[fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]  (อ่าน 54313 ครั้ง)

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
4.1

((อดีต))



                “นัท แก้ตรงนี้หน่อย เราว่ามันแปล่งๆ”


                ภายในห้องนั่งเล่นของคอนโดแห่งหนึ่งในเมืองกรุง คนสองคนนั่งกันอยู่กลางห้อง รอบตัวมีเศษกระดาษกับดินสอกระจายไปทั่ว


                คนโตกว่ายื่นหน้าไปมองตัวโน๊ตที่อีกคนยื่นมาให้ ละมือที่เกากีต้าร์เล่นไปเรื่อยเปื่อยไปรับกระดาษแผ่นนั้นมา


                “ตรงไหน”


                “เนี่ย ตรงเนี้ยะ” นิ้วเรียวชี้ไปตรงจุดที่ตนขัดใจ


                “ก็เพราะดีออก”


                “แต่เราไม่ชอบ” น้ำเสียงเอาแต่ใจจากคนตัวบางเรียกให้คนตัวโตกว่าหันไปมอง พร้อมกับเอื้อมมือไปขยี้หัวกลมๆนั่นอย่างหมั่นไส้ เรียกให้คนตัวบางร้องโวยวายเสียงดัง พาให้คนตัวโตหัวเราะอย่างชอบใจ


                “อย่าเล่นสิ! จะได้เสร็จซะที”


                “เหนื่อยก็พักสิ จะรีบไปไหน”


                “ไม่เอา อยากทำให้เสร็จ จะได้เอาไปอัดทำเดโม” ร่างหนาชะงักไปนิด ก่อนจะวางกระดาษแผ่นนั้นลงยกกีต้าร์บนตักไปวางบนโซฟาที่ทั้งสองคนนั่งพิงกันอยู่ และลุกขึ้นยืน คนตัวบางมองการกระทำนั้นงงๆๆ จนเมื่ออีกคนเดินอ้อมมาด้านหลังและนั่งลงกอดเขานั่นแหละถึงเข้าใจ หน้าใสขึ้นสีแดงระเรื่อในทันที


                “หิว” คนตัวโตพูดเสียงอ้อนได้น่าหมั่นไส้จนอีกคนนึกหมั่นเขี้ยวหยิกเข้าให้เสียหนึ่งที


                “ฉวยโอกาสตลอด”


                “ก็หิวจริงๆ” คนตัวบางหัวเราะขึ้นน้อยๆ จะว่าไปก็นั่งทำงานมากันจนดึกดื่นข้าวปลาก็ยังไม่ได้กิน


                “อยากกินอะไร”


                “อยากกินคนแถวนี้ แต่ไม่รู้จะยอมมั้ย” ไม่พูดเปล่า ยังเอาหน้ามาซุกซอกคอขาวให้จั๊กจี้เล่นอีกต่างหาก


                “ทะลึ่ง!!” คนตัวบางตวาดแหวก่อนจะดิ้นดุกดิ้กๆ พร้อมกับหัวเราะน้อยๆ “หิวก็ลุก เดี๋ยวไปทำอะไรให้กิน”


                ได้ยินแบบนั้นคนตัวใหญ่ถึงได้คลายอ้อมกอดออกพร้อมกับรอยยิ้ม


                “เดี๋ยวช่วยนะ! เข้าห้องน้ำแป๊บนึง”


                “ไปทำอะไร” คนตัวบางหันมาถามกันด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์


                “อยากรู้ก็เข้าไปด้วยกันดิ”


                “วกเข้าเรื่องนี้อีกและ”


                “เริ่มเองนะ”


                “ยอมๆ”


                คนตัวโตกว่าหัวเราะเสียงดังก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี คนตัวบางจึงลุกขึ้นเดินเข้าครัวไป หยิบข้าวของออกมาเตรียมอย่างคุ้นเคย บ่อยครั้งที่ต้องมาทำอาหารให้คนที่ทำอะไรเองไม่เป็น ของในตู้เย็นที่เขามักซื้อมาเติมให้เสมอ มือเรียวหยิบสิ่งที่ต้องการออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ


                “ทำอะไรครับ” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับเบียดตัวเข้ามาใกล้ และเอาคางเกยไหล่คนตัวเล็ก


                “สปาเก็ตตี้...”


                “ซอสมะเขือเทศ” อีกคนต่อให้จนจบประโยค


                “ถูกต้อง”


                “กินจนหน้าจะเป็นเส้น”


                “แล้วจะกินมั้ย”


                “กินคร้าบบบบ”


                ตากลมมองค้อนให้กันเสียหนึ่งที ก่อนจะหันไปสนใจกับของตรงหน้าแทน คนตัวโตจึงเดินไปค้นอะไรบางอย่างบนตู้ก่อนจะเดินกลับมา จับไหล่บางทั้งสองข้างหมุนหันมาหาตัวเอง


                คนตัวบางเลิ้กคิ้วมองอย่างงงๆ


                “อะไร”


                “ใส่นี่ก่อน เดี๋ยวเสื้อเปื้อน” มือหนาเอื้อมมือเอาบางอย่างคล้องคอให้อีกคน ‘ผ้ากันเปื้อน’ คนตัวบางก้มมองก่อนจะหัวเราะก๊ากออกมา


                “ลายกระต่ายสีชมพูเนี่ยนะ แหว๋วไปหน่อยรึเปล่า”


                “เหมาะกับซิน น่ารักดี”


                ใบหน้าหวานอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันหลังให้อีกฝ่ายผูกเชือกให้แต่โดยดี

………




                หนึ่งเสียงหวานใสดังควบคู่ไปกับอีกหนึ่งเสียงกีต้าร์ที่เข้ากัน ดังก้องกังวานไปทั่วห้องนั่งเล่น ดีที่ห้องนี้เก็บเสียง ไม่งั้นคงได้โดนเพื่อนข้างห้องด่ากันไปแล้ว


                ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเปล่งเสียงไพเราะออกมาตามท่วงทำนอง อีกคนเองก็เช่นกัน มือเรียวกรีดนิ้วไปตามสายกีต้าร์พร้อมรอยยิ้ม


                มีความสุข ที่ได้ทำสิ่งที่รัก กับคนที่รัก...


                คนหนึ่งมีความสุขที่ได้ร้องเพลงให้กับเสียงกีต้าร์ที่ร้องเพลงไม่ได้


                อีกคนมีความสุขกับการทำให้เสียงร้องนั้นมีชีวิตมากขึ้น


                ทุกๆจังหวะ ทุกๆท่วงทำนองที่ใส่ความรักเข้าไป ถ้าขาดสิ่งไหนไป บทเพลงเหล่านั้นคงไม่สมบูรณ์ 

……



                “นัท อยู่ไหนแล้ว รอนานแล้วนะ”


                “จะถึงแล้วอีกนิดเดียว”


                คนตัวบางนั่งรอคนที่นัดกันไว้แต่มาสายไปครึ่งชั่วโมงกว่าแล้วอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้าง ใบหน้าหวานที่เรียกสายตาจากผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้มากมาย แต่ตอนนี้ใบหน้าหวานนั้นกำลังหงิกงอเพราะนั่งรอมานานแล้วอีกฝ่ายก็ยังไม่มาสักที


                จนเมื่อมองไปเห็นร่างคุ้นตาที่วิ่งมาแต่ไกลก็ยิ่งหน้าบูดขึ้นไปอีก


                “มาแล้วครับ ขอโทษ”


                “ไม่มาพรุ่งนี้ไปเลยล่ะ”


                “ก็กลัวว่าถ้ามาพรุ่งนี้ซินจะไม่รอ”


                “ยังจะมีหน้ามาพูดเล่นอีก!”


                “ขอโทษครับ”


                “เรารอนานมาก”


                “เดี๋ยวเลี้ยงข้าวนะ”


                “แล้วเราก็นั่งคนเดียว”


                “เดี๋ยวเลี้ยงไอติมด้วย”


                “แล้วก็หงุดหงิดสุดๆไปเลย”


                “นัทขอโทษจริงๆซิน พอดีมีเรื่องคุยกับพ่อนิดหน่อย อย่าโกรธเลยนะ”


                “ช่างเหอะ เข้าไปข้างในกัน”


                ทั้งๆที่จะมาช่วยเลือกกีต้าร์ตัวใหม่ให้แท้ๆเลย กลับมาสายซะได้

…………………




                “แกจะไปเที่ยวเล่นหรือใช้ชีวิตไร้สาระของแกยังไงที่ผ่านมาฉันไม่ว่า แต่แกคิดที่จะใช้ชีวิตแบบนั้นไปตลอดหรือไง ยังไงแกต้องกลับมาดูแลกิจการของที่บ้าน เพราะสุดท้ายที่นี่ก็ต้องเป็นของแก จะใช้ชีวิตไปวันๆแบบเดิมไม่ได้แล้วนะ!”


                “แต่ผมก็มีสิ่งที่ผมอยากทำเหมือนกัน!”


                “แล้วโรงฝึกนี่ล่ะ แกจะปล่อยให้มันตายไปพร้อมๆกับฉันหรือไง!!”

……



 
                “พี่ที่ห้องอัดเขาแนะนำค่ายเพลงมาค่ายนึง เราว่าก็น่าสนใจดี เลยอยากจะอัดเดโมให้จริงจังสักที” เสียงถามจากร่างบางทำให้คนตัวโตกว่านิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบ


                “ก็ดีนะ ลองดู”


                “เดี๋ยวเราลองไปถามรายละเอียดเขาอีกทีก่อน”


                “อืม... ซิน สมมติว่า ถ้านายร้องเพลงโดยที่ไม่มีฉัน ...ได้มั้ย”


                คนตัวบางหันมาหากันในทันที


                “ทำไมถามแบบนี้”


                “เปล่า แค่ถามเฉยๆ”


                “ถ้าไม่ใช่เสียงกีต้าร์ของนัทเราก็ไมอยากร้องเพลงหรอก”


                “ปากหวานนนะเนี่ยเรา” มือหนายื่นไปหยิกแก้มคนต้วบาง ดึงเบาๆ


                คำพูดหยอกล้อจากอีกคนทำให้ซินยิ้มออก ลืมความกังวลเมื่อกี้ไปซะสนิท แต่ในใจนัทตอนนี้กลับยิ้มไม่ออกเสียแล้ว…

……


 

                “ตานัท ช่วงนี้พ่อเขาสุขภาพไม่ค่อยดีเลย แม่อยากให้เรากลับบ้านบ้าง มาช่วยดูที่โรงฝึกบ้างนะลูก” โทรศัพท์จากแม่ทำให้นัทคิดไม่ตก ถ้าเลือกโรงฝึก ก็จะไม่มีเวลาให้ซิน แต่ถ้าเลือกซิน ใครจะเป็นคนดูแลโรงฝึกต่อจากพ่อ...


                สองอย่างที่ตัดใจเลือกไม่ลง


                คนตัวโตหันไปมองกีต้าร์ตัวโปรดที่วางพิงอยู่ที่มุมห้อง ต้องทำยังไงดี...


……




                (ซิน พรุ่งนี้นัทไปด้วยไม่ได้ ซินไปคนเดียวได้มั้ย)


                “ได้ไง พรุ่งนี้อัดเดโมนะ”


                (แต่นัทไปไม่ได้จริงๆ ซินหาคนอื่นเล่นแทนนัทไปก่อนได้มั้ย)


                “หมายความว่าไงให้คนอื่นเล่นแทน นี่เพลงของเรานะ”


                (แต่นัทไปไม่ได้จริงๆ แค่นี้ก่อนนะ)


                เสียงรีบร้อนจากปลายสายที่ตัดทิ้งทำให้คนตัวบางมองโทรศัพท์อย่างงงๆ หลังๆนี่ทำตัวแปลกไปมาก อยู่ๆเกิดอะไรขึ้น แล้วมีอย่างที่ไหนให้ไปร้องเพลงกับคนอื่น! 


……



                “นัทขอโทษนะ”


                “เราโกรธมากนะ โกรธมากจริงๆ นัทเป็นอะไรอ่ะ เราโทรกลับไปก็ไม่รับ แถมเดโมก็ไม่ได้อัด ทั้งๆที่นัดกับพี่ที่ห้องอัดเอาไว้แล้วด้วย”


                “ขอโทษ”


                “แถมยังให้เราไปร้องเพลงกับคนอื่น จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงก็นี่มันเพลงของเรา”


                “ซิน

 

                นัทเล่นดนตรีกับซินไม่ได้แล้ว...”


                “หมายความว่าไงเล่นไม่ได้”


                “พ่อนัทเข้าโรงพยาบาล ไม่มีใครดูแลงานที่บ้าน ช่วงนี้แม่ก็คิดมากพาลจะป่วยไปด้วย นัทไม่รู้จะทำยังไงแล้วซิน”


                คนตัวบางเบิกตากว้างอย่างตกใจ


                “ทำไมไม่บอกเรา!”


                “ก็กลัวคิดมาก”


                “เห็นเราเป็นคนอื่นรึไง มีอะไรก็บอกกันสิ ไม่ใช่ทำตัวแปลกๆแบบนี้ แล้วคุณพ่อเป็นอะไรมากมั้ย”


                “โรคหัวใจ หมอบอกว่าถ้าอยากให้หายคงต้องผ่าตัด”


                “ผ่าตัดเลยเหรอ”


                มือบางยกขึ้นลูบหลังคนตัวโตกว่ากว่าช้าๆอย่างปลอบใจ


                “ไม่เป็นนะ คุณพ่อต้องไม่เป็นอะไร รอให้ท่านหายก่อนก็ได้ แล้วเราค่อยมาทำเพลงของเราต่อ นัทอย่าคิดมากนะ”


                “ไม่ได้หรอกซิน นัทคงทำเพลงกับซินไม่ได้แล้ว...”


                มือบางหยุดชะงักในทันที


                “ถ้าพ่อหายนัทคงต้องไปช่วยพ่อดูโรงฝึก”


                มือหนาจับไหล่บางให้หันมาเผชิญหน้ากัน


                “นัทขอโทษ”


                “ไม่เป็นไร ยังไงนัทก็ต้องเลือกที่บ้านก่อนอยู่แล้วนี่เนอะ ไม่เป็นไรหรอก ...ไม่เป็นไร” คนตัวบางพยายามพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับสั่น


                คนตัวใหญ่มองสิ่งเหล่านั้นด้วยความเจ็บปวด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าซินรู้สึกยังไง ทุกๆอย่างที่พยายามมาด้วยกันกลับต้องกลายเป็นศูนย์เพียงเพราะเขาคนเดียว นี่คือความฝันทั้งหมดของซิน แต่เขากลับทำมันพัง


                นัทเอง เจ็บยิ่งกว่าซินหลายร้อยเท่า...

……

.

 


                สุดท้ายซินก็ได้ออกอัลบั้มด้วยการเป็นนักร้องเดี่ยว ผลงานเพลงของเขาได้รับการตอบรับดีอย่างเกินคาด นัทเองก็เข้าไปดูแลโรงฝึกแทนพ่อที่กำลังพักฟื้นตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ทุกๆอย่างเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนกลับห่างกันไปเรื่อยๆ


                (พรุ่งนี้เราไปไม่ได้แล้วนะ มีงานด่วนเข้ามา ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวต้องวางแล้วนะ เราแอบมาโทรตอนซ้อม ต้องวางแล้ว!)


                เสียงรีบร้อนก่อนจะตัดสายทิ้งไปของคนรักทำให้นัทถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้อย่างนั้น ก็สัญญากันเอาไว้แล้วว่าจะไปเที่ยวกันเพราะว่างตรงกันทั้งที หลังจากไม่ได้เจอกันตั้งหลายอาทิตย์


                แต่ช่างเถอะ คงจะยุ่งจริงๆ นึกไปถึงคนตัวบางตอนอยู่บนเวทีก็ต้องยิ้มออกมา ก็ใบหน้าหวานนั่นแลดูมีความสุขมากๆเลยไม่ใช่รึไง ได้ทำงานที่ตัวเองรักก็ต้องมีความสุขมากๆอยู่แล้ว เขาเองก็กำลังพยายามอย่างมากเหมือนกัน คนสองคนที่พยายามไปพร้อมๆกัน ก็ต้องประสบความสำเร็จไปด้วยกันสิ คิดได้ดังนั้นร่างสูงก็วิ่งกลับเข้าไปในโรงฝึกอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม


                รอยยิ้มที่ไม่รู้ว่า สักวันมันคงจะหายไป...


TBC.
...........


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น่าสงสาร ต้องเดินกันคนละทางที่ไม่สามารถบรรจบกันได้
เห้ออออออ

ออฟไลน์ toshika

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 819
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-4
เวลาที่ต้องเลือกอะไรสักอย่างแล้วมันสำคัญนี่มันรำบากใจมากเลยนะ เฮ้อ......เอาใจช่วยพี่บอดี้การ์ดค่า

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
มันยากนะ :hao5:

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
4

((อดีต2))


 

                ร่างบางนั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสือเล่มโปรด ผมยาวเป็นลอนสวยถูกรวบมัดเอาไว้ ใบหน้าหวานสวมแว่นสายตาที่เข้ากับใบหน้าเหลือเกิน


                RrrrrrrrrrrRrrrrr


                โทรศัพท์ ที่วางเอาไว้บนโต๊ะหัวเตียงดังขึ้น ทำให้ร่างบางต้องละสายตาออกจากหนังสือ ไปคว้าโทรศัพท์มามอง แต่เมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้าก็ต้องหลุดยิ้มออกมา


                “อะไร”


                (นอนยัง)


                “นอนแล้วจะรับโทรศัพท์ได้เหรอ”


                (ทำอะไรอยู่)


                “อ่านหนังสืออยู่”


                (ดึกแล้วนอนได้แล้วมั้ง)


                “นอนไม่หลับ”


                (ถ้านอนไม่หลับก็มาเปิดประตูให้หน่อย เดี๋ยวจะไปกล่อม)


                “ตลกละ”


                (เปิดแค่ไฟหัวเตียงอ่านหนังสือ เดี๋ยวสายตาก็ยิ่งสั้นหรอก) ได้ยินแค่นั้นร่างบางก็สะดุ้งในทันที ก็อีกคนรู้ได้ยังไงว่าเขาเปิดไฟหัวเตียง ถ้าไม่ใช่... ร่างบางลุกพรวดเดียวไปถึงหน้าต่างห้องนอน


                (หวัดดีครับ) ร่างคุ้นตายืนพิงรถมอเตอร์ไซค์โบกมือให้กันด้วยใบหน้าทะเล้น


                “มาได้ไง!”


                (ขับรถมาสิ)


                “แล้วมาทำไมดึกดื่นป่านนี้” เสียงหวานตะโกนข้ามหน้าต่างออกไปอย่างลืมตัว


                (เสียงดังขนาดนี้เดี๋ยวคุณพ่อตาก็ตื่นหรอก)


                ทั้งสองคนตะโกนเสียงดังคุยกันทั้งๆที่โทรศัพท์ยังแนบหูอยู่แบบนั้น


                “มาทำไม!” ปากบางกระซิบลอดไรฟันผ่านสายโทรศัพท์ไป


                (คิดถึงก็เลยมาหา อยากเห็นหน้า เมื่อวานนี้คนบางคนเบี้ยวนัดกัน)


                “ก็เราต้องทำงาน!”


                (ลงมาหาหน่อยสิครับ)


                “จะบ้าเหรอ ดึกดื่นป่านนี้แล้วนะ ใครเห็นจะทำยังไง”


                (หรือจะให้ขึ้นไปหาข้างบนดี)


                “นัท!!”


                (น่านะ แป๊บเดียว) ได้ยินเสียงปลายสายหงอยๆไปทำให้ร่างบางต้องถอนหายใจและลงมาหา


                คนตัวบางที่ใส่เสื้อคลุมทับชุดนอนตัวบางเพื่อกันอากาศหนาวยามค่ำคืนเดินมาเปิดประตูรั้วและทำท่าจะเดินออกมาหา แต่คนตัวใหญ่กว่ากลับดึงให้เดินเข้าไปในรั้ว และพาตรงไปยังสวนหลังบ้าน


                “เดี๋ยวป๊ากับม้ามาเห็นเข้านะ” เสียงหวานกระซิบห้าม แต่อีกคนกลับไม่ฟัง


                “ป๊ากับม้าหลับไปแล้วไม่ใช่รึไง อีกอย่างดึกป่านนี้แล้วคงไม่ออกมาเดินนอกบ้านหรอกมั้ง”


                พอมาถึงในที่ที่คิดว่าไม่น่าจะมีคนมองเห็นได้แล้ว คนตัวใหญ่ก็ดึงคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอดในทันที อ้อมกอดที่ไม่ได้สัมผัสมานาน


                “คิดถึงมากๆ จริงๆนะ ถ้าไม่มาหาก็ไม่รู้ว่าจะเจอเมื่อไหร่” เสียงอู้อี้เพราะซุกหน้ากับซอกคอของอีกคนดังขึ้น


                “คิดถึงเหมือนกัน แต่ช่วงนี้งานเราเยอะจริงๆ ไม่มีเวลาว่างเลย” มือเรียวยกขึ้นกอดคนตัวใหญ่ตอบ ก่อนจะซุกหน้าลงกับไหล่ของอีกคน


                “ขอโทษนะ”


                “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะน่า เราบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” มือบางดันหน้าอกแกร่งออก ก่อนจะมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม


                “ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันบนเวที แค่ได้อยู่ด้วยกันตรงนี้ก็พอแล้ว...”

……



                แต่โชคชะตากลับไม่เข้าข้าง เมื่อคนสองคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง และเวลาว่างที่ไม่ตรงกัน


                วันนี้ เพราะเป็นโอกาสพิเศษ คุณบอดี้การ์ดฝึกหัดจึงได้โอกาสขอลาหยุดจากงานที่โรงฝึกหนึ่งวัน โทรจองร้านอาหารที่ค่อนข้างจะจองยากด้วยเส้นสายนิดหน่อย ปิดร้านอาหารเพื่อคนพิเศษของเขา ลงทุนไปที่ร้านแต่หัววันเพื่อเรียนทำขนมบางอย่างด้วยตัวเอง จัดโต๊ะและบรรยากาศภายในด้วยความช่วยเหลือจากพนักงานในร้าน ทุกๆอย่างจึงเรียบร้อยตั้งแต่ห้าโมงเย็น คนหล่อจึงมีเวลากลับไปเสริมหล่อต่อที่บ้าน


                หนึ่งทุ่ม ทุกๆอย่างพร้อม พร้อมๆกับที่นัทมาถึงที่ร้าน นั่งรอคนรักที่นัดกันไว้


                แต่แล้ว...


                สองทุ่ม


                ….



                สามทุ่ม


                …


                สี่ทุ่มครึ่ง


                ได้รับข้อความจากซิน


                ((เราคงจะไปดึกหน่อยนะ ขอโทษจริงๆ งานเลิกดึกกว่าที่คิด รอหน่อยนะ))


                …


                ห้าทุ่ม


                …


                 ห้าทุ่มห้าสิบห้า


                “เอ่อ... นี่เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ยังจะรออยู่อีกเหรอครับ” พนักงานในร้านเดินมาถามกับร่างสูงที่นั่งอยู่บนโต๊ะเพียงลำพัง


                “ยังเหลือเวลาอีกตั้งห้านาที เผื่อเขาจะมา ขอรออีกหน่อยนะ”


                “ครับ...”


                …


                เที่ยงคืนห้าสิบเก้า


                ((เราคงไปไม่ได้แล้ว ขอโทษนะ))


                เมื่ออ่านข้อความที่ส่งมาในนาทีสุดท้ายจบ ร่างสูงก็ยิ้มให้กับตัวเองนิดๆ ก่อนจะเป่าเทียนบนเค้กที่เขาบรรจงทำเองกับมือ


                “สุขสันต์วันเกิดนะซิน...”


                ร่างสูงลุกขึ้น ก่อนจะหันหลังให้กับเค้กรูปร่างเบี้ยวๆที่ลงมือทำเองเป็นครั้งแรก เขามองมือหนาที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์ยาเพราะมีดบาดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ มืออีกข้างที่กำบางอย่างเอาไว้เก็บมันลงในกระเป๋ากางเกง คงไม่ได้ให้แล้วสินะ

…………




                ((เมื่อคืนนี้พี่ๆทีมงานเขาพาไปเลี้ยงต่อหลังเลิกงาน ขอโทษจริงๆนะ)) นัทมองโทรศัพท์ตัวเองก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋าด้านในเสื้อสูท


                วันนี้เขาจะได้ทำงานในฐานะบอดี้การ์ดอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรก คงจะไม่ได้ไปหาซินสักพัก และอาจจะไม่ได้ติดต่อกันด้วย เมื่อคืนกะว่าจะบอกตอนเจอกัน แต่กลับไม่ได้เจอกันซะนี่ เอาไว้เดี๋ยวค่อยบอกละกัน

……



                ร่างบางก้มมองโทรศัพท์ที่โทรเท่าไหร่ๆอีกฝ่ายก็ไม่รับ หรือว่าจะโกรธที่เมื่อวานเบี้ยวนัดกันซะดื้อๆ แต่พวกพี่ๆทีมงานพาไปเลี้ยงวันเกิดหลังจากงานเสร็จ จะให้ปฏิเสธก็ไม่ได้ ไหนจะแฟนคลับที่ตามมาอวยพรกันอีก จะปลีกตัวกลับก่อนก็กลัวจะเสียมารยาท


                “ซิน เดี๋ยวเตรียมตัวเลยนะ” เสียงผู้จัดการเดินเข้ามาเรียกทำให้ซินต้องเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า


                “ครับ” ซินตอบรับก่อนจะเดินตามออกไป


                เดี๋ยวค่อยขอโทษละกัน...

……


                จากวัน...


                กลายเป็นสัปดาห์


                จากสัปดาห์


                กลายเป็นเดือน...


                มารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มๆที่ห่างกัน


 

                ((มาเจอกันหน่อยได้มั้ย ที่สวนสาธารณะเดิม))


                มือบางกดส่งข้อความไปแล้ว ก่อนจะสูดเอาอากาศสดชื่นในสวนสาธารณะเข้าปอด เย็นๆแบบนี้ ที่นี่จึงเงียบสงบ และคนน้อย ที่นี่...ที่นัทเคยพามา


                นานแล้วจริงๆที่ไม่ได้เจอ เดือนนึงได้แล้วมั้ง


                เวลาไม่เคยตรงกันเลย


                ...บางทีนี่อาจจะเป็นทางตัน


                ((วัดใจกันมั้ยนัท ถ้านัทมาแปลว่าความสัมพันธ์ของเราอาจจะเป็นไปได้ แต่ถ้าไม่ บางที เวลาของเราอาจจะหมดลงแล้ว หกโมงนะ ซินจะรอนัทถึงหกโมง))


                ข้อความสุดท้ายถูกส่งไป โดยที่ไม่รู้ว่าอีกคนจะได้อ่านมันหรือเปล่า


                แต่บางอย่างได้ถูกตัดสินใจไปแล้ว 


                ถ้ายังเห็นว่าเราสำคัญ นัทจะมาใช่มั้ย...

 
                หกโมง


                ไร้วี่แวว ไม่มีข้อความ ไม่มีโทรศัพท์ที่โทรกลับมา ไม่มีอะไรเลย


                นัทไม่มา บางทีอาจจะยังไม่ได้รับข้อความ อาจจะทำงานอยู่ อาจจะไม่ว่าง รถอาจจะติด อาจจะ...


                ช่างเถอะ! ไม่ว่ายังไงนัทก็ต้องมา รออีกหน่อยละกัน


                หนึ่งทุ่ม


                สองทุ่ม


                สามทุ่ม


                คนตัวบางกระชับเสื้อคลุมเข้ากับตัวมากยิ่งขึ้น ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาว แต่ก็ยังคงรอ ด้วยความหวังเผื่อว่าเขาอาจจะมา เดี๋ยวจะไม่เจอกัน


                หรือว่าควรจะโทรหาดี...


                คิดได้แบบนั้นมือเรียวจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาอีกคน


                (ฮัลโหล)


                แต่เสียงจากปลายสายกลับทำให้ซินต้องมองเบอร์ที่ตัวเองโทรไปอีกครั้ง ก็ไม่ได้โทรผิดนี่นา แต่ทำไม...


                (ฮัลโหล นั่นใคร)


                “นัทอยู่มั้ย”


                (พี่นัทไม่ว่างรับสาย มีอะไรรึเปล่า)


                “นั่นใคร”


                (ไม่เห็นจะอยากบอกเลย แค่นี้นะ)


                พูดจบปลายสายก็วางสายไปเลย ทำไมกลายเป็นแบบนี้ ก็นั่นเสียงผู้หญิงไม่ใช่หรือไง...


                นัทอยู่กับใคร ที่ไม่มาหา เป็นเพราะว่าอยู่กับผู้หญิงคนนั้นอย่างนั้นเหรอ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!


                มือเรียวกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น ปากบางเม้มเข้าหากัน


                นี่อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด บางทีอาจจะเป็นเพื่อน หรือใครสักคน...


                แล้วทำไมต้องอยู่ด้วยกันตอนดึกดื่นแบบนี้ ป่านนี้แล้ว ควรจะกลับบ้านได้แล้วไม่ใช่หรือไง


                ไม่จริงใช่มั้ย...


                หรือนี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว บางทีเรื่องของคนทั้งสองคนอาจจะเป็นไปไม่ได้จริงๆ นัทเป็นผู้ชาย ซินเองก็เป็นผู้ชาย ความสัมพันธ์แบบนี้จะไปได้ตลอดรอดฝั่งงั้นหรือ


ซินเองเมื่อมายืนอยู่ตรงนี้ก็ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางสายตาของแฟนคลับ เรื่องแบบนี้จะได้รับการยอมรับอย่างนั้นเหรอ แล้วครอบครัวล่ะ พวกเขาจะเสียใจมั้ย ลูกชายเพียงคนเดียวที่ถูกฝากความหวังเอาไว้ทั้งหมด จะไม่มีลูกสะใภ้ จะไม่มีหลาน


                ถูกแล้ว นัทเลือกถูกต้องแล้ว...


                กลับไปใช้ชีวิตปกติแบบที่ควรจะเป็น อะไรที่เป็นไปไม่ได้ ฝืนไว้ ก็มีแต่จะเจ็บ


                ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะเคยคิดเรื่องนี้บ้าง แต่เป็นเพราะว่ายังอยู่ข้างๆกัน ความสุขบดบังความเป็นจริง ทำให้ฝืนดันทุรังมาจนถึงขั้นนี้ แต่วันนี้ทุกๆอย่างมาถึงทางตัน ไปต่อไม่ไหว ความสัมพันธ์ที่เป็นไปไม่ได้ มันก็ควรจะจบได้แล้ว


                ใช่ จบได้แล้ว...


                แต่ทำไมเจ็บแบบนี้ ทำไมข้างในอกมันปวด เป็นเพราะว่าโง่เองที่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้ เป็นเพราะว่าตัวเองทำเอง ก็ต้องทน ต่อให้เจ็บแทบตายก็ต้องทน


                และใช้ชีวิตต่อไป โดยไม่มีกัน...


                กลับไปใช้ชีวิตปกติแบบเดิม ตอนนั้นอยู่ได้ยังไงกันนะ ตอนที่ไม่มีนัท ตอนนั้นใช้ชีวิตอยู่ยังไง นานมากแล้ว จนแทบจะลืมไปแล้ว แล้วต่อจากนี้จะทำยังไงดี


                มือบางยกขึ้นปาดน้ำใสๆที่ไหลมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่หมดไปสักที


                ใบหน้าหวานซบลงกับฝ่ามือ ภายในสวนที่เงียบสนิท มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ลอดออกมาเท่านั้น ไร้เสียงปลอบโยน ไร้มืออบอุ่นที่คอยปลอบประโลมกัน นี่คือบททดสอบใช่มั้ย


                ยากเหลือเกิน ต่อจากนี้ไป


                การใช้ชีวิตต่อจากนี้ไป คงจะยากเหลือเกิน


TBC.
...............
ผู้จัดการที่พูดถึงไปยังไม่ใช่พี่โอ๊ตนะคะ นี่ผู้จัดการคนแรก

อดีตหมดแล้วนะ ตอนต่อไป จะได้เจอกับพี่ซินนนนน
อยากอ่านกันมั้ยเอ่ยยยย

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นของทุกๆคนด้วยนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สงสารทั้งคู่ เวลาไม่ตางกัน
แถม นัทคงไม่ได้อ่านข้อความแน่ๆ
เห้อออออ
แต่ตอนนี้อยู่ด้วยกันแล้วรีบปรับความเข้าใจกันน๊าาาา

ออฟไลน์ machan000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

Mauve

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องอดีตก็ผ่านไปแล้ว มารอลุ้นปัจจุบันค่ะ  :mew6:

ออฟไลน์ toshika

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 819
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-4
อ่านช่วงอดีตแล้วปวดใจแทน ต่างคนต่างช่วงเวลาไม่ตรงกัน

ไม่ใช่เลิกรักหรืออย่างไร แค่ยังไม่เข้าใจถึงเหตุและผลของอีกฝ่ายก้เท่านั้น

รอลุ้นกับเหตุการณ์ปัจจุบัน เอาใจช่วยทั้งคู่ค่ะ

รอติดตามนะคะ  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อื้อหือ นั่น อ๊ายยย
ปวดใจ T.T

ออฟไลน์ Flirter_kung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แจ่มมากครับ

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
5

-Special Sin talk-    ((ถามใจ ))



                เคยมั้ยที่มีความรัก และคาดหวังกับมันมากๆ ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ไป เพราะคิดว่าเขาคือคนที่ใช่สำหรับเราจริงๆ คือคนที่มีความฝันเดียวกัน ก่อนที่ทุกอย่างจะพังลงตรงหน้า พังครืนลงไม่เป็นท่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่คิดว่ามันใช่ กลับไม่ใช่...


                โลกมันดูเคว้งคว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่า ราวกับว่ามีใครมาขโมยเสียงหัวเราะของเรา ความสุขหายไป ท้องฟ้าที่เคยสวยงามกลายเป็นสีเทา


                แล้วสุดท้ายเราก็ต้องเริ่มรักษาตัวเอง ชีวิตเราต้องก้าวต่อ เรายังมีความฝันที่จะต้องทำให้สำเร็จ ต่างคนต่างก็มีหน้าที่ของตัวเอง


                แล้ววันนี้ กลับมาอีกทำไม...


                ถามกันแบบนั้นทำไม


                ต้องการอะไรอีก


                ในเมื่อตอนนั้นก็เลือกที่จะไป...


                ทำงานติดกันนี่มันเหนื่อยจริงๆ ไหนจะยังโดนไอ้บ้าโรคจิตที่ไหนก็ไม่รู้ลวนลามอีก ดีที่...มาช่วยเอาไว้ทัน แถมยังโดนกอดอีกต่างหาก จะทำให้หวั่นไหวกันไปถึงไหนนะ บอกตามตรงว่าตกใจมากเลยที่เห็นหน้ากันตอนแรก ทำไมต้องเป็นคนคนนี้ด้วย แถมยังทำท่าทางเหมือนไม่รู้จักกันอีกต่างหาก แล้วอยู่ดีๆมาจู่โจมเราแบบนี้ได้ยังไง


                ทำแบบนี้เพื่ออะไร ไม่เข้าใจจริงๆ


                อยู่ดีๆจะให้เราตอบคำถามงี่เง่าพรรค์นั้น จะต้องให้เรามาคิดทบทวนเรื่องอะไรอีก ในตอนนั้นก็เข้าใจทุกๆอย่างได้มากพอแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องทุกๆอย่าง มันจบไปแล้วไม่ใช่หรือไง


                คนที่เคยเจ็บมากๆ ผิดด้วยเหรอ ถ้าจะกลัวกับการเริ่มต้นใหม่


                แล้วไปตรังคราวนี้ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเลยเหรอ แบบนี้ก็แย่สิ ทำไมนะ ยิ่งอยากอยู่ห่างๆ แต่กลับเจอตลอดเลย สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะปิดหนังสือและวางมันลงข้างๆเตียงและถอดแว่นออก ไม่มีสมาธิอ่านแล้วจริงๆ


                ผมพิงหัวกับหัวเตียงก่อนจะหลับตาลงช้าๆเพื่อพักสายตา แต่อยู่ๆประโยคหนึ่งของนัทกลับวิ่งเข้ามาในหัว


                ‘เรามาแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดด้วยกัน ...ได้มั้ย’


                แก้ไขอดีตอย่างนั้นเหรอ ทำได้เหรอ ความรู้สึกที่เสียไปแล้วจะนำมันกลับมาได้เหรอ ...มันจะเป็นไปได้หรือไง ในตอนนั้น ผู้หญิงที่รับสายในตอนนั้น ก็นัทเลือกถูกแล้วไม่ใช่หรือไง แล้วจะกลับมาแก้ไขอะไรกันอีก ทำไมมีแต่เรื่องที่เราไม่เข้าใจ


                ในหัวมีแต่คำว่าทำไม ทำไม


                ผมสะบัดหัวก่อนจะลืมตาขึ้น และเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ยื่นออกมาจากหนังสือบนชั้น อะไรบางอย่างที่ดึงดูดให้เดินไปหามัน


                ...รูปโพลารอยด์...


                สีจางลงมากแล้ว กรอบกระดาษสีขาวที่เก่าจนกลายเป็นสีเหลือง ในรูปมีคนสองคนโดยที่คนตัวโตกว่าโอบไหล่อีกคนเอาไว้ และหน้าของเขาที่หันมามองหน้าอีกคนโดยที่ไม่ได้มองกล้อง ผิดกับคนตัวเล็กกว่าที่หันมายิ้มกว้างให้กล้อง รอยยิ้มที่ดูมีความสุขมากจริงๆ มากจนขอบตามันร้อนผ่าวไปหมด


                ก็ดูสายตานั่นสิ สายที่มองกันนั้นมันคืออะไร จะมองกันด้วยสายตาอบอุ่นแบบนั้นทำไม ถ้าสุดท้ายแล้วก็ต้องไป เสียงแว่วในอดีตดังลอยมาให้ได้ยินกันอีกครั้ง


                ‘หันไปมองกล้องสินัท เราถือกล้องเมื่อยแล้วนะ!’


                ‘มองทำไมกล้อง ซินน่ามองกว่าเยอะ’


                ‘อย่ามาตลก! นี่ถ่ายรูปอยู่นะ’


                ‘ก็ถ่ายไปสิ’


                เสียงหัวเราะในอดีตทำให้เผลอยิ้มตามไปด้วย แต่ก็ต้องรีบหุบลงทันที ไม่ได้นะ ไม่ๆ มือรีบผลักรูปกลับเข้าที่เดิม ไม่ได้นะซิน อยากกลับไปเจ็บแบบเดิมอีกหรือไง


                “ซิน ลงมากินข้าวเถอะลูก” เสียงม้าเรียก ทำให้ต้องทิ้งทุกอย่างเอาไว้ตรงนั้นก่อนจะหันหลังเดินออกมา และลงไปข้างล่าง


                “โห น่ากินมากก” เดินมาถึงก็เห็นม้ากำลังจัดโต๊ะอยู่ เลยเดินไปกอดข้างหลังซะเลย


                “ปากหวานจริงนะจ้ะ หิวล่ะสิ”


                “มากอ่ะ”


                “กินเยอะมากระวังอ้วนล่ะ” เสียงป๊าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะดังขึ้น


                “อย่าพูดสิป๊า เดี๋ยวลูกก็ประชดด้วยการไม่กินข้าวเย็นอีกหรอก” ม้าหันไปดุป๊าให้ ป๊าหัวเราะใหญ่เลย


                “ซินไม่อ้วนหรอก ซินหุ่นดี” ผมตอบก่อนจะเดินไปนั่งด้านข้างของป๊า ก่อนที่ป๊าจะยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ


                “เอ้อซิน วันมะรืนจะไปตรังแล้วใช่มั้ยลูก” ม้าถามขึ้นระหว่างที่กำลังนั่งทานข้าวกัน


                “ฮะ”


                “เตรียมของรึยัง ไปหลายวันใช่มั้ย”


                “เตรียมไปบ้างแล้ว”


                “ให้ป๊าไปด้วยมั้ย” เสียงพ่อพูดแทรกขึ้นมาทำให้ผมหันไปมองงงๆ


                “จะไปทำไมล่ะป๊า ลูกไปทำงาน คุณพี่โอ๊ตก็ไป ใช่มั้ยลูก” ม้าพูดขึ้น ผมละขำม้าจริงๆที่เรียกพี่โอ๊ตว่าคุณพี่โอ๊ต จะพี่โอ๊ตก็ไม่ใช่ จะคุณโอ๊ตก็ไม่เชิง พี่แกก็ยิ้มรับหน้าบานเลยตอนที่ได้ยินครั้งแรก


                “ไปฮะ พี่โอ๊ตต้องไปดูแลซินอยู่แล้ว ป๊าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”


                “จริงสิ คุณบอดี้การ์ดคนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก เข้ากันได้มั้ย” อยู่ดีๆม้าก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมาซะงั้น


                คำถามนี้ตอบยากจัง


                “ก็ดี”


                “ตอบแบบนี้แสดงว่าไม่ดี” ป๊านี่รู้ทันตลอดเลย


                “ไม่ใช่ไม่ดี เขาก็โอเค ดูแลซินดีมากแหละ”


                “แต่...” ป๊าพูดขึ้นต่อ


                “...ก็บังเอิญเป็นคนรู้จัก”


                “เป็นคนรู้จักก็ดีสิ ใครเหรอลูก ป๊ากับม้ารู้จักมั้ย”


                ซวยล่ะสิ


                “เอ่อ เพื่อนสมัยเรียนอ่ะ เพื่อนคนละกลุ่ม ป๊ากับม้าไม่รู้จักหรอก”


                “เหรอ งั้นเอาไว้ว่างๆซินพาเขามาเที่ยวที่บ้านบ้างสิ ม้าจะได้ทำอาหารอร่อยๆให้เขาทาน ต้องมาดูแลลูกชายสุดดื้อของม้า ต้องตอบแทบเขาหน่อย”


                “ซินไม่ได้ดื้อสักหน่อยม้า! ไม่ต้องพามาหรอก เขาคงไม่อยากมา”


                “อ้าว ทำไมล่ะ”


                “ม้า! อันนี้อร่อย ทำบ่อยๆนะฮะ” ผมรีบพูดเบี่ยงประเด็นไปอย่างอื่นก่อน ยังไม่อยากให้ป๊ากับม้ารู้ว่าเป็นนัท ไม่งั้นอาจจะได้เปลี่ยนบอดี้การ์ดใหม่อีกรอบแน่ๆ


                เอ๊ะ!


                แล้วทำไมถึงไม่อยากเปลี่ยน?


                ก็เพราะไม่อยากวุ่นวายไง! ใช่ แบบนั้นแหละ เปลี่ยนหลายๆรอบวุ่นวายจะตาย


                ...เฮ้อ


                ป๊ากับม้ารู้จักนัท เพราะเมื่อก่อนก็มาหาที่บ้านบ่อยๆ แต่เมื่อตอนนั้นที่นัทมาส่งที่บ้าน ที่ยอมให้ช่วยขนของเข้ามาในบ้านเป็นเพราะว่าป๊ากับม้าไม่อยู่ แต่ต่อไปคงต้องระวังมากขึ้นซะแล้ว


                เมื่อทานอาหารเสร็จก็นั่งดูโทรทัศน์และคุยกันต่ออีกสักพักก็ขอตัวขึ้นมาบนห้อง         
             

                นานๆจะได้พักผ่อนอยู่บ้านสักที แบบนี้ดีจริงๆไม่ได้นอนหลับเต็มอิ่มอย่างนี้นานแล้ว


                ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดเล่น สักพักก็ต้องวางมันลงและหันมาหยิบหนังสือแทน พยายามอ่านให้เนื้อหาพวกนั้นเข้าหัว แต่ก็ไม่เลย ยิ่งอ่านก็ยิ่งพาลไม่สนุกไม่รู้เรื่อง เป็นเพราะว่าตอนนี้จิตใจไม่ได้อยู่กับหนังสือที่ถืออยู่เลย ทำไมถึงคิดอยู่แต่เรื่องเรื่องเดียวนะ


                ‘เรามาแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดด้วยกัน ...ได้มั้ย’


                ทำไมคำถามคำถามนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัวไปมา สลัดทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่ออก ทำไมกันนะ


                ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราลืมเรื่องราวทุกอย่างไปหมดแล้วไม่ใช่หรือไง เราตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไปแล้ว และเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ทำไม พอเจอหน้าเขาอีกครั้ง ทุกๆอย่างถึงกลับกลายเป็นศูนย์ เรื่องที่ลืมไปแล้วกลับจำได้ ทุกอย่างที่เคยโยนทิ้งไป มันย้อนกลับมาได้ยังไง ทำไมทุกๆอย่างถึงได้ย้อนกลับมาที่เดิม


                หรือเป็นเพราะว่า มันยังคงอยู่ที่เดิม เพียงแต่...เราเลือกที่จะมองไม่เห็นมัน


                คิดถึง ทั้งๆที่ไม่ควรคิด…


                พอๆๆๆๆ พอได้แล้ว!


                ผมปิดหนังสือลงดัง ปั๊บ! ก่อนจะโยนมันไปอย่างส่งๆบนโซฟาด้านข้าง อ่านเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องอ่านมันละ!


                เฮ้อ...


                นอนเถอะ นอนได้แล้วซิน ฟุ้งซ่านมามากพอแล้ววันนี้

.........

                วันนี้ม้าชวนมาเดินเล่นที่ห้างแถวๆบ้าน มีคนรู้จักเดินเข้ามาทักบ้างสักคนสองคน ยังดีที่วันนี้ไม่ใช่วันหยุด คนเลยน้อย


                ‘นานๆได้หยุดอยู่บ้านสักที มาเดิมเที่ยวกับม้าหน่อยละกัน’ พูดแค่นั้นคุณม้าคนสวยก็ลากออกมาจากบ้านทันที


                “ซินอยากได้อะไรมั้ยลูก” แม่ถามขณะเดินดูร้านต่างๆไปเรื่อยๆ


                “ซินไม่อยากได้อะไรหรอก ม้าต่างหากพาซินมาเดิน ม้าอยากได้อะไรมั้ย”


                “สิ่งที่ม้าอยากได้ ม้าได้มาแล้ว” ผมหันไปมองม้าอย่างงงๆ ซึ่งม้าก็ยิ้มกว้างตอบกลับมา


                “ม้าแค่อยากได้เวลาว่างๆ เดินจูงมือดูนู่นดูนี่กับลูกของม้าบ้างเท่านั้นเอง” ม้าพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันหน้าไปดูของต่อ


                ได้ยินแบบนี้ก็แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะ บางทีไปทำงานกลับบ้านดึกๆ ม้าก็อยู่รอรับ ได้เจอหน้ากันก็แค่แป๊บเดียว บางทีก็ไม่ได้กลับบ้านเพราะต้องออกต่างจังหวัด ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่กับท่านจริงๆจังๆเลยสักที


                คิดได้แบบนั้นผมก็เลยกอดท่านไปหนึ่งทีในระหว่างเดินนั่นแหละ ซึ่งม้าเองก็หัวเราะก่อนที่ผมจะคว้าแขนม้ามาควงเอาไว้และเดินดูนู่นดูนี่ไปด้วยกัน


                “เอ๊ะซิน นั่นนัทไม่ใช่เหรอลูก” ชื่อที่ม้าพูดขึ้นทำให้ขาหยุดเดินในทันที ทำไมโลกถึงได้กลมขนาดนั้น


                บางที อาจจะไม่ใช่ ม้าอาจจะจำผิด ม้าไม่ได้เจอนัทนานขนาดนั้นอาจจะมองผิดไป


                “ไม่ใช่หรอกมั้งม้า ไปเหอะ”


                “ใช่สิ นั่นไง เดินอยู่คนเดียวตรงนั้นไง แหมไม่ได้เจอกันตั้งนาน ยังหล่อเหมือนเดิมเลย เอ๊ะ หรือว่าหล่อขึ้น” ม้ามองออกไปทำให้ผมต้องหันไปมองบ้าง


                ใช่จริงๆด้วย แต่...ทำไมมาเดินคนเดียวล่ะ ไม่มีสาวๆควงมาด้วยหรือไง


                “เข้าไปทักหน่อยมั้ย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” ม้าที่เดินนำหน้าไปทำให้ผมรั้งแขนเอาไว้แทบไม่ทัน


                “ไม่เอาม้า ไม่เอา”


                “ทำไมล่ะลูก คนรู้จักกันเจอกันก็ต้องทักสิ จะทำเหมือนไม่รู้จักได้ไง”


                ที่ตอนเจอเราทีแรกยังทำเป็นเหมือนไม่รู้จักเลย! จะทักทำไม


                “ไม่อยากทัก”


                “ซินไม่ทัก งั้นม้าทักนะ”


                “ม้า!”


                จังหวะนั้นเองที่นัทเดินมาทางนี้พอดี และหันมาเห็น...


                เห็นทำไมเนี่ย!


                ดูเขาเองก็ตกใจเหมือนกันที่เจอเรา แต่ก็ยังหันไปยกมือไหว้ม้าด้วยรอยยิ้ม


                “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะตานัท เป็นยังไงบ้างลูก สบายดีมั้ย” ม้ายื่นมือไปจับแขนนัท ซึ่งเขาก็ยิ้มกว้างขึ้นอีก ทำไมม้าต้องทำดีกับคนคนนี้ด้วย คนคนนี้ทำให้ลูกม้าต้องเจ็บนะ


                “สบายดีครับม้า ม้าล่ะครับสบายดีมั้ย” ไม่ใช่ม้านายซะหน่อย นี่ม้าเรา!!


                “สบายดีลูก แล้วมาคนเดียวเหรอเนี่ย”


                “ครับ มาคนเดียว มาซื้อของให้แม่ครับ”


                “อ๋อ แหมดีจริง แล้วจะไปไหนต่อล่ะเนี่ย”


                “ก็เดี๋ยวว่าจะกลับแล้วล่ะครับ”


                “ถ้าไม่ได้มีธุระอะไรต่อที่ไหน ไปทานข้าวด้วยกันมั้ย กับม้ากับซิน”


                “ไม่เอา!!” ทันทีที่ได้ยินม้าพูดผมก็รีบปฏิเสธในทันที ทำไมต้องชวนด้วย!


                “เอ่อ...” นัทเองก็เก้อไปเหมือนกันที่ผมรีบปฏิเสธออกไปแบบนั้น


                “ทำไมล่ะซิน พูดแบบนี้ไม่ดีเลยลูก ไม่น่ารักเลยนะ” ม้าหันมาทำตาดุใส่ ก่อนจะตีแขนผมเบาๆ


                ก็ไม่อยากให้ไป!


                นัทหันมามองหน้าผม และเมื่อผมหันไปมองเขาก็ยิ้มให้นิดๆ ก่อนที่ผมจะหันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ต้องมายิ้มให้กันเลย! บ้าหรือไง


                แค่นี้ยังทำให้หัวใจเต้นแรงไม่พออีกเหรอ!!


                อันตรายจริงๆ


                เกราะบางๆของเรามันกำลัง...


                “ไม่เป็นไรครับม้า เชิญม้ากับซินดีกว่า เดี๋ยวแม่ผมจะรอนาน อีกอย่างไม่อยากรบกวนด้วย ตามสบายเถอะครับ”


                รู้ตัวว่าจะรบกวนก็ดีแล้ว


                “เสียดายจัง ว่างๆแวะไปที่บ้านบ้างนะ ไม่ได้เจอกันนานเลย”


                “เอ่อ... ครับ” นัทตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ


                ฮึ! ก็ลองไปดูสิ ป๊าได้เอาปืนมายิงแน่ๆ


                “งั้นนัทกลับบ้านเถอะ กลับดีๆนะลูก”


                “ครับม้า ขอบคุณครับ” นัทยกมือไหว้ม้าอีกครั้ง ม้าเองก็ยิ้มรับก่อนจะหันไปสนใจผ้าพันคอที่ร้านข้างๆ ทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับ เขา เพียงลำพัง


                “รีบกลับไม่ใช่เหรอ รีบไปสิ” ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเขายังยืนอยู่ที่เดิม


                “ฉันจะรอคำตอบจากนายนะ”


                “คำตอบอะไร”


                “ซิน...”


                “....”


                “พรุ่งนี้นะ ฉันจะรอฟัง...”


                พูดจบเขาก็เดินออกไปเลย... คำตอบจากฉัน นายอยากฟังนักหรือไง


                “ซิน ผืนนี้สวยมั้ย” เสียงเรียกจากม้า ทำให้ผมต้องหันไปมอง ม้าชูผ้าผันคอสีน้ำตาลขี้ม้าให้ผมดู ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ


                “สวยฮะ เนื้อผ้านุ่มดี”


                “ซินเอามั้ย ม้าซื้อให้”


                “ผืนเก่าก็ยังดีอยู่เลย”


                “เอาเถอะ จะได้เอาไปตรังวันพรุ่งนี้ด้วย เผื่อโดนลมทะเลแล้วจะไม่สบาย นะ” เพราะรอยยิ้ม และเพราะความเป็นห่วงของม้าทำให้ผมปฏิเสธไม่ลง


                สุดท้ายก็ได้มันมา และหลังจากเดินเลือกร้านอาหารอยู่พักหนึ่งก็เจอร้านถูกใจ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ดูดีร้านหนึ่ง


                “ไม่ได้เจอนัทนานแล้วเน้อะ” ม้าพูดขึ้นในระหว่างที่รออาหารที่สั่งไป


                ทำไงดี ไม่อยากโกหกม้าเลย บอกม้าเรื่องนัทดีมั้ยนะ


                “ม้า”


                “ว่าไงลูก”


                “ซินมีเรื่องจะบอก”


                “อะไรจ๊ะ”


                “คือว่า... นัทเขาเป็นบอดี้การ์ดคนใหม่ของซินเอง” พูดออกไปแล้ว


                “อ้าวตายจริง!” ม้าทำท่าตกใจ ก่อนจะยิ้มออกมา


                “แบบนี้ก็ดีสิ ม้าจะได้อุ่นใจที่คนดูแลซินคือนัท”


                “แต่ซินไม่ชอบเลย ทำไมต้องเป็นเขา ซินไม่อยากเจอ ไม่อยากเห็น”


                “ทำไมล่ะ เมื่อก่อนม้าก็เห็นว่านัทก็ดีกับลูกของม้าจะตาย”


                “ตอนเริ่มอาจะดี แต่ตอนจบมัน...”


                “ซิน... สมัยเด็กๆ ม้าจำได้ว่าลูกเคยหัดขี่จักรยานแล้วรถล้มใช่มั้ย แถมยังร้องไห้ใหญ่เลยด้วย แล้วยังบอกอีกว่าจะไม่ขี่จักรยานอีกแล้ว ม้าโอ๋ตั้งนานก็ไม่ยอมหยุด ต้องบอกว่าจะพาไปกินไอศกรีมถึงได้ยอมหยุด ใช่มั้ยจ๊ะ”


                “ฮะ” อยู่ๆม้าถามเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม นั่นมันตั้งแต่เจ็ดแปดขวบนู่นแล้ว


                “แต่พอสองวันถัดมาซินก็กลับมาหัดขี่มันใหม่เหมือนเดิม ไม่เห็นจะกลัวล้มเลย แถมยังหัดขี่จนขี่จักรยานได้เลยนี่นา”


                “....”


                “แล้วซินคนกล้าตอนนั้นของม้าหายไปไหนแล้วลูก”


                “....”


                “บางที การพยายามเริ่มต้นใหม่ อาจจะดีกว่าการจมปลักอยู่แต่กับสิ่งเดิมๆนะ”


                “เริ่มต้นใหม่ ก็ต้องเริ่มกับคนใหม่ๆสิฮะ ไม่ใช่คนเดิม”


                “ก็ถ้าคนๆเดิมเขาไม่ได้ตั้งใจ แล้วอยากจะแก้ไขในสิ่งที่มันผิดพลาด ลูกก็ควรที่จะให้โอกาสเขาสักครั้งไม่ใช่เหรอ”


                “....”


                “ม้าไม่รู้ว่าเราทั้งสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร ม้ารู้แค่ว่า เวลาที่นัทอยู่กับลูกของม้า ลูกของม้ามีความสุข ลูกของม้ายิ้มกว้างมากกว่าที่ยิ้มให้ใครๆ นัทเอง มองลูกด้วยสายตาแบบไหน ม้าเฝ้ามองมาตลอดทำไมจะไม่รู้ แต่อยู่ๆ นัทก็หายไป สาเหตุนั้นไม่ว่ามันจะเป็นเพราะว่าอะไร แต่ม้าคิดว่านัทจำเป็น เขาเองก็คงไม่ได้อยากจะห่างกับลูกของม้าหรอกใช่มั้ย เรื่องนี้ซินก็น่าจะรู้ดี”


                “....”


                “แต่พอนัทหายไปซินของม้าก็เริ่มเปลี่ยนไป ซินที่ยิ้มเก่งของม้ากลายเป็นคนที่ไม่ค่อยร่าเริง ยิ้มยากขึ้น ดวงตาที่เคยเปร่งประกายสดใสกลับมืดหม่นลง ลูกของม้าไม่มีความสุขม้าก็พลอยไม่มีความสุขไปด้วย ม้าที่เฝ้าดูลูกเติบโตมาตลอดทำไมจะไม่รู้ ระหว่างที่มีเขากับไม่มีเขา แบบไหนลูกของม้ามีความสุขมากกว่ากัน เป็นซินเองไม่ใช่เหรอลูกที่ปิดกั้นเขาในทุกๆอย่าง และถอยออกมาตรงนี้”


                "คนสองคนที่มีเวลาไม่ตรงกัน มันก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ"


                "แต่ตอนนี้เวลาของลูกกับเขาตรงกันแล้วไม่ใช่เหรอ เขาเองตอนนี้ก็มาอยู่ข้างๆลูกแล้ว ถึงแม้ว่าจะในฐานะบอดี้การ์ด แต่อย่างน้อย เขาก็มาอยู่ข้างๆลูกแล้วไม่ใช่หรือไง ในตอนนั้นถ้าลูกไม่ได้พยายามที่จะหัดขี่จักรยานอีกครั้ง ลูกจะรู้มั้ยว่าการขี้จักรยานมันสนุกมากแค่ไหน แผลเล็กๆน้อยๆที่แลกกับความสุข มันก็คุ้มค่าไม่ใช่เหรอลูก"


                “...”


                "ไม่ใช่แค่ลูกเองที่มีแผล นัทเองก็มีเหมือนกัน ทำไมไม่ลองให้โอกาสกันดูสักครั้ง ช่วยกันรักษาแผลเก่าให้มันหายไปจริงๆสักที"

                "แต่นัทเป็นผู้ชาย...ซินเองก็เป็นผู้ชาย ม้ารับได้เหรอที่ลูกม้าเป็นแบบนี้"


                "ม้ารักลูก และม้าก็จะรักคนที่ลูกรัก ความรักมันเลือกไม่ได้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นกลับใคร คนบนโลกมีเป็นพันเป็นล้าน กว่าเราจะหาคนคนนี้เจอมันยากแต่ไหน กว่าลูกของม้าจะยิ้มได้กว้างเท่านี้ มีความสุขมากเท่านี้ แล้วทำไมม้าจะต้องผิดหวังด้วยล่ะลูก ม้าควรจะดีใจสิที่ลูกของม้าเจอคนที่เขารัก แล้วก็รักเขา"


                "...."


                "ซินลองถามใจของตัวเองดูดีๆ ว่าตอนนี้ซินรู้สึกยังไง ม้าเองก็บอกซินได้แค่นี้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับซินแล้วล่ะ แต่ไม่ว่าซินจะเลือกแบบไหน ยังไงม้าก็รักลูกเสมอ รู้ใช่มั้ย"


                "รู้ฮะ ซินรักม้านะ"


                "ม้าก็รักลูกจ้ะ"


                ความอบอุ่นจากมือของม้าที่ยื่นมาจับมือผมมันอบอุ่นไปถึงหัวใจ ม้าผมน่ารักที่สุดเลยใช่มั้ยล่ะ


                ที่นี้...ก็เหลือแค่ถามหัวใจตัวเองแล้วสินะ

 
                END sin talk


TBC.
.........

พบกันตอนหน้านะคะ >3<
 

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
รักหม่าม๊าสุดๆ

ออฟไลน์ machan000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 o13 คุณม๊านี่สุดยอดอ่ะ

 :L1: :L1: :กอด1:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
หนูรักคุณม้า
พี่ซิน เปิดใจค่ะเปิดใจ นะนะนะ

ออฟไลน์ toshika

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 819
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-4
รักม๊าจังรักทั้งในนิยายและชีวิตจริง คราวนี้พีี่ศลป.คนเก่งคงตัดสินใจได้แล้วสินะ พี่นัทรอฟังได้เลย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7

ออฟไลน์ Yundori

  • From where I stand...
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
เปิดใจค่ะ บอกได้คำเดียว
เขากลับมาแล้ว ถ้าไม่คว้าเขาไว้
รับรองเลยว่าคราวนี้นัทหายไปจริงๆแน่
ถึงจะเจ็บมาก แต่ลองอีกสักครั้ง ก็ไม่เสียหายเนอะ
ถ้ามันจะเจ็บอีกสักครั้งก็ให้มันรู้ไป !

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
6

((Sweet Trang))



                วันนี้วันออกเดินทาง ผมต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า ไปบริษัทเพื่อไปเอารถและไปรับซินที่บ้าน ซึ่งคราวนี้คุณแม่ของซินออกมาส่งลูกชายที่หน้าบ้าน แอบตกใจเหมือนกันที่อยู่ๆบอกให้ไปรับ เสียวสันหลังว่าจะเจอคุณป๊าอยู่เหมือนกัน แต่โชคดีที่มีคุณแม่ออกมาส่งคนเดียว แบบนี้คุณแม่ก็รู้แล้วสิเรื่องงานผม


                “สวัสดีครับม้า”


                “สวัสดีลูก ยังไงม้าฝากซินด้วยนะ ถ้าดื้อก็กำราบได้เลย”


                ผมรับคำพูดม้ายิ้มๆก่อนจะหันไปมองซินที่หันไปตะแง๊วๆใส่ม้าตัวเอง แต่ยังไม่วายเหลือบตาไปมองด้านหลังม้ากับซินอย่างหวาดๆ


                “ป๊าไม่อยู่หรอกลูก ออกไปทำธุระตั้งแต่เช้าแล้ว” โดนม้าจับได้ซะแล้ว


                “เอ่อ แหะๆ”


                ไม่ใช่ว่าผมใจไม่ถึง แต่เป็นเพราะว่ายังเตรียมตัวมาไม่พร้อมกับลูกปืนต่างหาก จะตายโดยที่ยังไม่ได้ยินคำรักจากซินได้ยังไง


                หลังจากที่ร่ำลากับม้าจนเสร็จซินก็ยอมขึ้นรถโดยที่ผมขนกระเป๋าขึ้นรถให้เรียบร้อยแล้ว ผมเปิดประตูให้เขาซึ่งเขาก็ยอมขึ้นมาแต่โดยดี ผมมองกระจกหลังเห็นม้าของซินยืนโบกมืออยู่ตรงนั้นจนลับสายตาไป บรรยากาศในรถก็กลับมาเงียบเหมือนเคย


                “ซิน...” ไม่ใช่ว่ารีบหรืออะไร ก็คนมันอยากได้คำตอบไวๆนี่


                “รถออกเดินทางกี่โมง” แต่ยังไม่ได้ทันจะได้ถามอะไรก่อนคุณซินเธอก็ถามขึ้นมาซะก่อน


                “เจ็ดโมง เครื่องขึ้นแปดโมงครึ่ง รถของบริษัทออกเดินทางล่วงหน้าไปแล้ว”


                “พี่โอ๊ตล่ะ ถึงรึยัง ไม่เห็นโทรมาเลย”


                “ถึงแล้ว เห็นยุ่งๆอยู่ วิ่งไปนู่นมานี่ เช็คของอยู่ล่ะมั้ง เออนี่ซิน...”


                “พี่โอ๊ตไปพร้อมเราใช่มั้ย”


                “ใช่ ซิน...”


                “ของีบแป๊บนึง ถึงแล้วเรียกด้วยนะ”


                “ซิน...”


                เฮ้อ... ไม่เป็นอะไร โอกาสอยู่ด้วยกันยังมีทั้งวัน ไม่รีบก็ได้ เพราะไม่ว่ายังไงนายก็หนีฉันไม่พ้นหรอกซิน 


                ขับรถมาได้สักพักคุณโอ๊ตก็โทรมาบอกให้ไปส่งซินที่สนามบินได้เลย ไม่ต้องไปที่บริษัทแล้ว เดี๋ยวให้คนขับรถกลับบริษัทเอง ยังดีที่ออกมายังไม่ไกล ไม่งั้นคงต้องอ้อมโลกกันแน่


                ผมแอบเหลือบตามองคนหลับไม่จริงที่เบาะหลัง ยังคงนั่งไขว่ห้างหลับตาอยู่ แต่คิ้วนี่ขมวดกันเป็นปม ผมเร่งรัดเขามากไปหรือเปล่านะ เวลาสองวันจะพอมั้ยสำหรับเขา แต่เขาจะรู้มั้ยว่าสองวันสำหรับผมมันยาวนานแค่ไหน ไหนจะยังตอนที่เจอกันที่ห้างนั่นอีก แม่ผมวานให้ไปซื้อของจุกจิกให้นิดหน่อย เงยหน้ามาอีกทีหัวใจแทบวาย กำลังคิดถึงอยู่ดีๆเจอกันซะงั้น บอกตามตรงตอนแรกไม่เห็นม้าเลยด้วยซ้ำ เห็นแต่หน้าซิน จนเห็นม้านั่นแหละ หัวใจวายไปในทันที ก็แหม ทำกับลูกชายเขาไว้นี่ คนมันมีความผิดติดตัว แต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้างเลยทักทายสวัสดีไป ซึ่งม้าก็น่ารักมาก ทำตัวเหมือนเดิมราวกับว่าที่ผ่านมาไม่มีอะเลย


                คำตอบจะเป็นยังไงกันนะ กลัวอยู่เหมือนกัน.... 


                เกือบๆสิบโมงเราก็ได้มาเหยียบบนผืนแผ่นดินจังหวัดตรังเป็นที่เรียบร้อย แฟนคลับของซินบางส่วนก็แวะมารับซินกันจนถึงสนามบิน ไม่รู้ไปได้เที่ยวบินของซินมาจากไหนกันนะ ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไร รู้กันไปหมดจริงๆ


                คนสวยของผมก็ยังคงแจกจ่ายรอยยิ้มได้อย่างทั่วถึงเหมือนเคย วันนี้ซินใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าสบายๆกับกางเกงยืนสีซีด ดวงตาคู่สวยถูกบดบังด้วยแว่นดำที่เจ้าตัวงัดขึ้นมาใส่ตั้งแต่ถึงสนามบินที่กรุงเทพ ซินยืนให้แฟนคลับถ่ายรูปอยู่สักพัก คุณโอ๊ตก็มาสะกิดบอกผมให้พาซินไปขึ้นรถได้แล้ว


                ผมจึงเดินไปข้างๆเขาและบอกว่าต้องไปแล้ว ซินถึงได้บอกลาแฟนคลับแล้วบอกให้ไปเจอกันที่งานเย็นนี้ ผมถือโอกาสโอบเอวบางนิดๆ และเอามือกันด้านหน้าของซินฝ่าบรรดาแฟนคลับเดินมาขึ้นรถ ซินถองผมไปสองสามทีเมื่อผมเบียดตัวเข้าหาเขามากเกินจำเป็น


                นิดๆหน่อยๆไม่ได้เลย


                บนรถตู้ที่ทางรีสอร์ทส่งมารับ ผมนั่งเบาะหน้าสุด ซินนั่งเบาะกลางกับคุณโอ๊ต ด้านหลังเป็นทีมงานอีกสองคน ชื่อฝ้ายกับกิ๊บ 


                ไม่นานก็มาถึง รีสอร์ทที่เราจะพักกันอยู่ติดทะเล บรรยากาศดีมาก ต้นไม้เยอะพอสมควร ร่มรื่นดีทีเดียว งานวันนี้มีตอนหกโมงที่เวทีริมหาด มีศิลปินหลายท่านที่มาร่วมงานวันนี้ บรรยากาศฟังเพลงกินลมชมทะเลแบบชิลๆ ความจริงแล้วงานมีวันเดียว แต่เราจะอยู่เที่ยวพักผ่อนกันต่ออีกสามวัน เท่ากับว่าครั้งนี้เราจะอยู่ที่ตรังทั้งหมดสี่วัน


                และไม่ทราบว่าด้วยสิทธิพิเศษอะไรก็แล้วแต่ แต่ครั้งนี้ผมได้อยู่คนเดียวในห้องพักที่คนอื่นๆเขาก็อยู่กันสองคนสามคน ยกเว้นคุณศิลปินที่ต้องได้อยู่คนเดียวอยู่แล้ว กับคุณโอ๊ตอีกคนหนึ่ง และที่พิเศษยิ่งกว่านั้นคือห้องผมอยู่ด้านข้างซินพอดี และห้องคุณโอ๊ตก็อยู่ถัดจากห้องผมไป อาจเป็นเพราะความปลอดภัยของซินผมถึงต้องมาอยู่ใกล้ๆมั้ง


                และเพราะว่ายังมีเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลางาน ทุกคนจึงเข้าไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง ผมเองก็เดินไปสำรวจรอบๆห้อง ห้องนี้มีระเบียงซึ่งมองออกไปก็เจอกับชายหาดพอดี สวยจริงๆครับ ลมเย็นๆที่มีกลิ่นไอทะเลพัดเข้ามาในห้อง สดชื่นจริงๆ ผมวางกระเป๋าสัมภาระทิ้งไว้ข้างๆเตียงก่อนจะเดินออกมารับอากาศสดชื่น แต่พอมองไปด้านข้างก็ต้อง แอบยิ้ม


                หึหึ ระเบียงห้องติดกันนี่หว่า...แบบนี้ก็...


                แต่อย่าลืมว่าถ้ามันติดกับห้องซิน ก็ต้องติดกับห้องคุณโอ๊ตเหมือนกัน จะทำอะไรก็คงต้องระวังๆหน่อย แต่ในขณะที่ผมกำลังจะกลับเข้าห้อง ร่างบางที่ห้องข้างๆก็เดินออกมาซะก่อน ผมเลยชะงักอยู่ตรงนั้น


                ซินเดินออกมาก่อนจะสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่และเอี้ยวตัวไปมา ในที่สุดก็หันมาเห็นผม ตากลมโตเบิกกว้างในทันที


                “นัท!!”


                ผมส่งยิ้มพร้อมกับยักคิ้วไปให้สองสามทีเป็นการทักทาย วันนี้วันตัดสินชีวิตผมแล้ว ขอใส่ไม่ยั้งเลยแล้วกันนะครับ


                “ทำไม...ระเบียงติดกันเหรอ!”


                “ถูกต้อง ดีจัง สะดวกดี”


                “สะดวกบ้าอะไร! อย่ามายิ้มแบบนี้นะ”


                “ซิน ฉันรอคำตอบจากนายอยู่นะ” ผมยิ้มก่อนจะตีสีหน้าจริงจัง เพื่อให้เขาเห็นว่าผมจริงจังกับเรื่องนี้จริงๆ เขาจึงหลบสายตาผมไปทางอื่นและเงียบไป


                “ซิน”


                “อากาศดีแบบนี้ อยากออกไปเดินเล่นจัง”


                หืมม??


                “แต่ถ้าลงไปต้องโดนแฟนคลับรุมแน่ๆเลย”


                ฮะ?? อะไรคือการที่ซินพึมพำคนเดียวแต่จงใจให้ผมได้ยินแบบนี้


                “ไปชวนพี่โอ๊ตดีมั้ยน้า”


                “ฉันไปเอง เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน” ก็ตั้งใจจะชวนกันชัดๆเลยไม่ใช่หรือไงน่ะ แต่...


                “ให้ไปตอนนี้ไม่ได้หรอกซิน แฟนคลับบางส่วนรู้ว่าซินพักอยู่นี่ ลงไปตอนนี้คงโดนรุมจริงๆนั่นแหละ เอาไว้ตอนอื่น เดี๋ยวพาไป”


                ซินหันมาขมวดคิ้วมองหน้าผม


                “ใครบอกว่าจะไปกับนาย เราไม่ชวนสักหน่อย”


                คนตัวบางสะบัดหน้าออกไปรับลมอีกครั้ง ผมเป็นลอนนั่นพริ้วไหวไปตามแรงลม รอยปมระหว่างคิ้วหายไปแล้ว เหลือเพียงใบหน้าผ่อนคลายที่เชิดขึ้นรับความสดชื่นนิดๆ ผมยังคงยืนอยู่ตรงนั้น มองดูคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวมั้ย แต่เขาเองก็เริ่มที่จะกะเทาะเกราะบางๆของเขาออกมาหาผมเหมือนกัน เพียงแต่เจ้าตัวยังทำซึนอยู่เท่านั้นเอง


                มุมปากยกยิ้มขึ้นนิดๆเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ผมมองลงไปด้านล่างเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มีใครมองอยู่ และไม่ได้มีแฟนคลับคนไหนรู้ใช่มั้ยว่าซินอยู่ห้องนี้ เมื่อเห็นว่าทางสะดวก ผมก็เริ่มกระทำการอุกอาจในทันที


                ซินมองผมที่กำลังพยายามปีนข้ามระเบียงไปที่ห้องเขาอย่างตกใจ คงกำลังงงจนทำอะไรไม่ถูก และกว่าเขาจะรู้ตัวผมก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาในระเบียงห้องเดียวกันเรียบร้อยแล้ว


                “เฮ้ย!!” ช้าไปมั้ยจ๊ะซิน


                ผมรีบดึงคนตัวบางเข้ามาในห้องทันที ปิดประตูตีแมวซะเลยดีมั้ย แมวตัวนี้ยิ่งซึนๆอยู่ด้วยสิ


                “เฮ้ย! จะทำบ้าอะไรเนี่ย ปล่อยเรา นี่มันห้องเรานะเข้ามาได้ไง!!” คนตัวบางรีบสะบัดมือออกทันที ซึ่งผมก็ยอมปล่อยออก เพราะรู้ว่าถ้าขืนเอาไว้ข้อมือเล็กๆนั่นต้องช้ำแน่ๆ ตอนนี้อยู่ในห้องเดียวกันแล้ว หนีไม่พ้นแล้วล่ะ


                “กลับห้องตัวเองไปเลยนะ จะบ้ารึไง”


                “ใช่ บ้า บ้ามากด้วย ฉันจะเป็นบ้าตายอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินคำตอบของนาย”


                ซินยืนนิ่ง ตัวเกร็งแข็งขึ้นมาในทันที


                “เราไม่มีคำตอบอะไรจะให้”


                “ซิน”


                “อย่าเข้ามาใกล้นะ! เราร้องให้คนช่วยจริงๆด้วย”


                ผมไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินเข้าไปหาคนตัวบางช้าๆโดยที่เขาเองก็ถอยหลังไปเรื่อยๆจนชนเข้ากับขอบเตียงและเสียหลักล้มนั่งลงบนเตียงนั่นแหละ และตอนนี้ผมก็อยู่ด้านหน้าของเขาแล้ว ซินมองหน้าผมอย่างหวาดๆ คงกลัวว่าผมจะทำอะไรเขาน่ะสิ เห็นใบหน้าตกใจนั้นแล้วมันหมั่นเขี้ยว จับกดซะดีมั้ยเนี่ย ไหนว่าจะร้องให้คนช่วย ก็ยอมอยู่นิ่งๆจนถึงตอนนี้เลยไม่ใช่หรือไง


                “อย่านะ” ซินถอยหลังไปเมื่อเห็นว่าผมโน้มหน้าเข้าหาเขา แต่ผมทำเพียงแค่คุกเข่าลงตรงหน้าเขาเท่านั้น มือผมเอื้อมมือไปจับมือเขาเอาไว้ ซึ่งซินก็พยายามที่จะชักมือกลับ แต่ครั้งนี้ผมไม่ปล่อยเหมือนครั้งที่แล้วหรอกนะ


                “ฉันขอแค่คำตอบเท่านั้นเองซิน บอกคำตอบของนายให้ฉันได้มั้ย ถ้าคำตอบนั้นคือไม่ ฉันก็จะไป จะไม่มาวุ่นวายกับนายให้รำคาญกันอีก ถ้าความผิดของฉันในอดีตมันมากมายเกินกว่าที่นายจะยอมให้อภัย ฉันก็ยินดีที่จะไป แค่นายบอกมาคำเดียว”


                ซินจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผม มองให้ลึกเข้าไปถึงในใจฉันเลยนะซิน มองให้เห็นไปเลยว่าคนคนนี้รักนายมากเท่าไหร่ แคร์นายแค่ไหน เห็นบ้างมั้ยนัยน์ตาฉันมีแค่นาย เห็นมันบ้างมั้ยซิน ที่นี้นายเองก็เปิดใจให้ฉันบ้างนะ


                ผมเอื้อมมือขึ้นแตะแก้มบางใสนั้นเบาๆ ซินเองก็ไม่ได้หันหน้าหนีไปไหน ดวงตาใสไหววูบ ปากบางเม้มเข้าหากัน


                “ให้โอกาสฉันได้มั้ย ให้โอกาสเรื่องของเรานะ”


                ปากบางเผยอขึ้นช้าๆ ใบหน้าหวานเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ จากโหนกแก้ม เลยไปยังใบหูที่เจ้าตัวจับผมขึ้นทัดเอาไว้แต่แรก ราวกับว่าภายในของเขานั้นกำลังสับสนตีรวนกันไปหมด


                “ค่อยๆคิดก็ได้ แค่อย่าโกหกตัวเองก็พอ”


                ……..


                “อื้อ”


                !!!!


                อื้อ?? อื้อนี่คืออะไร๊!!!


                “อื้อนี่คืออะไรซิน คือไม่โกหกตัวเอง หรือ ให้โอกาสฉัน”


                “ยังจะถามอะไรอีกเล่า!!” เสียงหวานตวาดขึ้น เสียงตวาดที่น่ารักที่สุดเลย!!!


                ผมโผเข้ากอดซินอย่างดีใจ ไม่เคยดีใจเท่านี้มาก่อนเลยโว้ยยยยยยยยยย น่ารักชิบเป๋งเลยแฟนใครวะ!


                “โอ้ย ปล่อยเรานะ! แค่ให้โอกาสไม่ได้แปลว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมเลยนะ” ซินดิ้นยุกยิกๆ และเอามือเล็กๆนั่นดันผมออก


                ซึ่งผมก็ยอมถอยออกมาแต่โดยดี


                “แค่นี้ก็พอแล้วครับ” และมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม


                หน้าซินยิ่งแดงขึ้นไปอีกก่อนจะสะบัดหันไปทางอื่น น่ารักที่สุดเลยซินของผมเนี่ย!!!


                ในขณะที่คนหนึ่งกำลังเขิน และอีกคนกำลังดีใจจนจะกลายเป็นบ้า เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้นซะก่อน


                “ซิน เปิดประตูให้พี่หน่อย คุยเรื่องงานแป๊บนึง”


                ฉิบหายแล้ว


                “พี่โอ๊ต/คุณโอ๊ต!!!”       


                “ใครอยู่ในห้องน่ะซิน อยู่คนเดียวรึป่าว”


                อะไรจะซวยแบบนี้วะ ชีวิตนี้มีแต่คนอยากขัดความสุขผม ซินรีบมองซ้ายมองขาวหาทางหนีทีไล่ทันที จะให้ปีนกลับไปตอนนี้ก็กลัวว่าจะไม่ทัน ยิ่งรีบๆลนๆแบบนี้จะพาลพลาดตกลงไปตายซะก่อน จะตายได้ยังไง ยังไม่ได้ซินคืนมาเลยนะ!


                “ซินอยู่มั้ย เป็นอะไรรึเปล่า ซิน” เสียงเร่งจากคุณโอ๊ตทำให้ซินลุกขึ้นวิ่งวนรอบห้องไปมา ผมมองตามร่างนั้นอย่างยิ้มๆ


                “หรือจะให้คุณโอ๊ตรู้ไปเลยดี”


                “จะบ้าเหรอ!! ไปหาที่ซ่อนสิยืนเฉยอยู่ทำไมเล่า”


                “ไหนๆก็ไหนๆแล้ว...”


                “เข้าในห้องน้ำนู้นเลย!” ซินดันหลังผมเข้ามาในห้องน้ำได้จนสำเร็จ ก่อนจะปิดประตูดังปังใส่หน้าผม


                หึหึ นานๆทีจะได้เห็นซินแตกตื่นแบบนี้นะ คิดถึงจังเลย ซินคนเดิมของผม


                ผมแอบเงี่ยหูฟังเสียงด้านนอก ได้ยืนเสียงซินเปิดประตูให้คุณโอ๊ตเข้ามา


                “เป็นอะไรรึเปล่าซิน เปิดประตูช้าจัง พี่ได้ยินเหมือนเสียงใครอยู่ในห้อง”


                “เปล่าพี่! จะมีได้ไงซินอยู่คนเดียว” ผมแอบหลุดขำออกมาในทันที คุณโอ๊ตคงตกใจน่าดู ก็เล่นตะคอกคำว่า ‘เปล่าพี่’ ดังออกขนาดนั้น   


                “เฮ้ย พี่แค่ถามเฉยๆ ตกอกตกใจหมด”


                “เออ แล้วพี่มีไร”


                “โห พูดเหมือนไล่ ก็แค่จะมาบอกคิวขึ้นเวที เดี๋ยวซินขึ้นคิวสามต่อจากสแตมป์ โอเคนะ”


                เสียงคนสองคนคุยกันเริ่มห่างออกไป สงสัยเดินไปนั่งคุยกันที่โซฟาในห้องแล้ว ผมเองก็ยืนเตะอากาศเล่นไปในห้องน้ำก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ข้างๆอ่างล้างมือ ผมจึงหยิบมันขึ้นดูใกล้ๆ ก่อนจะยิ้มออก นึกหมั่นเขี้ยวอยากจะหยิกแก้มไอ้ตัวซึนนอกห้องจริงๆ คิดได้แบบนั้นจึงหย่อนมันลงไปในกระเป๋ากางเกงทันที


                “แค่นี้แหละ แหมรีบไล่กันจริงนะ มีไรป่ะเนี่ย หรือแอบซ่อนใครไว้จริงๆ”


                “จะบ้าเหรอพี่โอ๊ต ซินจะเอาใครมาซ่อนเล่า ซินแค่อยากพักผ่อน นั่งเครื่องแล้วมันเพลีย”


                เสียงซินกับพี่โอ๊ตดังใกล้เข้ามาอีกครั้ง คงจะกลับแล้วมั้ง รีบเลยพี่ รีบกลับไปเลย ผมจะได้...


                “เฮ้ย ปวดฉี่ว่ะ ขอเข้าห้องน้ำแป๊บดิ”


                เวรของกู จะมาปวดอะไรกระทันหันกันตอนนี้ครับคุณโอ๊ต ไม่ใช่เวลาเลย!


                “เฮ้ยไม่ได้!!!” เสียงซินปฏิเสธลั่นดังกว่าครั้งแรกสามเท่า คาดว่าถ้าผมเป็นคุณโอ๊ตคงผงะไปแล้วเรียบร้อย


                “อะไรวะ แค่ขอเข้าห้องน้ำเอง ปวดมากไม่ไหวแล้ว”


                เอาไงดีๆ หลบหลังชักโครกได้มั้ย ...ไม่ได้ เล็กไป เข้าไม่ถึง โอ้ย เอาไงดีวะ หรือจะหลบในอ่าง แล้วมันจะไปมิดได้ยังไง เห็นทนโท่อยู่แล้ว


                แกร๊ก


                เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้ผมหันไปมองอย่างตกใจ หมดกันภาพพจน์บอดี้การ์ดสุดหล่อ


                แต่คนที่แง้มประตูน้อยๆและแทรกตัวเข้ามากลับเป็นซิน ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปตะโกนกับประตู


                “ซินปวดท้อง! พี่โอ๊ตกลับไปเข้าห้องน้ำที่ห้องตัวเองนู้น เดินไปอีกแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว รีบไปเลย”


                “อะไรวะ ทำตัวแปลกๆ เออๆ ไปก็ไป” เสียงคุณโอ๊ตบ่นพึมพำ ตามด้วยเสียงปิดประตู ทำเอาผมกับซินถอนหายใจเฮือกใหญ่ไปตามๆกัน


                รอดตัวไป


                แต่ตอนนี้ใครบางคนกำลังจะไม่รอด...


                ซินกลับตัวหันมาหาผมก่อนจะตกใจถอยหลังไปชนเข้ากับประตู ก็จะไม่ให้ตกใจได้ไง อยู่ใกล้กันขนาดนี้ ต้องขอบคุณโรงแรมนี้ครับ ที่สร้างพื้นที่ยืนมาแคบไปนิด


                ซินหันหลังกลับในทันทีทำท่าจะเปิดประตูแต่ผมคว้าลูกบิดเอาไว้ได้ก่อน นาทีนี้นึกขอบคุณโอ๊ตขึ้นมาอีกคนที่อยากเข้าห้องน้ำมาซะเฉยๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ใกล้มากขนาดนี้


                “ปล่อยสิ เราจะออกไปข้างนอก”


                “จะรีบออกไปไหน อยู่ในนี้อบอุ่นดี”


                “อบอุ่นบ้านนายสิ ร้อนจะตาย”


                “ซิน...” ผมกระเถิบเข้าไปใกล้เขามากขึ้น และซบหัวลงบนไหล่เขา


                “คิดถึงมากๆเลย”


                “...”


                “อยู่แบบนี้สักพักได้มั้ย”


                เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ขยับตัวหนีหรือว่าอะไร ผมจึงปล่อยมือจากลูกบิดและเลื่อนมากอดเอวบางเอาไว้หลวมๆ ตัวนุ่มนิ่มกับกลิ่นที่แสนคุ้นเคย ชักจะไม่อยากทำแค่กอดแล้วสิ


                ผมคลายแขนออก ก่อนจะจับไหล่บางหมุนให้หันมาหาอย่างช้าๆ ทำให้มองเห็นว่าใบหน้าหวานแดงซ่านไปหมด แก้มใสนั่นขึ้นสีอมชมพูน่าหยิกนักเชียว


                “ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้นะซิน”


                ตากลมเบิกโพลงขึ้นมาในทันทีเมื่อผมเอ่ยชมเขาต่อหน้าแบบนี้ ก่อนจะเอื้อมมือมาหยิกแขนผมเต็มแรง


                “โอ้ย! เจ็บนะซิน โอ้ยๆๆ ยอมแล้วๆ ปล่อยนะๆ”


                เมื่อหยิกจนสะใจมือบางๆก็ยอมปล่อยกัน ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา


                “โรแมนติกมาก ชมกันในห้องน้ำหน้าชักโครกแบบนี้อ่ะนะ” พูดจบก็เปิดประตูห้องน้ำเดินหนีกันไป


                แสดงว่าถ้าไม่ใช่ในห้องน้ำก็ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ!!


                ผมที่วิ่งตามออกมาเห็นนั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่บนโซฟา สายตาแบบนี้ เอาอีกแล้ว เข้าโหมดเจ้านายอีกแล้วสิ ลูกแมวว่านอนสอนง่ายเมื่อกี้หายไปไหนแล้วล่ะ


                “การที่เรายอมตกลง ไม่ได้หมายความว่าทุกๆอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมในทันทีหรอกนะ”


                “ทราบแล้วครับ”


                “แล้วการที่เราให้โอกาสไม่ได้หมายความว่าเราจะใจอ่อนได้ง่ายๆ”


                “ครับผม”


                “แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาลวนลามเราได้แบบนั้นอีก”


                ได้ยินแบบนั้นทำให้ผมอดขำไม่ได้จริงๆ นี่นายใช้คำว่าลวนลามเลยเหรอซิน สมยอมชัดๆนะเมื่อกี้


                “จะพยายามให้ถึงที่สุดครับ”               


                “นี่นาย!!”


                “ก็ถ้านายสมยอม ฉันก็ไม่ผิด ถูกมั้ย”


                “นั่นมันไม่มีทาง! เราไม่มีทางสมยอมอยู่แล้ว!!”


                “แน่ใจนะ”


                “นัท!!!”


                “ครับ ^^”


                “กวนประสาทแบบนี้โอกาสครั้งนี้ก็ยกเลิก ยกเลิกๆ”


                “เฮ้ยได้ไง แบบนี้ผิดกติกาแล้วซิน ให้แล้วให้เลยดิ”


                ซินหรี่สายตามองผม สายตาแบบนี้ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เลย


                “เรามีเรื่องจะถาม”


                “ถามได้ทุกเรื่องเลยครับคุณซิน” ซินจิ๊ปากนิดๆก่อนจะถามต่อ


                “วันนั้นใครรับโทรศัพท์”


                ผมที่ได้ฟังคำถามก็งงสิครับ วันนั้น วันไหน แล้วใครรับโทรศัพท์อะไร ยังไง งงสิครับ


                “ขอทวนคำถามได้มั้ย ไม่เข้าใจเลย ขยายความด้วยครับ”


                “ก็เราถามว่าเมื่อวันนั้นใครเป็นคนรับสายเรา”


                “วันนั้นมันวันไหนล่ะซิน แล้วโทรศัพท์ของใคร อะไรยังไง”


                “วันนั้นหลังจากที่เราส่งข้อความไป เราโทรหา แต่มีคนอื่นรับสาย”


                ข้อความ... ข้อความวันนั้นสินะ ข้อความสุดท้ายจากซินที่ผมได้รับ และ...ผมไปไม่ทัน แต่ซินโทรหาผมตอนไหน ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย ก็ตอนนั้นผมอยู่กับ...


                “ดาน่า!!!”


                “ใคร ชื่อแฟนใหม่นายเหรอ”


                “ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ซิน ...อย่าบอกนะว่าที่นายหายไปเป็นเพราะเรื่องนี้ ให้ตาย นี่มันเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วนะ เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆซิน”


                “ใคร” เสียงเรียบจากซินถามขึ้นนิ่งๆ


                “ดาน่า ลูกสาวนักการเมืองที่ฉันไปเป็นบอดี้การ์ดให้ตอนนั้น วันนั้นที่นายส่งข้อความมา มีงานเลี้ยงการกุศลอะไรสักอย่าง แล้วดาน่าเอาโทรศัพท์ฉันไปขอยื้มเล่นเกมเพราะแบตของเธอหมด กว่าฉันจะเห็นข้อความนายก็ดึกมากแล้ว ไม่รู้เด็กนั่นแอบอ่านข้อความฉันหรือเปล่า ไม่ใช่แบบที่นายคิดเลยนะ”


                “ก็พอจะเดาออก คนซื่อบื้อแบบนายไม่น่าจะหาแฟนใหม่เร็วขนาดนั้น”


                ปากแบบนี้มันน่านักเชียว น่ากดจูบซะให้เข็ดจริงๆ - -


                “ถ้างั้น แล้วทำไม...”


                “ตอนนั้นเราก็มีเหตุผลของเรา นายก็มีเหตุผลของนาย ช่างมันเถอะ”


                “ต่อไปนี้ไม่เอาแบบนี้แล้วนะ สัญญามาเลยว่ามีอะไรต้องถามกันก่อน อย่าตัดสินใจแทนกันแบบนี้อีก”


                “...”


                “ซิน แค่ระยะเวลาที่ผ่านมาเรายังเจ็บกันไม่มากพออีกหรือไง”


                “รู้แล้วน่า”


                ได้ยินแบบนั้นผมก็เดินตรงเข้าไปนั่งลงข้างๆเขา พร้อมกับเอื้อมมือไปโอบไหล่บางนั่นแบบเนียนๆ ซึ่งซินกระโดดหนีในทันที


                “ก็บอกแล้วไงว่าอย่าลุ่มล่าม”


                “ไม่ได้ลุ่มล่าม ก็คนมันคิดถึง นายไม่คิดถึงกันมั่งเลยรึไง”


                “ไม่เลย!”


                “จริง?”


                “จริง!!”


                หึหึ ปากแข็งให้ได้ตลอดนะคนเก่ง ผมลูบกระเป๋ากางเกงตัวเองก่อนจะยิ้มออกมา ยึดเอาไว้ก่อนแล้วกัน


                “จูบได้ป่ะ”


                “จะบ้าเหรอ!!! เยอะไปแล้ว!!!”


                เสียงโวยวายของพวกผมยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่กลัวว่าห้องข้างๆจะได้ยินกันเลย


                ก็คนมันมีความสุข จะให้ทำยังไงล่ะครับ จริงมั้ย ??


TBC.
.........
 Sweet Trang ยังไม่จบนะคะ ไว้เจอกันตอนหน้าเด้อ

รักคนอ่านทุกคนนะคะ
คอมเม้นคือกำลังใจของไรท์น้า จุ้บๆ
ชอบหรือไม่ยังไงบอกกันได้เลย

ขอบคุณทุกคนสำหรับคอมเม้นเช่นเคยค่า

ออฟไลน์ machan000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao6: :hao6:

อิอิ  ซินก็ยอมๆไปเหอะ   :hao7:

Mauve

  • บุคคลทั่วไป
ชีวิตดีและ เนอะคุณบอดี้การ์ด  :hao3:

จากนี้มีกลเม็ดอะไร ก้องัดมาใช้ซะ  :z2:

ออฟไลน์ toshika

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 819
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-4
อร๊ายฉันเขิล.............พี่น่ารักกันไปไหมคะ5555555  มาต่อไวๆน้า

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
รวบตึงเลย !! นัท


 :hao6:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อร๊ายยยยย ฟิน
ชอบอ่ะ
ขำพี่โอ๊ต หึหึ
น่ารักเนอะ พี่ซินเนี่ย

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ทะเลจืดอ้ะงานนี้

ออฟไลน์ moodyfairy

  • สวย อร่อย ย่อยง่าย :)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 693
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ชอบอ๊าาาาาาา แอบเป็น fc คู่นี้อยู่เหมือนกันน ได้อ่านแล้ววววว :hao7: :hao7:
รอจ้ะะ น้องซินจะใจอ่อนในเร็ววันมั้ยน้อออ :heaven
เป็นกำลังมจให้ชายนัทสู้ๆคร้ะะ :katai5:

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
6

((Sweet Trang2)) 



                หกโมงแล้ว บรรยากาศด้านนอกกำลังดีเลย ฟ้ายังไม่มืดเท่าไหร่ ผู้คนมากมายมาจับจองพื้นที่ด้านหน้าเวทีกันจนแทบจะไม่มีที่เหลือแล้ว บรรยากาศชิลมากๆครับ เวทีอยู่ห่างจากโรงแรมไม่มาก ขับรถมาแป๊บเดียวถึง เสียงพีธีกรบนเวทีก็กำลังเอนเตอร์เทนคนดูด้วยการพูดนู่นพูดนี่ หรือเล่นเกมก่อนที่ศิลปินจะพร้อมขึ้นแสดง ตอนนี้ซินก็กำลังนั่งคุยเล่นกับศิลปินคนอื่นๆอยู่ครับ เดี๋ยวคนนู้นเดินมาหยอก เดี๋ยวคนนั้นเดินมาโอบ เดี๋ยวคนนี้เดินมากอด จะให้ยืนดูเฉยๆนี่ก็ชักจะไม่ไหวแล้วครับ


                “อะไร” ซินถามขึ้นเมื่อผมกระเถิบไปยืนข้างๆเขา กางแขนกั้นได้นี่กางไปแล้วนะ


                “เปล่า แค่อยากใกล้ชิด”


                “อย่าเยอะ พี่โอ๊ตก็อยู่ เดี๋ยวได้ตายหรอก” ซินหันมาพูดลอดไรฟังใส่ ผมเลยยิ้มหวานให้เขาไปหนึ่งที


                “ไปยื่นห่างๆนู่น เบียดมากไปแล้ว ในนี้ไม่มีใครสักหน่อย”


                “มีสิ เสือ สิงห์ กระทิง แรด เยอะแยะ เผลอไม่ได้เลยนะ”


                “อะไร หมายถึงใคร”


                “ใครล่ะ เดี๋ยวจับเดี๋ยวโอบ”


                ซินหันมามองค้อนผมหนึ่งทีก่อนจะก้มลงกดโทรศัพท์ของเขาต่อ ผมก็แอบเหลือบมองอยู่บ่อยๆนะว่าแอบแชทกับใครหรือเปล่า แต่เปล่าครับ เปิดอินสตาแกรมเช็คเรทติ้งตัวเองอยู่


                เอาอีกแล้วครับ มาอีกแล้วเสือสิงห์กระทิงแรด


                แสตมป์ นักร้องขวัญใจวัยรุ่นเด็กแนวทั้งหลาย ดูท่าทางจะสนิทกับซินของผมนะ เดี๋ยวจับมือ จับแขน จับไหล่หลายรอบแล้ว ไอ้เจ้าตัวก็ยิ้มหัวเราะชอบใจ ชอบนักเหรอให้เขามาจับเนื้อต้องตัวแบบนั้นน่ะฮะ ทีผมจับนิดจับหน่อยงี้สะบัดยังกับกิ้งกือไส้เดือน


                พาลครับ ผมเลยก้าวไปยืนปิดหลังซินซะมิดเลย


                งงสิครับคุณแสตมป์ เขาเงยหน้ามามองผมนิดๆ ซึ่งผมก็แกล้งทำเป็นหันไปมองความเรียบร้อยรอบๆ เขาก็เลยเดินอ้อมไปอีกทาง คราวนี้เข้าข้างหน้าเลยครับ


                “นั่งคนเดียวเหงามั้ยครับคนน่ารัก” แหม่ เอาใหญ่ๆ ผมยืนอยู่ทนโท่ไม่เห็นรึครับ!


                “ไม่เหงาหรอกพี่แตมป์ ว่างเหรอพี่ เห็นเดินไปเดินมา” ไอ้นี่ก็เล่นกับเขา เห็นแล้วมันหมั่นไส้ครับ ใช่ซี่ ผมมันแค่บอดี้การ์ด ใครเขาจะมาเห็นหัว ฮึ!


                “ก็ไม่ว่างหรอก แค่อยากอยู่ใกล้คนน่ารัก” อื้อหือ คำก็น่ารัก สองคำก็น่ารัก ไอ้คุณซินก็ยิ้มเข้าไปสิ เห็นแล้วมันหงุดหงิดครับ


                “คุณซิน อยากเข้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอครับ รีบไปตอนนี้ดีกว่า อีกเดี๋ยวต้องขึ้นเวทีแล้ว” ไม่รู้ว่าซินอยากเข้ามั้ย แต่ตอนนี้ผมอยากให้เข้าครับ


                ซินเงยหน้ามามองผมอย่างงงๆ เมื่อเห็นว่าผมพยักหน้าหงึกหงักเขาก็ลุกขึ้นยืน


                “พี่ไปเป็นเพื่อนมั้ย” ยังครับ ไอ้คุณแสตมป์ยังไม่วายเสนอตัวจะไปด้วย


                “ไม่เป็นไรครับ หน้าที่ผม ผมพาไปเอง” ผมพูดพร้อมกับแผ่รังสีอำมหิตออกไปนิดหน่อย แสตมป์เลยมองหน้าผมงงๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ซินและเดินออก


                ผมเดินตามหลังซินไป แต่อยู่ดีๆเขาก็หยุดเสียเฉยๆ หันกลับมาหาผม ที่ตรงนี้ไม่มีคนครับ รอบด้านค่อนข้างมืด


                “ไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำ จะให้เดินไปไหน”


                “เดินไปไหนก็ได้ แค่อย่าอยู่ตรงนั้นนานๆเป็นพอ”


                “ออกตัวแรงนะ”


                “เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชอบเหรอซิน ไม่ชอบก็บอกเขาไปสิ”


                “จะให้บอกยังไง พี่ ผมไม่ชอบ ต่อไปนี้อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวผมอีกนะ แบบนี้เหรอ” คนตัวบางยืนกอดอกมองหน้าผมอย่างขัดใจ


                “ก็พี่น้องกันทั้งนั้นแหละ”


                “ก็ไม่อยากให้ใครมาแตะนี่ หวง”


                “หวงในฐานะอะไร”


                เจ็บปวด ฐานะอะไรล่ะ ก็ฐานะคนที่รักซินไง ...แหวะ! ไม่กล้าพูดครับ แต่คิดยังอายเลย


                “ก็ไม่ได้ในฐานะอะไรหรอก แต่ไม่ชอบเฉยๆ และก็ไม่ชอบมากๆด้วย”


                “หึ”


                ผมรีบเดินไปขวางซินที่ทำท่าจะกลับไปทางเดิม ก็ไม่อยากให้ไป ไม่ชอบจริงๆนะ ลองนึกดูสิ ให้ใครมาใกล้มาแหย่คนที่คุณรักอ่ะ คุณชอบมั้ย แต่ที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือทำอะไรไม่ได้นี่แหละ


                “นัท เราจะกลับโต๊ะ”


                “กลับได้ แต่ไปอยู่ใกล้ๆคุณโอ๊ต โอเคมั้ย”


                “จะไปอยู่ตรงไหน ถ้าเขาอยากจะเข้ามาหาเขาก็เข้ามาทั้งแหละ”


                แล้วไอ้บอดี้การ์ดอย่างผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ เมื่อกลับมาที่โต๊ะ ผมได้แต่ยืนตีหน้ายักษ์อยู่คนเดียวใกล้ๆซิน จนคุณโอ๊ตต้องเดินมาถามหลายครั้งว่าเป็นอะไรมั้ย ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่อยากต่อยคน เสือสิงห์กระทิงแรดก็ยังคงวนเวียนมาเรื่อยๆ แต่ขาประจำก็นี่เลย คุณพี่แสตมป์ ตอนนี้ถึงขั้นนั่งร่วมโต๊ะคุยกันไปแล้วครับ - -     


                นั่งคุยกันอยู่ได้สักพักก็ต้องลุกไปเพราะถึงคิวขึ้นร้องแล้ว ทีนี้นักร้องของผมก็อยู่คนเดียว เขาหันมาเหล่ผมนิดๆก่อนจะหันไปสนใจโทรศัพท์ แค่นั้นแหละครับ แค่หางตา


                เฮ้อ ผมยืนมองอยู่อย่างนั้นจนคุณโอ๊ตเดินเข้ามา


                “นัท ไปดูที่รถให้หน่อยได้มั้ย คนบอกว่าเห็นใครไม่รู้ไปด้อมๆมองๆแถวรถบริษัท ท่าทางไม่น่าไว้ใจ”


                ซินที่เงี่ยหูฟังอยู่เงยหน้าขึ้นมามองทันที


                “มีไรเหรอพี่โอ๊ต”


                “เปล่า ไม่มีไรหรอก พร้อมยัง อีกเดี๋ยวต้องขึ้นเวทีแล้วนะ” คุณโอ๊ตหันไปยิ้มกลบเกลื่อนให้ซิน ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ผมน้อยๆ ผมจึงเดินออกมา


                กรณีแบบนี้มีบ่อย ถ้านายจ้างของผมคือนักการเมือง ศัตรูเยอะมาก อาจจะมีคนแอบรอบตัดสายเบรกคืออะไรเทือกๆนั้น แต่นี่ซินเป็นนักร้อง สงสัยว่าจะเป็นพวกสโตกเกอร์ คนพวกนี้จัดการไม่ยากครับ


                ทันทีที่ผมเดินไปถึงลานจอดรถก็เห็นผู้ชายสองคนกำลังพยายามส่องเข้าไปข้างในรถ เหมือนกำลังสำรวจว่าข้างในมีอะไรบ้าง ดูท่าจะไม่ใช่แค่สโตกเกอร์ธรรมดาๆแล้วสิ


                “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”


                พวกมันสองตัวสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงผม ผมมองมันสองคนที่มองมารอบๆผม และเมื่อเห็นว่าผมมาคนเดียวมันเลยค่อยๆก้าวมาหาช้าๆ


                “ก็เห็นรถสวยดี”


                มันกำลังกวนตีนครับ


                “ถ้าไม่อยากมีปัญหา ก็ไปไกลๆจากตรงนี้ดีกว่ามั้ง”


                “แล้วถ้าอยากมีปัญหาล่ะวะ!!”


                พูดจบไอ้คนทางขวามันก็พุ่งเข้าใส่ผมทันที ผมก้มหลบหมัดกล้ากลัวๆของมันอย่างชำนาญ


                กระจอก


                ผมก้าวขาหลบพวกมันอีกคนที่พยายามจะเล่นงานผมจากด้านหลัง เหวี่ยงหมัดไปใส่ไอ้คนแรกที่วิ่งเข้ามาอีกรอบ ถีบมันซ้ำไปอีกที จนมันล้มลงไปนอนกับพื้น และหันมาหาอีกคน มันถอยหลังไปตั้งการ์ดมองผมอย่างหยั่งเชิง ไอ้คนนี้ท่าทางจะไม่ธรรมดา ผมพุ่งเข้าไปเหวี่ยงหมัดใส่มันซึ่งมันก็หลบทัน ก่อนจะพุ่งหมัดเข้าใส่ท้องผมดีที่ผมเอี้ยวตัวหลบจนพ้น มันตามมาอาศัยความเร็วถีบหลังผมเข้าให้เต็มๆ


                จุกสิครับ


                ผมที่คุกเข่าลงกับพื้นหันหลังมาในจังหวะที่ทันกะจะเหยียบผมซ้ำอีกทีคว้าแขนมันก่อนจะเหวี่ยงลงพื้นอย่างเต็มแรง ฝุ่นงี้ตลบไปหมด รปภ.ไปไหนหมดวะ เวลาเกิดเรื่องนี่ไม่เคยเห็นหัวเลยจริงๆ ไม่ใช่ว่าไปยืนร้องเพลงอยู่ข้างเวทีกันหมดนะ!


                โอ๊ย เจ็บหลังฉิบ!


                ในจังหวะนั้นเองที่ไม่ทันได้ตั้งตัว และหันหลังให้มันอยู่ ไอ้คนแรกที่มันล้มไปกองอยู่ที่พื้นก็ลุกขึ้นมา กระโดดถีบ คงกะจะให้ซ้ำที่เดิมแหละแต่ผมหลบทัน ไอ้คนที่สองมันล้มอยู่ใกล้ๆแตะขาข้างขวาผมเต็มแรงจนล้มลง ตามด้วยไอ้คนแรกที่วิ่งเข้ามาซัดหมัดใส่ผมอย่างจัง ได้กลิ่นคาวเลือดเข้ามาในปากทันที


                ไอ้เวร


                ผมลุกขึ้นยืนสลัดไอ้คนที่สองจนหลุด หันไปกระทืบมันซ้ำอีกสามทีจนมันนิ่งไป ฤทธิ์มากนักนะพวกมึง ผมหันมาหามันอีกคนที่งัดมีดพกขึ้นมา


                เออ เข้ามาสิวะ มีดเล่มแค่นั้นทำอะไรผมไม่ได้หรอกเว้ย


                มันพยายามจะแทงมีดใส่ผมแบบผิดๆถูกๆ ผมอาศัยจังหวะที่มันเผลอจับข้อมือข้อมันและพลิกแล้วบิดออก ดัดเข้าด้านหลัง และกดมันลงกับพื้น


                เก่งให้ตลอดสิวะ!!


                “โอ๊ยยยยย ยอมแล้วๆ เจ็บโว้ยยย ปล่อยยย” มันร้องโวยวายเสียงดัง ใช้มืออีกข้างตบพื้นแบบรัวๆ


                “ทำไมวะ เมื่อกี้ยังเก่งอยู่เลย มาทำอะไรแถวนี้! มาวนเวียนทำไมรอบๆรถ!”


                “....”


                มันเงียบครับ ไม่ยอมตอบ


                “ตอบสิวะ! หรือจะไปเข้าตาราง!!” ผมกดแขนมันแรงขึ้น ซึ่งมันก็ร้องโวยวายขึ้นมาอีก เสียงดังขนาดนี้ ยามหายหัวไปไหนน


                “ก็เห็นรถสวยดี แค่อยากดูใกล้ๆ!”


                “อย่ามาโกหก!!”


                “โอ๊ยยย!!!”


                “เกิดอะไรขึ้นครับ!”


                ผมเงยหน้ามองเห็นรปภ.สามคนกำลังวิ่งถือกระบองมา เออ ตามแบบฉบับหนังไทย มาตอนสุดท้ายพอดี มาทำ อะไรตอนนี้ครับ


                “พวกนี้ทำท่าทางแปลกๆแถวรถคนนี้ พกมีด พยายามทำร้ายร่างกายผม ท่าทางไม่น่าไว้ใจ คิดว่าคงกำลังจะงัดรถ แถวนี้ไม่มีรปภ.คอยดูแลหรือไง” ผมถามขึ้นเมื่อรปภ.คนหนึ่งก้มลงมาจับไอ้ขโมยนี่แทนผม


                “เอ่อ... มีครับ แต่...”


                “จัดการต่อแทนผมที และหวังว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมคิดว่าหน้าที่ของพวกคุณก็คือการดูแลความปลอดภัย กรุณาทำหน้าที่ให้รอบคอบด้วย!”


                ผมลุกขึ้นก่อนจะปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า แล้วก็ต้องเสียวแปล๊บๆที่หลัง อู๊ยย แม่งถีบมาเต็มแรงเลย


                “ปากคุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หนึ่งในรปภ.ถามขึ้น ผมจึงยกมือขึ้นแตะมุมปากเบาๆ จี๊ดเลย เลือดออกอีกต่างหาก


                “ไม่เป็นไร ฝากจัดการเรื่องนี้ด้วยละกัน”


                “ครับ”


                ผมยืนมองไอ้สองตัวถูกรปภ.ลากไป ก่อนถอนหายใจเบาๆ ลองคิดดูสิว่าถ้าในรถตอนนั้นมีซินอยู่ด้วยจะทำยังไง บ้าจริง! คนเลวๆเพิ่มขึ้นมากมายขนาดนี้ ตำรวจมัวแต่ทำอะไรกันอยู่นะ


                ผมจัดเสื้อสูทที่หลุดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ให้เข้าที่ กระดุมหลุดหายไปไหนเม็ดนึงด้วย สงสัยต้องให้แม่เย็บให้ใหม่ซะแล้ว ว่าแต่มันกระเด็นหายไปไหนกันเนี่ย


                ผมเดินวนไปวนมาแถวนั้นสองสามรอบ จนเจอไอ้กระดุมที่มันกล้าหลุดออกมาให้แม่ผมต้องเหนื่อยเย็บ แต่ก็ต้องสะดุ้ง นึกขึ้นได้ก็ลูบมือไปที่กระเป๋ากางเกง เฮ้อ ค่อยยังชั่ว มันยังอยู่... 


                ผมแอบอมยิ้มเมื่อนึกถึงเจ้าของมัน ป่านนี้จะรู้ตัวหรือยังก็ไม่รู้ว่าของหาย


                หึหึ


                ผมปัดฝุ่นออกจากเสื้ออีกนิดหน่อยก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะ ซินไม่ได้อยู่ที่โต๊ะแล้ว คุณโอ๊ตเองก็เหมือนกัน คงออกไปดูซินบนเวทีที่ด้านข้าง ผมจึงเดินตามออกไป เห็นคนตัวบางหลับตาพริ้มร้องเพลงอยู่บนเวที ผมที่มองยิ้มๆถูกคุณโอ๊ตสะกิดเบาๆ


                “เป็นไงบ้าง”


                “น่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพครับ คงกะจะมางัดรถ”


                “เฮ้ย แล้วเป็นไงบ้าง”


                “ไม่เป็นไรครับ รปภ.มาพอดี ให้เขาจัดการต่อ”


                “ปากแตกนี่!!”


                “ไม่เป็นไรครับ นิดหน่อยเอง”


                “ทำแผลก่อนมั้ย”


                “ไม่เป็นไรครับ เลือดมันหยุดไปแล้ว”


                “โหย ตายๆ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ไงเนี่ย คนสมัยนี้มันเป็นยังไงนะ.....”


                แล้วคุณโอ๊ตแกก็บ่นอะไรของแกไปอีกสักครู่ใหญ่ ซึ่งผมไม่ได้ฟังต่อ พุ่งสายตาไปที่คนบนเวทีเท่านั้น ความปลอดภัยของนาย คือทั้งหมดของชีวิตฉัน ซิน..

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
                จะว่าไปเรื่องแบบนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับอาชีพแบบผมอยู่แล้ว ปากแตกนี่เรื่องจิ๊บจ๊อยมาก ผมก็เหมือนเกราะกันกระสุนของนายจ้างอยู่แล้ว ต่อให้มีกระสุนวิ่งเข้ามา เราก็ต้องอ้าแขนรับแทนนายจ้างของเรา เรื่องปกติครับ


                ไม่นานซินก็ลงจากเวที ผมกับคุณโอ๊ตจึงเดินเข้าไปหา คอนเสิร์ตยังไม่จบครับ แฟนคลับเลยยังดูกันอยู่ มีแค่บางส่วนที่วิ่งตามออกมาเท่านั้น แต่งานนี้ไม่มีการถ่ายรูปครับ ทำได้แค่วิ่งตามมาถ่ายระหว่างทาง วันนี้ซินก็ยังคงได้รับของติดไม้ติดมือมาอีกตามเคย


                ผมเดินนำเขาไปที่รถ ตามด้วยคุณโอ๊ตและทีมงานอีกสองสามคน แฟนคลับก็ยังคงวิ่งตามกันมาติดๆ แสงแฟลชนี่ส่องกันให้แสบตาไปหมด


                “บ้ายบาย เจอกันใหม่งานหน้าครับ” พูดแค่นั้นแล้วซินก็ก้าวขึ้นรถไป ตามด้วยคุณโอ๊ตและทีมงาน ผมขึ้นคนสุดท้ายและปิดประตูรถ


                “หิวมาก” ซินพูดขึ้นขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวกลับโรงแรม


                “หาอะไรกินแถวนี้มั้ย หรือจะกลับไปกินที่โรงแรม”

                “เดี๋ยวซินกลับไปกินที่ห้องก็ได้ ไม่อยากวุ่ยวายคนเยอะ”


                “โอเค”


                และไม่นานก็ถึงโรงแรม ทุกคนแยกย้ายกันกลับเข้าห้องเพื่อไปพักผ่อน ส่วนผมก็เดินมาส่งซินที่ห้อง คุณโอ๊ตเข้าห้องไปแล้ว เพราะออกจากลิฟต์มาก็เจอห้องคุณโอ๊ตก่อน ตามด้วยห้องผมและห้องซิน


                “เสื้อเป็นอะไร ทำไมมีแต่ฝุ่น” ซินที่เดินตามหลังมาถามขึ้น


                ผมลงก้มลงมองชุดตัวเอง พออยู่ในที่สว่างๆมองเห็นฝุ่นชัดเต็มเสื้อไปหมดเลย ช่างมันจะถึงห้องอยู่แล้ว


                “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ซินเข้าห้องเถอะ” ผมหันไปหาเขาก่อนจะยิ้มให้


                จี๊ดเลย ลืมไปว่าปากแตกอยู่ ผมเลยยกมือขึ้นแตะอย่างลืมตัว เปล่าเลย ไม่ได้ตั้งใจให้ซินเห็นเลยครับ หึหึ


                ซินเลื่อนสายตาไปตามนิ้วผมก่อนจะเบิกตากว้าง


                “ปากไปโดนอะไรมา” ซินเดินเข้ามาดูใกล้ๆทันที


                หึหึ เป็นห่วงกันล่ะซี่ ผมมองหน้าซินที่เดินเข้ามองใกล้ๆก่อนจะเอื้อมมือมาแตะแผลที่มุมปากผมเบาๆ


                “โอ๊ยยยย” แสดงล้วนๆครับ แผลมันไม่ได้เจ็บขนาดนั้นหรอก แค่อยากร้องดังๆเฉยๆ


                ซินรีบชักมือกลับด้วยท่าทางตกใจทันที


                “ไปโดนอะไรมานัท ที่พี่โอ๊ตเดินเข้ามาคุยด้วยใช่มั้ย เกิดอะไรขึ้น”


                “ไม่มีไรหรอก มีปัญหานิดหน่อย เคลียร์เรียบร้อยแล้ว”


                “ไม่มีไรได้ไง เลือดออกนั่นน่ะ”


                ผมมองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มนิดๆ ออกหน้าออกตาไปหน่อยหรือเปล่าซิน เดี๋ยวคิดไกลนะครับ ก็แอบหวังอยู่เหมือนกันนะว่าซินจะเป็นห่วงกันบ้างมั้ย แต่แบบนี้มันเกินคาดไปหน่อย อย่าทำแบบนี้สิ แค่นี้ก็รักจะตายแล้ว


                “ยิ้มบ้าอะไร ไม่เจ็บหรือไงแผลน่ะ”


                หุบยิ้มแทบไม่ทัน


                “ก็ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก” พูดไปทำหน้าสำออยไป หึหึ แอบหมั่นไส้ตัวเองเหมือนกันนะครับเนี่ย


                “มียาทำแผลมั้ย”


                ส่ายหน้าพรืดเลยสิครับงานนี้ ก็ถ้าบอกว่ามีจะได้เข้าห้องซินมั้ยล่ะ ^^


                “เข้ามานี่ก่อน เราพอจะมีบ้าง” ซินพูดประโยคที่เหมือนเสียงสวรรค์ขึ้น เกิดจะเดินนำหน้าเข้าไปในห้อง แต่เดี๋ยวก่อน ขอเล่นตัวสักนิด เดี๋ยวจะหาว่าเราจงใจ


                “ไม่เป็นไรหรอกซิน ไม่อยากรบกวน”


                “งั้นตามใจ เราเข้าห้องละ” พูดจบซินก็ปิดประตูใส่หน้าผมเฉยเลย


                เฮ้ย ได้ไงอ้ะ! ไม่ง้อหน่อยเหรอซินนนนน เปิดประตูก่อนนน ผมยกมือขึ้นเขกหัวตัวเองด้วยความโมโห ไอ้ง่าวเอ้ย คนอย่างซินเคยง้อใครด้วยหรือไง เล่นตัวไม่ถูกเวล่ำเวลาเลย!


                เอาไงดีล่ะวะงานนี้ ใจกล้าหน้าด้านไว้ก่อนแล้วกัน


                “โอ๊ย! เจ็บแผล!!” โวยวายไปก่อนครับ


                ซินเปิดประตูออกมาทันที แต่ไม่ใช่ด้วยสีหน้าตกใจนะครับ แต่เป็นสีหน้าระอาใจ


                “อะไรอีกล่ะ เล่นตัวดีนักไม่ใช่รึไง” คนตัวบางยืนกอดอกพิงขอบประตูถามขึ้น


                “ก็ที่ห้องไม่มียาทำแผล...”


                “แล้ว?”


                “แล้วก็อยากทำแผลด้วย กลัวอักเสบ...”


                “อือฮึ”


                “ทำแผลให้หน่อยได้มั้ยครับ” ผมพยายามทำสายตาลูกหมาออดอ้อนที่สุดเท่าที่จะทำได้ สงสารกันหน่อยน้า


                ซินมองหน้าผมก่อนจะส่ายหน้าไปมา และหลบทางให้ผมเดินเข้าไปด้านใน


                ยู้ฮู้ววววววววววววววว อิจฉากันล่ะสิครับ!


                ผมค่อยๆหย่อยตัวลงบนโซฟาในห้องซิน นี่ขนาดนั่นค่อยๆนะเนี่ย เสียวไปทั้งสันหลังเลย สงสัยคืนนี้ต้องกินยาแก้ปวดก่อนนอน ไม่งั้นพรุ่งนี้ทำงานไม่ไหวแน่ๆ ผมมองซินที่เดินไปรื้อของในกระเป๋า สักพักก็เดินกลับมา นั่งลงข้างๆกัน ในมือบางมีแอลกอฮอล์ สำลี ยาใส่แผล แล้วก็พลาสเตอร์ยา พกของแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย


                “ซินพกของแบบนี้ติดตัวด้วยเหรอ”


                “อุบัติเหตุเกิดได้ทุกที่ทุกเวลา มีแต่คนประมาทเท่านั้นแหละที่ไม่เตรียมตัวให้พร้อม” โดนไปสิครับ ผมเลยยิ้มเจื่อนๆพยักหน้าเบาๆ


                “ทำเองเป็นมั้ย”


                “ไม่เป็น” ตอบแบบไม่ต้องคิดกันเลยทีเดียว ซินมองหน้าผมอย่างชั่งใจว่าจะเชื่อดีมั้ย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และเอาสำลีจุ่มแอลกอฮอล์


                บอกตามตรงว่าไม่ค่อยถูกกับให้สารเคมีสีฟ้าๆนี่เท่าไหร่เลย แค่ได้กลิ่นก็แทบจะหันหน้าหนีแล้วครับ ใครเป็นคนคิดว่าให้เอาแลกอฮอล์ล้างแผล ใช้น้ำเปล่าไม่ได้รึไง ไม่รู้เหรอว่ามันแสบ (พาลครับ) ซินยื่นสำลีนั่นมาตรงหน้า ผมถอยหลังเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติทันที


                “จะทำมั้ยแผลน่ะ หรือว่าจะทำเอง” ขู่กันตลอดเลยครับ เห็นหน้าหวานๆแบบนี้นี่ดุใช่ย่อยเลยนะ


                “แหะๆ” ผมยิ้มน้อยๆก่อนจะโน้มหน้าเข้าหาเขา


                ยังนับว่าเมตตากันมากทีเดียว เพราะซินแตะสำลีลงมาเบาๆเท่านั้น ไม่เจ็บเท่าไหร่แต่มันแสบครับ ผมเบ้หน้าทันทีเมื่อมันเข้าใกล้แผลมาเรื่อยๆ แต่ความแสบก็ค่อยๆหายไปเพราะใบหน้าน่ารักตรงหน้าที่ตั้งใจทำแผลให้กัน คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อผมหันหน้าหนีก่อนจะส่งตาเขียวมาให้ ตากลมโตที่มองมาที่มุมปากผม ปากบางๆที่อยู่ใกล้กันแค่ลมหายใจ


                “โอ๊ย!!” สะดุ้งเลยสิครับ จ้องอยู่ดีๆซินก็เอาสำลีกดลงมาที่แผลผมเต็มๆ


                “จ้องมากๆ เดี๋ยวคิดตังค์ซะหรอก” ซินมองค้อนผมไปทีนึง ก่อนจะเอาสำลีอีกอันจุ่มยาใส่แผล และแตะลงเบาๆสองสามที แสบจี๊ดๆเลยครับ มือบางหันไปหยิบพลาสเตอร์ยาขึ้นมา


                “พลาสเตอร์ไม่ต้องแปะก็ได้มั้ง เดี๋ยวมันจะเท่เกินไป” ผมบอกซินขำๆ ยังไม่อยากเป็นจิ๊กโก๋ที่ชอบแปะพลาสเตอร์ไว้มุมปากหรือหางคิ้ว อีกอย่างเดี๋ยวก็จะนอนแล้วด้วย


                ซินพยักหน้าก่อนจะวางมันลงข้างตัว


                “เสร็จแล้ว กลับห้องนายไปได้ละ” ไล่กันแบบไม่ต้องอ้อมค้อมเลยทีเดียว


                “ซิน เหมือนอะไรมันไหลๆออกมาจากแผลเลยอ่ะ มันคันๆ ใช่เลือดรึเปล่า ดูให้หน่อยสิ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆคนตัวบางที่กระเถิบออกไปแล้วให้ดูให้หน่อย


                “น้ำลายหรือเปล่า” ขัดกันตลอดดด


                “ใช่ที่ไหนเล่า ดูให้หน่อยสิครับ” พูดแล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆอีก ซินก็เลยก้มลงดูให้ ยกมือบางขึ้นแตะๆ


                “ก็ไม่เห็น...” ซินที่กำลังจะตอบหยุดลงทันทีเมื่อผมยกมือขึ้นจับมือเขามากุมไว้ ปากบางที่กำลังจะเอ่ยว่ากันก็ต้องหยุดเพราะผมยื่นอีกมือไปแตะไว้เบาๆ


                “แค่อยากอยู่ใกล้ๆ ได้มองหน้ากันใกล้ๆ เดี๋ยวเดียวนะซิน” ผมเอ่ยกระซิบขึ้นเบาๆ หวังว่าคนดื้อตรงหน้าจะฟังกันบ้าง เมื่อเห็นว่าเขายอมอยู่เฉยๆแล้ว ก็เอามือที่แตะปากเขาออก


                ผมยิ้มนิดๆเพราะตอนนี้ใบหน้าใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูทีละนิดแล้ว แต่ตากลมโตใสแจ๋วก็ยังมองผมอยู่ ทำได้ยังไงกันนะ ตลอดระยะเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา ผมทนอยู่ห่างคนคนนี้ได้ยังไง ทนอยู่โดยที่ไม่ได้เห็นหน้าใสๆนี่ได้ยังไง แค่คิดว่าถ้าตอนนี้ต้องห่างกันอีกครั้ง ใจมันก็เจ็บแล้ว แย่ละสิ ถ้าซินเกิดเปลี่ยนใจ ไม่ต้องการผมขึ้นมา หลังจากนี้ผมจะทำยังไง บอดี้การ์ดคนนี้จะทำยังไงถ้าไม่ได้อยู่ข้างๆซิน


                กลีบปากบางสีหวานอยู่ใกล้เพียงแค่นี้เอง ผมโน้มตัวไปด้านหน้าช้าๆ ไม่อยากผลีผลาม ไม่อยากเร่งเร้า ไม่อยากให้ซินตกใจ เดี๋ยวจะหนีกันไปอีก ทั้งๆที่ข้างในของผมมันต้องการแทบตาย ซินค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากเราจะแตะกัน เพียงแค่แตะกันแผ่วเบาเท่านั้น ส่งผ่านความคิดถึงทั้งหมดที่ผมมี ทดแทนความรู้สึกที่สูญเสียไป ผมค่อยๆขยับริมฝีปากช้าๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป นำทางซินเพื่อให้เขาทำตามผม ก่อนที่ซินจะเผยอปากนิดๆรับลิ้นร้อนของผมเข้าไปสำรวจภายในโพลงปากเขา ลิ้นเล็กร่นถอยหนีเมื่อปลายลิ้นเราสัมผัสกัน ผมจึงค่อยๆแตะเขาเพียงแผวเบาเพื่อให้เขาผ่อนคลาย และยอมโอนอ่อนตาม ริมฝีปากบางจึงค่อยจูบตอบผมอย่างช้าๆ ก่อนที่ผมจะรุกเขาหนักขึ้นไปตามแรงอารมณ์ มือบางยกขึ้นขยำแขนเสื้อผมแน่น ผมเองก็โอบเอวบางเอาไว้ทั้งสองข้างก่อนจะเขยิบตัวเข้าแนบชิดเขามากขึ้น เราผลัดกันแรกรสจูบแสนหวานอยู่อย่างนั้น จนซินหอบหายใจแรงขึ้น ผมจึงถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ก็กลัวคนน่ารักจะขาดอากาศหายใจไปซะก่อน ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่อยากเลย   


                ทันทีที่เราแยกห่างจากกันซินก็รีบอ้าปากสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ทันที ใบหน้าหวานแดงซ่านไปหมด จะให้ตกหลุมรักกันวันละกี่ครั้งครับเนี่ย


                “ทีหลังหายใจทางจมูกสิครับที่รัก” ซินงี้หน้าแดงแปร๊ดไปเลย ก่อนมือที่ขยำเสื้อผมอยู่จะบิดเนื้อผมเต็มแรง


                “โอ๊ย! ฮ่าๆ เขินแล้วอย่ารุนแรงสิครับ ที่รักเจ็บนะ”


                “โอ๊ยยยซิน! ฉันเจ็บนะ ฮ่าๆ ยอมแล้วๆๆๆ” เนื้อแทบหลุดติดมือเล็กๆนั้นไปเลยครับ มือหนักจริงๆ ผมหอบหายใจยกมือยอมแพ้


                “คนบ้า” เสียงหวานพึมพำเบาๆ


                “บ้าแล้วรักมั้ย”


                “ไม่!!!” ผมหัวเราะกับคำตอบของซิน ถ้าตอบว่ารักสิครับแปลก เพราะนั่นคงไม่ใช่ซินแล้วล่ะ ซึนได้โล่แหละครับคนนี้


                ซินที่รู้ตัวแล้วว่าตกอยู่ในอ้อมแขนผมเริ่มดิ้นยุกยิกๆ แต่มีหรือที่ผมจะปล่อยไปง่ายๆ ยิ่งเขาดิ้น ผมก็ยิ่งกอดเขาแน่นขึ้น ซินยกมือขึ้นพยายามดันไหล่ผมทั้งสองข้าง


                “ถ้าไม่อยู่นิ่งๆ จะทำแบบเมื่อกี้อีกรอบนะ” ได้ผลชะงักเลยครับ นิ่งสนิทเลยทันที เวลาไม่ดื้อก็น่ารักนะเรา


                “เราอึดอัด” คนตัวเล็กบ่นอ้อมแอ้ม ผมจังคลายแขนออกนิดนึง แค่นิดนึงนะครับ


                “มองหน้ากันหน่อยสิ” ซินที่หันหน้าหนีผมไปทางอื่น เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอย่างว่าง่าย


                “ขอบคุณนะครับ ที่ยอมเปิดใจให้กัน นัทสัญญาว่าจะใช้โอกาสนี้ให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้ซินเสียใจ ซินไม่ต้องเชื่อคำพูดนัทก็ได้ ขอแค่อยู่ข้างๆกัน คอยดูการกระทำของนัทว่ารักซิน แคร์ซินมากแค่ไหน


                อย่าไปไหนอีกเลยนะ...”


                ดวงตากลมโตสั่นไหว ก่อนจะกัดริมฝีปากนิดๆ หัวทุยๆนั่นก้มลงมาพิงบนไหล่ผมเบาๆ


                หัวใจไอ้นัทจะกระเด็นออกมาข้างนอกแล้วครับ!! ยิ้มแก้มจะฉีกอยู่แล้วเนี่ย


                ผมยกมือขึ้นลูบหัวเขาเบาๆ ผมนุ่มนิ่มของซินไหลไปตามร่องนิ้ว ก่อนที่จะสะดุดคำพูดต่อมาของซิน


                “หิว”


                ผมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที ก็ซินนี่ครับ จะให้หวานได้นานแค่ไหนกัน แค่นี้ก็ทำเอาจะเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว แค่นี้ก็พอแล้วครับ


                ซินเงยหน้าขึ้นก่อนจะมองผมหน้างอ


                “เพราะนาย เราเลยยังไม่ได้กินข้าวเลย” อ้าว ความผิดผมซะงั้น


                ผมยิ้มนิดๆก่อนจะโทรสั่งอาหารให้เขา ยังดีที่ครัวของโรงแรมยังไม่ได้ปิด ดึกๆแบบนี้ซินกินไม่มากหรอกครับ ผมสั่งของที่เขาชอบก่อนจะเดินมานั่งบนโซฟาอีกครั้ง ซินกำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมมองตามร่างบางไป


                ซินที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำบ่นเสียงเบาๆที่ผมจับใจความได้ว่า


                “หายไปไหนนะ เมื่อตอนมาก็เอาวางไว้ตรงนี้ไม่ใช่หรือไง”


                ผมอมยิ้มนิดๆ ก็ของที่เขาหาอยู่ อยู่ที่ผมไม่ใช่รึไง เดี๋ยวก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยคืน ซินเดินตีหน้ายุ่งออกมาจากห้องน้ำก่อนจะเริ่มเดินค้นไปรอบๆห้อง


                “อะไรหายเหรอซิน” ผมแกล้งถามเข้าออกไป ซินชะงักไปนิดก่อนจะตอบ


                “ไม่ต้องรู้สักเรื่องจะได้มั้ย” คนตัวบางหันหลังตอบกัน


                หึหึ งั้นก็ยังไม่ต้องคืน


                สักพักรูมเซอร์วิสก็เอาอาหารมาเสิร์ฟ ซินเป็นคนเดินไปเปิดรับเพราะไม่อยากให้ใครเห็นผม แต่ซินยังไม่ได้กินมันทันที ยังคงรื้อกระเป๋าอย่างเอาเป็นเอาตายต่อไป คนเป็นระเบียบแบบซินลงทุนโยนทุกอย่างออกมาจากกระเป๋าจนเกลื่อนไปหมด


                “หาอะไรเหรอซิน ช่วยหามั้ย” ผมก็แกล้งถามยั่วเขาไปเรื่อยครับ


                “ไม่ต้องยุ่งเลย กลับห้องไปได้แล้วไป ดึกดื่นป่านนี้แล้ว” ไล่กันเฉยเลยอ่ะ กลับก็ได้!


                “งั้นฉันกลับนะ”


                “อือ!” ไม่ได้หันมามองกันแม้แต่นิดเดียว


                “ซิน ฉันจะกลับห้องแล้วนะ”


                “เออ ก็กลับไปสิ!” คนตัวบางหันมาหาผมอย่างหงุดหงิด เริ่มพาลแล้วครับ


                “จะไปแล้วต้องทำไง”


                “อย่ามาเยอะนัท ไปได้แล้วไป”


                ใจร้ายมากอ่ะ ._.


                ผมเดินเข้าไปจับไหล่บางหันมาหาช้าๆ ซินจึงยอมหันมาอย่างขัดใจ ผมสวยสะบัดโดนหน้าผมเต็มๆ


                “ฝันดีนะครับ” ผมยื่นหน้าไปบอกเขาข้างๆหู ก่อนจะขโมบจุ้บแก้มเขาไปหนึ่งที ก่อนจะรีบวิ่งมาที่ประตู


                ได้ยินเสียงซินโวยวายตามมา


                “ไอ้บ้านัทททททท”


                มีความสุขโว้ยยย ผมยื่นหน้าออกไปนอกห้อง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็เดินออกมาเพื่อกลับเข้าห้องตัวเอง


                วันนี้ฝันดียันเช้าแน่ๆครับ ^^

                 
TBC.
...........
มาแล้วจ้าาาาา
จะชอบตอนนี้กันมั้ยน้า
เม้นบอกกันบ้างนะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยค่า
ขอบคุณที่ตามมาอ่านกันนะค้าา ดีใจมากๆเลย เย้ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด