[นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13  (อ่าน 38418 ครั้ง)

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 12 up 02/09/13
«ตอบ #60 เมื่อ03-09-2013 20:12:21 »

- 100% -

‘ทำได้สิ เพราะข้ามีตัวตนอยู่นะ’ เสียงทุ้มต่ำของมันก้องสะท้อนผ่านโสตประสาทมาหลอมละลายหัวใจของนาซิลลาอีกครั้ง ‘ข้าสามารถทำได้ทุกอย่าง ขอเพียงเจ้ายอมช่วยเหลือข้า ข้าจะบันดาลให้เจ้าทุกสรรพสิ่ง แก้วแหวนเงินทอง ปราสาทวิมานที่หรูหรายิ่งกว่ามหาตำหนักจ้าวสวรรค์ ชีวิตของคนที่เจ้าเกลียดชัง หรือแม้แต่หัวใจของคนที่เจ้ารัก...’

ในระหว่างที่พูด มันก็แผ่ละอองสีดำออกมาเป็นสายหลายเส้นเข้าโอบรักร่างของนาซิลลาโดยไม่ให้รู้ตัว บางส่วนถูกเด็กสาวซูดดมเข้าไปทำให้เกิดอาการมึนงง ได้ยินเสียงของมันก้องสะท้อนในโสตประสาทจนเกือบฟังไม่รู้เรื่อง เธอพยายามตั้งสติฟังสิ่งที่มันพูด แต่ยิ่งทำแบบนั้นเท่าไหร่ อาการมึนงงก็ยิ่งหนักขึ้น...เหมือนสูญเสียตัวตนไปอย่างช้า ๆ ดวงตาสีฟ้าใสค่อย ๆ หม่นแสงลงจนสุดท้ายก็กลายเป็นความว่างเปล่า เมื่อมันพูดออกมาว่า

‘ว่าอย่างไรล่ะ นาซิลลา เจ้าอยากได้ความรักจากฮาธอสไหม รักนิรันดร...’

‘อยากได้สิ’

‘ถ้าอย่างนั้นจงช่วยข้า’ มันโน้มใบหน้าลงมาหาเธอ ‘เมื่อข้าสมความปรารถนา เจ้าก็จะได้ทุกสรรพสิ่ง’

เมื่อสิ้นคำมันก็ประทับจุมพิตแทนตราสาบานที่ริมฝีปากของเด็กสาว

--------------

กว่าจะอัพนิยายได้ เล่นเอาหืดขึ้นคอเลย เพราะเบราเซอร์มีปัยหาปิดตัวเองบ่อยมาก

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang ไม่เปลี่ยนแน่นอนครับ ฮาธอสเป็นคนดีสุดๆ เลยนี่นา ถ้าเปลี่ี่ยนไปคไซัสเสียใจแย่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2013 20:35:45 โดย Makoto-sang »

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 13 up 03/09/13
«ตอบ #61 เมื่อ03-09-2013 22:52:25 »

เมื่อฮาธอสไม่เปลี่ยนนาซิลลาก็เลยเปลี่ยนแทน
แต่นางเป็นเทพน่าจะกลับใจทันนะ

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 13 up 03/09/13
«ตอบ #62 เมื่อ04-09-2013 20:51:08 »

บทที่ 14 น้ำมันที่ราดลงกองไฟ

- 50% -

“...ลา...ตื่นสิ นาซิลลา ตื่น!”

ร่างบางสะดุ้งตื่นเมื่อถูกใครบางคนตบหน้าเบา ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากรอบข้าง ดวงตาสีฟ้าสดใสปรือมองขึ้นไปพบกับใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มผมสั้นสีแดงเพลิงกับเทพชายหญิงอีกหลายตนยืนล้อมอยู่ ทุกตนต่างมองเธอด้วยความกระวนกระวายระคนห่วงใยอย่างยิ่ง

“เกิดอันใดขึ้นหรือ...”

“ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้า ทำไมมานอนตากน้ำค้างกลางสวนแบบนี้” อัลล์ถามเสียงเข้มพลางประคองร่างบางให้นั่งด้วยตัวเอง ระหว่างนั้นก็สำรวจท่าทีของเธอไปด้วย “เมื่อเช้าเพื่อนนางกำนัลของเจ้าไปปลุกที่ห้องแต่หาตัวไม่เจอ พวกข้าต้องออกตามหากันยกใหญ่”

นาซิลลาสดับแล้วก็นั่งนิ่ง คิดว่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้อัลล์ฟังดีหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะเรียกร้องความสนใจจากใคร เพราะรังแต่จะทำให้ฮาธอสเสียหายซะเปล่า ๆ เธอรักเขามาก...จนไม่อยากทำลาย

“เมื่อคืนข้าออกมารับแสงจันทร์ที่นี่ แต่นั่งเพลินไปหน่อยจนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ” นาซิลลาเงยหน้ายิ้มลุแก่โทษให้ทุกตน

“ไม่ใช่ว่าคิดถึงฮาธอสแล้วมาชมจันทร์ต่างหน้าเขาหรอกหรือ” นางกำนัลหญิงคนนี้ชี้เสื้อคลุมของฮาธอส “นั่นน่ะ เสื้อของฮาธอสไม่ใช่เหรอจ๊ะ” หยอกเย้าแล้วนางกับพวกก็หัวเราะเอ็นดูเมื่อนาซิลลาหน้าแดงเห่อ

“มะ...ไม่ใช่อย่างที่พวกท่านคิดสักหน่อย” เด็กสาวทำแก้มป่องอย่างขัดใจ แม้ว่าจะดูไม่เหมือนเดิมก็ตาม

“ไม่ใช่ตรงไหนจ๊ะ หลายวันมานี้เจ้าเอาแต่บ่นคิดถึงเขาทุกวันเลยนี่นา” นางกำนัลยังหยอกล้อต่อ

“ท่านพี่ก็...ข้าบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ!” นาซิลลาเชิดจมูกด้วยท่าทางเอาแต่ใจ ผิดกับข้างในที่เจ็บเหลือจะทน พี่สาวพวกนี้ช่างล้อเล่นได้ผิดเวลาจริง ๆ

“เอาล่ะ เลิกหยอกล้อกันได้แล้ว” อัลล์เอ่ยตัดบทได้อย่างเหมาะเจาะจนเด็กสาวนึกขอบคุณในใจ “นาซิลลา เจ้ามั่นใจนะ ว่าตัวเองไม่เป็นไรจริง ๆ น่ะ”

ดวงตาสีม่วงคมจ้องมองอัปสรน้อยนิ่ง ทำให้เธอนึกกลัวว่าเขาจะเห็นสิ่งที่พยายามปิดซ่อนไว้ อันที่จริงในสายตาของอัลล์ มันคาดเดาได้ไม่ยากนัก แค่เห็นรอยคราบน้ำตาบนแก้มใส ความหมองเศร้าที่เจืออยู่ในแววตา กับเสื้อคลุมของฮาธอสก็เข้าใจแล้ว เมื่อคืนเธอคงบังเอิญเจอกับฮาธอสตอนออกมารับพลังจันทรา เธออาจสารภาพความในใจกับเขาและถูกปฏิเสธจึงร้องไห้จนหมดแรงฟุบหลับไปที่นี่

กระนั้นบางสิ่งที่แฝงเร้นอยู่ในบรรยากาศทำให้นายทหารหนุ่มเหลือบตามองรอบข้างอย่างระแวดระวัง แม้ตำหนักนี้จะได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ทว่าทุกอย่างก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะกับเด็กสาวตนนี้

“จริงสิ ข้ายืนยันได้ จะให้ข้าร้องเพลงหรือเต้นรำให้ดูก็ได้นะ!”

“หยุดเลย ข้าเชื่อแล้วก็ได้” อัลล์คว้าตัวนาซิลลาไว้ก่อนจะทันได้ลุกเต้นแร้งเต้นกา มองดูร่างบาองที่จ้องเขาตาแป๋วด้วยสีหน้าแฝงความนัยประหลาด แต่มันก็หายไปเมื่อเขาขยี้ผมเธอ “เมื่อไปไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แต่ต่อไปอย่าหายไปโดยไม่บอกใครอีกนะ ทุกตนเป็นห่วง!”

“เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” นาซิลลาทำหน้าสลดเมื่อถูกดุก่อนจะฉุกคิดขึ้นได้ ร่างบางยืดตัวขึ้นกระซิบข้างหูชายหนุ่ม “อย่าบอกเรื่องข้านอนในสวนกับฮาธอสนะ ข้าไม่อยากให้เขาต้องห่วง”

ตอนแรกอัลล์ก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจนิด ๆ แต่พอได้ยินเหตุผลที่ตบท้ายมา ชายหนุ่มก็พยักหน้ายอมรับ นาซิลลายิ้มกว้างแล้วหอมแก้มเขาฟอดหนึ่งอย่างดีใจ มีเสียงนางกำนัลรุ่นพี่น้องว้ายเบา ๆ

“ขอบคุณนะ อัลล์” เธอยิ้มกว้าง “ตอนนี้ข้ากลับห้องก่อนดีกว่า ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงจริง ๆ นะ” กล่าวอย่างลุแก่โทษอีกครั้งแล้วร่างบางก็ผละจากไปพร้อมกับเหล่าเทพรับใช้รุ่นพี่ที่หยอกล้อกับเธออย่างสนุกสนาน โดยไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอแม้แต่น้อย

อัลล์มองตามนาซิลลาไปด้วยสายตานิ่งสนิท แต่แวบหนึ่งประกายในดวงตาไหวระริกด้วยความเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่แน่ใจนักหรอกว่าสิ่งที่ทำให้เธอมานอนตรงนี้เป็นดั่งที่คิดหรือไม่ ทว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเธอนำพาความกังวลมาให้เขาด้วย

...จริงอยู่ เขาอาจไม่บอกเรื่องนี้กับฮาธอส แต่คำว่า ‘หน้าที่’ จะทำให้เขาต้องเล่าเรื่องนี้ให้ผู้อื่นฟัง

---------------

“อย่างนั้นหรือ”

นั่นคือทั้งหมดที่ไคซัสตอบมาหลังจากอัลล์เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้ว เทพอสูรหนุ่มกับเหล่าทหารระดับองครักษ์ต่างรู้เรื่องนาซิลลาหายตัวไปกันหมด เนื่องจากนางกำนัลที่จับคู่กับเด็กสาวมาแจ้งให้ทราบ เหตุที่ทุกคนรู้เรื่องและออกตามหากันช้าก็เพราะเมื่อคืนนี้มหาเทพสงครามสั่งให้ทหารที่ตามนาซิลลาไปพักผ่อนเร็วกว่าที่เคย

แต่สิ่งที่เทพทุกตนไม่ทราบก็คือ ไคซัสรู้แล้วว่านาซิลลาอยู่ที่ไหน กับใคร และเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ปฏิกิริยาของเขาจึงออกมาเฉยชาและเฉยเมยอย่างที่เห็น ทั้งนี้ก็เพื่อปกปิดมิให้อัลล์ล่วงรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองซึ่งอาจจะทำให้เสียแผนการที่วางไว้ซะก่อน

“ตอนเจ้าอยู่กับนาซิลลาในสวน เจ้าสัมผัสความผิดปกติอย่างอื่นได้อีกไหม” ในที่สุดไคซัสก็เอ่ยถาม แม้ว่าเขาจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากพลังของตัวเองแล้ว แต่ก็เห็นแค่ภายนอก ไม่รวมถึงภายในและบรรยากาศในสถานที่นั้นด้วย

“เอ่อ...” น้ำเสียงของอัลล์เจือความลังเลอย่างชัดเจน ผู้เป็นนายจึงหันมองด้วยความแปลกใจ เพราะเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทางเช่นนี้มาก่อน กระนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลบเลี่ยงไปไหน เพียงแต่ไม่อยากตอบเท่านั้น เขาจึงนั่งรออยู่เงียบ ๆ จนกว่านายทหารหนุ่มจะพูด “...ตอนข้าน้อยพยายามปลุกนาซิลลาได้กลิ่นอายความมืดที่ไม่เหมือนพลังของเทพจันทราจากตัวนางด้วย แต่มันบางเบามากและหายไปทันทีที่นางตื่น ข้าน้อยจึงไม่มั่นใจนักขอรับ”

“ลองนิยามคำว่า ‘ไม่เหมือนพลังเทพจันทรา’ ให้ข้าฟังหน่อยสิ”

คำสั่งทำให้ความกระอักกระอ่วนใจปรากฏบนสีหน้าของอัลล์ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อาจปกปิดอารมณ์ของตนต่อหน้าไคซัสได้ เพราะเรื่องที่มหาเทพสงครามอยากทราบนั้นเกี่ยวข้องกับสหายของเขาโดยตรง ซึ่งเขารู้สึกว่ามีเบื้องหลังอันไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ด้วย ดูได้จากท่าทางอันผิดแปลกไปจากปกติของไคซัสตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่อัลล์ก็เหมือนกับดาริคที่รู้ว่าตัวเองเป็นลูกไก่ในกำมือเทพอสูร ไม่สามารถหลบลี้หนีคำถามได้

“หากจะให้อธิบาย พลังของเทพจันทราจะให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำและสดชื่นเหมือนธารน้ำหนาวในฤดูใบไม้ผลิ แต่กลิ่นอายความมืดที่ข้าสัมผัสได้เย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็ง”

...เหมือนเทพรัตติกาลไร้หัวใจตนนั้น!

อัลล์ถึงกับตกใจสุดขีดเมื่อตระหนักเรื่องนี้ได้อย่างไม่ทันตั้งตัว พอตั้งสติได้ก็รีบมองไปยังไคซัสด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นท่าทางของเขาเสียก่อน ทว่าไม่เพียงมหาเทพสงครามจะไม่ได้สนใจเขา ยังทำหน้าครุ่นคิดอยู่คนเดียว นายทหารหนุ่มจึงเบือนหน้าไปลอบถอนใจน้อย ๆ โดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาพิจารณาที่ไคซัสลอบส่งมาในชั่วพริบตาเดียวกัน

“เอาเป็นว่านาซิลลาปลอดภัยดีก็พอแล้ว จากนี้ไปก็ให้คนของเจ้าตามดูแลเหมือนเดิม แต่ตอนกลางคืนให้เหลือทหารตามแค่คนเดียวก็พอ ข้าอยากได้ทหารไปเสริมกำลังพวกที่เฝ้าข้างนอกน่ะ” ไคซัสสั่งเมื่ออัลล์หันกลับมาพร้อมกับจัดเก็บเอกสารที่กางแผ่เต็มโต๊ะเข้าที่อย่างรวดเร็ว ก่อนลุกขึ้นเตรียมตัวจะไปไหนสักแห่ง

“เดี๋ยวก่อนขอรับ!” ร่างสูงใหญ่สีแดงชะงักหลังได้ยินเสียงนายทหารคู่ใจร้องเรียกไว้ เขาค่อนข้างแปลกใจกับวิธีการเรียกที่ดูจะรีบร้อนหน่อย ๆ และอัลล์ก็เหมือนจะรู้ตัวถึงได้พยายามปั้นหน้านิ่งเข้าไว้ “ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะถามขอรับ” ไหน ๆ ก็เรียกไว้แล้ว ลองเสี่ยงตายดูสักครั้งจะเป็นไรไป

“ว่ามาสิ” ปากพูดอย่างใจกว้าง แต่ยามมหาเทพสงครามยืนนิ่งดูราวกับป้อมปราการที่แข็งแกร่ง

“ข้าน้อยอยากรู้ว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่ขอรับ” นายทหารหนุ่มพูดออกไปจนได้ แม้แต่ตัวเองยังนึกแปลกใจ คงเพราะเขาอยู่กับเทพอสูรที่ต้องการความตรงไปตรงมาตลอดจึงพลอยติดนิสัยนั้นมาด้วยก็เป็นได้ “หลายวันมานี้ท่านดูแปลก ๆ ไป สหายทั้งสองตนของข้าน้อย...ทำอะไรให้ท่านสงสัยหรือขอรับ”

“ทำไมถึงถามแบบนั้น” ไคซัสเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัยจริง ๆ หลายวันมานี้เขาอาจจะทำท่าทีดูน่าสงสัยในสายตาของอัลล์ก็จริง แต่ท่าทางเหล่านั้นไม่น่าจะทำให้อีกฝ่ายสงสัยแบบนั้นได้

นายทหารผมสีม่วงกลอกตาไปมา เรียบเรียงความคิดที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกัน “ตั้งแต่ท่านหญิงไคมีร่ากับหัวหน้าราชเลขาดาริคกลับไปแล้ว ท่านก็ไม่ได้กลับไปหาฮาธอสอีกเลย แม้แต่ข่าวของเขา ท่านก็ไม่ได้สอบถามมาสองวันแล้ว และเหมือนจะจงใจดูแลนาซิลลาน้อยลงด้วย” นั่นคือเหตุผลเท่าที่อัลล์หยิบมาได้ ดวงตีสีม่วงสบประสานอีกฝ่ายนิ่ง “ข้าน้อยคิดว่ามันผิดนิสัยของท่านขอรับ เพราะเรายังไม่ทราบเลยว่าใครปองร้ายนาง และฮาธอส....ถ้าท่านไม่คิดจะใส่เจ้าเขาอีกล่ะก็...” เสียงแหบห้าวขาดหายไปอย่างมีความหมาย

ไคซัสค่อนข้างประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยินในช่วงท้าย เห็นได้ชัดว่านายทหารหนุ่มเฝ้ามองเขาอยู่เงียบ ๆ จนรู้เรื่องสำคัญเข้าหลายเรื่อง ถ้าว่ากันตามหน้าที่ เจ้าตัวควรจะปิดเงียบไม่ปริปากออกมาแม้แต่คำเดียว ทว่าอัลล์กลับยอมเสี่ยงพูดเพื่อสหายทั้งสองตน ทั้งที่รู้ว่าแค่การระแคะระคายถึงแผนการของเจ้านายก็ทำให้ถูกฆ่าได้แล้ว...ซึ่งเทพอสูรอย่างเขาก็เลือดเย็นพอเสียด้วย

“เรื่องนาซิลลายังไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าที่ต้องรู้ แต่ทำงานไปเรื่อย ๆ เจ้าคงจะรู้เอง” เมื่ออีกฝ่ายยอมเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ ไคซัสก็ตัดสินใจตรงไปตรงมาด้วย เพื่อรักษานายทหารฝีมือดีที่สุด...และอาจเป็นเทพที่ภักดีกับเขาที่สุดในอนาคตไว้ “สำหรับฮาธอส ข้าไม่ได้ตั้งใจจะละเลยเขา แต่อย่างที่เจ้าเห็นว่าข้างานรัดตัวแค่ไหน ยิ่งหลังไคมีร่ากลับไปแล้วก็ยุ่งวุ่นวายใหญ่ และถ้าเจ้าไม่เรียกข้าไว้ ข้าคงจะไปถึงห้องเดี๋ยวนี้แล้ว”

“เอ๋!” คู่สนทนาส่งเสียงร้องสั้น ๆ ก่อนจะเข้าใจในวินาทีต่อมา “ขออภัยด้วยขอรับ ข้าไม่ทราบ...” นายทหารร่างใหญ่รีบโค้งลงทันใด ซึ่งเมื่อพ้นสายตาเจ้านาย ดวงตาของเขาก็เบิกโพล่งอย่างตกใจ เพราะคำพูดของไคซัสเหมือนยอมรับว่ามีใจให้ฮาธอสกลาย ๆ

“เจ้าทำเพื่อเพื่อนนี่นา ข้าไม่ถือสาหรอก ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนล่ะ” ว่าแล้ว มหาเทพจ้าตำหนักก็มุ่งหน้าออกจากห้อง แต่ก่อนที่มือของเขาจะได้สัมผัสกับบานจับก็ได้ยินเสียงอัลล์อีกครั้ง

“มหาเทพไคซัส ได้โปรดปกป้องทั้งสองคนนั้นด้วยขอรับ”

อัลล์ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะเป็นอีกครั้งที่เขาปล่อยให้ตัวเองพูดตามใจชอบ ชายหนุ่มก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้ตัวเองถึงได้ก้าวก่ายเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวของเจ้านายขนาดนี้ เขาแค่คิดว่ามันสำคัญมากจึงพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว ชั่วเวลาของการรอคอยแม้สั้นแค่อึดใจ แต่ก็ยาวนานราวกับผ่านไปหลายปี แต่ในที่สุดไคซัสก็หันกลับมา

“ข้าสัญญาเรื่องนี้กับเจ้าไม่ได้ อัลวิน” ดวงตาสีส้มฉายแววจริงจังจนน่ากลัว แต่ลึกลงไป...อัลล์เห็นความเศร้าแฝงเร้นอยู่ด้วย “แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะทำดีที่สุดเช่นกัน”

เพราะคำพูดสุดท้ายนั้นโดยแท้ที่สะกดอัลล์ไว้ มิให้เผลอตัวเหนี่ยวรั้งมหาเทพสงครามไว้อีก ชายหนุ่มมองเจ้านายจากไปด้วยความหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก สองบ่าคล้ายแบกรับภาระที่ถาโถมลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว พูดตามตรงเขาไม่ชินกับวิธีกดดันของไคซัสสักเท่าไหร่

แต่...ถ้ามันไม่ใช่การกดดัน...คำพูดของเขาก็คือสัญญาณเตือนว่าสิ่งที่กำลังจะตามมาหลังจากนี้อาจหนักหน่วงเกินกว่าจะรับประกันได้




ไคซัสเปิดประตูห้องส่วนตัวเข้ามาแล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าภายในห้องสว่างสดใสด้วยแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ผ้าม่านที่เขาใช้แบ่งห้องเป็นสัดส่วนถูกรวบไว้ในที่ของมันอย่างเรียบร้อย หนังสือที่เขาเคยทำรกไว้ถูกจัดเก็บเข้าตู้ บางส่วนที่ไม่สำคัญถูกเรียงไว้ข้างผนังห้องอย่างเป็นระเบียบ ส่วนภายในห้องถูกปัดกวาดเช็ดถูดูสะอาดตากว่าที่จำได้มากทีเดียว ส่วนตัวเทพที่คาดว่าน่าจะเป็นคนทำนั้นกำลังพับเสื้อผ้าของตนใส่ถุงผ้า แต่พอได้ยินเสียงเปิดประตูก็เงยหน้าขึ้นมามอง หัวใจพลันพองโตเมื่อเห็นเขา

“มหาเทพไคซัสกลับมาแล้ว...”

“นั่นเจ้าเก็บของจะไปไหน” ยังไม่ทันพูดจบ คำถามที่แฝงความไม่พอใจก็สวนกลับมา เจ้าของห้องเดินดุ่ม ๆ มาดึงเสื้อที่พับค้างไว้ออกจากมือเทพคนสวน

“แต่ข้าน้อยอาการดีขึ้นแล้วนะขอรับ ไม่ปวดท้องบ่อย ๆ เหมือนหลายวันก่อนแล้วด้วย” ฮาธอสบอกหลังมองตามเสื้อที่ถูกโยนลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี “เมื่อคืนข้าออกไปซับพลังจันทราทำให้พอจะมีแรงมาขึ้น ข้าอยากกลับห้องไปทำงานของตัวเองแล้วขอรับ”

ระหว่างที่พูดไคซัสทรุดตัวนั่งข้างกายเขาแล้วยื่นมือมาลูบแก้ม “หน้าเจ้ายังซีดเซียวอยู่เลยนะ แล้วเมื่อคืนออกไปทำไมไม่บอกข้า” เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเมื่อคืนและไม่พูดถึงเรื่องเธออยู่ในสวนทั้งคืนตามความตั้งใจของเด็กสาว

ฝ่ายฮาธอสที่ไม่รู้เรื่องด้วยก้มหน้าต่ำด้วยความเศร้าใจ ถ้าเมื่อคืนนี้เขาไปหาไคซัสและชวนไปเดินเล่นรับแสงจันทร์ด้วยกันก็คงไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เขากับนาซิลลาก็คงจะเป็นเพื่อนที่มีสถานะคลุมเครือกันต่อไป ทว่าอีกใจก็บอกว่าดีแล้วที่มันเกิดขึ้น เพราะเขาได้ปลดแอกตัวเองจากความรู้สึกบีบคั้นที่รัดคอมานานนั้นแล้ว เพียงแต่อาจต้องแลกด้วยการเสียนาซิลลา...น้องสาวที่น่ารักของเขาไป

“ฮาธอส มานี่มา” ไคซัสทนเห็นสีหน้าปวดร้าวของฮาธอสไม่ไหวจึงดึงตัวมาอยู่ในอ้อมกอดและลูบผมปลอบโยนนุ่มนวล “ข้าขอโทษที่ทิ้งเจ้าไว้คนเดียวหลายวัน คงจะเหงามากสินะ” แม้แต่เวลาที่เจ้าต้องการ ข้าก็ไม่ได้อยู่ด้วย เขาคิดต่อเงียบ ๆ

“นิดหน่อยขอรับ” ฮาธอสยอมรับ เพราะอยากให้ความอบอุ่นจากอ้อมกอดนี้คงอยู่ต่อไปอีกสักพัก หลังจากเมื่อคืนต้องเหน็บหนาวกับความเดียวดายและความเจ็บปวดที่ทำให้นาซิลลาเสียใจ ซึ่งทำให้เขานอนไม่หลับแล้วทำความสะอาดห้องของไคซัส เพื่อลืมความรู้สึกนั้น แต่มันก็หายไปแค่ชั่วคราวและกลับมาใหม่เมื่อวาง เขาคิดว่ากลับห้องเก่าก็คงจะดีขึ้น ชายหนุ่มจึงเตรียมข้าวของจะย้ายกลับ ทว่าทันทีที่ถูกไคซัสโอบกอด หัวใจของเขาก็กลับมาสงบดั่งเดิมอีกครั้ง มีเพียงมหาเทพสงครามตนนี้จริง ๆ หรือที่ทำให้หัวใจของเขาสงบลงได้ “ว่าแต่ท่านมาหาข้าแบบนี้ งานเสร็จแล้วหรือขอรับ” เงยหน้ามองคนก่อนอย่างเพิ่งนึกได้

“ฮึ ฮึ ฮึ ข้ากำลังให้เจ้าอ้อนอยู่นะ อย่าพูดถึงเรื่องงานสิ” ไคซัสพูดกลั้วหัวเราะ คนถูกล้อแก้มแดงระเรื่อ

“...ข...ข้าน้อยไม่อยากเป็นตัวร้ายแย่งท่านมาจากงานนี่ขอรับ” ฮาธอสแปลกใจกับโทนเสียงกระเง้ากระงอดของตัวเองนิดหน่อย นี่เขากำลังงอนเป็นผู้หญิง เพียงเพราะชายที่รักติดงานอย่างนั้นหรือ ที่สำคัญยังมาพูดต่อหน้าเจ้าตัวอีกต่างหาก!

“ใครบอกเจ้ากัน งานต่างหากที่เป็นตัวร้ายแย่งข้าไปจากเจ้า ดังนั้นอย่างอนเลยนะ” เทพอสูรหนุ่มไม่พูดเปล่า แต่ก้มลงจุมพิตฮาธอสอย่างอ่อนหวานด้วย เขารู้สึกว่าเทพคนสวนผงะเล็กน้อย ก่อนครู่ต่อมาจะตอบสนองอย่างไร้เดียงสา กลีบปากฉ่ำหวานทำให้ไคซัสเผลอละเลียดลิ้มอยู่นานกว่าจะผละออกมาได้ “หวานนัก”

“อย่าล้อเล่นสิขอรับ” คนถูกจูบประท้วงหน้าแดงก่ำ เขินจนไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายแล้ว “คราวนี้ไม่ว่าท่านจะทำอย่างไร ข้าก็ไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาดขอรับ ข้าเบื่อที่ต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้องอุดอู้แบบนี้แล้วขอรับ อนุญาตให้ข้ากลับไปทำงานเถิด”

เพราะต้องขอร้องเรื่องสำคัญ ฮาธอสจึงเงยหน้าขึ้นมองตาไคซัสอย่างเว้าวอน สิ่งที่ตอบกลับมาคือ สายตากังวลใจ บรรยากาศหวานละมุนหายไปและกลายเป็นความเงียบที่น่าอึดอัดแทน

ในสายตาของมหาเทพสงคราม ฮาธอสดูไม่ได้แข็งแรงไปกว่าเดิมเท่าไหร่นัก หน้าตาซีดเซียว ดวงตาลึกโหล แววตาแฝงรอยอิดโรย อีกทั้งเมื่อคืนนี้ยังอดนอนจนขอบตาดำคล้ำอีกต่างหาก ยังไม่รวมถึงพลังชีวิตที่อ่อนแอซึ่งดูเหมือนจะส่งผลกระทบถึงสภาพจิตใจของเขาด้วย และก่อนไคมีร่าจะกลับไปก็กำชับไว้หนักหนาว่า ให้รอจนว่าฮาธอสจะใช้พลังเวทได้ดีแล้วค่อยให้กลับไปทำงานเก่า แต่นั่นก็เป็นเหตุผลชั้นรองที่เขาตั้งใจจะหยิบมาใช้ ส่วนเหตุผลแท้จริงน่ะหรือ มีแค่หัวใจของเขาที่ไม่อยากห่างจากคนรักเท่านั้น

“พูดกันตรง ๆ เลยนะ ฮาธอส ไคมีร่าสั่งให้รอจนกว่าเจ้าจะใช้พลังเวทได้ดีก่อนถึงจะให้กลับไปทำงานเดิมได้ เจ้าก็เห็นและรู้กิตติศัพท์ของนางแล้ว ถ้ารู้ว่าข้าอนุญาตก่อนเวลาอันควร นางต้องบุกมาอาละวาดอีกแน่” เทพอสูรหนุ่มพูดไปตามที่คิดไว้ เทพคนสวนหน้าม่อยอย่างผิดหวัง “แต่ถ้าเป็นพวกงานเอกสารล่ะก็ ไม่น่าจะมีปัญหากระมัง ข้ามีบัญชีที่ต้องสะสางเยอะเสียด้วย...แต่มีเงื่อนไขนะ”

ฮาธอสค่อย ๆ ช้อนหน้าขึ้นด้วยความหวังเต็มเปี่ยม ทว่าพอได้ยินประโยคสุดท้ายก็ออกอาการเซ็งทันที ไม่เข้าใจ...แค่ขอ ‘เจ้านาย’ กลับไปทำงานอีกครั้ง จำเป็นต้องตั้งเงื่อนไขด้วยอย่างนั้นหรือ จอมเทพีเรเทเชียไม่เคยทำแบบนี้เลยสักครั้ง ยิ่งเขาเต็มใจกลับมาทำงานด้วยตัวเองแบบนี้ นางมีแต่จะอนุญาตด้วยความเต็มใจ แต่สิ่งที่ไคซัสทำนั้นมันเหมือน...รูปแบบหนึ่งที่คนรักทำให้กันเลย!

“เงื่อนไขอะไรหรือขอรับ มหาเทพ” ถามเสียงอ้อมแอ้มพลางเอียงหน้าหลบ เพราะสมองจอมเตลิดเริ่มคิดลึกหลังตระหนักเรื่องน่าเขินขึ้นมาได้

“เจ้าต้องอยู่ห้องข้าต่อไป” คำตอบสั้นกระชับและได้ใจความขนาดที่คนถามยังเงยหน้ามองอึ้ง ๆ เทพอสูรหนุ่มเอียงคอส่งยิ้มที่ดูน่ารัก...เสียเมื่อไหร่มาให้ “ข้าสัญญาว่าจะกลับมานอนที่ห้องทุกวัน จะไม่ปล่อยให้เจ้าเหงาอยู่คนเดียวอีกแล้ว และพอเจ้าหายดีจริง ๆ ข้าจะยอมให้เจ้ากลับห้อง”

“แต่ว่า...”

“ฮาธอส...ถือว่าข้าขอร้อง” ดวงตาสีส้มสว่างฉายแววอ้อนวอนเหมือนลูกสุนัขตัวน้อยที่อ้อนขอความรักจากเจ้านาย ซึ่งฮาธอสไม่เคยชินเอาเสียเลย เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป หลังคิดกลับไปกลับมาอยู่หลายหนจนสับสน เทพคนสวนก็ปล่อยให้ผลลัพธ์ออกมาแบบเดียวกัน ด้วยเหตุผลเดียวคือ ไม่อยากให้ไคซัสเสียใจ

“ตกลงขอรับ” ตอบด้วยเสียงแผ่วยิ่งนัก

“เด็กดี ข้าดีใจที่สุดเลย” ไคซัสก้มลงจูบริมฝีปากฮาธอสเร็ว ๆ ด้วยความรักใคร่ “ส่วนวันนี้เจ้าคงเบื่อแล้ว เราออกไปเดินเล่นกันไหม”

“เอ๋! ท่านกับข้า...”ร้องถามแล้วก็เบือนหน้ามองนอกหน้าต่างที่ยังสว่างโร่ “เวลานี้หรือ!?”

“อืม ตกใจอะไรเหรอ” ไคซัสถามหน้าเป็นพลางกุมมือฮาธอสขึ้นมาจูบหลังมือ แต่ดวงตาสีส้มสว่างกลับส่องประกายอย่างมาดหมาย แล้วเขาก็เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาด้วยน้ำเสียงท้าทาย

“หรือว่าเจ้ารังเกียจ”

-----------------

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 13 up 03/09/13
«ตอบ #63 เมื่อ04-09-2013 20:53:23 »

นั่นสินะ...

ทำไมเขาต้องรังเกียจด้วยล่ะ

ฮาธอสถามตัวเองด้วยความรู้สึกโง่เง่า ขณะเดินตามไคซัสที่ออกมาดูการฝึกซ้อมอาวุธของทหารในสังกัดที่ลานฝึกชั้นนอก เขาลืมไปได้อย่างไรกัน มีวิธีการอีกตั้งมากมายที่เขากับมหาเทพสงครามจะเดินเล่นด้วยกันได้ โดยไม่ต้องใส่ใจสายตาของเหล่าทหารกับเทพรับใช้มากนักอย่างเช่นตอนนี้

เพียงแต่...นี่นับเป็นการเดินเล่นด้วยกันได้ด้วยรึ? หรือเป็นการทำงานของไคซัสกันแน่?

ฮาธอสถอนใจอย่างละเหี่ยเสียยืดยาว เมื่อรับรู้ว่าตัวเองกำลังคาดหวังความโรแมนติกจากความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างพวกเขา แม้จะมีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน แต่ก็ไม่ใช่คนรัก เพศที่เหมือนกันกับฐานะที่แตกต่างล้วนแต่เป็นอุปสรรคของความรักทั้งสิ้น เขารู้อยู่แล้ว...ไฉนจึงคาดหวังเรื่องแบบนั้นอีก

“เป็นอะไรไป เงียบเชียว” ไคซัสหันมาถามขณะเดินผ่านหน่วยหอกที่ซ้อมต่อสู้กันด้วยไม้พลองหุ้มน่วม ท่าทางของพวกเขาดุดันกว่าในอดีตมาก เพราะได้รับการฝึกแบบอสูรที่เน้นรุกรุนแรงและรับหนักแน่นมาแล้ว “หรือว่าเจ้าไม่ชอบดูการฝึกทหาร ข้าจะพาไปดูที่อื่นก็ได้นะ”

“มหาเทพเจ้าใจผิดแล้ว ข้าชอบดูการฝึกทหารขอรับ แต่ไม่ได้ออกมาข้างนอกนานแล้วจึงรู้สึกตกใจกับการพัฒนาของทุกคนนิดหน่อย” ฮาธอสกล่าวไปตามความจริง แม้ว่าจะครึ่งเดียวก็ตาม เพราะไม่กล้าบอกเหตุผลที่แท้จริงออกไป แต่ดูเหมือนมหาเทพสงครามจะเข้าใจความคิดเขา ร่างสูงใหญ่จึงขยับมาใกล้

“ขอโทษที่ไม่ใช่การเดินเล่นแค่สองคนนะ ฮาธอส” เทพอสูรหนุ่มกระซิบ “ถ้าอยากอยู่กันสองคนต้องรอตอนกลางคืนก่อนนะ”

“อย่าล้อ...อ๊ะ!” อาการสำลักคำพูดของฮาธอสต้องชะงักทันที เมื่ออาการปวดท้องกำเริบอย่างไม่ทันตั้งตัว ไคซัสสังเกตเห็นจึงเข้าประคองแขนเขาไว้ก่อนจะทรุดกองกับพื้น

“ปวดท้องอีกแล้วหรือ เอายามาหรือเปล่า” เทพคนสวนขี้ไปที่ขวดดินเผาใบเล็กที่แขวนไว้กับเข็มขัด เหงื่อเริ่มผุดพรายเต็มหน้าผากทั้งที่เพิ่งเริ่มปวดได้แค่แปบเดียวเท่านั้น “อดทนอีกนิดนะ ข้าจะพาเจ้าไปพักข้างหลัง”

แล้วเทพอสูรร่างใหญ่ก็พาฮาธอสเดินตัดแถวทหารออกจากลานอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้ว่ามีองครักษ์สองนายสิ่งตามมาด้วย แต่ทั้งหมดหยุดตรงปากทางเข้าซอกตึกที่พักทหารทางขวา ซึ่งไคซัสพาเทพหนุ่มอ้อมไปยังสวนด้านหลัง ที่นั่นมหาเทพสงครามช่วยป้อนยาลูกกลอนที่ไคมีร่าปรุงทิ้งไว้ให้ฮาธอสสองเม็ด ก่อนปล่อยให้นั่งพักที่ม้ายาวหลังแนวต้นสนแดงแล้วผละไปที่บ่อน้ำพุ

ฮาธอสเอนตัวกับพนักพิงหลังในท่าสบายที่สุด มือกุมเสื้อเหนือท้องที่เจ็บเสียดเหมือนมีใครเอาเข็มมาแทงแล้วลากไปมาอย่างไร้ความปราณี แต่ยาของไคมีร่าก็ได้ผลดีเกินคาด ไม่นานอาการปวดท้องนั้นก็ลดลงมาอยู่ในระดับที่ทนไหว เลือดเริ่มวิ่งขึ้นมาบนใบหน้าซีดเผือดของเขาอีกครั้ง

“ยาออกฤทธิ์แล้วสินะ” ไคซัสกลับมาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าเปียกน้ำหมาด ๆ ซึ่งเขาใช้มันซับเหงือกให้ฮาธอสอย่างเบามือ “ข้าไม่น่าพาเจ้าออกมาเลย...”

“อย่าพูดอย่างนั้นขอรับ เพราะข้าเรียกร้องจะออกจากห้องด้วย ท่านถึงตัดสินใจชวนข้าออกมาไม่ใช่หรือ” ความเห็นใจและเข้าอกเข้าใจคนอื่นนี้เป็นข้อดีที่สุดของฮาธอส...จนบางครั้งก็น่าอ่อนใจ

“เจ้าเป็นแบบนี้มาตลอดหรือ” มหาเทพสงครามถามพลางดึงตัวฮาธอสมาพิงบ่าตัวเอง ก่อนเสริมเมื่อชายหนุ่มผมทองเงยหน้ามองอย่างงุนงง “ข้าหมายถึงการถนอมน้ำใจและคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอของเจ้า”

“แปลกหรือขอรับ ข้าคิดว่าเราทุกคนควรจะทำแบบนั้นเสียอีก” ดวงตาสีฟ้าฉายแววไร้เดียงสาราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาจนชั้นไคซัสยังอึ้งน้อย ๆ

“ไม่หรอก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนั้น ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจที่ข้าพูดนะ”

ใช่! ฮาธอสเข้าใจสิ่งที่มหาเทพสงครามพูดอย่างแน่นอน สวรรค์ก็เหมือนกับโลกอื่น ๆ ที่ประกอบด้วยเทพที่หลากหลาย อุปนิสัยใจคอก็แตกต่างกันไปด้วย เพียงแต่มีฐานของสายเลือดกับการกำเนิดมาจากสวรรค์เท่านั้น ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดก็คือ เขากับพี่ชาย นั่นเอง

“เพราะพี่ชายของเจ้าหรือ” คำถามนี้ก็ลอยขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ฮาธอสทำหน้าตกใจ

“ทำไมถึงถามเช่นนั้น!”

“ตามประวัติของเฮสเลนที่ข้ารู้มา เขาเป็นคนโหดเหี้ยมและอำมหิต ถ้าถูกใจอะไรก็จะเอามาเป็นของตัวเองให้ได้โดยไม่เกี่ยงวิธีการ มีเทพมากมายที่ต้องจุติเพราะเขา แต่ตัวเจ้ามีจิตใจที่อ่อนโยน เห็นอกเห็นใจคนอื่น ชอบช่วยเหลือผู้คน บางครั้งถึงขั้นหัวอ่อน ข้าจึงสงสัยว่าเจ้าเป็นแบบนี้เพราะอยากชดเชยแทนพี่ชายหรือเปล่า”

คำพูดของไคซัสทำให้ฮาธอสฉุกคิดถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง สมัยเด็ก ๆ เขากับพี่ชายต้องทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอด แต่หลายครั้งที่เขาแอบปล่อยสัตว์ที่เฮสเลนจับมาได้ไป เพราะอดสงสารมันไม่ได้ทำให้ทะเลาะกับพี่ชายบ่อย ๆ จนสุดท้ายอีกฝ่ายต้องฆ่าสัตว์ก่อนเอากลับบ้านเสมอ

นิสัยนั้นส่งผลมาถึงช่วงที่เฮสเลนเริ่มอาละวาดด้วย ซึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้เขากับเฮสเลนแตกหักกันจริง ๆ กลับเป็นการช่วยเหลือเทพเด็กที่เฮสเลนลักพาตัวมาเพื่อเรียกค่าไถ...หรือไม่ก็เพื่อสนองความต้องการส่วนตัว เพราะทนเห็นเด็ก ๆ ถูกทรมานราวกับตายทั้งเป็นไม่ได้และเห็นใจเทพบิดามารดาที่ต้องใจแหลกสลาย เรื่องราวในตอนนั้นทำให้เขาถูกพี่ชายตัวเองตัดพี่ตัดน้องอย่างเด็ดขาด

คิดดูแล้ว...เขาก็เป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ

“ข้า...เกรงว่าจะไม่ใช่...เพราะข้าชอบช่วยเหลือคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว” ฮาธอสยิ้มบางเบายามคิดถึงอดีตที่มีแต่ความดีงามของตน แม้จะมีความทุกข์เจือปนมาบ้าง แต่ด้านที่ดีก็ทำให้เขาสบายใจได้เสมอ

“ถ้าอย่างนั้นช่วงเฮสเลนอาละวาด เจ้าคงพยายามช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ด้วยสินะ” เทพคนสวนแสดงท่าทางกระอักกระอ่วนหลังไคซัสถามตรงไปตรงมาเหมือนลูกธนูปักกลางเป้า

“มีบ้างขอรับ แต่เฮสเลนก็รู้จักข้าดี เพราะอย่างนั้นหลายครั้ง...จึงผิดพลาด” ปลายเสียงของเทพหนุ่มแผ่วเบาจนแทบมีแต่ลม ใบหน้าคมกำลังก้มลงต่ำเมื่อถูกมือใหญ่เชยคางขึ้นสบตาคนที่ยิงคำถามเลือดเย็นนั้นออกมา แววเศร้าสร้อยในดวงตาคู่นั้นละลายหัวใจที่กำลังจะแข็งขืนของเขาได้ในพริบตา

“ข้าขอโทษที่ถามแบบนี้ แต่ในฐานะมหาเทพสงคราม...ในฐานะคนรักของเจ้า ข้ามีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนี้นะ” ไคซัสให้เหตุผลอย่างตรงไปตรงมา...และตรงต่อหัวใจของเขามากที่สุด

แต่สำหรับฮาธอส การเล่าเรื่องนี้ไม่ต่างกับการย้อนกลับไปหาฝันร้ายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ความเศร้า และความสิ้นหวังที่เขาต้องเผชิญตลอดช่วงที่เฮสเลนก่อการร้าย แม้ว่ามันจะผ่านมาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม

“ข้ายังไม่พร้อมขอรับ” ฮาธอสหลุบตาต่ำหวังให้แพขนตาของตนปกปิดซ่อนความเจ็บปวดที่เจืออยู่ในแววตา แต่ไคซัสก็รับรู้ได้จากท่าทางของเขา

“เข้าใจล่ะ เอาไว้เจ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็มาเล่าให้ข้าฟังนะ” ปากอาจจะถูกอย่างใจกว้าง แต่ใบหน้าของไคซัสกลับเต็มไปด้วยความสงสัย “แต่ข้ายังมีอีกคำถามที่ไม่ว่ายังไงก็อยากรู้” ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบขึ้นสบตาเขานิ่ง “เจ้ารู้ไหมว่าเฮสเลนหายตัวไปไหน”

นั่นเป็นคำถามที่เทพทั้งสวรรค์ต่างสงสัย แต่แสร้งทำเป็นลืมไปด้วยเหตุว่าต้นตอของภัยร้ายได้หายไปแล้ว ความสงบสุขหวนคืนสู่สวรรค์จึงไม่จำเป็นต้องหาคำอธิบายใด ๆ อีก เรื่องราวของเฮสเลนจึงถูกกาลเวลากลบฝังไว้ในหลุมมืดลึกลงในไปจิตใจของชาวเทพ แน่นอนว่ารวมถึงฮาธอสด้วย แต่การฝังของเขานั้นดูจะหนาแน่นยิ่งกว่าคนอื่น ๆ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยสงสัยว่าพี่ชายของตนหายไปไหน สำคัญที่สุดคือ...ไม่มีความจำเป็นที่ชาวเทพทั้งหลายจะต้องรู้ด้วย...

“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ”

ดวงตาสีน้ำเงินพริ้มหลับพร้อมกับคำถามที่หลุดจากคออย่างลำบาก ไคซัสสามารถจับกระแสอึดอันและทุกข์เศร้าจากน้ำเสียงของฮาธอสได้อย่างชัดเจน เขาอยากรู้เหลือเกินว่าในอดีตฮาธอสต้องเจอกับสิ่งใดมาบ้างถึงได้เก็บงำความทุกข์ไว้ขนาดนี้ แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมให้ความร่วมมือคงต้องรอไปก่อน

“เข้าใจแล้ว แค่เจ้ายอมให้ข้าถามเรื่องนี้ก็ถือว่าพยายามเต็มที่แล้ว ขอบใจมาก” เมื่อฮาธอสเหลือบตามองไคซัสอีกครั้งก็เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้ใบหน้าของเขาน่ามองขึ้นเล็กน้อย และกลายเป็นรอยยิ้มกว้างตอนเขาพูดประโยคต่อมา “มา! ข้าจะให้รางวัล”

ฮาธอสไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดสงสัยว่ารางวัลอะไร ใบหน้าคมเข้มสีแดงก็โน้มลงมาจูบริมฝีปากของเขาอีกครั้ง...เป็นครั้งที่สองของวัน คราวนี้สัมผัสจูบเร่าร้อนและดื่มด่ำทำให้สมองของเทพคนสวนพร่าเลือนไปอีกรอบ เขารู้สึกว่ามือใหญ่วางบนหน้าท้องแล้วถ่ายพลังเยียวยาอาการปวดท้องให้ ไอพลังแผ่ไปทั่วทำให้ร่างกายอ่อนระทดระทวยตามมือที่กดเขาลงกับม้านั่ง ร่างใหญ่ตามขึ้นมาอยู่เหนือตัวเขาเป็นเงาตามตัว จูบย้ำลึกซึ้งคล้ายจะซึมลงไปให้ถึงจิตวิญญาณ ในที่สุดฮาธอสก็เข้าใจ...ไคซัสจงใจใช้พลังเยียวยาตอนนี้เพื่อกระตุ้นเขานั่นเอง

“อุ๊ย!” ท่ามกลางสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสียงหวานที่อุทานขึ้นนั้นประหนึ่งเทปที่ถูกเปิดซ้ำใหม่ ฮาธอสผลักตัวไคซัสออกและมองไปยังต้นเสียง นาซิลลายืนอยู่ใต้ชายคาและใช้มือที่ถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ปิดปากเหมือนเมื่อคืนนี้ไม่มีผิด ต่างกันเพียงความตื่นตระหนกและไม่อยากเชื่อในดวงตาของเธอเท่านั้น

ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้!

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ นาซิลลา” ไคซัสถามหลังเห็นฮาธอสอ้าปากพะงาบ ๆ อย่างคนพูดอะไรไม่ออก

“ขะ...ข้าน้อยนำสารจากจอมเทพีเรเทเชียกับขุนพลเทพอันดับห้ามาให้ฮาธอสเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนาซิลลาสั่นเทาจนเกือบไม่เป็นคำ เห็นได้ชัดว่าเธอช็อกกับภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้มาก ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยคำถามจับจ้องที่ฮาธอส “พะ...พูดส่งบอกว่าเป็นสารขอโทษจากทั้งสองเจ้าค่ะ”

“ส่งมาถึงเจ้าด้วยใช่ไหม” หลังไคซัสถาม นาซิลลาก็พยักหน้า “เอาเข้ามา”

แต่ร่างบางกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แม้จะสิ้นเสียงสั่งไปนานแล้ว ฮาธอสกับไคซัสมองหน้ากันนิดหน่อย ก่อนเทพคนสวนจะตัดสินใจลุกไปหาเด็กสาวด้วยตนเอง ซึ่งทุกย่างก้าวช่างหนักอึ้งดุจถูกถ่วงด้วยก้อนหิน ชายหนุ่มเคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะบอกเธอเรื่องไคซัส แต่ไม่คาดฝันเลยว่าเธอจะมาเห็นด้วยตัวเองก่อนแบบนี้ มิหนำซ้ำยังเกิดขึ้นหลังจากที่เขาปฏิเสธเธอเสียด้วย มันก็เหมือนมีดที่กรีดย้ำลงบนรอยแผลของเธอ...อย่างไร้ความปราณี

“นาซิลลา...” ฮาธอสเรียกพร้อมยื่นมือออกไปขอจดหมาย แต่สายตาที่มองดูเธอนั้นมีแต่ความเสียใจ

“อ๋อ! เอาไปสิ ขอตัวก่อนนะ!” เด็กสาวยัดซองในมือเขาแล้วสะบัดหน้าวิ่งจากไป พริบตาก่อนที่เธอจะหันหน้าหนีไปนั้น ฮาธอสมองเห็นน้ำตาของเธอ อีกแล้วหรือ...นี่เขาทำให้น้องสาวของเขาต้องเจ็บปวดอีกแล้วหรือ!

มหาเทพสงครามดูเหตุการณ์อยู่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ นึกรู้เลยว่าเรื่องนี้อาจกลายเป็นจุดแตกหักระหว่างฮาธอสกับนาซิลลา ทว่าเขาก็ไม่เสียใจที่มันเกิดขึ้น...แม้จะไม่ได้เจตนาเสียทีเดียวก็ตาม เพราะนั่นเท่ากับว่าจะไม่มีสตรีนางไหนมาช่วงชิงเทพคนสวนไปจากเขาได้อีกแล้ว

“ไม่เป็นไรนะ ฮาธอส” ในที่สุดไคซัสก็ลุกไปกอดคนที่รักจากข้างหลัง ปลอบประโลมเขาด้วยความรักและไออุ่นของตนเอง “ให้เวลานาซิลลาทำใจอีกสักหน่อย ค่อยอธิบายเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง ข้าเชื่อว่านางจะเข้าใจ”

ฮาธอสไม่ได้ตอบ เพียงพยักหน้ารับอย่างขมขืนและภาวนาให้ทุกอย่างเป็นดั่งที่มหาเทพสงครามพูดมา...

--------------

อีกด้านหนึ่ง เรมันต์ซึ่งถูกฟาเบียนพิพากษาปลดจากตำแหน่งหัวหน้าจอมปราชญ์และถูกขับไล่ออกจากเขตส่วนกลางต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในเขตทุรกันดานบริเวณชายมหานครทิศเหนือ วิมานที่เคยใช้โตและงดงามในอดีต บัดนี้กลายเป็นกระท่อมหลังน้อย หลังคามุงหญ้าคาตากแห้ง บริเวณบ้านก็น้อยกว่าในอดีตเกือบสิบเท่า ไม่มีข้ารับใช้คอยดูแลอย่างในอดีตอีกต่อไปแล้ว

ชายชราเดินกลับไปกลับมาภายในนิวาสสถานที่มีอยู่เพียงห้องเดียวของตน สมองอันเฉียบคมพยายามคิดแผนต่าง ๆ นานา เพื่อหาทางกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมให้ได้ ทว่าทุกแผนล้วนทำได้ยาก เพราะนอกจากต้องใช้คนเยอะแล้วยังต้องพึ่งเส้นสายทางการเมืองด้วย ซึ่งเขาเสียทั้งหมดนั้นไปหมดแล้ว!

“ถ้าไม่มีสองตนนั้น ข้าก็คงไม่ตกอับแบบนี้หรอก!”

“ตัวเองเดินหมากพลาดเองนะ อย่าเอาแต่โทษคนอื่นซี่” เรมันต์ถึงกับสะดุ้งเมื่อเสียงเล็กคุ้นหูของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นทันทีที่ขาดเสียงสบถของเขา

เซย์เรียโน่ยืนกอดอกพิงบ่ากับกรอบประตูดูสีหน้าตกใจของชายชราอย่างหยามหยัน คนที่เคยอยู่อย่างมีเกียรติและหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี ต้องมาอยู่กระต๊อบหลังเล็ก ๆ แบบนี้คงเสียความรู้สึกน่าดู นับว่าฟาเบียนดัดนิสัยได้ถูกทางล่ะนะ

“ท่านมาทำอะไรที่นี่ ขุนพลเทพอันดับห้า!” น้ำเสียงแหบติดจะกระชากนิด ๆ ด้วยความหงุดหงิด

“ข้าไม่ได้มาเหยาะเย้ยท่านหรอกน่า ถึงจะอยากทำก็เถอะ” เซย์เรียโน่หัวเราะชอบใจหลังเห็นเรมันต์คิ้วกระตุกยิก ๆ การยั่วโมโหใครสักคน...โดยเฉพาะคนที่เกลียดสุด ๆ เนี่ย มันสนุกจริง ๆ นะ น่าเสียดายที่เล่นมากไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียงานซะก่อน “เรมันต์อยากกลับไปอยู่ที่เดิมไหม”

“ขุนพลเทพอันดับห้า ถึงข้าจะออกจากตำแหน่งแล้ว แต่ก็สูงวัยกว่าท่านมาก ให้เกียรติกันหน่อยได้ไหม”

“ข้าจะให้เกียรติเฉพาะคนที่ข้าอยากให้เกียรติ ท่านก็รู้เรื่องนี้ไม่ใช่รึ” เจ้าของเสียงเล็กสวนกลับมาอย่างเย็นชาทำให้คนต่อว่าหน้าแดงวาบด้วยความโกรธเสียเอง แต่เมื่อเห็นหน้าไม่พอใจอันเยือกเย็นของเด็กหนุ่ม ชายชราก็ไม่กล้าต่อว่าอะไร ทำไมน่ะหรือ? เพราะเจ้าเด็กนี่มีพลังมากที่สุดในบรรดาขุนพลเทพน่ะสิ และถึงมหาเทพจ้าวสวรรค์จะดูไม่ชอบขี้หน้าเขานัก แต่ก็วางใจให้ทำงานใหญ่มาหลายครั้งแล้ว “เอาล่ะ ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าอยากกลับไปตำแหน่งเดิมไหม”

“แน่นอน ถ้าได้รับโอกาส ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่!” เรมันต์กล่าว แววตาหมายมั่น!

เซย์เรียโน่ยิ้มหวานอย่างเจ้าเล่ห์ “อย่างนั้นก็ดี ข้ามีงานให้ท่าน เป็นงานที่เจ้าต้องทำให้ได้เสียด้วย” ว่าพลางเดินเข้าไปข้างในอย่างงามสง่าแล้วประตูบ้านก็เคลื่อนปิดด้วยตัวของมันเอง

เนิ่นนานหลังจากนั้น ขุนพลเทพอันดับห้าแห่งสวรรค์ก็เปิดประตูเดินออกมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น ผิดกับคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างในซึ่งนั่งนิ่งที่โต๊ะรับประทานอาหารกลางบ้านด้วยสีหน้าคิดไม่ตก และสะดุ้งโหยงเมื่อเด็กหนุ่มเจ้าของร่างเล็กหันกลับมาพูดย้ำ

“เรมันต์ นี่เป็นงานใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าจะหามาได้เพื่อเจ้านะ ดังนั้นอย่าทำให้ข้า...ไม่สิ ต้องพูดว่าอย่าทำให้ฟาเบียนผิดหวังล่ะ” เด็กหนุ่มโบกมือน้อย ๆ แล้วหมุนตัวเพื่อกลับไป

“ช้าก่อน!” เรมันต์โพล่งรั้งไว้ เจ้าของชื่อจึงหันกลับไปหาชายชราที่ลุกพรวดขึ้น “ช้าก่อน...ถ้าข้าทำสำเร็จจริง ๆ มหาเทพจ้าวสวรรค์จะให้ข้ากลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมจริงหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องโกหกด้วยล่ะ” เซย์เรียโน่เอียงคอ ทำหน้าฉงนฉงายอย่างเด็กไร้เดียงสาสมวัย “ไม่ใช่แค่จะได้คืนตำแหน่งเดิมนะ แต่เขาจะต้องชื่นชมเจ้าไปอีกนับพันปี บางทีอาจบันทึกในประวัติศาสตร์สวรรค์ด้วยก็ได้”

ความหอมหวานของความหวังนั้นช่างเย้ายวนใจอย่างยิ่งยวด ขนาดที่ทำลายความไม่มั่นใจซึ่งก่อตัวขึ้นหลังจากได้ยินหัวข้องานจากเด็กหนุ่มคนนี้ไปเสียสิ้น อันที่จริง มันก็ไม่เชิงว่าเป็นงานที่น่าอภิรมย์นัก ทว่าผลตอบแทนที่สวยงามย่อมต้องแลกด้วยงานที่ยากลำบากอยู่แล้ว มันเป็นสัจธรรมที่ใช้ได้ในทุกโลก

เมื่อเห็นว่าชายชราเงียบไปแล้ว เซย์เรียโน่จึงคิดว่าเจ้าตัวน่าจะยอมรับข้อเสนอของเขา เด็กหนุ่มจึงเหาะจากมาด้วยความสำราญใจอย่างที่สุด และแล้ววันนี้เขาก็ทำงานเสร็จไปอีกส่วน จะไปเที่ยวเล่นที่ไหนดีนะ

“นั่นเจ้ากำลังคิดจะไปก๊งที่ไหนหรือ เซย์เรียโน่” ขณะกำลังคิดอย่างเพลิดเพลิน จู่ ๆ ก็มีน้ำหนักตัวคนโถมลงมาจากข้างบนอย่างไม่ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงพร้อมยั้งตัวไว้ก่อนจะร่วงกลางอากาศ พอรู้ตัวอีกครั้งก็ถูกเจ้าของน้ำหนักบนหลังรัดไว้จนดิ้นไม่หลุด!

“โผล่มาแล้ว เจ้าเทพแสงลามก ปล่อยข้านะลูซิส!” โวยวายพร้อมเอี้ยวตัวมองเทพหนุ่มรูปงามเจ้าของเรือนผมสีแพรตตินั่ม ดวงตาสีรุ้งกรุ้มกริ่ม ผิวขาวเนียน เวลาเขายิ้มเหมือนมีแสงเจิดจรัสดั่งดวงตะวันสาดส่องมาด้วย สมเป็นมหาเทพแห่งแสงสว่าง หนึ่งในมหาเทพบรรพกาลแห่งสวรรค์จริง ๆ

“ไม่ปล่อย เจ้าไม่ได้ไปเยี่ยมข้าหลายวันแล้ว อุตส่าห์เจอกันทั้งทีไม่ปล่อยเด็ดขาด” ลูซิสไม่พูดเปล่า ยังเบียดแก้มคลอเคลียเหมือนแมว แล้วหอมไซ้แก้มเนียนขาว เล่นเอาคนถูกลวนลามขนลุกซู่

“ว้อย! ที่ไม่ได้เจอกัน เพราะเจ้าไปขลุกกับฟาเบียนไม่ใช่หรือไง เบื่อแล้วเรอะ ถึงมาก่อกวนกันแบบนี้!” เซย์เรียโน่พยายามดิ้นเต็มที่ แต่มือเหนี่ยว ๆ นั่นกลับรัดเขาแน่นขึ้นเหมือนกาวดักหนู พับผ่าเถอะ! ในฐานะเพื่อน เขาเกลียดการกระทำแบบนี้ที่สุด นี่มันการแกล้งกันชัด ๆ!

“ยังไม่เบื่อหรอก เล่นกับฟาเบียนก็สนุกดี แต่พอดีคิดถึงเจ้าก็เลยแวะมาหา” คนตอบยิ้มกว้าง แสงสว่างของสวรรค์เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจในมหาเทพบรรพกาลตนนี้ เจ้าตัวจึงสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็วและรับรู้ทุกสรรพสิ่งที่เขาอยากจะรู้ “แต่ข้าได้ยินแล้วนะ เรื่องที่เจ้าคุยกับเรมันต์น่ะ”

“ทำไม? เจ้าจะขวางข้าหรือ” เมื่อดิ้นไม่หลุด เซย์เรียโน่ก็ลอยตัวนิ่งอยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่าย กอดอกหน้าบึ้งไม่พอใจสุด ๆ ซึ่งดู...น่ารักมากในสายตาคนมอง

“มหาเทพบรรพกาลอย่างพวกข้าไม่ยุ่งเรื่องของสวรรค์มานานแล้วและจะไม่ยุ่งต่อไปด้วย ดังนั้นข้าไม่ขวางหรอก” ลูซิสยิ้มเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างใคร่รู้ “แต่ข้ากำลังสงสัยว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไป มันดีแล้วหรือ”

“อะไรล่ะ”

“ราดน้ำมันลงกองไฟ”

ดวงตาสีแดงฉานเหลือบมองมหาเทพหน้าเป็นซึ่งส่งยิ้มน่ารักน่าเอ็นดูมาให้ ในใจนึกอยากตั้นหน้าด้วยความหมันไส้สักหมัด ทว่าต้องข่มใจไว้แล้วนึกถึงเหตุการณ์ในนิวาสสถานของเรมันต์ รอยยิ้มสมใจที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งขั้วโลกก็ปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มนั้น

“ในบรรดางานที่ข้าทำ การราดน้ำมันใส่กองไฟเป็นสิ่งที่ข้าชอบที่สุด” แววตาซุกซนจางหายกลับกลายเป็นแววสนุกสนานที่ดูร้ายเดียงสายิ่งนัก “ลองนึกดูสิว่าถ้าใส่เชื้อไฟที่น่ากลัวที่สุดในกองเพลิงที่กำลังจะลุกโหม อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เจ้าไม่คิดว่ามันน่าสนุกหรอกหรือ ลูซิส”

ไม่ว่ามหาเทพแสงสว่างจะคิดอย่างไรกับความคิดของเด็กหนุ่มตนนี้ เขาก็สามารถปกปิดมันได้อย่างมิดชิด มีเพียงมือที่ตะปบลงบนผมหน้าของเขาแล้วขยี้แรง ๆ จนยุ่งเป็นรังนก

“อย่าสนุกจนเกินเหตุแล้วกัน เซย์เรียโน่ เจ้ายังเด็กและมีภาระมากเกินกว่าจะก้าวเข้าไปในโลกสีดำนั่น”

คำเตือนก้องกังวานในโสตประสาทพร้อมกับอ้อมแขนที่คลายออกจากตัวเซย์เรียโน่ แต่เมื่อเขาหันกลับไปก็พบเพียงท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ลูซิสหายตัวไปเสียแล้ว ขุนพลเทพอันดับห้าเอามือเสยผมอย่างเซ็ง ๆ

“ไม่ต้องเตือนข้าก็รู้แล้วน่า เจ้าเทพลามก...”

----------------

จบไปอีกตอน มีเวลาแวบมาได้ก็มาอัพนิยายกันเลย ฮ่าๆๆๆ

มีฉากที่หายไปด้วยฮับ เชิญทัศนาได้ http://i147.photobucket.com/albums/r318/ariajung/LG/E090E320E010E170E350E480E2B0E320E220E440E1B01.jpg

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang ต้องดูกันต่อไปฮับ ว่าสุดท้ายแล้วความเป็นเทพจะทำให้นาซิลลากลับใจได้ไหม

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 14 up 04/09/13
«ตอบ #64 เมื่อ04-09-2013 22:22:13 »

มีเทพลูซิสโผล่มาอีกตน
เรื่องราวชักจะพ้นกันเป็นวุ้นเส้นแล้วนะ
อ่านไปอ่านมาก็ยังมึนๆ

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 14 up 04/09/13
«ตอบ #65 เมื่อ05-09-2013 19:36:40 »

บทที่ 15 ความวุ่นวายกลางราตรี

- 50% -

หลังจากตกลงใจกับไคซัสเรื่องนาซิลลาเรียบร้อยแล้ว ฮาธอสก็ขอตัวไปพักผ่อนที่ห้องโดยเซบาสเตียนช่วยพยุงตัวกลับมา เนื่องจากความเครียดส่งผลให้อาการปวดท้องของเขาทรุดลงจนต้องกินยาแก้ปวดเพิ่มอีกสองเม็ด ฤทธิ์ยาทำให้เทพหนุ่มรู้สึกง่วงนิดหน่อย ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงห้องส่วนตัวของไคซัสซึ่งบัดนี้กลายเป็นห้องพักของเขาอีกแห่งแล้ว ร่างสูงโปร่งก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยความอ่อนล้า

“เฮ้อ...”

“รู้สึกแย่มากเลยหรือ” เซบาสเตียนถามหลังได้ยินเสียงถอนใจล้า ๆ นั้นในขณะช่วยปลดกระดุมเสื้อ เข็มขัด และรองเท้าออกจากตัวฮาธอส “ข้าไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จากสายตาตำหนิที่มหาเทพไคซัสส่งให้ตอนพาตัวเจ้าออกมา ดูเหมือนจะเป็นความผิดของพวกข้าที่ปล่อยให้นาซิลลาเข้าไปพบ”

“อย่าคิดมากเลย นาซิลลาเชิญสารของจอมเทพีเรเทเชียกับขุนพลเทพมานี่นา” ฮาธอสกล่าวอย่างเข้าใจดี สารของระดับสูงมีความสำคัญมาก จำเป็นต้องรีบส่งให้ถึงมือผู้รับก่อนเกิดปัญหาในภายหลัง อีกอย่างพวกเซบาสเตียนก็ไม่รู้เรื่องความรักลับ ๆ ของพวกเขาด้วย

“แต่พวกข้าก็มีส่วนผิดที่ไม่ได้แจ้งให้มหาเทพไคซัสกับเจ้าทราบก่อน” เซบาสเตียนวางรองเท้าแล้วยืนขึ้น “ข้าจะกลับไปหามหาเทพไคซัสก่อน เชิญฮาธอสพักตามสบาย”

“ขอบคุณที่ช่วยนะ” เทพคนสวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม อีกฝ่ายพยักหน้ารับและกลับออกไป

เมื่อเหลือตัวคนเดียว ฮาธอสก็นอนรอให้อาการปวดท้องของตนทุเลาลงอีกนิด เพราะมันแย่เสียจนเขาคิดอะไรไม่ออก ถึงอย่างนั้นภาพใบหน้าตกใจสุดขีดของนาซิลลาตอนเห็นพวกเขาก็ปรากฏหลอกหลอน ถ้าเพียงจดหมายของจอมเทพทั้งสองตนไม่มาถึงวันนี้ เด็กสาวคงไม่ต้องเจ็บปวดอย่างรุนแรงติดต่อกันแบบนี้

พอคิดถึงจดหมายก็นึกได้ว่ายังไม่ได้อ่าน เทพหนุ่มควานมือไปข้าง ๆ จนพบทั้งสองฉบับตกอยู่ไม่ไกลนัก เขาเลือกอ่านของเซย์เรียโน่ก่อน ซึ่งเนื้อความไม่มีอะไรมากไปกว่าคำขอโทษที่เป็นผู้เสนอแผนการดึงตัวเขากลับตำหนักซิมโฟเนียอาเรียจนเกิดเรื่องร้ายขึ้น ตบท้ายด้วยคำเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่ตำหนักลาไซสิโอน่าเป็นกรณีพิเศษได้ทุกเมื่อ ซึ่งถือเป็นรางวัลไถ่โทษที่มีค่ามากสำหรับเทพรับใช้อย่างเขา แต่เมื่อมาถึงจดหมายของจอมเทพีเรเทเชีย เทพคนสวนกลับต้องรู้สึกใจหาย...



ถึงฮาธอส ศิษย์ที่รักของข้า

ข้าได้ยินว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าดีขึ้นแล้วก็รู้สึกเบาใจ ข้าต้องขอโทษด้วยที่หลงคารมของขุนพลเทพอันดับห้าจนทำให้พวกเจ้าต้องเดือดร้อน แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ข้ารู้ว่าตัวเองเป็นเจ้านายที่แย่มากนัก นอกจากจะดูแลพวกเจ้าไม่ได้แล้ว ยังมิอาจช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงทีในยามที่เดือดร้อน ดังนั้นพวกเจ้าจงอยู่ที่ตำหนักพาเทร่าต่อไปเถิด เมื่อทุกอย่างดีขึ้นแล้วและพวกเจ้าเต็มใจค่อยกลับมา

ฮาธอสที่รัก ข้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก หวังว่าเจ้าจะให้อภัยนายหญิงหัวอ่อนและอ่อนแออย่างข้า และระวังนาซิลลาไว้ด้วย นางสื่อสารกับความมืดได้ อันตรายอาจมาเยือนพวกเจ้าได้ทุกเมื่อ


ด้วยรักและห่วงใย

เรเทเชีย


เมื่ออ่านจบเทพคนสวนก็พับจดหมายเก็บลงซองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง แน่นอนว่าเขาไม่โกรธเคืองหรือเกลียดชังนายหญิงของตน ตรงกันข้ามเขากลับนึกสงสารนางที่ถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องเลวร้ายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย จอมเทพีเรเทเชียคงเจ็บปวดรวดร้าวมากทีเดียว

ทว่าเรื่องของนายหญิงยังไม่น่าห่วงมากนัก เพราะมีเทพรับใช้อีกมากมายคอยปรนนิบัติใกล้ชิด เขากำลังเป็นห่วงนาซิลลามากกว่า ในยามที่จิตของเธออยู่ในด้านลบจะยิ่งทำให้สื่อสารกับคนของความมืดได้ง่ายดายขึ้น หากเป็นพวกระดับล่างคงไม่น่ากังวลนัก เนื่องจากมีพลังสวรรค์คอยคุ้มครองจึงแค่ทำให้ฝันร้ายเป็นบางเวลา แต่ลางสังหรณ์ร้องเตือนเขาให้ระมัดระวังอันตรายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

แต่เขาจะทำอย่างไรเล่า ป่านนี้นาซิลลาคงหนีกลับไปขังตัวอยู่ในห้องและไม่ยอมพบหน้าเขาอีกแน่นอน คงยากจะคุ้มครองเธอจากภัยในเงามืดนั้นได้ จะฝากให้อัลลืช่วยดูแลก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลเพียงใด คงได้แต่สวดภาวนากระมัง...

...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...หากต้องมีใครเจ็บปวดล่ะก็...ขอให้ผู้นั้นเป็นเขาแต่เพียงผู้เดียว

-----------------

‘จูบ’

‘ไม่!’

‘เจ้าเห็น! พวกเขาจูบอย่างดูดดื่มกลางสวน’

‘พอแล้ว ข้าไม่อยากฟัง!’

นาซิลลาเอามืออุดหูและคู้ตัวลงร้องไห้กับพื้นสีดำสนิท สองแขนโอบรอบใบหน้าราวกับไม่อยากพบใครอีกต่อไปแล้ว ความหนาวเย็นรอบข้างค่อยซึมซาบลงไปถึงหัวใจที่แหลกสลาย ขณะความเจ็บปวดล้นทะลักจนแทบกระอักเลือด เธอพยายามจะลืมสิ่งที่เห็น แต่ยิ่งทำแบบนั้นเท่าไหร่ ภาพฮาธอสจูบกับไคซัสก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นเท่านั้น

เงาดำลึกลับเคลื่อนตัวจากความมืดมากอบตัวเด็กสาวไปกอด มันรัดร่างบางแน่นเมื่อเธอดิ้นหนี จับใบหน้าเล็กฝังกับบ่าเย็นชืดของมันเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าจะอยู่เป็นเพื่อน

‘อย่าร้องไห้อีกเลย นาซิลลา น้ำตาของเจ้ามีค่าเกินกว่าจะหลั่งเพื่อสองคนนั้นนะ’ แต่เสียงร่ำไห้กลับดังขึ้นราวกับการประท้วง มันโคลงหัวลงน้อย ๆ คล้ายถอนใจ ‘ความรักของเจ้ายังไม่จบเสียหน่อย ใยเจ้าจึงร้องไห้’

‘จบสิ ฮาธอสปฏิเสธข้าแล้วและมีใจให้กับมหาเทพสงครามด้วย ภาพที่ข้าเห็นไม่ใช่การบังคับขืนใจ แต่ฮาธอสเต็มใจให้มหาเทพสงครามจูบเอง ข้ารู้อยู่แล้ว...นึกแล้วเชียว...’

เทพจันทราหลับตาลงและนึกย้อนไปถึงคืนที่ไคซัสลอบเข้าตำหนักซิมโฟเนียอาเรียอีกครั้ง คืนนั้นเธอสังหรณ์ในบางอย่างจึงแอบตามดูฮาธอสที่อาสาไปส่งมหาเทพสงครามตอนขากลับ ทำให้เธอได้เห็นเหตุการณ์ในสวนประจำตำหนักเต็มตา ทั้งท่าทาง สีหน้า และแววตาที่เทพอสูรตนนั้นมีต่อชายที่เธอรักสุดหัวใจ เธอรู้ว่านั่นคือ เค้าลางของความรัก เด็กสาวตกใจกับสิ่งที่เห็นมากและหลังจากคิดอยู่หลายวันก็ตัดสินใจตามฮาธอสมาที่นี่ด้วย

ทว่ามหาเทพสงครามก็ร้ายกาจกว่าที่เธอคาดไว้มากนัก เขาใช้อำนาจที่มีดึงตัวฮาธอสไปอยู่ใกล้ตัวอย่างแนบเนียน โดยที่เด็กสาวไม่สามารถต่อกรได้เลย แม้จะมีโอกาสได้อยู่สองต่อสองกับฮาธอสเป็นครั้งคราว แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยแยแสเธอเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเธอรู้สึกดีกับไคซัสมากขึ้นหลังเขาช่วยลบฝันร้ายให้ ทว่าความรู้สึกนั้นก็จางหายไปหลังรู้ว่าเทพอสูรหนุ่มดึงตัวชายที่เธอรักไปรักษาตัวในห้องส่วนตัวของเขา

ในวันที่รู้เรื่องนี้ หัวใจของนาซิลลาเกือบแตกสลาย ความกลัวระคนด้วยความริษยาทำให้เธอขอไคซัสเข้าเยี่ยมฮาธอสหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้รับอนุญาต ทุกคืนเธอสวดภาวนาอย่าให้ฮาธอสหลงไปกับคารมของอีกฝ่ายกระทั่งกลายเป็นความร้อนใจ สุดท้ายก็หลุดปากสารภาพรักกับฮาธอสตอนพบกันอีกครั้ง ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาดั่งที่เห็น เธอนึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้...

‘เจ้าจะถอดใจเพียงเท่านี้หรือ นาซิลลา ข้าบอกแล้วว่าจะเอาฮาธอสมาคืนให้’ เมื่อมันพูด ละอองสีดำก็ขจรขจายออกจากตัวและปะปนเข้าไปในลมหายใจของเด็กสาว มอมเมาเธอด้วยความมืดทรงพลังที่ทำให้สูญเสียตัวตนช้า ๆ ‘ขอเพียงกำจัดมหาเทพสงคราม...เทพทุกตนที่ขวางเจ้าอยู่ได้ ฮาธอสก็จะเป็นของเจ้า’

‘ทำอย่างไรล่ะ...มหาเทพ...มหาเทพสงครามเก่ง...มาก...เลยนะ...’ นาซิลลาพยายามฝืนตัวพูด แต่เสียงที่เล็ดรอดออกมาได้กลับแทบไม่เป็นคำ สิ่งที่เธอรับรู้เป็นอย่างสุดท้ายคือ มือเย็นเยียบที่แทรกเข้ามาในร่างกายอย่างไม่ทันตั้งตัวกับเสียงทุ้มที่เอ่ยคำพูดอย่างหวานละมุน

‘เจ้าไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฮาธอสก็เป็นของเจ้า’

---------------   

ไคซัสปิดสมุดบันทึกงานฉบับสุดท้ายของวันแล้วขยี้หัวตาด้วยความอ่อนล้า แม้งานประลองรับฤดูใบไม้ผลิจะถูกเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด แต่งานของเขาก็ยุ่งเช้าจรดค่ำเหมือนเดิม สองสามวันนี้เขาต้องไปกองบัญชาการกองทัพสวรรค์ เพื่อดูและติดตามผลการฝึกแบบอสูรกับหน่วยทดลองทั้งหนึ่งพันห้าร้อยนาย เมื่อกลับตำหนักก็ต้องจัดการกับงานเอกสารต่อ ยังดีที่เขาแบ่งงานบางส่วนที่ไม่สำคัญนักให้ฮาธอสไปทำจึงพอมีเวลาพักผ่อนบ้าง

“ขออนุญาตขอรับ” อัลล์เปิดประตูเข้ามาแสดงความเคารพอย่างองอาจ “ได้เวลาปิดไฟแล้ว มหาเทพไคซัสจะกลับห้องเลยไหมขอรับ”

“อืม! ขอบใจนะ ต้องให้เจ้าคอยเตือนทุกวันเลย” ไคซัยขยับไหล่ขวาจนได้ยินเสียงดังก๊อก ๆ แล้วนึกได้ “จริงสิ นาซิลลาออกจากห้องหรือยัง” นายทหารหนุ่มก้มหน้าตอบด้วยความเงียบ “ยังสินะ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฮาธอสเป็นห่วงนางมากทีเดียว”

อัลล์ได้แต่ฟังเท่านั้น เขารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เพราะได้คุยกับฮาธอสหลังนาซิลลาหนีกลับไปขังตัวอยู่ในห้อง นายทหารหนุ่มยอมรับว่าตกใจนิดหน่อยที่รู้ว่าสหายของตนมีใจตรงกับมหาเทพสงคราม แต่ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเข้าใจดีว่าความรักเป็นสิ่งที่ห้ามกันมิได้ และสวรรค์ก็มิได้กีดกันความรักระหว่างชายกับชายด้วย ถ้าเพียงไม่มีนาซิลลามาขั้นอยู่ตรงกลางและฐานะไม่ได้ต่างกันมากนัก ทุกอย่างคงราบรื่นกว่านี้

“เอาเถอะ ปัญหาหัวใจไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ตกง่าย ๆ อยู่แล้ว ข้าขึ้นไปพักผ่อนดีกว่า” แต่เมื่อร่างใหญ่ลุกขึ้นเต็มความสูงก็ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาสีส้มกลอกไปมาสองสามครั้งสร้างความแปลกใจให้คนมองยิ่งนัก

“มหาเทพ” อัลล์เรียกอย่างแปลกใจหลังไคซัสนั่งลงที่เดิม

“ข้าเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ทำอีกงานหนึ่ง เจ้ากลับไปก่อนเถอะ บอกพวกข้างนอกด้วย”

ในเมื่อเจ้านายว่าเช่นนั้น เทพรับใช้เช่นอัลล์ก็มีหน้าที่ต้องทำตาม นายทหารหนุ่มทำความเคารพเจ้านายก่อนถอยหลับออกไปสั่งให้คนของตนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูสองนายกลับไปพักผ่อนได้ ส่วนตัวเองออกเดินตรวจตราภายในตำหนักต่อ เพราะหัวข้อสนทนาเมื่อกี้ทำให้เขาตาสว่างเล็กน้อยจึงอยากฆ่าเวลาจนกว่าจะง่วง แต่ก็ยอมรับว่าการพยายามไม่คิดเรื่องนี้เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง

ท่ามกลางแสงจันทร์อันหม่นหมองของคืนข้างแรม อัลล์กลับออกจากตำหนักชั้นในด้วยประตูเล็กหลังปีกตะวันตก เขาเพิ่งแวะไปที่ห้องพักของนาซิลลา เพื่อชวนเธอออกมาดูเดือนดูตะวันให้ลืมความทุกข์จากความรัก แต่แน่นอนว่าไม่มีการตอบสนอง เมื่อก่อนนาซิลลาเคยงอนและขังตัวเองในห้องบ่อย ๆ ก็จริง แต่ไม่เคยนานขนาดนี้ เขากลัวว่าเธอจะตรอมใจตายไปเสียก่อน บางทีคงต้องให้หัวหน้านางกำนัลอเดลมารับตัวเธอกลับไป เขาเห็นหนทางเลยว่าเธอจะทนทำงานที่นี่กับฮาธอสต่อไปได้อย่างไร

แต่เมื่อก้าวพ้นเขตตำหนักชั้นใน ร่างสูงใหญ่ก็ต้องชะงักหลังเหลือบเห็นบางสิ่งจากหางตาขวา ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ใส่ชุดสีฟ้านั่งก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ใตต้นหลิว โดยหันหน้าเข้าหากำแพงตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ กันนั้น ชายหนุ่มจำเรือนมีเงินยวงดุจแสงจันทร์นั้นได้ทันที

“นาซิลลา!” เด็กสาวเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก อัลล์เดินอาด ๆ เข้าไปหมายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบด้วยความเป็นห่วง แต่กลับต้องชะงักกลางทางเมื่อร่างบางลุกขึ้นและหันมองเขาด้วยสายตาเฉยชาเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเป็นแววเศร้าสร้อยสมกับสถานะของเธอในตอนนี้

“อัลล์...ยังไม่นอนอีกหรือ” น้ำเสียงของเธอติดจะห้วนคล้ายไม่พอใจ นายทหารหนุ่มคิดไปว่าเธอคงงอนที่เขาไม่ยอมช่วยอะไรและยังเกลี่ยกล่อมให้ยอมรับความสัมพันธ์ของฮาธอสกับไคซัสมาตลอดสามวันที่ผ่านมา

“ข้ากำลังตรวจความเรียบร้อยอยู่ เจ้าล่ะ รู้สึกดีขึ้นหรือยัง” ชายหนุ่มเข้าไปดูร่างบางใกล้ ๆ บรรยากาศรอบตัวเธอค่อนข้างเย็นและหม่นหมอง...เหมือนแสงจันทร์ในค่ำคืนนี้

“นิดหน่อย...ข้าเบื่อความอุดอู้ก็เลยออกมารับแสงจันทร์น่ะ” นาซิลลาก็หน้าหลบสายตาคม ท่าทางลุกลี้ลุกลนคล้ายไม่อยากคุยกับเขา

“อย่างนั้นหรือ ทุกคนคงดีใจมากที่ได้เห็นเจ้าออกจากห้อง แม้แต่ฮาธอสยังเป็นห่วงเจ้ามากขนาดถามถึงทุกวันเชียวนะ เขาอยากมาหาเจ้ามาก แต่ข้ากลัวว่าเจ้าจะยิ่งเสียใจก็เลยห้ามไว้”

“พวกอัลล์รู้เรื่องกันหมดแล้วเหรอ” นาซิลลาถาม ท่าทางไม่อยู่สุกคล้ายว่าไม่อยากให้ใครรู้เรื่องมากนัก “ข้านี่แย่จริง ๆ ดันรักใครไม่รัก ไปรักเพื่อนสนิทของตัวเอง ส่วนเขาก็ไปรักกับเจ้านาย ข้าเหมือนตัวตลกเลย”

อัลล์เกาท้ายทายอย่างอับจน อันที่จริงแล้วเขาถนัดเรื่องการต่อสู้และวางแผนการรบมากกว่าเรื่องความรู้สึก เขาอยากจะปลอบเธอให้มากกว่านี้ แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี...

“นาซิลลา ข้าไม่ถนัดเรื่องความรู้สึกจึงไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไร แต่ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นตัวตลกหรอกนะ” เขาก้าวไปใกล้เธออีกนิด “อย่างน้อยก็ข้าคนหนึ่ง”

“ขอโทษนะ อัลล์ ข้าอยากอยู่คนเดียว เจ้ากลับไปเถอะ” ร่างบางหันหลังขวับ

“แต่ถ้าอยู่คนเดียวจะยิ่งฟุ้งซ่านนะ ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเถอะ”

“ไม่!” พร้อมกับเสียงร้อง นาซิลลาก็หมุนตัวกลับมาและปัดมืออัลล์ที่จับแขนเธอด้วยความเป็นห่วงอย่างแรง แต่พอเห็นสีหน้าประหลาดใจของทหารหนุ่มก็รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป “...ข...ขอโทษ...ข้าไม่ได้ตั้งใจ...”

“ช่างเถอะ ข้าเข้าใจว่าเจ้าอยากอยู่คนเดียว” อัลล์พูดหลังถอนใจเฮือกสั้น ๆ อย่างอ่อนใจ แต่ขณะเดียวกันก็ขยับมือที่ถูกปัดออกมาด้วยความรู้สึกแปลก ๆ เมื่อกี้ตอนที่แตะตัวเธอ...อุณหภูมิของร่างบางต่ำกว่าเทพปกตินิดหน่อย...หรือเปล่านะ? “แต่ถ้าเจ้าอยากได้คนอยู่เป็นเพื่อน เพื่อระบายความในใจมากว่านี้ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ข้าพร้อมจะรับฟังเสมอ”

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 14 up 04/09/13
«ตอบ #66 เมื่อ05-09-2013 19:38:27 »

“ขอบใจนะ” นาซิลลาสบตาอัลล์พลางแย้มยิ้มด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย แต่อัลล์รู้สึกว่าแววตาของเธอเปลี่ยนไป...ดูลึกลับและเยือกเย็น...แต่เขาเผลอตัวสบนิ่ง “...แต่ไม่เป็นไร ข้าดูแลตัวเองได้ เจ้าไปนอนเถอะ...”

ยังไม่ทันขาดเสียงดีด้วยซ้ำ ดวงตาของเด็กสาวก็เปล่งแสงสีน้ำเงินวาบและคลื่นพลังสีเดียวกันก็พุ่งปะทะใบหน้าอัลล์อย่างไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มกระโดดถอยหลังเพื่อป้องกันตัวเอง แต่สายเกินไป เวทมนต์ของนาซิลลาสัมฤทธิ์แล้ว นายทหารหนุ่มสูญเสียการทรงตัวทันทีเมื่อความง่วงรุนแรงเข้าจู่โจม แน่นอนว่าเขาพยายามดิ้นรนใช้พลังลบล้างอำนาจเต็มที่ ทว่ามันก็ไม่เป็นผล สุดท้ายร่างสูงใหญ่ก็ล้มตึงประหนึ่งหอคอยที่ถูกทำลาย

เด็กสาวเดินมานั่งข้างกายของเขาและวางมือลงบนแก้ม มือเรียวเรืองแสงสีน้ำเงินตามด้วยร่างกายของชายหนุ่มวูบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าเวทมนต์ของตนได้ผลแล้ว ร่างบางก็ลุกขึ้นและเงยหน้าดูปราสาทประมุขที่อีกฝากหนึ่งของกำแพง เธอสัมผัสกลุ่มก้อนพลังที่ทำให้หัวใจสั่นไหวได้อย่างชัดเจน

“รออีกเดี๋ยวนะ ข้ากำลังจะนำเจ้ากลับมาแล้ว”

เทพจันที่แย้มยิ้มกับตัวเองแล้วเดินข้ามตัวอัลล์ไปราวกับเป็นแค่เศษขยะไร้ค่า ทิ้งเขาไว้ตรงนั้นด้วยรู้ดีว่าจะไม่มีใครมาพบจนกว่าจะถึงเวลาเดินยามชั่วโมงถัดไป เธอกระหยิ่มยิ้มอย่างพอใจเมื่อเข้ามาในปราสาทประมุขโดยทหารยามไม่สงสัย ตอนนี้เป็นเวลาปิดไฟแล้ว ภายในปราสาทจึงมืดเอาการ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของเธอแม้แต่น้อย เทพจันทรามองเห็นได้ดีในยามราตรี เพียงไม่กี่นาทีเธอก็มายืนอยู่หน้าห้องทำงานของมหาเทพสงคราม

ง่ายดายนัก...

เธอคิดขณะเปิดประตูเข้าไปในห้องซึ่งบัดนี้ปราศจากเจ้าของ ไคซัสคงกลับไปนอนแล้วและทิ้งห้องทำงานไว้แบบนี้ เพราะทุกวันจะมีแขกเข้าและออกห้องทำงานนี้บ่อย ๆ เขาจึงไม่เคยลงอาคมป้องกันประตูหน้า เพียงแต่ผนึกตู้เก็บเอกสารสำคัญไว้เท่านั้น ดวงตาของเด็กสาวเรืองแสงสีน้ำเงินเมื่อกวาดมองไปทั่วห้อง ของที่เธอตามหาต้องอยู่ที่นี่แน่นอน เพราะพลังที่เธอสัมผัสได้บอกแบบนั้น!

“เจอแล้ว!” พร้อมเสียงกระซิบอย่างลิงโลด นาซิลลาวิ่งไปยังตู้ใช้ชั้นหนังสือหลังที่สามของฝั่งขวา เธอวางมือเรืองอำนาจลงบนแม่กุญแจปลดสลักอย่างง่ายดาย และเมื่อเปิดออกก็พบกล่องในห่อผ้าสีเหลืองทองเก็บไว้ในนั้น ช่าง... “ง่ายจริง ๆ มหาเทพสงครามหน้าโง่ เจ้าประมาทเกินไปแล้ว” ว่าเสร็จก็ยื่นมือออกไปหยิบมัน

แต่ทันทีที่มือของเธอสัมผัสกับห่อผ้า มันก็เปล่งแสงสีทองเจิดจ้าและพลังที่คุ้มกันอยู่ก็สะท้อนตัวเธอออกไปเต็มแรง เด็กสาวกรีดร้องเมื่อร่างปลิวไปกระแทกกับโต๊ะประตูดังโครมใหญ่ ความเจ็บปวดที่ร้าวขึ้นมาตามสันหลังประหนึ่งคำสบถที่ส่งมาจากหัวใจ

กับดัก!

ประตูห้องถูกพังโครมเข้ามาทำให้นาซิลลาผงกศีรษะมองทันที มหาเทพสงครามปรากฏตัวด้วยท่าทางเอาเรื่องและประกาศก้อง

“ทหาร!” เซบาสเตียนกับองครักษ์สามนายที่อยู่เวรในคืนนี้ปรากฏตัวเมื่อสิ้นเสียงนั้น ทั้งหมดตกใจและประหลาดใจที่ได้เห็นเทพจันทราในห้องที่เธอไม่ควรอยู่ในยามวิกาล “จับนางไว้ นางจะขโมยของ!”

เทพจันทราโบกมือซัดละอองสีดำใส่หน้าพวกผู้ชายทำให้เสียจังหวะ และฉวยโอกาสนั้นลุกขึ้นวิ่งไปที่ประตู แต่ไคซัสปัดพลังนั้นออกไปได้ เซบาสเตียนหายตัวไปปรากฏขวางทางเธอไว้แล้วต้อนกลับเข้าในห้อง องครักษ์อีกสองนายรวบแขนเธอไว้จนดิ้นไม่หลุด ก่อนจะหมุนตัวเธอมาเผชิญหน้ากับมหาเทพสงคราม

“ท...ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ขโมยจะอะไรนะเจ้าคะ” เด็กสาวแก้ตัวเป็นพัลวัน แต่ไคซัสกลับมุ่นคิ้วและหรี่ตามองเธออย่างจับผิด

“เจ้าเป็นใคร”

“เอ๊ะ! ก็เป็นข้าไงเจ้าคะ นาซิลลา...” เทพจันทราตอบเสียงสั่น หน้าตาซีดเผือดยามเผชิญหน้ากับเทพอสูรที่อันตรายที่สุดตนหนึ่งของสวรรค์

“ไม่ใช่ เจ้าไม่ใช่นาซิลลาแน่ เพราะแววตาของเจ้าไม่ได้มีความกลัวเลยสักนิด และพลังของเทพจันทราก็ไม่ใช่สีดำด้วย เจ้าเป็นใคร!” ไคซัสจับคางเธอแล้วดึงเข้ามาใกล้ พลังสีส้มอันทรงอานุภาพไหลผ่านมือนั้นไปยังตัวของเธอ เด็กสาวดิ้นพราดทันใด

“อย่านะ หยุด...ข้าบอกให้หยุด!” เสียงคำรามของผู้ชายดังออกจากคอของเด็กสาว พร้อมอำนาจมืดที่ระเบิดออกมาซัดองครักษ์ทั้งสองนายจนหลุดจากตัวเธอ ร่างบางหันหลังวิ่งไปที่ประตูอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะก้าวออกไปก็รู้สึกถึงกรงเล็บขนาดใหญ่จับศีรษะเอาไว้

“ข้าตามหาเจ้ามาตลอด ไม่มีทางปล่อยให้หนีรอดไปได้หรอกน่า!” ไคซัสตะโกนพร้อมส่งพลังเข้าไปในตัวเด็กสาวอีกครั้ง ในร่างของเธอเต็มไปด้วยอำนาจแห่งรัตติกาลที่เยียบเย็นดุจน้ำแข็งเหมือนกับ...พลังที่เขาสัมผัสได้ตั้งแต่วันแรกที่เหยียบสวรรค์ ในที่สุดปลาที่วางเหยื่อล่อไว้ก็ติดเบ็ดและเขาจะไม่ยอมให้หลุดมือเด็ดขาด

มหาเทพสงครามเริ่มควานหาต้นตอของพลังทั้งหมดจากในตัวของนาซิลลา โดยไม่ทำอันตรายร่างกายไปมากกว่านั้น ด้วยเกรงว่าดวงจิตของเจ้าของร่างซึ่งอาจอยู่ที่ไหนสักแห่งจะเป็นอันตรายไปด้วย แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องต่อสู้สุดฤทธิ์ ทั้งต่อต้านด้วยพลังเวทและการดิ้นรนทางกายจนไคซัสยังตกใจว่าร่างเล็กบางนี้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน กระนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจและค้นหาลึกลงไปจนพบเส้นสายสีดำโยงไปสู่ห้วงแห่งความมืด แต่ก่อนที่เขาจะไปไกลกว่านั้นเงาดำที่ไม่อาจระบุตัวตนก็ปรากฏในสายตา

“เจ้ามาไกลเกินไปแล้ว” สิ้นเสียงทุ้มที่เอ่ยประสานกับเสียงจากตัวนาซิลลา เทพอสูรหนุ่มก็รู้สึกถึงแรงอัดมหาศาลกระแทกกลางอกของเขาจนกระเด็นไปข้างหลัง ก่อนมีใครบางคนรับตัวเขาไว้ก่อนชนอย่างอื่นจนได้รับอันตรายกว่าเดิม แต่ไม่มีเวลาให้พวกเขาโอดครวญมากนัก เพราะต้องรีบลุกและไล่ตามนาซิลลาที่หนีออกไปแล้ว โดยไม่ลืมสั่งให้องครักษ์คนหนึ่งเฝ้าในห้องไว้

เด็กสาวผมสีเงินยวงวิ่งกลับไปตามทางเก่าหมายกลับไปยังจุดเริ่มต้นของตน ตอนนี้เสียงระฆังเตือนภัยดังระงมไปทั่ว ไม่ช้าพวกทหารก็จะกรูเข้ามาข้างใจ ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในร่างเธอเหลือเวลาไม่มากที่จะหลบหนีไปพร้อมกับร่างทรงของตัวเอง แต่มันกลับต้องชะงักกลางทางเมื่อฮาธอสได้ยินเสียงความวุ่นวายและวิ่งลงมาอยู่ต่อหน้าเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ

“นาซิลลา!” เขาร้องอย่างประหลาดใจและถลาไปหาเธอ เพื่อดึงให้ห่างจากห้องทำงานของไคซัสที่เขาได้ยินเสียงดังออกมา แต่ไคซัสกับเซบาสเตียนวิ่งออกมาพอดี

“ฮาธอสถอยไป นั่นไม่ใช่นาซิลลา!!”

ฮาธอสเข้าใจคำพูดของไคซัสเกือบจะในทันที แต่เจ้าคนในร่างนาซิลลาก็เร็วกว่า มันเชิดร่างบางประชิดตัวเทพคนสวนด้วยความเร็วแสง ชายหนุ่มได้ยินเสียงมหาเทพสงครามตะโกนอะไรสักอย่าง แต่เขาฟังไม่รู้เรื่อง เพราะชั่วอึดใจนั้นเขาได้สบสายตากับเด็กสาวด้วย ซึ่งแววตาเยือกเย็นอันเกิดจากการผสมผสานของความโกรธ ความเกลียดชัง และความอำมหิตนั้น ทำให้เขาเห็นภาพซ้อนของชายคนหนึ่งอย่างชัดเจน

“ท่าน...!” เสียงของเขาหลุดจากปากได้คำเดียว คนในร่างนาซิลลาก็อัดมนตราใส่กลางลำตัวเขาจนกระเด็นไปหลายฟุตและตกลงพื้นอย่างแรง แต่มันกลับมิได้ทำร้ายเทพหนุ่มไปมากกว่านั้น

“บ้าชิบ สายเลือดเฮงซวย เจ้าไม่น่าเกิดมาเลย!” เทพลึกลับตะคอกผ่านปากนาซิลลาอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังกลับเมื่อรู้สึกถึงพลังอันร้อนแรงที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง มันเกือบไม่มีเวลาสร้างเกราะมนตราด้วยซ้ำในตอนที่มหาเทพสงครามซัดหมุนฉาบเพลิงใส่มันด้วยความโกรธ ดูท่ามันจะกระตุกหนวดมังกรเข้าเสียแล้ว

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายฮาธอส ออกจากตัวของนาซิลลาเดี๋ยวนี้!” ไคซัสหวดหมัดซ้ายออกไปและทะลุเกราะอาคมอย่างง่ายดาย เขาได้ยินเสียงมันสบถในตอนเอียงหัวสวย ๆ หลบไปด้านข้าง แต่ยังไม่วายวาดมือฉาบมนตราต่างมีดคมกริบใส่มหาเทพสงคราม เทพหนุ่มหมุนตัวหลบได้แบบฉิวเฉียดแล้วกระแทกบ่าบางกระเด็นไปทางหน้าต่าง เซบาสเตียนกับองครักษ์สามนายทะยานเข้าไปเตรียมจับกุม ทว่ามันกลับเชิดร่างเด็กสาวหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล้วจนแทบดูไม่ออกเลยว่าเทพจันทราไม่เคยฝึกการต่อสู้มาก่อน มันกลับไปพบกับไคซัสอีกครั้งซึ่งทั้งสองประมือกันอย่างสู้สีจนน่าตกใจ

ฮาธอสยันตัวขึ้นมานั่งช้า ๆ ใบหน้าซีดเผือด เพราะการตกพื้นเมื่อครู่นี้ทำให้อาการปวดท้องของเขากำเริบอีกครั้ง ที่สำคัญยังไม่ได้เอายาลงมาอีกด้วย แต่เขายังกัดฟันดูเหตุการณ์ด้วยความไม่อยากเชื่อ ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้านี้เป็นของจริงทั้งหมด เฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่เขาเห็นจากแววตา ท่าทาง และแม้แต่พลังที่นาซิลลาใช้ในตอนนี้ คนที่เขาไม่อยากพบที่สุดได้ปรากฏตัวในร่างของเด็กสาวตนนี้แล้ว แต่เป็นไปได้อย่างไร...

เทพตนนั้นกลับมาได้อย่างไร!

“กรี๊ด!” เสียงหวานร้องดังทำให้เทพคนสวนสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เขาเห็นตัวเด็กสาวเซไปชนผนังโดยมีเลือดไหลจากบาดแผลที่สีข้างด้วย กรงเล็บขวาของไคซัสเปื้อนของเหลวสีแดงด้วย แสดงว่าเขาเป็นคนฝากรอยแผลนั้นไว้บนตัวเธอ ฮาธอสเห็นแววเจ็บปวดแบบนาซิลลาแวบหนึ่ง ก่อนเปลี่ยนเป็นสีหน้านิ่งสนิทแบบเทพร้ายเมื่อมันเสกดวงเวทสีดำขนาดเท้าลูกบอลในจังหวะเดียวกับที่พวกองครักษ์ชักดาบวิ่งเข้าใส่

“ไม่! อย่าทำอย่างนั้น!”

ไม่ว่าเทพหนุ่มจะตะโกนออกไปเพื่อใคร แต่มันไม่ได้ผล พริบตาต่อมาเทพร้ายในตัวเด็กสาวก็ทิ้งดวงเวทนั้นลงพื้น ฮาธอสไม่มีเวลาแม้แต่จะร้องเตือนใคร หรือรวบรวมกำลังพาตัวเองหนีด้วยซ้ำ เสียงระเบิดก็ดึงกึกก้องขึ้นพร้อมกับแสงสีดำกับสีแดงเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วทุกทิศ มันสว่างเจิดจ้าจนเทพคนสวนต้องหลับตาขณะหมอบตัวต่ำเตรียมรับของที่จะตกใส่ตัว เพราะเขาได้ยินเสียงเพดานพังถล่มดังสนั่นหวั่นไหว พื้นเบื้องล่างสั่นสะเทือนราวกับจะยุบตัวลงได้ทุกเมื่อ ซึ่งท่ามกลางความวุ่นวายนั้นก็มีเสียงระเบิดครั้งที่สองดังขึ้น กระแสมนตราในตำหนักผันผวนอย่างรุนแรงบ่งชัดว่าเทพร้ายตนนั้นไปยุ่งกับเขตอาคมด้วย เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่เขากลัวการระเบิดขนาดนี้...ไม่ได้กลัวเพื่อตัวเอง แต่กลัวแทนทุกคนที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางระเบิดนั้น!

ไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงระเบิดก็สงบลงและถูกแทนที่ด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกของทหารที่มาถึงที่เกิดเหตุ ฮาธอสลืมตาขึ้นด้วยความแปลกใจที่ตัวเองไม่ได้รับอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งแรกที่เขาเห็นคือ แสงสีแดงนวลตาซึ่งส่องผ่านช่องว่างเข้ามาในวงแขน เทพหนุ่มรีบยันตัวขึ้นดูด้วยความตกใจแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในวงล้อมของเขตอาคมที่แข็งแกร่ง กลิ่นอายมนตราแบบมังกรนั้นบ่งชัดว่าเป็นของไคซัส มันถูกทับอีกชั้นด้วยซากเพดานขนาดใหญ่สองสามชิ้น ข้างนอกมืดและเต็มไปด้วนฝุ่นควันจนมองไม่เห็นอย่างอื่น ท่ามกลางเสียงตะโกนเอะอะให้ค้นหาผู้บาดเจ็บบ้าง เพิ่มกำลังคุ้มกันสถานที่บ้าง มีประโยคหนึ่งบอกให้ตามหาอัลล์ด้วย เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของเขากระนั้นรึ ทุกคนปลอดภัยดีไหมนะ!

ทว่าก่อนที่ฮาธอสจะทันได้ทำอะไรต่อ อาการปวดท้องก็ทรุดหนักลงจนต้องคู้ตัวลงนอนกอดตัวเองไว้ ข้างในตัวนั้นเหมือนมีใครเอามีดมาหั่นเครื่องในของเขาทั้งเป็น

“โอย...” เมื่อสุดจะทนก็เผลอครางออกไปอย่างทรมาน แต่อึดใจต่อมาก็มีเสียงดังตึงตังเหนือตัวเขา

“ฮาธอสได้ยินเสียงข้าไหม ปลอดภัยดีหรือเปล่า!” เป็นเสียงของไคซัสที่ร้องมาจากอีกฝากของซากเพดาน เพียงแค่ได้ยินหัวใจของฮาธอสก็พองโตด้วยความดีใจ คนที่เขารักที่สุดยังมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าร่างเปื้อนฝุ่นมอมแมมของเทพอสูรก็ปรากฏในสายตาหลังเขาดันเพดานแผ่นสุดท้ายออกไป ม่านมนตราสลายตัวไปทันทีที่ไคซัสดีดนิ้ว เปิดทางให้มหาเทพสงครามรุดเข้ามาดูแลอาการของฮาธอส “เป็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าปลอดภัยดีขอรับ แค่โรคเก่ากำเริบ...” เสียงของฮาธอสขาดหายเมื่อถูกประคองตัวขึ้นนั่งจนเห็นภาพปราสาทเต็มตา ทั้งชั้นมืดสลัวและเต็มไปด้วยฝุ่นที่ฟุ้งไปทั่วจากแรงระเบิดจนแทบมองไม่เห็นอีกฝากหนึ่ง แต่ไม่นานมันก็จางลงและแสงจันทร์ข้างแรมก็เผยให้เห็นความเสียหายมากขึ้นเรื่อย ๆ เพดานด้านบนถล่มลงมาเกือบครึ่ง พื้นถูกแรงระเบิดเป่าหายไปเกือบถึงจุดที่เขานั่งอยู่ คงไม่ต้องพูดถึงจุดศูนย์กลาง บริเวณนั้นกลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่จนมองเห็นเขตคุ้มกันปราสาทส่องแสงวูบไหว

“ปลอดภัยก็ดีแล้ว พวกเจ้าคนหนึ่งมาพยุงฮาธอสไว้!” เทพคนสวนเงยหน้ามองไคซัสอย่างตกใจ หลังได้ยินน้ำเสียงสั่งการอันเกือบจะเย็นชาของเขา แต่มหาเทพสงครามลุกขึ้นและเดินไปสำรวจความเสียหายอย่างละเอียด “เซบาสเตียน! พวกเจ้าปลอดภัยดีไหม ได้ยินเสียงข้าหรือเปล่า!”

“พวกข้าน้อย...ปลอดภัยดี...ขอรับ” เสียงเซบาสเตียนตอบมาจากข้างล่าง เมื่อก้มมองก็พบเจ้าตัวกับองครักษ์อีกคนในสภาพบอบช้ำเล็กน้อย ในขณะอีกสองคนพยุงตัวเองออกมาจากห้องทำงานไคซัส หลังถูกแรงระเบิดซัดชนทะลุผนังเข้าไปข้างใน ฮาธอสนั่งดูอยู่ปิดปากยามเห็นสภาพสะบักสะบอมของพวกเขา “พลังของท่านช่วยคุ้มกันพวกเราได้ทันเวลาจึงไม่ถึงตาย แต่ว่า...นาซิลลา...คนร้ายหนีไปได้ขอรับ”

ทุกคนในที่นั้นกวาดตาสำรวจพื้นที่โดยละเอียด ทว่าก็ไม่พบร่องรอยร่างของนาซิลลาเลย เทพร้ายคงฉวยโอกาสตอนเกิดการระเบิดหลบหนีไปพร้อมขโมยร่างกายของอัปสรน้อยไปด้วย และมันคงทำอะไรบางอย่างไว้กับเขตอาคมด้วยจึงสามารถฝ่าหนีออกไปได้ แล้วฮาธอสก็นึกถึงคำพูดของไคมีร่าที่ว่าไคซัสผูกพลังชีวิตของตัวเองไว้กับเวทป้องกันขึ้นมาได้ เขาจึงยันตัวลุกขึ้นเพื่อจะไปถามอาการของคนที่รักอย่างเป็นห่วง แต่กลับต้องชะงักเมื่อมหาเทพสงครามหันกลับมาพอดี ดวงตาสีส้มคู่นั้นเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธ!

“สำรวจพื้นที่และค้นหาผู้บาดเจ็บให้ครบ ตามเทพหมอมารักษาพวกเขาโดยด่วน และกระจายกำลังคนออกไปหาร่องรอยของนาซิลลาให้เจอ! และฮาธอส...” บุรุษเจ้าของชื่อถึงกับผวายามดวงตาคู่นั้นมองมาอย่างไร้ความปราณี “เรามีเรื่องต้องคุยกัน เจ้าต้องบอกข้าทุกอย่างก่อนฟาเบียนจะมาที่นี่”

---------------

นับจากตอนนี้เป็นต้นไป ณ แดนสรวง ในเล้าเป็ดจะนำหน้าเด็กดีแล้วนะครับ ^ ^ (เด็กดีเพิ่งลงไปแค่ 14 ตอนเท่านั้น และอัพทุกวันจันทร์ด้วย)

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang อย่าว่าแต่คนอ่านเลยครับ คนเขียนอย่างมาโกะเอง บางทีก็มึนๆ เองเหมือนกัน แต่ลูซิสเป็นตัวประกอบเฉยๆ ครับ ไม่ต้องไปใส่ใจเขาก็ได้ (ฮา)

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
«ตอบ #67 เมื่อ05-09-2013 20:13:52 »

ตามทันเด็กดีแล้ววว :hao6:

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
«ตอบ #68 เมื่อ06-09-2013 21:02:39 »

บทที่ 16 ย้อนรอยอดีต

-50% -

ด้วยคำสั่งของมหาเทพสงคราม ฮาธอสจึงถูกพาตัวไปอยู่ที่ห้องหนังสือเล็กในปีกตะวันออกที่ห่างไกลจากจุดระเบิดพอสมควร ที่นั่นเขาได้รับยาแก้ปวดประจำตัวกับเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยน และนั่งรอโดยมีองครักษ์เฝ้าดูอยู่ตรงประตูถึงสองนายราวกับเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่แปลกหรอกที่ไคซัสจะให้คนคุมเขาอย่างแน่นหนาถึงเพียงนี้

นานเท่าไหร่แล้วนะ...ที่ไม่ได้เห็นสายตาคู่นั้น...ถึงจะอยู่ในร่างของคนอื่น...ทว่ามันยังทำให้เขาขนลุกได้ทุกครั้งที่สบกัน

ร่างสูงโปร่งสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แรงสะดุ้งทำให้เจ็บกล้ามเนื้อท้องเล็กน้อยจนต้องรีบคลายออกตอนรู้ตัว อัลล์เดินเข้ามาเห็นเพื่อนนั่งทำสีหน้าไม่ดีก็รีบรุดมาถาม

“ฮาธอสเป็นอย่างไรบ้าง” สีหน้าของเขาร้อนใจและเป็นห่วงมากทีเดียว

“ไม่เป็นไร แค่ท้องยังไม่เข้าที่เข้าทางน่ะ” เทพคนสวนส่งยิ้มผ่อนคลายให้เพื่อนเหมือนเช่นเคย แต่มันไม่ได้ช่วยให้อัลล์สบายใจขึ้นสักนิด ฮาธอสเองก็รู้ตัวจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

“มหาเทพไคซัสสั่งให้มาน่ะ ดูเหมือนพวกเราจะถูกกักตัวเสียแล้ว” อัลล์ไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามแล้วระบายลมหายใจยืดยาว “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ถ้ารู้ตัวเร็วกว่านั้นสักนิดว่านั่นไม่ใช่นาซิลลาจริง ๆ เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้นและจัดการกับนาซิลลา ไม่ใช่สิ เขาที่อยู่ในร่างของนาง”

“เจ้าได้เจอกับ...เขาด้วยหรือ!” ฮาธอสชะงักไปเล็กน้อยตอนหาคำแทนตัวนาซิลลากับใครคนนั้น แต่ก็คิดไม่ออกและเรียกตามเพื่อนไป

“อืม...ก่อนเกิดเรื่อง...แต่ข้าเสียท่าถูกเขาทำให้สลบและยังรอดมาได้เพราะมนต์ป้องกันของเขาด้วย!” นายทหารหนุ่มทุบพนักเท้าแขนอย่างมีอารมณ์ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีอย่างรุนแรง...ยิ่งกว่าการถูกมหาเทพเจ้าสวรรค์เมินเฉยเสียอีก! “ข้าได้ยินเสียงเขาตอนที่ถูกพวกทหารปลุกขึ้นมา มันบอกข้าว่าเห็นแก่นาซิลลาเลยจะยังไว้ชีวิตชั่วคราว หากเจอกันคราวหน้ามันจะไม่ละเว้นแน่นอน เจ้านั่นกลับมาได้อย่างไรกันนะ!”

“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน” ฮาธอสเอ่ยประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ดวงตาสีน้ำเงินหลุบต่ำเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด แววตา...พลัง...และสัมผัสอำนาจมนตราที่นาซิลลาแสดงออกมานั้นเป็นของเขาคนนั้นไม่ผิดแน่ แต่ว่าเขากลับมาเพื่ออะไร...และกลับมาได้อย่างไร ในเมื่อ...

แต่แล้วเทพหนุ่มทั้งสองตนก็ถูกปลุกให้ตื่นจากห้วงภวังค์พร้อมกัน ในตอนที่ไคซัสเปิดประตูและเดินเข้ามาข้างในพร้อมกับบันทึกปกดำสองเล่มและกล่องลับในห่อผ้าสีทองซึ่งเกือบถูกขโมยไป หัวใจของฮาธอสบีบแรงจนรู้สึกเจ็บอีกครั้งเมื่อได้เห็นมัน ความรู้สึกประหลาดนี้คืออะไรกันแน่ ชายหนุ่มถามตัวเองขณะกำลังลุกขึ้นยืนเพื่อต้อนรับเจ้านายตามมารยาท ทว่าต้องนิ่งไปเมื่อดวงตาสีส้มเย็นชาตวัดมามองเขา จึงมีเพียงอัลล์คนเดียวที่ได้ทำความเคารพมหาเทพสงคราม

“นั่งลง ทั้งคู่เลย” น้ำเสียงทุ้มต่ำและห้วนสั้นบังคับทำให้เทพรับใช้ทั้งสองทำตามอย่างว่าง่าย แม้ว่าตนหนึ่งจะนั่งอยู่แล้วก็ตาม ไคซัสเหลือบตามองฮาธอสที่เอาแต่ก้มหน้ามาตั้งแต่เมื่อกี้ด้วยสายตาร้าวลึก ก่อนจะเลือนหายไปในตอนที่เอาของทั้งหมดไปวางบนโต๊ะเตี้ยระหว่างเทพทั้งสองและใช้เวทมนต์ย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งมาเป็นที่นั่น

“มหาเทพไคซัสปลอดภัยดีใช่ไหมขอรับ” อัลล์ถามเพราะคิดว่าฮาธอสน่าจะเป็นห่วงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นความจริง “เขา...เอ่อ...นาซิลลาทำลายส่วนหนึ่งของเขตอาคมเพื่อเปิดทางหนีด้วย”

“ไคมีร่าทิ้งยาดีไว้ให้ ตอนนี้จึงไม่เป็นไรมากแล้ว เจ้าล่ะ หายมึนหัวหรือยัง” ไคซัสถามห้วน ๆ ตาเหลือบมองฮาธอสที่ยังไม่นั่งนิ่งอีกครั้ง เขาอยากได้ยินคำถามนี้จากปากฮาธอสมากกว่า แต่คงทำได้แค่คิด เพราะตอนนี้สถานะของเขากับเทพคนสวนคล้ายจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

“ขอรับ ข้าน้อยจะระวังไม่ให้เกิดเรื่องเยี่ยงนี้เป็นครั้งที่สอง” นายทหารเจ้าของซื่อก้มศีรษะต่ำ

“ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้ง เจ้าก็ไม่มีเกียรติพอที่จะเป็นหัวหน้าทหารแห่งพาเทร่าอีกแล้ว!” ไคซัสกล่าวอย่างดุเดือดซึ่งเป็นปกตินิสัยของเจ้านายผู้เข้มงวด สิ่งที่เขาพูดต่อไปทำให้ฮาธอสกับอัลล์ตกตะลึงพรึงเพริศ “สาบานเสียว่าเจ้าจะกอบกู้เกียรติยศและชื่อเสียงของตนกลับมาให้ได้”

เทพทั้งสองมีเวลาเพียงน้อยนิดในการตีความคำพูดของมหาเทพสงคราม เพราะการกอบกู้เกียรติยศและชื่อเสียงที่ถูกทำลายด้วยวิธีนั้นมีเพียงไม่กี่อย่าง หนึ่งคือจัดการกับเขาคนนั้นได้ โดยปกป้องนาซิลลาได้ สองคือจัดการกับมันได้ แต่ต้องเสียนาซิลลาไป สามคือทำความดีความชอบอื่นลบล้างความผิดนี้ ซึ่งทั้งคู่ตัดตัวเลือกสุดท้ายทิ้งทันที คงเหลือเพียงทางที่ใกล้เคียงที่สุดในความหมายนั้น เทพคนสวนได้ยินเพื่อนของตัวเองกลืนน้ำลายดังเอื้อกอย่างลำบาก เนื่องจากหน้าที่กับความสัมพันธ์ฉันเพื่อนอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเสียแล้ว

“ดูเหมือนพวกเจ้าสองคนจะเข้าใจความหมายของข้าดีนะ” ฮาธอสใจหายวาบหลังได้ยินไคซัสพูดเช่นนั้น “แต่ให้การสังหาร ‘ร่างทรง’ เป็นตัวเลือกสุดท้ายของปฏิบัติการนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหาร่องรอยของนางและมันให้พบ เจ้าจะสาบานไหม อัลวิน”

ฮาธอสหันมองอัลล์ที่มีท่าทางโล่งใจมากขึ้นเมื่อมีทางเลือกในการทำงานด้วยความเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายต้องทำได้ แม้จะเอาชนะเขาคนนั้นไม่สำเร็จ แต่ก็น่าจะช่วยชีวิตนาซิลลากลับมาได้

“ข้าน้อยสาบานขอรับ” อัลล์กล่าวหลังเห็นสายตาของเพื่อนสนิท

“ดี ทีนี้มาเข้าเรื่องสำคัญที่สุดกันเลย” ไคซัสตวัดตาไปหาฮาธอสเป็นคนแรก “เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าใครอยู่ในร่างของนาซิลลา”

เทพคนสวนหันกลับมาสบตาตรง ๆ ไคซัสเป็นครั้งแรก ในความคิดของเขา มหาเทพสงครามต้องรู้แล้วว่าคนที่อยู่ในตัวนาซิลลาเป็นใคร แต่ที่ถามเช่นนี้คงเพราะต้องการคำยืนยัน

“ขอรับ ข้าไม่มีวันลืมแววตากับพลังนั่นเด็ดขาด เพราะข้าเคยเติบโตมาพร้อมกับมันมาก่อน” ตอนเริ่มพูดน้ำเสียงของเขาก็สั่นเทาอย่างไม่อยากพูดถึง แต่หลังเว้นช่วงสูดลมหายใจลึก ๆ มันก็กลับมานิ่งเหมือนเดิม ดวงตาสีน้ำเงินฉายแววแน่วแน่ ถึงเวลาที่เขาจะต้องทำให้ทุกอย่างถูกต้องเสียที “เทพที่อยู่ในร่างของนาซิลลาก็คือ เฮสเลน พี่ชายของข้าเองขอรับ”

“ข้าเองก็ทราบเหมือนกันขอรับ แต่เขาหายตัวไปตั้งแต่ก่อนพวกเราจะได้เลื่อนขึ้นเข้ามหานคร ดังนั้นจึงไม่ทราบจริง ๆ ว่าเขากลับมาตั้งแต่ตอนไหนและมีเป้าหมายอะไรกันแน่” อัลล์พูดต่อ

“คงไม่พ้นการแก้แค้นหรอก อัลล์” ฮาธอสสันนิษฐานจากอุปนิสัยของพี่ชาย เขาคนนั้นเกลียดชังสวรรค์จนถึงขั้นจะบุกเข้ามาทำลายครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อเขากลับมาก็ต้องหาทางแก้แค้นแน่นอน “แต่คราวนี้ข้าอาจจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเขาด้วย”

“หมายความว่าอย่างไร” อัลล์ถามอย่างประหลาดใจ ไคซัสก็ตั้งใจฟังด้วยความสงสัยเช่นกัน “เขาจะทำร้ายเจ้าเพราะเข้าฝ่ายสวรรค์รึ!?”

“ไม่ใช่...” เทพคนสวนส่ายศีรษะครั้งหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นสบตามหาเทพสงคราม “แต่เพราะข้าเป็นผู้ทำให้เขาหายสาบสูญไปต่างหาก”

ผู้ฟังทั้งสองต่างตกตะลึงพรึงเพริศเมื่อได้ยินคำตอบที่หลุดจากปากฮาธอสฃ ซึ่งคนที่ตกใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นไคซัส เทพอสูรหนุ่มคิดอยู่แล้วว่าชายที่ตนรักต้องปกปิดบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ เพราะเจ้าตัวเติบโตมาพร้อมเทพร้ายตนนั้นจึงน่าจะผูกพันกันมากอยู่ แต่ไม่คาดคิดว่าคำตอบจะออกมารูปแบบนี้

ฮาธอสดูปฏิกิริยาของคนที่รักกับสหายสนิทแล้วก็หลับตาลง ในที่สุดความลับที่ถูกเก็บงำมาเกือบหนึ่งพันปีก็ถูกเปิดเผยออกไปจนได้...ด้วยตัวของเขาเองเสียด้วย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกแย่มากนัก ตรงข้ามกลับรู้สึกตัวเบาขึ้นเหมือนน้ำหนักที่แบกไว้หายไปหลายส่วน และหลังจากคิดทบทวนอย่างถ้วนถี่แล้ว เทพคนสวนก็ลืมตาขึ้นพร้อมเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

-----------------

ย้อนกลับไปเกือบหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน ‘ฮาโมนิก้า’ บรรณารักษ์ของหอสมุดหลวงละเมิดกฎสวรรค์ลักลอบมีความสัมพันธ์กับ ‘การิแกน’ ขุนพลเทพรัตติกาลตนสุดท้ายที่รับใช้สวรรค์ในเวลานั้นจนตั้งครรภ์ การิแกนทราบเรื่องและรู้ด้วยว่าหญิงคนรักและบุตรในครรภ์จะต้องเดือดร้อนจึงตัดสินใจพานางหลบหนีไปยังโลกมนุษย์ แต่ฟาเบียนก็ไม่มีวันปล่อยให้คนที่ทำความผิดสวรรค์หนีรอดไปได้ เขาสั่งให้ขุนพลเทพอันดับหนึ่งถึงสามออกตามล่าจนกระทั่งจับกุมตัวทั้งสองตนกลับมาพิพากษาโทษได้สำเร็จ

การิแกนถูกลงทัณฑ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ สุดท้ายก็คือต่อสู้กับมังกรที่ดุร้ายที่สุดแห่งสวรรค์ในสภาพบาดเจ็บสาหัสจนกระทั่งถูกขย้ำจุติต่อหน้าต่อภรรยา ซึ่งต่อมานางก็ถูกลงโทษด้วยการเนรเทศไปอยู่ในแดนร้าง ไม่อนุญาตให้กลับเข้ามหานครแห่งสวรรค์อีกต่อไป

ฮาโมนิก้าประคับประคองครรภ์ของตนให้อยู่รอดท่ามกลางความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ทั้งสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ทั้งการรังแกของนักโทษตนอื่น ๆ ที่ถูกเนรเทศออกมาก่อนหน้าตน ยังดีที่ไม่มีใครล่วงละเมิดนางเนื่องจากตั้งครรภ์ซึ่งถือเป็นศีลธรรมเพียงหนึ่งเดียวของเทพชั่วเหล่านั้น

ตลอดเวลาเกือบหนึ่งร้อยปีตามวาระครรภ์สวรรค์ ฮาโมนิก้าเฝ้าพร่ำพูดถึงความรักและเรื่องเลวร้ายที่ตนกับสามีต้องเผชิญกับบุตรในท้องทุกวัน โดยหารู้ไม่ว่าบุตรชายตนหนึ่งในซึบซับเอาความมืดมิดในจิตใจของนางไว้ด้วย จนกระทั่งคืนวันเพ็ญเทพธิดาผู้อาภัพก็ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกันสุดขั้วด้วยพลังของตนเอง และให้นามกับเทพผมดำผู้พี่ว่า ‘เฮสเลน’ และเทพผมทองผู้น้อยว่า ‘ฮาธอส’ แม้แรกเกิดพวกเขาจะมีรูปลักษณ์เทียบเท่ากับเด็กสิบขวบ แต่ก็ไร้เดียงสาและไม่รู้วิธีใช้พลังที่มี จึงได้แต่มองดูมารดาจากไปโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย

นั่นคือความเจ็บปวดแรกที่ฮาธอสกับเฮสเลนได้รับในชีวิตของการเป็นเทพ

หลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตในโลกที่บิดเบี้ยวและแสนโหดร้าย แน่นอนว่าเทพร้ายบางตนรับพวกเขาไปเป็นพวกด้วย แต่ต้องแลกด้วยการเป็นทาสถูกใช้งานอย่างหนัก ถูกรังแกสารพัด อีกทั้งยังถูกใช้ให้ทำเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ นานาที่พวกเขาไม่อยากทำ แต่เฮสเลนซึ่งมีจิตใจเป็นผู้ใหญ่กว่าในยามนั้นก็คอยดูแลฮาธอสที่ไร้เดียงสากว่ามาตลอด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่ชายก็จะเสียสละเพื่อน้องชายเสมอ

แม้แต่ในวันที่เป็นจุดเปลี่ยนแรกของชีวิต

วันนั้นเป็นวันที่พวกเขาจะมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ หากเป็นมนุษย์ก็ถึงเวลาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่พวกเขายังเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นอ่อนแอที่ถูกรังแกโดยเทพร้ายในแดนร้าง เพราะชาวเทพเติบโตช้ากว่ามนุษย์หลายเท่านัก ฮาธอสกลับมาจากหาอาหารและตักน้ำแร่ในหุบเขาตามคำสั่งของเจ้านาย แล้วก็พบพี่ชายอยู่ใต้ร่างของเทพตนนั้นบนเตียง ด้วยความตกใจชายหนุ่มจึงเข้าไปเพื่อช่วยเหลือ แต่กลับถูกเล่นงานกลับจนได้รับบาดเจ็บ เฮสเลนบันดาลโทสะใช้กริชอาบยาพิษของเจ้านายสังหารเจ้าตัวจนจุติคามือ

‘ฮาธอสไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่พี่ยังอยู่ พี่จะปกป้องเจ้าเอง!’ เฮสเลนสัญญากับเขาเช่นนั้นก่อนจะพาหลบหนีไปด้วยกัน

ชีวิตต่อจากนั้นก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนตอนเด็ก ๆ ยังต้องหลบหนีการรังแกจากเทพนักโทษและถูกพวกมันเหยียดหยามราวกับเป็นสิ่งที่ไร้ค่าเป็นระยะ แต่พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะใช้พลังอำนาจที่เพิ่มพูนขึ้นตามช่วงวัยในการเอาตัวรอดมากขึ้น และเป็นโชคดีของพวกเขาที่ได้พบนักโทษนิสัยดีตนหนึ่ง เทพตนนั้นรับพวกเขาเป็นศิษย์สอนวิชาต่าง ๆ ให้เหมือนลูกในไส้ เป็นช่วงเดียวที่สองพี่น้องได้อยู่อย่างสงบเหมือนกับเด็กทั่วไป เติบโตอย่างเข้มแข็งและยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเอง แต่ความแตกต่างของพวกเขาก็เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น

เฮสเลนเริ่มแก้แค้นพวกที่เคยรังแกเขากับน้องชายและเลือกเดินบนเส้นทางของการต่อสู้ ขณะฮาธอสแสวงหาสถานที่ที่พวกเขาจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบไปชั่วชีวิต อาจารย์คงเล็งเห็นปัญหานี้จึงกล่าวเตือนกับฮาธอสก่อนจากไปว่า

‘ฮาธอส จงจับตาดูพี่ชายของเจ้าให้ดี เฮสเลนจะอันตรายกว่าตอนนี้นัก’

ในตอนนั้นฮาธอสไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของอาจารย์มากนัก คิดด้วยว่าอีกฝ่ายน่าจะหมายถึงคนที่เคยรังแกพวกเขามาก่อน เพราะเฮสเลนตามไล่ล่าทีละคนอย่างไม่มีละเว้นจนเป็นที่หวั่นเกรงของเทพในแดนร้าง แต่ฮาธอสก็คอยอยู่เคียงข้างพี่ชายเสมอ เพื่อปลอบโยนในยามลุแก่โทสะและฉุดรั้งเมื่อเขาจะทำเกินกว่าเหตุจนเฮสเลนดูใจเย็นขึ้นและกลับมาอยู่อย่างสงบด้วยกัน

ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจหนีพ้นจากวัฎจักรอันเน่าเฟะของแดนร้าง พวกเทพที่ถูกเฮสเลนเล่นงานกลับหวนกลับมาแก้แค้นคืน ซึ่งแน่นอนว่าเฮสเลนย่อมไม่มีทางยอมแน่ ทุกอย่างหมุนไปเป็นกงกรรมกำเกวียนไม่จบสิ้น ฮาธอสพยายามห้ามปรามพี่ชายเพียงใดก็ไม่เคยสำเร็จผล สุดท้ายเขาจึงลองชวนผู้เป็นพี่ไปที่มหานครแห่งสวรรค์ด้วยกัน เพราะได้ยินว่ามีเทพที่อุบัติในแดนร้างหลายตนได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในนั้น

เฮสเลนยอมตามไปด้วย เพราะเดิมทีเขาปรารถนาชีวิตที่ดีกว่าในแดนร้าง แต่เมื่อไปถึงพวกเขากลับถูกทหารยามขัดขวางไว้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมให้เข้าไปและเหยียดหยามเป็นเทพชั้นต่ำไร้ค่า ไม่คู่ควรกับแดนฟ้าอันหรูหราแห่งนั้น เฮสเลนโกรธจนเกือบอาละวาด แต่ฮาธอสห้ามไว้ได้และพาตัวกลับแดนร้างด้วยกัน เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้จักวรรณะของสวรรค์เป็นครั้งแรก และฮาธอสกับเฮสเลนก็อยู่ในวรรณะต่ำที่สุด...ต่ำยิ่งกว่าสัตว์อสูรเสียด้วยซ้ำ!

แม้เฮสเลนจะไม่ได้ตำหนิฮาธอสที่ชวนไปมหานครแห่งสวรรค์ด้วยกัน แต่ฮาธอสก็รู้ดีว่าพี่ชายไม่พอใจเขาเรื่องนี้อย่างมาก เพราะทุกครั้งที่ใครก็ตามล้อเลียนเรื่องนี้ไม่ว่าจะกับตัวเขาหรือกับเจ้าตัวเอง เฮสเลนจะโกรธและอาละวาดใส่ หากโชคดีน้องชายอยู่ตรงนั้นก็จะห้ามไว้ได้ แต่ถ้าโชคร้ายไม่อยู่...มันคนนั้นก็เจ็บสาหัส กว่าฮาธอสจะเกลี่ยกล่อมให้พี่ชายปล่อยวางเรื่องนี้ได้ก็ใช้เวลานานนับเดือน

กระนั้นความเคืองแค้นก็ฝังแน่นในจิตใจของเทพรัตติกาลเสียแล้ว โดยเฉพาะมารู้ในภายหลังว่าการจะได้รับอนุญาตเข้าไปอยู่ในมหานครจะต้องมีใจภักดีกับฝ่ายสวรรค์และมีคุณสมบัติตามที่สภาเทพกำหนดด้วย ความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อสวรรค์ทวีความรุนแรงขึ้นขนาดที่ฮาธอสยังปลอบโยนไม่ไหว ทำได้เพียงคอยอยู่เคียงข้างพี่ชาย เพื่อคอยห้ามปรามและเหนี่ยวรั้งเขาในยามลุแก่โทสะเท่านั้น

แต่...เสมือนชะตากรรมยังเล่นตลกกับพวกเขาไม่พอ ในคืนเพ็ญที่พวกเขาอายุครบหนึ่งร้อยปี อำนาจแห่งความแค้นของฮาโมนิก้าที่แฝงอยู่ในสายเลือดของพวกเขาสำแดงฤทธิ์ ทำให้ทั้งสองฝันเห็นเหตุการณ์เลวร้ายที่นางกับสามีต้องเผชิญและเป็นสาเหตุให้ลูก ๆ ของนางต้องตกระกำลำบากในวันนี้ สองพี่น้องต่างตกใจและตกตะลึงเมื่อได้รู้ความจริงทุกอย่าง พวกเขากอดคอกันร้องไห้อย่างเจ็บปวดและเสียใจ แต่อารมณ์และความรู้สึกที่เกิดตามมาหลังจากนั้นกลับแตกต่างอย่างสุดขั้ว

‘เรามาแก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่กันเถอะ ฮาธอส!’ เฮสเลนชวนน้องชาย ในสถานการณ์นั้นอาจดูเหมือนเจ้าตัวโพล่งด้วยแรงอารมณ์ แต่ฮาธอสรู้ดีว่าพี่ชายของตนเอาจริง ไม่เคยเลยที่เฮสเลนจะไม่ทำตามที่ตัวเองเอ่ยปากไว้ มันจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ว่าที่เทพร้ายตนนี้เริ่มเป็นที่หวั่นเกรงของพวกนักโทษเนรเทศ

‘ท่านพี่อย่าเพิ่งใจร้อน การแก้แค้นสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่าย หากพลาดพลั้งขึ้นมาท่านจะมีโทษถึงตายนะขอรับ’ ฮาธอสเกลี่ยกล่อมพี่ชาย เพราะเห็นว่าถึงแก้แค้นไปก็ไม่ได้สิ่งใด พ่อแม่ของพวกเขาไม่มีวันฟื้นคืนอีกแล้ว

‘เจ้าไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เห็นเลยหรือ ฮาธอส แค่ท่านพ่อกับท่านแม่รักกัน พวกมันก็ทำกับท่านทั้งสองถึงเพียงนี้ การที่พวกเราต้องลำบากทุกวันนี้ก็เพราะการตัดสินของจ้าวสวรรค์เฮงซวยนั่น นึกถึงความทุกข์ยากของเราสิ เราควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้นะ!’ อุ้งมือที่บีบหัวไหล่ทั้งสองข้างของฮาธอสแน่นยิ่งยืนยันว่าพี่ชายเอาจริง

‘มันอันตรายเกินไป ถ้าอยู่ที่นี่พวกเราจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระนะขอรับ พวกเทพอันธพาลก็ไม่เคยมายุ่งกับเราแล้วด้วย แต่ถ้าเราก่อเรื่องใหญ่แบบนั้นจะไม่มีความสงบอีกเลยนะขอรับ’

‘เจ้าเด็กขี้ขลาด!’ เฮสเลนระเบิดอารมณ์กับน้องชายเป็นครั้งแรกและหมัดแรกที่เขาได้รับจากพี่ชายก็เกิดขึ้นในวันนั้น มันเจ็บ...และจารึกอยู่ในความรู้สึกมาจวบจนปัจจุบัน ‘ถ้าเจ้าไม่ทำ ข้าจะทำเอง เจ้าไม่ต้องยุ่ง!’

การต่อต้านสวรรค์เพื่อแก้แค้นให้บุพการีและ...ตนเองของเฮสเลนเริ่มต้นขึ้นในวันนั้น เฮสเลนดึงนักโทษที่มีอุดมการณ์เดียวกันมาเป็นพวกและเริ่มบ่อนทำลายสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นบุกทำลายหมู่บ้านนอกดขตมหานคร ฉุดคร่าเทพธิดา สังหารเทพบุตร ลักพาตัวเทพเด็ก แม้มหาเทพจ้าวสวรรค์จะส่งคนมาปราบหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ

นับวันความชั่วร้ายและความโหดเหี้ยมของเฮสเลนจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ฮาธอสจะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เป็นผล เขาหวั่นใจว่าหากวันหนึ่งมีคนที่เก่งกว่าพี่ชายปรากฏตัวขึ้น ตนจะต้องสูญเสียญาติตนสุดท้ายไป เขาจึงเริ่มขัดขวางด้วยการช่วยเหลือตัวประกันที่พวกพี่ชายจับมาบ้าง แอบไปจัดการกับกลุ่มที่ออกปล้นหมู่บ้านก่อนพวกทหารจะมาถึงบ้าง และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้ผู้เป็นพี่ไม่พอใจและทะเลาะกันหลายครั้ง โดยที่เฮสเลนก็ไม่เคยรู้ว่าน้องชายเจ็บปวดเพียงใดที่ต้องทำอย่างนี้ เพราะเจ้าตัวยังคอยปกป้องน้องชายจากอันตรายเสมอ

เฮสเลนทำตามที่ออกปากไว้ทุกอย่าง แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ตาม

แต่แล้ววันแห่งการแตกหักก็มาถึง เมื่อฮาธอสไปทำธุระให้พี่ชายในหุบเขาแดง แต่ในระหว่างทางที่ไปนั้น เทพหนุ่มบังเอิญพบกับลูกสมุนของเฮสเลนคนหนึ่งเข้า เขาจึงได้รู้เรื่องพี่ชายกำลังพาคนไปทำลายประตูทิศเหนือของมหานครแห่งสวรรค์ ฮาธอสไม่รอช้ารีบกลับไปห้ามปรามเฮสเลนโดยทันที เพราะถ้าอีกฝ่ายทำสำเร็จ มหาเทพจ้าวสวรรค์จะต้องส่งกองทัพสวรรค์มาจัดการทุกตนเป็นแน่ สองพี่น้องทะเลาะกันใหญ่โตอีกครั้ง

‘เจ้ามันไม่ควรเกิดมาเลย ฮาธอส ท่านแม่ฝากความหวังแก้แค้นไว้กับเรา ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจ!’ ฮาธอสถึงกับหน้าชาเมื่อได้ยินเฮสเลนตวาดเช่นนั้น พี่ชายที่เขารักสุดหัวใจกลับบอกว่าเขาไม่ควรเกิดมา

‘ข้าไม่เข้าใจแน่นอนขอรับ เพราะท่านไม่ได้ทำเพื่อ ‘เรา’ แต่ท่านทำเพื่อตัวเองต่างหาก และต่อให้ท่านทำได้ ท่านก็หนีแดนร้างไม่พ้นหรอก!’

นั่นคือการโต้เถียงตามแรงอารมณ์ครั้งแรกในชีวิตของฮาธอส ซึ่งสิ่งที่ตอบแทนกลับมาก็เหนือความคาดหมายด้วยเช่นกัน เฮสเลนบันดาลโทสะทำร้ายเขาจนได้ แน่นอนว่าคนเป็นน้องต้องสู้เพื่อความอยู่รอด เพราะตอนนั้นเฮสเลนแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะเอาให้ตาย แต่เขากลับพะวงว่าจะทำให้อีกฝ่ายเป็นอันตรายถึงชีวิตจึงไม่ได้ลงมืออย่างเต็มที่ สุดท้ายก็เสียท่าและถูกเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส เฮสเลนประกาศตัดพี่ตัดน้องและมุ่งไปในทางที่ตนเองเลือก ส่วนฮาธอสรวบรวมพลังที่เหลือหนีไปซ่อนตัวในหุบเขาแดง เนื่องจากนักโทษบางตนตั้งใจจะฆ่าเขาจริง ๆ เพื่อชิงเอาแก่นวิญญาณไป หากเขาสูญเสียสิ่งนี้ก็จะจุติโดยไม่มีโอกาสเกิดใหม่อีกเลย

ฮาธอสต้องซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาแดงนานเกือบหนึ่งปีด้วยความเสียใจที่พี่ชายทอดทิ้ง ในช่วงเวลานั้นชายหนุ่มต้องฝึกปกปิดจิตและพลังของตนอย่างมิดชิด เพื่อหนีการตามล่า ผลคือเขาต้องใช้ชีวิตด้วยกำลังกายของตนเยี่ยงมนุษย์ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่แพ้วัยเด็ก โชคดีที่เขาเกิดเป็นเทพจึงรอดตายจากบาดแผลฉกรรจ์มาได้ ระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินแต่เรื่องเลวร้ายของพี่ชายซึ่งขยายอิทธิพลจนแทบจะเป็นผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของแดนร้าง ทำให้สวรรค์ประสบความวุ่นวายอย่างมากทีเดียว

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
«ตอบ #69 เมื่อ06-09-2013 21:04:20 »

เทพหนุ่มใช้เวลานั้นทบทวนเรื่องราวทั้งหมดและตรึกตรองถึงสิ่งที่ควรทำในอนาคต เขาพบตัวเองอยู่ระหว่างสายเลือดกับความถูกต้อง หากเลือกพี่ชายก็เท่ากับสนับสนุนให้เขาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ถ้าเลือกสวรรค์เพื่อปกป้องคนที่ไม่รู้เรื่องก็เท่ากับหักหลังพี่ชาย ฮาธอสต้องเผชิญกับความสับสนอยู่นานหลายเดือน ก่อนจะได้ยินข่าวว่าเฮสเลนร่วมมือกับกองทัพปีศาจและเตรียมจะบุกสวรรค์ในวันเดียวกัน ตอนนั้นพวกฮาธอสรู้แล้วว่าเทพกับปีศาจเป็นศัตรูกันด้วยเรื่องโลกมนุษย์จึงทำให้เทพหนุ่มกังวลมาก ถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างต้องเกิดหายนะขึ้นแน่

สามคืนก่อนถึงกำหนดบุกสวรรค์ของพวกเฮสเลนได้เกิดพายุใหญ่พัดถล่มในแดนร้าง ฮาธอสฉวยโอกาสนั้นออกจากที่ซ่อนและลอบเข้าไปในฐานลับที่เจ้าตัวมักไปนั่งสมาธิก่อนทำการใหญ่ เฮสเลนตกใจที่น้องชายกล้ากลับมายืนต่อหน้าเขาอีกครั้งหลังประกาศตัดพี่ตัดน้องแล้ว จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์เหมือนในอดีตมิผิดเพี้ยน

‘ท่านพี่หยุดก่อกรรมทำเข็นเถิดขอรับ ท่านไม่มีทางทำลายสวรรค์ได้หรอก’

‘ได้สิ ฮาธอส แล้วหลังจากนั้นข้าก็จะอยู่อย่างสุขสบาย จะไม่มีเทพรัตติกาลสายเลือดบริสุทธิ์หรือลูกครึ่งตนใดต้องเดือดร้อนจากการตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมอีกแล้ว ทุกตนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เจ้าเทพในเมืองหลวงพวกนั้นต้องชดชใช้อย่างสาสม’

‘ท่านพี่กำลังทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน...’

‘แค่พวกมันละเลยพวกเรา ไม่เห็นใจเรา เหยียดหยามเรา แค่นี้ก็ผิดแล้ว พอที ฮาธอส ข้าตัดพี่ตัดน้องกับเจ้าแล้ว อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก!’

‘ไม่ขอรับ วันนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!’

‘งั้นก็เอาชนะข้าให้ได้ก่อนเถอะ!’

การต่อสู้ของสองพี่น้องอุบัติขึ้นกลางฐานลับแห่งนั้น เฮสเลนลำพองใจว่าน้องชายต้องรักตนอยู่ถึงได้อยากจะห้าม จึงลงมือเต็มที่โดยเชื่อว่าฮาธอสต้องยอมอ่อนข้อให้เหมือนคราวก่อน ทว่าการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ฮาธอสไม่ยอมอ่อนข้อให้และแสดงออกชัดเจนว่าจะจัดการเขาให้ได้อีกด้วย

ฮาธอสจำได้ดีว่าพี่ชายของเขาโกรธมากแค่ไหน เจ้าตัวทั้งสบถทั้งด่าทอตลอดเวลาที่ประมือกันกลางพายุฝนที่เต็มไปด้วยภูตผีซึ่งปรากฏตัวเพราะอำนาจมืดของเฮสเลน แต่ชายหนุ่มก็ต้องอดทนในขณะที่ค่อย ๆ เพิ่มพูนพลังขึ้นทีละน้อย...ใช้วิชาที่เรียนรู้มา...และทุ่มเททุกอย่างไว้ที่ดาบในมือไล่ต้อนอีกฝ่ายทีละนิด...ทีละหน่อย...จนในที่สุดฮาธอสก็ทำให้พี่ชายผู้แข็งแกร่งพบกับความพ่ายแพ้จนได้!

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เฮสเลนถูกทำให้พ่ายแพ้และบาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของน้องชายตนเอง...ราวกับผลกรรมคืนสนอง!

ตอนออกจากที่ซ่อนนั้นฮาธอสตั้งใจว่าจะสังหารเฮสเลนเพื่อหยุดความชั่วร้าย แต่วินาทีที่เขาเอาดาบจ่อคอหอยพี่ชายกลับเกิดความลังเลขึ้นมา จิตสำนึกอันดีงามในใจเตือนให้เขาระลึกถึงความดีของเทพร้ายในฐานะที่คอยดูแลเขาจนเติบใหญ่ หากไม่มีชายตนนี้ เขาคงตายไปแล้ว ทว่าเพื่อผู้บริสุทธิ์ เขาก็ไม่อาจปล่อยพี่ชายไปได้เช่นกัน ฮาธอสตัดสินใจสะกดอำนาจของพี่ชายด้วยคาถาที่อาจารย์สอนไว้ให้ ก่อนนำตัวไปทำพิธีผนึกเทพรัตติกาลในส่วนลึกที่สุดของสถานที่แห่งนั้นซึ่งไม่เคยมีใครเหยียบย่างเข้าไปมาก่อน!

ตลอดช่วงสิบนาทีเตรียมการนั้น เฮสเลนที่บาดเจ็บหนักไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว แต่สายตาเลื่อนลอยที่คอยจ้องมองกลับสร้างความเจ็บปวดให้ฮาธอสอย่างหาที่สุดมิได้ ชายหนุ่มไม่อยากทำแบบนี้ แต่ไม่มีทางเลือก มันเป็นหนทางเดียวที่จะปกป้องทุกคนได้ และเมื่อฮาธอสนำร่างพี่ชายไปอยู่ในทีที่เตรียมการไว้และร่ายเวทมนต์ สองพี่น้องก็ได้ดูหน้ากันชัด ๆ อีกครั้ง

‘ทำไม...ฮาธอส...’ สุ้มเสียงทุ้มต่ำตัดพ้อยังแจ่มชัดในความทรงจำ ‘ทั้ง...ที่ข้าปกป้อง...เจ้า...มาตลอด...’

‘ขอรับ คราวนี้ข้าจะเป็นฝ่ายปกป้องบ้าง’ แม้แต่น้ำเสียงสั่นเครือของตัวเองก็ชัดเจนในจิตสำนึก

‘ปกป้องพวกสารเลวนั่นน่ะหรือ!’ เฮสเลนกระชากเสียงด้วยแรงที่มี ภาพร่างกายที่ค่อย ๆ กลายเป็นหินและกำแพงน้ำแข็งที่ค่อย ๆ ก่อตัวทาบทับยังตราตรึงในสายตาผู้มอง

‘ทุกอย่างขอรับท่านพี่’ ฮาธอสยังคงใช้พลังต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แม้จะมีเสียงกรีดร้องอย่างปวดร้าวจากส่วนลึกสุดของหัวใจ ‘ปกป้องผู้บริสุทธิ์จากความแค้นของท่าน รวมทั้งปกป้องตัวท่านพี่เองจากมันด้วย’

‘หึ หึ หึ จิตใจประเสริฐนัก เจ้าไม่ได้เห็นอย่างข้าเห็น เจ้าไม่ได้เป็นอย่างข้าเป็น เจ้าไม่ได้เข้าใจข้าสักนิด!’

‘ท่านพี่!’

‘หุบปาก เลิกเรียกข้าว่า ‘พี่’ ข้าไม่มีน้องอย่างเจ้า!’ ดวงตาเลื่อนลอยของเฮสเลนทวีความเกลียดชังมากขึ้นในทุกคำที่เอ่ยออกมาและเปลี่ยนเป็นความกราดเกรี้ยว ‘คอยดูเถอะ เจ้าจะต้องเสียใจที่ไม่ได้ฆ่าข้าในวันนี้ ถึงข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่จะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!’

‘ปล่อยวางเถิดขอรับ ท่านพี่ ความแค้นช่วยท่านไม่ได้หรอก’ ฮาธอสอ้อนวอน แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ จากเฮสเลนที่ถูกผนึกโดยสมบูรณ์อีกแล้ว เทพผู้น้องมองใบหน้าที่กลายเป็นหินหลังกำแพงน้ำแข็งด้วยหัวใจที่แหลกสลาย เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป...และเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำที่อยากจะพูดที่สุดในเวลานั้น

...ข้าขอโทษ ท่านพี่...

-----------------

“หลังจากผนึกท่านพี่แล้ว ข้าก็กลับไปซ่อนตัวในหุบเขาแดงตามเดิม ใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์อยู่ที่นั่น ส่วนกองทัพของท่านพี่ ข้าได้ยินว่าหลังจากข่าวท่านพี่หายตัวไป พวกเทพที่มีความสามารถสูง ๆ ก็แก่งแย่งอำนาจกันเองจนแตกแยกไปอยู่แบบตัวใครตัวมันเหมือนเดิม ไม่กี่ปีต่อมาข้าก็ได้เลื่อนขั้นเข้าไปอยู่ในมหานครและได้เจอกับอัลล์ เขาจำได้ว่าข้าเป็นใคร แต่ก็รู้ว่าข้าไม่เหมือนกับพี่จึงช่วยปกปิดมาตลอด เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้ขอรับ”

ความเงียบคลี่คลุมห้องดั่งอาภรณ์แห่งความสงัดหลังจากฮาธอสเล่าอดีตจบในเวลาฟ้าสาง ไคซัสกับอัลล์จ้องมองเทพคนสวนด้วยความตกตะลึง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะไม่เชื่อคำพูดของเทพคนสวน เพราะนอกจากเรื่องที่ซ่อนของเฮสเลนแล้ว เจ้าตัวก็ไม่เคยพูดโกหกพวกเขาเลย

และนี่ก็คือ เหตุผลหลักที่ฮาธอสปรารถนาเป็นเพียงเทพชั้นล่าง หากปกปิดตัวตนของตนเองได้ก็จะปกปิดความลับการหายตัวไปของเฮสเลนได้นั่นเอง

ฮาธอสหลับตาลงอีกครั้ง เตรียมตัวเตรียมใจรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป เขาอาจจะถูกเนรเทศกลับไปอยู่แดนร้างตามเดิม แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา สิ่งที่ชายหนุ่มกังวลที่สุดตอนนี้ก็คือ ‘พี่ชาย’ ต่างหาก เขามั่นใจว่าทำตามที่อาจารย์สอนไว้ทุกอย่าง ทว่า...จิตกับพลังของเจ้าตัวหลุดจากผนึกได้อย่างไร

“ในที่สุดข้าก็เข้าใจสักที” สุ้มเสียงทุ้มต่ำของไคซัสดังขึ้น ทุกคนจึงหันมองเขา มหาเทพสงครามกำลังประสานมือกันด้วยสีหน้าครุ่นคิด แต่เมื่อดวงตาสีส้มเลื่อนขึ้นสบกับฮาธอส เขาก็เล่าเรื่องของตนบ้าง “ช่วงก่อนเกิดสงครามเทพกับปีศาจครั้งก่อน มีเทพรัตติกาลตนหนึ่งลอบเข้ามาในวังอสูรเพื่อลอบสังหารข้า คงคิดว่าถ้าข้าตายแล้วกองทัพปีศาจจะสามารถเคลื่อนพลผ่านมาถึงชายแดนสวรรค์ทางทิศใต้ได้ โชคร้ายที่ข้ากับทหารจัดการมันได้เสียก่อนและพบว่ามันเป็นเพียงร่างจำแลงที่ใช้พลังจากของชิ้นหนึ่งสร้างตัวตนขึ้นมา ข้าจึงเก็บมันไว้และพยายามค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเทพรัตติกาลตนนี้ แต่ก็ไม่พบ จนกระทั่งหลงสงครามจบลงได้ประมาสองเดือน ข้าเริ่มสังเกตว่าบนสวรรค์มีอะไรแปลก ๆ พลังของเขตแดนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย อันที่จริงข้ารู้สึกมาหลายสิบปีแล้ว แต่มันเพิ่งจะเด่นชัดขึ้นหลังสงครามครั้งที่ผ่านมา”

“มันคือเหตุผลแท้จริงที่ท่านยอมขึ้นสวรรค์หรือขอรับ” ฮาธอสมองเทพอสูรอย่างใคร่รู้

“แค่ส่วนหนึ่ง” เทพอสูรตอบทันควัน “อีกส่วนก็เพื่อเผ่าของข้าเอง ข้าคิดว่าส่วนนี้ไคมีร่าคงอธิบายกับเจ้าแล้ว” เทพคนสวนนิ่งไปเล็กน้อยคิดถึงวันที่ดาริคขึ้นมา ไคมีร่าหายตัวไปคุยกับพี่ชายพักหนึ่งและกลับมาอธิบายคำตอบที่เกือบทำให้นางต้องร้องไห้ “ข้าอยากจับตัวคนร้ายให้ได้ก่อนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่พร้อมกับปกป้องเผ่าของตัวเองด้วย การเป็นมหาเทพสงครามเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ข้าได้ทั้งสองอย่างนั้น แต่ข้ากลับหาต้นตอของพลังนั้นไม่พบ ขนาดมันเชิดแมลงไสยเวทมาโจมตีถึงสองครั้งก็ยังหาตัวไม่เจอ”

“ผู้บงการแมลงไสยเวทมาเข้าฝันนาซิลลากับสิงพัมกิ้นซ์ให้บุกพาเทร่าเป็นตนเดียวกันสินะขอรับ” อัลล์พูดเป็นเชิงถามเพื่อยืนยันความแน่ชัด เหตุการณ์ค่อนข้างซับซ้อนจนเขาเริ่มตามไม่ทัน

“ถูกต้อง พลังของมันเหมือนกัน” ไคซัสพยักหน้า

“เพราะมหาเทพไคซัสหาเจ้าของพลังไม่เจอถึงได้เอา ‘ของ’ ชิ้นนั้นขึ้นมาสินะขอรับ” ฮาธอสใจเต้นรัวด้วยความกลัวระคนตื่นเต้น เทพหนุ่มเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว “มันคืออะไรกันแน่ขอรับ ‘ของ’ ที่ทำให้...ท่านพี่ปรากฏตัว!”

ไคซัสไม่ได้ตอบทันที แต่พิจารณาท่าทีของฮาธอสก่อน เทพคนสวนจ้องมองเขาอย่างอยากรู้แต่ก็ไม่อยากรู้ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะเลี่ยงไปอีกครั้ง ทว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก็ควรจะเปิดเผยทุกอย่างเสียที เพียงเทพอสูรหนุ่มดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ปมของผ้าไหมสีเหลืองทองก็คลายตัวออกโดยพลัน เผยกล่องไม้ลงรักสีดำเขียนลวดลายดอกหญ้าด้วยน้ำหมึกสีเงินผสมผงมุก ฮาธอสรีบชะโงกหน้าไปดูใกล้ ๆ ทันทีทีฝากล่องเปิดออกด้วยตัวของมันเอง และเขาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นมือมัมมี่เหี่ยวแห้งข้างหนึ่งอยู่ในนั้น

“...มือของเฮสเลนหรือขอรับ!” เป็นอัลล์ที่โพล่งด้วยความตกใจสุด

“ข้าคิดว่าน่าจะใช่ เพราะพลังเหมือนกันไม่มีผิด แม้แต่จิตแฝงเร้นก็ยัง...ฮาธอส!” หลังจากพูดได้ไม่กี่ประโยค เทพอสูรก็ต้องหยุดและรีบรุดไปหาเทพคนสวน หลังเห็นใบหน้าเครียดจัดและมีเหงื่อซึมของเจ้า พอจับมือก็พบว่ามันเย็นเฉียบ “ทำใจดี ๆ ไว้...”

“...ได้อย่างไร...” ก่อนไคซัสจะได้ปลอบโยน ฮาธอสก็เอ่ยคำพูดอย่างลำบาก ดวงตาสีน้ำเงินกลอกไปมาด้วยความไม่เข้าใจ “...ออกมาได้อย่างไร...เขาออกมาได้อย่างไร...ข้าทำอะไรผิดไป...”

“ไม่! เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด!” เสียงทุ้มต่ำเฉียบขาดแทรกเข้าโสตประสาททำลายความตื่นตระหนกของฮาธอสจนไม่เหลือชิ้นดี เทพอสูรหนุ่มจับใบหน้าชายรักมาสบสายตาหนักแน่นของตน “ในสถานการณ์แบบนั้นเจ้าทำดีที่สุดแล้ว แต่เฮสเลนก็เป็นเทพรัตติกาลที่มีอำนาจสูงส่งและเวลาก็ผ่านมานานหลายร้อยปี ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ทั้ง ไม่แน่ว่าเฮสเลนอาจจะทำลายผนึกของเจ้าจากภายในก็เป็นได้”

“ข้า...ไม่ค่อยเข้าใจขอรับ” ฮาธอสมุ่นคิ้วแล้วเหล่มองสหายที่ทำหน้าแบบเดียวกัน

มหาเทพสงครามเม้มปากพลางเรียบเรียงความคิด อันที่จริงสิ่งที่เขากำลังจะพูดเป็นแค่ข้อสันนิษฐานส่วนตัวเท่านั้น แต่เมื่อฟังจากที่ฮาธอสเล่ามาก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความจริง

“ฮาธอสกับเฮสเลนเป็นพี่น้องฝาแฝด แต่โดยปกติแล้วเทพสวรรค์จะมีบุตรจากอุทรได้เพียงหนึ่งตน ดังนั้นเทพเจ้าผู้สร้างจึงกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นของขวัญแด่เทพพี่น้องที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน คือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะทำลายกันและกันไม่ได้ ถ้าให้แปลความหมายตรงตัวก็คือ ถึงพวกเจ้าจะอยากฆ่ากันแค่ไหนก็ทำไม่ได้ หลักฐานก็คือ ตอนที่เฮสเลนในร่างนาซิลลาซัดพลังใส่เจ้า พลังของเขาทำอะไรเจ้าไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะใช้ร่างคนอื่นอยู่ แต่อีกส่วนเป็นเพราะเงื่อนไขนี้แน่นอน ข้ากับไคมีร่าเองก็ติดเงื่อนไขนี้ด้วยเช่นกัน”

ผู้ฟังทั้งสองตนมีสีหน้าอัศจรรย์ใจเมื่อได้ยินข้อสันนิษฐานของมหาเทพสงคราม ซึ่งช่วยให้ฮาธอสเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น ทั้งการที่พี่ชายในร่างนาซิลลาสบถเช่นนั้น รวมถึงการที่เจ้าตัวไม่สามารถสังหารเขาได้อีกด้วย ความคิดที่ว่าจะทำให้เขาบาดเจ็บ เพื่อมิให้มาขัดขวางแผนการคงไม่ได้อยู่ในหัวของผู้เป็นพี่เลยสินะ...

“แต่ก็ยังน่ากังวลอยู่ ถ้ามือนี้หลุดออกมาได้ เฮสเลนก็อาจจะทำลายผนึกไปแล้วก็ได้นะขอรับ” อัลล์ตั้งข้อสังเกตที่น่ากังวล

“ไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าท่านพี่ทำลายผนึกแล้วจริง เขาคงไม่ใช่วิธีอ้อมค้อมแบบนี้แน่ ผนึกคงคลายออกบางส่วนเท่านั้น” ฮาธอสแย้ง แต่สีหน้ายังคงวิตก

“เพราะอย่างนั้นมันถึงจะมาเอามือของตัวเองกลับไป ถ้าร่างกายไม่สมบูรณ์ก็จะไม่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นหมายความว่าจะไม่สามารถทำลายผนึกของเจ้าได้ด้วย” พูดมาถึงตอนนี้ไคซัสก็มีสีหน้าคิดหนัก เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องนาซิลลาเลย ตัวร่างทรงนั้นเป็นแค่เด็กสาวอ่อนแอและได้รับบาดเจ็บ ไม่น่าจะหนีไปได้ไกลนี่นา ยกเว้นเสียแต่ว่า... “แต่ถ้านาซิลลาเป็นร่างทรงของเฮสเลนโดยตรงล่ะก็...”

“เอ๋!” ฮาธอสร้องเบา ๆ อย่างตกใจและมองตามไคซัสที่ผุดลุกไปหยิบบันทึกปกดำมาตรวจสอบอะไรบางอย่าง มันคงจะเป็นการค้นพบที่น่าตกใจมาก เพราะเมื่อพบหน้าที่ต้องการเจ้าตัวก็หน้าถอดสี

“อัลวินรีบออกไปบอกให้พวกที่ตามหานาซิลลาเร่งมือให้เร็วขึ้น ตามหาเองได้ยิ่งดี” มหาเทพสงครามหันมาสั่งและเสริมเสียงกร้าวทันทีที่เห็นอัลล์ทำหน้าไม่เข้าใจ “นี่เป็นเรื่องสำคัญ รีบไป!”

“ขอรับ!”

แม้จะยังไม่เข้าใจเหตุผล ทว่าอัลล์ลุกขึ้นทำความเคารพและรุดจากไป เหลือเพียงฮาธอสนั่งจ้องไคซัสที่เหลือบมองเขาด้วยสีหน้าคิดไม่ตกแต่ก็ร้อนใจไปพร้อมกัน เขาเคยเห็นท่าทางแบบนี้จากบรรดาเทพชั้นสูงที่เคยรับใช้มาก่อน

“มหาเทพไคซัสอยากถามอะไรข้าหรือขอรับ” ใบหน้าคมเข้มสีแดงเบือนมาหาราวกับจะถามว่าเจ้าอยากให้ข้าถามจริงหรือ แต่เมื่อเห็นแววตาแน่วนิ่งนั้นเหมือนเตรียมใจไว้แล้วไคซัสก็เอ่ยปาก

“ข้าอยากรู้ที่ซ่อนร่างของเฮสเลน”

ร่างสูงโปร่งบนเก้าอี้มีอาการคอแข็งอย่างเห็นได้ชัด การเตรียมใจล่วงหน้าช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยจริง ๆ เพราะแค่ได้ยินคำถามก็รู้สึกเหมือนมีหินขนาดมหึมาหล่นทับหัวใจจนอึดอัด ไคซัสเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางแบบนั้นก็อดขยับไปใกล้ไม่ได้ แต่ก่อนเขาจะได้ทำอะไรต่อไปก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นรัว ๆ

“มหาเทพไคซัสขอรับ” เซบาสเตียนถือวิสาสะเข้ามารายงานก่อนจะได้รับอนุญาตอย่างรีบร้อน “มหาเทพจ้าวสวรรค์เสด็จมาถึงแล้วขอรับ”

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ไคซัสร้องบอกแล้วหันกลับมาดันตัวฮาธอสที่ผุดลุกขึ้นกลับไปนั่งที่เดิม “เจ้าไม่ต้องไป รออยู่ที่นี่จนกว่าข้าจะกลับมา และจำไว้ด้วยว่าถ้าแอบหนีไปคนเดียว ข้าจะไม่ให้อภัยเด็ดขาด!”

สั่งด้วยเสียงกระซิบอย่างหนักแน่นแล้วจ้องตาเทพคนสวนเพื่อยืนยันคำพูดของตนเอง ฮาธอสไม่เคยเห็นมหาเทพสงครามเอาจริงเอาจังจนน่ากลัวมาก่อนจึงพยักหน้ารับ เทพอสูรค่อยคลายมือและรุดออกจากห้องไปพร้อมเซบาสเตียน

------------------

นำหน้าเด็กดีแล้ว เย้~~~~~~~

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
« ตอบ #69 เมื่อ: 06-09-2013 21:04:20 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
«ตอบ #70 เมื่อ06-09-2013 21:33:27 »

เฮสเลนมีความเกี่ยวพันกับเซอเรียโนหรือเปล่า
ย้งมึนๆอยู่ค่า

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
«ตอบ #71 เมื่อ07-09-2013 18:58:50 »

บทที่ 17 การตัดสินใจของเทพอสูร

ฟาเบียนกับผู้ติดตามในชุดขาวทั้งสิบตนยืนรอไคซัสอยู่หน้าปราสาทประมุข ดวงตาสีเขียวมรกตสำรวจความเสียหายพลางระบายลมหายใจอย่างหนักอึ้ง แม้จะยังไม่ทราบรายละเอียดของเรื่องทั้งหมด แต่คนส่งข่าวก็แจ้งให้ทราบแล้วว่าเป็นฝีมือของใคร ซึ่งทำให้เขารู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก

“ว้าว! เล่นเสียเละเทะเลยแฮะ”

เสียงเล็กที่อุทานขัดจังหวะการถอนใจครั้งที่สองมาจากเด็กหนุ่มชุดแดงที่มายืนข้างกายราชาเทพตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ขุนพลเทพอันดับห้าจ้องมองช่องโหว่บนตัวปราสาทอย่างตื่นตาตื่นใจ

“ไม่นึกเลยน้า ว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะทำให้ปราสาทเสียหายได้ขนาดนี้”

“เซย์เรียโน่งานเสร็จแล้วรึถึงโผล่มาที่นี่ได้!” ฟาเบียนฮึดฮัดไม่พอใจ หวังจะข่มเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้ก่อนจะพูดหรือทำอะไรแปลก ๆ อีก

“เสร็จแล้ว อย่างน้อยก็ตามแผนที่วางไว้” เซย์เรียโน่อมยิ้มอย่างสนุก “ข้าจึงว่างมาดูทางนี้ อ๋อ ข้าเป็นขุนพลเทพตนเดียวที่อยู่บนสวรรค์ นอกนั้นถูกเจ้าส่งไปทำงานที่อื่นหมด ถ้าคิดจะบ่นก็ต้องโทษตัวเองแล้วล่ะ”

“เจ้า!”

“ขอโทษที่ให้รอ”

ฟาเบียนแทบกระชากตัวเด็กหนุ่มมาลงโทษฐานตีฝีปากกับราชาเทพ แต่ก่อนจะมีการลงไม้ลงมือและการตอบสนองจากว่าที่ผู้ถูกกระทำ ไคซัสกับเซบาสเตียนก็ออกมาถึงพอดี มหาเทพสงครามเหล่มองเซย์เรียโน่แวบหนึ่งแล้วเบือนหน้าไปหามหาเทพจ้าวสวรรค์เมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้น

“ยังหาตัวต้นเหตุไม่เจอสินะ ข้าเห็นอัลวินวิ่งออกไปเมื่อกี้”

“ที่นี่ไม่เหมาะคุย ตามข้ามา”

เหล่าผู้ติดตามของฟาเบียนแสดงอาการไม่พอใจทันที หลังไคซัสสวนคำพูดใส่เจ้านายอย่างไร้ความเคารพจนราชาเทพต้องยกมือห้ามปราม ขณะเซย์เรียโน่ผิวปากให้มหาเทพสงครามด้วยความชื่นชมก่อนจะเดินตามต้อย ๆ ออกไปยังตำหนักชั้นนอกที่มีทหารเดินวุ่นวายไปหมด เทพอสูรหนุ่มสั่งให้ผู้ติดตามของฟาเบียนรออยู่ข้างนอก ก่อนจะพาแขกที่เหลือเข้าไปในห้องประชุมเล็กของตึกที่พักทหารฝั่งขวา ซึ่งตอนนี้ถูกปรับให้เป็นห้องทำงานและศูนย์บัญชาการชั่วคราวเรียบร้อยแล้ว

เมื่อแขกหาที่นั่งให้ตัวเองเรียบร้อยและเซบาสเตียนถอยไปเฝ้าข้างนอกแล้ว ไคซัสก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทุกตนฟังอย่างละเอียด โดยยังไม่เปิดเผยว่าใครอยู่ในร่างของนาซิลลาและของที่จะถูกขโมยนั้นเป็นสิ่งใด แม้จะรู้ดีว่ามหาเทพจ้าวสวรรค์จะระแคะระคายเรื่องนี้แล้วก็ตาม ฟาเบียนอาจไม่ใช่คนเก่งกาจ แต่ทั้งสวรรค์ก็อยู่ภายใต้อำนาจของเทพตนนี้ อีกอย่างเขาเองก็มีเรื่องที่ต้องสะสางกับอีกฝ่ายด้วย

“เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้เองรึ” ราชาเทพลูบคาง สีหน้าครุ่นคิด ไคซัสรู้ทันทีว่าเจ้าตัวกำลังจะพูดอะไรต่อไป “แต่มันก็แปลกนะ แค่ถูกจับได้ว่าจะขโมยของก็สู้จนกลายเป็นแบบนี้ ลำพังพลังของเทพจันทราวัยเยาว์ไม่น่าจะทำได้ เจ้าเอาอะไรขึ้นมากันแน่”

“มันเป็นของส่วนตัวของเทพรัตติกาลตนหนึ่ง ซึ่งสำคัญขนาดที่เจ้าตัวยอมเสี่ยงมาเอาคืนไปด้วยตัวเอง” ไคซัสตัดสินใจเปิดไพ่ใบหนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ฟาเบียนดูสนใจมากขึ้น แต่ยังสงวนท่าทีอยู่

“ใครกัน เทพรัตติกาลตนนั้นน่ะ”

“เจ้านึกไม่ออกจริง ๆ หรือ ฟาเบียน์” มหาเทพสงครามเอียงศีรษะอย่างสงสัย คิ้วคมจรดเข้าหากันทำให้ใบหน้าที่ดุดันอยู่แล้วดูน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก

“ไคซัส หลังจากข้าได้เป็นมหาเทพจ้าวสวรรค์ก็ขับไล่เทพรัตติกาลออกจากสวรรค์ตั้งมากมาย ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นฝีมือของใครน่ะ อีกอย่างนี่ไม่ใช่เวลามาเล่นเกมด้วย ตำหนักของเจ้าถูกเล่นงานขนาดนี้ ถ้าปล่อยเวลายืดยาวไปออกไป เทพอื่น ๆ อาจจะเดือดร้อนอีกก็ได้นะ” ราชาเทพเริ่มร้อนรน ขณะเซย์เรียโน่ยิ้มบางสื่อความหมายบางอย่างที่รู้เพียงผู้เดียว

“ไม่ต้องห่วงหรอก ก่อนเจ้าจะมาข้าสั่งให้คนไปแจ้งเหล่าขุนศึกทั้งหลายให้เตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่พวกเขาจะยังไม่มารวมตัวจนกว่าจะเห็นสัญญาณอันตรายที่ชัดเจนกว่านี้” ไคซัสทำท่าเหมือนทองไม่รู้ร้อน

“เจ้าเป็นมหาเทพสงครามนะ ไคซัส ข้าเชิญท่านมารับตำแหน่งนี้เพื่อปกป้องสวรรค์นะ!” ราชาแห่งฟ้าเริ่มมีอารมณ์ แต่คนถูกตวาดจะสะดุ้งสะเทือนก็หาไม่

“ข้าก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่นี่ไง แต่ถ้าไม่มีอันตรายในวงกว้าง ข้าก็ไม่อยากทำอะไรให้เอิกเกริก”

สุ้มเสียงเนิบช้าราวกับไม่สนใจว่าสวรรค์จะเป็นเช่นไรนั้น สร้างปฏิกิริยาที่แตกต่างกันให้กับแขกของเขา เซย์เรียโน่เบิกตากว้างอย่างตกตะลึงก่อนระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจออกมา ส่วนฟาเบียนนั่งตัวชา อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง พอตั้งสติได้ก็ลุกไปตบโต๊ะตรงหน้าไคซัสด้วยความโกรธ!

“เจ้า!” เสียงทุ้มเล็ดลอดไรฟันที่ขบกันแน่น “...กล้าพูดมาได้อย่างไรว่าไม่มีอันตรายในวงกว้าง ขนาดร่างทรงของมันทำให้ปราสาทเสียหายขนาดนี้ จะรอให้มันทำลายสวรรค์ส่วนไหนก่อนเรอะถึงจะทำหน้าที่ได้!”

“แล้วมันที่เจ้าพูดถึงคือใครกันล่ะ!” ไคซัสลุกขึ้นประจันหน้ากับอีกฝ่ายและคำรามด้วยท่าทางเดียวกัน

“เฮสเลนไงเล่า!”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเกือบจะทันทีที่ขาดเสียงของราชาเทพ นามที่เขาโพล่งออกมานั้นทำให้เซย์เรียโน่หุบปากได้อย่างชะงัด ดวงตาสีแดงฉานที่ไม่เคยฉายสิ่งใดเลยนอกจากความสนุกกับความเย็นชา บัดนี้เบิกกว้างด้วยความตกใจที่ไคซัสซึ่งเหลือบตามาเห็นยังสงสัยว่าเป็นของจริงหรือการแสดง แต่ท่าทางตกใจเหมือนคนเพิ่งรู้สึกตัวของฟาเบียนเป็นของจริงแน่นอน

“เจ้ารู้อยู่แล้วจริง ๆ ด้วย” ไคซัสหันมาไล่เบี้ยราชาเทพก่อน “พวกผู้หญิงที่นาซิลลาไปเกิดและได้อยู่ในตำหนักอาจไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ แต่เจ้ามีข้อสันนิษฐานอยู่ในใจแล้วและมันถูกยืนยันด้วยเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยใช่ไหม...ข้าถามว่าใช่ไหม!”

ชาวเทพสวรรค์ทั้งสองตนต่างสะดุ้งสุดตัว เมื่อเทพอสูรหนุ่มเขย่าทั้งโต๊ะด้วยท่าทางโกรธจัด ราวกับอยากจะจับมันเขวี้ยงใส่เทพตรงหน้าเต็มแก่ ฟาเบียนหน้าซีดเผือดและหันไปหาความช่วยเหลือจากเซย์เรียโน่ แต่เด็กหนุ่มกลับยกมือพร้อมส่ายหัวเป็นเชิงบอกว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา และไม่มีใครได้ยินเสียงพวกเขาเสียด้วย เพราะทั้งห้องถูกอาบด้วยมนต์กั้นเสียงตั้งแต่ก่อนพวกเขาจะเข้ามาแล้ว

“ใช่” ฟาเบียนยอมรับออกไปในที่สุด “แต่ข้าไม่ได้คาดเดาล่วงหน้าหรอกนะ เพิ่งมาคิดได้ตอนที่สิงโตอสูรบุกโจมตีตำหนักของเจ้า เพราะเป้าหมายของมันคือเทพจันทราตนนั้น”

“เจ้าไม่บอกข้าสักคำ เจ้าให้ข้าขวนขวายหาทางปกป้องสวรรค์ตัวเอง!” ไคซัสพูดเสียงเหี้ยม ขบฟันด้วยความโกรธจนกรามแทบแตก ผิวกายสีแดงเข้มขึ้นจากแรงอารมณ์นั้น

“มันเป็นหน้าที่ของเจ้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ” เพราะเป็นมหาเทพจ้าวสวรรค์หรือไรไม่ทราบ ฟาเบียนจึงพูดแบบนี้ “เรมันต์ที่ก่อเหตุซ้ำหลังจากนั้นไม่นานก็ทำให้ข้าไขว่เขวด้วย ข้าเพิ่งจะมั่นใจว่านางเป็นร่างทรงของเฮสเลนในวันนี้เอง เพราะข้ารู้สึกถึงพลังของเขา”

“แต่เจ้ารู้ไหมว่าการที่เจ้าไม่เตือนข้าล่วงหน้า ทำให้ข้าเอาของขึ้นมาสังเวยมันถึงที่ แบบนี้มิอันตรายกว่าหรือ!” มหาเทพสงครามสวนกลับอย่างเผ็ดร้อน เพราะเขาเคยให้ฟาเบียนดูหน้านาซิลลา เพื่อดูปฏิกิริยาและกระตุ้นเตือนให้รู้ว่าเขาระแคะระคายสงสัยเรื่องของเด็กสาวผู้นั้น แต่เจ้าเด็กหลงอำนาจหัวทองนี้กลับปิดเงียบไม่บอกกันสักคำเดียว เพราะอย่างนี้แหละเขาถึงได้ไม่ชอบราชาแห่งฟ้าตนนี้นัก “เจ้ารู้ตัวไว้เถอะ ทุกอย่างวุ่นวายก็เพราะความอมพะนำของเจ้านั่นแหละ!”

“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาว่าโทษข้าแต่เพียงผู้เดียวนะ เจ้าสาบานกับข้าแล้วว่าจะปกป้องสวรรค์ให้ได้ เจ้ามีคนที่เชื่อมโยงไปถึงอันตรายใหญ่หลวงตั้งมากมาย แต่กลับไม่ใช่ประโยชน์เสียนี่ เทพที่เจ้าหวงหนักหนานั่นยอมพูดหรือยังล่ะ ว่าเป็นใครน่ะ!”

วาจาที่พรั่งพรูออกมาเปรียบได้กับสายฟ้าฟาดกลางหัวใจไคซัส เทพอสูรตัวชาวาบและยืนแข็งทื่อจ้องหน้ามหาเทพสวรรค์นิ่ง แม้แต่เซย์เรียโน่ยังอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนกุมขมุบพลางนึกด่าทอฟาเบียนอยู่ในใจ ตอนนี้อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด!

“โฮ่! ดูเหมือนเจ้าจะเตรียมการพร้อมเหมือนกันนี่นา ฟาเบียน” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบสะกิดให้ฟาเบียนรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปอีกหน ราชาแห่งฟ้ามองหน้ามหาเทพสงครามแล้วต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเกล็ดประกายสีขาววิบวับในแก้วตาสีส้มซึ่งจะปรากฏในเวลาที่เจ้าตัวโกรธสุดขีด

“เจ้ารู้อยู่แล้ว...” ไคซัสแค่นยิ้ม ไม่รู้จะขำ...สมเพชตัวเอง หรือทั้งสองอย่างดี “นั่นสินะ เจ้าควรจะรู้อยู่แล้ว เพราะเจ้าเป็นคนอนุมัติเลื่อนขั้นให้ฮาธอส ถึงเจ้าจะปกปิดตัวตนได้ แต่ไม่มีทางปิดซ่อนอดีตจากเจ้าได้ เจ้ารู้เรื่องพลังมืดแปลก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในสวรรค์ด้วยแล้วใช่ไหม”

“ข้าเพิ่งรู้เรื่องนี้ในวันที่ท่านตรวจสอบเขตแดน แต่...”

มหาเทพสงครามยกมือห้ามแล้วพยักหน้าน้อย ๆ “แต่เรื่องอื่นเจ้ารู้มานานแล้ว...เจ้าหลอกใช้ข้า...”

“ไม่ใช่! เพราะข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนเดียวทีรับมือกับเรื่องนี้ได้ต่างหาก เฮสเลนจัดการกับขุนศึกในกองทัพสวรรค์ไปหลายตน พวกเรากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงเกิดสงครามได้เสมอ ข้าไม่อาจเสี่ยงเสียใครไปได้อีก” ผู้ปกครองสวรรค์ตั้งใจจะอธิบาย แต่ยิ่งพูดเท่าไหร่ ความหมายของคำพูดยิ่งสื่อถึงการหลอกใช้มากขึ้นเท่านั้น ขุนพลเทพส่ายศีรษะอย่างเวทนาสุด ๆ “ไคซัส...”

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำตามที่สาบานกับเจ้าไว้ ปกป้องสวรรค์...” เทพอสูรหนุ่มตวัดตามองอีกฝ่ายอย่างเฉียบขาดก่อนประกาศิต “แต่ด้วยวิธีการของข้า ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็จะไม่มีใครขัดขวาง หรือซ้อนแผนอะไรอีก เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าพูดใช่ไหม ฟาเบียน”

“เจ้าพูดแบบนี้ก็เพราะต้องการปกป้องเทพที่ชื่อฮาธอสนั่นใช่ไหม!” ฟาเบียนทำหน้าไม่เข้าใจเอาเสียเลย “เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว เทพตนนั้นเป็นน้องชายของเฮสเลนนะ ที่ผ่านมาไม่เคยแสดงตัวตนชัดเจน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจบ้าง เจ้าแค่หาข้อมูลจากเขาแล้วเขี่ยทิ้งไป...!”

วาจาของมหาเทพจ้าวสวรรค์มีอันต้องขาดหายไปในเสี้ยววินาทีที่ไคซัสปลดปล่อยจิตสังหารออกมา! บรรยากาศของห้องเย็นยะเยือกและเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล ความกระหายการฆ่าฟันที่แฝงอยู่ในจิตนั้นรุนแรงขนาดเซย์เรียโน่ซึ่งไม่เคยกลัวใครยังถอยหนีอย่างลืมเลยทีเดียว

“เขี่ยทิ้ง?” ปลายเสียงของไคซัสตวัดขึ้นสูงส่อแววอันตราย “ตราบใดที่ความคิดของเจ้ายังเป็นแบบนี้ ถึงข้าจะอธิบายความตั้งใจของเด็กคนนั้นไปก็เปล่าประโยชน์ ฉะนั้นข้าจะพูดแบบนี้แทน ถ้าขัดขวางข้าก็เท่ากับเป็นศัตรูกับเผ่าอสูร ตอนนี้ข้าอาจเป็นมหาเทพสงครามที่มีหน้าที่ปกป้องสวรรค์ แต่เจ้าคงไม่ลืมว่าข้าเป็นราชาอสูรมาก่อนและยังเป็นอยู่จนกว่าไคมีร่าจะนั่งบัลลังก์อย่างเป็นทางการด้วย ถ้าคิดว่าคราวนี้ข้าจะยอมให้อีกก็ลองดู”

มหาเทพจ้าวสวรรค์ยืนกำหมัดแน่น เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ อย่างไรเสียฟาเบียนก็เป็นมหาเทพจ้าวสวรรค์ที่รักในศักดิ์ศรีและความสูงส่งของชาวเทพอย่างยิ่ง เมื่อถูกเทพอสูรที่มีฐานะต่ำกว่าข่มขู่ด้วยท่าทางของราชาที่งามสง่ากว่าเขาจึงรู้สึกเสียศักดิ์ศรี แต่เรื่องของการเมืองก็ซับซ้อนและประมาทไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นเขายังต้องการกำลังของไคซัสอยู่จึงไม่มีทางเลือกอื่น ทว่าพอจะออกปากขานรับ เสียงกลับไม่ยอมหลุดจากคอ

“ขอโทษทีนะ” เสียงเล็กดึงความสนใจของผู้ใหญ่ทั้งสองตนไปยังเด็กหนุ่มอีกตน เซย์เรียโน่ยกมือเสมอบ่าเป็นเชิงขออนุญาต “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะขัดหรอกนะ แต่บังเอิญนึกขึ้นมาได้ มหาเทพไคซัสทราบได้อย่างไรว่านาซิลลาเป็นร่างทรงเทพรัตติกาล”

“จากบันทึกปกดำ”

“แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ห้องทำงานของท่านถูกระเบิดจนเสียหาย มันคงไม่ได้เสียหายไปด้วยหรอกนะ” น้ำเสียงของเซย์เรียโน่มีรอยกังวลเล็กน้อย เพราะบันทึกนั้นเป็นของตกทอดมาจากขุนพลเทพอันดับห้ารุ่นก่อน ถ้าเสียหายก็จะข้อมูลสำคัญบางอย่างที่ไม่มีบันทึกในเล่มอื่นจะหายไปทันที

“ไม่ มันอยู่ในกล่องที่ได้รับการผนึกเวทป้องกันอย่างดี แต่ข้าเอา...”

ไม่ว่าไคซัสตั้งใจจะพูดอะไรต่อไป เสียงของเขาก็ขาดหายไปในห้วงแห่งความตกใจ ร่างสูงหมุนกายไปทางปราสาทประมุขแล้วหายตัวไปพร้อมจิตสังหาร ทิ้งให้ฟาเบียนยืนงงอยู่ที่เดิมก่อนจะร้องโอ๊ยดังลั่นเมื่อขุนพลเทพอันดับห้าวิ่งมาเตะหน้าแข้งอย่างแรง!

“เจ้าบ้าเอ๊ย! เจ้าเป็นมหาเทพจ้าวสวรรค์ที่งี่เง่าที่สุดเลย! พูดไม่รู้จักคิด ดีเท่าไหร่ที่เขาไม่ละทิ้งหน้าที่น่ะ!” เด็กหนุ่มโวยวายดังกึกก้องแล้วเสริมก่อนคำโต้เถียงจะหลุดจากปากฟาเบียน “อย่านะ! อย่าโทษไคซัสฝ่ายเดียว เขาแค่ทำหน้าที่ของเขา ไอ้คนที่เอาแต่อมพะนำเพื่อหลอกใช้ความสามารถของเขาก็คือ ‘เจ้า’ ถ้าเจ้าอยากได้กำลังของไคซัสมาปกป้องสวรรค์ก็หัดทิ้งศักดิ์ศรีบ้าคอคอแตกซะ แล้วก้มหัวขอร้องเขาเสียบ้าง!”

“เซย์เรียโน่!” ฟาเบียนเอ่ยอย่างไม่พอใจทันที ขุนพลเทพอันดับห้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เพราะราชาเทพถูกเลี้ยงดูมาเพื่อเป็นกษัตริย์ผู้ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของสวรรค์ เพื่อสัญลักษณ์ความสูงส่งของชาวเทพ ถึงที่ผ่านมาจะคอยช่วยเหลือไคซัสเพียงใด สุดท้ายก็ไม่มีวันก้มหัวให้กับเทพอสูรต่ำชั้นกว่าเด็ดขาด อย่างนี้แหละ เขาถึงได้เกลียดนัก

“พอกันที เจ้ากลับไปนั่งบัลลังก์เป็นตุ๊กตาอย่างเดิมเถอะ ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว ต่อจากนี้พวกข้าจะจัดการกันเอง” เซย์เรียโน่โบกมือไล่อย่างสุดจะทนขณะเดินไปที่ประตู

“แต่เจ้ายังมี ‘งานอื่น’ ที่ต้องทำไม่ใช่หรือ” ราชาเทพหันตามมาแย้ง

“เวลานี้เจ้ายังจะห่วงเรื่องนั้นอีกเรอะ!” ขุนพลเทพอันดับห้าเบือนหน้ามาตวาดใส่ แต่พอเห็นสีหน้าว่าไม่เข้าใจว่าตนทำอะไรผิดไปของอีกฝ่าย เขาก็พ่นลมเฮือกสั้น ๆ “ช่างมัน! เจ้ามันเกินเยียวยาแล้วนี่นะ ไม่ต้องห่วง ไอ้คนที่เจ้าอยากกำจัด มันต้องหายไปจากโลกนี้แน่ แต่จำไว้เถอะ ว่าเจ้าคือคนที่ทำให้ทุกอย่างวุ่นวายและเรื่องนี้จะใหญ่กว่าที่เจ้าคิด!”

พูดจบเทพหนุ่มก็ออกจากห้องไปทิ้งท้ายไว้เพียงเสียงปิดประตูอย่างแรง

-------------------

ทางด้านฮาธอสนั้น หลังจากพวกไคซัสออกไปแล้ว เทพหนุ่มก็กลับมานั่งที่เดิมและจ้องมองบันทึกปกดำกับกล่องใส่ชิ้นส่วนของเฮสเลนนิ่ง คำถามากมายประดังประเดเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย พี่ชายของเขาทำลายผนึกจากภายในตั้งแต่ตอนไหน มือข้างนี้หลุดจากร่างกายเจ้าตัวได้อย่างไร ใช้วิธีไหนจึงเล็ดลอดจากสวรรค์ไปลอบสังหารมหาเทพสงครามถึงวังอสูรได้ สำคัญที่สุดคือ เฮสเลนสามารถเข้าทรงนาซิลลาโดยสมบูรณ์ได้อย่างไร

ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบมองสมุดสีดำที่วางอยู่ข้างกล่องมือของพี่ชาย ถ้าหากว่าสิ่งที่ไคซัสคิดสามารถยืนยันได้ด้วยข้อมูลที่อยู่ในบันทึกเล่มนั้น ไม่แน่ว่ามันอาจจะมีคำตอบให้เขาก็ได้ อย่างน้อยก็เรื่องของนาซิลลา แน่นอนเขารู้ว่าการแอบดูบันทึกปกดำเป็นเรื่องต้องห้ามและมีโทษถึงขั้นประหาร แต่มาถึงจุดนี้แล้วเขาก็อยากเข้าใจทุกอย่างให้กระจ่างชัด เผื่อว่าจะสามารถหาทางช่วยเหลือเด็กสาวผู้นั้นกลับมาได้

หลังรวบรวมความกล้าเรียบร้อยแล้ว ฮาธอสก็หยิบบันทึกปกดำเล่มนั้นมาไว้บนตัก จากนั้นจึงวางมือลงบนหน้าปกโดยไม่เกิดปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ บางทีไคซัสอาจจะลืมปิดผนึกมันไว้...หรือไม่ก็จงใจทิ้งไว้แบบนี้ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นแบบนี้ด้วยเหตุผลใด ชายหนุ่มก็วางมือลงบนหน้าปกและอธิษฐานด้วยอำนาจของตน

ครู่ต่อมาบันทึกต้องห้ามแห่งสวรรค์ก็เปิดออกและนำพาเทพคนสวนสู่เรื่องราวที่เขาอยากจะรู้ที่สุด!

--------------

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
«ตอบ #72 เมื่อ07-09-2013 18:59:34 »

ในที่สุดไคซัสก็กลับมาอีกครั้ง ร่างสุงใหญ่ปรากฏตัวราวกับก้าวออกมาจากความว่างเปล่าตรงหน้าประตู เขาถึงกับชะงักงันเมื่อเห็นฮาธอสกำลังนั่งดูภาพสามมิติที่ถูกฉายจากบันทึกปกดำบนตักเจ้าตัว และมันยังเป็นเรื่องที่เทพอสูรหนุ่มไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นมากที่สุดอีกด้วย

“ปิดซะ!”

คำประกาศิตที่โพล่งออกไปอย่างแข็งกร้าว ทำให้ชายหนุ่มผมสีทองสะดุ้งโหยงพร้อมบันทึกปกดำที่ปิดตัวเองดังฉับ ฮาธอสหันมามองด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด ดวงตาที่เบิ่งกว้างด้วยความตื่นตระหนกนั้นบ่งชัดว่าเขารับรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้เข้าแล้ว

“บ้าชะมัด!” ไคซัสเดินเข้าไปหยิบหนังสือสีดำเล่มนั้นกลับและทำให้มันปิดผนึกอย่างแน่นหนาอีกครั้ง “ทำไมถึงทำอะไรบ้า ๆ อย่างนี้ ฮาธอส เจ้ารู้ไม่ใช่หรือว่าการดูบันทึกปกดำเท่ากับมีโทษตายน่ะ!”

“แต่...ข้าอยากรู้เรื่องให้มากกว่านี้” น้ำเสียงของฮาธอสสั่นพร่า สีหน้ากับท่าทางไม่ดีเอาเสียเลย เทพอสูรหนุ่มทรุดตัวลงมาดูใกล้ ๆ ก็รู้ชัดทันทีว่าสิ่งที่บันทึกไว้ช็อกอารมณ์เจ้าตัวมากทีเดียว “เทียบกับเหตุการณ์เมื่อพันปีก่อนแล้ว ข้าแทบไม่รู้อะไรเลยนะขอรับ ในฐานะที่ข้าเป็นผู้เกี่ยวข้องมาแต่ต้น ข้ามีสิทธิ์ที่รู้...”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าควรจะรอข้ากลับมาก่อน การอ่านบันทึกปกดำเอาเองแบบนี้เท่ากับฆ่าตัวตายชัด ๆ!” ไคซัสตำหนิแล้วนิ่งไปหลังเห็นท่าทางปวดร้าวของอีกฝ่าย เขาจึงจับมือเทพคนสวนไว้ เพราะเข้าใจดีกว่าสิ่งที่เพิ่งรับรู้นั้นโหดร้ายเพียงใดสำหรับเขา “ถ้าเจ้าถามข้า ข้าก็จะเล่า”

แต่เทพคนสวนส่ายศีรษะแรงสองสามครั้ง “มหาเทพไคซัสคอยกันข้าออกจากเรื่องนี้ ท่านไม่ยอมเล่าให้ข้าฟังทั้งหมดแน่” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่เอ่อล้นขึ้นมาจนควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้ “ข้ามันโง่เอง ทั้งที่นาซิลลาอยู่กับข้ามานาน รู้มาตลอดว่านางถูกคุกคามจากความมืด แต่กลับไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า ‘ร่างทรงเทพรัตติกาล’ คิดแต่ว่านางสื่อสารกับความมืดในฐานะเทพจันทราและมีคนพยายามจะครอบงำนาง...”

“นางถูกครอบงำจริง ๆ นะ ฮาธอส เรื่องนี้เป็นฝีมือของเฮสเลนทั้งหมด นาซิลลาเป็นแค่เหยื่อเท่านั้น” มหาเทพสงครามดึงดันจับมือฮาธอสไว้อีกที ที่เป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในเวลานี้

“มหาเทพไคซัส ในบันทึกปกดำเขียนไว้ว่าในวันเดียวกับที่นาซิลลาอุบัตินั้น ทหารประจำประตูเหนือยืนยันว่าจับสัมผัสอำนาจมืดเข้มข้นที่ทำให้หนาวสันหลังได้จากแดนร้าง แต่มันปรากฏขึ้นเพียงแวบเดียว ก่อนจะมีคนเห็นลูกไฟสีเงินพุ่งไปทางทิศตะวันตก”

เทพคนสวนยอมสบสายตากับมหาเทพสงครามจนได้ ใบหน้าของเขามีแต่ความสิ้นหวังและเสียใจขนาดไคซัสอย่างตระหนก ฮาธอสเอามือกุมอกเสื้อเหนือหัวใจของตนด้วยความปวดร้าว

“นั่นคือพลังหรือไม่ก็จิตวิญญาณของท่านพี่อย่างแน่นอน ข้ารู้เพราะหัวใจของข้าเต้นแรงเหมือนตอนเห็นกล่องใส่มือของท่านพี่ ดูเหมือนข้ากับเขาจะยังมีเยื่อใยกันอยู่จึงบอกให้รู้ด้วยวิธีนี้ เพราะอย่างนั้นข้ามั่นใจ ท่านพี่ต้องเลือกนาซิลลาไว้แต่แรกแล้ว หากโชคร้ายนางอาจจะเป็น ‘ร่างแยก’ ของเขาด้วย” เทพหนุ่มซบหน้ากับสองมือ “ท่านพี่พยายามครอบงำนาซิลลามานานแล้ว แต่ยังทำไม่ได้เพราะมีนาซิลลาใช้ข้าเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่แล้วข้ากลับทำให้นางเป็นทุกข์จนตกหลุมพลางของท่านพี่ไปจนได้ เป็นเพราะข้าเอง...เพราะข้าเอง...”

สิ่งที่ฮาธอสพูดออกมานั้นตรงกับความคิดของไคซัสจนน่ากลัว แต่เขาตัดสินใจเก็บไว้จนกว่าจะได้ตัวนาซิลลามาพิสูจน์ความจริง และตั้งใจรอจนกว่าจะถึงเวลานั้นจึงค่อยบอกกับฮาธอส แต่เพราะความรีบร้อนประอบกับความสะเพร่าของตนเองที่ลืมบันทึกปกดำไว้จนกลายเป็นแบบนี้ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาโกรธที่สุดนั้นกลับเป็นวาจาในช่วงท้าย ๆ นั่นมากกว่า มันเหมือนกับว่าเขาเป็นคนบีบให้ฮาธอสต้องปฏิเสธนาซิลลาเช่นนั้น

“ระยำเอ๊ย!”

ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในห้องนั้น ไม่เว้นแม้แต่ฮาธอสล้วนสะท้านไหนเพราะเสียงสบถอันดังกึกก้องนั้น เทพคนสวนหลับตาแน่นเมื่อไคซัสลุกขึ้นด้วยท่าทางมาดร้าย เสียงทำลายข้าวของดังโครมครามสอดแทรกด้วยคำสบถหยาบคายนับไม่ถ้วน พวกองครักษ์เข้ามาดูด้วยความตกใจ ทว่าไม่ทีใครกล้าเข้าไปห้าม

แต่ท่ามกลางกระแสความกราดเกรี้ยวที่ปะทุออกมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด ฮาธอสกลับสัมผัสความเศร้าที่ฝังแน่นอย่างไม่อาจลบเลือน ท่าทางของเจ้าตัวก็เหมือนเสือที่อาละวาดด้วยความปวดร้าวสุดจะทน มหาเทพสงครามผู้ทระนงเป็นแบบนี้เพราะคำพูดของเขารึ?

“มหาเทพไคซัส” ฮาธอสร้องเรียกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หวังหยุดอีกฝ่ายไว้ก่อนและก็ได้ผลเสียด้วย

มหาเทพสงครามยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนยกมือขึ้นโบกไล่พวกองครักษ์ออกไปให้หมด เมื่อประตูหับกับวงกบแล้วจึงค่อยหันกลับมาเผชิญหน้ากับฮาธอส ชายหนุ่มถึงกับอึ้งหลังเห็นแววเจ็บล้ำลึกในดวงตาสีส้มคู่นั้น

“เจ้าเสียใจที่เลือกข้าหรือ” น้ำเสียงทุ้มต่ำสั่นพร่าอย่างควบคุมไม่ได้

“มะ...ไม่ใช่นะขอรับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด” ฮาธอสรีบลุกไปหาไคซัสโดยไม่สนใจเลยว่าจะเหยียบโดนอะไรบ้าง “ข้าไม่เคยเสียใจที่มีความรู้สึกดี ๆ กับท่าน ท่านเองก็ดีต่อข้าอย่างมากมาย แต่ข้าเสียใจที่ช่วยเหลือนาซิลลาไม่ได้ต่างหาก ดังนั้นข้าขอร้องท่านล่ะขอรับ อย่าเสียใจเพราะข้าอีกเลย”

เทพคนสวนจับมือมหาเทพสงครามมาวางบนอก น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงบนแขนข้างหนึ่ง มีเทพที่ต้องเจ็บปวดจากการกระทำของเขามามากเกินไปแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่ปรารถนาให้ไคซัสต้องเป็นเช่นนั้นอีกคน

“ถ้าอย่างนั้น...หากข้าสั่งให้เจ้าลืมเรื่องนี้เสีย เพื่อตัวของเจ้าเอง เจ้าจะทำไหม”

ร่างสูงโปร่งนิ่งไปเล็กน้อย “ไม่ขอรับ” ฮาธอสปฏิเสธอย่างชัดถ้อยชัดคำ ในเมื่อเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกก็สมควรจะรับผิดชอบต่อไปจนจบ “ให้ข้าช่วยเถิดขอรับ ข้าจะเป็นกำลังให้ท่านในการกำจัด....เฮสเลน!” คำสุดท้ายนั้นเค้นออกมาด้วยกำลังใจทั้งหมด

ความเงียบลอยอ้อยอิ่งระหว่างเทพหนุ่มทั้งสองตน ดวงตาต่างสีสันจ้องมองกันและกันประหนึ่งต้องการยืนยันความคิดของตนที่ค้านกับอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในที่สุดไคซัสก็เป็นฝ่ายละสายตาไปก่อน เขาถอนใจเฮือกใหญ่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับเทพผู้นี้ดี

“เจ้านี่นะ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เจ้าจะทุ่มเทโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลย” เทพอสูรหนุ่มเลื่อนสองมือขึ้นมาประคองแก้มนิ่มไว้ในอุ้งมือ “ฮาธอส เรื่องนี้อันตรายมากเลยนะ ตัวเจ้าเองก็ยังไม่หายดีด้วย ถือว่าทำเพื่อข้าได้ไหม”

“เอ๊ะ” ฮาธอสร้องอย่างประหลาดใจ

“ข้าอยากให้เจ้าคิดถึงความรู้สึกของข้า หัวใจของข้าแทบแตกสลายทุกครั้งที่เห็นเจ้าได้รับบาดเจ็บ ยิ่งเห็นเจ้าเป็นทุกข์ก็ยิ่งทรมานใจ” ใบหน้าคร้ามเข้มโน้มลงมาจรดหน้าผากชายที่รักอย่างเว้าวอน สองแขนตระกองกอดร่างบางกว่าอย่างเบามือ “ถือว่าทำเพื่อข้าเถอะนะ ให้ข้าได้ปกป้อง ‘หัวใจ’ ของข้าเถอะ ข้าคงทนไม่ได้หากว่าเจ้าเป็นอะไรไป”

คำขอร้องที่เต็มไปด้วยความปรารถนาแรงกล้านั้นสร้างความหวั่นไหวให้กับฮาธอสไม่น้อย แต่พร้อมกันนั้นมันก็ทำให้เขาฉุกขึ้นขึ้นมาได้ ตั้งแต่เกิดเรื่องมาเขาก็เอาแต่คิดถึงเรื่องของเฮสเลนกับนาซิลลาและสวรรค์เพียงอย่างเดียวจนลืมนึกความรู้สึกของมหาเทพสงครามไปเสียสนิท

ทว่าเขาจะทำเรื่องเห็นแก่ตัวแบบนั้นได้อย่างไร ให้ที่เขารักคอยปกป้องในขณะที่ตัวเองนั่งรอเฉย ๆ เป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุด อีกอย่างถ้าเป็นการทำเพื่ออีกฝ่ายจริง ๆ ล่ะก็...เขาควรช่วยถึงจะถูกต้อง

“มหาเทพไคซัสคงทราบแล้วว่าข้าทำไม่ได้...” ฮาธอสหลุบตาต่ำ ตัดสินใจเจรจาอีกครั้ง เพราะเขายังเหลือไพ่ตายใบสำคัญอยู่ “ข้าเป็นคนเดียวที่รู้ที่ซ่อนร่างของท่านพี่ ข้าจะเป็นคนนำทางท่านไปเอง และจะคอยเป็นโล่ให้ท่านด้วย นี่ต่างหากที่เป็นการทำเพื่อท่านจริง ๆ”

ไคซัสฟังที่อีกฝ่ายพูดมาแล้วก็รู้สึกสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็เข้าใจความคิดของเจ้าตัวจนถึงแก่น บุรุษผู้นี้มีจิตใจที่อ่อนโยนและงดงามจนเกินไป เคยชินกับการทำเพื่อคนอื่นจนลืมวิธีเห็นแก่ตัวไปเสียแล้ว ความสูงส่งของจิตใจนั้นทำให้เขารู้สึกว่าปกปกป้องอีกฝ่ายไว้ด้วยความรู้สึกส่วนตัวเป็นสิ่งผิด ทว่า...มหาเทพสงครามก็ตัดสินใจแล้ว

“ขอบใจสำหรับความหวังดีนะ เจ้าเป็นเทพที่ดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา” หลังกล่าวด้วยสีหน้าอับจน ไคซัสก็จูบริมฝีปากของฮาธอสอย่างดูดดื่ม

ทว่านี่ไม่ใช่จูบธรรมดา ชั่วขณะที่ฮาธอสหลงเคลิ้มกับสัมผัสหวานแต่เร่าร้อนนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงความเย็นที่ไหลลื่นลงคอมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขารีบบิดหน้าออกในทันทีนั้น แต่มือที่ใหญ่และแกร่งเหมือนกรงเล็บของอีกฝ่ายกลับจับศีรษะเขาไว้แน่น แล้วประคองหลังคอขึ้นรับพลังนั้นให้ถนัด ร่างกายที่หนักอึ้งอยู่แล้วหมายวับไปในพริบตา สติถูกฉุดคร่าสู่ห้วงนิทราโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะขัดขืน

แต่ก่อนสติจะดับวูบไปนั้น ฮาธอสเห็นความทรงจำวิ่งผ่านไปเหมือนวีดีโอที่ถูกถอยหลังด้วยความรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทำไมล่ะ...ทั้งที่เขาอยากจะช่วยแท้ ๆ

...ทำไมถึงกับกับข้าเยี่ยงนี้...

ไคซัสผละออกมาหลังจากนั้นไม่นานนัก ซึ่งฮาธอสหลับใหลด้วยพลังของเขาเรียบร้อยแล้ว มือใหญ่ไล้แก้มบางของชายที่รักอย่างเบามือ อีกฝ่ายคงไม่รู้เลยว่าในยามหลับดูน่าถนอมขนาดไหน ราวกับตุ๊กตากระเบื้องที่พร้อมแตกหักหากจับต้องอย่างไม่ระวัง มหาเทพสงครามจึงทำแบบนี้เพื่อปกป้องเจ้าตัวไว้ก่อนจะทำให้ตัวเองแหลกสลายเพื่อผู้อื่นที่ไม่เห็นค่าของเขาเลย

“ขอโทษนะ” เทพอสูรหนุ่มวางศีรษะกับบ่าของคนที่กำลังหลับ “เมื่อเจ้าตื่นมาคงจะโกรธที่ข้าทำแบบนี้ แต่ข้าทำไปก็เพื่อปกป้องเจ้า ต่อจากนี้ไปข้าจะทำหน้าที่แทนเจ้าทุกอย่าง เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ถูกวางแผนไว้แต่แรก ส่วนเจ้าจงรออยู่ที่นี่...รอจนกว่าข้าจะกลับมานะ...”

มหาเทพสงครามไม่รู้หรอกว่าเสียงของตนจะส่งถึงฮาธอสหรือไม่ เขาจูบแก้มบางเป็นครั้งสุดท้าย...แทนคำอำลาโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย ร่างของเทพคนสวนเรืองแสงสีแดงวูบหนึ่ง เพื่อยืนยันว่าพลังเทพอสูรที่อยู่ในตัวเทพคนสวนยังสำแดงฤทธิ์เต็มที่ และหลังจากกางเขตอาคมด้วยมนต์ป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว ไคซัสก็หยิบหนังสือปกดำแล้วออกไปพบกับเซย์เรียโน่ที่ยืนรออยู่กับพวกองครักษ์ เด็กหนุ่มมองเขาด้วยสายตาอ่านไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ยินอะไรบาง ทว่ารอบนี้ขุนพลเทพอันดับห้าก็มีมารยาทพอที่จะไม่กล่าวถึง

“ของเจ้า” ไคซัสยัดหนังสือสำคัญคืนเจ้าของ “ฟาเบียนล่ะ”

“กลับไปเมื่อครู่นี้เอง ต่อจากนี้พวกเราต้องจัดการกันเองทั้งหมด เขาจะไม่ยุ่งด้วย” เซย์เรียโน่ทำหน้าเป็นการเป็นงานให้เห็นครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักกันมา เมื่อเป็นเรื่องของหน้าที่เจ้าเด็กนี่ก็ทำดี ๆ ได้เหมือนกันนี่นา

“ดี! ข้าจะได้ไม่ต้องพะวงอะไรอีก” ไคซัสวางมือบนชุดที่สวมแล้วเปลี่ยนเป็นชุดเกราะด้วยเวทมนต์ สร้อยร้อยหอกอัลเจอร์ที่ย่อขนาดไหวปรากฏสวมคอเขาในพริบตา มันส่องประกายวาววับราวกับจะบอกว่าพร้อมสำหรับการต่อสู้แล้ว พวกงอครักษ์รีบตั้งแถวเตรียมพร้อมถูกใช้งาน

“เซบาสเตียนไปบอกให้ทหารข้างนอกคุ้มกันตำหนักให้แน่นหนาขึ้นและให้คนไปบอกให้อัลวินกับทหารที่ออกไปตามหานาซิลลาไปรอข้าที่ประตูฝั่งเหนือ” ไคซัสออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด เซบาสเตียนรับคำและวิ่งไปทันที ขณะมหาเทพจ้าวตำหนักหันไปหาแขกของตน “ส่วนเซย์เรียโน่ช่วยไปที่กองบัญชาการกองทัพสวรรค์ บอกให้เสนาธิการอิวส์ที่เตรียมอยู่ที่นั่นคุมทหารหนึ่งกองพันไปคุ้มกันเสาเขตแดนที่ถูกทำลายโดยด่วน ให้เสนาธิการรอสคุมกองทัพสวรรค์อีกหนึ่งกองพันไปรักษาทวารดิน หากเกิดอะไรขึ้นให้รีบมารายงานและจัดการตามสมควรไปก่อน แต่ถ้าร้ายแรงให้ขุนพลเทพเป็นผู้บัญชาการ ส่วนที่เหลือให้เตรียมพร้อมรับเหตุฉุกเฉิน แจ้งให้จ้าวตำหนักกับวิมานสำคัญได้ทราบเรื่องนี้ด้วย”

“เฮ้ย ๆ ไม่มากไปหน่อยเรอะ” เซย์เรียโน่วิ่งตามเทพอสูรที่ออกเดินไป

“ไม่หรอก อีกฝ่ายเป็นศัตรูเก่าที่เคยมีเป้าหมายจะทำลายสวรรค์ เราไม่รู้ว่าช่วงที่มันหายตัวไปทำอะไรไว้บ้าง รอบคอบไว้ก่อนจะดีที่สุด” มหาเทพสงครามแจงไปตามความจริง “และถ้าเจ้าดึงขุนพลเทพว่าง ๆ มาช่วยเรื่องนี้ได้จะดีมาก เพราะถ้าเขตแดนถูกทำลายอีกก็มีแต่พวกเจ้าที่อุดได้”

“แล้วท่านจะไปไหน รู้แล้วหรือว่า ‘เป้าหมาย’ อยู่ที่ไหนน่ะ” เซย์เรียโน่ตะโกนถามก่อนมหาเทพสงครามจะก้าวลงบันไดพอดี ร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งเหมือนปราการที่ไม่มีวันสะทกสะท้าน ชักไม่มั่นใจแล้วว่าเจ้าตัวจะตอบไหม

“รู้แล้วและข้ากำลังจะไปที่นั่น ถ้าเจ้าอยู่ถึงตอนฮาธอสตื่นขึ้นมาช่วยบอกเขาด้วยว่า ข้าจะพานาซิลากลับมาให้ได้และ...ฝากดูแลที่นี่ด้วย”

สิ้นเสียงมหาเทพสงครามก็เดินจากไป โดยไม่เหลียวกลับมามองเบื้องหลังอีกเลย เหล่าองครักษ์ประจำตำหนักติดตามไปไม่ห่าง เซย์เรียโน่ก็ได้แต่ยืนยืนมองพวกเขาอยู่ที่เดิมจนกระทั่งรู้สึกว่าพลังของเทพอสูรหนุ่มเคลื่อนตัวออกจากตำหนักไปแล้วค่อยขยับ

แต่ในตอนที่กำลังเดินตรงไปที่บันไดนั้น จู่ ๆ ก็เกิดอาการเจ็บที่หน้าอกข้างซ้ายอย่างรุนแรง ร่างเล็กทรุดฮวบและร้อนฉ่าเหมือนถูกไฟเผาจากข้างใน หัวใจเต้นตึกตักจนได้ยินเสียงอย่างชัดเจน อำนาจในกายปั่นป่วนจนเหมือนมีไฟลุกออกมาจากตัวเขา เซย์เรียโน่กัดฟันแน่นไม่ให้เผลอกรีดร้องออกมา เขารู้จักอาการนี้ดีและไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพของตัวเองในตอนนี้ด้วย!

“ซะ...เซย์เรียน...โผล่มาได้จังหวะทุกทีเลยนะ” เขาบ่นพลางหลับตาลง จิตถูกดึงดูดให้ไปพบกับเด็กสาวที่มีใบหน้าเหมือนเข้าทุกกระเบียดนิ้ว เธอแย้มยิ้มบางจนแทบมองไม่เห็น แต่ยังพอรับรู้อารมณ์ได้จากแววตา เด็กหนุ่มยืนนิ่ง แววตาไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เมื่อร่างบางเดินมาจับแก้มเขา

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบใจ แต่ถึงเวลาแล้ว ต่อจากนี้ไปให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ"


------------------

แปบๆ มองจำนวนตอน ใกล้จะจบแล้วนะเนี่ย

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang อีกไม่นานก็จะทราบครับ ^ ^

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 17 up 07/09/13
«ตอบ #73 เมื่อ07-09-2013 19:18:07 »

อ่านตอนนี้แล้วไม่ชอบฟาเบียนอย่างแรง

เพราะผู้ปกครองเป็นอย่างงี้ไง พวกเทพคนอื่นเลยทำตัวใหญ่คับฟ้า ไม่เห็นหัวใคร

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 17 up 07/09/13
«ตอบ #74 เมื่อ08-09-2013 00:48:13 »

มึนต่อไป
แค่เฮสเลนตัวเดียวยังปั่นป่วนอย่างนี้
เฟเบี้ยนไม่มีปัญญาสู้เองหรือ

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 17 up 07/09/13
«ตอบ #75 เมื่อ08-09-2013 23:10:36 »

บทที่ 18 ใจกลางแดนร้าง

นอกจากมหานครแห่งสวรรค์อันเปรียบได้กับเมืองหลวงแล้ว สวรรค์ยังมีดินแดนอื่นอีกมากมายที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าเมฆแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของชาวเทพ มีความหลากหลายด้านเผ่าพันธุ์และวัฒนธรรม แต่ทั้งหมดนั้นยังคงอยู่ภายใต้การปกครองขององค์ราชากับกฎสวรรค์เดียวกัน

ยกเว้น...แดนร้าง ดินแดนแห่งความแร้นแค้นที่ตั้งอยู่ทางเหนือของมหานครแห่งสวรรค์ ซึ่งชาวเทพขนานนามให้ว่า ‘นรกแห่งฟ้า’ เพราะเป็นสถานที่สำหรับเนรเทศเทพที่กระทำความผิดโดยเฉพาะ พื้นที่ส่วนใหญ่เป้นเทือกเขาและหุบเขาที่มีความสลับซับซ้อน หลายแห่งเป็นที่ซ่อนของสัตว์อสูรที่ดุร้ายกับเทพนักโทษที่มีพลังระดับสูง ป่าไม้บนเขาส่วนใหญ่ หากไม่กลายสภาพเป็นหินกับคริสตัลก็มีสีดำของพิษ พืชผลที่กินได้เป็นของหายากพอ ๆ กับสัตว์ป่า ใครหามาได้ก็อาจถูกเทพตนอื่นปล้นชิงซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของที่นี่ไปแล้ว มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด

ท่ามกลางความมืดมิดของแดนร้างที่ไม่รู้ว่าอันตรายจะโผล่มาเมื่อไหร่ เรมันต์กำลังเหาะข้ามป่าที่กลายสภาพเป็นหินกับคริสตัลสีดำเพื่อข้ามไปยังอีกฝากหนึ่งของหุบเขา จิตของเขาแผ่ออกเป็นวงกว้างจับทุกพลังอำนาจที่อยู่ในรัศมีและข่มขวัญพวกที่มีจิตชั่วร้ายไม่ให้มายุ่งกับตัวเองอีกด้วย

“เฮ้อ!” อดีตหัวหน้าจอมปราชญ์ถอนใจเฮือกหลังเหาะลงมาพักบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ดวงตากวาดมองพื้นที่ที่มีแต่ความสิ้นหวังอย่างไม่สบอารมณ์นัก

ชายชรามาทำงานที่รับมอบหมายจากเซย์เรียโน่ในแดนร้างได้หลายวันแล้ว เผชิญหน้ากับความยากลำบากสารพัด ทั้งต้องปลอมตัวหนีพวกนักโทษที่ตัวเองเคยพิจารณาคดี ปกป้องตัวเองจากการปล้นชิง ไหนจะหนีจากเกมเอาเถิดเจ้าล่อของนักโทษนิสัยเสียที่ชอบไล่ล่าคนแปลกหน้า รวมถึงหนีจากสัตว์อสูรที่ชอบปรากฏตัวจากที่ซ่อนอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวอีกด้วย ทั้งที่เจอเรื่องร้ายมาขนาดนี้ แต่งานของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จ

“หายไปไหนของมันนะ! ตามบันทึกก็ไม่น่าจะออกจากสวรรค์ได้นี่นา มันควรจะกบดานอยู่ที่ไหนสักแห่งในนี้สิ” เรมันต์บ่นพลางเสกลูกไฟเย็นเล็ก ๆ ขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็หยิบแผนที่ของแดนร้างในย่ามที่เอาติดตัวมากางอ่าน สมองที่เต็มไปด้วยข้อมูลมากมายพยายามจำกัดพื้นที่ในการตามหา แต่ทุกจุดที่เป้าหมายของเขาเคยอยู่ ชายชราไปตรวจสอบดูแล้วก็พบเพียงนักโทษเล็ก ๆ เพียงไม่กี่ตนเท่านั้น

ถึงแม้ว่าแดนร้างจะกว้างใหญ่ไพศาล ทว่าเทพที่ถูกเนรเทศออกมาและส่วนที่เหลือรอดมาจากการกวาดล้างหลังเฮสเลนหายตัวไปก็เพียงสามร้อนกว่าตน พลังหยั่งรู้ของเรมันต์ก็ทรงอานุภาพพอจำแนกพวกมันได้ทั้งหมดแล้วด้วย แต่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจจับอำนาจของเป้าหมายได้ นี่มันตายไปแล้วจริง ๆ หรือมีใครใช้พลังปกปิดที่ซ่อนของมันไว้กันแน่!

แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีกลุ่มก้อนพลังหนึ่งปรากฏขึ้นในรัศมีอำนาจของเรมันต์อย่างกะทันหัน มันเป็นอำนาจมืดที่เข้มข้นจนน่าตกใจและเย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็งไม่มีผิด ชายชรารีบพรางตัวด้วยมนต์พรางตาและเหาะไปดูหน้าเจ้าของพลังนั้นทันที ภาวนาให้มันเป็นเป้าหมายของเขา จะได้หนีให้พ้นจากความยากลำบากนี้เสียที

ทว่าเมื่อเขาเหาะมาถึงต้นโอ๊คหินขนาดใหญ่ยักษ์ที่ยืนต้นโดดเดี่ยวกลางวงล้อมต้นไม้คริสตัล ชายชราก็ต้องประหลาดใจหลังเห็นเด็กสาวผมสีเงินยวงนั่งหลับตาอยู่ใต้ต้นไม้ เรมันต์จำได้ทันทีว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร แต่ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ตามลำพังได้เล่า ไอมนตราที่เขาสัมผัสได้ก็มาจากตัวเธอเสียด้วย หมายความว่าอย่างไรกัน...เด็กคนนั้นเป็น...

“ใครน่ะ” เสียงหวานแหบพร่าตวาดมาในเสี้ยววินาทีที่เรมันต์กำลังจะได้คำตอบ ชายชราตัวแข็งทื่อ จำได้ว่าก่อนมาปกปิดจิตของตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับยังจับได้แบบนี้แสดงว่า ‘ข้างใน’ ต้องเป็นเทพระดับสูง “ใครอยู่หลังต้นไม้นั่น ออกมาเดี๋ยวนี้!”

“ข้าเอง” เรมันต์ตัดสินใจเปิดเผยตัวหลังจากคิดใคร่ครวญอย่างดีแล้ว เขาสลายมนต์พรางตัวแล้วเดินออกไปให้อีกฝ่ายเห็น เด็กสาวเพ่งมองเขาด้วยสายตาดุดันแวบหนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นอาการไม่พอใจระคนตื่นกลัว

“ท่านมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ มหาเทพข้าวสวรรค์ลงโทษท่านไปแล้วนี่นา” นาซิลลาพูดเสียงสั่นพลางเบียดตัวชิดต้นโอ๊คหิน เมื่อนั้นเองที่ชายชราเห็นรอยเลือดบนชุดของเธอ

“นั่นเจ้าได้รับบาดเจ็บนี่นา มาให้ข้าดูหน่อยซิ!”

“ไม่นะ! อย่าเข้ามา! อย่าเอาข้าไปทำอะไรอีกเลย!” นาซิลลากรีดร้องสุดเสียง น้ำเสียงหวาดกลัวจริง ๆ จนอดีตหัวหน้าจอมปราชญ์ยังตกใจ

“เฮอะ! ข้าไม่เพิ่มโทษให้ตัวเองหรอก นังหนู!” เรมันต์ขึ้นเสียงอย่างขัดเคืองขณะไปนั่งข้างตัวเธอ ก่อนคว้ามือบางออกจากปากแผลพร้อมเสกลูกไฟดวงเล็กมาส่องใกล้ ๆ “อยู่นิ่ง ๆ ข้าจะดูแผลให้ ถึงเจ้าจะเป็นเทพ แต่ถ้าแผลติดเชื้อก็จุติได้เหมือนมนุษย์นะ”

เทพจันทราหลับตาปี๋ในตอนที่เรมันต์เอามีดกรีดชุดบางส่วนของเธอออกเพื่อดูบาดแผลให้ชัด ๆ ซึ่งท่าทางหวาดกลัวและอับอายจนเนื้อตัวสั่น เมื่อต้องถูกผู้ชายแปลกหน้าเห็นส่วนหนึ่งของเรือนร่างก็เหมือนกับเด็กสาวทั่วไป แต่ทำไมตัวเธอถึงมีกลิ่นอายความมืดชัดเจนขนาดนี้ได้เล่า

“อื๋อ! บาดแผลนี่เกิดจากกรงเล็บนี่นา มีพลังของมหาเทพสงครามติดอยู่ด้วย!” ชายชราร้องหลังแตะบาดแผลแล้ว ร่างบางสะดุ้งโหยงด้วยความเจ็บและตื่นกลัว

“ขะ...ข้า...ข้าถูกเขา...ตามล่าเจ้าค่ะ...เพราะว่า...ข้าไปเป็น...เรื่องไม่ดี...” นาซิลลาพูดเสียงตะกุกตะกัก ร่างบางยิ่งสั่นเทิ้มด้วยความกลัวสุดขีด

“เหลวไหล! เจ้านั่นปกป้องเจ้ากับเทพที่ชื่อฮาธอสจะเป็นจะตาย มันจะตามล่าเจ้าได้อย่างไร!” เรมันต์ส่ายหัวอย่างไม่เชื่อ

“จริง ๆ นะคะ...อุ๊ย!” นาซิลลาสะดุ้งเฮือกเมื่อชายชราเอามือทาบบาดแผลและทำให้มันสมานกันอย่างรวดเร็วด้วยเวทเยียวยา

“มันจะจริงได้อย่างไร ข้าเคยเห็นมากับตานะ ไม่อย่างนั้นจะมาอยู่ที่นี่เรอะ” เรมันต์พูดอย่างฉุนเฉียว ทั้งคิ้วทั้งหนวดกระตุกยิก ๆ เมื่อถึงวันที่ไคซัสสาวไส้ความผิดของเขามาให้กาที่ชื่อ ‘ฟาเบียน’ จิกซ้ำ ความแค้นยังร้อนกรุ่นในใจ ถึงได้ยอมรับข้อเสนอของเซย์เรียโน่

“แต่...คราวนี้...” นาซิลลายังคงรั้นพูดต่อ เนื้อตัวสั่นเทิ้มเป็นเจ้าเข้า ทำเอาชายชราจ้องมองด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าเห็นจริง ๆ นะเจ้าคะ...เห็นเขาคุยกับร่างจำแลงของเทพรัตติกาลที่มีหน้าตาเหมือนฮาธอสไม่มีผิด”

มือที่กำลังเยียวยาบาดแผลเด็กสาวถึงกับกระตุกเมื่อได้ยินประโยคท้าย ๆ อดีตหัวหน้าจอมปราชญ์คว้าตัวร่างบางให้หันมาหาตนทันที

“จริงรึ” ดวงตาสีเข้มเบิ่งโพล่งและเต็มไปด้วยความใคร่รู้จนน่ากลัว “ข้าถามว่าจริงหรือ!”

“จะ...เจ้าค่ะ ข้าได้เห็นกับตา” นาซิลลาหลับตาแน่นแล้วโพล่งออกมาด้วยความกลัว บรรยากาศรอบข้างมืดทะมึนขึ้นหลังเมฆก้อนใหญ่ลอยมาบดบังดวงจันทร์ แสงที่เหลืออยู่ในตอนนี้มีเพียงดวงเวทที่เรมันต์แสงไฟเท่านั้น “พอพวกเขารู้ตัว มหาเทพสงครามก็โจมตีใส่ข้า กล่าวหาว่าข้าจะขโมยแล้วก็ให้พวกองครักษ์ตามจับด้วย ข้าตกใช้มากเลยใช้พลังหายตัวหนีมาจากพาเทร่า รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้วก็บาดเจ็บแล้วด้วย มหาเทพสงครามต้องฆ่าข้าแน่ ๆ”

“เจ้าไปได้ยินอะไรเข้า ฮึ! เขาถึงได้ทำแบบนี้” ท่าทางตื่นกลัวสุดขีดเหมือนลูกสัตว์ที่ถูกไล่ล่าเหมือนจริงจนเรมันต์เริ่มเชื่อแล้ว ในที่สุดหนทางเล่นงานเจ้าอสูรจอมโฉดนั่นก็ปรากฏ เขาต้องได้กลับเข้ามหานครแน่นอน “บอกมาเถอะ ถึงข้าจะถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว แต่ก็มีเส้นสายอีกมากมาย ข้าช่วยเจ้าได้นะ”

นาซิลลาไม่ได้ตอบทันที แต่มองหน้าเขาอย่างคนไม่ไว้ใจกัน ซึ่งเรมันต์เข้าใจเหตุผลดี เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยส่งคนไปลอบทำร้ายเธอกับฮาธอส เพื่อจับตัวมาเป็นเครื่องมือเล่นงานมหาเทพสงคราม แต่ถึงกระนั้นเขาก็เชื่อว่าเธอจะต้องบอกอย่างแน่นอน เนื่องจากเขาเป็นคนเดียวที่เธอรู้จักและสามารถช่วยได้ในเวลานี้

“เรื่อง...” นั่นไงล่ะ ชายชราใจพองโตด้วยความตื่นเต้นเมื่อเทพจันทรายอมเอ่ยปาก “...ที่ซ่อนร่างของเฮสเลนเจ้าค่ะ มหาเทพสงครามบอกกับอีกฝ่ายว่าจะมาช่วยเขาออกไปเจ้าค่ะ”

“เป็นความจริงหรือนี่!” เรมันต์ร้องเหมือนตกใจมาก แต่ความจริงแล้วเขากำลังดีใจที่สุดต่างหาก ใครจะไปนึกเล่าว่ามหาเทพสงครามตนนั้นจะทำผิดพลาดได้ขนาดนี้ ในที่สุดหนทางหวนคืนสู่อำนาจเก่าของเขาก็เปิดออกแล้ว ชายชรากรอกตาไปมาขณะคิดแผนการอย่างรวดเร็ว “เจ้าชื่อ ‘นาซิลลา’ สินะ ข้าจะช่วยเจ้าก็ได้ แต่เจ้าก็ต้องร่วมมือกับข้าด้วย”

“เอ๊ะ!” เทพจันทราทำหน้าแปลกใจที่แฝงด้วยความกลัว “ร่วมมืออย่างไรหรือคะ”

“ช่วยข้าตามหาที่ซ่อนของมัน” คำตอบของชายชราทำให้อัปสรน้อยเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ เขาจึงเริ่มเสริมไปว่า “คิดให้ดี ๆ นะ สาวน้อย ถ้าเจ้าจับตัวเฮสเลนได้และเค้นให้มันสารภาพ ว่าร่วมมือกับมหาเทพสงครามเพื่อเล่นงานสวรรค์ นอกจากเราจะได้กลับมหานครแห่งสวรรค์แล้ว เจ้าจะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาและการตามล่าด้วย”

“แต่ข้าเป็นแค่เทพเล็ก ๆ จะช่วยอะไรได้หรือเจ้าคะ” นาซิลลาทำหน้าไม่แน่ใจ

“ได้สิ! เจ้าเป็นเทพจันทราที่สื่อสารกับความมืดได้และยังรู้ที่ซ่อนของเฮสเลนแล้วด้วย แค่เจ้านำทางไปที่นั่นก็พอแล้ว ข้าจะคอยคุ้มครองเจ้าเอง”

เรมันต์จับบ่าบางและจ้องตาอัปสรน้อยด้วยสีหน้าหนักแน่น เพื่อทำให้เทพจันทราเชื่อว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยเธอได้และมีเพียงเธอเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ด้วย ก่อนจะส่งสายตากดดันเมื่อเด็กสาวก้มหน้าลงด้วยท่าทางอยากทบทวนความคิดให้แน่ใจ เขาจะไม่ยอมให้นาซิลลาปฏิเสธเขาได้อย่างเด็ดขาด โอกาสพลิกสภานการณ์ลอยมาอยู่ในมือแล้วทั้งที เขาไม่โง่พอปล่อยมันหลุดมือไปเพราะความกลัวของเด็กผู้หญิงตนหนึ่งแน่ จนเมื่อนเทพจันทรากลืนน้ำลายแล้วเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาอับจน ชายชราก็รู้ทันทีว่าชนะแล้ว

“ตกลงค่ะ พาข้าไปที่ ‘หุบเขาดำ’ สิคะ ข้าจะพาท่านไปหาร่างของเฮสเลน”

-------------------

ภายในแดนร้างนั้น มีพื้นที่อันตรายในตัวของมันเองอยู่หลายแห่ง แต่ละแห่งล้วนมีสัตว์อันตรายอาศัยอยู่ทั้งสิ้น อย่างเช่นหุบเขาแดงที่ฮาธอสเคยไปซ่อนตัวก่อนจัดการกับพี่ชายฝาแฝด ที่นั่นเคยมีแมงมุมแดงเจ็ดเขาอาศัยอยู่ แต่ภายหลังถูกเฮสเลนที่เรืองอำนาจใหม่ ๆ ฆ่าตาย ซึ่งถือเป็นการประกาศศักดาของตัวเองเป็นครั้งแรก

ในบรรดาสถานที่อันตรายทั้งหมดนั้น มีที่หนึ่งซึ่งเทพในแดนร้างไม่เคยย่างเท้าเข้าไปมาก่อน นั่นคือ ‘หุบเขาดำ’ เทือกเขาที่ปกคลุมด้วยป่าสีดำทมิฬซึ่งซึมซับความชั่วร้ายในแดนร้างไว้อย่างเข้มขัน มันคือหลักฐานการมีอยู่ของ ‘นรกแห่งฟ้า’ กล่าวขวัญกันว่าหากเข้าไปแล้วจะไม่มีโอกาสได้กลับออกมาเลย

ทว่าใครเล่าจะรู้ความจริง เคยมีเทพเข้าไปและได้กลับมาออกมาแล้ว...อย่างน้อยก็สองตนด้วยกัน

เรมันต์ลอยตัวกลางอากาศเหนือหุบเขาสีดำทมิฬ มือสองข้างพยุงตัวนาซิลลาที่ตอนนี้สวมเสื้อคลุมยาวของเขาไว้ด้วย เหงื่อหยดหนึ่งไหลผ่านหางตาที่มีแต่ความเครียดเขม็ง ถึงเขาจะมาอยู่ในจุดที่สิ้นไร้ไม้ตรอกจนต้องทำทุกอย่างเพื่อกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมให้ได้ ทว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าสถานที่ที่มีแต่ความชั่วร้ายจนแม้แต่เทพในพื้นที่ยังกลัวก็อดลังเลมิได้

“เจ้าแน่ใจนะ ว่าใช่ที่นี่” น้ำเสียงของชายชราสั่นพร่า ไม่รู้ว่าเพราะความกลัว ความยำเกรง หรือทั้งสองอย่างกันแน่ ผิดกับนาซิลลาที่มองดูหุบเขานั้นด้วยท่าทางสงบกว่าเล็กน้อย

“เจ้าค่ะ ข้ามั่นใจ” เธอหลับตาลงพร้อมสูดลมหายใจลึก ท่าทางเหมือนตั้งสมาธิจับอะไรบางอย่าง ท้องฟ้าทางตะวันออกเริ่มเปลี่ยนสี แสงทองแห่งอรุณรุ่งกำลังจะมาเยือนในอีกไม่ช้า “ข้าสัมผัสได้ มีกลุ่มก้อนความมืดที่หนาวยะเยือกอยู่กลางภูเขาที่ใหญ่ที่สุด...”

เรมันต์แทบไม่ต้องมองหาภูเขาที่ว่านั่นเลยสักนิด เพราะมันอยู่เบื้องหน้าของเขานั่นเอง ขนาดของมันใหญ่โตเสียจนยอดแหลมที่อยู่ด้านบนแตะเมฆก้อนใหญ่ที่อยู่สูงขึ้นไปหลายร้อยเมตร ส่วนด้านล่างอยู่ลึกลงไปในป่าจนไม่อาจคะเนความกว้างได้อย่างชัดเจน เขาชักสงสัยเสียแล้วว่าเป้าหมายนึกอย่างไรจึงมาซ่อนตัวที่นี่

“ท่านเรมันต์จะเข้าไปใช่ไหมคะ” นาซิลลาหันมาถามทำเอาชายชราสะดุ้งเล็กน้อย เขารู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดนิดหน่อย แต่ไม่แน่ใจนักว่าด้วยเหตุผลอะไร

“ถ้าเป็นที่อื่นข้าคง...”

“แต่ท่านพูดแล้วว่าจะช่วยข้า” เทพจันทราผวามาจับบ่าทันทีที่เห็นเขาทำท่าลังเล มือเล็กเปี่ยมด้วยเรี่ยวแรงจนน่าตกใจและ...คิดไปเองหรือเปล่า แววตาที่เคยอ่านออกมาตลอดของหล่อน ตอนนี้ไม่มีวี่แววให้เขาเห็นอีกแล้ว ความเย็นจากมือแผ่ซ่านเข้ามาในร่างเขาอย่างรวดเร็ว “ท่านพูดแล้วว่าจะพาข้ากลับมหานคร จะช่วยข้าจัดการกับเทพอสูรสงคราม ท่านจะบิดพลิ้วไม่ได้”

เรมันต์อยากพูดเหลือเกิน ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะบิดพลิ้วในสิ่งที่เคยพูดไว้ แค่ต้องการกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้เซย์เรียโน่รู้ ในความคิดของชายชรา เจ้าเด็กประหลาดนั่นน่าจะทำอะไรได้มากกว่าเขา และเป็นอีกฝ่ายที่ต้องการตัวเฮสเลนกลับไป หาใช่เขาไหม! แต่ตอนที่กำลังจะพูดออกไป ร่างของเขากลับลอยต่ำลงไปเสียได้ ที่สำคัญนาซิลลายังเหาะนำอยู่ข้างหน้าเหมือนเป็นคนนำทางอีกด้วย

“ข้าไม่ยอมหรอก มาถึงที่นี่แล้ว ข้าไม่ยอมกลับไปตัวเปล่าแน่!” เสียงหวานที่ได้ยินเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นจนน่าตกใจ แต่มันยังไม่เท่ากับการที่ร่างกายของเรมันต์ขยับตามนาซิลลาไปต่างหาก แม้อดีตหัวหน้าจอมปราชญ์จะดิ้นรนขัดขืนและใช้วิชาทำลายมนต์สะกดแล้วก็ยังไม่อาจทำอะไรได้ นี่มันอะไรกัน เด็กสาวตรงหน้าเขาเป็นใครกันแน่!

“นาซิลลา! เจ้าทำอะไรกับข้า!” เรมันต์ตวาดถามขณะพวกเขาร่อนมาถึงสันเขาสูง ก่อนดำดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ผ่านหมู่ไม้ที่เป็นสีดำซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายเหม็นโฉ่จนแทบทนไม่ไหว ชายชราสำลักอยู่หลายครั้งก่อนจะฉีกเสื้อออกมาทำเป็นผ้าอุดปาก จนกระทั่งมาถึงแอ่งกระทะขนาดใหญ่ที่อยู่ในวงล้อมขุนเขาและพงไพรสีนิล

“ที่นี่มันที่ไหนกัน” ชายชราถามอีก ดวงตากวาดมองรอบข้างอย่างตื่นตระหนก ภาพต้นไม้และกิ่งไม้บิดเบี้ยวที่ยืนต้นตระหง่านเหนือตัวนั้นราวกับเงาร่างของปีศาจนับแสน อดีตหัวหน้าจอมปราชญ์เริ่มกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้วเขาจึงโกรธเมื่อนาซิลลาไม่ตอบ “ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้! เทพจันทรา เจ้ากำลังพาข้าไปที่ไหนและทำอะไรกับข้า!”

“ทำให้เจ้าทำตามคำพูดไงล่ะ ข้าไม่ยอมเสียโอกาสนี้ไปเด็ดขาด มหาเทพสงครามต้องตามมาแน่!”

อดีตหัวหน้าจอมปราชญ์ถึงกับชะงักงัน เมื่อนาซิลลาตอบกลับมาด้วยเสียงของผู้ชายที่ฟังคุ้นหูของเขาอย่างมาก ไม่นานสมองอันปราดเปรื่องของเขาก็นึกออก ใช่แล้ว...เสียงนี้...มันเหมือนกับเสียงของฮาธอสเลย!

“ฮาธอส! นั่นเจ้าใช่ไหม!” เขาโพล่งออกไปขณะเด็กสาวนำไปยังก้อนหินขนาดใหญ่ที่ตั้งพิงหน้าผาอยู่ ชายชราถึงกับขนลุกหลังเห็นไอมืดมากมายไหลตรงไปหามัน ความเย็นที่แผ่ซ่านออกมานั้นรุนแรงยิ่งกว่าฤดูหนาวของโลกมนุษย์เสียอีก เรมันต์รู้สึกว่าร่างกายแข็งชา ทว่ามันยังคงขยับต่อไปได้ด้วยการควบคุมของเด็กสาว

“ฮึ! รู้ตัวแล้วรึ แต่เสียใจด้วย เจ้าพูดชื่อคนผิดเสียแล้ว”

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 17 up 07/09/13
«ตอบ #76 เมื่อ08-09-2013 23:14:20 »

เฮสเลนในร่างนาซิลลาหันมากวักมือเรียกก่อนผลุบหายไปหลังหินก่อนนั้น แม้เรมันต์จะไม่อยากตาม แต่เขาก็ถูกลากตัวไปจนได้ ข้างหลังนั้นมีปากทางเข้าถ้ำเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีใครพยายามปิดมันไว้ด้วยก้อนหินขนาดยักษ์นี้ แต่มีอะไรบางอย่างทำให้มันเคลื่อนออกมาจนเกิดช่องใหญ่พอที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งจะแทรกตัวเข้าไปได้ ซึ่งอดีตหัวหน้าจอมปราชญ์ต้องอึ้งเมื่อเห็นสภาพที่แท้จริงของมัน

โถงถ้ำขนาดเล็กมีความสูงไม่มากนัก เพดานสูงกว่าศีรษะของเขาเพียงเล็กน้อยและเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยเล็ก ๆ มากมาย พื้นด้านล่างค่อนข้างขรุขระ บางส่วนปกคลุมด้วยมอสสีเหลืองสลับเขียว สองข้างทางกับบนผนังมีคริสตัลเรืองแสงฝังอยู่เต็มไปหมด แต่แสงของพวกมันดูอ่อนลงทันทีเมื่อเทียบกับไอมืดที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เรมันต์ไล่สายตาตามกระแสพลังเข้าไปเรื่อย ๆ ก่อนชะงักเมื่อเห็นร่างหนึ่งเร้นกายอยู่หลังกำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่

“ตกใจหรือ” เสียงหวานที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นข้างหูนี้ทำให้เรมันต์ถึงกับสะดุ้ง เขาหมุนคอเพื่อมองอีกฝ่าย แต่คอกลับแข็งทื่อไม่ยอมขยับ ไม่สิ ต้องบอกว่าร่างกายเกือบทุกสัดส่วนถูกควบคุมไปทั้งหมดแล้ว มีเพียงความคิดกับดวงตาเท่านั้นที่เป็นของเขา

“ก็น่าอยู่หรอก พวกเจ้าไม่ได้เห็นข้ามาเกือบหนึ่งพันปีแล้วนี่นา” เทพจันทรายื่นหน้ามาให้เห็น โดยร่างบางลอยตัวเกาะบนไหล่ของเขา และเมื่อดวงตาสีฟ้าเรืองแสงสีดำ ชายชราก็ขยับตัวไปข้างหน้า “ก่อนมาเจ้าบอกว่าจะช่วยข้ากลับไปมหานครใช่ไหม เอาสิ! ข้าอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าเจ้าช่วยข้า เด็กคนนี้ก็จะได้กลับไปเหมือนกัน!”

“...ไม่! ข้าไม่อยากช่วยเจ้า” ปากปฏิเสธอย่างแข็งขัน แต่ร่างกายที่ถูกควบคุมกลับมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง กลิ่นอายความมืดที่เน่าเหม็นทำลายฆานประสาทของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี เขาอยากจะทรุดเสียตรงนี้ แต่ติดที่ร่างกายถูกควบคุมไปหมดแล้ว

เฮสเลนในร่างนาซิลลาขยับนิ้วไปมาเหมือนเชิดหุ่น รยางค์ที่แผ่ออกมาจากตัวเด็กสาวซึ่งแน่นอนว่าเป็นพลังของเขาเองขยับร่างอีกฝ่ายไปอยู่ต่อหน้ากำแพงน้ำแข็ง ตอนนี้เองที่เรมันต์เห็นว่ามีรอยแตกเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ตรงมือข้างขวาที่ขาดหายไป ตรงนี้เองที่เป็นช่องให้พลังมืดไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเฮสเลนได้ ซึ่งอดีตหัวหน้าจอมปราชญ์สามารถสัมผัสพลังชีวิตอันแข็งแกร่งของเขาได้เกือบจะทันที และถ้ามองให้ดี ๆ บนกำแพงน้ำแข็งที่ผนึกร่างเขาไว้นั้นมีแถบอักขระเวทตัวเล็กจิ๋วเรียงรายเต็มไปหมด เรมันต์จึงรู้ทันทีว่านี่คือ ‘เวทผนึกเทพรัตติกาล’ แต่มันกำลังเสื่อมสลายจากการกระทำของคนที่ถูกขังไว้!

“เจ้าคงเห็นแล้วสินะ ว่าข้าพยายามทำลายผนึกบ้านี่แค่ไหน แต่ฮาธอสดันตั้งเงื่อนไขงี่เง่าจนข้าทำไม่สำเร็จเสียที!” เฮสเลนพูดด้วยเสียงของตนเองพร้อมบังคับให้เรมันต์วางมือบนกำแพงนั้น “พวกนั้นอาจจะคิดว่าพลังของนาซิลลาอาจช่วยข้าไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเจ้าล่ะก็ต้องทำได้แน่!”

สิ้นเสียง เรมันต์ก็รู้สึกเหมือนมีกรงเล็บน้ำแข็งจิกลงบนสมองของเขา มันทั้งเย็นทั้งเจ็บปวด แต่นั่นกลับยังเทียบไม่ได้กับความรู้สึกเหมือนพลังเวทในร่างกายถูกใช้งานอย่างไม่เต็มใจ ร่างกายของเขาร้อนผ่าวทันทีที่อักขระเวทนับแสนตัวในแผ่นน้ำแข็งเปล่งแสงพร้อมกัน พวกมันเริ่มวิ่งไปมาแล้วเรียงตัวเป็นวงแหวนเวทสามชั้น ตรงกลางเป็นรูปเลเวียธานกระหวัดพันดาวหกแฉก มันค่อยเปล่งแสงสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ขณะพลังเวทกับพลังชีวิตของชายชราถูกดูดออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง อุณหภูมิภายในร่างของเขาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกำแพงน้ำแข็งตรงหน้า ในที่สุดมันก็แตกร้าวและหลอมละลายจนได้

แม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น แต่สมองอันปราดเปรื่องของเขากลับทำความเข้าใจได้ทุกอย่าง ฮาธอส...เทพคนสวนที่เขาเคยทำร้ายคงผนึกเทพร้ายตนนี้ไว้ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง และคงตั้งเงื่อนไขให้ใช้พลังชีวิตกับพลังเวทของเทพที่อยู่สายตรงข้ามกับเฮสเลนในการปลดผนึก ส่วนนาซิลลาคงเป็นร่างทรงที่ถูกมันครอบงำและนำไปทำงานอะไรบางอย่างจนถูกตามล่า เมื่อหนีมาได้ก็คงจะหาทางล่อลวงเทพที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อไป และเขาก็เป็นเหยื่อหน้าโง่ที่ถูกชักพาให้มาติดกับดักด้วยความลำพองใจของตน

บ้าจริงเชียว... ความหวังจะได้กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมหายไปอีกแล้ว...

--------------

ตูม!

เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วหุบเขาดำตามด้วยคลื่นเสียงจากแรงระเบิดที่แผ่กระจายไปด้วยความเร็วสูง สร้างความแตกตื่นให้ทุกสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ เพียงไม่กี่นาทีมันก็ไปถึงชายขอบแดนร้างซึ่งพวกไคซัสเหาะมาถึงพอดี อัลล์กับองครักษ์ห้านายที่ติดตามมาด้วยแปรขบวนล้อมมหาเทพสงครามไว้ตรงกลางก่อนกางเขตอาคมป้องกันขณะบินตัดคลื่นนั้นไปด้วยความเร็วปานแสง เมื่อผ่านมาได้แล้วพวกเขาก็เห็นเสาพลังสีดำพุ่งตรงสู่ท้องฟ้า เทพอสูรหนุ่มกัดฟันกรอดทันทีที่สัมผัสอำนาจมืดที่แผ่มาจากตรงนั้น

“ระยำ! เฮสเลนคลายผนึกได้แล้ว ใครช่วยมันกัน!”

“จะเป็นนาซิลลาหรือเปล่าขอรับ” เป็นเสียงอัลล์ที่ถามมาอย่างร้อนใจ ตอนนี้เขากับองครักษ์เชื่อมโยงกับมหาเทพสงครามด้วยพลังจิตแบบหนึ่งที่ทำงานเหมือนเครื่องมือสื่อสารระยะไกล

“ไม่ใช่ ข้าจับพลังของนาซิลลาไม่ได้เลย” ไคซัสขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ในสภาพพร้อมรบเช่นนี้ ต่อให้เป็นจิตที่มีขนาดเล็กเท่าหมด แต่ถ้าเขาอยากรู้ก็จะจับได้เกือบจะในทันที ทว่าตอนนี้กลับไม่รู้ถึงพลังของเทพจันทราสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับรู้ถึงอำนาจอื่นที่ปะปนกับพลังมืดเข้มข้นนั้น และมันเป็นคนของที่ควรจะหดหัวอยู่แต่ในกำแพงมหานครเสียด้วย “...เรมันต์...”

“เมื่อครู่มหาเทพไคซัสพูดว่าอะไรนะขอรับ” อัลล์ไม่ทันได้ยินจึงถามกลับมา

“ไม่มีอะไร พวกเจ้าฟังข้า!” ไคซัสปฏิเสธพร้อมคำรามให้ทุกตนตั้งใจฟัง “ศัตรูทำลายผนึกของตนเองได้แล้ว ไม่แน่ชัดว่าตอนนี้มีพลังสูงส่งกว่าที่เห็นอยู่ในตอนนี้หรือไม่ แต่จงอย่าลืมว่ามันเป็นเทพร้ายที่ทำให้คนทั้งสวรรค์พรั่นพรึงมาแล้ว อย่าได้ออมมือเด็ดขาด เข้าใจไหม”

“ขอรับ!”

“อัลวิน” ยังไม่ทันขาดคำขาดรับของเหล่าองครักษ์ เสียงของไคซัสก็ดังขึ้นในหัวอัลล์ “ข้าให้เจ้าเป็นคนช่วยเหลือและนำนาซิลลากลับคืนมา ตอนนี้เฮสเลนคงจะกลับคืนร่างของตัวเองโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ร่างกายของมันไม่สมบูรณ์คงเอานางไว้ใกล้แน่ ดังนั้นนี่เป็นโอกาสที่จะช่วยนางกลับมา”

“...ข้าจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ” อัลล์ตอบหลังเงียบไปครู่หนึ่ง

“ดีมาก ทุกคนพร้อม มันมาแล้ว!”

มหาเทพสงครามคำรามในเสี้ยววินาทีที่ล่วงเข้าเขตหุบเขาดำแห่งแดนร้าง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่มีดวงเวทสีดำหลายสิบดวงถูกยิงออกมาจากเสาพลังมืด อัลล์กับองครักษ์เหาะล้อมไคซัสไว้อีกครั้งและใช้พลังเวทสร้างเกราะป้องกันในขณะที่บุกเข้าไปด้วยความเร็วเกือบจะเท่าเดิม เสียงระเบิดดังกระหึ่มทุกครั้งที่พลังของศัตรูปะทะกับเกราะอาคม ทว่าไคซัสกับเหล่าองครักษ์จะหวั่นไหวก็หาไม่ สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการในตอนนี้คือเข้าไปใกล้เสาพลังมืดนั้นแล้วจัดการกับต้นตอให้ได้เท่านั้น

แต่แล้วเสาอำนาจนั้นก็หายวับไป แล้วแทนที่ด้วยดวงมนตราขนาดใหญ่ยักษ์ที่พุ่งตรงมาหา ไคซัสเห็นก็รู้ทันทีว่าเกินกำลังที่เกราะจะป้องกันได้ ชายหนุ่มรีบสั่งให้พวกองครักษ์ถอยไปให้หมด ขณะรวบรวมพลังไว้ที่ศัตราวุธแล้วตวัดอย่างเร็วจนเกิดเวทดาบจันทร์เสี้ยวไปตัดอำนาจนั้นออกเป็นสองเสี่ยง ก่อนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง แสงสว่างเจิดจ้าจนต้องหลบตาและใช้จิตสัมผัสความเคลื่อนไหวแทน เพราะอย่างนั้นไคซัสจึงไม่ดีใจสักนิด แม้ทำลายอำนาจที่น่าจะแข็งแกร่งที่สุดของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

“ในที่สุดก็ได้เจอ ‘ตัวจริง’ กันเสียที”

ไคซัสเอ่ยเมื่อแสงและกลุ่มควันจากการระเบิดจางหายไป ในขณะที่เหล่าองครักษ์กระจายกำลังอยู่รอบตัวของเขา เพราะเบื้องหน้าของพวกเขานั้น มีชายหนุ่มผมหยักศกกระเซิงไม่เป็นทรง นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม ใส่ชุดสีดำลอยตัวกลางอากาศ ใบหน้าที่เหมือนกับฮาธอสทุกกระเบียดนิ้วกับแขนที่ไร้มือขวาเป็นเครื่องยืนยันตัวตนของมันได้เป็นอย่างดี

“ฮึ ฮึ ฮึ ไม่นึกเลยว่าพวกเจ้าจะตามมาเร็วขนาดนี้ โชคดีจริง ๆ ที่ลูกมือพิเศษช่วยข้าออกมาได้ทันเวลา” เฮสเลสทำท่าปลาบปลื้มกับอิสรภาพที่ได้รับ แขนขวาไร้มือที่โบกไปมามีละอองสีดำปลิวว่อน แต่ดูเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจนัก “น้องชายของข้าคงจะบอกที่ซ่อนร่างกับพวกเจ้าสินะ”

“เปล่า ข้ารู้ด้วยตัวเอง” ไคซัสว่า

“หา! ไม่จริงน่า เจ้าเพิ่งขึ้นมาสวรรค์ได้ไม่นานนะ จะรู้ได้อย่างไร” เฮสเลนพูดแล้วก็ชะงักหลังดูฝ่ายตรงข้ามให้ชัด ๆ แล้วรอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏ “อ๋อ! แอบดูจากความทรงจำของหมอนั่นล่ะสิ นิสัยไม่ดีเลย เจ้าเนี่ย”

“ไม่เท่าเจ้าหรอก เฮสเลน” ไคซัสพูดเสียงเรียบ “ฆ่าไปแล้วสินะ เรมันต์น่ะ” พวกองครักษ์หันมองอย่างตกใจ เพราะไม่มีใครจับสัมผัสพลังของหัวหน้าจอมปราชญ์ได้เลย

“ข้าไม่ได้ลงมือเองนะ แต่น้องชายข้าดันเลือกใช้เวทมนต์ที่ต้องแลกด้วยชีวิตในการปลดผนึกต่างหาก เห็นมันทำตัวเป็นพ่อพระมาตลอด ใครจะไปคิดว่าจะอำมหิตได้ขนาดนี้ นึกภาพดูสิ เทพแก่ ๆ ที่แทบไม่มีแรงทำอะไรอยู่แล้วต้องถูกต้มทั้งเป็นและถูกดูดพลังชีวิตจนหยดสุดท้าย นอนตัวแห้งตายบนพื้น น้องชายข้ามันกล้าจริง ๆ”

เฮสเลนหัวเราะลั่นราวกับสิ่งที่พูดมานั้นเป็นเรื่องตลก ไคซัสตวัดมือสั่งให้องครักษ์ทุกนายอยู่นิ่ง ๆ หลังเห็นอัลล์ที่อยู่ด้านบนขยับตัวด้วยความโกรธ อันที่จริงเขาก็ไม่ชอบนักหรอกที่ต้องมาฟังเฮสเลนเสียดสีคนที่รักต่อหน้าต่อตาแบบนี้ แต่การทำอะไรบุ่มบ่ามเข้าโจมตีเทพร้ายก็เท่ากับฆ่าตัวตายดี ๆ นี่เอง

“แต่ไม่คิดบ้างหรือ ว่ามันเหมาะกับเจ้ามากเลยนะ” มหาเทพสงครามจงใจเลือกคำถามนี้มาเพื่อเอาคืนโดยเฉพาะ “เพราะมันทำให้เจ้าทำลายผนึกเองไม่ได้อย่างไรเล่า”

“ว่าไงนะ! ถ้าข้าทำลายผนึกเองไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นตัวตนของข้าที่อยู่ตรงนี้คืออะไรกันล่ะ!” คราวนี้มีกลุ่มควันสีดำปะทุออกมาจากตัวเฮสเลนเมื่อเขาระเบิดอารมณ์ เสียงตวาดของเจ้าตัวดังขรม

“มันเป็นการออกมาด้วยการยืมมือคนอื่นไม่ใช่หรือไร” ไคซัสจิกสายตามองอีกฝ่าด้วยแววเย็นชา ริมฝีปากยกยิ้มอย่างเหยียดหยาม

“ข้าไม่ได้ยืมมือคนอื่น!” เฮสเลนคำราม ระลอกพลังมืดกระจายออกเป็นวงกว้าง ทำให้พวกองครักษ์ตั้งท่าพร้อมรับการโจมตีทันที “ข้าล่อลวงพวกมันมาต่างหาก ทุกอย่างเป็นแผนของข้า...” ดวงตาสีน้ำเงินเบิ่งโพล่งอย่างบ้าคลั่ง ทั้งที่เป็นพี่ชายของฮาธอสแท้ ๆ กลับไม่เหมือนกันสักนิด “ใช่! ทุกอย่างเป็นแผนของข้า นับแต่วันที่พลังมืดของป่าดำทำให้พลังของผนึกเสื่อมลงจนจิตของข้าหลุดออกมาได้ วันที่ข้าทำลายผนึกจากข้างในจนฉีกมือขวาออกไป ข้าก็คิดทุกอย่างขึ้นมา ทั้งการลอบสังหารเจ้า ทั้งการใช้แมลงไสยเวทก่อความวุ่นวาย ทั้งการทำให้นาซิลลาเป็นร่างทรง รวมถึงทำให้ไอ้แก่นักปราชญ์มาทำลายผนึก ทั้งหมดนั้นข้าเป็นคนคิด ข้าคิด! ข้าจึงเป็นอิสระด้วยกำลังของตนเอง ว่ะฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“ฮึ ฮึ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เสียงหัวเราะอย่างอหังการของเทพร้ายมีอันต้องขาดหายไป เมื่อมหาเทพสงครามเปล่งเสียงแห่งความขำขันดังแทรกขึ้นมา พวกอัลล์ต่างมองเจ้านายของตนด้วยความไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจมาตั้งแต่ตอนที่เจ้าตัวพยายามยั่วยุเฮสเลนแล้ว สิ่งเดียวที่พวกเขารู้คือ เทพอสูรกำลังขำจริง ๆ

“อย่างนั้นหรือ ไอ้แผนการลมเพลมพัด แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อยนี่ ไม่ได้ดูน่าภูมิใจเลยนะ”

“หุบปาก!” เฮสเลนคำรามกึกก้อง ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธอย่างหาที่สุดมิได้ “เบิ่งตามองข้าให้ดี ๆ เทพอสูรโสโครก ตัวข้าอยู่ที่นี่ ตรงหน้าเจ้านี้ ด้วยเลือด! เนื้อ! และพลังของข้าเอง! สวรรค์ปฏิเสธการมีอยู่ของข้ามามากพอแล้ว เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำกับข้าแบบเดียวกัน!”

“ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์สิ ว่าเจ้าจะสู้โดยไม่ยืมมือใครอีก!”

เฮสเลนกัดฟันกรอดจ้องหน้ามหาเทพสงครามที่ตั้งท่าพร้อมรบและตวัดหอกชี้หน้าเขาอย่างท้าทาย ซึ่งเทพร้ายที่กำลังโมโหเกือบจะหลุดปากตกลงออกไปแล้ว ถ้าหากไม่ฉุกคิดเรื่องสำคัญอันเป็นเรื่องเดียวกับที่พวกอัลล์ตระหนักได้พร้อมกัน ร่างสูงโปร่งหรี่ตาแล้วยิ้มกว้างอย่างรู้เท่าทันโดยพลัน

“ฮ่า ๆ เกือบแล้วเชียว เจ้าเก่งมากที่ยั่วโทสะข้าได้ แต่เสียใจด้วย ข้าไม่ตกหลุมพรางหรอก!”

เทพร้ายตวัดมือออกไปด้านข้าง พริบตาเดียวก็มีแมลงไสยเวทตัวอ้วนพีนับพันตัวปรากฏขึ้นกลางอากาศรอบตัวของเขา แต่ละตัวมีควันสีดำโชยออกมาบ่งชัดว่ากินอำนาจมืดมาเต็มที่ ก้ามอันใหญ่โตกับหางติดอาวุธเป็นเหล็กในที่มีพิษร้ายส่ายไปมาอย่างมาดหมายพิชิตศัตรู พวกไคซัสตั้งท่าระวังโดยทันที

“ถึงพวกเจ้าจะมีกำลังเพียงหยิบมือ แต่ก็เป็นพวกมีฝีมือ เรื่องอะไรจะสู้โดยไม่มีพวกเล่า ลุยเลย!”

เพียงขาดเสียงเทพรัตติกาล ฝูงแมลงไสยเวทก็โถมเข้าโจมตีพวกไคซัสพร้อมกัน มหาเทพสงครามใช้วิชาดาบเสี้ยวจันทร์ทำลายไปได้บางส่วน ก่อนอัลล์กับองครักษ์สองตนจะบุกเข้าไปทำลายอีกกลุ่ม เพื่อเปิดทางให้เจ้านายเข้าถึงตัวเฮสเลนให้จงได้ แต่มีหรือที่เทพร้ายจะยอมให้เป็นเช่นนั้น มันตวัดมือครั้งหนึ่งแมลงไสยเวทก็รวมฝูงกันหนาแน่นบินหลบพวกอัลล์ไปได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนพุ่งเข้าใส่มหาเทพสงครามด้วยความเร็วปานสายฟ้า

เพียงพริบตาเทพอสูรหนุ่มก็ตกอยู่ในวงล้อมของแมลงร้ายจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า จิตสัมผัสก็เต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายที่พวกมันปล่อยออกมา แมลงร้ายยึดเกาะร่างกายของเขาอย่างแน่นหนาและพยายามใช้กางสอดเข้ามาตามช่องว่างของชุดเกราะเพื่อต่อยเนื้อหนังของเขา ทั้งที่เป็นแค่ฝูงแมลงแท้ ๆ แต่แรงยึดของมันกลับมากมายจนเขาขยับตัวไม่ถนัด หูก็ได้ยินแค่เสียงความเคลื่อนไหวยุบยับไปทั่วทั้งตัว ถ้าคนอื่นมาตกอยู่ในสภาพนี้คงกลัวจนเสียสติไปแล้ว ทว่าไคซัสกลับตั้งสมาธิแล้วเคลื่อนพลังในพริบตา

“มหาเทพ!”

พร้อมกับเสียงร้องอย่างตกใจของอัลล์ จู่ ๆ ก็เกิดการระเบิดจากใจกลางฝูงแมลงไสยเวทอย่างรุนแรง เปลวเพลิงเผาผลาญกลุ่มที่เกาะตัวไคซัสอยู่จนหมดสิ้น ส่วนที่เหลือถูกแรงระเบิดซัดปลิวกระจายไปหมด สร้างความประหลาดใจให้แก่เฮสเลนอย่างยิ่ง ก่อนทุกคนต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อมหาเทพสงครามกางปีกมังกรบินออกจากกองเพลิงในสภาพไร้รอยขีดข่วนและตรงเข้าใส่เทพร้ายโดยฉับพลัน เทพอสูรประชิดตัวฝ่ายตรงข้ามเร็วเสียจนเฮสเลนไม่น่ามีเวลาปกป้องตัวเองได้ หอกอัลเจอร์พุ่งผ่านอากาศตรงไปยังร่างเป้าหมายอย่างเร็ว!

เหล่าองครักษ์เบิ่งตากว้างด้วยความหวังว่าจะได้เห็นเทพร้ายถูกเสียบด้วยอาวุธของเจ้านาย ทว่าทุกคนกลับต้องประหลาดใจหลังเห็นไคซัสชะงักงันโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ตัวเฮสเลนก็อยู่ห่างแต่หนึ่งช่วงหอกเท่านั้น สักครู่มหาเทพสงครามก็ถอยออกมาเล็กน้อย กระทั่งเห็นนาซิลลาที่หมดสติอยู่ในอ้อมแขนของเทพรัตติกาล ปลายหอกที่สั่นเทาอยู่ห่างจากทรวงอกของเธอไปเพียงเล็กน้อย หลังจากมันเกือบจะต้องร่างเธอที่ปรากฏขึ้นเป็นโล่ให้เฮสเลนในวินาทีสุดท้าย

“ขี้ขลาด” คำบริภาษถูกเอ่ยอย่างเหยียดหยาม แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มรับด้วยใบหน้ามีความสุข

“ขอบใจ เจ้าเองก็ไม่เลวเหมือนกันนี่ บุกเข้ามาเร็วขนาดนั้นยังหยุดตัวเองไว้ได้ ไม่เสียงแรงจริง ๆ ที่เก็บเด็กคนนี้ไว้ใช้” เทพร้ายยิ้มกว้างอย่างน่ารังเกียจ ขณะละอองสีดำไหลเข้าไปในตัวนาซิลลาผ่านทางปากและจมูก “ดูท่าเจ้าจะอยากได้ตัวเด็กคนนี้กลับไปเหลือเกินนะ ก็ได้ ข้าจะคืนให้ แต่เจ้าต้องจัดการเอาเองนะ!”

ว่าแล้วเทพรัตติกาลก็เหวี่ยงตัวนาซิลลาไปหาไคซัส เทพอสูรหนุ่มก็ยื่นมือออกมาเพื่อรับตัวเธอกลับไปด้วย แต่ตอนที่ตัวเธอกำลังจะลอยมาถึงตัวเขา เด็กสาวก็ลืมตาขึ้นแล้วยื่นมือฉาบมนตราไปที่กลางอกเขาอย่างเร็ว ทว่ามหาเทพสงครามก็ไหวตัวทันและปัดมือนั้นพ้นตัวได้อย่างฉิวเฉียด ดวงเวทที่เธอจะยิงใส่กระเด็นไประเบิดกลางอากาศ เหล่าองครักษ์รีบรุดมาช่วยเหลือ แต่กลับถูกฝูงแมลงไสยเวทขัดขวางไว้เสียก่อน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นฝีมือของเฮสเลนทั้งสิ้น เขาเสกดาบเล่มหนึ่งมาอยู่ในมือของเด็กสาวและเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าที่เธอสวมให้เป็นชุดเกราะ จากนั้นก็เชิดเข้าโรมรันกับมหาเทพสงครามเหมือนตุ๊กตานักรบไม่ผิดเพี้ยน แต่ละดาบที่เธอฟาดใส่เขาหนักหน่วงและเฉียบคมเหมือนทหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี ทว่ามหาเทพสงครามก็หลบเลี่ยงได้เกือบทุกครั้ง คราวใดหลบไม่ได้ก็ใช้อัลเจอร์กระแทกออกไปเบา ๆ ก่อนถอยมาตั้งหลักในระยะที่ห่างกว่าเดิม ซ้ำยังต้องคอยระวังแมลงไสยเวทที่ไม่รู้จะมาทำร้ายตอนไหนไปด้วย เรียกว่าสู้ด้วยความยากลำบากพอสมควร

เฮสเลนดูจะสนุกกับสถานการณ์ตอนนี้ไม่น้อย เขาเชิดร่างเด็กสาวเข้าโจมตีไคซัสอย่างต่อเนื่อง พร้อม ๆ กับสั่งแมลงไสยเวทให้เล่นงานพวกองครักษ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ท้องฟ้าเหนือหุบเขาดำเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ฝ่ายเทพสวรรค์ดูจะเสียบเปรียบกว่าเล็กน้อย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูติดขัดไปเสียหมด ไม่เว้นแม้แต่ไคซัสที่เริ่มหลบเลี่ยงนาซิลลายากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเทพร้ายเชิดให้เธอใช้วิชาหายตัวโจมตีจากทิศทางต่าง ๆ ด้วยความเร็วสูง จนมาถึงดาบสุดท้ายซึ่งเด็กสาวปรากฏตัวเหนือร่างไคซัส ดาบเล่มเขื่องสับตรงไปยังศีรษะที่ไร้อาวุธป้องกัน แต่มหาเทพสงครามเบี่ยงตัวหลบได้แบบเส้นยาแดงผ่าแฝด และก่อนที่เทพจันทราจะทันตวัดอาวุธโจมตีในจังหวะที่สอง มือข้างหนึ่งก็คว้าแขนเธอจากทางด้านล่าง

“จับได้แล้ว!” อัลล์ที่รอจังหวะมาตลอดคำรามแล้วลากตัวเด็กสาวสู่ป่าดำเบื้องลางท่ามกลางความตกใจของเฮสเลน แล้วทุกอย่างก็เหมือนกลับตาลปัตรในทันทีทันใดนั้น เพราะเหล่าองครักษ์ทั้งห้ารวมพลังกันสร้างกำแพงอาคมสกัดแมลงไสยเวททั้งหมดไว้แล้วผลักดันออกไปโดยทันที

“อะไรกันน่ะ...อ๊ะ!!” คราวนี้เป็นเทพร้ายบ้างที่ต้องหลบเลี่ยงลูกไฟที่ไคซัสส่งออกมา มนต์เพลิงสีแดงฉานนับสิบลูกไล่ล่าเขาเหมือนหมาป่ากระหายเลือด ไม่ว่าจะหลบเลี่ยงไปทางไหนก็ตามไปอย่างไม่ลดละ ผลัดกันพุ่งมาเผาชุดที่เขาสวมใส่จนต้องทำลายทิ้งด้วยอำนาจของตัวเอง ก่อนจะหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับมหาเทพสงครามด้วยความโมโห ซึ่งเขาถึงกับนิ่งเมื่อเห็นนัยน์ตาสีส้มที่แสนเย็นชาคู่นั้น

“เจ้าคงไม่คิดจะหนีไปหรอกนะ เฮสเลน ถ้าอยากทำลายสวรรค์นักล่ะก็ต้องห้ามศพข้าไปก่อน!”

------------------

เข้าช่วงท้ายเรื่องแล้วจริงๆ ตัวร้ายตัวจริงออกมาแล้ว XD

ตอบคอมเมนต์

คุณ saruttaya ใช่เลยครับ ต้องโทษพ่อพิมพ์แท้ๆ ที่ทำให้ฟาเบียนเป็นแบบนี้ ;w;

คุณ padang สู้เองไม่ไหวแน่นอนครับ เทียบด้านพลังกันแล้ว ฟาเบียนมีพลังอ่อนด้อยกว่าเฮสเลนมาก อีกทั้งยังเป็นธาตุแสงที่แพ้ความมืดด้วย ปะทะกันตรงๆ แพ้แน่นอน แถมอีกฝ่ายยังเก่งขนาดที่จัดการกับขุนศึกไปหลายตน เจ้าตัวเลยดึงไคซัสมาแทน ทั้งปกป้องสวรรค์ด้วย จัดการเฮสเลนด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 18 up 08/09/13
«ตอบ #77 เมื่อ09-09-2013 07:09:01 »

เข้าด้ายเข้าเข็มแล้ว

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 18 up 08/09/13
«ตอบ #78 เมื่อ09-09-2013 21:49:51 »

บทที่ 19 ความนัยที่ถูกปิดซ่อน

ตูม...

เสียงระเบิดพลังของเฮสเลนดังข้ามมหานครแห่งสวรรค์มาถึงตำหนักพาเทร่าเลยทีเดียว มันเป็นเสียงแปลกปลอมที่ทำให้ทหารทั้งตำหนักตื่นตัวในทันที แต่สิ่งที่ทำให้ฮาธอสสะดุ้งตื่นจากห้วงนิทรากลับเป็นใบหน้าของพี่ชายฝาแฝดที่ส่งจิตแฝงมากับกระแสเสียง รอยยิ้มกักขฬะกับเสียงหัวเราะสาสมใจของอีกฝ่ายปรากฏชัดในมโนสำนึกของเขา ร่างสูงโปร่งนั่งตัวเกร็งบนเก้าอี้ เหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายเต็มหน้าผาก ดวงตาเบิ่งโพล่งด้วยความตกใจสุดขีด ก่อนจะเห็นชิ้นส่วนมือของผู้เป็นพี่เรืองแสงสีดำวาบ ๆ ราวกับตอบสนองต่ออำนาจของเจ้าตัว ซึ่งบัดนี้เขาสามารถจับจิตมืดอันเข้มข้นจากทิศเหนือได้อย่างชัดเจน

“ท่านพี่!”

ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงโปร่งลุกพรวดขึ้นตั้งใจจะวิ่งไปที่หน้าต่าง แต่ตอนนี้เองที่เขารู้ถึงความผิดปกติกับร่างกายของตนเอง ความอ่อนเพลียที่ติดตัวมาตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บหายไปแล้ว สมองปลอดโปร่งราวกับถูกชำระความเหนื่อยล้าไปจนหมด กล้ามเนื้อทุกมัดเปี่ยมกำลังวังชาจนเหมือนใหม่ แม้แต่อาการปวดท้องที่เคยรู้สึกก่อนจะหลับไปยังหายเป็นปลิดทิ้ง อำนาจภายในกายพลุ่งพล่านจนต้องรีบสะกดมันไว้ก่อนจะล้นทะลักออกมา ซึ่งเขาแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะพลังอันร้อนแรงนั้นแตกต่างจากมนตราของเขาอย่างสิ้นเชิง

เทพหนุ่มไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด เพราะพลังนั้นทรงอานุภาพเกินกว่าที่เขาจะกักเก็บด้วยตนเองได้ เขาทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ตัวเดิมและหลับตาตั้งสมาธิ จากนั้นก็แปรสภาพพลังแปลกปลอมให้เข้ากับอำนาจของตนช้า ๆ ความจริงมันเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลามาก โดยเฉพาะถ้าพลังที่ได้มาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่อำนาจนี้มีพื้นฐานเป็นความมืดเหมือนสายเลือดครึ่งหนึ่งของเขา ฮาธอสจึงปรับเฉพาะส่วนที่เข้ากับตนเองไม่ได้ก็พอแล้ว

ฮาธอสแทบไม่สงสัยเลยว่าใครเป็นเจ้าของพลังในตัวเขา เขาเคยสัมผัสอำนาจที่ร้อนผ่าวราวกับถูกโอบกอดนี้มาก่อน และภาพใบหน้าของไคซัสตอนถ่ายทอดพลังให้ยังจารลึกในความทรงจำ แต่คำถามคือมหาเทพสงครามทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อ ‘ให้’ เขาหรือ ฤามีเหตุผลอื่นกันแน่!

‘รอจนกว่าข้าจะกลับมานะ’

กระแสเสียงของไคซัสดังขึ้นในหัวเทพคนสวนอีกครั้ง หลังพลังแปลกปลอมส่วนสุดท้ายถ่ายทอดคำพูดที่ติดค้างอยู่ให้เขารับรู้ ก่อนจะถูกปรับให้เข้ากับอำนาจของฮาธอสไปในที่สุด ดวงตาสีน้ำเงินพลันเบิ่งโพล่งพร้อม ๆ กับความเข้าใจที่กระจ่างชัด

ไคซัสไม่อยู่แล้ว...

มหาเทพสงครามไปเผชิญหน้ากับพี่ชายฝาแฝดของเขาแล้ว!

ฮาธอสกระโจนพรวดไปที่ประตู แต่ทันทีที่มือของเขาจับลูกบิดประตูเพื่อเปิดมันก็ถูกดีดออกมาอย่างแรง เทพคนสวนกุมมือข้างนั้นด้วยความตกใจ ก่อนสังเกตเห็นว่าทั้งห้องถูกเคลือบด้วยมนตราที่แข็งแกร่งเอาเรื่อง

“มหาเทพ...” คำนั้นหลุดจากปากของฮาธอสโดยอัตโนมัติ เพราะจำพลังของไคซัสได้ดี “มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง!” เทพหนุ่มตัดสินใจทุบประตูและขอความช่วยเหลือจากคนข้างนอก “ข้ารู้ว่ามหาเทพไคซัสต้องให้คนเฝ้าไว้ ได้ยินเสียงของข้าไหม ตอบหน่อย!”

เขาตะโกนด้วยเสียงที่ดังที่สุดและทุบให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทุกครั้งที่มือกระทบกับบานทวาร เขตอาคมที่คลุมอยู่จะเรืองแสงสีส้มวาบทุกครั้ง ยิ่งทำให้เขาวิตกจริตกว่าเดิม

“เฮ้! ใครก็ได้ช่วยตอบข้าหน่อย!”

“ข้าได้ยินแล้ว” ฮาธอสถึงกับนิ่งเมื่อน้ำเสียงใสของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นในหัวสมองโดยตรง แม้เขาจะรู้จักไม่เทพมากนัก แต่ชายหนุ่มมั่นใจว่าตนจำเจ้าของน้ำเสียงไม่ผิด “เจ้าเพิ่งตื่นหรือ”

“ขอรับ มหาเทพไคซัสออกไปแล้วใช่ไหมขอรับ”

“ข้าคิดว่าเจ้ารู้คำตอบอยู่แล้วนะ” เจ้าของเสียงตอบอย่างเรียบลื่น “เจ้าอยากไปช่วยมหาเทพไคซัสรึ”

“ขอรับ ตอนนี้ท่านพี่ตื่นมาแล้ว มีแต่ข้าเท่านั้นที่เขาทำอะไรไม่ได้ ข้าอยากปกป้องสวรรค์ ช่วยเปิดประตูให้ข้าทีเถิด” ฮาธอสขอร้อง เพราะอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในเทพที่มีพลังเวทสูง น่าจะทำอะไรกับเขตอาคมของไคซัสได้บ้าง

“...เขตอาคมนี้...เปิดจากข้างนอกไม่ได้” ในที่สุดคำตอบก็กลับมาหลังคนที่อยู่อีกฝากเงียบไปนาน ทำให้ฮาธอสผิดหวังอย่างยิ่ง “แต่ก็มีวิธีเปิดจากข้างในอยู่นะ”

“ถ้าอย่างนั้น...”

“เจ้าไม่เชื่อใจมหาเทพสงครามหรือ”

ฮาธอสกำลังจะอ้าปากขอร้องด้วยความหวัง แต่ต้องชะงักงันเมื่อคู่สนทนาตั้งคำถามแทรกกลางปล้อง ถ้อยคำจากน้ำเสียงราบเรียบเปรียบได้กับเหล็กแหลมที่ทิ่มแทงใจเขาให้รีบตั้งสติหาคำตอบ

“เจ้าไม่รู้หรือว่ามหาเทพสงครามทำแบบนี้เพื่อใคร” คำถามที่สองถูกเอ่ยมาในจังหวะสับสนยิ่งทำให้ชายหนุ่มมึนงงไปกันใหญ่ “เจ้าทระนงในพลังของตัวเองเกินไปหรือเปล่า ถึงได้พยายามรับผิดชอบสิ่งที่เกินตัวแบบนี้ ไม่สิ...พวกเจ้าสองคนน่ะ เหมือนกัน แต่เจ้าทระนงตนมากกว่าเขา”

“ข้า...ไม่ได้ทระนงนะขอรับ” ฮาธอสปฏิเสธอย่างร้อนรน ไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายถามไปเพื่ออะไร

“ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อใจเทพอสูรสีแดงตนนั้น ปล่อยให้เขาทำหน้าที่ของตนเอง อย่างไรเสียเขาก็เป็นมหาเทพสงครามมีหน้าที่ต้องปกป้องสวรรค์อยู่แล้ว”

“แต่ว่า...!” เทพหนุ่มพูดได้แค่นั้นก็ต้องเอามือปิดปาก ไม่ใช่ว่าหาคำโต้เถียงไม่ได้ ทว่าชายหนุ่มกำลังพยายามลบภาพที่ติดตัวอยู่ออกไปต่างหาก ภาพของไคซัสที่ถูกพี่ชายของเขาสังหารด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่วินาทีที่เขาตระหนักว่ามหาเทพสงครามออกไปแล้ว

ฮาธอสรู้ดีว่าไคซัสเป็นเทพอสูรที่มีความสามารถ แต่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยได้รับบาดเจ็บจนร่างกายไม่สมบูรณ์มาจนถึงตอนนี้ ในขณะที่พี่ชายฝาแฝดของเขาก็เป็นเทพรัตติกาลที่แข็งแกร่งและโหดเหี้ยมมากตนหนึ่ง หากพลาดพลั้งขึ้นมามหาเทพสงครามคงไม่พ้นถูกฆ่าอย่างแน่นอน แค่คิดถึงความตายของไคซัส หัวใจของเขาก็แทบขาดวิ่น...เป็นครั้งแรกที่เทพคนสวนหวาดกลัวการสูญเสียใครสักคนเช่นนี้ กลัวจนอยากพังประตูออกไปเพื่อปกป้องเทพอสูรตนนั้น!

ทันใดนั้น ดวงตาสีน้ำเงินของฮาธอสก็เบิ่งตาด้วยความประหลาดใจ ถ้าลองทบทวนดูดี ๆ ล่ะก็ความคิดของเขากับไคซัสเหมือนกันมาก มหาเทพสงครามคงกลัวว่าจะมีใครมาทำอันตรายเขา เพราะเหตุการณ์ในอดีตไม่เพียงแต่ทำให้เขาเป็นศัตรูกับพี่ชายฝาแฝดเท่านั้น ทว่าตัวตนแท้จริงยังเป็นปรปักษ์กับสวรรค์อีกด้วย และคงจะกลัวด้วยว่าเมื่อเขาตื่นมาแล้วจะแล่นออกไปช่วยใครต่อใครแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง เทพอสูรจึงขังเขาไว้ในห้องและมอบพลังให้เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เป็นความปรารถนาดีที่แสนอ่อนโยนจนคนรับอดเจ็บปวดมิได้...

“เจ้าเข้าใจหรือยัง” เสียงหวานดังขึ้นอย่างเหมาะเจาะราวกับอ่านใจเขาอีกครั้ง “สิ่งที่มหาเทพสงครามกำลังทำไม่ใช่แค่การปกป้องสวรรค์ แต่เขากำลังทำให้เจ้าหลุดพ้นจากอดีตและมีชีวิตใหม่เป็นของตัวเอง เจ้าอยากทำลายความปรารถนาดีนี้กระนั้นหรือ”

เทพคนสวนที่อยู่ในห้องส่ายศีรษะเนิบช้า เขาได้เห็นแล้ว...ถึงความหวังดีที่ก่อนหน้านี้ถูกความวิตกจริตทำให้มองความไป จิตใจของเขาเหมือนถูกแยกออกเป็นสองส่วน ใจหนึ่งเป็นห่วงจนอยากออกไปช่วยมหาเทพสงครามเดี๋ยวนี้ แต่อีกใจก็ไม่อยากทำลายความปรารถนาดีที่อีกฝ่ายมอบให้...

ท่ามกลางความคิดสองกระแสที่ขัดแย้งกันจนสับสน ฮาธอสก็รู้สึกถึงจิตอีกดวงที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นจากทางเหนือ ชายหนุ่มหมุนตัวมองนอกหน้าต่างด้วยความตกใจ แน่นอนว่าต้องไม่เห็นสิ่งใด มีเพียงความรู้สึกเท่านั้นที่ยืนยันว่าจิตนั้นทรงพลังมิยิ่งหย่อนไปกว่าพี่ชายของเขาเลย อีกทั้งยังลุกโชติช่วงดั่งเปลวไฟแห่งชีวิตที่ไม่มีวันดับมอด การปรากฏตัวของมันราวกับคำปลอบโยนที่ทำให้เทพคนสวนสงบใจลงได้

บางทีคราวนี้ฮาธอสอาจเป็นห่วงไคซัสมากเกินไป...ถึงขั้นวิตกจริตจนไม่อาจเชื่อมั่นใจตัวไคซัสได้เต็มร้อย ทั้งที่อีกฝ่ายกำลังทำเพื่อสวรรค์...เพื่อตัวเขาอย่างเต็มที่ คงถึงเวลาเสียทีที่เขาจะมอบสิ่งที่ ‘เกินมือ’ ให้เทพอสูรจัดการและทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้

“ท่านหญิง” ฮาธอสหันกลับและเอ่ยไปทางประตู แม้จะไม่มีเสียงตอบมา ทว่าชายหนุ่มก็รู้ดีว่าคู่สนทนากำลังฟังอยู่ “ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านพยายามชี้ให้เห็นแล้วขอรับ ข้าจะเชื่อมั่นในตัวมหาเทพไคซัส แต่ข้าก็ไม่อยากรออยู่เฉย ๆ ให้ข้าได้ช่วยด้วยเถิด เป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้ ข้าอยากเป็นกำลังสนับสนุนมหาเทพไคซัสขอรับ!”

สุ้มเสียงในตอนท้าย ๆ ของเขามั่นคงจนเกือบเหมือนตอนเป็นปกติทีเดียว ความเงียบชั่วอึดใจต่อจากนั้นช่างยาวนานยิ่งในความรู้สึกเทพคนสวน แต่ในที่สุดเสียงหวานที่เขารอคอยก็ดังขึ้น

“ตกลง ในเมื่อเจ้ายืนยันขนาดนี้ ข้าก็มีงานดี ๆ สำหรับเจ้า” ชายหนุ่มที่ถูกขังไว้ในห้องยิ้มกว้างด้วยความดีใจทันใด “แต่ก่อนอื่นผนึกมือขวาของเฮสเลนไว้ก่อนดีกว่า ปล่อยไว้แบบนั้นไม่ดีแน่ เสร็จแล้วก็เอามันกลับมาที่ประตู ข้าจะสอนทุกอย่างกับเจ้าเอง”

---------------

อัลล์กอดตัวนาซิลลาแน่นในขณะที่ร่วงผ่านยอดไม้ไปยังพื้นเบื้องล่าง ชายหนุ่มรู้สึกว่าหลังของเขากระแทกกิ่งไม้อยู่หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเห็นจะแรงที่สุดเพราะฟาดเข้ากับกิ่งสนดำใหญ่จนตัวหมุนเคว้งและหล่นลงอย่างไร้การควบคุมชั่วขณะหนึ่ง ก่อนนายทหารหนุ่มจะพลิกตัวกลับมาอยู่ในท่าตรงและเรียกสายลมมาพยุงตัวพวกตนได้ทันเวลา กระแสลมเย็นนำตัวชายหนุ่มกับเด็กสาวทั้งสองลงพื้นอย่างนุ่มนวล

“นาซิลลา!” อัลล์ตรวจดูเทพจันทราเป็นอันดับแรก เพราะตั้งแต่ดึงตัวลงมาด้วยกัน เธอยังไม่ได้ขัดขืนเขาเลย นับว่าผิดนิสัยใจของเทพที่ถูกควบคุมจิตใจ ซึ่งผู้ควบคุมมักเชิดให้สู้ยิบตาเสมอ แล้วเขาก็พบว่านาซิลลาหมดสติไปแล้ว ดาบที่เฮสเลนเสกให้กำลังสลายไป หรือว่ามนตราของเทพร้ายจะเสื่อมลงแล้วกันแน่? “ตื่นสิ นาซิลลา เจ้าจะเป็นอะไรไม่ได้นะ ฮาธอสกำลังรอเจ้าอยู่!”

ชายหนุ่มเงื้อมือขึ้นสูงเพื่อตบหน้าเธอให้แรงกว่าเดิมอีกนิด แต่ชั่วพริบตานั้นเองที่นาซิลลาลืมตาจ้องมาที่เขาอย่างมุ่งมาด ดวงตาสีฟ้าไร้แววเรืองแสงสีน้ำเงินเหมือนเมื่อคืนนี้มิผิดเพี้ยน เพียงไม่กี่วินาทีอัลล์ก็หมดสติล้มพับไปข้าง ๆ แขนพาดกับตัวของเทพจันทรา

“น่าสมเพช” มิรู้ว่าจงใจหรือไม่ได้เจตนา แต่เสียงที่เอ่ยคำนั้นออกมาเป็นของนาซิลลาเอง เด็กสาวปัดแขนเขาออกจากตัวก่อนยืนขึ้นและเหยียดตามองอีกฝ่ายอย่างเกลียดชิง เมื่อเธอยกมือขึ้นเหนือศีรษะ ดาบเล่มเดิมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ข้าอุตส่าห์ไว้ชีวิตเจ้า เพราะเห็นแก่นาซิลลาที่น่าสงสาร แต่เมื่อเจ้ามารนหาที่ตายถึงที่ก็จะสนองให้ โทษตัวเองที่โง่มาติดกับเองเถอะ!”

สิ้นเสียง ร่างทรงของเทพร้ายก็ตวัดดาบลงมาอย่างเร็ว โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ลำคอของอัลล์ แต่คนที่ควรจะหลับไปแล้วกลับพลิกหลบมาทางเธอในวินาทีเกือบสุดท้าย ส่งผลให้ปลายดาบฝังลึกลงในเนื้อดินแข็งจนดึงไม่ออก จังหวะนั้นเองที่อัลล์พุ่งขึ้นมาจับบ่าบางและผลักลงไปนอนบนพื้น ร่างใหญ่ตามไปคล่อมบนตัวเธออย่างน่าหวาดเสียว สองมือหนากดไหล่เล็กติดพื้น นาซิลลาดิ้นขืนเต็มที่ แต่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ก็ไม่มีทางสู้แรงนายทหารตัวโตได้อยู่แล้ว

“เจ้า! เป็นไปได้อย่างไร!” คราวนี้เสียงที่คำรามคำพูดเป็นของเฮสเลน ขณะร่างทรงจ้องอัลล์เป๋ง ซึ่งเธอต้องตกใจเมื่อเห็นว่าในดวงตาของเขาเรืองแสงเวทแบบเดียวกับม่านตาอยู่ด้วย ชายหนุ่มคงคาดเดากลอุบายของเฮสเลนออกจึงป้องกันตัวไว้ล่วงหน้า

“ขอโทษด้วยนะ ถึงข้าจะไม่ใช่คนฉลาด แต่ก็ไม่โง่ขนาดจะตกหลุมพรางของเจ้าเป็นครั้งที่สองหรอก!” ใบหน้าคร้ามเข้มโน้มลงไปใกล้อีกฝ่าย กระซิบเสียงลอดไรฟัน “กลิ่นอายความมืดของเจ้าไม่เหมือนนาซิลลาสักนิด ถึงจะแกล้งสลบ ข้าก็ยังได้กลิ่นอยู่ดี คิดอยู่แล้วเชียวว่าเจ้าต้องทิ้งจิตบางส่วนไว้ด้วย คืนนาซิลลามาเดี๋ยวนี้”

“มีปัญญาก็มาเอาคืนไปเองสิ!”

ร่างทรงตวาดด้วยน้ำเสียงหวานของตนเองอีกครั้ง พร้อมผงกศีรษะขึ้นจ้องตาอัลล์หวังใช้มนตราอีกหน แต่คราวนี้อัลล์เร็วกว่า เพียงสบสายตาเขาก็ส่งจิตเข้าไปข้างในทันใด อึดใจต่อมาร่างจิตของเขาก็ปรากฏขึ้นในโลกมืดที่หนาวเย็นราวกับขั้วโลกเหนือ

ที่นี่คือห้วงจิตของนาซิลลา มิติชี้ลับที่เชื่อมโยงกายเนื้อกับจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน ซึ่งมีอยู่ในตัวอมนุษย์และมนุษย์ที่มีพลังเวททุกตน ไคซัสเคยมาเยือนที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง เพื่อตามหาต้นตอของพลังที่ควบคุมเด็กสาวไว้ในตอนแรก คราวนี้เป็นคิวของอัลล์ที่ต้องตามหาร่างจิตของเทพจันทราให้พบและปลดปล่อยเธอจากการควบคุมโดยตรง มันเป็นวิธีที่เสี่ยง แต่เพราะเฮสเลนทิ้งเศษเสี้ยวจิตของตนไว้ตัวอัปสรน้อยด้วย จึงมีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยเธอกลับมาอย่างสมบูรณ์ได้

“อัลล์...!” เสียงร้องเรียกโหยหวนดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ร่างสูงใหญ่หมุนตัวมองรอบ ๆ พร้อมแผ่พลังหยั่งรู้ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อกายเนื้อของเทพจันทราไปควานหาตัวเธอ เพียงครู่ร่างของเด็กสาวผมสีเงินยวงที่ถูกพันธนาการด้วยรยางค์สีดำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา เธอมีสีหน้าดีใจมากที่ได้เห็นชายหนุ่ม

“นาซิลลา!”

“ฮึก...ฮือ...”

อัลล์กำลังจะไปช่วยเทพจันทราตนนั้นอยู่แล้ว ในตอนที่แว่วยินเสียงสะอึกสะอื้นของเด็กสาวอีกตนจากด้านหลัง ครั้นหันกลับไปดูก็ต้องตกตะลึง เพราะเทพหญิงที่นั่งร้องไห้อยู่ในกรงนกขนาดใหญ่นั้นเหมือนกันนาซิลลาทุกกระเบียดนิ้ว เธอค่อย ๆ เบือนหน้ามามองเขาด้วยความรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง

“นี่มัน...” เขารำพึงขณะหันมองเด็กสาวทั้งคู่สลับไปมา

“อัลล์ ข้ากลัว ช่วยข้าด้วย” เด็กสาวที่ถูกพันธนาการขอร้อง

“อัลล์...ข้าขอโทษ...” เด็กสาวในกรงขังพูดด้วยสีหน้าปวดร้าว

ในความรู้สึกของชายที่อยู่ตรงกลาง เทพจันทราทั้งสองตนเหมือนกันประหนึ่งโขกพิมพ์เดียวกันมา สีหน้าที่แสดงออก น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ย แววตาที่สื่อความในใจล้วนเป็นแบบที่นาซิลลาทำให้เห็นเสมอ ทว่าต่อให้เป็นเทพที่มีความสามารถมากแค่ไหนก็ไม่ทีทางสร้างร่างจิตสองร่างในห้วงมิติเดียวกันได้แน่ ดังนั้นหนึ่งในสองคนนี้ต้องเป็นตัวปลอม เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเป็นใครเท่านั้น จะจับผิดด้วยพลังเวทก็ไม่ได้ เพราะบรรยากาศเต็มไปด้วยอำนาจของเทพร้ายจนแยกไม่ออก

“อัลล์กลับไปเถอะ มันเป็นกับดัก เจ้าไม่ควรมาตายแบบนี้!” เด็กสาวในกรงขังตะโกนบอก ทำให้เขาเห็นความแตกต่างจากตัวจริงเล็กน้อย เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยบอกให้ใครหนีไปตามลำพังมาก่อนเลย...

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 18 up 08/09/13
«ตอบ #79 เมื่อ09-09-2013 21:51:11 »

“อย่าไปฟังนางนะ ข้าอยู่นี่ไงล่ะ อัลล์!” เด็กสาวที่ถูกพันธนาการด้วยรยางค์ตะโกนบอก น้ำเสียงเจือความเอาแต่ใจนั้นคล้ายกับนาซิลลามากทีเดียว ซึ่งตัวจริงก็คงจะพูดแบบนี้หากอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน “อัลล์พาข้ากลับบ้านนะ ข้าอยากเจอฮาธอส อยากขอโทษเขาที่ทำให้เหตุการณ์วุ่นวายแบบนี้ อัลล์ต้องช่วยข้านะ”

“ข้าต้องช่วย ‘เจ้า’ อยู่แล้ว แต่ว่า...!” นายทหารมองเด็กสาวทั้งคู่สลับกันอย่างสับสน ไม่รู้จะเชื่อฝ่ายไหนดี โอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากผิดพลาดล่ะก็...ชีวิตของเขา...และนาซิลลาจะดับสูญโดยทันที

“อัลล์ ข้าไม่ขออะไรทั้งนั้น เจ้ากลับไปเถอะ กลับไปเดี๋ยวนี้เลย!” เด็กสาวในกรงขังตะโกนบอกอีกครั้ง น้ำเสียงเว้าวอนนั้นมีแต่ความรวดร้าว “ฝากบอกฮาธอสด้วย ว่าข้าขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ บอกเขาว่าอย่าให้อภัยข้าด้วย ข้าเป็นคนทำให้ทุกอย่างแย่ลงเอง”

“มองข้าสิ อัลล์!” เด็กสาวที่ถูกพันธนาการร้องเรียกอีกครั้ง คราวนี้เธอเริ่มมีน้ำตาให้เห็น ราวกับกลัวว่าเขาจะทิ้งเธอไว้และจากไปเพียงลำพัง “ข้าไม่อยากตายแบบนี้ ไม่อยากถูกควบคุมร่างแล้วด้วย อัลล์ช่วยข้านะ ข้าสัญญาว่าถ้ากลับไปแล้วจะเป็นเด็กดี”

“กลับไปซะ อัลล์ อย่าอยู่ที่นี่ กลับไปปกป้องพวกฮาธอสเถอะ กลับไป!”

“กรี๊ดดดด...!”

ยังไม่ทันขาดคำขอร้องของนาซิลลาในกรงขัง เสียงกรีดร้องอย่างตื่นกลัวของนาซิลลาที่ถูกมัดก็ดังขึ้นเล่นเอาหัวใจของอัลล์หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ชายหนุ่มหันไปดูก็เห็นเด็กสาวกำลังถูกรยางค์รัดตัวอยู่ดึงให้จมลงไปในความมืดทีละน้อย ร่างที่เล็กเหมือนแมลงดิ้นรนเต็มที่ด้วยความกลัวสุดขีด

“ไม่เอานะ ข้ายังไม่อยากตาย ช่วยด้วย อัลล์ช่วยข้าด้วย!” กรีดร้องพลางยื่นมือเรียวมาหาเขาจนสุดแขน แววตามีแต่ความตื่นตระหนกเหมือนลูกนกที่น่าสงสาร สายตานั้นบ่งชัดว่ามีแต่เขาเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเธอได้ สีหน้านั้นทำให้เขาคิดถึงตอนที่เด็กสาวย้ายไปอยู่ตำหนักซิมโฟเนียอาเรียใหม่ ๆ ครั้งหนึ่งเธอเคยตามหัวหน้านางกำนัลไปที่กองบัญชาการกองทัพสวรรค์และถูกพวกทหารนิสัยไม่ดีรังแก ตอนนั้นนาซิลลาก็ขอความช่วยเหลือจากเขาด้วยสีหน้าแบบเดียวกันนั้น

ร่างสูงใหญ่หมุนตัวไปหาเด็กสาวคนนั้น แววตามุ่งมั่นพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่เธอแล้ว ข้างหลังนั้นเด็กสาวที่ถูกขังลุกขึ้นมาเกาะลูกกรงและส่งเสียงตะโกนห้ามด้วยความตกใจสุดขีด

“อย่าไปทางนั้นนะ อัลล์ มันเป็นกับดัก กลับไป! กลับไปหาพวกฮาธอสเดี๋ยวนี้! ขอร้องล่ะ อัลล์ ฟังข้าหน่อยสิ!”

แม้ว่าปลายน้ำเสียงของเธอจะโหยหวนด้วยความสิ้นหวังอย่างน่าสงสาร แต่นายทหารหนุ่มก็ไม่สนใจและเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่อีกฝ่ายเฝ้ารอความช่วยเหลือจากเขาอย่างมีความหวัง ยิ่งเข้าใกล้ตัวเธอเท่าไหร่ ฝีเท้าของเขาก็เร็วขึ้นและกลายเป็นการวิ่งไปในที่สุด ฉากสีดำมืดเบื้องหลังเธอขยับไหวเล็กน้อยก่อนจะมีรยางค์อันแหลมคมพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง อัลล์กระโจนหลบกลุ่มแรกไปได้ ก่อนใช้พลังจิตสร้างดาบเสมือนจริงมาฟาดฟันกลุ่มที่สองจนขาดสะบั้น จากนั้นก็แทรกตัวผ่านกลุ่มที่สามสู่ตัวเด็กสาวที่ถูกจับกุมไว้

“อัลล์...อึก!”

น้ำเสียงแห่งความยินดีพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด เมื่อดาบของอัลล์ปักกลางทรวงอกของเด็กสาวแทนที่จะตัดรยางค์ที่มัดตัวเธออยู่ทิ้งไป นาซิลลาในกรงขังเบิ่งตามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตกใจ นายทหารหนุ่มกดดาบให้ฝั่งลึกและถ่ายพลังบางส่วนไปที่มันจนเรืองแสงสีม่วงจาง อำนาจนั้นตรึงร่างเล็กบางไว้กับความมืดจนดิ้นไม่หลุด

“ทะ...ทำไมกัน...” เด็กสาวมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ บนกระจกตาสีฟ้าสะท้อนใบหน้าเหี้ยมเกรียมของอัลล์อย่างแจ่มชัด

“แกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยไปก็เท่านั้นล่ะน่า ต่อให้เจ้าจำแลงกายเหมือนนาซิลลาแค่ไหน ข้าก็แยกออกอยู่ดี!” อัลล์ใช้นิ้วโป้งจิ้มหน้าอกข้างซ้ายของตน สายตามองอีกฝ่ายอย่างหยามหยัน “เพราะ ‘เสียง’ ของเจ้าทำให้ ‘ก้อนเนื้อ’ ที่เต้นอยู่ตรงนี้หวั่นไหวไม่ได้เลยนี่นา!”

คำพูดนั้นไม่เพียงแต่ทำให้คนที่เขากำลังคุยด้วยต้องตกใจ แต่ยังทำให้เด็กสาวในกรงขังปิดปากอย่างตกตะลึงอีกด้วย

นี่เป็นความลับที่อัลล์ไม่เคยบอกใครมาก่อน แม้แต่ฮาธอสที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้ ชายหนุ่มรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับนาซิลลาตอนไปเยี่ยมฮาธอสเมื่อเก้าปีก่อน ตอนแรกก็ตกใจที่หัวใจของตนตอบสนองต่อน้ำเสียงของเด็กสาว ทว่าก็ไม่ได้เอะใจไปมากกว่านั้นด้วยคิดว่าคงเป็นคุณสมบัติพิเศษของเทพที่มีความสามารถด้านดนตรี เพราะเพื่อนสนิทของเขาก็ปลอบโยนผู้คนได้ด้วยเสียงนุ่ม ๆ ของตนเองเช่นกัน

ทว่าหลังเวลาผ่านไปนานนับปี นายทหารหนุ่มมีประสบการณ์จากการพบปะและคบหาเพื่อนสาวหลายตน เขาจึงได้รู้ว่าไม่มีเสียงของผู้หญิงตนใดที่ทำให้หัวใจของตนหวั่นไหวได้อย่างนาซิลลาอีกแล้ว แต่อัลล์ตัดสินใจเก็บความพิเศษนี้ไว้คนเดียว เนื่องจากตอนนั้นไม่ค่อยได้พบนาซิลลาบ่อยนักและยังเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวตนหนึ่งอีกด้วย

แต่เมื่อนาซิลลาย้ายตามฮาธอสมาอยู่ที่พาเทร่า เขากับเธอจึงมีโอกาสพบและพูดคุยกันบ่อยกว่าเดิม ทุกครั้งที่ได้ยินเสียง...และได้เห็นรอยยิ้มสดใสของเด็กสาว หัวใจกับความรู้สึกก็เริ่มร่ำร้องหาตัวเธอในด้านที่อัลล์ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย แน่นอนว่าชายหนุ่มต้องปกปิดมันไว้ ด้วยรู้ดีว่าอัปสรน้อยแอบรักฮาธอสอยู่ แต่ไม่ว่าความรู้สึกของตนจะเปลี่ยนไปเช่นไร ความพิเศษที่เธอมีต่อเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง...

ตราบเท่าที่เสียงที่ได้ยินเกิดจาก ‘ตัวและจิต’ ของนาซิลลา หัวใจของเขาจะสั่นไหวทุกครั้งที่สดับ ซึ่งมันเกิดขึ้นกับเด็กสาวที่อยู่ในกรงขัง แม้ว่าสิ่งที่เธอพูดออกมานั้นจะไม่ค่อยเหมือนเวลาปกติเลยก็ตาม แต่ถ้าคิดดูดี ๆ ล่ะก็...หากเขาอยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงจะทำเหมือนเธอ

ยอมตายเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์

“อย่างนั้น...หรอกเหรอ...” นาซิลลาตัวปลอมอย่างนั้น...หรอกเหรอ...” นาซิลลาตัวปลอมก้มหน้าราวกับยอมรับความพ่ายแพ้ แต่พริบตาต่อมารยางค์ดำก็พุ่งจากฉากหลังมาแทงอัลล์ยังไม่ทันตั้งตัว! “แต่พวกเจ้าก็ต้องตายพร้อมกันอยู่ดี!”

สิ้นเสียงคำรามของเฮสเลนเอง รยางค์ที่มัดร่างจำแลงอยู่ก็คลายออกแล้วทะยานตรงไปหานาซิลลาในกรงขัง มีเสียงกรีดร้องอย่างตกใจกลัวของเด็กสาวดังขึ้นทันที อัลล์กัดฟันกรอดพลางสร้างดาบเสมือนจริงขึ้นมาอีกเล่ม จากนั้นก็ทุ่มพลังทั้งหมดหมุนตัวตวัดอาวุธฟาดฟันรยางค์ทั้งหมดจนขาดวิ่น ก่อนถึงตัวนาซิลลาในกรงขังอย่างฉิวเฉียด เมื่อลงพื้นได้ก็ต้องเอี้ยวตัวหลับพลังที่เฮสเลนยิงออกมา แล้วสืบเท้าเข้าไปใช้ดาบแทงร่างจำแลงอีกครั้ง!

“อึก...แกคิดเหรอว่าพลังเท่านี้จะทำอะไรข้าได้!” ร่างจิตของเฮสเลนตวัดกรงเล็บใส่อัลล์อย่างมาดหมาย แต่นายทหารหนุ่มก้มตัวลบได้และสร้างดาบเล่มที่สามขึ้นมาฟันมือทั้งสองข้างของมันจนขาด ก่อนปักกลางท้องของร่างเล็กตรงหน้า แววตามีแต่ความโหดเหี้ยมและมุ่งมั่นที่จะทำการให้สำเร็จ!

“เออ! ถ้าเจอกันตัวต่อตัวคงทำอะไรแกไม่ได้ แต่ถ้าเป็นร่างจิตกับข้าที่เกือบสมบูรณ์ล่ะก็ต้องทำได้แน่!”

ว่าแล้วเทพหนุ่มก็อัดพลังทั้งหมดลงไปที่ดาบซึ่งปักกลางอกร่างจำแลงอย่างเต็มที่ ปากบริกรรมคาถาสลายวิญญาณอันเป็นเวทต้องถามที่จะสอนเฉพาะทหารระดับสูงเช่นเขาเท่านั้น เฮสเลนเองก็พยายามต่อต้านเต็มที่ ทั้งใช้พลังผลักดันมนตราของอัลล์กลับไป...ถึงขนาดบังคับให้ความมืดเปลี่ยนเป็นรยางค์หลายสิบเส้นแทงทั่วร่างเขา พวกมันขยับไปมาทั้งที่ยังอยู่ในร่างของชายหนุ่ม ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นประหนึ่งถูกฉีกร่างทั้งเป็น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าร่างเนื้อของเขาต้องกระอักเลือดออกมาแล้วแน่ ๆ แต่หัวหน้าทหารแห่งพาเทร่ายังกัดฟันสวดคาถาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง!

ดาบเสมือนจริงทั้งสามเล่มกลายเป็นสื่อกลางส่งพลังของอัลล์กระจายไปทั่วร่างจิตของเฮสเลน ทำให้พลังชีวิตที่หล่อเลี้ยงก้อนจิตเล็ก ๆ นี้เริ่มเหือดแห้ง ร่างเล็กบางทรมานจนบิดเร่าไปมาและคำรามอย่างหัวเสีย เพราะอำนาจของอัลล์ไหลบ่าเข้ามาจนมันต้านไม่อยู่อีกแล้ว มันเริ่มดิ้นรนให้หลุดจากดาบทั้งสองเล่มแบบไม่สนใจเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตนเองบ้าง ร่างจำแลงเริ่มแตกร้าวจนเห็นแสงเวทสีม่วงที่ไหลพล่านอยู่ในนั้น ยิ่งอัลล์สวดคาถาใกล้จบเท่าไหร่ พลังของเขาก็ยิ่งสำแดงอำนาจมากขึ้นเท่านั้น!

“หยุด...แกอยากให้เด็กคนนั้นตายไปด้วยเหรอ!”

ร่างจิตของเฮสเลนชี้แขนด้วน ๆ ไปยังนาซิลลาที่นอนดิ้นทุรนทุรายบนพื้น ถึงอัลล์จะไม่ได้หันไปมองก็ได้ยินเสียงร้องครางอย่างทรมานของเด็กสาวอย่างชัดเจน เพราะการต่อสู้เกิดขึ้นในร่างจิตของเธอ เทพจันทราจึงได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ แต่อัลล์ยังแข็งใจสวดคาถาต่อไป ทำให้ร่างจิตของเฮสเลสดิ้นพราดหนักกว่าเดิม

“หยุด! หยุดเซ่!” มันคำรามแล้วอ้าปากยิงพลังสีดำใส่อัลล์ในระยะประชิด แต่ทหารหนุ่มเอี้ยวศีรษะหลบได้ยังผลให้พลังนั้นตกลงพื้น ซึ่งแน่นอนว่าต้องทำให้นาซิลลาเจ็บปวดซึ่งมีผลมาถึงหัวใจของชายหนุ่มเช่นกัน กระนั้นเขายังยึดดาบที่ปักกลางอกร่างจิตของศัตรูแน่น พลังเวทของเขาในตัวมันเรืองเปล่งอำนาจจนถึงขีดสุด

“คงหยุดไม่ได้หรอก ข้าต้องช่วยนาซิลลา...สลาย!”

ทันทีที่ขาดเสียงปลดปล่อยมนตรา เวทสลายวิญญาณก็ระเบิดจากภายในฉีกร่างจิตของเทพร้ายให้แหลกเป็นชิ้น ๆ และกลืนกินพลังกับเวทมนต์ของเทพรัตติกาลในพริบตา แต่แรงสะท้อนคล้ายแรงระเบิดที่เกิดขึ้นกลับกระแทกจิตของอัลล์กลับสู่ร่างอย่างรุนแรง...แรงเสียจนกายเนื้อของเขากระเด็นไปชนต้นไม้หินอย่างจัง เขากระอักเลือดออกมาคำใหญ่ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวรวมถึงจุดที่ถูกทำร้ายในห้วงจิตด้วย แต่แม้จะทรมานจนแทบทนไม่ไหว ชายหนุ่มก็ยังกัดฟันคลานกลับไปหานาซิลลาที่มีนอนขดคู้และมีเลือดไหลออกจากปากกับจมูกเหมือนเขา

“นาซิลลาเป็นอย่างไรบ้าง!” เขากอบตัวเอมาอยู่ในอ้อนแขนอย่างลำบาก อาการบาดเจ็บทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างใจนึก แต่ชายหนุ่มยังอดทนใช้พลังตรวจสอบอาการของนาซิลลาให้ดี ตอนนี้ชายหนุ่มไม่รู้สึกถึงพลังของเฮสเลนแล้ว แต่พลังชีวิตของเด็กสาวกลับอ่อนแอจนน่าตกใจ ภายในของเธอก็บาดเจ็บสาหัสพอ ๆ กับเขา มันเป็นผลจากการที่ถูกเฮสเลนบังคับร่างของเธอให้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

“อัลล์...” ในที่สุดเด็กสาวก็ลืมตามองเขาจนได้ เธออยากจะยกมือขึ้นมาสัมผัสตัวเขา แต่แขนและขากลับไม่มีเรี่ยวแรงเลย ถ้าจะพูดให้ถูกคือ...เธอแทบไม่รู้สึกถึงร่างกายของตัวเองเลยด้วยซ้ำ “ปลอดภัยดีใช่ไหม...ข้า...ขอโทษนะ...”

“ขอโทษแบบนี้ไม่สมเป็นเจ้าเลย นาซิลลา” อัลล์กระชับตัวเธอแน่นเตรียมจะลุกขึ้น แต่อาการบาดเจ็บภายในกลับรุนแรงจนแทบขยับไม่ไหว แม้จะรีบใช้พลังเยียวยาทันที ทว่าก็ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าพละกำลังจะกลับคืนมามากพอพานาซิลลากลับมหานครแห่งสวรรค์ได้

“ต้องขอโทษสิ...” เด็กสาวพูดเสียงแหบโหย กะพริบตาช้า ๆ เหมือนกับคนที่ง่วงจัดจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ พลังชีวิตที่อ่อนแอกำลังทำให้ร่างกายของเธอจำศีล แต่เด็กสาวยังฝืนเพื่อพูดความในใจ “ข้าโง่เอง ทุกคนถึงเดือดร้อนอย่างนี้ อัลล์ต้องมาเจ็บแบบนี้ ฮาธอสด้วย...”

“เลิกพูดไร้สาระ เก็บพลังไว้เถอะ แต่ห้ามหลับเด็ดขาด ถึงตายข้าก็จะพาเจ้ากลับไปหาฮาธอสให้ได้!”

อัลล์คำรามและรวบรวมพละกำลังเพื่อลุกขึ้นยืน ทุกอณูในร่างกายส่งเสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวดจนสุดจะทน เลือดไหลย้อนมาอยู่ในปาก บางส่วนล้นจนหยดลงบนตัวเด็กสาว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องยืนนิ่งและฝืนกลืนเขายืนนิ่งและฝืนกลืนทั้งหมดนั้นลงคอไปแล้วออกเดินเพื่อพานาซิลลากลับเมือง

แต่ทันใดนั้นเองโสตประสาทของชายหนุ่มก็แว่วยินเสียงหวีดดังมาจากบนฟ้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงเวทสีดำกำลังตกลงในป่า ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขาอยู่นัก สัญชาตญาณสั่งให้เขารีบวิ่งไปหลบหลังต้นไม้หินต้นใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที ซึ่งเพียงร่างของทหารหนุ่มกับเทพจันทราเร้นหายไปหลังเงาไม้ เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องตามด้วยแรงระเบิดที่ซัดไปทั่วทุกทิศ เขาต้องใช้ร่างกายของตนเองปกป้องเด็กสาวไว้มิให้ถูกฝุ่นทราย หรือแม้แต่เศษกิ่งไม้หินที่ถูกซัดมาปลิวใส่เสียก่อน เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วก็เงยหน้ามองเบื้องบน

“เริ่มกันแล้วสินะ นาซิลลาอดทนอีกนิด มหาเทพไคซัสกำลังจัดการกับเฮสเลนอยู่” อัลล์บอกกับเด็กสาวในอ้อมแขน เธอจึงปรือตาขึ้นมองเขาอีกครั้ง แววตาที่เลื่อนลอยนั้นทำให้เขารู้สึกใจหาย

“ข้า...ไม่เป็นไร...อัลล์ไปช่วย...เขาเถอะ...” เทพจันทราพูดเสียงแผ่วจนต้องก้มลงมาฟังใกล้ ๆ ถึงจะรู้เรื่อง “ข้า...เป็นคนทำ...ให้เสีย...เรื่อง...ดังนั้น...ไม่ต้องสนใจ...เฮสเลน...ตั้งใจ...จะทำลาย...มหา...นคร...เจ้าต้อง...ช่วยเขา...จัดการมัน...ให้ได้...”

“ข้าก็อยากทำแบบนั้นนะ แต่ข้าบาดเจ็บอยู่ไม่มีพลังพอช่วยเขา สำคัญที่สุดข้าทิ้งเจ้าไปไม่ได้!” อัลล์หมายความเช่นนั้นจริง ๆ เพราะเขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายไปกับการวิ่งหนีดวงเวทเมื่อกี้แล้ว ตอนนี้ขาของเขาสั่นจนขยับไม่ไหว นับประสาอะไรกับการไปช่วยมหาเทพสงครามเล่า และเจ้านายของเขาก็คงไม่พอใจแน่ ถ้าเขาจะทิ้งนาซิลลาไว้ที่นี่แล้วไปช่วยเจ้าตัวจัดการกับเฮสเลน

“ถ้าอย่างนั้น...ก็ไปหา...ฮาธอส...ไม่ต้องห่วง...ข้า...” นาซิลลาส่งสายตาเว้าวอนระคนสำนึกผิดมาหาเขา “เป็นเพราะข้า...เรื่องถึง...ได้แย่ลง...แบบนี้....ข้าโง่เอง...ที่เชื่อคำพูด...ของมัน...ถ้าข้ายอมรับ...ความผิดหวัง...ได้...คงไม่เป็น...แบบนี้...”

“พอแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” อัลล์ตระกองกอดร่างบางแนบอก ถ่ายทอดพลังชีวิตของตนให้เธอ หวังเพียงประคับประคองชีวิตของเด็กสาวให้ถึงที่สุดเท่านั้น เขาเพิ่งจะเปิดเผยความในใจให้เธอรู้ เพิ่งจะช่วยชีวิตเธอกลับมาได้เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ดังนั้นเขาจะไม่ยอมเสียเธอไปเด็ดขาด ถ้าจะตาย...ก็ขอตายด้วยกัน!

นาซิลลานั่งนิ่งในอ้อมแขนของเขา รวบรวมพละกำลังเพื่อคิดและสรรหาคำพูดมาเกลี่ยกล่อมให้อัลล์เลิกช่วยตนและกลับไปช่วยเจ้านายเท่าที่จะทำได้ เทพจันทรารู้ดีว่าการกระทำแบบนี้ดูไม่เหมือนตัวจริงที่ค่อนข้างจะเอาแต่ใจเท่าไหร่นัก แต่ในฐานะของคนที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลง เธอก็ควรจะรับผิดชอบบ้าง มหาเทพสงครามเองก็จำเป็นต้องมีใครสักคนช่วยด้วย

ทว่ายิ่งเธอปล่อยเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ สติก็ยิ่งลดน้อยถ้อยลงตามระดับพลังชีวิตที่กำลังจะเข้าสู่สภาวะจำศีล สมองขาวโพลนจนแทบคิดและทำความเข้าใจไม่ได้อีกแล้ว รับรู้ได้เพียงความอบอุ่นจากตัวกับพลังของอัลล์เท่านั้น นายทหารหนุ่มกอดเธอแน่นขึ้นคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น...

“อัลล์...”

“ว่าอย่างไร พูดมาเลย ข้ากำลังฟังอยู่” อัลล์ขยับตัวเธอขึ้นมาใกล้หูอีกนิด ตั้งใจฟังสิ่งที่เด็กสาวกำลังพูด แต่อีกนัยหนึ่งเขาก็กำลังกลบเกลื่อนไม่ให้เธอเห็นน้ำตาของเขาด้วยเช่นกัน

“สัญญา...รอนะ...ข้าจะหลับ...ไม่นาน...หรอก...” เสียงหวานทักทอคำพูดด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ ดวงตาของเธอไม่สามารถปรือมองเขาได้อีกแล้วด้วยซ้ำ เสียงสูดจมูกของเขาก็คล้ายแว่วดังมาจากที่ไกล ๆ “ข้า...อยากคุย...กับเจ้าอีก...”

“ได้! ข้าจะคุยกับเจ้าทุกอย่าง แต่ห้ามหลับเด็ดขาดนะ ได้ยินที่ข้าพูดไหม!”

ถึงแม้ว่าอัลล์จะตะโกนจนสุดเสียงของตนแล้ว แต่คำพูดของชายหนุ่มก็ไม่อาจส่งถึงนาซิลลาได้อีกต่อไป สติของเด็กสาวดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทราอันล้ำลึกสุดจะถึงก้นบึ้ง สิ่งเดียวที่เธอรับรู้มีเพียงวาจาที่เค้นพลังเฮือกสุดท้ายคิดขึ้นเพื่อจะพูดออกไป...โดยไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้น...

ข้าอยากจะรู้...ให้มากกว่านี้...

...เรื่องที่เจ้ารักข้า...


-----------------

และแล้ว....ความลับของหัวใจก็ถูกเปิดเผย =w="

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 18 up 08/09/13
« ตอบ #79 เมื่อ: 09-09-2013 21:51:11 »





ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 19 up 09/09/13
«ตอบ #80 เมื่อ10-09-2013 01:32:41 »

ในที่สุดหล่อนก็สำนึกได้

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 19 up 09/09/13
«ตอบ #81 เมื่อ11-09-2013 19:17:02 »

บทที่ 20 ศึกสยบเทพสวรรค์

“เฮงซวย แย่ที่สุด...สารเลว!”

เฮสเลนวิ่งลัดเลาะผ่านป่าที่เต็มไปด้วยความเร็วสูง มือที่มีอยู่ข้างเดียวกุมดาบในท่าพร้อมรับการโจมตีทุกรูปแบบ อีกข้างที่มีละอองสีดำฟุ้งออกจากส่วนที่ขาดเรืองแสงแห่งมนตราบาง ๆ ปากก็สบถถ้อยคำหยาบคายสารพัดที่นึกขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ขณะดวงตากลอกไปมาจับความเคลื่อนไหวผิดปกติไปด้วย

เพียงทันทีที่สัมผัสได้ว่าอัลล์ทำลายจิตของเฮสเลนในตัวนาซิลลาได้แล้ว ไคซัสที่คุมเชิงอยู่ในระหว่างที่องครักษ์ช่วยกันกำจัดฝูงแมลงไสยเวทให้หมดก็เข้าโจมตีเฮสเลนทันที เทพรัตติกาลหลบเลี่ยงมาได้และตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปกำจัดนาซิลลากับอัลล์เป็นการแก้แค้นฐานทำให้เขาเกือบเสียท่าให้มหาเทพสงคราม

ทว่าตอนที่กำลังวิ่งผ่านลานโล่งเล็ก ๆ ที่อยู่ระหว่างทาง จู่ ๆ ก็มีพลังเวทสีฟ้าดวงใหญ่ยิงใส่กะทันหัน เทพร้ายรวมพลังไว้ที่ดาบแล้วปัดมันกลับคืนเข้าของซึ่งก็คือ หนึ่งในองครักษ์ของไคซัสนั่นเอง แต่ในจังหวะที่ละสายตาไปก็มีองครักษ์สองตนโผล่มาเสือกดาบใส่ตรง ๆ ทางด้านหน้า เฮสเลนทะยานตัวขึ้นด้านบนพร้อมสะบัดอาวุธหมายจะสังหารพวกนั้นด้วยเวทดาบจันทร์เสี้ยว แต่องครักษ์คนที่สี่ซึ่งซ่อนตัวอยู่กลับยิงเขาด้วยลูกศรแสงจนเสียโอกาส เทพร้ายคำรามอย่างโมโหแล้วอัดพลังเวทที่แข็งแกร่งกว่ากลับไป ทว่าองครักษ์อีกคนก็ปรากฏตัวจากเงามืดมากางโล่มนตราป้องกันไว้ได้ทันเวลา

“เฮงซวย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี พวกทหารก็เฮงซวย!!”

เทพร้ายผมสีดำตวาดอย่างหัวเสียและหมุนตัวกลับไปตวัดดาบใส่แนวต้นไม้ที่เพิ่งวิ่งผ่านมา ใบมีดเวทมนต์ขนาดเล็กนับสิบเล่มบินไปสะบั้นพฤกษาศิลาสี่ต้นขาดเป็นชิ้น ๆ โค่นลงมาขวางทางพวกราชองครักษ์ทำให้เสียจังหวะกันไปหมด แต่ยังไม่ทันที่เฮสเลนจะได้ขยับไปไหนไกล พลันมีแสงสีส้มตกลงมาจากข้างบนอย่างเร็ว!

เสียงศัตราวุธเหล็กกล้าปะทะกันอย่างแรงกังวานไปทั่วบริเวณนั้น เหล่าองครักษ์รีบกระจายกำลังล้อมไว้ บางส่วนแยกออกไปจัดการกับแมลงไสยเวทฝูงเล็ก ๆ ที่ไล่ตามเจ้าของแสงสีส้มมา ในขณะที่เทพร้ายใช้แขนเสริมแรงดาบไว้มิให้หอกของมหาเทพสงครามผ่านมาต้องร่างตนเองได้

“ฮึ่ม! แข็งแรงจังนะ” มันกัดฟันกรอด

“เจ้าเองก็เหมือนกัน มีแขนข้างเดียว แต่รับมือกับคนของข้าได้สบายเลย” ไคซัสว่าพลางออกแรงกดอีกนิดส่งผลให้อีกฝ่ายทรุดลงบนเข่าข้างหนึ่ง

“แต่ยังไม่เท่ากับเจ้าหรอก ไปเอาแรงควายแบบนี้มาจากไหน!”

ขาดเสียงตวาด ดวงตาสีน้ำเงินของเฮสเลนก็เปล่งแสงสีแดงฉาน ไคซัสรีบเอียงหน้าหลบไปข้าง ๆ ได้ทันเวลา แม้ว่าผมจะถูกพลังนั้นเผาไปสองสามเส้น เฮสเลนกระแทกตัวมหาเทพสงครามออกไป ก่อนจะเป็นฝ่ายบุกบ้างเพื่อชิงความได้เปรียบ ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเติบโตมาท่ามกลางอาชญากรหรืออย่างไร ดาบของมันจึงเล็งช่องโหว่ของไคซัสอย่างแม่นยำเกือบทุกครั้ง อีกทั้งยังอาศัยรูปร่างที่ปราดเปรียวกว่าหลบหลีกการโจมตีได้อย่างคล่องแคล้ว พร้อมกันนั้นก็บังคับฝูงแมลงไสยเวทเข้าเล่นงานพวกองครักษ์มิให้มาขัดขวางการต่อสู้ของพวกเขาอีกด้วย

“เสร็จข้าล่ะ!” เฮสเลนแสยะยิ้มสาแก่ใจเมื่อไล่ต้อนไคซัสไปจนมุมใต้ต้นสนหินยักษ์ขนาดใหญ่ได้ มันเสือกดาบฉาบมนตราเข้าไปอย่างเร็วหมายเผด็จศึกนี้ มหาเทพสงครามปัดมันออกไปด้วยมือเปล่า แต่ทันทีที่ดาบฝังลึกลงในเนื้อไม้หิน เทพร้ายก็ใช้พลังเวทเคลือบใบดาบแล้วตวัดใส่ไคซัสทันใด มหาเทพสงครามต้องกระโดดหลบไปข้าง ๆ แต่เหมือนจะยังไม่สาแก่ใจ เทพร้ายจึงทะยานเข้ามาฟาดดาบใส่มหาเทพสงครามอย่างแรง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไหนบอกว่าจะจัดการกับข้าไงล่ะ ทำแค่นี้ฆ่าข้าไม่ได้หรอกนะ!” แล้วใบหน้าที่เหมือนกับฮาธอสก็เหยียดยิ้มหวานที่ดูน่ารังเกียจอย่างยิ่ง “หรือเพราะหน้าของข้าเหมือนฮาธอส เจ้าเลยไม่กล้าลงมือ...”

“อย่าล้อเล่นนะ”

“ถ้าอย่างนั้นมันเพราะอะไรกันล่ะ เมื่อร้อยปีก่อนเจ้าเล่นงานร่างจิตของข้าได้ง่าย ๆ แต่ทำไมเจอกันอีกทีถึงกลายเป็นไอ้อ่อนแอไปแล้ว!”

เฮสเลนกระแทกดาบกลับอย่างกะทันหันทำให้ไคซัสตกใจ ชายหนุ่มฉวยโอกาสนั้นหวดด้ามดาบใส่อย่างไม่ปรานี แรงกระแทกหนักหน่วงขนาดทำให้มหาเทพสงครามเกือบล้มทั้งยืน แต่เทพร้ายเตะสวนขึ้นมาทำให้เขาต้องพลิกตัวหลบและล้มกลิ้งไปบนพื้น ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหลบลูกไฟกว่าสิบลูกที่เทพรัตติกาลยิงใส่ สุดท้ายก็กระโดดหลบไปข้างหน้าสุดแรง เมื่อมนต์เพลิงลูกใหญ่ถูกยิงมาโดนไม้อีกต้นจนเกิดไฟลุกท่วมไปถึงยอด โชคดีที่เป็นป่าหินจึงไม่มีอันตรายมากกว่านั้น ทว่าไคซัสก็ต้องรับมือกับเฮสเลนต่อหลังทะยานเข้ามาโรมรันดาบใส่เขา

ถึงจะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ทว่ายิ่งไคซัสสู้กับเฮสเลนเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นความแตกต่างที่ฮาธอสเคยเล่าไว้ พวกเขาพี่น้องแตกต่างกันสุดขั้ว เทพคนสวนนั้นมีจิตใจที่ใสสะอาดและพร้อมเสียสละเพื่อคนอื่นอย่างไม่เสียดาย กลิ่นกายหอมบริสุทธิ์สมเป็นเทพที่เกิดบนสวรรค์ แต่จิตใจของเทพร้ายกลับถูกย้อมด้วยความมืด อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความกระหายการฆ่าฟัน เนื้อตัวก็เหม็นโฉ่ไปด้วยคาวเลือด ชั่วชีวิตของไคซัสเพิ่งเคยเจออมนุษย์ที่น่าขยะแขยงขนาดนี้เป็นครั้งที่แรก หากไม่นับจอมอสูรที่เขาเคยชิงบัลลังก์มากับจอมมารแห่งเผ่าปีศาจที่เคยสังหารไป

ดาบเล่มเพรียวแต่อันตรายด้วยเวทมนต์ที่ฉาบคมมีดเสือกเข้ามาเฉียดลำคอไคซัสอีกหน เทพอสูรหวดอัลเจอร์กลับเป็นการตอบโต้ แต่เฮสเลนหลบเลี่ยงด้วยวิชาหายตัวแล้วไปปรากฏตัวเตะมหาเทพสงครามจากทางด้านหลัง ร่างสูงใหญ่กระเด็นหวือไปชนต้นไม้ใหญ่อย่างไม่เป็นท่าอีกรอบ

“ให้ตายสิ ทำไมยิ่งสู้ยิ่งอ่อนเล่า!” เทพร้ายเดินเข้ามาใกล้ช้า ๆ แขนขวาที่ไร้มือโบกไปมาจนละอองดำฟุ้งกระจายไปทั่ว ไคซัสหยัดตัวยืนขึ้นมาได้ก็ต้องยกอัลเจอร์ป้องกันศีรษะไว้อีกครั้ง เมื่อเฮสเลนมาปรากฏตัวต่อหน้าอย่างกะทันหันและสะบัดดาบใส่ด้วยความเร็วแสง อาวุธทั้งสองเล่มปะทะกันจนเกิดเสียงกังวานขึ้นอีกหน

“หึ! ความแข็งแกร่งของเจ้าไปไหนแล้ว เทพอสูร เป็นแบบนี้ เจ้าได้ตายแน่!”

ดาบถูกดึงออกไปในเสี้ยววินาทีที่ขาดเสียง ก่อนแขนขวาที่ไร้มือจะหวดใส่ศีรษะของมหาเทพสงครามเข้าเต็มรัก เพราะฉาบมนตราไว้อีกชั้นจึงสามารถเล่นงานคู่ต่อสู้ได้เสมือนต่อยด้วยหมัดจริง ๆ แต่เทพอสูรยังใจแข็งพอตวัดตามองอีกฝ่ายอย่างเกลียดชัง และตอนนี้เองที่กระแสจิตของเขารับรู้ความเคลื่อนไหวจากอีกจุดหนึ่งได้

“ไปกันหมดแล้วสินะ...”

“หืม? ว่าอะไรนะ” เพราะเสียงเปรยของอีกฝ่ายเบาเกินไป เฮสเลนจึงเอียงหูไปฟังให้ถนัด

แต่ทันใดนั้นเอง กำปั้นที่ใหญ่โตเหมือนค้อนหุ้มด้วยเกราะเหล็กกล้าก็ยิงสวนมาอัดแก้มของเทพร้ายอย่างจัง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ใบหน้าคมสะบัดหัน ฟันกรามหลุดจากปากไปหนึ่งซี่ แต่ยังทำให้ร่างสูงโปร่งลอยละลิ่วออกไปเหมือนตุ๊กตาไส้ขนนก เหมือนจะยังไม่พอใจมหาเทพสงครามจึงหายตัวไปปรากฏใกล้ ๆ แล้วเตะกลางลำตัวจนจุกไปหมด มือใหญ่คว้ากลางกระหม่อมศัตรูแล้วบีบแน่นจนร้องเสียงหลง จากนั้นก็เสริมกำลังแขนด้วยมนตราแล้วขวางออกไปประหนึ่งเทพร้ายเป็นเพียงหินเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น!

เฮสเลนเจ็บปวดจนไม่รู้อีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนอีกบ้าง รู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่หลังไปกระแทกเข้ากับต้นสนใหญ่ที่หลอมละลายจากดวงเวทที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ ตัวเขานิ่งค้างอยู่ตรงนั้นสักครู่ก่อนลื่นพรืดตกลงไปยังก้นหลุมระเบิดที่ร้อนจัดจนมีควันโชยกรุ่น มันลวกผิวเนื้อตัวเขาอย่างรุนแรงจนต้องรีบตะเกียกตะกายขึ้นมาด้วยกำลังเท่าที่มีอยู่ เจ็บปวดและแสบร้อนไปทั้งตัวอย่างที่ไม่เคยมาก่อน

“อะไรวะ...เกิด...อั่ก!” ชายหนุ่มผมดำเพิ่งคลานจนพ้นปากหลุมมาได้ไม่ไกลก็ถูกไคซัสที่ถามมาถึงกระทืบกลางหลังอย่างไม่ออมแรงสักนิด ความเจ็บปวดที่ซ่านขึ้นมาทำให้เทพร้ายหมดแรงไปชั่วขณะ

“แกถามว่าข้าสู้ไปเพื่ออะไรใช่ไหม” ไคซัสบดเท้าราวกับขยี้แมลงตัวจ๋อย เสียงร้องครวญของเทพรัตติกาลพร้อมกับละอองสีดำที่ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ “มาถึงตรงนี้แล้ว แกเข้าใจหรือยังว่าข้าสู้เพื่ออะไร”

ชายหนุ่มที่ถูกเหยียบอยากจะแหกปากบอกเหลือเกินกว่า ‘ไม่รู้’ แต่เขากลับฉุกใจได้ในตอนนี้เองว่าจุดที่พวกตนอยู่นั้นเป็นที่ไหน มันคือบริเวณที่อัลล์กับนาซิลลาซึ่งเป้าหมายในการแก้แค้นเคยอยู่ ทว่าบัดนี้เทพชายหญิงทั้งสองตนได้หายตัวไปแล้ว รวมถึงองครักษ์ของมหาเทพสงครามด้วย

“โกหกน่า...อย่าบอกนะว่า...อั่ก!”

“ฉลาดแล้วเรอะ?” มหาเทพสงครามออกแรงบดขยี้ที่เท้าอีกครั้ง “เจ้าเป็นคนเก่งก็จริง แต่พอเริ่มสู้จริงเมื่อไหร่ก็จะสติแตกมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียวจนลืมรอบข้างไปหมด ข้าสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้วก็เลยสั่งพวกทหารผ่านกระแสจิตให้พาอัลวินกับนาซิลลาหนีไปในระหว่างที่ข้าล่อเจ้าไว้ล่ะ”

“หนอยแน่...อ๊าก!” เทพร้ายส่งเสียงร้องดังเมื่อน้ำหนักเท้าบนหลังเพิ่มมากขึ้น รู้สึกอึดอัดและเจ็บเหมือนตัวเองเป็นแมลงที่กำลังถูกอีกฝ่ายบดขยี้ให้ตายอย่างช้า ๆ แม้พยายามจะขยับมือเรียกเพื่อเรียกดาบกลับมา แต่ก็ถูกอัลเจอร์แทงยึดไว้กับพื้น “แก...”

“เมื่อกี้แกถามว่าข้าสู้เพื่ออะไรสินะ” ไคซัสทวนคำถามพร้อมลากใบมีดขึ้นมาตามลำแขนศัตรู เสียงแผดร้องแห่งความเจ็บปวดกึกก้อง “คำตอบนั้น ไม่ยากเลย ข้าสู้เพื่อ ‘ปกป้อง’ ไงล่ะ!”

ไม่น่าเชื่อว่าคำตอบของมหาเทพสงครามจะทำให้เฮสเลนชะงักงันไปได้ ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ความทรงจำในอดีตไหลบ่าเข้ามาประหนึ่ง ‘คำนั้น’ เป็นกุญแจปลดผนึก ภาพของน้องชายฝาแฝดที่มีน้ำตาอย่างหวาดกลัวหลังถูกอดีตนายของเขาพยายามขืนใจลอยเด่นในดวงตา

‘...ตราบใดที่พี่ยังอยู่ พี่จะปกป้องเจ้าเอง...’

ตั้งแต่เกิดจนโต เฮสเลนรับรู้ความแตกต่างระหว่างตนเองกับน้องชายมาโดยตลอด ฮาธอสเปรียบได้กับอัญมณีเลอค่าที่เหล่าอาชญากรอยากเลี้ยงไว้ดูเล่น โดยไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น แต่มันกลับมีแต่ความมืดมน ซึ่งดึงดูดคนแบบเดียวกันเข้ามาหาและนำพาให้จมลงสู่ความโสมมจนถอนตัวไม่ขึ้น ฮาธอสไม่เคยต้องแบกรับสิ่งใดผิดกับตัวมันที่มีความรับผิดชอบทันทีหลังจากมารดาจากไป

คำปฏิญาณนั้นเป็นหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุด เป็นคำปฏิญาณแรกและสุดท้ายที่มันมอบให้กับคนอื่นนอกจากตนเอง อีกทั้งยังทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการรักษาคำพูดนั้นเสมอมา ต่อให้สุดท้ายแล้วเส้นทางที่มันเลือกเดินจะตรงกันข้ามกับน้องชายอย่างสิ้นเชิงก็ไม่เคยบิดพลิ้ว ฉะนั้นเมื่อมันได้รู้ถึงภาระอีกอย่างที่บุพการีทิ้งไว้ในสายเลือด มันจึงหวังว่าฮาธอสจะช่วยให้การแก้แค้นสำเร็จผล

แต่แก้วมณีที่สูงส่งดวงนั้น ไม่เพียงทำให้เฮสเลนต้องผิดหวัง กลับยังหักหลังมันอย่างแสนสาหัสอีกด้วย แน่นอนว่าเทพร้ายรักน้องชายของตนเองมาก ทว่าสิ่งที่เทพคนสวนเคยกระทำไว้ก็ไม่อาจให้อภัยได้เช่นกัน แผนการที่มันสู้อุตส่าห์วางไว้อย่างดี กว่าสรรหาพรรคพวกมาได้เลือดตาแทบกระเด็น กลับถูกญาติทางสายเลือดคนสุดท้ายทำลายเสียสิ้น ซ้ำร้ายยังขังมันไว้ในสถานที่ดำมืดที่สุดและน่ากลัวที่สุด และยังเอ่ยคำนั้น...ที่ทำให้ความโกรธของมันเดือดพล่านต่อหน้าอีกด้วย!

‘...คราวนี้ข้าจะเป็นฝ่ายปกป้องบ้าง...’

“อย่ามาล้อเล่นนะโว้ย!”

จู่ ๆ เทพรัตติกาลก็ระเบิดพลังออกมา ทำให้ไคซัสต้องกางปีกมังกรและบินขึ้นไปหลบบนฟ้า แม้ว่าจะรีบแล้ว แต่เพราะอีกฝ่ายสำแดงอำนาจโดยไม่ทันให้ตั้งตัว เกราะขาข้างหนึ่งจึงได้รับความเสียหายจนต้องเสกขึ้นมาใหม่ มหาเทพสงครามรู้ดีว่าอีกฝ่ายคลั่งขึ้นมาเพราะคำตอบของเขา สายตาที่ทอดมองภาพเบื้องล่างจึงเต็มไปด้วยความตึงเครียด

โดมแสงสีดำกลืนกินทุกสรรพสิ่งในรัศมีสองร้อยเมตรหายไปจนหมดสิ้น ก่อนแตกออกกลายเป็นละอองสีดำลอยฟุ้งกระจายไปในอากาศ มันดึงดูดเมฆสีรุ้งมากมายให้ลอยมาปกคลุมท้องฟ้าเหนือหุบเขาดำ บรรยากาศมืดสลัวและหนาวเย็นด้วยไอดำที่แผ่พุ่งขึ้นมาประหนึ่งภูเขาไฟคุกรุ่น พลังมืดมิดมหาศาลค่อยไหลออกมาจากรอยแตกแยกของพื้นดินและช่องเขาไปยังศูนย์กลางการระเบิดเหมือนวังน้ำวน หนาแน่นเสียจนมองไม่เห็นตัวเทพร้าย จับได้เพียงกระจุกจิตดำมืดดุจน้ำหมึกอยู่ใจกลางกระแสหมอก ภูตพรายปรากฏตัวส่งเสียงร้องโหยหวนชวนสยองขวัญ ทุกอณูของอากาศอัดแน่นด้วยพลังด้านลบที่แข็งแกร่งขนาดทำให้มหาเทพสงครามรู้สึกกดดันได้ เขาจึงไม่แปลกใจสักนิดที่เห็นเทพนักโทษที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ เหาะหนีตายด้วยความเร็วแสง

นี่น่ะหรือ พลังที่แท้จริงของเฮสเลน...ก็สมกับที่เคยเป็นที่หวาดกลัวของสวรรค์ล่ะนะ

แต่จังหวะที่หันไปทางมหานครแห่งสวรรค์ เพื่อส่งกระแสจิตสั่งให้พวกองครักษ์เตรียมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ทะเลหมอกเบื้องล่างรวมตัวกันแน่นกลายเป็นมังกรรูปร่างเพรียวยาวขนาดใหญ่ มันแผดเสียงคำรามกึกก้องสั่นสะเทือนทั้งท้องฟ้าและผืนดิน ภูตพรายที่มารวมตัวกันแยกออกเปิดทางให้มันทะยานเข้าใส่มหาเทพสงครามอย่างสะดวก ไคซัสตวัดอัลเจอร์มาขวางคมเขี้ยวของมันเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงของอีกฝ่ายได้และถูกดันออกไปเรื่อย ๆ เทพอสูรกัดฟันกรอดก่อนถีบตัวเองออกไปแล้วฟันมันจนขาดเป็นสองซีก ทว่าแทนที่มันจะสลายตัวกลับไปเป็นหมอกดังเดิม พวกมันกลับกลายเป็นมังกรสองตัวและพุ่งใส่มหาเทพสงครามพร้อมกัน

ทว่าไคซัสก็ไม่ยอมถูกโจมตีแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว เขารวมพลังเวทไว้ที่มือซ้ายแล้วซัดไปทำลายมังกรตัวขวาก่อน จากนั้นก็บินไปหาตัวขวา ใช้พลังเคลือบใบมืดของอัลเจอร์ไว้แล้วแทงรัว ๆ ใส่หัวมันจนขาดเป็นชิ้น ๆ ค่อยถอยออกมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป ซึ่งก็เหมือนกับที่เขาคาดเดาไว้ หมอกกลับมารวมตัวกันเป็นมังกรดังเดิมแล้วเริ่มไล่ล่าเขาอย่างดุร้าย แต่ละตัวกระโจนขึ้นมาจากทะเลพลังมืดดุจปลาฮุบเหยื่อ บางครั้งก็พ่นไฟออกมาทำให้มหาเทพสงครามต้องบินหลบเป็นพันวัน

แต่ในระหว่างที่หนีนั้น ไคซัสสังเกตว่าจำนวนภูตพรายมาขึ้นเป็นเหตุให้พลังศักดิ์สิทธิ์บริเวณนี้ลดต่ำลง ผิดกับพลังชั่วร้ายที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ ดูได้จากขนาดตัวมังกรหมอกที่พองโตจนมีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาถึงสิบเท่า พวกมันอ้าปากแผดคลื่นเสียงอันทรงพลังใส่เขาพร้อมกัน เล่นเอามหาเทพสงครามปวดหูจนตาพร่ามัวไปเลยทีเดียว เขาเผลอยกมือขึ้นเพื่ออุดหูเกิดช่องว่างใหญ่พอให้หนึ่งในมังกรฟาดตัวเขาตกลงไปในป่า!

“อ๊าก!”

ไคซัสกู่ร้องด้วยความเจ็บปวด ตัวของเขาไถลไปบนพื้น ทิ้งรอยครูดเป็นทางยาวก่อนหยุดลงใต้ต้นโอ๊ะหินขนาดใหญ่ แต่ก่อนที่จะขยับไปไหนมังกรตัวหนึ่งก็ทิ้งดิ่งหัวลงมากระแทกลำตัวเขาอย่างจัง ชุดเกราะพลันแตกกระจาย มหาเทพสงครามกระอักเลือดคำใหญ่ รู้สึกจุกเสียดไปทั้งตัว ก่อนมันจะขย้ำตัวเขาแล้วเหวี่ยงไปฟาดกับต้นเรดวู้ดหินจนหักเป็นสองท่อนล้มครืนไปด้วยกัน ท่ามกลางกองหินที่ทับบนตัวกับความเจ็บปวดภายในร่าง เทพอสูรเห็นมังกรทั้งสองตัวโน้มหัวลงมางับแขนเขาคนละข้างและลากขึ้นไปอยู่กลางอากาศ

เมื่อมหาเทพสงครามเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เฮสเลนก็ลอยตัวมาอยู่ต่อหน้าเขาจากด้านบน เทพร้ายดูไม่เหมือนผู้พ่ายแพ้ที่เขาเล่นงานไปก่อนหน้านี้อีกแล้ว เจ้าตัวห่อหุ้มร่างกายด้วยอาภรณ์สีดำสนิทที่ก่อเกิดจากมนต์ดำ มือขวาที่ขาดไปก็ถูกแทนที่ด้วยกรงเล็บสีดำทมิฬ เส้นผมแผ่สยายเสมือนผ้าคลุมมัจจุราช ดวงตาสีน้ำเงินหรี่มองเทพอสูรที่แทบสิ้นแรงอย่างเหยียดหยาม

“ต้องขอบใจเจ้ามากจริง ๆ ที่ช่วยทำให้ข้าคิดถึงเรื่องงี่เง่าจนเรียกพลังที่แท้จริงออกมาได้” ขณะกำลังพูด เฮสเลนก็แทงกรงเล็บสีดำเข้ามาในท้องของไคซัสด้วย ความเจ็บปวดซ่านขึ้นมาจนต้องกัดฟันกรอดกั้นเสียงไว้ “อา...เวลาผ่านมาหลายร้อยปี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกดีเหลือเกิน”

“กระนั้นรึ ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อย” ไคซัสที่มีเลือดไหลมาทางมุมปากเอ่ยขึ้น “ฮาธอสเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังแล้ว จริงหรือเปล่าที่สมัยก่อนเจ้าคอยปกป้องและดูแลเขา”

“จริง...” เฮสเลนตอบเนิบช้า ดวงตาเสไปทางอื่นคล้ายไม่อยากนึกถึง “ไอ้เด็กอ่อนแอนั่น แต่ไหนแต่ไรมาก็ติดข้าแจ ใครจะไปนึกว่าจะกลายเป็นอสรพิษแว้งมากัดกันแบบนี้!”

“แล้วเจ้าหลุดออกมาจากผนึกได้อย่างไร” คำถามเนิบช้ายังดำเนินต่อไป ราวกับคนถามไม่เกรงกลัวต่อความตายที่กำลังจะมาเยือน

“พลังมืดของหุบเขานี้ช่วยข้าไว้ เจ้าเห็นไหมล่ะ” เทพร้ายผายมือไปยังหมอกดำที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ข้างหลัง กางแขนออกและหมุนตัวล้อไปกับมันอย่างเริงร่า ใบหน้าคมคายแสยะยิ้มกว้างราวกับกำลังจะบ้าคลั่ง “หุบเขานี้เต็มไปด้วยพลังมืดที่แข็งแกร่ง ข้าค่อย ๆ ดึงมันมาใช้ทีละน้อย ต้องใช้เวลาอยู่ตั้งหลายปีกว่าผนึกจะเปิดกว้างพอฉีกมือออกไปได้ แต่ก็ยุ่งยากเอาเรื่อง เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งเกินไปเลยต้องแผ่พลังมืดออกไปทีละน้อย ทำให้มันกลืนกับพลังของสวรรค์ ไหนจะต้องทำลายเขตแดนเพื่อลดประสิทธิภาพในการทำงานของมันอีก ความจริงข้าตั้งใจว่าจะใช้พลังนี้ตอนบุกทำลายสวรรค์ ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาแสดงก่อนแบบนี้”

มันหมุนตัวมาเตะก้านคอมหาเทพสงครามอย่างจัง ความรุนแรงนั้นมากพอทำให้เทพตัวโต ๆ อย่างอัลล์ล้มตึงได้สบาย แต่ไคซัสกลับยังทนได้ แม้ว่าจะตาพร่าอยู่ เขาก็ยังมีสติและเลื่อนสายตากลับไปหาเฮสเลนอย่างกังขา

“ถ้าแก้แค้นสำเร็จ เจ้าจะทำอะไรต่อไป” เหมือนจะยังไม่พอใจ มหาเทพสงครามจึงถามต่อก่อความรำคาญให้เฮสเลนเล็กน้อย แต่เพราะเป็นคำถามที่ถูกใจมันจึงยื่นหน้าเข้าไปตอบใกล้ ๆ

“ข้าจะเด็ดหัวมหาเทพจ้าวสวรรค์และขุนพลเทพทุกคน จากนั้นก็เปิดทวารดินให้เทพรัตติกาลกลับขึ้นมาใช้ชีวิตบนสวรรค์ ข้าจะสร้างสวรรค์สีดำที่เทพแบบเดียวกันกับข้าจะได้เสวยสุขร่วมกันชั่วนิจนิรันดร์”

เทพร้ายเงยหน้าและหัวเราะกับฟ้าสีดำอย่างอหังการ แต่ไหนแต่ไรมามันก็เกลียดชังสวรรค์ที่สวยงามนี้อยู่แล้ว เมื่อค้นพบเหตุผลที่ทำให้ตนต่อต้านทวยเทพแห่งความดีงาม ความปรารถนาจะทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นสวรรค์ของเทพรัตติกาลจึงเป็นความฝันสูงสุดไปโดยปริยาย ในตอนแรกมันก็เสียดายที่แผนการไม่สำเร็จถึงสองครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่สองซึ่งมันไม่สามารถลอบสังหารไคซัสได้ แต่ตอนนี้มหาเทพสงครามอยู่ต่อหน้ามันแล้ว ในสภาพที่อ่อนแอกว่าทุกอย่าง เฮสเลนจะไม่มีวันปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไปแน่!

“อย่างนั้นรึ เพื่อความฝันของตัวเองแล้ว เจ้าถึงกับจะฆ่าน้องของตัวเองเลยรึ”

“เป็นน้องแล้วยังไง ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นทำอะไรเป็นบ้าง!” เฮสเลนตวาดก้อง “วัน ๆ เอาแต่พูดถึงความดีงาม ไม่เคยทะยานอยาก แต่ว่าเพื่อปกป้องคนที่เคยกดขี่พวกเรา มันกลับหักหลังข้าเสียได้ เฮอะ! จะปกป้องข้าอย่างนั้นเรอะ จากอะไรกันล่ะ กล้าพูดออกมาได้ โง่จริง ๆ!”

“คนที่โง่น่ะ มันเจ้ามากกว่า”

“ว่าอย่างไรนะ จะมากไปแล้ว!”

เฮสเลนคำรามพลางกดเล็บเข้าไปอีกหมายจะฉีกอีกฝ่ายฐานสามหาวผิดเวล่ำเวลา แต่ก็ต้องเป็นฝ่ายนิ่งไปเสียเอง เมื่อพบว่าอีกฝ่ายเกร็งตัวทำให้กล้ามเนื้อรัดรอบมือมันแน่น มังกรหมอกทั้งสองตัวครางอย่างกระสับกระส่ายและขย้ำแขนศัตรูแรงขึ้นอีก ทว่าคมเขี้ยวกลับไม่ได้จมลึกไปกว่านั้นเลยประหนึ่งผิวหนังของเขาเปลี่ยนเป็นเหล็กกะทันหัน ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายดึงพวกมันตามแรงแขนช้า ๆ รอยยิ้มกักขฬะปรากฏบนใบหน้า

“ขอบใจจริง ๆ ที่ทำให้พลังศักดิ์สิทธิ์หายไป”

ก่อนเทพร้ายจะทันเข้าใจความหมายของเทพอสูรสงคราม ร่างของไคซัสก็เปล่งแสงสีส้มเจิดจ้าพร้อมกันไอร้อนฉ่าที่แผ่ซ่านเข้าไปในตัวมังกรหมอกทั้งสอง อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ตัวของพวกมันพองออกก่อนจะแตกสลายเหมือนลูกโป่งที่ถูกแก๊สมากจนเกินไป

เสียงระเบิดดังกึกก้องอีกครั้ง เพราะพลังที่ทำให้เกิดเสียงนั้นไม่ใช่ของตน เฮสเลนจึงหูอื้อตาลายไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกชกกระเด็นและยังถูกกระแสลมปั่นป่วนหอบลอยไปในอากาศเหมือนใบไม้แห้ง เทพร้ายสบถพลางลืมตาหาที่ยึดเหนี่ยว ครั้นคว้ากิ่งไม้หินใหญ่ได้ก็ปีนขึ้นไปใช้กรงเล็บตัวเองไว้กับลำต้นมิให้ปลิวไปอีก

สายธารความมืดของหุบเขาดำเคลื่อนตัวอีกครั้ง เมื่อมหาเทพสงครามดูดพวกมันเข้าไปในร่าง เขาได้รู้ในตอนที่เฮสเลนสำแดงพลังแท้จริงออกมา ว่าความมืดของที่นี่เหมือนกับดินแดนเบื้องล่างไม่ผิดเพี้ยน เทพอสูรจึงใช้มันทำให้ร่างกายกลับไปแข็งแกร่งดังเดิม เสร็จแล้วก็ปลดปล่อยออกไปในรูปจิตสังหารอันทรงอานุภาพ ท้องฟ้าที่มีเมฆสีรุ้งแซมแทรกอยู่บ้างซึมซับพลังมืดจนกลายเป็นสีดำไปหมด แม้แต่ลมก็เปลี่ยนกระแสซัดโถมเข้าใส่เฮสเลนจนเกือบตกลงจากต้นไม้ บรรยากาศหนักอึ้งประหนึ่งถูกกดทับด้วยก้อนหินใหญ่ยักษ์ ภูตพรายกรีดร้องด้วยความกลัวและหนีตายกันอลหม่าน ทั้งหุบเขาเหมือนถูกครอบงำด้วยจิตแห่งความตายที่แหลมคมซึ่งมุ่งตรงมาหาเฮสเลนเพียงผู้เดียว

“ทำไม...เพราะอะไร...” เฮสเลนเค้นเสียงถามตัวเองอย่างตกใจ มือทั้งสองข้างตะปบลงบนต้นแขนเมื่อรับรู้ถึงอาการสั่นเทาจากความกลัว มันล้นทะลึกขึ้นมาจากส่วนลึกของซอกลืบหัวใจ ความรู้สึกที่หายไปนานเกือบหนึ่งพันปีได้กลับมาแล้วและกระตุ้นให้สมองที่ไม่ค่อยจะปราดเปรื่องนักทำความเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าได้

“พลังศักดิ์สิทธิ์!”

ใช่! พลังศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์ทำให้ไคซัสไม่สามารถใช้พลังแท้จริงของตนได้ ตั้งแต่เริ่มสู้กันมาเจ้าตัวก็ใช้แค่กำลังกายกับเวทมนต์พื้นฐานกับค่อนไปกลาง ๆ เท่านั้นเอง แต่เมื่อเฮสเลนแสดงพลังแท้จริงออกมาและทำให้อำนาจมืดของหุบเขาดำเคลื่อนไหว พลังศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่นี้จึงจางหายไปมากพอช่วยให้ไคซัสใช้อำนาจแท้จริงของตนได้เช่นกัน ที่สำคัญพลังของเขากับเทพร้ายยังแตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ

หากเฮสเลนเป็นหยดหมึกขนาดใหญ่กลางผ้าขาวสะอ้าน ไคซัสก็คือ ‘สีดำ’ ที่จะอาบย้อมผ้าทั้งผืนให้ดำสนิท จิตสังหารของเขาเกินกว่าระดับ ‘เทพอสูร’ ไปแล้ว สมควรจะเรียกว่า ‘มารร้าย’ เสียด้วยซ้ำ คนละระดับกัน...สัญชาตญาณของเทพร้ายกรีดร้องบอกเช่นนี้ มันคิดถึงคำพูดอีกคำของฮาธอส

‘...ปกป้องท่านจากทุกอย่าง...’

ความหมายของคำพูดนั้นหมายถึงแบบนี้ใช่ไหม...ฮาธอส...น้องชายของเขากลัวว่าเขาจะไปทำร้ายใครอีก และกลัวด้วยว่าเขาจะถูกใครที่เก่งกว่าทำร้ายด้วย จึงตัดสินใจกักขังไว้ในสถานที่เลวร้ายเช่นนี้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วอำนาจของหุบเขาดำจะช่วยให้เฮสเลนดิ้นหลุดจากพันธนาการได้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยก็ตาม

ฮาธอสตั้งใจจะปกป้องพี่ชายจริง ๆ!

กว่ากระบวนการคิดจะเสร็จสิ้น สายลมแห่งความตายก็พัดกระโชกมาปะทะร่างมันอีกครั้ง ด้วยความรุนแรงขนาดเกือบทรงตัวไม่อยู่ แต่อึดใจต่อมามันก็หายวับไปและแทนที่ด้วยกลิ่นคาวเลือด เฮสเลนลืมตาขึ้นก็เห็นดวงแก้วสีส้มที่มีเกล็ดประกายสีทองสุกสกาวลอยเด่นตรงหน้า โดยมีเงาร่างใหญ่โตของเทพอสูรในร่างกึ่งอสูรเป็นฉาก ปีกมังกรสยายกว้างบดบังสายตาเฮสเลนจากทุกสรรพสิ่ง วินาทีนี้เองที่มันได้รู้คำว่ากลัวจนลืมหายใจ

“ขอโทษที่ปล่อยให้เวลายืดเยื้อมาขนาดนี้ แต่ข้าไม่ใช่พลังแท้จริง ข้าคง ‘ฆ่า’ เจ้าไม่ได้เหมือนกัน”

ฉับ!

เสียงเหล็กตัดผ่านบางสิ่งที่หนาแน่นดังขึ้นในเสี้ยววินาทีที่เฮสเลนกำลังทำความเข้าใจ ความเจ็บมหาศาลที่แล่นริ้วขึ้นมาเรียกดวงตาสีน้ำเงินให้หลุบลงมองเบื้องล่าง ก็เห็นว่าร่างกายของตนเองถูกตัดขาดเป็นสองท่อน เงาทะมึนที่เคลื่อนไหวในท่วงท่าวาดหอกทาบทับใบหน้าขณะร่างกายส่วนบนกำลังจะหล่นลงพื้น เทพร้ายมองไปจึงรู้ว่าอีกฝ่ายยืนอยู่บนหมอกดำและกำลังตั้งท่าเตรียมแทงตรง

ตาย...

ข้ากำลังจะตาย...

เพียงไคซัสเสือกอัลเจอร์มาปักตรงกลางอกและบิดหมุนพร้อมใช้เวทสังหาร ร่างกายของเทพร้ายก็แตกสลายเป็นฝุ่นละอองสีดำมันวาวในพริบตา ซึ่งสิ่งที่เหลืออยู่ควรจะเป็นแก่นวิญญาณเปล่งแสงนวลตาลอยค้างรอเวลาบดขยี้ ทว่าดวงแสงสีเงินนั้นกลับทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็ว มหาเทพสงครามรีบสะบัดปีกไล่ตามไปทันที แต่เมื่อขึ้นไปถึงยอดไม้อีกฝ่ายก็หายไปแล้ว

ทว่าเมื่อมหาเทพสงครามพ้นยอดไม้ อีกฝ่ายก็บินหายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่ร่องรอยมนตรามุ่งหน้าไปยังสถานที่ซึ่งเขาไม่อยากให้มันไปมากที่สุด!

-------------------

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 19 up 09/09/13
«ตอบ #82 เมื่อ11-09-2013 19:18:38 »

‘ไม่!’

‘ข้าจะตายไม่ได้!’

‘...แต่ถ้าจะต้องตายก็ไม่ยอมไปคนเดียวหรอก!’

ดวงจิตของเทพร้ายปฏิญาณกับตนเองด้วยความคับแค้น มันบินผ่านพยับเมฆสีทองด้วยความเร็วปานสายฟ้า จริงอยู่ที่ร่างกายของมันถูกมหาเทพสงครามทำลายไปแล้ว แต่ยังเหลือชิ้นสวนที่สมบูรณ์พออยู่อีกชิ้น ขอแค่ไปถึงที่นั่นได้ มันก็จะสามารถสร้างร่างใหม่ขึ้นมาได้อีก เมื่อถึงตอนนั้นมันจะฆ่าเทพทุกตนเป็นการแก้แค้น!

ไม่สิ...ถ้าจำเป็นก็ขอแค่คนเดียวก็ได้ เพราะมันติดตามความเคลื่อนไหวของนาซิลลามาช้านาน จึงรู้ดีว่ามหาเทพสงครามพึงใจในตัวฮาธอสและฮาธอสเองก็มีใจปฏิพัทธ์ในมหาเทพสงครามเช่นกัน หากว่าเฮสเลนจัดการกับฮาธอสได้ ไอ้อสูรแดงตัวนั้นก็จะทรมานเจียนตาย แค่คิดก็สนุกแล้ว

ไม่ช้าภาพของมหานครแห่งสวรรค์ก็ปรากฏให้เห็น เฮสเลนสังเกตเห็นทิวธงของกองทัพสวรรค์กับกำลังทหารที่เรียงราย ทั้งบนกำแพงและหน้ากำแพงช่วงนั้นได้อย่างดี แต่สิ่งที่ผิดไปคือ ผู้นำทัพมิใช่เทพนักรบระดับสูงหรือขุนพลเทพ แต่เป็นบุรุษชุดขาว ผมสีทองปักด้วยปิ่นเงินสองเล่ม นั่งอยู่บนหลังอสูรสิงโตดำตัวเขื่องขวางลำประตูบานยักษ์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณห้าร้อยเมตร มันจำได้ดีว่าชายคนนั้นเป็นใคร

‘ฮาธอส!’

“ท่านพี่!” เสียงของฮาธอสถูกขยายด้วยมนตรากังวานมาไกลถึงจุดที่มันอยู่ “ยอมแพ้เถอะ”

‘ไม่มีทาง ข้าไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!’ ว่าแล้วความเร็วของมันก็เพิ่มมากขึ้น เหยื่อมาอยู่ต่อหน้าแบบนี้ ใครจะยอมแพ้กันล่ะ!

ฮาธอสมองดวงจิตของพี่ชายที่พุ่งตรงมาอย่างไม่ลังเลด้วยความตกใจ สัมผัสได้ถึงโทสะมหาศาลซึ่งพร้อมจะคร่าทุกชีวิต ทว่านั่นมันตอนที่เจ้าตัวยังมีร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ ในตอนนี้เจ้าตัวมีแค่จิตเล็ก ๆ ดวงเดียวไม่มีทางต้านทัพสวรรค์ได้แน่

ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนเฮสเลนจะมาถึง ฮาธอสหันกลับไปมองบนกำแพง เหนือประตูมหานคร ซึ่งมีผู้นำกองทัพสวรรค์ตัวจริงยืนอยู่ด้วย เด็กสาวผู้มีใบหน้าเหมือนเซย์เรียโน่ทุกประการอุ้มไหสีดำใบใหญ่ซึ่งภายในบรรจุชิ้นส่วนมือขวาของเฮสเลนไว้ในอ้อมกอด เธอหลับตานิ่งปากขมุบขมิบอะไรคาถาอะไรบางอย่าง ตัวไหก็เรืองแสงวาบ ๆ บ่งชัดถึงการผนึกอารมณ์ซึ่งจากที่จับสัมผัสได้ มันแข็งแกร่งเอาการทีเดียว ข้างกายของเธอเสนาธิการฮิวส์กำลังปลุกขวัญทหารให้พร้อมรับศึกสุดท้ายระหว่างสวรรค์กับเฮสเลน

ภายนอกเด็กสาวตนนั้นอาจจะเหมือนเทพธิดาอ่อนแอทั่วไป แต่นี่แหละ คนที่สอนให้เขาทำลายเขตอาคมของไคซัสจากภายใน จากนั้นก็พาเขากับพัมกิ้นซ์ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าไปเอาตัวออกมาจากที่คุมขังได้อย่างไรมาที่นี่ และสอนวิธีรับมือเฮสเลนให้กับเฮสเลนอีกด้วย

‘ฟังนะ ถึงแม้ว่ามหาเทพสงครามจะจัดการกับเฮสเลนได้ แต่การฆ่าจริง ๆ จะต้องทำลายแก่นวิญญาณ เฮสเลนไม่ใช่พวกรอความตาย เราต้องเตรียมรับมือไว้ก่อน ถ้ามันมามหานครก็มีแต่เจ้าที่จะช่วยพวกเราได้’

วาจาของเด็กสาวดังขึ้นประหนึ่งย้ำเตือนถึงภารกิจที่ตนเป็นผู้เอ่ยปากขออย่างเอาเป็นเอาตาย ภารกิจสนับสนุนมหาเทพสงครามในการจัดการกับพี่ชายร่วมสายเลือด ดวงตาสีน้ำเงินเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและเสียใจที่ต้องมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แต่ในเมื่อเขาเคยทำมาครั้งหนึ่งแล้ว...และพี่ชายไม่เคยสำนึกต่อบาปกรรมเลยสักครา เขาคงต้องตัดใจเห็นแก่ตัวและกลายเป็น...ยักษ์หันดาบเข้าหาพี่ชายเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์อีกครา...

“กองทัพสวรรค์เตรียมพร้อม!”

เสนาธิการฮิวส์ตวัดมือไปด้านข้าง เมื่อฮาธอสยืนขึ้นบนหลังของพัมกิ้นซ์ สัตว์อสูรครางต่ำกางขาทั้งสี่ข้างอย่างออกพร้อมต่อสู้ ทหารทั้งกองทัพตั้งหอกในแนวเฉียงพร้อมสำหรับมือศัตรูด้วยเช่นกัน

‘ไม่มีทาง ขวางข้าไม่ได้หรอก!”

แม้จะเป็นแค่ดวงจิต แต่เสียงตวาดของเฮสเลนกลับดังก้องไปทั่วฟ้า ความชั่วร้ายที่เจืออยู่ในนั้นเขย่าขวัญทหารหลายตนได้ดีนัก ความเร็วของดวงจิตเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเก่าและเป้าหมายแรกของมันก็คือ ฮาธอส!

เปรี๊ยะ!

เสียงนั้นแหวกอากาศไปถึงหูเทพทุกตน ตามด้วยสายฟ้าสีขาวที่แผ่กระจายออกไปในอากาศ โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เฮสเลนซึ่งบัดนี้ถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นจับไว้ก่อนจะถึงตัวน้องชายเพียงแค่เมตรเดียวเท่านั้น!

“ป้องกัน”

ฮาธอสเอ่ยน้ำเสียงทุ้มนุ่มพร้อมสะบัดมือออกไปทั้งสองข้าง ถ้อยคำง่าย ๆ แต่เปลี่ยนเปี่ยมด้วยอำนาจมหาศาลสร้างกำแพงแสงสีทองนวลตากลางอากาศ มันสูงตระหง่านเทียมเมฆเบื้องบนและหยั่งรากลึกลงไปในผืนเมฆแผ่นดินจนไม่มีช่องว่าง เสริมพลังอีกชั้นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าทหารในกองทัพสวรรค์ช่วยกันปล่อยออกมา อักขระเวทน้อยใหญ่เรียงตัวกันเป็นลวดลายโบราณที่แม้แต่ทหารอายุมากที่สุดในกองทัพยังไม่เคยเห็น แน่นอนว่าฮาธอสก็ไม่เคยเห็น นี่เป็น ‘เวทกำแพงกฤษดร’ มนต์ต้องห้ามที่เด็กสาวชุดแดงตนนั้นเป็นผู้สอนเขา

‘อั่ก...อะไรกัน...ทำไม...’

ดวงจิตของเฮสเลนบิดเบี้ยวกลางกำแพงเวทมหึมานั้น มันพยายามฝ่าเข้าไปข้างในให้ได้ แต่อำนาจของฝ่ายแสงกลับแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ จิตของเทพร้ายเหมือนจะแตกสลายทุกครั้งที่ขยับ เพราะไม่มีร่างกายคอยคุ้มกันอีกแล้ว จิตวิญญาณของมันจึงถูกทำร้ายโดยตรง รู้สึกเหมือนถูกของแหลมคมสลักบางสิ่งบางอย่างลงในแก่นวิญญาณนี้ มันกู่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดสุดจะหยั่ง ซึ่งสะท้อนไปถึงคนลงมืออย่างช่วยไม่ได้

อย่างไรเสีย ฮาธอสกับเฮสเลนก็เป็นพี่น้องที่เติบโตด้วยกันมาอย่างยาวนาน มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นถึงขนาดแค่เห็นกล่องใส่ชิ้นส่วนของอีกคนก็ปวดลึกไปถึงหัวใจ เมื่อต้องมาเห็นดวงจิตของพี่ชายกำลังถูกสลักและถูกขยี้ด้วยเวทมนต์ต่อหน้าแบบนี้ย่อมเจ็บปวดอย่างหาที่สุดมิได้

ทว่ามนต์ต้องห้ามทุกบทล้วนใช้พลังเวทในระดับสูง ฮาธอสเพิ่งจะฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นาน พลังยังไม่เสถียรพอจึงสูญเสียพละกำลังอย่างรวดเร็ว ร่างกายเจ็บปวดเหมือนจะแยกเป็นชิ้น ๆ กำแพงเวทก็อ่อนกำลังลงจนเฮสเลนเริ่มทะลวงเข้ามาได้ช้า ๆ ทำให้เทพคนสวนต้องรีบปรับเปลี่ยนกำแพงใหม่ให้เล็กลง เพื่อทำให้พลังของศูนย์กลางกลับไปแข็งแกร่งเหมือนเก่า แต่สภาพนี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก เขาต้องจัดการกับพี่ชายให้ได้ก่อน!

‘เป็นอะไรไป หมดแรงแล้วหรือ’ เฮสเลนส่งเสียงถามอย่างหยิ่งผยอง พวกทหารจึงยิ่งเสริมแรงเข้ามาอีก ทว่าจิตของมันก็กำลังทะลวงเข้ามาเรื่อย ๆ เช่นกัน ความเจ็บปวดที่เหมือนถูกอะไรบางอย่างสลักทั้งเป็นยังคงอยู่ แต่กำแพงเวทนี้จะต้านทานมันได้อีกไม่นานแล้ว

“ท่านพี่...หยุดเถอะ...” ฮาธอสพูดอย่างลำบาก สองมือของเขาสั่นสะท้าน เช่นเดียวกับข้าทั้งสองข้าง ตอนนั้นเองที่พัมกิ้นซ์เปล่งเสียงครางต่ำ พลังของมันไหลเวียนเข้ามาในตัวเขา ประคับประคองให้ยืนอยู่ได้

‘หยุด? ...เจ้าพูดแบบนี้มาอีกครั้งแล้ว เจ้าต่างหากที่ต้องหยุด! หยุดขวางข้าเสียที!’

เฮสเลนกระแทกตนเข้ากับกำแพงอย่างแรง สายฟ้าลั่นเปรี๊ยะ ๆ พัมกิ้นซ์ต้องบินถอยออกมา ไม่ใช่เพราะมันกลัว แต่เกรงว่าเทพบนหลังของตนจะเป็นอันตรายต่างหาก สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นทำให้การส่งพลังของฮาธอสชะงักไปเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยที่มากพอเปิดช่องให้เฮสเลนกระแทกตัวเข้ามาอีก เทพคนสวนรีบลุกขึ้นเพื่อใส่พลังเข้าไปอีกครั้ง ทว่าก็สายเกินไป!

เขตอาคมตรงจุดนั้นแตกกระจายราวกับบานกระจกถูกทุบ พัมกิ้นซ์กระโจนออกไปข้างหน้า อ้าปากขย้ำจิตชั่วร้ายที่ฝ่าด่านเข้ามาได้ ดวงจิตนั้นหมุนเคว้งหลบคมเขี้ยวของสัตว์อสูรได้อย่างฉิวเฉียด โดยมีละอองสีดำมันวาวฟุ้งกระจายออกมาจากตัวมันเป็นทาง ฮาธอสเอี้ยวตัวมองตามมันไป มือขวาสะบัดออกด้านข้างมีดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาเตรียมจัดการกับพี่ชายอย่างเด็ดขาด ทว่าอีกฝ่ายก็เร็วกว่าเขามากนัก เฮสเลนหักเลี้ยวกลับมาแล้วหมุนควงสว่านมาชนเขาด้วยความเร็วสูง จิตนั้นทะลวงผ่านตัวเขาไปทะลุออกข้างหลัง!

“อ๊อก...!”

เลือดอุ่น ๆ สาดกระเซ็นจากปากแผลทั้งสองด้านและทะลักออกทางปากเทพคนสวน พัมกิ้นซ์คำรามอย่างตกใจ กระนั้นชายหนุ่มยังยื่นมือออกไปหมายตะครุบจิตของเฮสเลนให้จงได้ ทว่าแม้จะยื่นมือออกไปจนสุดเอื้อมแขนแล้ว สิ่งที่เขาไขว่คว้าได้กลับมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

เทพร้ายแห่งสวรรค์ฝ่าด่านของเขาไปได้แล้ว!

‘ว่ะฮ่า ฮ่า ฮ่า นึกว่าจะแน่สักแค่ไหนกัน ลาก่อนฮาธอส!’

ว่าแล้วเฮสเลนก็ทิ้งน้องชายกับสัตว์อสูรโง่เง่าไว้เบื้องหลัง จากนั้นก็มุ่งหน้าต่อไปด้วยความเร็วปานแสงพร้อมหลบหลีกกระสุนเวทที่กองทัพสวรรค์ยิงใส่ไปด้วย สำหรับมัน ความพยายามพวกนี้ช่างไร้ค่า ตอนนี้มันไม่มีร่างกายจึงสามารถหลบเลี่ยงได้ง่ายกว่าเดิมนัก กำแพงมหานครใกล้เข้ามาทุกที เช่นเดียวกับพลังของชิ้นส่วนมือขวาของมัน ใครกันหนอช่างโง่เง่าเอาของชิ้นนั้นมาสังเวยมันถึงที่นี่!

‘เอามือของข้ามา!’

ในที่สุดดวงจิตของเทพร้ายก็ทะลวงมาถึงกำแพงมหานครจนได้ มันมุ่งตรงไปยังเด็กสาวชุดแดงที่มีกลิ่นอายชิ้นส่วนมือของมันชัดเจนที่สุด ตัวเด็กสาวเองก็ก้าวออกมาเหมือนจะรู้ตัว แต่เพียงสบนัยน์ตาสีแดงฉานของเธอ รอบข้างก็เหมือนถูกกลืนหายไปในความเงียบงัน สดับได้เพียงเสียงหวานที่บริกรรมคาถาในช่วงสุดท้าย

“ทุกสรรพสิ่งแห่งรัตติกาลล้วนกำเนิดจากความมืดมิด ด้วยพันธสัญญาแห่งองค์มหาเทพรัตติกาลอารอน ข้าขอบัญชา ‘เฮสเลน’ จงหวนคืนสู่จุดกำเนิดของตนเดี๋ยวนี้ ผนึก!”

ขาดคำ เด็กสาวในชุดแดงก็เปิดฝาไหออกแล้วส่องมาทางดวงจิตเทพรัตติกาล เฮสเลนจึงรู้ทันทีว่านั่นคือ ‘ไหสะกดวิญญาณ’ จึงรีบหักเลี้ยวขึ้นด้านบนเพื่อหลบหนี แต่ทันทีที่ทำแบบนั้นกลับปรากฏอักขระเวทเก่าแก่ขึ้นบนผิวดวงจิตของมัน ที่แท้ความรู้สึกที่มันรับรู้ตอนถูกกำแพงกฤษดรจับไว้ก็คือสิ่งนี้ มนต์ผนึกวิญญาณชั้นแรกซึ่งเชื่อมโยงถึงอำนาจของไหโดยตรงนั่นเอง

‘ข้าไม่เข้าไป ไม่...!!’

เฮสเลนกู่ร้องกึกก้อง เสียงสะท้อนสะท้านมาถึงน้องชายที่ซบหมอบกับหลังของพัมกิ้นซ์ เทพคนสวนที่กำลังเสียเลือดอย่างหนักยันตัวขึ้นมาดูเหตุการณ์ช้า ๆ ดวงตาที่เริ่มพร่าเลือนฉายภาพพลังที่เหมือนผ้าแพรสีดำพวยพุ่งออกจากปากไหมารวบดวงจิตของเฮสเลนแล้วลากกลับเข้าไปอย่างง่ายดาย ชั่ววินาทีนั้นเขาเหมือนได้ยินเสียงกรีดร้องของพี่ชายดังขึ้นในหัว

‘อย่าทำกับข้าแบบนี้ ความมืดนี้น่ากลัวเกินไป ปล่อยข้าออกไป ปล่อยข้า...!!’

เสียงที่มีแต่ความหวาดกลัวนั่นกัดกร่อนหัวใจของฮาธอสให้เว้าแหว่ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว พี่ชายของเขากำลังได้รับโทษทำในสิ่งที่ทำไว้ เฉกเช่นเดียวกับตัวเขาที่ได้รับการลงโทษจากอีกฝ่าย ความเจ็บปวดจากกลางลำตัวนั้นรุนแรงจนแทบทนไม่ไหว เขาไอเป็นเลือดติดต่อกันหลายครั้ง โลหิตสีแดงฉานไหลทะลักไม่หยุด พัมกิ้นซ์ส่งเสียงครางเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างซึ่งเกือบจะไม่ได้ยินแล้ว...

...เกือบจะไม่รับรู้แม้แต่เสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะของกองทัพสวรรค์

ดวงตาสีน้ำเงินปิดสนิทยามร่างของเทพคนสวนโอนเอนจะร่วงลงจากหลังของพัมกิ้นซ์...

...แต่อยากเห็นจัง...

อยากเห็นหน้าเขาคนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย...

“ฮาธอส!!”

ลำแสงสีส้มสว่างวาบแวบหนึ่งพร้อมความรู้สึกแน่นรอบเอว เสียงทุ้มต่ำที่คำรามข้างหูปลุกสติของฮาธอสกลับมาอีกครั้ง พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าเลือนรางของไคซัสลอยอยู่ใกล้ ๆ นัยน์ตาสีแสดนั้นเต็มไปด้วยความตกใจและห่วงใยอย่างยิ่งยวด

“มหาเทพ...ข้ากำลัง...คิดถึงท่าน...อยู่เลย...”

“ทำใจดี ๆ ไว้นะ ข้าจะห้ามเลือดให้”

เนื่องจากบาดแผลของฮาธอสสาหัสมาก ไคซัสจึงมองข้ามเรื่องที่เจ้าตัวมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรไปก่อน เทพอสูรหนุ่มตกใจมากเมื่อไล่ตามเฮสเลนมาแล้วเห็นกำแพงเวทขนาดใหญ่ล้อมอยู่หน้าเมืองไกล ๆ พอใกล้เข้ามาเวทนั้นก็หายไปเหลือทิ้งไว้แต่ฮาธอสที่บาดเจ็บบนหลังพัมกิ้นซ์ ขณะพวกในเมือกำลังจัดการกับเฮสเลน

มหาเทพสงครามใจหายวาบ เมื่อได้เห็นบาดแผลของเทพคนสวน มันใหญ่จนสามารถมองทะลุไปถึงแผ่นหลังของพัมกิ้นซ์ที่อยู่ข้างหลัง ร่องรอยของพลังที่เหลืออยู่บอกให้รู้ว่าผู้ลงมือเป็นเฮสเลน มือที่กดปากแผลของไคซัสชุ่มโชกไปด้วยเลือดของฮาธอสที่นองออกมาเหมือนจะไม่หยุดไหลชั่วนิรันดร

“บ้าจริงเชียว ข้าให้พลังเจ้าไปปกป้องตัวเองนะ ทำไมถึงเอามาทำอะไรแบบนี้” ไคซัสอดใจไม่ไหวจึงดุคนในอ้อมแขนจนได้ ถ่ายพลังเยียวยาลงไป หวังให้เกิดปาฏิหาริย์กับ ‘หัวใจ’ ดวงนี้ของเขา “ข้าอุตส่าห์ขังเจ้าไว้ ใครกันนะที่ปล่อยเจ้าออกมา”

“อย่าโมโหไปเลย...ข้าแค่อยาก...ช่วยท่านบ้าง...ไม่นึกว่า...จะเป็น...แบบนี้” ฮาธอสเอ่ยด้วยเสียงทุ้มที่เคยใช้ปลอบโยนใครต่อใครมามากมาย ทว่าบัดนี้มันกลับทำให้คนฟังปวดร้าวเสียมากกว่า ผิวของเขาเริ่มเย็นชืด สีสันบนใบหน้าจางหายไป ดวงตาสีน้ำเงินเริ่มเลื่อนลอยจนต้องยกมือขึ้นเพื่อจับใบหน้าอีกฝ่าย

ความกลัวที่จะสูญเสียฮาธอสถาโถมเข้ามาในจิตใจของไคซัส ประหนึ่งคลื่นยักษ์ที่ซัดกระทบฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ในอดีตเขาเคยพบเจอมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่คราวนี้มันกรีดลึกลงในหัวใจของเขายิ่งกว่าครั้งไหน มหาเทพสงครามถ่ายพลังลงไปอย่างมากมาย แต่กลับไม่อาจฉุดรั้งพลังชีวิตของคนที่รักกลับมาได้เลย

เฮสเลนอาจจะไม่ได้ฆ่าฮาธอสก็จริง แต่เทพคนสวนก็กำลังจะตายจากอาการเสียเลือดมาก เดิมทีเขาร่างกายก็อ่อนแออยู่แล้ว การที่สามารถใช้พลังระดับสูงนั้นก็เพราะเขาทิ้งถ่ายพลังไว้ให้ เมื่อเสียงอำนาจนั้นไปทั้งหมดและยังถูกทำร้ายขนาดนี้จึงยากจะช่วยเหลือ ฤานี่จะเป็นชะตากรรมของฮาธอสจริง ๆ

“ไม่ได้...เจ้าจะตายไม่ได้!” ไคซัสคำรามอย่างดื้อรั้น สั่งให้พัมกิ้นซ์บินไปยังตำหนักมหาเทพจ้าวสวรรค์โดยด่วน เขาไม่รู้จักใครที่มีความสามารถพอที่จะช่วยฮาธอสได้อีกแล้ว ฟาเบียนซึ่งเป็นราชาแห่งฟ้าจึงเป็นความหวังสุดท้าย...

กระนั้นฮาธอสก็ดูจะรู้ตัวเองดี ร่างกายของเขาเริ่มเสื่อมสลายจากภายใน พลังมนตราเริ่มไหลเวียนออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เขามือเรียวแต่หยาบกร้านแตะใบหน้าของไคซัสอีกหน ดวงแก้วสีส้มคู่สวยจึงเคลื่อนลงมาหาเขาอีกครั้ง

“มหาเทพ...ดวงตาของ...ท่าน...สวยเหลือเกิน...”

“เลิกพูดเถอะ เก็บแรงของเจ้าไว้” ไคซัสพูดประโยคเดียวกับอัลล์ที่เคยพูดกับนาซิลลาก่อนหน้านี้ “ข้าทำตามสัญญาแล้วนะ ข้าช่วยนาซิลลากลับมาได้ จัดการกับเฮสเลนได้ อดีตไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว ดังนั้นอยู่กับข้านะ”

“มหาเทพ...” ฮาธอสเอ่ยเสียงอ่อน

“ห้ามปฏิเสธ!” เทพอสูรกอดรัดเทพคนสวนอย่างดึงดัน “ข้าจะไม่ยอมเสียเจ้าไป รับปากซะ รับปากว่าจะอยู่กับข้า! จะไม่ทิ้งข้าไปไหน บนสวรรค์นี้ต้องมีเจ้าเท่านั้น ข้าถึงจะอยู่ต่อไปได้!”

คำอ้อนวอนนั้นฟังราวกับเสียงร้องไห้ของเทพอสูรซึ่งกรีดลึกลงในหัวใจของคนฟัง ฮาธอสไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะทำสัญญานั้นได้ ในเมื่อตอนนี้เขามองไม่เห็นอีกฝ่ายแล้ว กระนั้นเพื่อปลอบโยนมหาเทพสงครามที่กำลังกลัวจนตัวสั่นราวกับเด็กน้อย เขาจึงรวบรวมกำลังอีกครั้งแล้วยกตัวขึ้นไปจูบกรามเป็นสันสวยที่เขาควานหาพบในความมืดมิดของดวงตาและนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างเนิ่นนาน...

“ข้ารักท่าน...ขอรับ...”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มแว่วอยู่ข้างหูแล้วศีรษะของฮาธอสก็หงายหลังลงไป ร่างสูงโปร่งที่ทรุดฮวบในอ้อมแขนแกร่ง ลมหายใจของไคซัสขาดห้วงทันทีที่หันมาเห็นเช่นนั้น มือใหญ่ที่สั่นเทาเลื่อนไปประคองหลังคอปวกเปียกนั้นขึ้นมาดูหน้า ใบหน้าคมคายที่ซีดขาวนั้นไม่มีร่องรอยของชีวิตหลงเหลืออยู่อีกแล้ว แม้แต่ลมหายใจยังสัมผัสมิได้...ร่างสูงใหญ่กอดร่างเล็กอย่างหวาดผวา ขณะกายเล็ก ๆ นั้นกำลังเสื่อมสลาย ศีรษะที่มีเขามังกรเด่นส่ายไปมาปฏิเสธความตายของตนตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ไม่นะ...ไม่!!”

มหาเทพสงครามกู่คำรามสุดเสียง เมืองทั้งเมืองสั่นสะเทือนประหนึ่งถูกมือที่มองไม่เห็นจับเขย่า แต่แทนที่ทวยเทพทั้งหลายจะตกใจกลัว พวกเขากลับเปิดหน้าต่าง ประตู ผ้าม่าน และอีกมากมายเยี่ยมหน้าออกมาดูทิศที่มาของมันอย่างสะเทือนใจ ด้วยเสียงนั้นโหยหวนและเศร้าสร้อยดุจสำเนียงร่ำไห้ที่ผู้เป็นเจ้าของไม่สามารถแสดงออกมาได้

แต่ท่ามกลางเสียงที่ก้องสะท้อนไปด้วยมหานครแห่งสวรรค์ ร่างหนึ่งกลับโฉบเข้ามาอยู่ข้างกายมหาเทพสงครามอย่างไม่ทันตั้งตัว มือเรียวจับบ่าของเขาแน่น ไคซัสคิดว่าตนถูกลอบทำร้ายจึงหันไปเพื่อตอบโต้ตามสัญชาตญาณ แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นกลับทำให้ประหลาดใจ แล้วทุกสรรพสิ่งก็ถูกกลืนหายไปในลำแสงสีแดงฉาน

------------------

/สูดน้ำมูกฟืด!

ในที่สุดก็หมดทุกข์หมดโศกเสียทีน้า ฮาธอส ขอบคุณที่พยายามมาด้วยกันน้า TT0TT

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 20 up 11/09/13
«ตอบ #83 เมื่อ11-09-2013 23:52:13 »

ลำแสงสีแดงของน้องสาวเทพสงครามใช่หรือไม่
ฮาธอสไปจุติแล้วจริงๆหรือ

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 20 up 11/09/13
«ตอบ #84 เมื่อ13-09-2013 00:46:23 »

บทที่ 21 อุ่นไอรัก

“...ไม่ได้ ข้าไม่อนุญาต!”

เสียงทุ้มหวานแผดขึ้นในห้วงแห่งความมืดมิด ความโกรธเกรี้ยวที่เจืออยู่ในน้ำเสียงนั้น ปลุกสติคนที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาอย่างเสียมิได้ แสงสีขาวแยงเข้าตาทันทีที่เปิดปรือเปิดขึ้นทำให้ต้องหลับสักครู่จึงจะลืมขึ้นมากพอมองเห็นเงาร่างเลือนรางสองคนยืนเผชิญหน้ากันอยู่ข้างเตียง โดยมีตู้ที่มีหนังสือแน่นเอี๊ยดเป็นฉากหลัง

ผู้หนึ่งเป็นชายรูปร่างสะโอดสะอง เรือนผมหยักศกสีทองสว่างทิ้งตัวรอกับบ่าหุ้ม แต่งชุดตัดจากสักราดอย่างดี ดวงตาจ้องตรงไปที่คู่สนทนาอย่างเฉียบขาด สูงส่งด้วยรัศมีอำนาจที่คล้ายจะฉายออกมาจนมองเห็นได้

อีกผู้หนึ่งนั้นเป็นอสูรที่มีร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผิวสีแดง ในเรือนผมสีเทาจางมีเขามังกรสีเข้มสองข้างอยู่ด้วย นัยน์ตาสีส้มสว่างของเขาฉายแววหนักแน่น มิได้อนาทรร้อนใจต่ออำนาจของบุรุษตรงหน้าสักนิด เพราะแรงกดดันที่เจ้าตัวแผ่ออกมานั้นก็หนักหน่วงไม่แพ้กัน

“ทำไม” คำถามสั้น ๆ จากน้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับเป็นเสมือนดาบที่จ่อคอหอยข่มขู่คู่สนทนา

“อย่ามาทำไขสือนะ เจ้ารู้เหตุผลของข้าดีอยู่แล้ว ไฉนถึงดึงดันทำเยี่ยงนี้อีก” ชายผมสีทองแหวกลับ

คนที่นอนอยู่กะพริบตาหนึ่งครั้ง ภาพตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้นอีกหน่อย กะพริบครั้งที่สองก็เห็นหน้าคู่สนทนาของชายคนนั้นชัดขึ้นนิด กะพริบครั้งที่สามฉากทั้งฉากชัดเจนจนระบุตัวชายทั้งคู่ได้ในที่สุด

“ฟาเบียน เด็กคนนี้ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อจัดการกับเฮสเลน แต่เจ้ากลับจะให้เขาไปอยู่ในยมโลกอย่างนั้นเรอะ เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว” เทพอสูรกายสีแดงพูดแบบแทบคำราม ดวงตาสีส้มวาววับด้วยความกราดเกรี้ยว

“แต่เขาเป็นลูกครึ่งเทพรัตติกาลนะ สำคัญที่สุดยังเป็นน้องชายของเฮสเลนอีกด้วย” ฟาเบียนแย้งกลับไป

ในที่สุดคนฟังก็เข้าใจว่าทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ และยังเป็นเรื่องของเขาเองเสียด้วย ฮาธอสได้แต่นอนนิ่ง ไม่กล้าส่งเสียง อันที่จริงเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีเสียงพอทำเช่นนั้นหรือเปล่า เหนือสิ่งอื่นใดเขากำลังสงสัยว่าทั้งสองคนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ในเมื่อ...

“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้แผนของเจ้านะ ฟาเบียน”

มหาเทพสงครามก้าวไปประชิดตัวราชาแห่งฟ้า ดวงตาหลุบต่ำมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางเหนือกว่า แรงกดดันในบรรยากาศเพิ่มขึ้นนับเท่าพันทวีจนชั้นมหาเทพจ้าวสวรรค์ยังเหงื่อตก สมกับที่เคยเป็นราชันอสูรมาก่อน ถึงจะไม่ได้ใช้อำนาจที่แท้จริงก็ข่มฟาเบียนอยู่หมัด ประสบการณ์ทำให้ทั้งสองแตกต่างกันเกินไป

“เจ้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ” ฟาเบียนกลืนน้ำลายฝืดคอ

“เซย์เรียโน่บอกกับข้าหมดแล้ว” สุ้มเสียงทุ้มต่ำสั่นเครือราวกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายยามโกรธเคืองถึงขีดสุด “เหตุผลที่เจ้าอนุมัติให้ฮาธอสเข้ามาอยู่ในมหานครไม่ได้มีแค่ฟื้นฟูดินของหุบเขาแดงจนปลูกต้นไม้ได้สำเร็จ แต่เป็นเพราะเขารู้ที่ซ่อนของเฮสเลนต่างหาก”

ทันใดสีหน้าของมหาเทพจ้าวสวรรค์ก็ซีดเผือด ส่วนฮาธอสนอนนิ่ง ในอกเย็นวาบเหมือนใครเสกภูเขาน้ำแข็งลูกโตมากดทับหัวใจ ต้องใช้เวลาสักครู่กว่าจะเลื่อนสายตาไปมององค์เหนือหัวของตนได้

“แล้วอย่างไร การกระทำของข้าได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง ฮาธอสรู้ที่ซ่อนของเฮสเลนและยังสามารถจัดการกับเจ้านั่นได้ก่อนจะทำลายสวรรค์อีกด้วย”

เห็นได้ชัดว่าการที่ฟาเบียนยังดึงดันเถียงต่อไปก็เพราะเห็นว่าตนเป็นฝ่ายถูก สีหน้าของเจ้าตัวจึงมีแต่ความไม่เข้าใจ หลังเห็นไคซัสโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบนี้ ทว่าในความรู้สึกของฮาธอส สิ่งที่ทำให้มหาเทพสงครามโมโหดูจะมีมากกว่านั้น

“เรื่องทั้งหมดต้องขอบใจเจ้าแท้ ๆ ที่อุตส่าห์ดึงเทพคนสวนผู้นี้มาอยู่ด้วยจนแผนการดำเนินไปได้ แต่เมื่อเขาหมดประโยชน์แล้วก็ไม่มีเหตุผลต้องเลี้ยงไว้ในเมืองอีก ให้เขาลงไปอยู่ที่โลกมนุษย์จะปลอดภัยกว่านะ”

ความเงียบเกิดขึ้นในชั่วขณะที่สิ้นเสียงองค์ราชัน คำพูดที่ทำให้ฮาธอตกตะลึงจนลืมหายใจ ความเคารพและความศรัทธาที่เคยมีมาตั้งแต่วันที่ทราบว่ามหาเทพจ้าวสวรรค์เมตตาลูกครึ่งเทพรัตติกาลผู้ไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างเขาเข้ามาอยู่ในมหานครที่แสนงดงามแห่งนี้ สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ถูกอีกฝ่ายใช้งานและทอดทิ้งไปอย่างไร้ค่า

ทว่า...เพราะอะไรกัน...เขาที่ควรจะจุติไปแล้วจึงได้เห็นภาพที่น่าผิดหวังนี้...

รึนี่จะเป็นความฝันก่อนเขาจะลงนรก...

“ถ้าเขาไป ข้าก็จะไปด้วย”

แม้จะเป็นความฝัน แต่ฮาธอสก็รู้สึกดีที่ไคซัสยื่นเงื่อนไขเช่นนั้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญที่เจ้าตัวไม่อาจขาดได้ จึงยอมละทิ้งตำแหน่งมหาเทพสงครามที่สูงส่งและแสนสำคัญลงไปอยู่กับเขาในแดนมนุษย์ ได้ยินแบบนี้ความรู้สึกแย่ ๆ เมื่อครู่ก็จางหายไป แทนที่ด้วยความอบอุ่นในหัวอกเสมือนถูกรดด้วยน้ำอมฤต ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อมหาเทพจ้าวสวรรค์แผดเสียงอีกรอบ

“ว่ากระไรนะ! เจ้าจะตามเทพชั้นต่ำตนนี้ไปเรอะ เจ้า...เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ข้าไม่ยอมเด็ดขาด เจ้าเป็นมหาเทพสงคราม มีหน้าที่ต้องปกป้องสวรรค์ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องละทิ้งหน้าที่...!”

“เงียบเสียที!”

ยิ่งฟาเบียนโวยวายเท่าไหร่ เสียงของเขาก็ยิ่งดังขึ้น...ดังขึ้นจนคับห้อง ข้าวของต่าง ๆ สั่นสะเทือนเสมือนตอบสนองต่อความโกรธของเจ้าตัว ไม่เว้นแม้แต่เตียงนอนของฮาธอส ขณะที่กำลังคิดว่าฝันนี้ช่างสมจริงอยู่นั้นเอง ทุกคนในห้องก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงหวานตวาดแหลมดังขึ้นมาพร้อมเสียงตบของแข็งตบลงกับโต๊ะแทรกเสียก่อน บุรุษผู้สูงศักดิ์ทั้งสองตน รวมถึงฮาธอสหันมองไปยังอีกฝากของเตียง เด็กสาวในชุดสีจีนโบราณสีแดงเพลิงนั่งสงบอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งวางทาบกับหนังสือเล่มโตที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียง วงหน้าที่เหมือนเซย์เรียโน่ทุกอย่างประหนึ่งเป็นต้นแบบของแม่พิมพ์เย็นชาจนฮาธอสหนาวหัวใจ

“พวกท่านล้วนแต่โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว อย่ามาทะเลาะกันข้างเตียงคนเจ็บสิเจ้าคะ” ฮาธอสย่นคิ้วเมื่อได้ยินคำว่า ‘คนเจ็บ’ ถ้าคำพูดของเธอเป็นของเธอเป็นความจริง เขาก็... “ดูสิ พวกท่านทำให้เขาตื่นซะแล้ว”

เธอขยิบตาให้เขาหนึ่งที ก่อนเทพคนสวนจะสะดุ้งโหยงอีกหน เมื่อจู่ ๆ ก็มีใครบางคนถลันมาอยู่ข้างกาย มือใหญ่สีแดงเอื้อมเข้ามาในทัศนวิสัยแล้วดึงกลับไปหาเจ้าของ ใบหน้าคร้ามเข้มเด่นด้วยดวงตาสีส้มนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งยวด เขากวาดตามองฮาธอสอย่างถี่ถ้วนแล้วเปลี่ยนเป็นแววยินดี จากนั้นก็ดึงร่างสูงโปร่งไปกอดด้วยความห่วงแหน โดยไม่สนใจความตกตะลึงของมหาเทพจ้าวสวรรค์เลย

“ตื่นเสียที...ฮาธอส...ในที่สุดเจ้าก็ตื่นเสียที...”

ฮาธอสแทบไม่อยากเชื่อว่าสุ้มเสียงทุ้มต่ำที่ดังอยู่ข้างหูอย่างโล่งใจนั้นเป็นของจริง ทว่าลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่าอยู่ข้างหู อุณหภูมิจากร่างใหญ่โตของคนตรงหน้า และความแน่นที่เกิดขึ้นจากการบีบรัดของมหาเทพสงครามกลับยืนยันว่าสิ่งที่กำลังประสบนี้มิใช่ความฝัน ทุกเสียงที่ได้ยิน ทุกสิ่งที่มองเห็น...ทุกอย่างที่สัมผัสได้...

เขาไม่ได้ฝันไป...แต่ทุกอย่างเป็นของจริง!

“มหาเทพ...” คำนั้นลื่นไหลออกจากปากอย่างง่ายดาย แม้น้ำเสียงจะแผ่วเบานัก แต่ในความรู้สึกคนฟังกลับชัดเจนอย่างยิ่งยวด ดวงตาที่พร่ามัวจากหยาดน้ำใสกระจ่างที่เอ่อท้นฉายภาพเทพอสูรหยัดตัวขึ้นมาให้เขาเห็นดุจจะยืนยันตัวตนของตนเอง

“ใช่...ข้าเอง” มหาเทพตัวโตกุมมือเล็กขึ้นจูบ ความร้อนที่แล่นมาจากริมฝีปากสั่นเทานั้นแล่นมาถึงหัวใจของฮาธอส ไคซัสสูดลมหายใจลึกคล้ายสะกดอารมณ์มิให้ส่งเสียงสะอื้นออกมา ดวงตาสีส้มสว่างคู่นั้นเปี่ยมด้วยความโล่งใจอย่างยิ่ง ในที่สุด...หลังจากที่เฝ้ารอมานานท่ามกลางความกระวนกระวายที่แสนเจ็บปวดกับเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุด ‘หัวใจ’ ก็กลับคืนสู่อกที่โหวงเหวงว่างเปล่าของเขาแล้ว

“นี่มันอะไรกัน ไคซัส!”

ฟาเบียนแผดเสียงขึ้นหลังเห็นทุกสิ่งตำตา ทำลาย ‘โลกส่วนตัว’ ของชายทั้งสองเสียสิ้น แววปีติยินดีหายไปจากสีหน้าของไคซัสและกลายเป็นความเย็นชาเมื่อหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย วงหน้าสวยของมหาเทพจ้าวฟ้าเต็มไปด้วยความตกใจ ไม่เข้าใจ และความโกรธ ฮาธอสทำได้เพียงมอง

“อย่าบอกนะ การที่เจ้าไม่ยอมให้เทพชั้นต่ำผู้นี้ลงไปอยู่โลกมนุษย์ก็เพราะอย่างนี้!”

“เหตุผลที่ข้าไม่เห็นด้วยก็เพราะความดีความชอบของเขา ฮาธอสยอมกัดฟันเข้าฝ่ายสวรรค์สะกดพี่ชายของตัวเองไว้ทำให้สวรรค์สงบสุขมาเกือบหนึ่งพันปี และยังช่วยในการจัดการกับดวงจิตของเฮสเลนอีก ความดีงามนี้ควรค่าแก่การตอบแทน” ไคซัสให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งเหมือนเก่า ไม่มีร่องรอยของอารมณ์เจืออยู่เลย ประสบการณ์จากการเป็นราชาทำให้เขารู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรในสถานการณ์นี้

“ข้าต้องตบรางวัลในความดีงามของเขาอยู่แล้ว” ฟาเบียนแย้งกลับมาอย่างมีอารมณ์ “ข้าจะให้เขาเป็นเทพผู้พิทักษ์ในอาณาจักรที่ดีที่สุด บันดาลให้พวกมนุษย์เคารพบูชาดุจเทพเจ้าตัวจริง จะเลื่อนเขาเป็นเทพผู้พิทักษ์ด้วย ในโลกมนุษย์นั้นเขาจะได้อยู่อย่างสุขสบาย”

“ฟาเบียนหยุดเสียที!” เด็กสาวในชุดแดงพูดขึ้นหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน ดวงตาสีแดงฉานจดจ้องราชาแห่งฟ้าด้วยแววเยือกเย็นยิ่งกว่าเซย์เรียโน่เสียอีก “ข้าเห็นด้วยกับมหาเทพไคซัส”

“เซย์เรียนนี่เป็นเรื่องผู้ใหญ่ เจ้าไม่ต้องยุ่ง!” ฟาเบียนหันมาแหว แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเธอหรี่ตาด้วยท่าทางเอาเรื่อง

“ฟาเบียนจะทำอะไรก็หัดคิดหน่อยสิ เจ้าน่าจะรู้แล้วนะ ว่าตอนนี้ใครถือไพ่เหนือกว่า” เซย์เรียนยืดคอในท่วงท่าสง่างาม แม้ว่าเธอจะยังเด็กอยู่มาก ทว่าความสูงส่งที่แสดงออกมากลับทัดเทียมมหาเทพจ้าวสวรรค์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะแบบนี้หรือเปล่ามิทราบ น้ำเสียงของเธอจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชา “อีกอย่างหนึ่งเจ้าอาจจะมองเห็นฮาธอสเป็นแค่หมากใช้แล้วทิ้ง แต่ข้าเห็นเขาเป็นทรัพยากรชั้นเลิศที่ไม่ควรเสียไปเด็ดขาด”

“เหลวไหลใหญ่แล้ว เทพชั้นต่ำแบบนี้จะเป็นทรัพยากรชั้นเยี่ยมได้อย่างไร”

ราชาแห่งสวรรค์คงไม่รู้สึกนิดว่าคำพูดของตนนั้นแหลมคมเพียงใด มันแทงหัวใจของฮาธอสจนเป็นแปลเหวอะหวะทีเดียว ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าตนเป็นเพียงเทพชั้นต่ำและยังเป็นน้องชายของศัตรูแห่งสวรรค์ แต่การถูกคนที่เคารพมาตลอดเกือบพันปีพูดแย่ ๆ ใส่ต่อหน้าแบบนี้ก็อดรู้สึกแย่มิได้

“เป็นได้สิ เจ้าก็เห็นแล้วว่าเทพชั้นต่ำที่เจ้าพูดถึงมีความสามารถแค่ไหน ข้าสอนครั้งเดียว เขาก็ใช้มนต์ต้องห้ามได้ราวกับเทพชั้นสูง เคยผนึกเฮสเลนได้เกือบหนึ่งพันปี พลังป้องกันระดับเขาในหนึ่งหมื่นปีจะมีให้เห็นสักคนมิใช่หรือ” เซย์เรียนชี้ให้เห็นความสำคัญที่แม้แต่ตัวฮาธอสเองก็ยังคาดไม่ถึง “สำคัญที่สุดยังพ่วงด้วยมหาเทพสงครามที่พร้อมจะเสียสละทุกอย่างตามเขาไปทุกหนแห่งอีกต่างหาก เจ้าคิดจะให้เทพอย่างนี้หลุดมือไปกระนั้นหรือ ฟาเบียน”

“จะ...เจ้า...!” ฟาเบียนแค่นเสียงออกมาได้แค่นั้น เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธกริ้วที่มิอาจระเบิดออกมาได้ สองมือกำหมัดแน่น ก่อนจะเหลือบมองเทพคนสวนว่าง ดวงตาเป็นประกายด้วยเพลิงพิโรธราวกับต้องการอาละวาดใส่เขา

เสมือนนกรู้ ไคซัสจึงก้าวมายืนขวางสายตาราชาสวรรค์ไว้ ก่อนเข้าไปยืนใกล้ ๆ แล้วโน้มใบหน้าลงกระซิบข้างหูอีกฝ่าย น้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งยวด

“ฟาเบียน เจ้าคงไม่ลืมใช่ไหมว่าสารภาพอะไรเอาไว้กับข้า” แรงกดดันมหาศาลแผ่จากตัวเขาไปกดดันอีกฝ่ายจนแทบหายใจไม่ออก “เจ้าคงไม่อยากให้คนทั้งสวรรค์รู้เรื่องที่เจ้าหลอกใช้มากำจัดเสี้ยนหนามส่วนตัวทั้งสองตนหรอกใช่ไหม?”

มหาเทพจ้าวสวรรค์ตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิ่งกว้างด้วยความตกใจสุดขีด แต่ไคซัสพูดความจริง

ในตอนที่เฮสเลนหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อเกือบหนึ่งพันปีก่อน ฟาเบียนไม่อยากเชื่อว่าศัตรูตัวฉกาจของสวรรค์จะหายตัวไปดื้อ ๆ โดยไม่มีใครทำอะไร เขาจึงให้ขุนพลเทพอันดับห้าในช่วงนั้นสืบหาความจริงจนพบที่อยู่ของฮาธอสในหุบเขาแดง ราชาเทพเห็นว่าฮาธอสเป็นน้องชายตามสายเลือดจึงน่าจะรู้ที่ซ่อนของเฮสเลนจึงเลื่อนขั้นเข้ามาอยู่ในมหานครแห่งสวรรค์ เพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของเจ้าตัวมาตลอด

จนกระทั่งวันที่ไคซัสตรวจสอบสภาพเขตคุ้มกันสวรรค์ ฟาเบียนก็รับรู้ถึงพลังมืดที่แอบแฝงอยู่ได้ทันที จำได้แม้กระทั่งเจ้าของพลัง เพียงแต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเฮสเลนซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เขาจึงสั่งให้ขุนพลเทพอันดับห้าตนใหม่ซึ่งมีพลังแข็งแกร่งไม่แพ้กันสืบหาตัวมาลงโทษให้สาสมกับความผิดที่ก่อไว้ในอดีต

เดิมที ‘เซย์เรียโน่’ จะต้องตีสนิทกับฮาธอส เพื่อล่วงความลับที่เกี่ยวข้องกับเฮสเลน แต่ไคซัสที่ไม่รู้เรื่องด้วยกลับดึงตัวเทพคนสวนไปทำงานที่ตำหนักพาเทร่า เขาจึงล่าถอยมาดูความเคลื่อนไหวอยู่ห่าง ๆ โดยใช้แมลงไสยเวทสอดแนมจากนอกตำหนักเป็นระยะ ระหว่างนั้นก็เกิดเหตุการณ์บุกสวรรค์ของไคมีร่ากับพัมกินซ์ เด็กหนุ่มจึงยุยงให้เรเทเชียดึงตัวฮาธอสกลับตำหนักเพื่อดำเนินตามแผนการเดิม ซึ่งแผนของเขาถูกเรมันต์ทำพังไม่เหลือชิ้นดี

ฟาเบียนที่ไม่ลงรอยกับเรมันต์มาตั้งแต่สมัยยังไม่ได้ครองบัลลังก์เห็นเป็นโอกาสจึงรีบถอดอีกฝ่ายจากตำแหน่ง แต่เพราะมีความดีความชอบแต่เก่าก่อนจึงประหารตามโทษานุโทษมิได้ เขาจึงสั่งให้เซย์เรียโน่หาทางกำจัดพร้อม ๆ กับเฮสเลนด้วย

เซย์เรียโน่เริ่มไม่พอใจกับการถูกจิกหัวใช้งานเรื่องแย่ ๆ และยิ่งไม่พอใจที่ราชาเทพสั่งให้ทำเพราะความแค้นส่วนตัวด้วย เขาจึงบอกใบ้กับไคซัสว่าฟาเบียนดึงฮาธอสเข้าเมืองหลวงด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่การฟื้นฟูพื้นที่หุบเขาแดงให้กลับมาปลูกต้นไม้ได้อีกครั้ง

มหาเทพสงครามก็ฉลาดเป็นกรดประติดประต่อเรื่องราวได้เกือบทั้งหมด เขาตัดสินใจรับบทตัวร้ายหลอกใช้นาซิลลากับฮาธอสด้วยตนเอง พร้อมกันนั้นก็ซ่อนแผนฟาเบียนเพื่อเปิดโปงสิ่งที่เจ้าตัวทำด้วย ซึ่งฟาเบียนก็ตกหลุมพรางโดยไม่รู้สักนิดว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของแผนตลบหลัง ซึ่งทำให้เซย์เรียโน่มีโอกาสประทุษร้ายราชาเทพเป็นครั้งแรกด้วย สิ่งที่อยู่นอกเหนือแผนการมีเพียงการที่ฮาธอสละเมิดกฎอ่านบันทึกปกดำที่ไคซัสลืมทิ้งไว้

นับจากวันที่บอกใบ้เรื่องฮาธอส ‘ขุนพลเทพอันดับห้า’ ก็เตรียมแผนรับมือในกรณีที่เฮสเลนหนีไคซัสมาได้ตามวิธีการของตนเองจนนำไปสู่เรื่องราวในตอนท้าย ยังดีที่เซย์เรียนช่วยชีวิตฮาธอสไว้ได้จึงไม่บาดหมางกับมหาเทพสงครามไปมากกว่านั้น และกลายเป็นมิตรมาร่วมมือกันเล่นงานจ้าวสวรรค์ในวันนี้ ทั้งนี้ก็เพราะเธอไม่อยากเสียบุคลากรฝีมือดีไปโดยไม่จำเป็น ผิดกับฟาเบียนที่คิดหาทางกำจัดทิ้ง

ดังนั้นหากจะให้หาว่าใครร้ายกาจที่สุดจากเหตุการณ์ที่ผ่านคงไม่พ้น ‘มหาเทพจ้าวสวรรค์’ ผู้นี้นี่เอง

แต่ถึงอย่างนั้นเหนือฟ้ายังมีฟ้า หากฟาเบียนรู้จักใช้คนของตนเพื่อประโยชน์ส่วนตนและสวรรค์ ไคซัสก็รู้จักใช้แผนการของฝ่ายตรงข้ามมาทำประโยชน์เพื่อคนที่รักได้เช่นกัน และเขาก็ไม่ลังเลที่จะใช้มันอีกด้วย

“คิดทบทวนให้ดี ๆ ว่าจะยอมรามือเท่านี้ ทำตามที่เซย์เรียนเสนอ หรือจะให้ข้าไปจากสวรรค์กับฮาธอสโดยเปิดเผยเรื่องนี้ทิ้งไว้ก่อนจะไปด้วย”

ฮาธอสมองอยู่ห่าง ๆ จึงไม่รู้ว่าไคซัสกำลังพูดอะไรกับมหาเทพจ้าวสวรรค์ ถึงอย่างนั้นก็พอจะเดาได้จากใบหน้าซีดขาวของฟาเบียนกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้ว่ากำลังต่อรองบางอย่างกันอยู่ และมันต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ เพราะสุดท้ายราชาเทพก็ชักสีหน้าอับจนแล้วกระชากตัวเองออกห่าง

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่เห็นเจตนาดีของข้าและรวมหัวกันแบบนี้ อยากจะทำอะไรก็ทำไปแล้วกัน!” ใบหน้าคมสะบัดมาหาฮาธอสอีกครั้ง แววตาดั่งจะกินเลือดกินเนื้อกันทีเดียว “แต่เทพคนนี้ต้องใส่ ‘ปลอกคอ’ ตลอดเวลาและห้ามแพร่งพรายเรื่องที่เขาเป็นน้องชายของเฮสเลนออกไปด้วย เข้าใจที่ข้าพูดไหม!”

“แน่นอน ข้าจะเป็นยิ่งกว่าปลอกคอของเขาเสียอีก”

ไม่ว่าฟาเบียนจะตีความคำพูดของมหาเทพสงครามว่าอย่างไร เขาก็ตวัดตามามองฮาธอสอย่างไม่ไว้ใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสะบัดตัวเดินย้ำเท้าตึงตังออกจากห้องไป ก่อนฮาธอสจะได้ยินเสียงไคซัสกับเซย์เรียนพรูลมหายใจอย่างเอือมระอาพร้อมกัน จากนั้นเทพอสูรก็เบือนหน้าไปหาเด็กสาวในชุดแดง ยักยิ้มเล็กน้อย

“ขอบใจที่ช่วยนะ”

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 20 up 11/09/13
«ตอบ #85 เมื่อ13-09-2013 00:47:06 »

"มิได้ค่ะ ถือว่าไถ่โทษที่ข้ากับน้องชายทำเรื่องไม่ดีไว้กับพวกท่านตั้งมากมาย” เซย์เรียนเอียงคอเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างนั้นดูสดใสและไร้เดียงสาจริง ๆ ผิดกับน้องชายอย่างมาก “อีกอย่างข้าอยากจะตอบแทนที่ฮาธอสยอมให้ความร่วมมือในการสะกดอำนาจในดวงจิตของเฮสเลนด้วย แค่นี้ยังถือว่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำ เซย์เรียโน่เองก็อยากออกมาขอขมาจะแย่”

“พูดถึงเขา ข้าก็อยากให้ออกมาเหมือนกัน” ไคซัสพูดด้วยสีหน้าตึง ๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยพอใจนัก

เซย์เรียนหัวเราะคิกคักพลางยืนขึ้น “ขอโทษด้วยนะคะที่ทำไม่ได้ เขากำลังหลับอยู่นะคะ” มือเรียววางตรงกลางอก สีหน้าอบอุ่นยามนึกถึงน้องชาย ไคซัสกับฮาธอสเคยเห็นสีหน้าแบบนี้จากเซย์เรียโน่มาก่อน ตอนพบกันในโดมทองรำไพ จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นและยิ้มให้กับเจ้าบ้าน “ไหน ๆ ฮาธอสก็ตื่นแล้ว มหาเทพไคซัสคงอยากคุยกับเขาเป็นการตรวจตัว ดังนั้นข้าขอตัวกลับก่อนดีกว่า”

“ท่านหญิงรักษาสุขภาพด้วยนะขอรับ” ฮาธอสเอ่ยอย่างห่วงใย ด้วยรู้ว่าสุขภาพของเธอไม่ค่อยดีนัก

“เจ้าก็ด้วย วันนั้นเจ้าใช้พลังไปเกือบหมดและยังได้รับบาดเจ็บสาหัส คงต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียวกว่าเจ้าจะหายเป็นปกติดังเดิม ช่วงนี้ขอให้อยู่อย่างไรพลังไปก่อนแล้วก็ดื่มยาตามเวลาด้วยนะ” เซย์เรียนกำชับด้วยรอยยิ้มหวานที่เจือด้วยอำนาจน้อย ๆ แล้วตามหลังฟาเบียนกลับไปอีกคน

มหาเทพจ้าวตำหนักตามไปส่งเธอถึงหน้าประตู หลังปิดประตูห้องเรียบร้อยแล้วก็ปลดผ้าม่านกั้นพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน จากนั้นก็กลับมาพยุงตัวฮาธอสขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ แม้ว่าจะทำด้วยความนุ่มนวลอย่างเต็มที่แล้ว แต่เทพคนสวนก็ยังรู้สึกเจ็บไปทั้งตัวอยู่ดี โดยเฉพาะกลางลำตัวที่เคยถูกทะลวงปวดเหมือนจะตายเสียให้ได้ กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายเมื่อยตึงไปหมดจนอดครวญครางไม่ได้

“อูย...”

“เจ็บมากหรือ ขอโทษนะ” ไคซัสกุลีกุจอมานั่งซ่อนหลังให้ฮาธอสนั่งพิงตัวเอง เอื้อมมือไปหยิบถ้วยยาที่สั่งให้คนเตรียมไว้ทุกวันและเปลี่ยนใหม่เกือบจะทุกชั่วโมงมาอุ่นให้ร้อนแล้วป้อนให้คนที่รัก “เอ้า! ดื่มก่อน เซย์เรียนบอกให้เจ้าดื่มทันทีที่ตื่นขึ้นมา”

ฮาธอสพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจิบยาเข้าปาก ราชาติขมปร่าที่ร้ายกาจซ่านไปทั่วทำเอาอยากสะบัดหน้านี้ แต่เพราะคิดว่ามันจะช่วยลดความเจ็บปวดในตัวได้ เขาจึงฝืนดื่มเข้าไปจนเกือบหมดถ้วยก่อนจะทนไม่ไหวผละออกมาร้องขอน้ำเปล่ามาดับความขม

“ข้าหลับไปนานแค่ไหนขอรับ” นั่นเป็นคำถามแรกที่หลุดจากปากหลังดื่มน้ำเสร็จ

“หนึ่งเดือนกับอีกสิบห้าวัน” ไคซัสบอกพลางจูบกลางกระหม่อมด้วยความรักสุดหัวใจ “เจ้าหลับลึกมาก ข้าเรียกเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่ยอมตื่นจนนึกว่าจะต้องรอนานกว่านี้ซะแล้ว ข้าไม่ค่อยชอบฟาเบียนหรอกนะ แต่ต้องขอบใจที่เจ้านั่นมาโวยวายข้าเรื่องจะเก็บเจ้าไว้ในวันนี้ เพราะเสียงของเขาใช่ไหมที่ทำให้เจ้าตื่นขึ้นมา”

ฮาธอสอยากหัวเราะจะแย่ แต่ติดที่ไม่มีแรงให้ทำเช่นนั้น ประกอบกับเหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงชัดเจนอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงมีเพียงรอยยิ้มเซียว ๆ บนวงหน้าซีดขาว

“ท่านช่วยข้าไว้หรือขอรับ” เทพคนสวนเปลี่ยนเรื่อง

“เซย์เรียนต่างหาก หลังจากเจ้าหมดสติไป นางก็ปรากฏตัวใช้พลังดึงเจ้ากลับมาจากปากทางไปยมโลกและเป็นคนรักษาบาดแผลของเจ้าจนหายสนิททั้งหมด ยาทุกอย่างก็เป็นของที่นางจัดหามาทั้งนั้น”

มหาเทพสงครามระบายลมหายใจช้า ๆ สายตาไม่คลาดคลาจากคนในอ้อมแขนแม้แต่น้อย เขาเริ่มอุ่นใจขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่รักเริ่มมีรอยเลือดฝาด ร่างสูงโปร่งอบอุ่นขึ้นจากอุณหภูมิจากตัวของเขา ปมความกังวลที่รัดตึงในใจเขาเริ่มคลายตัวออก เปิดทางให้ความโล่งอกไหลทะลักออกมาจากถุงที่ถูกปิดผนึกไว้เป็นเวลานาน

ฮาธอสฟังแล้วก็เงียบไป ซุกหน้าผากกับซอกคอแกร่ง แนบแก้มกับบ่ากว้างใหญ่ ซึมซับไออุ่นที่มาจากตัวอีกฝ่ายไว้ราวกับจะใช้มันเพิ่มอุณหภูมิให้กับตนเอง เขายอมรับกับตัวเองเงียบ ๆ ว่ามีความสุขที่ถูกอีกฝ่ายกอดอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากผ่านความรู้สึก ‘กลัว’ ว่าจะต้องพรากจากกันในตอนที่กำลังจะตาย...

“เซย์เรียนเล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว เจ้าออกไปข้างนอกได้ก็เพราะนางสอนวิธีทำลายเขตอาคมจากภายในสินะ” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยข้างหู แม้ไม่มีแววตำหนิแจ่มชัด ทว่าฮาธอสก็ยังเงยหน้าขึ้นเว้าวอน

“มหาเทพไคซัสอย่าตำหนิท่านหญิงเลยนะขอรับ ข้าเป็นคนขอร้องนางเอง พวกเราในแนวหลังต่างก็ไม่อยากใช้แผนสำรองนี้ทั้งนั้น” น้ำเสียงทุ้มนิ่มเต็มไปด้วยความกังวล กลัวว่าไคซัสจะพาลคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย

“ข้ารู้ ทำใจให้สบายเถอะ ข้าไม่โกรธเรื่องพวกนี้แล้วล่ะ เซย์เรียนได้ชดใช้คืนทั้งหมดแล้วนี่นา” เทพอสูรบอกด้วยความใจกว้างอย่างเหลือเชื่อ กระนั้นเขาก็หมายความเช่นนั้นจริง ๆ แค่เขาได้ฮาธอสกลับคืนมา อย่างอื่นเขาก็ไม่ต้องการอีกแล้ว

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โกรธ เทพคนสวนก็คลายความกังวลและเบียดตัวซุกกับร่างใหญ่อีกครั้ง อยากจะใช้สองแขนกอดเขาให้แน่น ๆ สมกับความคิดถึง แต่ความง่วงที่ก่อเกิดจากฤทธิ์ยาและความอ่อนเพลียจากอาการบาดเจ็บกลับขโมยกำลังวังชาที่เริ่มมีขึ้นมาหน่อยไปจนหมด กระนั้นชายหนุ่มก็ยังฝืนลืมตาต่อเพื่อไขความกระจ่างของเรื่องที่ค้างคาใจ

“ท่านพี่ของข้าล่ะขอรับ” ใบหน้าคมคายหมองลงถนัดตา “...ข้ามอบชิ้นส่วนมือของท่านพี่ให้ท่านหญิงเซย์เรียนไปใช้ในการสะกดเขา ตอนนี้...”

“ตอนนี้มันถูกนำไปเก็บไว้ในสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดของสวรรค์ ที่ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่าแดนร้าง” ไคซัสต่อให้ มือหนาเกลี่ยปอยผมทองที่ตกลงมาออกจากแก้มเนียนขาวแล้วมองลึกลงในดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่สวย “ต่อนี้เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องของเฮสเลนอีกแล้ว ตราบใดที่ยังอยู่ในอุ้งมือของมหาเทพแห่งความมืดตนนั้น เขาจะไม่มีวันกลับมาก่อความวุ่นวายได้อีก”

“อย่างนั้นหรือขอรับ บทเรียนคราวนี้คงทำให้ท่านพี่เข็ดจนวันสิ้นอายุขัย” แม้จะเสียใจที่ดวงจิตของพี่ชายไปอยู่ในอุ้งมือของมหาเทพบรรพกาลที่น่ากลัวที่สุดในสวรรค์ แต่ฮาธอสก็คาดหวังดั่งที่พูดไว้ เฮสเลนก่อกรรมทำเข็นมากเกินไป สมควรแก่เวลาที่เจ้าตัวจะสำนึกต่อบาปของตนเสียที

“แล้วก็นาซิลลา” ไคซัสพูดถึงเทพจันทราต่อด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องถามถึงแน่ “อัลวินช่วยนางกลับมาได้ แต่การควบคุมของเฮสเลนทำให้ร่างกายและดวงจิตได้รับบาดเจ็บจนต้องจำศีล มหาเทพีจันทรารับนางกลับไปพักฟื้นที่ตำหนัก เห็นว่าไม่เป็นอันตรายมาก อีกไม่นานก็คงจะตื่น ส่วนเจ้า...”

เทพอสูรสูดลมหายใจลึกเพื่อลบความโหวงเหวงในอกออกไป จากนั้นก็กระชับอ้อมแขนรัดรอบตัวฮาธอสแน่นอีกนิดอย่างทะนุถนอมและหวงแหนอย่างยิ่งยวด

“...พี่ชายของเจ้าไม่อยู่แล้ว เจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่าอดีตจะกลับมาทำร้ายตัวเองอีก และข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเทพน้ำใจงาม แต่ข้าขอร้องได้ไหม สัญญากับข้าว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก จะไม่เสียสละอย่างโง่ ๆ แบบนี้ จะไม่ทำให้ข้ากลัวแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สาม...”

เทพคนสวนถึงกับน้ำตาคลอเมื่อรับรู้ถึงไหล่ที่สั่นเทาของมหาเทพสงคราม สุ้มเสียงทุ้มต่ำสั่นเครือนั้นก็คล้ายจะนำพาอารมณ์ของเจ้าตัวมากระแทกหัวใจของเขาซ้ำ ๆ จนรู้สึกผิดที่ทำให้อดีตราชาอสูรตนนี้ต้องหวั่นไหว ทำให้เขาอยากถนอมชีวิตของตัวเองมากขึ้น...เพื่อไคซัส

อา...แม้แต่เวลาแบบนี้เขายังคิดทำเพื่อคนอื่นอยู่ดี โรคเสียสละนี้ท่าจะรักษายากนัก

“ขอรับ ข้าสัญญา” ฮาธอสสัญญาด้วยความหนักแน่น ถึงแม้น้ำเสียงจะแผ่วเบาเพราะความง่วงก็ตาม เขาสูดลมหายใจลึกแล้วระบายออกมาน้อย ฝืนยกแขนขึ้นกอดคนที่รัก “มหาเทพยังจำคำขอแรกที่ท่านถามข้าได้ไหมขอรับ”

“จำได้สิ ที่ข้าขอให้เจ้ามาอยู่ด้วยกัน” ไคซัสมองหน้าที่ง่วงซึมเหมือนเด็กของคนในอ้อมแขนแล้วยิ้มบาง

“ข้าตัดสินใจได้แล้วขอรับ” เทพคนสวนช้อนหน้ามอง ดวงตาสุกใสเป็นประกาย รอยยิ้มที่หวานหยาดเยิ้มดั่งน้ำผึ้งเดือนห้าแย้มพรายบนวงหน้าสวย “ข้าจะมาอยู่กับท่าน ข้ารักท่านขอรับ”

ยังไม่ทันขาดเสียงดีนัก วงแขนที่โอบรอบร่างเขาก็รัดแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บ เล่นเอาหายง่วงเป็นปลิดทิ้งไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว

แต่ฮาธอสคงไม่เข้าใจความรู้สึกของไคซัสนัก เพราะตอนที่เจ้าตัวเอ่ยคำสุดท้ายนั้นครั้งแรกอยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากัน มหาเทพสงครามจึงไม่รู้ว่ามันเป็นคำพูดจริง ๆ หรือเพียงคำเพ้อ หรือตนหูฝาดไปด้วยอารามตกใจจนเสียจริต ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินอีกครั้ง...หลังชายที่รักสุดหัวใจได้สติ เขาจึงรู้สึกปีติยินดีอย่างหาที่สุดมิได้ ในอกข้างซ้ายที่เพิ่งได้รับการเติมเต็มคล้ายถูกย้ำแน่นด้วยแผ่นเหล็กที่เรียกว่า ‘รัก’

การได้คนที่รักกลับคืนมาพร้อมกับความรู้สึกอย่างเต็มเปี่ยมนั้นย่อมมีความสุขมากกว่าอยู่แล้ว...

“ข้ารักเจ้า ขอบใจที่กลับมาอยู่เคียงข้างกันนะ”

เพียงเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ อีกต่อไปแล้ว ใช้แค่อ้อมกอดและหัวใจโอบรัดกันและกันไว้ ห้องนอนที่กว้างใหญ่ก็อบอุ่นไปด้วยอุ่นไอแห่งรัก

---------------

ยังเหลือบทส่งท้ายอีกหนึ่งบทนะคะ

แต่มาถึงตรงนี้แล้ว เคย์เซย์คิดว่านักอ่านทุกท่านคงจะทราบแล้วว่าใครคือคนที่ "ร้าย" ที่สุดของเรื่องไปแล้ว และที่สุดแล้วเซย์เรียนหรือเซย์เรียโน่อยู่ฝ่ายไหนกันแน่

เพื่อความกระจ่างกว่าเดิมเล็กน้อย เคย์เซย์ขออธิบายตรงนี้ว่า "ขุนพลเทพอันดับห้า" อยู่ฝ่ายสวรรค์ค่ะ ทว่าไม่ได้เป็นพวกเดียวกับฟาเบียนแต่อย่างใด ดังจะเห็นแล้วว่าแนวคิดของทั้งสองแตกต่างกันมาก คนหนึ่งยึดถือความถูกต้องตามความเหมาะสม ในขณะที่อีกคนยึดติดกับความเป็นเทพอย่างสุดโต่ง ถึงจะทำำงานให้ แต่ "เขาและเธอ" ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะเล่นงานอีกฝ่ายกลับในยามจำเป็น ซึ่งนับจากนี้ไป "ขุนพลเทพอันดับห้า" จะเป็นพันธมิตรที่ยั่งยืนที่สุดของไคซัสกับฮาธอสค่ะ

ถ้าถามว่า "เกลียด" กันขนาดนี้ ทำไม "เซย์เรียโน่กับเซย์เรียน" จึงยังทำเรื่องงานใ้ห้กับมหาเทพจ้าวสวรรค์อีก คำตอบง่าย ๆ เลยก็คือ "ไม่อยากให้สวรรค์ล่มจม" ค่ะ จ้าวสวรรค์อย่างฟาเบียนนั้นอาจทำให้สวรรค์รุ่งเรืองจนถึงขีดสุดได้ แต่ก็สามารถทำให้ล่มจมได้เหมือนกัน หากว่าไม่มีคนคอยหนุนอยู่ใต้บัลลังก์ ซึ่งการทำงานต่อจากนี้ของไคซัสก็จะยืนบนบรรทัดฐานเดียวกัน ส่วนที่ไม่มีใครชิงบัลลังก์จ้าวสวรรค์มาก็เพราะมีลูซิสขวางคออยู่ค่ะ แถมบัลลังก์นี้เรื่องเยอะกว่าบัลลังก์อื่นๆ จึงไม่มีใครอยากยุ่ง (ฮา)

ออฟไลน์ padang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 21 up 13/09/13
«ตอบ #86 เมื่อ13-09-2013 01:52:39 »

เผยขั้นตอนมาหมดแล้ว
ซับซ้อนเลยแหละ ถ้าไม่บอกก็ไม่มีทางรู้ได้เลย
ฟาเบี้ยนนี่นิสัยแย่ตามแบบนักปกครองเปี๊ยบเลย
เชื่อไม่ได้

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 21 up 13/09/13
«ตอบ #87 เมื่อ13-09-2013 15:17:29 »

รักเรื่องนี้มาก ไม่อยากให้จบเลย  :mew1: :mew1:

Makoto-sang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 21 up 13/09/13
«ตอบ #88 เมื่อ18-09-2013 17:13:04 »



   
ปัจฉิมบท

    สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดรำเพยนำพากลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดอบอวลไปทั่วตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย อากาศก็แจ่มใสและเงียบสงบเหมาะให้เหล่าเทพธิดาทั้งหลายมาบรรเลงบทเพลงด้วยกัน แต่วันนี้พวกนางกลับไปรวมตัวตามห้อง หรือไม่ก็ตามทางเดินที่ใช้แอบดูศาลากลางตำหนักได้ แต่ละนางยืดคอชะเง้อชะแง้ด้วยความสนอกสนใจอย่างยิ่ง

    ในศาลาหลังคาทรงจีนหลังเล็กที่ตั้งกลางสระบัวสวรรค์ จอมเทพีเรเทเชียนั่งทำหน้าปั้นยากใส่วิฬาร์ทอง วิฬาร์เงิน และวิฬาร์แก้วขนาดเท่าตัวจริงในถาดคลุมผ้ากำมะหยี่สีแดง เพียงแค่เห็นลวดลายละเอียดอ่อนที่สลักเสลาบนวัตถุดิบก็รู้ทันทีว่าเป็นงานของช่างฝีมือชั้นเอก โดยเฉพาะวิฬาร์แก้วที่เจียระไนจากแก้วเนื้อขาวใสที่หาได้ยากแม้แต่แดนสวรรค์ มูลค่าของทั้งหมดนั้นคงเป็นทองสูงเท่าเอวนางเห็นจะได้

    ถึงตอนนี้ดวงตาสีน้ำตาลของเจ้าหล่อนก็เคลื่อนไปหาผู้นำของทั้งหมดนี้มาให้ มหาเทพสงครามนั่งอยู่ที่ตั้งตัวใหญ่ทางขวามือ เคียงข้างด้วยเทพคนสวนประจำตำหนักหล่อน เยื้องไปด้านหลังเป็นอัลล์กับองครักษ์ในเครื่องแบบสีดำขลิบขอบสีแดงอันเป็นสีประจำตำหนักพาเทร่ายืนอยู่เงียบ ๆ ครั้นสบตากับไคซัส เจ้าตัวก็ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่ากับการที่เจ้าตัวอยู่ในร่างมนุษย์ที่ดูหล่อเหลาราวกับเทพบุตรจริง ๆ

    “ว่าอย่างไร ชอบแมวพวกนี้ไหม” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามอย่างนุ่มนวลจนน่าตกใจ ยามเขายิ้มมันเหมือนเสน่ห์ที่เจ้าตัวเก็บซ่อนไว้ถูกแสดงออกมาจนหมด

    “เอ้อ! ข้า...พอใจเจ้าค่ะ” เรเทเชียตอบ สีหน้ากระอักกระอ่วนไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี ดวงตาหลุกหลิกไม่ชินกับท่าทีเป็นสุภาพบุรุษของเทพอสูร “แต่จะมอบให้ข้าจริง ๆ หรือเจ้าคะ”

    “จริงสิ ถือว่าเป็นการขอโทษที่ก่อนหน้านี้เคยพูดไม่ดีกับเจ้าไว้...และเป็นของขวัญขอบคุณที่อนุญาตให้ฮาธอสมาอยู่กับข้าอย่างเป็นทางการด้วย” ไคซัสตอบทั้งรอยยิ้มละไม

    หลังจากที่ฮาธอสฟื้นขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มก็ต้องพักรักษาตัวต่อนานถึงสองเดือนเต็ม กว่าจะแข็งแรงพอจะออกจากห้องไปไหนมาไหนด้วยตนเองได้ สิ่งแรกที่ไคซัสตัดสินใจทำเพื่อรับขวัญเทพคนสวนก็คือพาเขากลับมาหาเจ้านายเก่าที่ไม่ได้พบกันอีกเลยตั้งแต่คราวถูกเรมันต์ลอบทำร้าย

    แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การมาเยี่ยมเยือนธรรมดา แต่เป็นการขอตัวเทพคนสวนไปอยู่ตำหนักพาเทร่าอย่างเป็นทางการอีกด้วย ความจริงเรื่องที่มหาเทพสงครามให้ความเอ็นดูฮาธอสมากกว่าปกตินั้นแพร่กระจายไปทั่วได้พักใหญ่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ไคซัสออกอาการหลวงเจ้าตัวจนออกนอกหน้านั่นเอง บรรดาสาว ๆ ที่แอบซ่อนอยู่จึงส่งเสียงฮือฮาอย่างตื่นเต้นระคนเสียดาย อย่างไรเสียเทพหนุ่มตนนี้ก็เคยเป็นที่รักของคนที่นี่

    “อะแฮ่ม!”

    “เอ่อ...เรื่องนี้ถามข้าเพียงผู้เดียวไม่ได้หรอก ต้องถามเจ้าตัวด้วยต่างหาก” จอมเทพีจ้าวตำหนักเอ่ยหลังอเดลกระแอ่มคอปรามนางกำนัลของฝ่ายตน แล้วหญิงสาวก็หันไปหาเทพคนสวน “ฮาธอสเต็มใจจะไปอยู่กับมหาเทพสงครามหรือเปล่า”

    “ข้าน้อยตัดสินใจแล้วขอรับ” ฮาธอสกล่าวด้วยความมั่นใจไร้ข้อกังขาแล้วหันไปหามหาเทพสงคราม

    ประกายหวานเชื่อมในดวงตาของเทพทั้งสงบอกเล่าทุกอย่างกับจอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรม ตั้งแต่ที่ฮาธอสบอกว่ามีปัญหาความรัก นางก็สงสัยมาตลอดว่าใครเป็นผู้โชคดี ที่แท้เทพที่คว้าหัวใจศิษย์ของนางไปก็คือ ‘ไคซัส’ เองหรือนี่ มิน่าเล่าเทพอสูรจึงออกอาการดุร้ายนักเมื่อนางไปขอตัวเขากลับคืนมา

    มันเป็นแบบนี้นี่เอง...

    เรเทเชียระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจกับการตัดสินใจของศิษย์รักผู้นี้ดี เทพกับอสูร สำคัญที่สุดยังเป็นเพศเดียวกันอีกด้วย ถึงสวรรค์จะไม่ได้ห้ามเรื่องความรักในหมู่เพศเดียวกัน นางก็อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้อยู่ดี คงเพราะเห็นนาซิลลาวิ่งไล่ตามเงาของเทพคนสวนผู้นี้มานานกระมัง

    แต่ถึงกระนั้นความรักก็เป็นเรื่องระหว่างสองบุคคลที่คนนอกไม่ควรยื่นมือไปสอด อีกทั้งเรเทเชียก็พูดไปแล้วด้วยว่าถือการตัดสินใจของฮาธอสเป็นสำคัญ ในเมื่อชายหนุ่มเลือกเส้นทางของตนเองแล้ว...และไคซัสก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร นางเห็นมาแล้วถึงความรักของเขา ยิ่งประจักษ์ในความหวงแหน ส่วนความทะนุถนอมนั้น...คงไม่ต้องถามถึง หากมหาเทพสงครามไม่ดูแลเทพคนสวนดีจริง ๆ คงไม่มายืนอยู่ตรงนี้แน่

    “ตกลง เมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนั้น ข้าก็อนุญาตให้เจ้าไป เมื่อไปอยู่ทางโน้นแล้วก็ขอให้ช่วยเหลืองานมหาเทพสงครามอย่างเต็มที่เหมือนตอนที่อยู่กับข้านะ หากวันใดเจ้าได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเทพรับใช้ก็ปกครองพวกเขาด้วยความเป็นธรรมด้วย” นางกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง รู้สึกเหมือนกำลังปล่อยลูกสาวออกจากอกก็ไม่ปาน

    “ขอบพระคุณจอมเทพี ฮาธอสน้อมรับคำสอนสั่ง” เทพคนสวนโค้งคำนับต่ำอย่างนอบน้อมยิ่ง

    “แต่ว่าข้ายังสงสัยเรื่องหนึ่ง” คำถามที่ขัดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้ฮาธอสยืนตัวตรงทันใด ความสงสัยบนวงหน้าสวยของอดีตเจ้านายดูมีเลศนัยจนเขาสังหรณ์ “คำตอบที่เจ้าได้จาก ‘หัวใจ’ นั้นเป็นของจริงหรือเปล่า”

    หลังจากจบคำถาม ทุกสายตาของเทพในศาลาก็พร้อมใจกันไปรวมอยู่ที่เทพคนสวน โดยเฉพาะไคซัสที่ดูจะสนใจมากกว่าเพื่อน เขาไม่สนใจหรอกว่าเรเทเชียจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาแล้วหรือยัง ชายหนุ่มอยากรู้คำตอบของฮาธอสมากกว่า

    เมื่อถูกจ้องเข้าแบบนี้ ฮาธอสก็ออกอาการกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนจะสูดลมหายใจรวบรวมความกล้าตอบกลับไป

    “ขอรับ”

    คำตอบนั้นไม่เพียงแต่ทำให้เรเทเชียรู้สึกโล่งใจ แต่ยังทำให้ไคซัสลอบยิ้มอย่างมีความสุขด้วย เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่ กระนั้นมันก็ยังแสดงออกทางดวงตาอยู่ดี ก่อนจะสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อจอมเทพีเอ่ยเรียก

    “มหาเทพ”

    “อันใดหรือ” น้ำเสียงถามกลับเจือแววไม่แน่ใจเล็กน้อย เพราะฝ่ายตรงข้ามเล่นสาดรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนแม่มาให้ ทำให้เขาตั้งหลักไม่ติดเล็กน้อย

    “เรื่องในอดีตข้าต้องขอโทษด้วยที่เคยเสียมารยาทกับท่านไปตั้งมากมาย และแม้ข้าจะไม่ค่อยรู้รายละเอียดเชิงลึกของเรื่องราวที่ผ่านมามากนัก แต่ในสายตาของข้า ฮาธอสก็ยังเป็นฮาธอสอยู่วันยันค่ำ เป็นศิษย์เอกที่ข้าให้ความเอ็นดูมาตลอด ดังนั้นโปรดดูแลเขาให้ดี ๆ นะเจ้าคะ”

    เพราะรอยยิ้มของคู่สนทนาดูไร้พิษภัย ไคซัสจึงพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลอย่างดีเลยล่ะ”

    “ขออภัยนะเจ้าคะ ข้าดูอยู่นานแล้วแต่อดรู้สึกไม่ได้ พวกท่านสองคนทำเหมือนกำลังสู่ขอลูกสาวกันเลยเจ้าค่ะ” อเดลเอ่ยกระเซ้าขึ้นมาเล่นเอาฮาธอสหน้าแดงเถือก อัลล์กับองครักษ์รีบกลั้นยิ้มกับเสียงหัวเราะทันที

    “ท่านอเดล อย่าล้อเล่นกันสิขอรับ” เทพคนสวนแหวเสียงหลง ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าได้ยินเสียงคร่ำครวญของพวกผู้หญิงแว่วมาด้วย

    “ไม่เห็นเป็นไรนี่ ข้าเองก็คิดเหมือนกัน” ไคซัสเล่นตามน้ำ แตะมือเรเทเชียแล้วเออออด้วย “ข้าได้ ‘ลูกสาว’ เจ้ามาแล้ว จะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ ท่านแม่ดีไหม”

    “แหม อายุของข้าน้อยกว่ามหาเทพไคซัสอีกนะเจ้าคะ” เรเทเชียค้อนน้อย ๆ แล้วทำหน้านึก “แต่ข้าก็ดีใจที่ ‘ลูกสาว’ มีคนดี ๆ อย่างท่านคอยดูแลนะเจ้าคะ”

    “จอมเทพีอย่าเป็นไปด้วยสิขอรับ”

    “อื้ม! ลูกสาวของเจ้าเป็นคนดี เขาถึงได้คนดี ๆ มาดูแลน่ะสิ”

    “มหาเทพ! หยุดเถิด!”

    “ยอมรับเถอะ ฮาธอส ตอนนี้เจ้าเป็น ‘ลูกสาว’ ของจอมเทพีไปแล้วล่ะ”

    “อัลล์ก็เอาด้วยเหรอ!”

    แล้วเสียงหัวเราะครื้นเครงก็ดังไปทั่วศาลากลางตำหนัก กลบเสียงแหวอย่างเขินอายของฮาธอสกับเสียงสะอื้นไห้ของนางกำนัลที่อกหักรักคุดอย่างงลับ ๆ จนหมดสิ้น

    แต่ท่ามกลางสายตาของประจักษ์พยานซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่ฮาธอสเคารพรัก ไคซัสได้ยื่นมือมาหาฮาธอสพร้อมส่งรอยยิ้มเชิญชวน เทพคนสวนยืนเขินอยู่นานกว่าจะยอมจับมือนั้นและคล้อยตามแรงดึงไปนั่งข้างมหาเทพสงคราม ทำให้เสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลที่แอบซ่อนอยู่ดังขึ้นอย่างปิดไม่มิด เสียงนั้นมีทั้งความตื่นเต้นและความเสียใจกับเสียดายปนเปกันจนแทบแยกไม่ออกทีเดียว

    เพียงเท่านี้...ไคซัส ไม่สิ...

    นับจากนี้ไปมหาเทพสงครามกับเทพคนสวนจะไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว

    พวกเขาจะอยู่เคียงข้างกันและกัน ร่วมทุกข์และร่วมสุขด้วยกันตราบจนชั่วฟ้าดินสลาย...



    จบบริบูรณ์

    ----------------------

    นาทีนี้ขอพูดชัดๆ ว่า โล่งแล้ว TT_TT

    ในที่สุดก็จบลงเสียที ไคซัส ฮาธอส ฉันส่งพวกเธอสองคนถึงฝั่งแล้ว โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

    ต้องขอโทษด้วยนะครับที่หายไปนาน เพิ่งจะมีเวลามาลงบทปัจฉิมเอาวันนี้นี่เอง ตอนนี้ยังจะไม่แจ้งย้ายห้องนะครับ เพราะตั้งใจว่าจะเอาตอนพิเศษสั้นๆ  ใน theme "ฉากที่หายไป" มาลงอีกเป็นระยะๆ (หรือจนกว่าจะสามารถเปิดจองหนังสือในเล้าเป็ดได้)

และขอแจ้งให้ทราบด้วยว่า ตอนนี้มาโกะเปิดจองหนังสือทำมือของนิยายเรื่องนี้ไว้ที่เว็บเด็กดีแล้วนะครับ สามารถตามไปอ่านรายละเอียดได้ที่ My.ID Keisei หรือจะไปตามจากเพจ Keisei/L.Lalinsia ก็ได้ สาเหตุที่ยังไม่ได้เปิดจองในเล้า ก็เพราะตอนนี้กำัลังรอ ID ผู้ขายจากทางทีมงานเล้าอยู่ แบบว่าประมาทไปหน่อย ลงจนจบแล้วเพิ่งนึกได้ว่าต้องขอไอดีด้วย orz จะโยงลิงก์รายละเอียดจากข้างนอกมาก็เกรงว่าจะผิดกฎน่ะครับ

สำหรับเนื้อหาในหนังสือทำมือมีการรีไรท์และเกลาสำนวนใหม่ทั้งหมด มีตอนพิเศษหวานๆ เอาให้สมกับที่ดรา่ม่ามาเยอะให้อีก 2 ตอนด้วยกันครับ

สุดท้าย...แต่ยังไม่ท้ายสุด ใครสงสัยอะไรสามารถสอบถามได้นะครับ มาเมาส์กันเถอะ....

ปล.มีพล็อตภาคสองมาบ้างแล้ว ลุ้นกันว่าจะได้เขียนไหม  :mew1:

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท up 18/09/13
«ตอบ #89 เมื่อ19-09-2013 03:56:16 »

สงสารเฮสเลนอ่ะ

น่าจะกลับตัวตอนจะจบเหมือนหนังไทยงี้ :katai3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด