคมีร่าที่นั่งอยู่ข้างกาย เธอกำลังคนยาที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ ๆ แล้วป้อนให้เขา “กินยาก่อนจะได้รู้สึกดีขึ้น”

เทพคนสวนยอมทำตามที่เจ้าหล่อนบอกอย่างว่าง่าย เพราะทุกครั้งที่ดื่มยาของเธอ อาการเจ็บปวดทั้งหลายจะทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์...ไม่ได้หายไปเลย แต่อย่างน้อยก็ปวดน้อยลง...

“รู้สึกดีขึ้นแล้วขอรับ” ฮาธอสตอบหลังจากอาการปวดท้องลดลงมาอยู่ในระดับที่ทนไหว

“อีกสักช้อนแล้วกัน ยารอบนี้แรง กินสามช้อนก็พอ” ไคมีร่ากล่อมเขาอย่างกับเด็ก กระนั้นชายหนุ่มก็ยอมทำตามด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะเขาเติบโตด้วยตัวเองมาตลอดจึงไม่เข้าใจว่าความอบอุ่นของแม่จริง ๆ เป็นแบบไหน พอไคมีร่ามาเอาใจใส่จึงรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้รับการดูแลจากมารดา

“ขอบพระคุณขอรับ ข้าทำให้ท่านหญิงต้องลำบากจริง ๆ”

“ไม่เป็นไร ข้าเองก็อยู่ว่าง ๆ ออกไปข้างนอกก็ไม่ได้เพราะติดโทษกักบริเวณอยู่ จะอ่านหนังสือก็เบื่อ ดูแลเจ้าแบบนี้ก็สนุกดี” ท่านหญิงพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องง่าย ๆ ทั้งที่การดูแลคนป่วยนั้นหนักหนาเอาเรื่องทีเดียว วันหนึ่ง ๆ เธอต้องช่วยเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อให้ ไหนจะประคองไปเข้าห้องน้ำวันละหลายรอบ มันไม่ใช่งานที่ผู้สูงศักดิ์อย่างเธอต้องทำเลย แต่เธอเด็กสาวบอกว่าสนุกดี ฮาธอสก็พูดไม่ออกอยู่เหมือนกัน “แต่ถ้าจะให้พูดจริง ๆ ข้าอยากตามพี่ไปดูการสอบสวนคดีของเจ้ามากกว่า อยากรู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ถึงพี่จะดึงความทรงจำของเจ้าไปใช้แทนปากคำแล้ว แต่ฝ่ายนั้นไม่มีทางยอมโดยไม่สู้แน่ ๆ”

พอพูดถึงเรื่องนี้ จิตใจที่กำลังพองฟูจากความรู้สึกเมื่อครู่ก็ห่อเหี่ยวลงราวกับลูกโป่งถูกปล่อยลม เขาก็กำลังกังวลใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพราะจากความทรงจำที่ติดค้างอยู่ ชายหนุ่มคาดเดาว่าหัวหน้าจอมปราชญ์น่าจะทราบว่าเขาเป็นลูกครึ่งเทพรัตติกาลแล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้หรือยังว่าเขาเป็นน้องชายของใคร ถ้ารู้ฝ่ายนั้นคงไม่เสียเวลาเอาเรื่องนี้มาเล่นงานเขา...เล่นงานอาธอสอย่างแน่นอน

...ลำพังตัวเขาเองน่ะ จะถูกเนรเทศกลับไปอยู่แดนร้างอีกครั้งก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้ไคซัสกับคนอื่น ๆ ต้องเดือดร้อนไปด้วยเลย...

“หืม...ดูเหมือนจะกลับกันไปแล้ว เพิ่งจะบ่ายเอง เร็วเหมือนกันนะเนี่ย” ไคมีร่าพูดหลังรู้สึกพลังมนตราที่แข็งแกร่งกำลังเคลื่อนตัวจากไป เมื่อเทียบดูจากระดับพลังแล้ว เธอเดาว่าเจ้าของน่าจะเป็นฟาเบียนนั่นเอง

ฮาธอสกำลังอ่อนแอจึงไม่รู้สึกถึงพลังนั้น ทว่าเขาก็เชื่อสิ่งที่เธอพูดจึงผินหน้ามองนอกหน้าต่าง แม้จะรู้ดีว่าขบวนรถม้าของฟาเบียนจะไม่ผ่านตรงนั้นก็ตามที ตอนนี้เขาอยากให้มีใครสักคนมาบอกผลการสอบสวนให้รู้ จะเป็นอัลล์ หรือเซบาสเตียน ทหารสักคนก็ได้ ช่วยบอกกับเขาทีว่าทุกอย่างจบลงด้วยดี ไคซัสไม่ได้เดือดร้อนตามไปด้วย จะไม่มีผู้บริสุทธิ์ถูกลงโทษ ยกเว้นคนผิด!

“นั่นแน่! กำลังคิดถึงพี่ของข้าอยู่หรือ” เทพคนสวนสะดุ้งโหยงเมื่อไคมีร่าร้องล้อเลียน ก่อนจะเบ้หน้าครั้งเสียงอ่อยเพราะเผลอเกร็งกล้ามเนื้อท้องด้วยความตกใจเมื่อครู่ “ตายจริง ข้าทำให้เจ้าเจ็บเหรอเนี่ย ขอโทษนะ”

“อย่าล้อกันเล่นสิขอรับ” ฮาธอสครางเสียงอ่อน “ข้ากับมหาเทพสงครามไม่มีอะไรกันขอรับ”

“จริงเหรอ” ท่านหญิงเอียงคออย่างฉงนราวกับเด็กสาวไร้เดียงสา แต่แววตาขี้เล่นนั่นบ่งบอกว่าตรงกันข้ามกันเลย “พวกเจ้าสองคนนอนอยู่ห้องเดียวกัน ใกล้ชิดกันทุกคืน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ หรือ”

“ท่านหญิง...” ฮาธอสอุทธรณ์ รู้สึกว่าหน้าร้อนฉ่าไปถึงหูเลยทีเดียว

ไคมีร่าหัวเราะชอบใจในลำคอและวางมือเหนือหัวใจที่กำลังเต้นตุ้บ ๆ ของเขา “ข้ารู้ว่าพี่ชายของข้าชอบเจ้า เพราะหินโมราแดงติดอยู่ตรงนี้” เป็นอีกครั้งที่คำพูดของเธอทำให้คนฟังย่นคิ้วอย่างสงสัย ก่อนเธอจะละมือไปสนใจยาที่โต๊ะใกล้ ๆ “ไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจคำพูดของข้าหรอก เพราะสักวันหนึ่งเจ้าก็จะเข้าใจเอง ส่วนเรื่องที่อยากจะรู้ อีกสักเดี๋ยวไคซัสก็คงจะมา...” ยังไม่ทันขาดเสียงดีก็มีใครบางคนเปิดประตู “นั่นไง”

เทพคนสวนเอียงคอมองผ้าม่านตรงปลายเตียงตามสัญชาตญาณ ความกระวนกระวายก่อตัวขึ้นชั่วครู่หนึ่งของการรอคอย ก่อนะหายไปเมื่อไคซัสเบิกผ้าม่านเข้ามา ใบหน้าดุดันนั้นเรียบเฉยเสียจนฮาธอสเดาไม่ออกเลยว่าผลการสอบสวนเป็นเช่นไร

“การสอบสวนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ไคมีร่าเป็นตัวแทนถามราวกับอ่านใจเทพป่วยออก อีกทั้งยังทำเสียงออดอ้อนอย่างน่ารักเสียด้วย

“จบลงด้วยดี หลักฐานของฝ่ายเราหนักแน่นทำให้ฟาเบียนเชื่อถือได้”

คำตอบทำให้คนฟังโล่งใจไปตาม ๆ กัน ไคมีร่าเอามือทาบอกแล้วถอนใจน้อย ๆ ก่อนจะสังเกตเห็นสีหน้าไม่สบายใจเหมือนปมสุดท้ายยังไม่คลีคลายของฮาธอส ถ้าเป็นปกติเธอคงจะถามให้ แต่เห็นแววตาถวิลหาของพี่ชายแล้ว เด็กสาวก็คิดว่าควรเอาตัวเองออกจากห้องก่อนจะถูกไล่ดีกว่า

“ได้ยินแบบนี้ข้าก็โล่งอก” เธอต่อการสนทนาที่ค้างไว้อย่างแนบเนียน “ข้าจะกลับห้องก่อน ยาของฮาธอสปรุงไว้ในแก้วนั้น แต่ยามันร้อง ถ้าเขาปวดท้องอีกก็ป้อนสักสามช้อนก็พอ”

“เข้าใจแล้ว”

ไคซัสแสดงความรับรู้อย่างง่ายดาย ผิดกับฮาธอสที่มองเธออย่างอึ้ง ๆ อยากจะรั้งเธอไว้แต่ก็พูดไม่ออก เจ้าของดวงตาสีคริมสันโรสโบกมือลาด้วยรอยยิ้มหวานแล้วเดินจากไป เมื่อไคมีร่าคล้อยหลังไปแล้ว มหาเทพสงครามก็มานั่งข้างกายเทพคนสวน หยิบผ้าชุบน้ำแล้วบิดหมาดมาซับเหงื่อบนหน้าผากคนป่วยอย่างห่วง

“หน้าซีดเชียว ปวดท้องแล้วอีกแล้วหรือ”

ฮาธอสพยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะดึงการสนทนากลับไปที่เดิม “ไม่ทราบว่า...”

