เล่ห์ลวงใจ บทที่ 10เสียง 'ติ๊ง' เป็นสัญญาณว่ามีข้อความเข้ามาในมือถือ ธีระจึงพลิกตัวอย่างงัวเงียไปหยิบโทรศัพท์ออกจากแท่นชาร์จมาดู และพบว่าคนที่ส่งข้อความมาคือศันสนีย์ที่กำลังเดินทางไปเยี่ยมญาติๆ ที่ยุโรป
'Gooood morninggg. บนนี้หน้าวหนาว'
ถัดจากข้อความนั้นก็เป็นภาพของเพื่อนสาวในชุดสกีเต็มยศกำลังชูแขนบนเนินเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ด้านหลังที่เห็นอยู่ไกลลิบก็เป็นแนวเทือกเขาซึ่งล้วนแต่ถูกห่อหุ้มด้วยหิมะสีขาวสะอาดตัดกับท้องฟ้าสีครามสดใสเช่นเดียวกัน
ธีระยิ้มก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบทั้งที่ยังนอนอยู่บนเตียง 'วิวสวยจัง อยากหัดเล่นสกีบ้าง' หลังจากกดส่งข้อความไปแล้วก็เหยียดแขนบิดขี้เกียจก่อนจะค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้น
เจ็บคอจัง...
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบคอพลางนิ่วหน้า ก่อนจะหันไปหยิบกระติกน้ำที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาดื่ม เขาเหลือบมองไปทางนาฬิกาแขวนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงแล้ว จึงรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปบริษัท
ผ่านมาจะอาทิตย์นึงแล้วเหรอเนี่ย...
ธีระคิดขณะแต่งตัวอย่างรีบๆ หลังอาบน้ำสระผมเสร็จ จากนั้นก็ปิดประตูล็อกห้องแล้วรีบลงจากอพาร์ทเม้นท์เพื่อนั่งรถเมล์ไปที่ท่ารถตู้ ทุกเช้าเขาจะต้องวุ่นวายกับการเดินทางหลายต่อเช่นนี้เพื่อไปฝึกงานเสมอ กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังยอมลำบากทั้งที่มีทางเลือกที่ดีกว่า
"หอเธออยู่ไกลขนาดนี้ ถ้าคืนไหนเหนื่อยก็ไปนอนห้องฉันก็ได้นะ"
"อย่าดีกว่าครับ ผมเกรงใจ"นั่นเป็นบทสนทนาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตอนที่กฤตภาส 'ใจดี' ขับรถมาส่งเขาถึงอพาร์ทเม้นท์ตามที่บอกพวกเพื่อนร่วมงานไว้ตั้งแต่คืนวันศุกร์ ความจริงเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาพักที่ไหนเลยสักนิด แต่ก็จนใจเพราะถ้าไม่ยอมให้มาส่ง สงสัยว่าผู้ชายเอาแต่ใจคนนั้นคงไม่ยอมปล่อยให้ออกจากห้องแน่
ถึงแม้การเป็นเซ็กส์เฟรนด์โดยไม่เต็มใจจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดี แต่อย่างน้อยการเป็นเซ็กส์เฟรนด์ของกฤตภาสก็ไม่ได้เลวร้ายมากเท่าที่ธีระนึกหวั่น เพราะหลังจากทำข้อตกลงกัน ตอนแรกเขาก็เกรงว่าจะโดนบังคับให้ทำอะไรวิตถารที่รับไม่ได้ หรือขั้นหนักกว่านั้นคือถูกบังคับให้หลับนอนกับเพื่อนฝูงของเจ้าตัวเหมือนที่เคยได้ยินว่าพวกคนมีเงินชอบทำกันหรือเปล่า ถ้าหากจะโทษเขาที่จินตนาการบรรเจิด ก็คงต้องโทษสุเมธที่ดันชอบอ่านเรื่องเล่าพรรค์นี้ในอินเตอร์เน็ทแล้วเอามาเล่าให้เขากับศันสนีย์ฟังต่อบ่อยๆ จนเด็กหนุ่มแขยง แถมด้วยบุคลิกของกฤตภาสที่เดาใจยาก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะออกปากถามขณะทั้งคู่อยู่ที่ห้องเมื่อคืนวันเสาร์ด้วยกัน และอีกฝ่ายเริ่มทำการ 'ทวงสิทธิ์' ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับเขาอีกครั้ง
"คุณกฤต...นี่เป็นข้อตกลงระหว่างเราแค่สองคนใช่ไหมครับ?"
"ใช่ ถามทำไม?"
กฤตภาสถามพลางผงกศีรษะขึ้นไล้ปลายลิ้นบนยอดอกจนธีระซึ่งนั่งคร่อมอยู่ด้านบนห่อไหล่และหอบเสียงหวิว ตอนนั้นเขาต้องพยายามยื้อสติไว้อย่างเต็มความสามารถเพื่อไม่ให้กระเจิดกระเจิงไปตามการปลุกเร้าอันช่ำชอง กระทั่งเมื่อพอจะตั้งตัวได้อีกครั้งจึงก้มลงถามเสียงพร่า
"หมายความว่า...คุณกฤตจะไม่บังคับให้ผมนอนกับคนอื่นใช่ไหม?"
วูบหนึ่งที่ปลายนิ้วและริมฝีปากซึ่งวนเวียนอยู่ตามร่างกายหยุดนิ่ง ก่อนที่กฤตภาสจะโน้มคอเขาให้จ้องตากับเจ้าตัวตรงๆ ในระยะห่างเพียงคืบ ระยะประชิดเช่นนั้นทำให้เขาเห็นประกายของความไม่พอใจที่สะท้อนในแววตาอย่างชัดเจน
"นี่เธอเห็นฉันเป็นคนยังไง?"
ยังจะมาถามอีก เอารูปถ่ายกับคลิปเสียงมาเป็นเงื่อนไขให้คนอื่นต้องยอมนอนด้วย แล้วคิดว่าเขาจะมองตัวเองว่าเป็นคนยังไงล่ะ?
ธีระไม่ได้เปล่งเสียงขณะที่ทาบมือทั้งสองบนไหล่หนาเพื่อทรงตัว แต่แววตาของเขากับริมฝีปากที่ยื่นขึ้นอย่างดื้อรั้นคงเพียงพอจะแทนคำตอบได้ กฤตภาสจึงแค่นหัวเราะก่อนจะเลื่อนมือลงกุมเนินเนื้อที่คร่อมอยู่บนหน้าขา จากนั้นก็บังคับให้เด็กหนุ่มต้องขยับโยกพร้อมไปกับการเคลื่อนไหวของเจ้าตัวจนแทบสำลักลมหายใจ
ทั้งที่ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดินมาก็ทำกันเป็นครั้งที่สามเข้าไปแล้ว...ใจคอจะไม่ปล่อยให้เขาได้พักผ่อนบ้างเลยหรือไงกัน?
"ฉันไม่ชอบเห็นคู่นอนของตัวเองหันไปเอาใจคนอื่นระหว่างที่มีอะไรกันหรอก แต่ถ้าพ้นสามเดือนไปแล้วเธอจะอยากทำอย่างนี้กับใครก็ไม่เกี่ยวกับฉัน"
กฤตภาสพูดจบก็รั้งคอเขาลงจูบราวกับรู้ว่าจะเถียง กระนั้นความโล่งอกจากคำพูดที่แสนจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางก็ทำให้เขายอมขยับร่างกายไปตามการชี้นำของคนเบื้องล่าง และปล่อยกายใจให้จมดิ่งลงในห้วงหฤหรรษ์จนถึงปลายทางในที่สุด
หลังจากนั้น...เขาก็หมดสติเพราะความอ่อนเพลียจนไม่รู้สึกตัวอีกจนกระทั่งเช้าวันอาทิตย์ แถมทั้งๆ ที่เหนื่อยจนแทบลุกไม่ไหว แต่ผู้ชายใจดำคนนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เขาได้ตื่นนอนโดยไม่รังแกจนสมใจก่อนอยู่ดี หรือผู้ชายอายุสามสิบกว่าจะกระหายหิวเพศสัมพันธ์แบบนี้กันทุกคน?"น้องๆ สุดสายแล้ว"
ธีระสะดุ้งตื่นเมื่อคนขับรถตู้หันมาร้องบอก เมื่อมองไปด้านหน้าก็เห็นสถานีรถไฟฟ้าซึ่งเป็นสัญญาณว่ารถตู้มาถึงปลายทางแล้ว เขาจึงรีบกล่าวขอบคุณขณะลงจากรถไปด้วย แต่เนื่องจากเพิ่งถูกปลุกให้ตื่นขณะที่กำลังฝันถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ใจเขาจึงยังไม่วายพะวงกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
ตอนแรกที่ตอบตกลงทำสัญญากับกฤตภาส เขาเชื่อว่าเวลาสามเดือนคงจะผ่านไปไวเพียงชั่วพริบตาเหมือนตอนที่เลิกกับณรงค์ใหม่ๆ แต่หลังจากได้ใช้เวลาด้วยกันเพียงไม่กี่วันเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือไม่...
++------++
"อะไรนะ? ทางลูกค้าบอกว่านิกกี้จะมาเป็นพรีเซนเตอร์ในงานเลี้ยงให้?"
กฤตภาสถามขึ้นหลังฟังลูกน้องคนหนึ่งรายงานความคืบหน้าการประชุมกับลูกค้าเมื่อช่วงเช้า ปกติแล้วสำหรับลูกค้ารายใหญ่หรือสำคัญมากๆ นอกจากครั้งแรกที่ไปนำเสนองาน หากตกลงเซ็นสัญญากันเรียบร้อยแล้วเขาก็จะมอบหมายให้ลูกน้องที่ค่อนข้างอาวุโสเป็นคนประสานงานแทนเพื่อจะได้มีเวลาไปดูแลโครงการอื่นต่อ
"ค่ะ พอดีลูกค้าบอกว่ามีคอนเนคชั่นกับผู้จัดการของคุณนิกกี้ แล้วโน้ตบุ๊คที่เราจะจัดงานเปิดตัวให้คราวนี้ก็ไม่ซ้ำซ้อนกับสินค้าอื่นที่คุณนิกกี้เป็นพรีเซนเตอร์อยู่แล้ว เธอเลยตอบตกลงว่าจะมาเป็นพรีเซนเตอร์ในงานเลี้ยงให้ค่ะ"
กฤตภาสหมุนปากกาในมืออย่างใช้ความคิดขณะที่อ่านรายงานการประชุม ครู่หนึ่งเขาก็เอนหลังพิงพนักแล้วยื่นแฟ้มคืนให้ลูกน้องสาว
"เอาเถอะ ถ้าเขาไม่อยากใช้คนที่เราเสนอชื่อให้ก็เป็นสิทธิ์ของเขา เดี๋ยวไปปรับโควเทชั่นให้ลูกค้าใหม่แล้วตัดค่าพรีเซนเตอร์ออกก็แล้วกัน แล้วก็ส่งมินิทให้ทุกคนในทีมรู้ด้วยว่าใครต้องทำอะไรเพิ่มบ้าง"
หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะรับแฟ้มงานแล้วเดินออกไป ฝ่ายกฤตภาสเอื้อมมือไปหยิบถ้วยกาแฟที่เริ่มเย็นชืดบนโต๊ะมาดื่ม นัยน์ตาคมปรายมองจอคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอีเมล์ใหม่เข้ามาเป็นระยะ ทั้งอีเมล์จากลูกค้า อีเมล์แจ้งข่าวสารจากเว็บไซต์ต่างๆ ที่เขาลงทะเบียนรับเอาไว้ แต่ส่วนมากจะเป็นอีเมล์โต้ตอบระหว่างลูกน้องที่เขาต้องคอยอ่านเพื่อรับทราบความคืบหน้าของแต่ละโปรเจ็กต์ เนื่องจากที่บริษัทมักต้องเตรียมจัดงานให้ลูกค้าหลายรายในเวลาไล่เลี่ยกันเป็นประจำ
เขายังไม่อยากเจออรณิชช่วงนี้เท่าไหร่...
ปกติกฤตภาสจะไม่คบผู้หญิงหลายคนในเวลาเดียวกันเพื่อป้องกันเรื่องยุ่งยาก หากจะเลิกคบกับใครก็จะคุยกับอีกฝ่ายให้เข้าใจกันก่อนเพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาแฟนเก่ามาราวีแฟนใหม่ ถึงแม้สำหรับเขาแล้วคำว่า 'แฟน' จะดูเป็นการยกย่องสถานะไปสักนิดในเมื่อเขาไม่เคยรู้สึกผูกพันทางใจกับพวกเธอเลยสักคน แต่กรณีของอรณิชนั้นจัดได้ว่าพิเศษกว่าคนอื่นอยู่เล็กน้อย
จริงอยู่ว่าเขาคบหาหญิงสาวมาได้พักใหญ่จนความตื่นเต้นในตัวเธอลดถอยไปหลายส่วน แต่ก็ยังไม่ถึงกับเบื่อจนอยากจะตัดขาด เพราะถึงอย่างไรอรณิชก็ดีกว่าอีกหลายคนตรงที่ไม่เคยพูดออกมาตรงๆ ว่าอยากให้เขาเดินหน้าเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ อีกอย่างคู่นอนที่รสนิยมนอกจากเรื่องบนเตียงพอจะเข้ากับเขาได้ก็เริ่มหายากเพราะหากไม่มีคนรักก็มักจะแต่งงานกันไปแล้ว เขาจึงไม่สะดวกใจที่จะบอกเธอว่าขอให้เลิกติดต่อกันสามเดือนเพราะว่าเพิ่งได้เจอของเล่นใหม่
กฤตภาสไม่ได้โง่เขลาเรื่องธรรมชาติของผู้หญิง เพราะต่อให้อรณิชรู้แล้วไม่แสดงท่าทีหึงหวงออกนอกหน้าอย่างไร แต่ความรู้สึกเสียหน้าที่เขาติดใจเด็กหนุ่มซึ่งอ่อนกว่าเป็นรอบก็คงเป็นแรงผลักดันที่น่ากลัวพอว่าเธอจะมาทำให้เขาหมดสนุกในช่วงสามเดือนนี้
"คุณกฤตครับ พี่อาร์ทฝากให้ผมเอานี่มาให้"
ธีระเคาะประตูก่อนจะก้าวเข้ามาในห้อง แล้วก็เห็นคนที่นั่งอยู่เหลือบตาขึ้นมองเขาทั้งที่ยังขมวดคิ้วมุ่น ทำเอาเขายืนเก้ๆ กังๆ ด้วยความเกร็งเพราะไม่อยากจะเดินเข้าไปใกล้
ไม่สิ...ต่อให้เจ้าตัวไม่ทำหน้าดุแบบนี้ เขาก็ไม่อยากเข้าใกล้ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ถึงแม้นั่นจะผ่านมาหลายวันแล้วก็เถอะ
"อะไรรึ?"
"แบบเวทีครับ แก้ไขตามที่ลูกค้าเคยคอมเม้นต์มาแล้ว แต่พี่อาร์ทอยากให้คุณกฤตดูก่อนว่าโอเคหรือยัง"
เด็กหนุ่มอธิบายขณะนำแผ่นกระดาษขนาดเอสามที่ปรินท์สี่สีทั้งสามแผ่นเข้าไปยื่นให้กฤตภาส แล้วก็อดบ่นในใจไม่ได้ว่าการเป็นเด็กฝึกงานนี่ก็แย่ตรงที่รุ่นพี่บอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ ไม่เว้นแม้แต่งานเดินเอกสารที่ไม่ต้องใช้สมองเช่นนี้
"เดี๋ยว...นั่งลงก่อน จะได้เอาแบบนี่กลับไปให้รุ่นพี่เธอด้วย"
ธีระนึกอยากเดาะลิ้น เขาอุตส่าห์วางปรินท์เอาท์บนโต๊ะเสร็จก็รีบหันหลังเพื่อจะจ้ำหนีแล้วเชียว กลับโดนรั้งตัวไว้จนได้
สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ต้องเดินกลับไปเลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกฤตภาสแล้วนั่งลง แต่เพราะความพยายามหลีกเลี่ยงการสบตากับอีกฝ่าย ทำให้ไม่เห็นว่าคนที่มองมากำลังยิ้มขำกับสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเขา
เรานี่ก็ท่าจะแปลก...เห็นเด็กคนนี้ทำหน้ามุ่ยแล้วดันอารมณ์ดีซะได้
กฤตภาสคิดพลางหยิบกระดาษทั้งสามแผ่นมาพลิกดู แต่ละแผ่นเป็นภาพสามมิติของแบบจำลองเวที ซุ้มทางเข้างาน บูธประชาสัมพันธ์และส่วนตกแต่งปลีกย่อยซึ่งต้องสร้างขึ้นใหม่ เขาหยิบปากกาจากที่เสียบแล้วก็วงไปตามจุดที่เห็นสมควรว่าต้องปรับแก้เพิ่มเติม ขณะเดียวกันก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
"เย็นนี้ฉันอยากกินอาหารญี่ปุ่น"
แล้วไง...ตัวเองอยากกินแล้วเกี่ยวอะไรกับเขา
ธีระคิดขณะเหลือบมองคนพูดซึ่งยังดูจดจ่อกับการทำเครื่องหมายและเขียนความเห็นกำกับจุดต่างๆ ในภาพที่ต้องการให้แก้ เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ กฤตภาสจึงเงยหน้าขึ้นพลางเสียบปากกาลงกับปลอกสีเงิน
"ฉันอยากได้คนไปกินเป็นเพื่อน"
นี่มันวิธีชวนกินข้าวแบบไหนกัน? ธีระจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยต้องอ้อมค้อมขนาดนี้เวลาชวนเพื่อนไปร้านอาหาร แต่ในเมื่อคู่สนทนาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่าขอให้เขาไปด้วย เขาจึงไม่ถือว่านั่นเป็นคำเชิญและตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แพ้กัน
"ถ้าคุณกฤตไม่อยากกินคนเดียวก็โทรชวนเพื่อนไปด้วยสิครับ พอดีเย็นนี้ผมกะว่าจะไปฟิตเนสกับพวกพี่อาร์ท เขาได้คูปองให้ไปลองเล่นฟรีมาพอดี"
เด็กหนุ่มเอ่ยพลางจ้องหน้ากฤตภาสตรงๆ ราวกับจะท้าทาย ใบหน้าเช่นนั้นทำให้คนที่เห็นนึกอยากกระชากอีกฝ่ายขึ้นมานั่งบนโต๊ะแล้วจูบแรงๆ ซะให้หายมันเขี้ยว
นับจากวันที่เขาได้กอดธีระจนสมอยาก เวลาก็ผ่านมาจนจะครบอีกสัปดาห์แล้ว เขารู้ว่าคนตรงหน้าพยายามหลบหลีกเขาในที่ทำงานตลอดเวลา พอถึงเวลาเลิกงานก็รีบหนีกลับก่อนที่เขาจะทันได้ออกมาตามแทบทุกวัน แต่เพราะเขาเห็นว่าวันธรรมดานั้นตัวเองก็ใช่จะมีเวลาเหลือเฟือสำหรับเกมวิ่งไล่จับจึงปล่อยไป
แต่ถึงอย่างไรพรุ่งนี้วันศุกร์ก็จะเวียนมาอีกครั้ง และเขาจะไม่ยอมให้เด็กนี่ได้กลับไปนอนพักผ่อนสบายๆ ที่หอแน่
"อยากไปออกกำลังมากกว่าไปกินข้าวกับฉันเหรอ?"
กฤตภาสถามพลางหมุนปากกาในมือไปด้วย ฝ่ายคนถูกถามเบ้ปากมากขึ้นนิดหนึ่ง
รู้อยู่แล้วยังจะมาถาม! มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่รึไง!
"พอดีผมสัญญากับพี่อาร์ทไปแล้วครับ อีกอย่างพี่กิฟท์กับพี่เจก็จะไป เงื่อนไขของคูปองคือต้องไปกันสี่คน"
"ถ้างั้นถึงเธอไม่ไปสักคน พวกนั้นก็ชวนคนอื่นได้ใช่ไหมล่ะ?"
"แต่ผมสัญญากับพี่อาร์ทไปแล้วครับ"
คำก็พี่อาร์ท สองคำก็พี่อาร์ท กฤตภาสเริ่มจะรำคาญชื่อของลูกน้องคนนี้มากขึ้นทุกที
"งั้นเธอคงไม่ลืมนะว่าเราก็มีสัญญาของเราเหมือนกัน"
กฤตภาสเอ่ยพลางเสียบปากกาในมือลงในกล่องเครื่องเขียน จากนั้นนัยน์ตาสีนิลก็มองไหล่ของเด็กหนุ่มที่เกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติด้วยแววตาสะท้อนความพอใจกับไพ่ในมือ
"คุณเคยสัญญากับผมแล้วนะว่าจะไม่ให้คนอื่นที่ออฟฟิศรู้"
ธีระเอ่ยเสียงลอดไรฟัน แต่กฤตภาสกลับกลอกตาแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเลื่อนหาอะไรบางอย่างบนหน้าจอ
"เหรอ ฉันชักจำไม่ได้แล้วสิว่าตอนนั้นพูดอะไรไปบ้าง แต่ที่แน่ๆ...รูปที่ฉันถ่ายไว้ตอนที่เธอ..."
"โอเค! ผมไปกินข้าวด้วยก็ได้! พอใจรึยัง!?"
ธีระหน้าแดงก่ำขณะลุกขึ้นตบมือทั้งสองข้างบนโต๊ะ เขาทนฟังกฤตภาสพูดให้จบไม่ได้เพราะมีแต่จะทำให้นึกไปถึงค่ำคืนแรกที่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสสร้างหลักฐานที่ได้ทำเรื่องแย่ๆ กับเขา แล้วก็ยิ่งโมโหขึ้นไปอีกเมื่อเห็นคู่สนทนาประสานมือบนโต๊ะพลางยิ้มมองเขาอย่างสมใจ
"งั้นเดี๋ยวตอนเย็นค่อยคุยกันว่าจะไปร้านไหนดี อย่าลืมเอาแบบนี่กลับไปให้พี่อาร์ทของเธอแก้ด้วยล่ะ"
เด็กหนุ่มเม้มปากแล้วก็คว้ากระดาษทั้งสามแผ่นมาไว้ในมือ ความจริงเขาอยากหยิบโทรศัพท์มือถือเจ้าปัญหานั่นมาเขวี้ยงทิ้งแต่ก็รู้ดีว่าเปล่าประโยชน์ เขาก้าวเร็วๆ ไปหยุดยืนหน้าประตูก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางพยายามเตือนตัวเองให้ทำสีหน้าเป็นปกติ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อยากให้พวกรุ่นพี่ระแคะระคายเด็ดขาดว่าความสัมพันธ์ของเด็กฝึกงานคนนี้กับกรรมการผู้จัดการมันก้าวกระโดดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“อ้อ...ตี้ ฉันเกือบลืมไป”
มือที่กำลังจะยื่นไปหมุนลูกบิดชะงัก เขาได้แต่ส่งเสียงถามด้วยความอดทนโดยไม่หันกลับไปด้านหลัง
“คุณกฤตยังมีอะไรอีกเหรอครับ?”
“ฝากบอกแม่บ้านให้ทีว่าช่วยชงกาแฟแก้วใหม่มาให้ฉันด้วย แก้วนี้มันเย็นแล้ว”
ธีระได้ฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนเส้นเลือดบนขมับเต้นตุบ กับอีเรื่องขี้ปะติ๋วแบบนี้ โทรสั่งเอาเองไม่ได้รึไง!?
เด็กหนุ่มหมุนลูกบิดประตูแล้วก็ก้าวออกไปอย่างเร็วด้วยความโมโห ขณะที่กฤตภาสมองบานประตูที่ปิดลงแล้วก็ได้แต่หัวเราะจนต้องกุมท้อง น่าเสียดายที่เมื่อครู่เขาไม่ได้เห็นว่าคนที่เพิ่งเดินออกไปมีสีหน้าแบบไหน แต่ก็พอจะเดาได้ไม่ยากหากนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่โดนกัดไหล่จนเป็นแผลเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา
ยิ่งยั่วก็ยิ่งสนุกจริงๆ...
กฤตภาสคิดขณะหยิบเอกสารบนโต๊ะมาเคาะให้เป็นระเบียบแล้ววางไว้บนมุมด้านหนึ่ง เขาต้องยอมรับว่านับตั้งแต่ได้เจอกับธีระก็มีแต่เรื่องให้คลายเครียดไม่หยุดจนแทบจะรอเวลาที่ได้อยู่กันสองคนไม่ไหว เพราะไม่ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไรก็จะได้รับปฏิกิริยาที่ไม่เคยเห็นจากคนอื่นที่เคยคบมาทั้งสิ้น และนั่นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาถูกใจเด็กคนนี้...มากพอจนไม่อยากให้มีอุปสรรคใดมาขัดขวางความสนุกในระยะเวลาสามเดือนที่ทำสัญญากันไว้
ชายหนุ่มได้แต่หวังกับตัวเองว่า จะไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายแทรกเข้ามาในระหว่างนี้จนทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดไปเสียก่อนก็แล้วกัน...
++---TBC---++
A/N: มาลงตอนใหม่ให้ก่อนจะเริ่มสัปดาห์ใหม่ เพราะเดี๋ยวเราจะหายไปทั้งสัปดาห์เพื่อปฏิบัติภารกิจนอกประเทศค่ะ จากเนื้อหาตอนนี้คงเดากันได้ว่าตากฤตกำลังสนุกกับการแกล้งน้องตี้สุดๆ มาช่วยกันภาวนาให้น้องไม่สติแตกเพราะตาลุงหื่นกันไปซะก่อนดีกว่าเนอะ 