เด็กหนุ่มออกวิ่งผ่านร้านค้าซึ่งอยู่บนชั้นเดียวกันแล้วก็รีบเลี้ยวลงบันไดเลื่อน เขาหันไปมองด้านหลังเป็นระยะราวกับกลัวว่าหนุ่มลูกครึ่งคนนั้นจะตามมา แต่หลังจากที่หนีมาจนถึงชั้นล่างสุด ผลักคนที่ขวางทางไปก็หลายคนจนได้หลบเข้าไปในห้องน้ำชาย เด็กหนุ่มก็หายใจหอบพร้อมกับตระหนักได้ว่าเขาไม่มีเหตุผลที่ต้องวิ่งหนีเลยสักนิดเดียว
ในห้องน้ำว่างโล่งเพราะใกล้จะถึงเวลาที่ห้างปิดทำการ ธีระจึงเดินอย่างกะปลกกะเปลี้ยไปเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างหน้า หลังจากเอาน้ำเย็นลูบหน้าแรงๆ หลายๆ ครั้งแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองกระจก ภาพที่เห็นมีแต่แววตาซึ่งเต็มไปด้วยความละอายและอดสูที่จ้องมองเขากลับมา
ทำไมเมื่อกี้ถึงได้คิดบ้าๆ ถึงขั้นจะแอบถ่ายรูปสองคนนั้นแล้วส่งไปให้พี่รงค์ได้นะ ถึงชีวิตคู่ของพวกเขาจะไปได้ดีหรือระหองระแหงก็ไม่ใช่ธุระกงการของเขาไม่ใช่หรือไง...อยากให้พี่รงค์มองว่าเราลดตัวลงไปกลายเป็นพวกโรคจิตหรือยังไงกัน...
ความคิดนั้นทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มหนาวยะเยือก ธีระยังจำได้ดีถึงวันที่ณรงค์นัดพบเพื่อปรับความเข้าใจให้ตรงกันเรื่องสถานะของพวกเขา ตอนนั้นเขาแอบหลบพวกเพื่อนๆ ออกไปพบอีกฝ่ายตามนัดเพราะไม่อยากให้มาก่อกวนณรงค์ และเนื่องจากว่าเขาร้องไห้ไปก่อนหน้านั้นเป็นอาทิตย์ตั้งแต่ตอนที่เห็นจดหมายซึ่งณรงค์เขียนทิ้งไว้ให้ในเช้าวันสุดท้ายที่ยังเป็น 'คนรัก' กัน เขาจึงไม่เหลือน้ำตาจะหลั่งยามที่ได้เห็นหน้าเจ้าตัวอีก
"ไม่มีอะไรที่พี่จะทำแล้วชดเชยความผิดให้กับตี้ได้เลยนอกจากเป็นพี่ชายที่ดีให้ แต่ว่าตี้ยังต้องเติบโตไปทำความรู้จักคนอื่นอีกมาก และพี่รู้ว่าน้องชายคนนี้เข้มแข็งพอที่จะเดินต่อไปได้ถึงแม้จะไม่มีพี่"
"พี่รงค์...ตอนที่คบกัน...มีสักแวบไหมที่พี่รงค์ไม่ได้มองว่าตี้เป็นแค่น้องชาย?"
เด็กหนุ่มถามด้วยเสียงแหบโหย ขณะที่คนถูกถามหลุบตาลงมองมือสองข้างที่ประสานกันอยู่บนโต๊ะครู่หนึ่ง
"...ถึงตอนนี้คำตอบของพี่ก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว พี่อยากให้ตี้มองไปถึงอนาคตข้างหน้ามากกว่า อนาคตที่ตี้มีโอกาสที่จะมีความสุขมากกว่าตอนนี้"ณรงค์ตอบก่อนจะยื่นมือมาลูบผมเขาเบาๆ และธีระก็รู้ดี...นั่นเป็นความอ่อนโยนที่มากที่สุดเท่าที่อีกฝ่ายจะมอบให้ได้ก่อนจากกัน จะไม่มีอ้อมกอด รอยจูบ หรือการกระทำที่มากกว่านั้นเพื่อปลอบโยนหลังจากถ้อยคำที่บอกชัดว่าชีวิตของพวกเขานับแต่นี้จะต่างคนต่างไป
ถึงแม้จะคิดว่าน้ำตาเหือดแห้งไปหมดแล้วตลอดหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ณรงค์จะนัดพบ แต่ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นจะสามารถเปิดทำนบน้ำตาของเขาให้ไหลทะลักอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเพียงหยาดน้ำที่ไหลพรากโดยที่ธีระไม่ฟูมฟายหรือกรีดร้องเลยสักแอะเดียว
รักครั้งแรกของเขาจบแล้ว...จบลงที่บทสรุปว่าเขาคืออุบัติเหตุซึ่งบังเอิญจับพลัดจับผลูเข้าไปขวางเส้นทางรักของคนอื่น สุดท้ายจึงต้องถูกดีดออกมาในฐานะที่เป็นส่วนเกิน
ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าศันสนีย์กับสุเมธรู้ได้อย่างไรว่าเขานัดคุยกับณรงค์ที่ไหน แต่หลังจากที่พวกเขาคุยกันเสร็จและแยกย้ายกันเรียบร้อย เพื่อนทั้งสองก็เดินเข้ามาหาเขาพลางจูงกลับไปที่รถของศันสนีย์ ก่อนที่ทั้งคู่จะโอบกอดและลูบหลังไหล่เขาที่ก้มหน้าร้องไห้จนตัวโยนด้วยความเข้าอกเข้าใจ ไม่มีคำปรามาศว่าเขาโง่หรือด่าทอณรงค์ให้ได้ยิน มีเพียงถ้อยคำให้กำลังใจและขอให้เขาระบายความอัดอั้นตันใจออกมาเสียให้พอ
แล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่ร้องไห้ให้ใครเห็นอีกเลย...
เด็กหนุ่มก้าวออกมานอกห้างสรรพสินค้าขณะที่พายุฝนกำลังซัดกระหน่ำ กระแสลมโบยตีจนกิ่งไม้ลู่ลมไปในทิศเดียวกัน เสียงน้ำฝนเม็ดใหญ่ๆ ที่ร่วงกระทบพื้นแข่งกับเสียงฟ้าร้องเบื้องบนจนดังเสียดแก้วหู แต่เขาไม่อาจกลับเข้าไปหลบฝนในห้างได้เพราะเป็นเวลาปิดทำการแล้ว แถวผู้โดยสารที่ต่างพยายามโบกเรียกรถแท็กซี่อย่างไร้ผลก็ทำให้เขารู้ว่าตนคงไม่อาจไปไหนได้ด้วยวิธีนั้นเช่นเดียวกัน
เด็กหนุ่มหยีตาขึ้นมองสายฟ้าที่แลบเป็นสายคดเคี้ยวก่อนจะตามมาด้วยเสียงกัมปนาท ไม่นานเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ชุ่มน้ำฝนจนเปียกไปถึงผิวกาย เขารู้ดีว่าเสื้อผ้าที่อยู่ในกระเป๋าเป้ก็คงเปียกโชกไปหมดแล้วแต่หาได้ใส่ใจ เพราะความหนาวเหน็บในยามนี้ดูจะเป็นยาชาที่ดีที่สุดให้แก่ใจที่บอบช้ำจากความทรงจำครั้งเก่าก่อน
จริงสิ...ต้องไปห้องคุณกฤต...
ความคิดนั้นผุดขึ้นในสมองอันมึนชาราวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งถูกกู้ได้สำเร็จ เด็กหนุ่มหันหนีจากแถวของผู้คนนับร้อยที่กำลังยืนเบียดเสียดริมถนนเพื่อแย่งรถแท็กซี่ จากนั้นก็ออกเดินไปบนฟุตบาทเพื่อมุ่งสู่สถานที่ที่เขารู้ดีว่าจะช่วยให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ได้ชะงัดที่สุด
++--------++
ป่านนี้แล้วยังไม่มา...ไปติดฝนอยู่ที่ไหนนะ...
กฤตภาสคิดขณะนั่งมองพายุฝนซึ่งโหมกระหน่ำอยู่ด้านนอกจากภายในห้องนั่งเล่น เขาไม่ได้เปิดไฟสักดวงเพราะจู่ๆ ก็นึกอยากซึมซับความงามในความพิโรธของธรรมชาติ หลังจากกลับมาถึงห้องจึงเพียงแค่อาบน้ำแล้วก็หยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาใส่ จากนั้นก็เทวิสกี้ใส่แก้วมานั่งดื่มพลางชื่นชมการแสดงแสงเสียงของท้องฟ้าไปเรื่อย
ชายหนุ่มไม่คิดจะโทรศัพท์ตามธีระ เขาเดาได้ว่าเด็กหนุ่มคงเจตนาจะเล่นแง่เพื่อไม่มาที่ห้อง หรือไม่เช่นนั้นก็รั้งเวลาเพื่อมาให้ดึกที่สุด และบังเอิญที่พายุฝนซึ่งเทเป็นฟ้ารั่วก็เหมาะที่ฝ่ายนั้นจะใช้เป็นข้ออ้างพอดี เพราะขนาดเขาเองยังต้องใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะขับรถกลับมาถึงคอนโด
มือใหญ่หยิบแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มก่อนจะหลับตาแล้วเอนพิงพนัก ความว้าวุ่นใจเมื่อช่วงบ่ายสงบลงหลังได้เจอเพื่อนซึ่งเป็นทนายความและมีเส้นสายที่จะช่วยให้เขาได้เงินค่าจ้างจากลูกค้าที่พยายามจะบิดพลิ้ว ถึงแม้ในการทำธุรกิจนั้นการรักษาหน้าของลูกค้าจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากลูกค้ารายนั้นเป็นลูกค้าชั้นเลว เขาก็มีวิธีจัดการในแบบของเขาเพื่อไม่ให้น้ำพักน้ำแรงที่ทุ่มไปต้องเสียเปล่าเช่นกัน
นัยน์ตาคมกริบปรือขึ้นเมื่อได้ยินเสียง 'ฟืด' เบาๆ เหมือนมีคนรูดคีย์การ์ดที่หน้าห้อง ตามมาด้วยเสียงเปิดและปิดบานประตู เขาได้ยินเสียงเฉอะแฉะจากรองเท้าชุ่มน้ำซึ่งถูกถอดออก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาในห้องโดยไม่เปิดไฟ
"ไม่กลัวเดินชนอะไรเข้าหรือไง? หรือไม่รู้ว่าสวิทช์ไฟอยู่ตรงไหน?"
กฤตภาสเอ่ยถามด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าปกติเพื่อให้ดังกว่าเสียงฝน เขาได้ยินเสียงคล้ายกับคนอุทานด้วยความตกใจจึงหันไปทางนั้น สายฟ้าซึ่งสว่างวาบขึ้นเผยให้ทั้งสองมองเห็นกันและกันได้อย่างชัดเจนวูบหนึ่ง
"ผมน่าจะถามคุณมากกว่าว่าทำไมไม่เปิดไฟ มานั่งทำอะไรอยู่ได้ในห้องมืดๆ"
เสียงของคนถามเหนื่อยอ่อนและดูเหมือนฟันจะสั่นกระทบกัน ซึ่งไม่น่าแปลกใจหากพิจารณาจากสภาพเปียกปอนที่กฤตภาสได้เห็นเมื่อครู่ เขาหมุนแก้วให้ความเย็นจากน้ำแข็งกระจายทั่วแล้วกระดกวิสกี้ขึ้นดื่มจนหมด
"นานๆ ทีฉันก็นึกครึ้มอยากมองฟ้าแลบฟ้าร้องไปตามเรื่อง เธอนั่นแหละทำไมตัวเปียกได้ขนาดนั้น หรืออยากรีบมาหาฉันจนไม่นั่งแท็กซี่เลยหรือไง?"
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวไปหาธีระ เนื่องจากเขานั่งในความมืดมานานพอสมควร สายตาจึงชินกับความมืดสลัวจนมองเห็นร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่กลางห้องนั่งเล่น เขาเดินเข้าไปแล้วก็ยกมือแนบบริเวณผิวแก้มเนียนลื่น และพบว่าสัมผัสที่ได้รับเย็นเฉียบจนเรียวคิ้วหนาขมวดมุ่น
ตัวเย็นขนาดนี้คงไม่ใช่ว่าเพิ่งจะตากฝนมาไม่นานแน่ เด็กคนนี้มาถึงนี่ด้วยวิธีไหนกัน
"เมื่อเย็นไปไหนมา?"
"ไปเดินเล่นในห้าง พอห้างปิดผมเลยออกมาก็เห็นว่าฝนตกหนักแล้ว จะเรียกแท็กซี่ก็คิวยาว เลยเดินฝ่าฝนไปลงรถไฟฟ้า แล้วก็โบกมอเตอร์ไซค์ให้มาส่งหน้าคอนโด"
ธีระตอบอย่างว่าง่ายผิดปกติ แต่กฤตภาสฟังแล้วกลับไม่สบอารมณ์ เพราะดูเหมือนคนพูดจะไม่ได้ตระหนักเลยว่าตัวเองทำเรื่องอันตรายเพียงใดที่นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ในสภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้
"ไปอาบน้ำซะ ฉันไม่อยากกอดคนเป็นหวัด"
กฤตภาสรู้ตั้งแต่เมื่อตอนเย็นแล้วว่าธีระไม่ค่อยสบาย แต่ก็ไม่ได้คาดว่าเด็กหนุ่มจะบ้าบิ่นถึงขั้นไม่ใส่ใจอาการของตัวเองแล้วตากฝนมาหา แต่พอจะเดินไปทางสวิทช์ไฟก็ชะงักเพราะถูกอ้อมแขนของคนตัวเล็กกว่ารั้งเอวไว้
ร่างสูงใหญ่หยุดการเคลื่อนไหวทันที ทุกครั้งจะมีแต่เขาที่เป็นฝ่ายเข้าหาและสัมผัสเด็กหนุ่มก่อนเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่ธีระเป็นฝ่ายเริ่ม ความแปลกใจทำให้กฤตภาสอึ้งไปอึดใจหนึ่ง
"เป็นอะไรไป?"
"อย่าเปิดไฟนะ"
คนพูดไถศีรษะไปมาบนแผ่นหลังเขาราวกับเด็กน้อยที่กำลังออดอ้อน แต่กฤตภาสรู้ว่าธีระไม่มีวันทำเช่นนี้กับเขาในสภาพอารมณ์ปกติแน่ จึงค่อยๆ ดึงอ้อมแขนที่โอบรอบเอวออกแล้วหมุนตัวกลับไปหา
"ทำไม?"
ฟ้าแลบปลาบอีกครั้ง เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าของธีระซึ่งกำลังเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเว้าวอน ภาพที่เห็นทำให้กฤตภาสขมวดคิ้วอีกครั้ง
"เธอ..."
ชายหนุ่มได้แปลกใจอีกคำรบเมื่ออ้อมแขนเย็นเฉียบโน้มลำคอเขาลงไปหา ขณะที่เจ้าตัวเขย่งเท้าขึ้นเพื่อจูบเขา สัมผัสของปลายลิ้นร้อนผ่าวซึ่งตัดกับริมฝีปากเย็นชืดเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ร่างลวงของภูตพรายที่มากับสายฝน
"อย่าเปิดไฟ...แล้วคืนนี้ผมจะให้ทุกอย่างที่คุณต้องการ ผมขอร้อง"
คำขออันไม่เป็นเหตุเป็นผลทำให้กฤตภาสตามความคิดของเด็กหนุ่มไม่ทัน แต่เมื่อธีระเริ่มสอดมือเข้ามาใต้เสื้อคลุมอาบน้ำของเขาแล้วลูบไล้ไปมา ขณะเดียวกันก็พรมจูบไปตามซอกคอและแผ่นอก เขาก็ไม่คิดจะสืบสาวราวเรื่องอีกว่าอะไรทำให้เด็กหนุ่มแปลกไปในคืนนี้
"แน่ใจนะว่าทุกอย่าง แม้กระทั่ง...."
กฤตภาสก้มลงกระซิบคำพูดที่เหลือข้างหูของเด็กหนุ่ม ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นปลดกระดุมบนเสื้อที่เปียกจนแนบเนื้อตัวให้ เขาได้ยินเสียงลมหายใจที่ติดขัดของอีกฝ่ายหลังจากเอ่ยคำขอของตัวเองจบ แต่แล้วก็เห็นศีรษะที่ผงกให้ในความสลัว
"ได้...ขอแค่อย่าเปิดไฟก็พอแล้ว"
เสียงนั้นเบาและแหบพร่า กฤตภาสจึงแค่นยิ้มพลางถอดเสื้อผ้าที่เปียกโชกของธีระออกจนร่างกายที่เย็นเฉียบเปลือยเปล่า จากนั้นก็ช้อนตัวเด็กหนุ่มขึ้นอุ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องนอน ธีระเบียดตัวเข้าหาเขาพร้อมกับยกสองแขนขึ้นมาโอบรอบคอราวกับจะขอแบ่งปันไออุ่น ท่าทางออดอ้อนนั้นทำให้กฤตภาสนึกเอ็นดูจนก้มลงไปแนบริมฝีปากบนเรือนผมที่เปียกชื้นทีหนึ่ง สายฟ้าภายนอกที่วาบขึ้นเป็นระยะสั้นๆ เผยให้เขาเห็นนัยน์ตากลมโตบนใบหน้าเนียนที่กำลังหลุบต่ำ
กฤตภาสวางเด็กหนุ่มบนเตียงก่อนจะขยับขึ้นนั่งแล้วเอนหลังพิงหมอน เขารั้งท้ายทอยธีระเข้ามาจูบพร้อมกับใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปทั่วเพื่อให้ผิวกายที่เย็นชืดอบอุ่นขึ้น กระทั่งเริ่มรับรู้ได้ว่าคนในอ้อมแขนไม่หนาวสั่นเหมือนตอนแรกที่เข้ามาในห้องแล้ว ชายหนุ่มจึงค่อยๆ ดันไหล่ของเด็กหนุ่มที่นั่งคร่อมบนตักให้ถอยต่ำลงพลางแยกขาออกกว้าง
ลมหายใจซึ่งร้อนผ่าวและหนักหน่วงเป่ารดบนหน้าท้องของเขา ก่อนที่ปลายนิ้วเรียวจะค่อยช้อนความเป็นชายของเขาขึ้นและลูบไล้ไปมา จากนั้นสัมผัสอุ่นชื้นก็ตวัดไล้บนส่วนปลายก่อนที่โพรงปากอุ่นจะค่อยๆ ดูดกลืนความแข็งแกร่งเมื่อธีระขยับศีรษะขึ้นลงเป็นจังหวะ
กฤตภาสแหงนหน้าขึ้นหลับตาพลางดื่มด่ำกับกามารมณ์ที่เด็กหนุ่มมอบให้ ลมหายใจของเขากระชั้นถี่ขณะสอดมือข้างหนึ่งเข้าในเรือนผมหมาดชื้นของคนที่กำลังปรนเปรอเพศรสให้ตามที่ถูกขอ จนเมื่อธีระเร่งจังหวะเร็วและรับแก่นกายของเขาเข้าในช่องปากมากขึ้น สายฟ้าที่แลบเป็นช่วงก็ทำให้กฤตภาสได้เห็นภาพของเด็กหนุ่มที่กำลังก้มหัวปรนนิบัติแก่นกายของเขาจนอารมณ์ดิบพุ่งทะยานเกินจะทนไหว
มือใหญ่รั้งศีรษะธีระให้อยู่กับที่ขณะบังคับให้ดูดกลืนไอรักของเขาให้หมด กระทั่งรับรู้ได้ว่าไม่หลือหยาดหยดตกค้างอีกแล้วจึงค่อยผ่อนแรงที่กดคออีกฝ่ายไว้ เขามองเด็กหนุ่มลุกจากเตียงแล้วเดินหายไปในห้องน้ำพลางฟังเสียงเปิดก๊อกและบ้วนปากโดยไม่ได้ลุกตามไป กระทั่งเมื่ออีกฝ่ายเดินกลับมานั่งบนเตียง เขาจึงค่อยดันร่างเพรียวสมส่วนให้เอนหงายก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าทาบทับบ้าง เขาไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มจงใจหรือไม่ แต่ท่วงท่าเร่าร้อนที่เจ้าตัวแสดงออกยามถูกล่วงล้ำก็ราวกับคำเชิญชวนให้เขาตักตวงความสุขได้ตามใจจนกว่าจะอิ่มหนำ และกฤตภาสก็พร้อมจะให้ตามที่ขอในเมื่อเขาทนอึดอัดยามค่ำคืนเพื่อรอวันนี้มาตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ
เขาไม่รู้หรอกว่าคืนนี้ธีระแปลกไปเพราะอะไร ในเมื่อการยอมตามใจอีกฝ่ายจะทำให้เขาได้กำไรขนาดนี้ เรื่องสาเหตุอะไรนั่นค่อยไปสืบหาเอาภายหลังก็ยังไม่สาย...
++---TBC---++
A/N: ตอนนี้ใครที่คิดถึงณรงค์กับไรอันจาก ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก คงได้กรี๊ดกันที่ได้เห็นสองคนนี้โผล่มากันคนละแว้บ (รวมถึงตาเจมส์อีกคน) ส่วนใครที่ไม่ชอบณรงค์ตั้งแต่เรื่องก่อน คาดว่ามาอ่านตอนนี้คงยิ่งรังเกียจเฮียเข้าไปใหญ่ (เขาก็เอาแต่ใจเพราะพิษรักจากไรอันล่ะนะ เอิ๊ก) จากตอนนี้ก็จะเข้าสู่จุดเปลี่ยนในความสัมพันธ์ของตากฤตกับน้องตี้แล้วล่ะค่ะ มีซีนอารมณ์ที่เขียนไปต้องถอนหายใจเฮือกๆ ตามเลยทีเดียว ใน "แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก" นึกว่าน้องภัทรเจ็บแล้วที่โดนทิ้ง แต่ตอนนี้รู้สึกว่าน้องตี้จะขึ้นแท่นนายเอกสุดโศกอันดับหนึ่งของเราไปแล้วนะนี่ ยังไงฝากตามให้กำลังใจน้องตี้กันต่อไปนะคะ ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ในตอนก่อนและสำหรับตอนนี้ด้วยค่ะ