“อา...อย่างที่เจ้าคิด” ไคซัสรู้ว่าฮาธอสกำลังจะถามอะไรจึงชิงตอบก่อน ซึ่งปฏิกิริยาก็อย่างที่คาดไว้ เทพคนสวนเบิ่งตาโพล่งราวกับกวางน้อยที่ตกใจสุดขีด เขาจึงจับมือให้กำลังใจอีกฝ่ายแน่น “อย่าเพิ่งตกใจ ฟังข้าพูดให้จบก่อน เรมันต์รู้แล้วว่าเจ้าเป็นน้องชายของเฮสเลน เพราะมีคนจำเจ้าได้ แต่เขาไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด ฟาเบียนก็เลยไม่เชื่อและถือว่าเจ้าเป็นหนึ่งในลูกครึ่งเทพรัตติกาลตนอื่น ๆ ที่เขาเลื่อนขั้นมาอยู่ในมหานคร ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกแล้ว”

“จริงหรือขอรับ” ดวงตาของฮาธอสยังคงเบิกกว้าง แต่เป็นไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ซึ่งเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างเมื่อไคซัสพยักหน้า “ดีจัง ข้าดีใจมาก ๆ เลยขอรับ ที่ไม่มีใครต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้”

“ถ้าก็ดีใจที่เห็นเจ้าสบายใจเสียที ที่นี้ก็พักผ่อนเยอะ ๆ จะได้ดีขึ้นและกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมไงล่ะ”

มหาเทพสงครามก้มลงจูบหน้าผากชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่ เทพคนสวนก็อมยิ้มบางอย่างมีความสุขเช่นกัน ฮาธอสไม่เคยนึกฝันเลยว่าการเป็นที่รักของใครสักคนหนึ่งจะทำให้รู้สึกดีขนาดนี้ ไคซัสทั้งอ่อนโยนและแสนดีจนเขายังนึกเสียดายที่จะแย่งชิงหัวใจอีกฝ่ายมาจากสาว ๆ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่รู้สึกเสียใจที่มีความรู้สึกดี ๆ กับอีกฝ่าย อย่างน้อยก็ตราบจนกว่าจะพบสาเหตุที่ต้องรู้สึกเช่นนั้น

“จริงสิ ข้าขอย้ายกลับไปห้องเดิมได้ไหมขอรับ” ฮาธอสถามหลังฉุกคิดขึ้นได้

“ทำไมล่ะ” ไคซัสแสดงอาการกังขาทันที ทั้งสีหน้าและน้ำเสียง

“เอ่อ...ข้าเบียดเบียนที่นอนของมหาเทพตั้งหลายวันแล้ว และตอนนี้คดีของข้าก็จบลงแล้วด้วย ข้าจึงคิดว่าควรจะกลับไปพักฟื้นที่ห้องของตัวเองจะดีกว่า...”

ไคซัสทบทวนความคิดของตนกลับไปถึงคืนแรก ๆ ที่ช่วยฮาธอสกลับมาได้ เทพคนสวนที่เพิ่งได้สติก็ขอกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเองเช่นวันนี้ แต่ตอนนั้นเขารั้งอีกฝ่ายไว้พร้อมให้เหตุผลว่าไคมีร่าติดโทษกักบริเวณอยู่ ไม่สามารถออกจากปราสาทใหญ่ได้จนกว่าเขาจะอนุญาต อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าเรมันต์จะส่งคนมาเล่นงานอีกเมื่อไหร่ เขาจึงให้พักอยู่ที่นี่ก่อน ทว่าตอนนี้อาการของเขาก็ดีขึ้นมากพอไม่ต้องมีไคมีร่าดูแลตลอดเวลาแล้ว อีกทั้งคดีความก็จบลงแล้วด้วย เทพคนสวนคงคิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะรบกวนต่อแล้ว...

“ฮาธอสกังวลเรื่องวรรณะรึ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ถือ”

“มิได้ขอรับ” ฮาธอสรีบปฏิเสธ หลังได้ยินน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจของอีกฝ่าย

“หรือว่าเป็นห่วงนาซิลลา?” ไคซัสย้อนถามพลางถอนใจ “ไม่ต้องกังวลหรอก เด็กคนนั้นหายดีและเริ่มทำงานเบา ๆ กับพวกนางกำนัลได้บ้างแล้ว เมื่อเช้าก่อนฟาเบียนจะมาข้ายังไปคุยกับนางอยู่ด้วย”

ฮาธอสถอนใจโล่งอกอีกหน่อยเมื่อรู้ว่านาซิลลาสบายดี ก่อนจะนิ่งแล้วรีบสะบัดหัวขับไล่ความไขว้เขว่นั้นออกไป และกล่าวปฏิเสธ

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น...”

“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าไง” ไคซัสตั้งคำถามพร้อมเท้ามือคล่อมเหนือตัวฮาธอส ใบหน้าโน้มลงไปอย่างคุกคามจนอีกฝ่ายกลั้นใจ ตัวแข้งทื่อ ดวงตาสีส้มวาววับคู่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนนักล่าหมายตาเหยื่อจริง ๆ

“ข...ข้าเกรงว่าทุกคนจะครหาเรื่องของเราสองคนขอรับ” เขาสารภาพออกไปจนได้ และไม่สบายใจเลยที่ต้องบอกเหตุผล “ท่านคงทราบแล้วว่าธรรมเนียมสวรรค์...ไม่มีใครให้เทพตนอื่นมาอยู่ร่วมห้อง ยกเว้นมีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน...” พูดเองกลับกลายเป็นว่าหน้าแดงไปเสียเอง ใบหน้าคมเอียงหลบไปข้าง ๆ อย่างไม่กล้าสบตา

ท่าทางเขินอายของอีกฝ่ายทำให้ไคซัสเข้าใจอะไรบ้างอย่าง เทพอสูรลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ในจังหวะที่อีกฝ่ายไม่เห็นแล้วก้มลงพูดข้างหูด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์ว่า

“ถ้าเป็นแบบที่เจ้าพูดมาจริง เจ้าก็ไม่เห็นต้องกังวล เพราะข้ากับเจ้ามีใจต่อกันจริง ๆ นี่นา”

ฮาธอสหันหน้าขวับกลับมาด้วยอารามตกใจ ก่อนจะผงะก่อนรู้สึกตัวว่าใบหน้าอีกฝ่ายอยู่ห่างคืบเดียวเท่านั้น   “ยะ...อย่าล้อเล่นสิขอรับ” ฮาธอสหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศ “ถึงข้ากับท่านจะมีใจตรงกัน แต่...”

“เจ้ารังเกียจที่อยู่กับข้ารึ” ไคซัสซักไซ้ราวกับจะไล่ต้อนให้จนมุม จมูกโด่งเป็นสันแนบชิดแก้มชื่นเหงื่อแล้วไล้ไปถึงใบหูแดง ๆ ของคนใต้ร่าง “ข้าแค่อยากให้เจ้าพักอยู่จนกว่าจะแข็งแรงกว่านี้ นั่งเองได้ ยืนเองได้ เดินเองได้ ไม่ได้อยากจะทำอะไรเจ้าเสียหน่อย ถึงใจจริงจะยากก็เถอะ”

“มหาเทพ!” เทพคนสวนตะโกนอย่างอดรนทนไม่ไหว แต่สมองเจ้ากรรมกลับจินตนาการถึงสิ่งที่เขาแทบไม่เคยนึกถึงเลยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ทางกาย...ระหว่างผู้ชายด้วยกัน...แค่คิดก็หน้าแดงเถือกไปถึงหู ลืมปวดท้องกันเลยเชียว

“หืม...นั่นเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” ร่างสูงโปร่งสะดุ้งโหยงเมื่อใบหน้ากรุ้มกริ่มของคนข้างบนโน้นมาใกล้ ดวงตาสีส้มที่ปรากฏประกายเกล็ดพราวพรายฉายแววร้อนแรงราวกับจะหลอมละลายคนถูกมอง

“ปละ...เปล่าขอรับ ข้าน้อยยังไม่ได้คิดอะไรเลย” เทพคนสวนพลิกตัวหลบ อายจนยากแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนี้

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอเดา เจ้ากำลังคิดถึงช่วงเวลาที่เราสองคนเป็นหนึ่งเดียวกันสินะ” ไคซัสไม่พูดเปล่าแต่กอดรัดตัวคนป่วยไว้แล้วประทับจูบที่หลังคอ

ฮาธอสถึงกับสะท้านยามลมหายใจร้อนผ่าวสัมผัสผิวบางตรงส่วนนั้น แล้วสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงปลายเล็บแหลมลากผ่านกลางลำตัว ทุกจุดที่เขาสัมผัสร้อนผ่าวไปเหมือน ในอกเหมือนมีบางอย่างอัดแน่นรอเวลาระเบิดออกมา หัวใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงตึกตัก เขาคิดว่าไคซัสต้องได้ยินแน่ เพราะอีกฝ่ายเลื่อนมือกลับมาวางเหนือหัวใจของเขา

“หัวใจของข้ากับเจ้าเต้นเป็นจังหวะเดียวกันเลยนะ”

“ขะ...ข้าไม่เชื่อหรอกขอรับ” ท่าทางชำนาญการขนาดนี้ มีหรือจะตื่นเต้นไปกับเทพไร้เดียงสาที่ไม่เคยผ่านแม้แต่ผู้หญิงอย่างเขา คงจะหลอกเล่นให้ตายใจล่ะสิ

“ไม่นะ ข้าพูดจริง ๆ หันกลับมาฟังสิ” สุ้มเสียงทุ้มต่ำนั้นหวานหูนัก ถ้าเป็นขนมหวานจริง ๆ คงแสบคอจนเลี่ยน กระนั้นก็ทรงพลังพอโน้มน้าวให้ฮาธอสหันกลับมาหาจนได้ ไคซัสจึงดึงศีรษะเขามาแนบอกฟังเสียงหัวใจของตัวเอง “ไง ได้ยินแล้วใช่ไหม เทียบกับของตัวเองดูสิ”

เทพหนุ่มฟังเสียงจากในอกของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ เพียงครู่ก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมครามเหมือนมีใครตีกลองอยู่ข้างในนั้น พอเอามือทาบบนมือใหญ่ที่อยู่เหนือตำแหน่งหัวใจเขาแล้วหลับตาเปรียบเทียบดูก็พบว่ามันเต้นเป็นจังหวะเดียวกันจริง ๆ ทั้งที่แตกต่าง...แต่หัวใจกลับเป็นหนึ่งเดียวกัน

“มหาเทพ...ข้าไม่นึกเลย...” ฮาธอสเงยหน้ามองคนตรงหน้า แววตาใสซื่อนั้นบ่งบอกทุกอย่าง

“แปลกใจสินะ ข้าเองก็แปลกใจเหมือนกัน” ไคซัสเอามือทัดผมให้ฮาธอส “ทั้งที่เคยผ่านผู้หญิงมามากมาย แต่พอเป็นเจ้ากลับตื่นเต้นอย่างกับเด็กวัยรุ่น ร้อนใจอยากจะครอบครองจนแทบอดในไม่ไหว ถ้าเจ้าไม่เจ็บอยู่ล่ะก็...ข้าต้องกลืนกินเจ้าตั้งแต่หัวจรดเท้าเป็นแน่”

“โธ่...อย่าล้อเล่นสิขอรับ” เพราะคำพูดชวนหวิวใจนั้นทำให้เทพคนสวนรู้สึกเหมือนถูกแกล้ง

“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ อยากให้พิสูจน์ไหม” มหาเทพสงครามขยับตัวมาอยู่เหนือฮาธอสอีกครั้งแล้วมอบจุมพิตลึกล้ำที่ปัดเป่าทุกถ้อยคำอุทธรณ์ให้หายไปจากหัวสมองชายหนุ่ม มือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วตัวสลับถ่ายพลังเยียวยาบรรเทาอาการปวดท้องที่ยังคงอยู่ไปด้วย เขาตั้งใจจะพิสูจน์คำพูดของตัวเองจริง ๆ

ฮาธอสดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนใหญ่ ตื่นตกใจกับการกระทำของไคซัสเหมือนลูกกวางน้อยที่ถูกราชสีห์ตะครุบไว้ แต่จูบอันอ่อนหวานก็โน้มนำให้เขาคล้อยตามไปจนได้ ร่างสูงโปร่งยังคงสะท้านทุกคราที่ไคซัสถ่ายพลังเข้ามา ในอ้อมแขนของผู้ชำนาญสัมผัสรัก เขาไม่ต่างอะไรกับกวางน้อยไร้เดียงสาที่เต้นไปตามความต้องการของอีกฝ่าย ตัณหาและราคะส่องสุมในใจดั่งไฟร้อนที่ค่อย ๆ ลุกโหมเผ่าผลาญสติสัมปชัญญะให้มอดไหม้อย่างช้า ๆ จนชายหนุ่มนึกกลัวเหลือใจ...กลัวว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายทนไม่ไหวและอ้อนวอนให้อีกฝ่ายกอดเสียเอง...

“มหา...” ฮาธอสเผยอปากด้วยความตั้งใจบางอย่าง แต่มีอันต้องขาดห่วงเมื่อเสียงประตูห้องรัวและแรงดังขึ้นอย่างกะทันหัน ประหนึ่งระฆังชั่วชีวิตจากความปรารถนาส่วนตัว

“อะไร!” ไคซัสโงหัวขึ้นตะโกนถามไป ท่าทางไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะอย่างมาก ผิดกับคนในอ้อมแขนที่นอนหน้าแดงเถือกกับความคิดบ้า ๆ เมื่อครู่ของตนเอง

“เรียนมหาเทพไคซัส มีแขกสำคัญมาขอพบขอรับ” เสียงอัลล์ตะโกนเข้ามา น้ำเสียงฟังดูร้อนรนมากทีเดียว

“ให้ไปรอที่ห้องทำงานก่อน!” กล่าวอย่างไม่สนใจและหันกลับมาตั้งท่าจะกอดฟัดฮาธอสอีกรอบ

“แต่ว่า...อ๊ะ!”

เสียงร้องของนายทหารหนุ่มขาดหายไปพร้อมกับเสียงประตูถูกเปิดเข้ามา ไคซัสลุกพรวดขึ้นเตรียมจะเล่นงานใครก็ตามที่บังอาจบุกห้องนอนของเขาด้วยความโกรธ ทว่าทันทีที่ผ้าม่านถูกสะบัดเปิดโดยชายหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาล ใบหน้าคมคายเด่นด้วยดวงตาสีน้ำตาลทองคมสวยแบบหนุ่มอาหรับ เทพอสูรหนุ่มก็ชะงักไปด้วยความตกใจ อัลล์ที่วิ่งตามเข้ามาหยุดมองเหตุการณ์ด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 11 up 31/08/13
«ตอบ #56 เมื่อ02-09-2013 19:42:40 »

“ดาริค!”

“สวัสดี...โอ๊ะโอ่ ดูเหมือนข้าจะมารบกวนเวลาส่วนตัวของเจ้าสินะ” หลังทักทายด้วยน้ำเสียงทุ้มโทนเทอร์เนอร์ที่น่าหลงใหลแล้ว ผู้มาเยือนก็เอียงคอมองฮาธอสที่นอนเหงื่อตกบนเตียง คงเพราะเห็นว่าอีกตกใจมาก เขาจึงส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้ซึ่งเทพคนสวนยิ้มตอบแบบไม่แน่ใจนัก

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่น่ะ” ไคซัสถามเสียงเขียว ไม่รู้ว่าโกรธหรือตกใจมากไปกว่ากัน

“มารับไคมีร่าไง ท่านลืมแล้วหรือ ไคซัส” ดาริคตอบสบาย ๆ แต่กลับทำให้มหาเทพสงครามกุมขมับ เพิ่งนึกได้ว่าไคมีร่าเคยบอกแล้วว่าดาริคจะมารับในอีกสองสามวัน ทว่าตอนนี้มันเกินสองสามวันมาแล้วนี่นา! “แต่เพราะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นพอดี ข้าเพิ่งได้รับอนุญาตให้ขึ้นสวรรค์วันนี้เอง แล้วก็...”

ชายหนุ่มเว้นช่วงแล้วถอดกระเป๋าเป้ให้ไคซัสดู เพียงแค่เห็นมันหัวใจของฮาธอสถึงกับกระตุกแรงจนรู้สึกเจ็บ บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในนั้นกำลังเร้าสายเลือดดำมืดในตัวเขาให้สูบฉีดไปทั่วร่าง

“ข้าเอาของมาที่ท่านอยากได้ด้วย หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ท่านต้องขึ้นสวรรค์ไงล่ะ”

------------------

เฮ้อ..............................................แวบมาได้แปบหนึ่ง แวะมาอัพนิยายซะเลย

ตอบคอมเมนต์

คุณ saruttaya รางวัลฮับ รางวัล ไคซัสเขาฉวยโอกาสครับ XD

คุร padang แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย........!!!! มีคนมองเห็นความบังเอิญ (ที่นักเขียนเหมือนจะจงใจทำให้กิดขึ้น) นี้ด้วย

ใช่แล้วฮับ ไคซัสและฮาธอสต่างก็เกิดในดินแดนที่สวรรค์ไม่ยอมรับทั้งคู่

ไคซัสเกิดในแดนมนุษย์ของมิติเอมมาลูน่า
ฮาธอสเกิดในแดนร้างอันเป้นแดนนรกของสวรรค์

ต่างกันแค่ ไคซัสเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ที่แปดเปื้อนด้วยความมืดของดินแดนเบื้องล่าง ส่วนฮาธอสเป็นเลือดผสมฮับ นิสัยแสนดี๊แดสนดีเลยเนอะ

คุณ อายทำไม รางวัลนี้ออกจะเล็กน้อยในสายตาของไคซัสนะครับ เพราะเขาอยากได้รางวัลที่ถึงใจกว่านั้นอีก (ฮา) แต่ผมเขียนสวรรค์ได้ร้ายมาก ขนาดที่มีนักอ่านเกลียดเทพไปหมดแล้ว (แอบปลื้ม) ตอนนี้กลับมาอัพต่อได้แล้ว แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่อัพนะฮับ เพราะไม่ว่าง ฮ่าๆ XD

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 12 up 02/09/13
«ตอบ #57 เมื่อ03-09-2013 03:47:17 »

แล้วฮาธอสจะกลายเป็นตัวร้ายเหมือนแฝดของเค้าไหมคะ อยากรู้

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 12 up 02/09/13
«ตอบ #58 เมื่อ03-09-2013 20:02:53 »

บทที่ 13 การล่อลวงจากรัตติกาล

- 50% -

“หึ หึ หึ...”

เสียงหัวเราะของดาริคก้องกังวานตัดกับความเงียบในห้องทำงานของไคซัส ผู้เป็นเจ้าของห้องซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานปรายตามองอย่างไม่ชอบใจเอาเลย ห่างมือเขาไม่ไกลมีห่อผ้าไหมสีเหลืองทองทรงสี่เหลี่ยมวางอยู่ด้วย แต่คนที่กำลังมีความสุขกับภาพในหัวสมองจะสนใจหรือก็หาไม่ เขายังคงหัวเราะต่อไป ซ้ำยังขยายรอยยิ้มกว้างขึ้นอีกด้วย

“เลิกหัวเราะสักที แล้วก็รอยยิ้มน่าเกลียดนั่นอีก!” ไคซัสทนไม่ไหวโยนเอกสารทิ้งลงบนโต๊ะดังปัง

“ไม่เอาน่า อย่าโมโหโกรธาไปหน่อยเลย แค่ข้าบังเอิญไปเจอท่านอยู่บนเตียงกับคนรักเอง” ดาริคย้อนถามเสียงใสพร้อมส่งยิ้มหน้าเป็นมาให้ เทพอสูรที่ต้องรับไว้ถอนใจอย่างเซ็ง ๆ

เนื่องจากอสูรส่วนมากวิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่หลอมรวมกับอำนาจธรรมชาติ หรือไม่ก็ผสมกับปีศาจจนออกมาเป็นอสูร หรืออมนุษย์ที่ถือกำเนิดอย่างผิดปกติ ทำให้ประชากรในเผ่านี้มีความคิดบนพื้นฐานของสัญชาตญาณสัตว์ป่า น้อยตนที่จะกำเนิดมาโดยมีสติปัญญาเทียบเท่าหรือเหนือมนุษย์ติดมาด้วย

ดาริค อานเดลล์เป็นหนึ่งในอสูรที่มีสติปัญญาสูงส่ง เขากำเนิดในตระกูลอสูรนกอินทรีดำระดับสูงและมีความสามารถหลายด้าน ไคซัสจึงดึงตัวมาเป็นราชเลขาส่วนตัว กฎหมายฉบับแรกถูกตราใช้ในอาณาจักรได้ก็ด้วยความช่วยเหลือของเขา แผนการพัฒนาดินแดนอีกหลายแผนก็เกิดขึ้นจริงได้ด้วยฝีมือของคนผู้นี้ เรียกได้ว่าเป็นสหายและขุนนางคู่บารมีของไคซัสเลยก็ว่าได้ ต่อไปในอนาคตเขาจะเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลไคมีร่าจนกว่าจะปกครองอาณาจักรได้ด้วยตนเอง เนื่องจากเป็นอสูรตนเดียวที่ปราบเธอได้อยู่หมัด หากว่าไม่นับรวมไคซัสด้วย

“น่าแปลกใจนิดหน่อยที่เป็น ‘ผู้ชาย’ แต่จากที่ข้าดูเขาก็ตรงกับที่ไคมีร่าทำนายไว้นะ ที่ว่า ‘โอปอลสีฟ้าของเจ้าอยู่บนสวรรค์’ น่ะ” สหายหนุ่มยิ้มหวานแฝงอาการล้อเลียนในที

“เลิกล้อข้าสักที ยังไม่รู้สักหน่อยว่าฮาธอสเป็นโอปอลชิ้นนั้นหรือเปล่า” ไคซัสตอบปัดเพื่อเลี่ยงหัวข้อนี้

“แหม...พูดแบบนี้ก็มีลุ้นน่ะสิ ข้าหวังว่าเขาจะ ‘ใช่’ นะ เพราะข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุขเสียที” ดาริคยิ้มบางซึ่งสื่อความหมายจริงใจตรงกับคำพูดของเขา

“เรื่องนั้นช่างมันก่อน” มหาเทพสงครามโบกมือเป็นสัญญาณเปลี่ยนหัวข้อสนทนาจริง ๆ สักที “ไหนลองบอกมาสิว่า มีเหตุผลอะไรบ้างที่จะทำให้ข้าไม่เล่นงานเจ้าหลังบุกเข้ามาในห้องนอนอย่างอุกอาจแบบนั้น อย่าคิดโยนความผิดให้อัลวิน เขาต้องเตือนเจ้าแล้วว่าข้ากำลังพักผ่อนอยู่!”

เพราะการดักทางอย่างรู้ทันในตอนท้าย ทำให้ดาริคต้องปิดปากและถอยหลับไปตั้งหลักใหม่ กระนั้นมันก้ทำให้เขารู้ว่าต่อให้ไคซัสย้ายไปอยู่ที่ไหน ชายหนุ่มก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขาจะสังเกตอุปนิสัยใจคอของข้ารับใช้ใกล้ชิดทุกคน และใครก็ตามที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับความภักดีกลับมาสูงก็จะเก็บไว้ข้างตัว แน่นอนว่าเขาเองก็เคยโดนมาแล้วเหมือนกัน จึงรู้ดีว่าไม่มีทางหลบเลี่ยงคำถามของอีกฝ่ายได้

“เพราะข้าเอาข่าวมาจากโลกเบื้องล่างด้วยน่ะสิ ข้าคิดว่าท่านคงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

ริมฝีปากหนาได้รูปของไคซัสเหยียดยาวเป็นรอยยิ้มอย่างชื่นชม สมแล้วที่คบหันมานาน ดาริครู้จักและรู้ใจเขามากกว่าใคร ถ้าเป็นเหตุผลนี้ก็ล่ะก็...ไม่เพียงแต่ไม่ถูกลงโทษ แต่ยังได้รับการอภัยโดยไม่ต้องพูดอีกด้วย

“ว่ามาสิ ช่วงข้าไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“ค่อนข้างวุ่นวายเอาการ” สีหน้าของดาริคเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาเปิดกระเป๋าเป้ที่วางข้างเก้าอี้แล้วหยิบบันทึกปกขาวมาวางต่อหน้าอดีตราชาอสูร “ในสงครามครั้งก่อนขุนพลเทพที่ชื่อ ‘เซย์เรียโน่’ ทำลายกองทัพปีศาจเสียสิ้น จอมปีศาจไม่พอใจมากจึงสั่งให้สะสมกำลังใหม่ทุกวิถีทาง ไม่เกี่ยงแม้แต่ปลุกศพมนุษย์ที่ตายแล้วมาทำเป็นตุ๊กตาสงคราม ส่วนฝ่ายเรา หลังจากที่เจ้าขึ้นสวรรค์มาแล้ว ทางชายแดนก็ตึงเครียดเอาการ แต่เพราะเจ้าไปคุยกับจ้าวยมโลกไว้แล้วและเตรียมแผนรับมือไว้ด้วย พวกมันจึงยังไม่กล้าลงมือ”

ไคซัสรับฟังด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายเท่าไหร่นัก เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ก่อนจะขึ้นสวรรค์แล้ว มือใหญ่เลื่อนไปหยิบบันทึกมาเปิดอ่านรายละเอียดอย่างคร่าว ๆ ซึ่งสหายของเขาเขียนสรุปทุกเหตุการณ์ได้สั้นกระชับ กระนั้นก็ครอบคลุมรายละเอียดสำคัญทั้งหมด

“แต่ว่า...” น้ำเสียงเครียดขึงเรียกสายตาของไคซัสให้ตวัดกลับไปหาเพื่อน “...เรื่องที่ข้ากังวลที่สุดก็คือพลังมืดที่กำลังแผ่อิทธิพลอย่างหนักในโลกมนุษย์ พวกปีศาจคงกำลังวางแผนใช้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์เป็นแรงเสริมในการยึดครองดินแดน ท่านคงรู้ว่ามนุษย์นั้นอ่อนแอและอ่อนไหวแค่ไหน ถ้าพวกเขารับอิทธิพลด้านมืดมากเกินไป มิติเฮมอสคงไม่ต่างกันนรกในรัตติกาลแน่นอน”

มหาเทพสงครามเปิดบันทึกไปยังหน้าต่อไปซึ่งกล่าวถึงเรื่องนี้พอดี เจ้าของร่างสูงใหญ่ใช้เวลาอ่านสักครู่ก็ส่ายศีรษะเป็นเชิงไม่ยอมรับ

“ฟาเบียนไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหรอก เจ้านั่นหวงแดนมนุษย์ของเฮมอสอย่างกับอะไรดี” ไคซัสว่า

อาจจะดูเป็นเรื่องแปลกที่เทพกับปีศาจมาก่อสงครามกัน เพียงเพื่อแก่งแยกดินแดนเล็ก ๆ ในสายตาของพวกเขา แต่มันก็เพราะโลกมนุษย์ของเฮมอสนั้นแตกต่างจากของมิติอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการหลอมรวมกันของพลังธรรมชาติในจักรภพจนกระทั่งเกิดเป็นโลก แผ่นดิน ท้องฟ้า สายลม และสรรพชีวิตซึ่งวิวัฒนาการไปตามธรรมชาติของมันเอง

แต่โลกมนุษย์ของมิติเฮมอสนั้นถูกสร้างขึ้นโดยความร่วมมือของเทพเจ้าผู้สร้างกับจอมราชาปีศาจ ซึ่งในทางการเมืองถือเป็นสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ของการร่วมมือกัน ทว่าหลังสร้างเสร็จได้ไม่นานก็เกิดความแตกแยกระหว่างองค์เทพกับจอมมารจนได้ ฝ่ายแรกต้องการให้โลกมนุษย์วิวัฒนาการไปด้วยตัวของมันเอง โดยมีเทพเป็นคนกำกับชะตากรรมอย่างมิติอื่น ๆ แต่ฝ่ายหลังกลับต้องการปกครองในฐานะของคนที่สร้างขึ้นมา ผลที่ตามมาก็คือ ‘สงคราม’ ที่ดำเนินมาหลายชั่วรุ่นและยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ

“นั่นสินะ แต่จะให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปล่อยวางเสียก็ไม่ได้ด้วย ดันเป็นดินแดนที่มีความหมายต่อแต่ละฝ่ายมากนี่นะ” ดาริคยิ้มเย้ยหยันระคนเบื่อหน่าย “เมื่อไหร่จะจบสักทีหนอ”

“เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อยยับกระมัง” ไคซัสตอบง่าย ๆ ราวกับว่ายังไงก็ได้ “ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม”

“มี!”

แล้วทั้งสองก็พูดคุยกันไปอีกหลายเรื่อง เริ่มจากความเคลื่อนไหวของกองทัพปีศาจในดินแดนต่าง ๆ ของโลกเบื้องล่างต่อจากเมื่อกี้ ดาริคได้อธิบายเพิ่มเติมว่าอาณาจักรใดบ้างที่มีแนวโน้มจะถูกอำนาจของเผ่าปีศาจครอบงำ ตลอดจนถึงท่าทีของเหล่าผู้นำอาณาจักรมนุษย์ที่มีต่อเรื่องนี้ ส่วนใหญ่จะมุ่งเสริมกำลังเพื่อปกป้องตัวเองก่อน มีเพียงไม่กี่กลุ่มที่ผนึกกำลังกันเพื่อต่อต้านมารร้าย

ไม่นานหัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องภายในเผ่าอสูร ซึ่งส่อเค้าความวุ่นวายให้เห็น เนื่องจากไคซัสขึ้นสวรรค์อย่างกะทันหัน โดยบอกไว้แค่ว่าไคมีร่าผู้เป็นน้องสาวจะรับหน้าที่ราชินีต่อจากเขา แน่นอนว่าเหล่าขุนนางย่อมเชื่อฟังในสิ่งที่เขาพูดอยู่แล้ว แต่เพราะไคมีร่าก่อเรื่องใหญ่ขึ้น ขุนนางบางกลุ่มจึงเริ่มไม่เห็นด้วย แม้จะมีการชี้แจงแล้วว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัยแล้วก็ตามที แต่ไคซัสกลับไม่ได้ออกความเห็นมากไปกว่าบอกว่า มันเป็นปัญหาที่ไคมีร่าต้องจัดการเอง

“จัดการเอง? ให้เด็กดื้อนั่นไปจัดการเองเนี่ยนะ!” ดาริคร้องอย่างตื่นตระหนกระคนไม่อยากเชื่อ “เจ้าก็รู้ว่าไคมีร่าไม่อยากเป็นราชินี นางถึงต่อต้านด้วยการหนีขึ้นสวรรค์มาท่านจนเกิดเรื่องใหญ่โต ถ้าให้นางจัดการเองคงเกิดหายนะแน่ ๆ!”

“ไม่หรอกน่า”

“ใช่สิ!” หากกระแสเสียงที่เถียงกลับมานี้มีแค่ของดาริคก็คงไม่น่าแปลกใจนัก แต่นี่มีเสียงไพเราะของไคมีร่าปะปนมาด้วย อสูรหนุ่มทั้งสองจึงหันมองต้นเสียงพร้อมกัน ไคมีร่าก้าวเข้ามาพร้อมดึงประตูปิดดังปังใหญ่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอัลล์กับทหารที่เฝ้าข้างนอกต้องสะดุ้งตกใจไปตาม ๆ กันใบหน้าพริ้มเพลาบูดบึ้งหลังจากได้ยินคำพูดของพี่ชายเมื่อกี้

“ข้าขอยืนยันอีกครั้งว่า ข้าไม่เหมาะสมจะเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน พี่ลาออกจากตำแหน่งมหาเทพสงครามแล้วกลับบ้านเรากันเถอะนะ” เด็กสาวเดินมาจับแขนพี่ชายเขย่าอย่างเว้าวอน

“เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะ ไคมีร่า” เพียงประโยคเดียวที่พี่ชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไคมีร่าก็เงียบแล้วทำหน้าหมองนิดหน่อยก่อนสะบัดหน้าเชอะไปอีกทางอย่างขัดเคืองใจ ผิดกับดาริคที่ผิวปากอย่างชื่นชม เรื่องของพี่น้องควรให้จัดการกันเองจะดีที่สุด กระนั้นเจ้าตัวก็รู้ดีว่าคำพูดนั้นส่งมาถึงตัวเองด้วย “ว่าแต่ลงมานี่มีเรื่องอะไรรึ หรือว่าอยากมาเจอดาริค?”

“เผื่อว่าข้าจะได้ลากตัวกลับไปสะสางบัญชีที่ก่อไว้ไงล่ะ” ดาริคกอดอกยิ้มหวาน แต่สายตากลับสาดรังสีอำมหิต ในฐานะพี่เลี้ยงของว่าที่องค์ราชินีแห่งเผ่าอสูร เรื่องนี้ทำให้เขาโกรธมากทีเดียว

“มะ...ไม่ใช่สักหน่อย ข้าลงมาเพราะเรื่องฮาธอสต่างหาก” ไคมีร่าร้องหลังวิ่งไปหลบหลังพี่ชาย เพราะผวาสายตาของดาริคและรู้ในตอนนี้เลยว่าเมื่อกลับเผ่าแล้วจะต้องเจอกับการลงโทษแบบไหนบ้าง

ไคซัสย่นคิ้วแล้วเอี้ยวตัวไปถามน้องสาวด้วยสีหน้าร้อนใจ “ฮาธอสเป็นอะไรไป”

“เขาไม่ได้เป็นอะไรหรอก ตอนนี้กินยาแล้วก็พักผ่อนแล้วล่ะ” ไคมีร่าบอกเรื่องที่จะทำให้ไคซัสสบายใจก่อน สมแล้วที่เป็นน้องสาวที่รักพี่ชายอย่างสุดหัวใจ “แต่ว่าพวกท่านไปพูดอะไรต่อหน้าฮาธอส เขาถามข้าใหญ่เลยว่ารู้เหตุผลที่ทำให้พี่ไคซัสขึ้นสวรรค์ไหม และรู้ไหมว่าดาริคเอาอะไรมาให้กับพี่ ดีนะว่ายาออกฤทธิ์พอดี ข้าก็เลยไม่ต้องตอบ” เพราะต่อให้ต้องตอบก็มีแต่คำว่า ‘ไม่รู้’ เท่านั้น เด็กสาวคิดอย่างหงุดหงิดโดยไม่ได้พูดออกไป

ดาริคเบือนหน้ามองสหายผู้สูงศักดิ์ด้วยความสงสัยว่าจะทำอย่างไรต่อ เพราะหัวข้อดำเนินมาถึงเรื่องที่เจ้าตัวอยากเลี่ยงมากที่สุดถึงสองเรื่องด้วยกัน แต่ต้นตอของปัญหาจริง ๆ มาจากการที่ไคซัสไม่ค่อยพูดถึงเรื่องตัวเองนั่นแหละ ไคมีร่ากับเหล่าขุนนางเรื่อยไม่ถึงประชาชน ไม่มีใครได้รู้เหตุผลที่ทำให้ไคซัสขึ้นสวรรค์แม้แต่คนเดียว ยกเว้นเขา...ดาริคที่ได้คุยกับราชาอสูรเป็นตนสุดท้ายก่อนอีกฝ่ายจะขึ้นสวรรค์

“ถ้าเขาถามอีก...ก็บอกไปว่า ข้าทำเพื่อเผ่า” คำตอบที่หลุดจากปากของเทพอสูรปากหนักอย่างง่ายดาย เล่นเอาคู่สนทนาตกตะลึงพึงเพริศไปตาม ๆ กัน “พวกเจ้าก็รู้ดีว่าแดนอสูรตั้งขวางช่องมิติที่ใช้ขึ้นสวรรค์ได้ ทางเดียวกับที่ไคมีร่าใช้ขึ้นมานั่นแหละ ก่อนข้าจะนั่งบัลลังก์ เผ่าปีศาจโจมตีเผ่าอสูรบ่อย ๆ ก็เพื่อใช้เส้นทางนี้”

“แต่ข้าได้ยินว่าหลังพี่นั่งบัลลังก์และเอาชนะกองทัพปีศาจได้อย่างเด็ดขาด พวกมันก็ไม่เคยมายุ่งกับเราอีกเลยนี่นา” ไคมีร่าย้ายกลับมายืนต่อหน้าพี่ชาย หน้าตาแตกตื่นด้วยความตกใจและไม่เข้าใจระคนกันไป เธออาจเกิดไม่ทันเรื่องราวในช่วงนั้น แต่ก็ได้ยินขุนนางกับประชาชนสรรเสริญความดีข้อนี้ของเขาจนชินหู เธอจึงเชื่อมั่นมาตลอดว่าเผ่าปีศาจไม่มีทางทำอะไรพวกเธอได้ ถ้าหากว่าไคซัสยังคงปกครองเผ่าอสูรอยู่

“เพียงแค่นั้นยังรับประกันอะไรไม่ได้หรอก ไคมีร่า เจ้าลองนึกดูแล้วกันว่าถ้าวันใดวันหนึ่งเผ่าปีศาจเอาชนะสวรรค์และได้โลกมนุษย์ไปครอบครอง หรือแม้แต่ยึดครองสวรรค์ได้ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป” ไคซัสเลิกคิ้วอย่างสงสัยให้น้องสาวที่นิ่งไป ชายหนุ่มรู้ว่าเธอเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ไม่เพียงเพราะเธอเป็นน้องสาวของเขา แต่เธอยังเป็นว่าที่ราชินีแห่งเผ่าอสูรอีกด้วย กระนั้นมหาเทพสงครามยังพูดต่อเพื่อตอกย้ำมันไว้ในใจเธอ “ใช่แล้วล่ะ เมื่อใดก็ตามที่มันครอบครองโลกมนุษย์ได้ แม้จะแค่ระยะเวลาสั้น ๆ มันก็จะเล่นงานเราที่เป็นก้างชิ้นโตขวางคอมันมาตลอด เมื่อถึงตอนนั้นความเสียหายจะมากกว่าตอนที่ข้าเอาชนะกองทัพปีศาจได้เสียอีก”

“ไม่หรอกน่า...” ไคมีร่ายังดื้อ แย้งด้วยความหวังอันมืดมน

“เราไม่รู้อนาคตนะ ไคมีร่า” ดาริคพูดขึ้นมาบ้าง “ไคซัสเองก็ไม่สามารถปกป้องเผ่าอสูรได้ชั่วชีวิตด้วย การสร้างพันธมิตรที่หยั่งยืนถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด มหาเทพจ้าวสวรรค์คงเล็งเห็นข้อนี้ถึงได้พยายามเชิญไคซัสมารับตำแหน่งมหาเทพสงคราม...”

“สวรรค์อาจไม่ใช่ดินแดนที่ดีที่สุด แต่สำหรับเราที่ไม่รู้ว่าอันตรายของเผ่าปีศาจจะย้อนมาอีกเมื่อไหร่ถือเป็นมิตรที่ดีที่สุด การขึ้นสวรรค์ของข้าก็เพื่อทำให้สายสัมพันธ์ของทั้งสองดินแดนแน่นแฟ้นขึ้น และยังเพื่อเสริมกำลังให้กองทัพที่กำลังอ่อนแอของสวรรค์ด้วย” นั่นคือเหตุผล ‘ส่วนแรก’ ที่ทำให้ไคซัสตัดสินใจขึ้นสวรรค์ อีกส่วนนั้นเกี่ยวกับ ‘ของ’ ที่ดาริคเอาขึ้นมาด้วย แต่เขาตั้งใจว่าจะยังไม่พูดถึงเรื่องนี้กับคนอื่นอีกจนกว่าจะถึงเวลา

“เหรอ...” น้ำเสียงเศร้าสร้อยลอยขึ้นมา เรียกสายตาของพวกผู้ชายไปหาไคมีร่าอีกครั้ง เด็กสาวยืนก้มหน้านิ่ง แพขนตายาวหลุบต่ำราวกับต้องการปกปิดความน้อยเนื้อต่ำใจในดวงตาคู่สวย “...อย่างนี้เอง ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

“นั่นเพราะข้าไม่ได้บอกเจ้าต่างหาก อย่าร้องไห้เลยนะ” ไคซัสเห็นความผิดปกติจึงรีบลุกไปเพื่อปลอบเธอ แต่ตอนกำลังจะถึงตัวเธอ เด็กสาวกลับเงยหน้าขึ้นมายิ้มร่าอย่างล้อเลียนให้

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ติดกับข้าซะแล้ว พี่ชาย” ไคมีร่ากอดท้องหัวเราะกับใบหน้างงเป็นไก่ตาแตกของคนเป็นพี่ ก่อนค่อย ๆ หยุดแล้วปาดน้ำตาที่ซึมมาด้วยความขำ “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ทำให้ข้าเสียใจหรอกน่า และมันยังทำให้ข้าเข้าใจอะไรต่อมีอะไรมากขึ้นด้วย” พูดแล้วเงยหน้ายิ้มเป็นผู้ใหญ่ให้ไคซัส “แต่ว่านะ ถึงท่านจะขึ้นสวรรค์แล้ว แต่ก็ยังคงเป็นผู้นำที่ห่วงใยและใส่ใจถึงราษฎรเสมอ พวกเราชาวอสูรแห่งเฮมอสโชคดีมากที่มีท่านเป็นราชา ขอบคุณมากนะเจ้าคะ เอาล่ะ ข้าไม่กวนพวกท่านแล้ว ขอตัวก่อนนะ”

“ไคมีร่า!” มหาเทพสงครามร้องเรียกไว้ทันทีที่น้องสาวหันหลังวิ่งจากไป เธอชะงักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หันกลับมาและก้าวฉับ ๆ ออกจากห้องไปต่อหน้าต่อตาเขา ทิ้งให้พี่ชายยืนตกใจกับท่าทางอันผิดปกติของเธอ พอตั้งสติได้ใบหน้าดุดันก็เบือนไปหาสหาย “ดาริค!”

“รู้แล้ว ๆ ข้าจะไปคุยกับนางเอง” นกอินทรีอสูรตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ชินชากับการต้องเป็นกาวประสานใจระหว่างพี่น้องเสียแล้ว “แต่นั่นก็หลังจากที่ข้าคุยเสร็จแล้ว ท่านเจอสิ่งที่ตามหาหรือยัง”

“ยังเลย” ไคซัสเอามือลูบหน้าผาก ปรับอารมณ์ให้กลับมานิ่งเหมือนเดิม แต่ต้องยอมรับว่าท่าทางของน้องสาวเมื่อกี้ทำให้เขาช็อกมาก “แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาพอจะบอกได้ว่าสิ่งที่ข้าตามหาอยู่ในสวรรค์นี่เอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน มันส่งลิ่วล้อมาอย่างเดียวและยังถูกทำลายก่อนจะตามรอยเจอเสียด้วย”

“ท่านคิดว่า ‘เจ้าของสิ่งนั้น’ อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดรึ?” ดาริคขมวดคิ้วขณะคาดเดาความคิดของสหายไปด้วย เพราะไคซัสไม่ค่อยพูดถึงเรื่องของตัวเอง เขาจึงต้องประติดประต่อเอาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวอีกฝ่าย แต่จะได้ผลตรงกับความคิดหรือเรื่องราวแท้จริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“ข้า...ไม่แน่ใจนักหรอก ถึงได้ให้เจ้าเอา ‘ของ’ มาให้ไงล่ะ” ขณะพูดประโยคนี้ จิตใจของไคซัสก็กลับมาสงบและมั่นคงอีกครั้ง แต่ในสายตาคนมองนั้น สีหน้าของเทพอสูรหนุ่มติดจะเจ็บปวดเล็กน้อย ทว่าเพราะเกิดขึ้นหลังไคมีร่าหนีไปพอดี ดาริคจึงคิดว่าสหายคงเสียใจติดพันมาจากเรื่องนั้น “ถ้าหากว่าเป็นอย่างที่ข้าคิด มันจะต้องหาทางมาเอา ‘ของ’ ไปอย่างแน่นอน”

“วิธีการนี้จะเสี่ยงไปหน่อยหรือเปล่า” ดาริคมองห่อผ้าสีทองบนโต๊ะทำงานไคซัสอย่างไม่สบายใจ นึกย้อนไปถึงช่วงก่อนเพื่อนคนนี้จะขึ้นสวรรค์ ซึ่งอีกฝ่ายได้พูดเรื่องหนึ่งไว้กับเขา “การเปลี่ยนแปลงของสวรรค์ที่เจ้าสัมผัสจากแดนอสูรอาจเกิดขึ้นเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์อ่อนแอเองก็ได้”

“ถ้าพลังศักดิ์สิทธิ์อ่อนแอด้วยตัวของมันเอง แมลงไสยเวทคงไม่วิ่งพล่านไปทั่วอย่างนี้ ที่สำคัญพลังมืดที่ข้าสัมผัสได้คงไม่มีแค่หนึ่งเดียวด้วย” ความเงียบปรากฏในอึดใจที่มหาเทพสงครามสบตากับเพื่อน “ข้ารู้สึกถึงมันตั้งแต่วันแรกที่เหยียบย่างเข้ามาที่นี่ พลังมืดที่ร่วมกับพลังศักดิ์สิทธิ์ต่อต้านตัวตนของข้า ขนาดค้นหาด้วยการตรวจสอบเขตแดนก็แล้ว ย้อนรอยด้วยแมลงไสยเวทก็แล้ว แต่ก็ยังไม่พบที่มาของมันอยู่ดี มีบางสิ่งบางอย่างขวางระหว่างข้ากับเจ้าสิ่งนั้น”

“เพราะอย่างนั้นท่านถึงแสวงหาทางอื่นสินะ แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับวิธีนำภัยมาหาตัวเองแบบนี้ และท่านเองก็ไม่มีจุดเชื่อมโยงด้วยมิใช่หรือ” ดาริครู้ว่าวิธีการพูดของตนฟังดูเจาะจงและคาดคั้นจนเกินไป ทว่าถ้าไม่ทำแบบนี้เขาก็คงไม่มีวันรู้ว่ามหาเทพสงครามคิดอะไรอยู่

แน่นอนว่าไคซัสเข้าใจจุดประสงค์ของเพื่อนดี จึงมิได้รู้สึกขัดเคืองหรืออนาทรร้อนใจกันใด ตรงกันข้ามเขากลับอยากระบายความอัดอั้นซึ่งก่อตัวแน่นในอกเมื่อไม่นานมานี้ออกไปบ้าง เทพอสูรหนุ่มผินหน้าไปทางตะวันออกพลางเปรยออกมา

“ในตำหนักนี้มีเทพที่จะเป็นจุดเชื่อมโยงอยู่สองตน ซึ่งข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนไหนจะทำให้ข้าสมความปรารถนา สิ่งเดียวที่ข้ารู้ก็คือ...วิธีการของข้าจะทำให้เทพสองตนนั้นต้องพบกับความเจ็บปวด...”

เป็นครั้งที่สองของวันที่ดาริต้องตกตะลึงพึงเพริศหลังได้ยินคำตอบของไคซัส น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความเสียใจ ใบหน้าเปื้อนยิ้มบางเบาอย่างแสนเศร้า...และแววตาเจ็บปวดลึกซึ้ง...แทบไม่เหมือนเทพอสูรผู้หยิ่งทระนงแฝงด้วยความป่าเถื่อนที่เคยจำได้แม้แต่น้อย

ตั้งแต่รู้จักกันมาไคซัสไม่เคยแสดงความรู้สึกให้ใครเห็นมาก่อน ยกเว้นเพียงเรื่องของน้องสาวซึ่งก็ไม่บ่อยนัก การที่เขายอมเปิดเผยความรู้สึกขนาดนี้แสดงว่าภายในคงอัดแน่นไปด้วยอารมณ์นั้น เพียงแต่...จะเป็นไปด้วยสาเหตุใดล่ะ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเทพสองตนที่ว่านั่นเป็นใครด้วย นี่ไคซัสกำลังเวทนาแทนเทพสองตนนั้น หรือเสียใจที่ต้องใช้แผนการนี้ หรือทั้งสองอย่างกันแน่...

แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร...สัญชาตญาณจากส่วนลึกบอกกับดาริค...ว่าควรสวดภาวนาอย่าให้คนที่ถูกหลอกใช้นั้นเป็นเทพในดวงใจของไคซัสเลย

---------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2013 20:06:47 โดย Makoto-sang »

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 12 up 02/09/13
«ตอบ #59 เมื่อ03-09-2013 20:07:49 »

- 98% -

ท้องฟ้าส่องแสงแปลบปลาบยามอสนีบาตฟาดเปรี้ยงปร้างไปทั่วหุบเขาแห่งแดนร้าง สายฝนสาดซัดไปทั่วไปราวกับน้ำตาแห่งสรวงสวรรค์ กระแสลมพัดแรงจนเกิดเสียงอื้ออึงน่าพรั่นพรึงยิ่ง ทั่วท้องฟ้าอาเพศเต็มไปด้วยวิญญาณสีดำบินว่อนพลางส่งเสียงกรีดร้องราวกับมิใช่ส่วนหนึ่งของแดนสวรรค์

...ใช่...แม้จะอยู่บนสวรรค์ก็มิใช่สวรรค์ แต่เป็น ‘แดนร้าง’ เขตเนรเทศของนักโทษสวรรค์!

ฮาธอสพบตัวเองอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ที่เพดานสูงกว่าศีรษะของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ชายหนุ่มสวมใส่ชุดสีน้ำตาลเก่า ๆ ขาด ๆ เต็มไปด้วยรอยปะชุนหลายแห่ง แขนเสื้อข้างซ้ายถูกกระชากขาดไปครึ่งหนึ่งเผยลำแขนขาวที่ชุ่มเลือดที่ไหลจากบาดแผลถูกฟันขาดใหญ่ตรงหัวไหล่ ดวงตาสีน้ำเงินกลอกมองซ้ายขวาด้วยความตกใจสุดขีด

‘ทำไม’ สุ้มเสียงทุ้มต่ำที่เกือบจะอยู่ในโทนเดียวกับของเขาดังมาจากข้างหน้า ฮาธอสตกใจสะดุ้งโหยงและเงยหน้ามองไปยังเงาร่างเทพที่เร้นกายอยู่กำแพงโปร่งแสง แม้จะมองไม่เห็นหน้า แต่มันก็แผ่รังสีแห่งความเคียดแค้นชิงชังออกมาจนสัมผัสได้ ‘...ทำไม...ฮาธอส! ข้าทำเพื่อพวกเรา ทำไมเจ้าถึงคอยขัดขวางข้า!’

‘เพราะสิ่งที่ท่านทำมันผิดน่ะสิ ข้าถึงห้าม’ ฮาธอสตอบกลับไปด้วยคำพูดที่เอ่ยมานับครั้งไม่ถ้วน

‘แล้วที่พวกมันทำกับเราไม่ผิดหรือ!’ น้ำเสียงที่มีแต่ความแค้นคาดคั้นกลับมา

‘ผิด...แต่ไม่ใช่เหตุผลที่ท่านจะทำแบบนี้!’ เทพคนสวนโต้แย้งด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว ‘หยุดเถอะ ความแค้นช่วยท่านไม่ได้หรอก!’

แต่ทันทีที่สิ้นเสียง ความมืดรอบด้านก็เปลี่ยนเป็นรยางค์รัดรอบลำคอฮาธอส เทพคนสวนเอามือแตะมันพยายามจะทำลายมนตราให้จงได้ ทว่าพลังของอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งทำให้มนต์แก้ของเขาใช้ไม่ได้ผล ในดวงตาที่กำลังพร่าเลือนขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏเงาดำอันน่าสะพรึงกลัวให้เห็น

‘ได้สิ ฮาธอส’ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความกระหยิ่มและสมใจราวกับเฝ้าเวลานี้มานานแสนนาน แล้วมันก็พูดอีกประโยคพร้อมกับเงามือเหมือนกรงเล็บที่กระซวกกลางอกฮาธอส

‘ความแค้นจะทำให้ข้าสมหวังแน่นอน!!’

----------------

“ไม่!”

ดวงตาสีน้ำเงินเบิ่งโพล่งหลังเสียงตื่นตระหนกที่ร้องออกมาเต็มเสียง ก่อนภาพเพดานสีน้ำตาลแกะสลักลวดลายเครือเถาอย่างสวยงามจะเตือนสติให้รู้ ว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงความฝัน...แต่ก็เป็นความฝันที่เหมือนจริงจนทำให้ฮาธอสหันไปหาคนที่นอนอยู่ข้างกาย หมายขอไออุ่นมาสงบจิตใจอันว้าวุ้นของตัวเอง

ทว่าเทพหนุ่มต้องใจหาย หลังเห็นข้างกายตัวเองมีแต่ความว่างเปล่า ฟูกฝั่งของไคซัสเย็นชืดบ่งชัดว่าเจ้าตัวยังไม่ได้กลับมา ร่างสูงโปร่งจึงขยับลุกขึ้นนั่งด้วยตนเองและคลำหารอยรัดที่ลำคอ แน่นอนว่าเขาต้องไม่พบอะไร เพราะมันเป็นเพียงความฝันซึ่งไม่มีทางที่คนในนั้นจะมาทำร้ายกายเนื้อของเขาได้ ทว่า...

“ท่านพี่...จนป่านนี้แล้ว...ท่านยังเคืองแค้นอยู่อีกหรือ...” เทพคนสวนซบหน้ากับสองมือ ชายหนุ่มไม่ได้ฝันถึงคนผู้นั้นมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่นึกถึง รอบแผลเป็นที่ฝังแน่นในใจก็จะกำเริบทำให้นึกถึงอดีตที่มีแต่ความเจ็บปวดอีกครา...

ถึงแม้ว่าเขากับเฮสเลนจะอุบัติจากอุทรของมารดาพร้อมกันและมีใบหน้ากับดวงตาเหมือนกัน แต่ลักษณะที่เหลือและอุปนิสัยใจคอกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เฮสเลนมีเรือนผมสีดำและนิสัยโหดเหี้ยม เขาเกลียดชังสวรรค์ที่ทำให้พวกตนต้องตกระกำลำบากถึงขนาดมารดาจุติทันทีที่ให้กำเนิดพวกเขาแล้ว ในขณะที่ฮาธอสมีเรือนผมสีทองและจิตใจที่อ่อนโยน ชายหนุ่มไม่เคยโกรธเคืองสวรรค์ด้วยถือว่านี่เป็นชะตากรรมที่ตนเองต้องพบเจอและหาทางเอาชนะด้วยหนทางที่ดีงาม

ช่วงเวลาที่เติบโตด้วยกันนั้น ฮาธอสกับเฮสเลนยังอุดหนุนเกื้อกูลกันตามประสาพี่น้อง แน่นอนว่าชายหนุ่มรักพี่ชายร่วมสายเลือดของตนเองมาก แต่ทางแยกของชีวิตก็มาถึงเมื่อเฮสเลนลุแก่อำนาจมืดมหาศาลที่สืบทอดมาจากบิดา เริ่มแก้แค้นสวรรค์ด้วยการก่อความวุ่นวายต่าง ๆ นานา โดยไม่สนใจว่าจะมีผู้บริสุทธิ์ถูกลูกหลงไปด้วยหรือไม่และไม่สนใจคำห้ามปรามจากน้องชายเลย

เพื่อหยุดความคิดมิให้หลงกลับไปในวังวนอันมืดมนในอดีต ฮาธอสจึงไปหยิบเสื้อคลุมเนื้อหนามาสวมใส่เพื่อสวมเตรียมตัวออกไปข้างนอก แต่ก็อดเหลียวกลับไปมองเตียงใหญ่ที่ใช้นอนคนเดียวอีกครั้งมิได้

คืนนี้...เป็นคืนที่ห้าแล้วที่ไคซัสไม่ได้กลับมานอนด้วยกัน หากจะให้นับก็ตั้งแต่วันที่ดาริคพร้อมกับ ‘ของ’ ที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นกระตุก หลังจากดาริคพาไคมีร่ากลับไป เพื่อดำเนินการเรื่องค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเสาเขตแดน ฮาธอสเสี่ยงเอ่ยปากถามถึง ‘ของ’ กับไคซัสไปครั้งหนึ่ง...ด้วยความอยากรู้

‘แค่ของชิ้นหนึ่ง เจ้าอย่าไปสนใจเลยนะ ฮาธอส’

ไคซัสตอบแบบนั้นด้วยสายตาปิดกั้นเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก ฮาธอสจึงไม่กล้าถามต่อและปล่อยให้การสนทนาจบลง หลังจากนั้นมหาเทพสงครามก็ยุ่งอยู่กับงานจนไม่มีเวลากลับห้องอีกเลย ถึงตอนกลางวันจะแวะเวียนมาเยี่ยมเป็นช่วงสั้น ๆ บ้าง แต่เมื่อยามราตรีมาถึงฮาธอสก็ต้องอยู่เพียงลำพัง แต่ก่อนมีไคมีร่าคอยเป็นเพื่อนคุย ทว่าตอนนี้เอก็ไม่อยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงได้เรียนรู้บทเรียนรักบทใหม่เรื่อง ‘ความเหงา’ ของการขาดคนที่รัก

ช่างทรมานใจหาใดเปรียบ...

พระจันทร์เต็มดวงสาดแสงไปทั่วท้องฟ้า เผื่อแผ่ลงมาถึงสวนตะวันออกของตำหนักพาเทร่าด้วย ฮาธอสยืนท่ามกลางดอกไม้ราตรีหลากชนิดผลิกลีบบานอย่างสวยงาม ชายหนุ่มหลับตานิ่งขณะซึบซับพลังจากแสงจันทร์เข้ามาในร่าง อย่างไรเสียสายเลือดครึ่งหนึ่งของเขาก็เป็นของรัตติกาล อำนาจแห่งศศิธรจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเขา หากให้เปรียบคงเหมือนกับอาหารเสริมที่กินแล้วทำให้พลังชีวิตกับร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แต่ในกรณีของฮาธอสนั้น...ชายหนุ่มหวังเหลือเกินว่ามันจะช่วยให้จิตใจของเขากลับไปเข้มแข็งเหมือนเก่า...

อยู่ได้ด้วยกำลังของตน...ไม่หวาดไหวเมื่อฝันถึงเฮสเลน...และไม่เหงาเมื่อขาดไคซัส

“อุ๊ย!” เสียงอุทานจากข้างหลังทำให้ฮาธอสต้องหยุดรับพลังและหันกลับไปด้วยความแปลกใจ นาซิลลายืนเอามือปิดปากอยู่หลังแนวต้นบลูเบล หน้าตาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น “ฮาธอส...นั่นท่าน...”

“สวัสดี นาซิลลา ดีใจจังที่เห็นเจ้าแข็งแรงแล้ว ขอโทษที่...โอ๊ะ!” ยังไม่ทันที่ฮาธอสจะพูดจบ เด็กสาวก็วิ่งมากอดเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนล้มไปด้วยกัน โชคดีที่ต้นหญ้าแถวนั้นหนาพอจึงไม่เจ็บมากนัก “โอ๊ย...”

“อ๊ะ! ขอโทษนะ” นาซิลลาได้ยินเสียงชายหนุ่มร้องก็รีบลุกขึ้นเตรียมจะผละตัวออก แต่พอเห็นหน้าของฮาธอสอีกครั้ง น้ำตาเจ้ากรรมก็ร่วงเผาะ ๆ ทันที

“อ้าว! ทำไมร้องไห้ล่ะ หรือว่าเจ็บตรงไหน” เทพคนสวนเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอก่อนอย่างที่ทำประจำ โดยลืมไปว่าตอนนี้เด็กสาวนั่งคล่อมอยู่บนตัวเขา “แผลเก่ากำเริบเหรอ”

“ไม่ ข้าไม่เจ็บตรงไหนทั้งนั้น อาการบาดเจ็บของข้าก็หายนานแล้วด้วย ข้าร้องไห้เพราะดีใจที่เห็นฮาธอสออกมาข้างนอกและยืนด้วยตัวเองได้ต่างหาก” นาซิลลาบอกพลางนึกขอบคุณที่คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งเธอจะออกมารับแสงจันทร์เป็นประจำ แต่วันนี้เธอนึกอยากมาที่สวนตะวันออกด้วยจึงแวะมาจนเจอฮาธอส “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าเป็นห่วงฮาธอสมาตลอดเลยนะ อยากไปเยี่ยมด้วย แต่มหาเทพสงครามไม่ยอมให้เข้าไปในห้อง พวกเราต้องถามข่าวจากอัลล์อย่างเดียว แต่มันไม่พอ ข้าอยากเห็นด้วยตามากกว่า ฮาธอสสบายดีแล้วใช่ไหม”

ขณะพูดน้ำตาก็ร่วงรินลงบนใบหน้าฮาธอสหลายหยด จะว่าไปแล้วหลายวันมานี้ชายหนุ่มก็แทบไม่ได้ยินข่าวของนาซิลลากับเพื่อนคนอื่น ๆ มากนัก เรื่องนาซิลลาหายสนิทแล้วก็รู้ตอนคุยกับไคซัสเรื่องย้ายห้อง หลายวันมานี้เขาคงทำให้พวกเพื่อน ๆ เป็นห่วงมากสินะ โดยเฉพาะนาซิลลาที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

“อืม แต่ยังไม่หายสนิทหรอกนะ” ว่าแล้ว เขาก็เอามือแตะปากนาซิลลาไว้ก่อนจะพูดอะไร “พิษของแมลงไสยเวทนั้นร้ายแรงมาก อวัยวะภายในของข้าเสียหายทำให้ต้องปวดท้องเป็นพัก ๆ แต่อีกไม่กี่เดือนก็จะหายสนิท”

แรกได้ยินคำอธิบายนาซิลลาก็หน้าเสีย คิดว่าคนที่รักข้างเดียวจะต้องเผชิญความเจ็บปวดไปชั่วชีวิต แต่พอได้ยินประโยคท้าย ๆ เด็กสาวก็ทำหน้าโล่งใจแล้วยิ้มด้วยความดีใจจนพ่วงแก้มเป็นสีแดง...น่ารักและน่าเอ็นดูขนาดถ้าอยู่กับชายอื่นคงถูกดึงตัวไปนั่งตักแล้วเป็นแน่แท้

“ดีใจจัง ข้านึกว่าตัวเองจะเป็นสาเหตุให้ฮาธอสต้องเจ็บชั่วชีวิตซะแล้ว” อัปสรน้อยรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว อัลล์เป็นคนเล่าให้เธอฟัง ถึงจะไม่ละเอียดนัก แต่ก็พอจะรู้ว่าใครทำและทำไปเพื่อนอะไร “อดีตหัวหน้าจอมปราชญ์เลวร้ายที่สุด ถ้าอยากจะเล่นงานมหาเทพสงครามทำไมไม่จับตัวอัลล์ไปล่ะ เขารู้เรื่องของมหาเทพมากกว่าฮาธอสเสียอีกนะ” เด็กสาวทำแก้มป่องอย่างเคือง ๆ น้ำตายังไหลไม่หยุด

“อย่าพูดแบบนั้นสิ เจ้ากำลังพาลใหญ่แล้วนะ เรื่องมันก็จบไปแล้วด้วย อย่าคิดถึงอีกเลยนะ” ฮาธอสยิ้มปลอบอย่างอ่อนใจ

“จะไม่ให้คิดถึงได้อย่างไรกัน เจ้านั่นทำให้คนที่ข้า ‘รัก’ บาดเจ็บหนักตั้งหลายวันนะ!” หลังโพล่งออกมาด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองติดพัน นาซิลลาก็เอามือปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าเพิ่งพูดอะไรออกไป เธอเห็นฮาธอสทำหน้าตกใจมากทีเดียว แต่เด็กสาวก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หนี ดังนั้น เธอจึงก้มลงกดไหล่เขาไว้กับพื้น “ข้ารักฮาธอส ไม่ใช่ความรักแบบเพื่อน แต่เป็นความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีให้กับชายที่พึงใจ ข้าอยากสารภาพมาหลายครั้ง แต่ก็เกิดเรื่องนับครั้งไม่ถ้วน ในเมื่อมันหลุดปากออกไปแล้ว ข้าก็ขอพูดอีกครั้ง ข้ารักฮาธอส ได้โปรดรักข้าด้วยเถอะ”

ฮาธอสเผยอปากค้าง ตั้งตัวไม่ติดกับการสารภาพรักที่จู่ ๆ ก็เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทั้ง ๆ ที่เคยคิดว่าวันใดก็ตามที่นาซิลลาบอกรักเขา ชายหนุ่มจะรู้สึกผิดที่ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของเธอได้ ทว่าเมื่อมันเกิดขึ้นจริง เทพคนสวนกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก คงเพราะที่ผ่านมาเขาเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่านาซิลลาคิดอย่างไรกับตน เพื่อรักษาความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของเขากับเธอไว้และยังเพื่อมิให้ตัวเองทำให้เธอต้องเสียใจด้วย แต่มันกลับกลายเป็นการบีบคั้นตัวเองไปในที่สุด ดังนั้นเมื่อเธอสารภาพรัก เทพคนสวนจึงพบหนทางปลดแอกให้ตัวเอง

ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมหยักศกสีทองรวบรวมกำลังกายแล้วอุ้มตัวเด็กสาวออกจากร่าง ก่อนจะขยับลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก เพราะการกดทับของนาซิลลาทำให้เกิดอาการปวดท้องเล็กน้อย เด็กสาวเห็นเหงื่อเขาผุดพรายเต็มหน้าผากจึงเอาแขนเสื้อเช็ดให้อย่างเป็นห่วง ก่อนจะนิ่งเมื่อเทพคนสวนตัดสินใจพูดในตอนนี้

“ขอโทษด้วยนะ นาซิลลา” ดวงตาสีน้ำเงินมองผ่านลำแขนมาสบตาเธอนิ่ง แววตาอ่อนโยนอย่างพี่ชายมีให้กับน้องสาว “แต่ข้าคงรับความรู้สึกของเจ้าไม่ได้”

“ทำไมล่ะ!” นาซิลลาโพล่งหน้าตาไม่เข้าใจ “ข้าต้องใช้ความกล้ามากเลยนะ กว่าจะพูดได้!”

“เพราะอย่างนั้นข้าถึงต้องกล้ายืนยันความรู้สึกของตัวเองด้วย” ฮาธอสยิ้มบาง “ข้าชอบเจ้านะ นาซิลลา แต่ความรู้สึกที่ข้ามีให้เจ้านั้นเป็นแบบพี่ชายกับน้องสาว ข้ารู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่แรกที่พบหน้าเจ้าและยิ่งรู้สึกแบบนั้นเมื่อเวลาผ่านไป เจ้าเป็นเด็กน่ารัก น่าถนอม คู่ควรกับเทพบุตรดี ๆ สักตน แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่คนผู้นั้น”

“ไม่หรอก! ข้าบอกได้เลยว่าฮาธอสเป็นเทพบุตรตนนั้น ความรู้สึกของข้ายืนยันได้!” นาซิลลาโผกอดเขาแน่นพลางสะอื้น ไม่อาจยอมรับคำปฏิเสธที่เปรียบเสมือนดาบที่ฟาดฟันหัวใจของเธอให้ขาดวิ่นได้ “ฮาธอส...ชั่วชีวิตของข้าไม่มีใครที่ดีไปกว่าท่านอีกแล้ว และไม่มีใครที่เหมาะสมกับท่านไปมากกว่าข้าด้วย”

สิ่งที่ทำให้ฮาธอสเสียใจที่สุดในตอนนี้คือ เสียงร่ำไห้ของเทพจันทรา ในฐานะผู้ชาย การทำให้ผู้หญิงต้องเสียใจถือว่าน่าละอายที่สุด แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ในอนาคตก็จะยิ่งเจ็บปวดด้วยกันทั้งสองฝ่าย

“นาซิลลาจำที่ข้าเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ได้ไหม” เขาดึงตัวเธอออกมาสบตาอย่างอ่อนโยน “ความรักเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกะเกณฑ์กันได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับหัวใจของแต่ละคน หัวใจของเจ้าอาจจะบอกว่าข้าคือคนรัก แต่หัวใจของข้าบอกว่าเจ้าคือน้องสาว นั่นคือความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่ข้ามีให้เจ้า ขอโทษด้วยนะ”

เทพจันทราแทบสิ้นเรี่ยวแรงหลังได้ยินคำขอโทษที่ตอกย้ำความผิดหวังให้หัวใจ เด็กสาวยอมปล่อยมือจากเขาจนได้และทรุดลงกับพื้นเหมือนหุ่นเชิดถูกตัดสายชัด ความรักข้างเดียวอันแสนเปราะบางที่เฝ้าถนอมมานาน บัดนี้แตกสลายไม่มีชิ้นดีเสียแล้ว ที่สำคัญผู้ปฏิเสธยังแสดงความเอื้ออาทรด้วยการเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดให้เธอ นาซิลลารู้ว่าเขาทำไปด้วยความเป็นห่วง แต่ยิ่งเขาอ่อนโยนด้วยเท่าไหร่ หัวใจของเธอก็ยิ่งร้าวรานเพียงนั้น

“พอแล้ว ไม่ต้องเช็ดน้ำตาให้แล้ว ฮาธอสถอยไปไกล ๆ เลย!” อัปสรน้อยผลักเขาออกสุดแขน

ฮาธอสพอจะเข้าใจความรู้สึกของเด็กสาว เพราะหากเขาถูกไคซัสปฏิเสธทั้งที่รักมากขนาดนี้ก็คงจะเจ็บปวดเสียใจอย่างมากไม่ต่างกัน แต่การจะทิ้งเด็กสาวไว้ในสวนท่ามกลางอากาศเย็นกับละอองน้ำค้างก็ไม่ใช่นิสัยของเขาเสียด้วย ชายหนุ่มจึงถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาห่มให้เธอ

“ข้าอยากอยู่ปลอบเจ้าจนกว่าจะหยุดร้องไห้ แต่ถ้าทำแบบนั้นคงทำให้เจ้าเจ็บปวดกว่าเดิม ดังนั้นข้าจะไปก่อน เจ้าก็อย่าอยู่ที่นี่นานล่ะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดซะก่อน และ...” เพราะการเว้นวรรคของฮาธอสทำให้นาซิลลาเงยหน้ามองอย่างสงสัย ซึ่งเธอถึงกับนิ่งเมื่อเห็นแววตาห่วงใยของเขา “...จำไว้เสมอว่าข้ายังเป็นเพื่อนของเจ้า หากเกิดอะไรขึ้นและต้องการความช่วยเหลือก็มาหาข้าได้ตลอดนะ” กล่าวเสร็จร่างสูงโปร่งก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปอย่างเงียบงัน

นาซิลลานั่งจุมปุ๊กอยู่ที่เดิมและเหม่อมองเสื้อคลุมที่ชายหนุ่มห่มบ่าให้ จริงอยู่ที่การถูกปฏิเสธความรักทำให้เธอเสียใจ แต่การกรทำอันแสนอ่อนโยนราวกับต้องการรับผิดชอบของเขาหลังจากนั้นกลับทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งกว่า เพราะความอ่อนโยนเหล่านั้นคือสิ่งที่ทำให้เธอหลงรักผู้ชายตนนี้

“ทำไม...” เธอสะอื้น มือเรียวจับเสื้อคลุมนับทาบแก้มเปื้อนน้ำตาอย่างอาลัยอาวรณ์ “...ทำไมต้องแสนดีกับข้าขนาดนี้ ฮาธอส อย่ารับผิดชอบข้าด้วยความอ่อนโยนนั้นได้ไหม...”

เพราะมันทำให้ข้าเกลียดท่านไม่ลง!

ร่างบางหมอบตัวลงร้องไห้กลางสวนที่สร้างขึ้นด้วยมือของชายที่รักข้างอย่างสุดเสียง หัวใจร้าวรานปานว่าจะขาดรอนในอีกไม่ช้า การเป็นเทพนั้นมีข้อจำกัดในด้านความรู้สึก ชาวเทพส่วนใหญ่จะมีอารมณ์ค่อนข้างมั่นคง ไม่อ่อนไหวไปมาเหมือนอย่างมนุษย์ ความรักจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งตลอดช่วงชีวิต เลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เทพหลายตนคลุ้มคลั่งเมื่อคนที่รักของตนจากไป กรณีของนาซิลลาอาจไม่ร้ายแรงเพียงนั้น เนื่องจากอายุยังน้อยและมีโอกาสได้พบรักครั้งใหม่ ทว่าเธอก็ได้เรียนรู้ถึงความเจ็บปวดจากความรักแล้ว

แต่เมื่อเทพจันทราลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบตัวเองนั่งอยู่ท่ามกลางความมืด ความฝันที่เลือนหายไปนานกลับมาอีกครั้ง ทว่า...คราวนี้เธอกลับไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด ตรงกันข้ามบรรยากาศที่โอบล้อมกายกลับอบอุ่นและอ่อนโยนราวกับถูกใครสักคนโอบกอดไว้ ไม่นานเงาร่างสีดำที่เคยหลอกหลอนให้หวาดกลัวก็ปรากฏต่อหน้าเธอ มันยื่นมือลงมาเชยคางให้เงยหน้าขึ้น ศีรษะที่มองไม่เห็นใบหน้าเอียงไปด้านข้างประหนึ่งกำลังพินิจเธออยู่

‘โอ...นาซิลลาที่น่าสงสาร เจ้าไม่ควรร้องไห้เลย’ มันพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกที่เขย่าหัวใจอันอ่อนไหวของเธอให้สั่นคลอนกว่าเดิม ‘ฮาธอส...เจ้ารักผู้ชายคนนี้มาอย่างนั้นรึ’

‘เขาจะเป็นผู้ชายคนเดียวในชีวิตของข้า ข้าไม่สามารถรักใครได้อีกแล้ว’ เทพจันทราตอบตามที่ตัวเองคิด

‘ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยให้เจ้าสมหวัง ข้าจะทำให้เขาหลงใหลในตัวเจ้าจนโงหัวไม่ขึ้น’

‘จริงเหรอ เจ้าทำได้จริง ๆ เหรอ’ นาซิลลาร้องถามก่อนจะรู้สึกตัว สิ่งที่อยู่ต่อหน้านี้ก่อกวนเธอมาหลายปีจนครั้งล่าสุดเกือบทำให้เธอคลุ้มคลั่งด้วยความหวาดกลัว ร่างบางจึงสะบัดหน้าออกมาจากมือของมัน ‘ไม่! เจ้าช่วยข้าไม่ได้หรอก เจ้าไม่มีตัวตนเสียหน่อย ฮาธอสเองก็ไม่มีวันกลับมามองข้าแล้วด้วย’

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด