บทที่ 9 เรื่องของเทพจันทรา
- 50% -
สายลมเย็นพัดเอื่อยหยอกล้อกับต้นไม้ใบหญ้าในสวนสวย เสียงใบไม้เสียดสีกัดฟังดูเหมือนเสียงสตรีหัวเราะร่วนอย่างสนุกสนาน กลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดขจรขจายไปทั่ว ฮาธอสนั่งอยู่ที่บ่อน้ำพุกลางสวนดื่มด่ำกับความสงบที่ไม่มีทางหาได้จากสถานที่อันเต็มไปด้วยทหารอย่างตำหนักพาเทร่า
...ไม่ใช่ว่าเขาเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายของพาเทร่าหรอก สำหรับที่นั่น ความวุ่นวายก็คือ ‘ชีวิต’ เหมือนกับความสงบสุขของตำหนักซิมโฟเนียอาเรียแห่งนี้ เพียงแต่บางครั้งฮาธอสก็ต้องการความสงบให้กับหัวใจบ้าง โดยเฉพาะหลังจากขอเวลาทบทวนหัวใจจากไคซัส เมื่อเสร็จจากการซ่อมแซมสวนหย่อมที่ถูกพัมกิ้นซ์ทำให้เสียหายแล้ว เขาก็ขอลากลับตำหนักซิมโฟเนีอาเรียหนึ่งวัน
“มาหลบอยู่แถวนี้เองหรือ ฮาธอส” ร่างสูงที่กำลังใจลอยสะดุ้งสุดตัวและลุกขึ้นเมื่อเห็นจอมเทพีเจ้าตำหนักเดินมาหา เขากำลังจะก้มศีรษะแสดงความเคารพ แต่นางยกมือห้ามไว้ก่อน “ทำตัวตามสบายเถอะ ข้าเองก็มาพักจากการสอนเหมือนกัน” หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วชี้พื้นที่ข้างตัวชายหนุ่ม “ขอนั่งด้วยได้ไหม”
“ได้แน่นอนขอรับ” ฮาธอสกล่าวด้วยความเต็มใจ แล้วทั้งสองก็ทรุดนั่งลงด้วยกันและมองยิ้ม ๆ ต่างกันแค่เทพหนุ่มไม่รู้เจตนาของอีกฝ่ายแน่ชัดนัก ปกติจอมเทพีเรเทเชียไปไหนมาไหนก็จะมีนางกำนัลตามไปด้วยเสมอ แต่การที่นางมาหาเขาคนเดียวเช่นนี้แสดงว่ามีเรื่องอยากจะคุยเพียงลำพัง
“เจ้าไปอยู่ที่พาเทร่าเป็นอย่างไรบ้าง นาซิลลาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นให้ฟังยกใหญ่เชียว” นางเปิดปากพูด แถมยังยกชื่อเด็กสาวเจ้าปัญหามาสำทับ เพื่อมิให้เขาหลบเลี่ยง เพราะมีคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้ว
“หากไม่นับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ การอยู่ที่นั่นสนุกมากขอรับ แต่ละวันมีเรื่องใหม่ ๆ มาท้าทายความสามารถของพวกข้าเสมอ ทำให้มีโอกาสได้ทดลองสิ่งใหม่ ๆ ตลอดขอรับ” ฮาธอสตอบตามความจริง
“อย่างการเป็นผู้ช่วยของมหาเทพไคซัสสินะ”
ฮาธอสตัวเย็นวาบยามสดับคำถามที่ย้อนมา นาซิลลาเล่าแม้กระทั่งเรื่องนี้รึ นี่เธอตั้งใจจะ ‘ฟ้อง’ ทุกอย่างเลยหรือไร ยังดีที่เทพจันทราไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับไคซัส ไม่อย่างนั้นคงยุ่งกว่านี้
“ขอรับ” เขายอม “แต่หลัก ๆ แล้วก็แค่คอยดูแลงานเอกสารกับดูแลสหายที่ไปด้วยกัน แล้วก็ให้คำแนะนำเรื่องการจัดเตรียมงานประลองที่ตอนนี้กำลังรุดหน้าไปด้วยดี เพราะพวกเทพสายนักรบมาช่วยกันหลายท่าน”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าถึงกลับมาที่นี่ล่ะ” มือเรียวยื่นมาจับตักเขาอย่างใคร่รู้ เรเทเชียอาจเป็นเทพหัวอ่อน แต่นางก็ยังเก่งพอมองออกว่าเทพรับใช้ของตนมีเรื่องคิดไม่ตก
“ข้าแค่คิดถึงที่นี่เท่านั้นเอง” ฮาธอสลองเสี่ยงหลบเลี่ยงดู ทว่าอีกฝ่ายก็ส่ายศีรษะไม่ยอมรับข้อแก้ตัวนี้
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้ายอมให้เจ้าไปช่วยงานที่ตำหนักอื่นนะ ทุกครั้งที่เจ้าไปช่วยงานตำหนักไหนจะกลับมาก็ต่อเมื่อถูกเจ้านายของที่ใหม่ใช้ให้มาหาข้า หรือเพื่อนที่ไปด้วยก่อปัญหาจนต้องพากับมาส่ง เจ้ามีเหตุผลหนักแน่นทุกครั้งที่กลับมา แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ มีเรื่องลำบาใจอะไรหรือ ฮาธอส”
ผู้ถามเอามือวางทาบแก้มขาวเนียนของเทพคนสวน ชายหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบ ใครจะกล้าบอกได้ล่ะว่ามีปัญหาเรื่องความรัก แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายที่มีตำแหน่งยิ่งใหญ่และถูกเกลียดโดยคนเกือบทั้งสวรรค์ แต่การปกปิดก็เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อเรเทเชียคาดคั้นเขาด้วยคำที่ไม่อยากได้ยินที่สุด
“ฮาธอส ข้าสั่งให้เจ้าพูด” น้ำเสียงหวานไม่มีแววคาดคั้นใด ๆ แต่นางก็รู้ว่าคำนี้ได้ผลเสมอ
เทพคนสวนก้มหน้าเรียบเรียงความคิดเพื่อตอบ “ข้ากำลังทบทวนเรื่องความรู้สึกของตัวเองอยู่ขอรับ”
จอมเทพีฟังคำตอบแล้วก็ชะงัก เป็นครั้งแรกที่เทพคนสวนพูดคลุมเครือเช่นนี้ ราวกับว่าไม่อยากให้ก้าวก่ายเรื่องของเขาซึ่งอันที่จริงนางก็เป็นคนเช่นนั้น เพียงแต่ไม่อยากให้เห็นเขานั่งกลุ่มคนเดียวเหมือนกัน
“ความรู้สึกแบบไหนกันจ๊ะ” นางเอียงคอมองอย่างสงสัย พออีกฝ่ายไม่ตอบก็ลองเดาดู “ความรักหรือ”
ใบหน้าของฮาธอสปรากฏรอยสีแดงขึ้นวาบหนึ่งพร้อมอาการตกใจ ซึ่งหายไปเมื่อเจ้าตัวรีบเก็บอาการ แต่จอมเทพีก็เห็นแล้วและเทพหนุ่มก็รู้ด้วย เพราะดวงตาคู่สวยของนายหญิงเบิกกว้างอย่างอัศจรรย์ใจ
บุรุษที่ไม่เคยสนใจเรื่องคู่ครองมานานเกือบพันปีกำลังมีความรัก!
“จอมเทพี ข้าอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของข้าขอรับ” ฮาธอสชิงบอกก่อนอีกฝ่ายจะถามว่าเป็นใคร
“โอ้! ได้สิจ๊ะ” เรเทเชียพยักหน้าตกลง นึกเสียดายที่รุกช้าไปนิด “แล้วกังวลเรื่องแบบไหนล่ะจ๊ะ”
ชายหนุ่มเม้มปากพลางพ่นลมออกจมูกอย่างไม่อยากตอบสักนิด “ข้าไม่เคยมีความรักมาก่อน แม้จะรู้ว่ารักเป็นแบบไหน แต่ข้าก็ไม่รู้จักมันดีนัก ดังนั้นข้าจึงกังวลว่าถ้าความรู้สึกนี้ไม่ใช่ของจริงจะทำให้อีกฝ่ายเสียใจ”
“โถ...คนดี” จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมลูบมือเรียวลูบแก้มของเขาเรื่อยไปถึงเรือนผมหยักศกสีทองสลวยเหมือนมารดาปลอบโยนลูกน้อย “เจ้ารู้แล้วว่าความรักเหมือนกับความรู้สึกอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากหัวใจ เพราะแบบนั้นเจ้าจึงได้กลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้งสินะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า ทุกอย่างเป็นไปตามที่จอมเทพีพูด แต่หญิงสาวยิ้มแล้วส่ายหัวน้อย ๆ
“เหตุผลไม่สามารถใช้กับอารมณ์และความรู้สึกได้เสมอไป” นางขยายยิ้มกว้างนิดหนึ่งเมื่อเทพหนุ่มทำหน้าสงสัย หญิงสาวย้ายมือลงมาวางหัวหัวใจของเขา “เจ้าควรจะถามหัวใจของเจ้าเอง ถามมันว่าเจ้าพร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับใครคนนั้นไหม ถามมันว่าเจ้าพร้อมที่จะแบ่งเบาภาระไม่ว่าจะดีหรือร้ายกับใครคนนั้นหรือเปล่า ถามมันว่าตนเองพร้อมที่จะเสียสละตัวเองเพื่ออีกฝ่ายไหม เท่านี้ก็พอแล้ว”
แค่นี้เองหรือ? ฮาธอสถามตัวเองในใจ ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ เรื่องที่เขาคิดไม่ตกมาหลายวันกลับหาคำตอบได้ด้วยวิธีการง่ายดายขนาดนี้ แต่ละคำถามที่จอมเทพีเอ่ยมามิได้ส่งมาถึงสมองของเขา ทว่าส่งไปถึงหัวใจที่ขานรับกับความปรารถนา ในที่สุดก็เข้าใจ ‘เหตุผล’ ไม่อาจใช้กับเรื่องของ ‘หัวใจ’ ได้เสมอไป
ฝ่ายจอมเทพีเห็นศิษย์รักยิ้มก็อารมณ์ดีตามไปด้วย นางไม่รู้หรอกว่าคนที่ฮาธอสหลงรักเป็นใคร แต่ถ้าลองให้เทพคนสวนใส่ใจถึงขนาดนี้ย่อมแสดงว่ามีความสำคัญต่อเขามากทีเดียว นางจึงอยากช่วยเขาจากวังวนแห่งความสับสนได้บ้าง แต่รอยยิ้มนั้นกลับคงอยู่ได้ไม่นานก็เจื่อนลงเหลือแต่ใบหน้ากังวลใจกับอีกเรื่อง
“อะไรอีกหรือ” เรเทเชียสังเกตเห็นจึงเอ่ยถาม ไม่บ่อยนักที่ฮาธอสจะมีเรื่องซ้ำซ้อนกันแบบนี้
เทพคนสวนทำหน้าคิด...เนื่องจากมันเกี่ยวข้างกับอนาคตต่อจากนี้ของเขา ถ้าลองพิจารณาในฐานะที่จอมเทพีเรเทเชียเป็นนายเหนือหัวของเขา นางก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนี้พอ ๆ กับที่ไม่ควรรู้ แต่การปล่อยให้เรื่องนี้ล่วงเลยไปโดยไม่มีความชัดเจน คนที่จะมองหน้าใครไม่ติดเลยก็คือ ‘เขา’
“มหาเทพไคซัสชวนข้าย้ายไปอยู่ที่พาเทร่าเป็นการถาวรขอรับ” ฮาธอสพูดออกจนได้และเบี่ยงสายตาดูปฏิกิริยาของนายหญิง เขาใจเต้นแรงหลังเห็นอีกฝ่ายเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ แววตาที่คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง “เอ่อ...เขาพอใจกับผลงานของข้ามากก็เลยชวนไปอยู่ด้วยกันน่ะขอรับ”
“อ๋อ เข้าใจล่ะ” เรเทเชียเกือบจะคิดแล้วว่าฮาธอสหลงรักไคซัส พอมันถูกเบี่ยงประเด็นไป นางก็เข้าใจตามนั้น ใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
“ตอนไปอยู่ใหม่ ๆ ข้าเคยปฏิเสธไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาก็ชวนอีก...”
“ข้าพอจะเข้าใจว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่และขอบใจสำหรับความกตัญญูนั้นด้วย แต่ว่าการที่เทพระดับสูงต่างรับเทพซึ่งมิได้อุบัติในตำหนักมาอยู่ด้วยนั้น ก็เพื่อเปิดโอกาสให้เทพเหล่านั้นได้พบกับเจ้านายที่แท้จริง หรือได้แสดงความสามารถจนได้เลื่อนขั้นของตนเองได้เร็วขึ้น มีเทพและเทพธิดามากมายที่เคยอยู่กับข้าและย้ายออกไป ดังนั้นเมื่อเจ้าพบทางที่ดีสำหรับเจ้าก็รับไว้ แค่กลับมาหาข้าบ้างในเวลาที่ว่างก็พอแล้ว”
เป็นอีกครั้งที่จอมเทพีเรเทเชียสอนสั่งเทพรับใช้คนสนิทด้วยความเมตตา สำหรับนาง ฮาธอสมักคิดเล็กคิดน้อยไม่เข้าท่า หลายครั้งที่นางนึกเสียดายโอกาสดี ๆ ที่ชายหนุ่มปฏิเสธไปเพราะไม่อยากทรยศผู้มีพระคุณ แต่มันก็น่าสงสัยว่าเหตุใดเพิ่งมาคิดถึงตอนนี้ แถมผู้ชวนยังเป็นเทพที่ทั้งสวรรค์ต่างหวั่นเกรง มีอะไรหรือเปล่านะ...
ฝ่ายฮาธอสพอเห็นว่าจอมเทพีที่เคารพรักเปิดกว้างในเรื่องก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง ที่เหลือก็แค่คิดทบทวนให้แน่ใจอีกครั้งค่อยบอกกับมหาเทพไคซัส เรื่องของความรักกับการย้ายตำหนักใหม่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา เทพหนุ่มจึงอยากจะคิดใคร่ครวญให้แน่ใจอีกสักที แม้ว่าปมหนึ่งในนั้นจะเริ่มคลายตัวแล้วก็ตาม
หลังจากพูดคุยหัวข้อนี้จบไปได้สักครู่ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งซอยถี่มาจากทางเดินตำหนักเรื่อยมาตามทางในสวนซึ่งอยู่อีกฝากหนึ่งของแนวรั้วต้นไม้ที่บังสายตาไว้ นาซิลลาโผล่พรวดเข้ามาและชะงักไปทันทีที่เห็นจอมเทพีเรเทเชียอยู่กับฮาธอส
“อุ๊ย! ขอประทานโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ทราบว่าจอมเทพีอยู่ด้วย” เด็กสาวถอนสายบัวอย่างอ่อนช้อย
“พวกข้าคุยกันเสร็จแล้ว เจ้าล่ะ คุยกับพวกเอเดลจบแล้วหรือ” จอมเทพีเอ่ยถามอย่างเมตตา นาซิลลายิ้มกว้างดีใจที่ไม่ถูกดุจนตาเป็นประกาย
“เจ้าค่ะ” เธอตอบอย่างร่าเริงและดูจะตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น “ท่านหัวหน้านางกำนัลบอกข้าว่าในมหานครมีตลาดแก้ว ข้าอยากจะไปเที่ยวดูเจ้าค่ะ นางจึงบอกให้ข้ามาเรียนขอจอมเทพีกับชวนฮาธอสไปด้วยเจ้าค่ะ”
“ไปสิจ๊ะ ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว พอเดินตลาดเสร็จ พวกเจ้าจะได้กลับพาเทร่าเลยยังไงล่ะจ๊ะ”
“เย้!” นาซิลลาร้องอย่างดีใจหลังจอมเทพีพูดจบ เทพคนสวนส่ายศีรษะอย่างอ่อนระอา
“จอมเทพีจะตามใจนาซิลลาเกินไปแล้วขอรับ” ฮาธอสเอ่ยเสียงเบา สีหน้าอ่อนใจ
“แค่ข้าก็อยากให้เจ้าผ่อนคลายบ้างนะ ไปได้แล้ว เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน ว่าง ๆ ก็กลับมาอีกนะ” เรเทเชียตบบ่าฮาธอสแล้วดันกระตุ้นเบา ๆ เทพหนุ่มกับอัปสรน้อยแสดงความเคารพก่อนเดินจากไปพร้อมกัน
“ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากเวลาผ่านไปอย่างเงียบงันสักครู่ เสียงของเอเดลก็ดังขึ้นจากด้านข้าง จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมเบือนหน้าไปมอง แต่ไม่ได้พบแค่หัวหน้านางกำนัลของตนเท่านั้น ด้านหลังเยื้องไปทางซ้ายของนาง เซย์เรียโน่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้
“ขุนพลเทพ...” หญิงสาวลุกขึ้นเตรียมทำความเคารพ แต่เด็กหนุ่มยกมือปรามไว้ก่อน
“ไม่ต้อง ๆ ทำตัวตามสบายเถอะ จอมเทพี” ขุนพลเทพอันดับห้ายิ้มหวาน “ขอบคุณมากที่ทำตามที่ข้าบอก ตอนนี้เหลืออีกเรื่องเดียงแล้วนะ”
“เพื่อทุกคนที่นี่ ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด” เรเทเชียพูดไปอย่างกล้าหาญ ทั้งที่ปลายน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความกลัวเอาการทีเดียว สีหน้ายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปนั้นถูกต้องหรือไม่
เซย์เรียโน่เห็นสีหน้าจอมเทพีแล้วก็กลอกตาไปมา อันที่จริงเขาไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของเรเทเชียนักหรอก การเกิดอย่างผิดปกติของเขาทำให้สูญเสียความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง แต่เด็กหนุ่มก็เดาว่ามันคงจะเหมือนสิ่งที่เขาทำกับพี่สาวกระมัง ร่างเล็กจึงเดินเข้ามาจับมือเพื่อให้กำลังใจหญิงสาว
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี จอมเทพี” ใบหน้าจิ้มลิ้มส่งยิ้มหวานให้ “เชื่อข้าเถอะ ถ้าทุกอย่างสำเร็จด้วยดี ทุกคนจะเข้าใจและขอบคุณในความหวังดีของท่าน” ถึงจะข่มอารมณ์ของตัวเองแล้ว แต่เรเทเชียก็สัมผัสความสนุกที่แฝงในเสียงของเซย์เรียโน่ได้ดี หญิงสาวถึงกับขนลุกเกลียวด้วยความกลัวอย่างช่วยไม่ได้
เซย์เรียโน่มาพบกับนางเมื่อคืนนี้และขอความร่วมมือเรื่องหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทพคนสวนตนนั้น แรกเริ่มเดิมทีนางตั้งใจว่าจะไม่ทำตาม เพราะเห็นว่าก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของฮาธอสเกินไป ทว่าขุนพลเทพอันดับห้าก็ใช้เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นในพาเทร่าครั้งล่าสุดมาโน้มน้าวให้หญิงสาวต้องยอมทำตามจนได้ เรเทเชียคาดเดาจุดประสงค์ของเขาไม่ออกเลยจริง ๆ แต่จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมก็มาถึงจุดที่มิอาจถอยกลับได้อีกแล้ว
“ขอบคุณนะ ขุนพลเทพ” หญิงสาวพยักหน้าขอบคุณให้เด็กหนุ่ม แล้วเทพผู้สูงศักดิ์ทั้งสองจึงล่ำลากันเล็กน้อย ก่อนแยกย้ายกันไปคนละทาง
--------------
อย่างที่รู้กันว่าสวรรค์คือ ดินแดนที่เต็มไปด้วยความสงบสุขและมีงานรื่นเริงอยู่บ่อยครั้ง ในแต่ละปีนอกจากงานใหญ่ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ยังมีงานยิบย่อยซึ่งเป็นของเทพในสายต่าง ๆ จัดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ตลาดแก้วก็เป็นหนึ่งในนั้น เทพสายช่างซึ่งทำงานเกี่ยวกับแก้วมารวมตัวกันเพื่อนำผลงานของตนมาจัดแสดง บางครั้งก็อาจจะมีการมอบเป็นของกำนัลให้คนที่พึงพอใจ หรือซื้อขายด้วยเงินทองอีกด้วย
นาซิลลากับฮาธอสเดินมาตามถนนสายเล็กที่แทรกตัวอยู่ระหว่างมหานครแห่งฟ้า เรือนผมสีเงินสลวยประดับปิ่นแก้วที่มีส่วนหัวเป็นรูปนกหงส์หยกสีฟ้าที่เทพคนสวนเป็นคนซื้อให้ มือซ้ายถือสายผูกลูกโป่งแก้วลายดอกกุหลาบบานบรรจุน้ำสีชมพูอ่อนซึ่งชายหนุ่มก็เป็นคนซื้อให้เหมือนกัน เด็กสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มีความสุขกับช่วงเวลานี้เป็นที่สุด คนที่อยู่ข้าง ๆ หันมองแล้วก็ส่ายศีรษะอ่อนระอา
“เด็กหนอเด็ก”
“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ” ฮาธอสตั้งใจเปรยกับตัวเองคนเดียว แต่นาซิลลาดันหูผีจมูกมดได้ยินเข้าเสียที เธอทำแก้มป่องใส่เขาอย่างเคือง ๆ “ข้าไม่ใช่เด็กสักหน่อย แต่กำลังมีความสุขกับของที่ฮาธอสซื้อให้ต่างหาก”
“เจ้า ‘ขอ’ ให้ข้า ‘ซื้อให้’ ต่างหากล่ะ”
“ก็ซื้อให้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ!” เด็กสาวย้อนคำเข้าให้เล่นเอาฝ่ายตรงข้ามกลอกตายอมแพ้ ร่างบางเสเข้าไปกอดแขนโดยไม่สนใจว่าชายหนุ่มจะคิดอย่างไร ตั้งแต่ไปอยู่ที่ตำหนักพาเทร่า นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอกับเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองโดยไม่มีใครขัด เธออยากจะตักตวงความสุขไว้ให้ได้มากที่สุด “ก่อนกลับเราไปหาอะไรกินด้วยกันไหม ฮาธอส จะได้ไม่เสียเวลาไงล่ะ”
“อย่าเลย ตอนนี้ใกล้จะเย็นแล้ว จากที่นี่กว่าจะกลับไปถึงตำนักพาเทร่าก็ใช้เวลามากอยู่นะ” คำตอบของฮาธอสทำให้เทพจันทราน้อยหน้ามุ่ย แต่มันก็เป็นความจริง สถานที่ที่พวกเขาไปในวันนี้ล้วนแต่อยู่ห่างไกลมากทั้งนั้น ลำพังจากซิมโฟเนียอาเรียมาที่นี่ก็ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เมื่อบวกรวมเข้ากับช่วงเที่ยวเล่น พวกเขาเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนพระอาทิตย์ตกดินสำหรับกลับพาเทร่าที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวชายเขตใต้
“แหม นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่ได้ ไม่มีใครตามเรามาสักหน่อย”
จริงเหรอ? ฮาธอสถามตัวเองในใจพลางเอี้ยวตัวไปมองหัวมุมถนนที่เพิ่งเดินผ่านมา เขาสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังจ้องดูอยู่ แต่พอเขาหันมองมันก็หายไปราวกับคิดไปเอง กระนั้นเทพหนุ่มก็รู้ว่ามีคนจับตาดูเขาอยู่จริง ๆ แค่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“ตั้งแต่เรามาช่วยงานที่พาเทร่าก็แทบไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลย...ฮาธอสฟังข้าอยู่หรือเปล่า!” ขณะฮาธอสกำลังมองนาซิลลาก็บ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อย พอเห็นอีกฝ่ายไม่ได้สนใจก็ส่งเสียงแหลมขึ้น ชายหนุ่มหันมามองงง ๆ ยิ่งทำให้เจ้าหล่อนหงุดหงิดไปกันใหญ่ ความสุขที่เคยมีหายไปคล้ายไม่เคยมีอยู่
“อะไรหรือ เจ้าอยากได้อะไร” อาการงุนงงทำให้ฮาธอสขาดความเฉลียวไปชั่วขณะ แต่ก็ยังเลือกถามในสิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด น่าเสียดายที่เด็กสาวหน้างอกว่าเดิม
“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องสนใจข้าหรอก” ปลายน้ำเสียงหวานตวัดสูงอย่างไม่พอใจ ร่างบางปล่อยมือจากแขนเขาแล้วจ้ำเท้าทิ้งห่างไปดื้อ ๆ ชายหนุ่มรีบวิ่งตามก่อนจะนึกออกว่าตัวเองทำอะไรผิด ฮาธอสมีเหตุผลที่ทำไปแบบนั้น แต่นาซิลลาที่กำลังโกรธคงไม่ยอมฟังแน่ ดูได้จากการที่เธอไม่ยอมหันกลับมาหาเขาอีกเลย
เมื่อทั้งสองมาถึงปลายถนนก็เหินขึ้นฟ้ามุ่งหน้ากลับตำหนักพาเทร่า ฮาธอสไปอยู่ข้างกายนาซิลลาอีกครั้ง เด็กสาวเบือนหน้ามามองเขาอย่างงอน ๆ ก่อนจะเชือนกลับไปดูทางข้างหน้า เทพคนสวนลอบถอนใจอย่างอึดอัด เขาไม่ชอบเวลาอัปสรสาวแสดงกิริยาแบบนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาและเธอคบกับทั้งที่ไม่ใช่...
ทั้งสองออกจากตัวมหานครหลักทางประตูใหญ่ มุ่งหน้าข้ามทะเลเมฆซึ่งเปรียบได้กับเส้นแบ่งระหว่างเขต ถ้าหากเขาไปถึงตัวเมืองของเขตใต้ได้ ตำหนักพาเทร่าก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว แต่พอเหาะไปถึงครึ่งทาง ฮาธอสสังเกตเห็นบางอย่างอยู่ข้างหน้า ผู้ชายตัวใหญ่ใส่ชุดมอซอสวมปิดใบหน้าลอยตัวกลางท้องฟ้าสีส้มยามเย็น เทพคนสวนเอื้อมมือมาจับแขนนาซิลลาก็พาเลี่ยงไป ประสบการณ์เติบโตในแดนร้างสอนให้เขารู้ว่าไม่ควรเข้าใกล้ใครก็ตามที่มาอยู่ในที่เปลี่ยวนี้ แต่อีกฝ่ายเห็นพวกเขาและรีบเหาะมาขวางหน้าไว้ ฮาธอสเอาตัวบังนาซิลลาไว้ก่อน
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ” ชายแปลกหน้ายกมือให้เห็นว่าตกปราศจากอาวุธและมาดี “ข้ากำลังจะไปทำธุระในมหานคร แต่เกิดหลงทางเสียก่อน ไม่ทราบว่าประตูใหญ่ไปทางไหนหรือ”
ฮาธอสมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ รู้สึกไม่ดีกับชายคนนี้แม้แต่น้อย กระนั้นก็ยังแสดงน้ำใจด้วยการผงกศีรษะไปข้างหลังที่พวกเขาเหาะมาเล็กน้อย
“ทางที่พวกเรามานั่นแหละ ขอตัวก่อนนะ” ว่าแล้วเทพเทพคนสวนก็ดึงมือนาซิลลาไปข้าง ๆ แล้วดันร่างบางให้เหาะนำหน้าไปก่อนเลย แต่พอเขาจะตามไปชายคนนั้นกลับคว้าแขนฮาธอสไหว
“แต่ข้ายังไม่รู้ทางอยู่ดี ช่วยทำทางหน่อยได้ไหม แค่เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ได้”
สิ้นเสียงทุ้มที่กดต่ำอย่างเหี้ยมเกรียมในตอนสุดท้าย ฮาธอสก็รู้สึกถึงความร้อนแล่นมาตามลำแขนที่ถูกจับ ร่างสูงสะบัดอีกฝ่ายออกแล้วฉุดแขนนาซิลลาหนีไปด้วยกันทันที แต่ไปยังไม่ทันถึงไหน ชายคนนั้นก็ปรากฏตัวขวางหน้าฮาธอสในระยะประชิด เทพหนุ่มต้องหยุดกะทันหันจึงนาซิลลาชนหลังเข้าเต็มรัก ทว่าไม่มีเวลาให้เขาสนใจนัก เพราะฝ่ายตรงข้ามสะบัดมือส่งรยางค์ผ้าสีดำที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อปากกว้างออกมาแล้ว เวทมนต์ทำให้ผ้านั้นเคลื่อนไหวไปดังความตั้งใจของผู้ใช้ และมันกำลังหมายจะเอาชีวิตเทพคนสวน ฮาธอสฃกางมือออกสะท้อนมันกับเจ้าของออกไปด้วยพลังของตนเองฃ พร้อมกันนั้นก็ผลักตัวเทพจันทราไปด้านข้าง
“หนีเร็วเข้า...โอ๊ย!!” เทพคนสวนออกคำสั่งและกำลังจะเหาะตามร่างบางไปเมื่อจู่ ๆ ก็เกิดอาการเจ็บจี๊ดตรงท้ายทอย มือเรียวกร้านตะปบไปตรงนั้นคว้าเอาสิ่งที่เกาะอยู่มาดูพบว่ามันเป็นแมลงไสยเวทขนาดเท่านิ้วก้อย มันฝังเหล็กในที่ปลายหางลงในผิวมือของเขาอีกครั้ง
“ฮาธอส!” ฮาธอสขยี้แมลงตัวนั้นทิ้งก่อนรู้สึกคล้ายพลังหมดเอาดื้อ ๆ แล้วตัวของเขาร่วงลงกลางอากาศ นาซิลลาร้องลั่นและถลาลงมาฉุดแขนชายหนุ่มไว้สุดแรง
“เจ้ามานี่!!” ชายสวมหน้ากากโผล่มาขวางอีกครั้ง มันจับแขนเทพจันทราดึงแยกจากฮาธอส เด็กสาวกรีดร้องขอความช่วยเหลือสุดเสียง ขณะมือเกาะแขนสหายของตนไม่ยอมปล่อย ป้องกันตัวเองด้วยการเตะเท้าสะเปะสะปะใส่ศัตรูถูกบ้างไม่ถูกบ้าง
ระหว่างนั้นฮาธอสรวบรวมพลังที่เหลืออยู่จับคอเสื้อคนแปลกแน่นแล้วกระชากไปให้พ้นจากเด็กสาว พิษร้ายพลันแล่นกระจายในวินาทีนั้น ตัวของเขาเริ่มร้อนจากบาดแผลที่ท้ายทอยกับฝ่ามือแล้วแผ่ไปทั่วร่าง ภาพในดวงตาพร่าเลือนด้วยความรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด เขารู้ว่าตัวเองมีเวลาไม่กี่นาทีก่อนจะหมดสติไปจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงทุ่มพละกำลังที่เหลืออยู่ยึดตัวเทพที่จับไว้สุดแรงเกิน
“ไปซะ นาซิลลา รีบหนีไป!” ฮาธอสนั่งกับสายสีเงินที่สะบัดวูบวาบตรงหน้า
“แล้วเจ้าล่ะ” พร้อมกับเสียงของเด็กสาวที่ร้องตอบมา ชายแปลกหน้าใช้รยางค์ของตนกับฮาธอสอีกครั้ง มันรัดพันรอบศีรษะเทพหนุ่มจนมองอะไรไม่เห็นและแทบหายใจไม่ออก ไม่เพียงแค่นั้นยังถูกอีกฝ่ายถอกศอกเข้าเต็มท้อง มีเสียงนาซิลลากรีดร้องห้ามและบอกให้ปล่อยเทพคนสวน
“ตรงนั้น หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” เสียงของบุคคลที่สามดังกระหึ่มมาแต่ไกล นาซิลลากับคนร้ายหันไปยังที่มาก็เห็นทหารในเครื่องแบบสีดำตัดแดงกำลังเหาะมาด้วยความเร็วสูง เด็กสาวผวากอดช่วยฮาธอสจับคนร้ายทันที
“ช่วยด้วย ช่วยพวกเราด้วยเจ้าค่ะ!!”
“ระยำเอ๊ย...ถอยไป!!”
ชายแปลกหน้าพยายามสลัดคนที่เกาะหลังอยู่ออกไป แต่ฮาธอสก็ใจแข็งเหลือเชื่อ ทั้งที่พิษร้ายกำลังทำให้เขาพบกับความเจ็บปวดแสนสาหัส นาซิลลาก็ยิ่งกอดแน่นถ่วงเวลารอผู้ช่วยเหลือที่ทะยานใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คนแปลกหน้าไม่มีทางเลือก เขาช็อตเธอด้วยเวทสายฟ้า เด็กสาวกรีดร้องเช่นเดียวกับฮาธอสที่ได้ยินเสียง ร่างบางเกร็งค้างครู่หนึ่งก่อนหมดสติหงายไปข้างหลัง
เมื่อนั้นเองที่ผู้ทำร้ายจับข้อมือของเธอแล้วร่างบางใส่ทหารที่เหาะมาถึงอย่างเหมาะเจาะ ก่อนตัวเขาจะอันตรธานหายไปพร้อมกับคนที่เกาะบนหลัง!
---------------