เล่ห์ลวงใจ บทที่ 18เสียงที่ดังใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้ธีระยิ่งลนลาน ถ้าขืนแม่มาเห็นสภาพตอนนี้เขาคงอยากผูกคอตายแน่
"ตี้อยู่บนห้องเหรอลูก? ทำไมทิ้งหลานไว้คนเดียวล่ะ? แล้วทำไมพื้นมันเฉอะแฉะแบบนี้เนี่ย?"
"แป๊บนึงแม่! พอดีตี้ออกไปตากฝนตัวเปียกเลยขึ้นมาเปลี่ยนชุด เดี๋ยวจะลงไปข้างล่างเดี๋ยวนี้แหละ!"
พอตะโกนไปแล้วเขาก็ใจเต้นโครมคราม กระทั่งมั่นใจว่าได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินลงไปแล้วจึงค่อยระบายลมหายใจยาวออกมา พลันอาการสั่นของคนด้านหลังก็ทำให้หันไปถลึงตาใส่
"หัวเราะอะไร!? นี่มันความผิดคุณทั้งนั้นเลยนะ!"
ใบหน้าที่แดงก่ำของเด็กหนุ่มยิ่งทำให้กฤตภาสอยากจะหัวเราะให้เต็มเสียง เขากดจมูกลงบนแก้มที่ซ่านสีเลือดฝาดเร็วๆ แล้วก็กระซิบเสียงเบา
"เธอลงไปแก้ตัวกับแม่ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะตามไป"
ธีระเกือบจะสำลักน้ำลายจากน้ำเสียงชวนจั๊กจี้ข้างหู แต่เมื่อเหลือบตาลงเห็นแผงอกเปลือยตรงหน้าก็นึกได้ว่าเสื้อผ้าที่ตั้งใจจะเอาให้กฤตภาสเปลี่ยนนั้นถูกทิ้งไว้ข้างล่าง จึงรีบลุกออกจากห้องแล้วเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้าในห้องของพ่อกับแม่ จากนั้นก็เดินกลับไปหาคนที่นั่งเลิกคิ้วมองเขาอยู่บนเตียง
"เสื้อกับกางเกงของพ่อผม อาจจะหลวมหน่อยแต่คุณน่าจะใส่ได้ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วคุณก็อยู่ในนี้แหละ"
ธีระไม่รอฟังคำโต้แย้งใดๆ ก็รีบผลุนผลันออกจากห้อง กฤตภาสมองประตูที่ปิดลงแล้วก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนเจ้าของห้องจะจงใจขังเขาไว้ในนี้จนกว่าจะหาโอกาสให้แอบออกจากบ้านได้โดยที่แม่ไม่รู้กระมัง
ช่างเถอะ ยังไงเขาก็อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว จะไม่ยอมกลับไปโดยที่ยังไม่บรรลุเป้าหมายหรอก
กฤตภาสยิ้มเย็นขณะหันไปคลี่เสื้อผ้าที่ธีระนำมาให้ จากนั้นก็ลุกขึ้นถอดกางเกงเปียกชื้นบนตัวแล้วสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างเก่าแต่แห้งสะอาดอย่างไม่รีบร้อน
++------++
ธีระรีบวิ่งลงมาชั้นล่างโดยพยายามไม่เหยียบหยดน้ำบนบันได เมื่อเข้าไปในครัวก็เห็นมารดากำลังเทอาหารจากถุงใส่จาน ผู้สูงวัยได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้
"อ้าว มาๆ แม่ได้แกงคั่วหอยขม ผัดกุ้ยช่ายแล้วก็หมูยอทอดมา ยังร้อนๆ อยู่เลย เดี๋ยวรออุ่นข้าวแป๊บก็กินได้แล้ว"
"โอเคครับ งั้นเดี๋ยวตี้ไปเช็ดน้ำบนพื้นก่อนนะ"
เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจที่มารดาไม่ระแคะระคายข้ออ้างของเขาเลยสักนิด หลังจากหยิบไม้ถูพื้นแล้วเขาก็เดินเข้าไปถูพื้นห้องนั่งเล่นก่อนจะเดินไปต่อที่บันได เขาใช้ไม้ถูพื้นซับรอยน้ำไปเรื่อยจนกระทั่งถึงหน้าประตูห้องนอน จากนั้นก็ยืนเท้าเอวอย่างใช้ความคิด
คุณกฤตจะหิวรึเปล่านะ นี่มันก็บ่ายโมงกว่าเข้าไปแล้วด้วย แต่ถ้าเรียกให้ลงไปกินข้าวก็ต้องหาข้ออ้างกับแม่อีกน่ะสิ ถ้างั้นก็ปล่อยให้ทนหิวไปแล้วกัน จะแสบกระเพาะจนทนไม่ไหวก็ช่างปะไร...ไม่มีใครขอให้มานี่นา
ธีระคิดอย่างขวางๆ แล้วก็เดินกลับลงไปชั้นล่าง หลังซักไม้ถูพื้นและล้างมือเสร็จแล้วก็เดินเข้าไปในห้องครัว แม่ของเขากำลังคดข้าวใส่จานอยู่พอดี พอหันมาเห็นลูกชายกำลังเทน้ำดื่มก็ถามอย่างสงสัย
"นี่ แล้วเจ้านายของตี้อยู่ไหนล่ะลูก? เมื่อเช้าเขาโทรบอกแม่ว่าจะมาเยี่ยมตี้ที่บ้านนี่นา ตอนแม่กลับมาเมื่อกี้ก็เห็นรถใครไม่รู้จอดอยู่หน้ารั้ว ไม่ใช่รถพี่เขาหรอกเหรอ?"
เด็กหนุ่มแทบจะพ่นน้ำที่เพิ่งดื่มออกจากปาก แต่ถึงจะกลั้นไว้ทันก็ยังสำลักจนไอโขลก อึดใจใหญ่กว่าเขาจะสูดหายใจเข้าปอดพอจะเค้นคำถามอออกมาได้
"คุณกฤต...โทรหาแม่?"
"ใช่ เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาก็โทรมาถามอาการตี้ครั้งนึงแล้วแต่แม่คงลืมบอก เมื่อเช้านี้ก็โทรมาถามทางตอนแม่ติดฝนอยู่ที่วัด แม่เลยบอกให้มาได้เลยเพราะว่าตี้อยู่บ้าน”
ธีระไม่รู้จะนับเป็นโชคดีหรือร้ายที่ไม่ต้องแต่งเรื่องมากลบเกลื่อนรถของกฤตภาสที่จอดอยู่หน้ารั้ว แต่ที่แน่ๆ เขาไม่ได้คาดคิดว่าฝ่ายนั้นจะเคยพูดคุยกับมารดามาก่อน ขณะที่กำลังคิดว่าจะหาทางออกอย่างไรดีเพื่อไม่ให้อิหลักอิเหลื่อ เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้เด็กหนุ่มนิ่วหน้า
"อ้าว สวัสดีครับคุณแม่ ขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวนถึงบ้าน"
"โอ๊ะ! คุณกฤตเหรอคะ? ไม่รบกวนหรอกค่ะพ่อคุณ อุตส่าห์ขับรถตั้งไกลมาเยี่ยมน้องตี้ทั้งที่ฝนตกหนัก ว่าแต่เสื้อผ้านั่น..."
มารดาของธีระเลิกคิ้วมองเครื่องแต่งกายของกฤตภาสด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มจึงก้มลงมองเสื้อยืดคอกลมที่เก่าจนเป็นสีขาวมอๆ กับกางเกงแพรที่ครั้งหนึ่งคงเคยสีสดแล้วก็ยิ้ม จากนั้นก็ตบหลังธีระเบาๆ จนเด็กหนุ่มแทบสะดุ้ง
"อ๋อ พอดีว่าในรถผมไม่มีร่ม ตอนที่ลงจากรถมากดกริ่งที่หน้ารั้วเลยตัวเปียก น้องตี้ก็เลยเอาเสื้อผ้าให้ผมเปลี่ยนน่ะครับ"
ธีระยิ่งฟังก็ยิ่งคิ้วมุ่นเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น น้องตี้...น้องตี้งั้นเหรอ? ฮึ! ทำมาเรียกชื่อเลียนแบบแม่เขา จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ชัดๆ!
ธีระมองกฤตภาสที่เดินไปช่วยมารดาจัดจานข้าวบนโต๊ะแล้วก็เบ้ปาก เอาเลย อยากจะเรียกคะแนนก็เชิญตามสบาย ถ้าเขาไม่กลับไปเสียอย่างจะทำไม? อยากรู้นักว่าคิดว่าตัวเองมาถึงบ้านแล้วจะบังคับเขาได้งั้นรึ!?
เด็กหนุ่มเริ่มทานอาหารทันทีที่ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะ เขาจงใจไม่พูดไม่เสริมอะไรทั้งสิ้นยามที่มารดาถามกฤตภาสเรื่องของเขาเวลาไปฝึกงาน กระนั้นก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ที่ทั้งสองพูดคุยกันถูกคอ เพราะว่าเขาชินกับกฤตภาสที่มักประหยัดถ้อยคำเวลาอยู่ที่บริษัทมากกว่า
"เหรอคะ ตายแล้ว ดูงานหนักเหมือนกันนะพวกทำอิเว้นท์นี่ แม่เองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพรรค์นี้ด้วยสิ"
"คนทำงานอิเว้นท์ต้องปรับตัวเก่งแล้วก็มีความอดทนสูงครับ ก็เลยมีคนที่เข้าๆ ออกๆ บ่อย ถ้าช่วงไหนสต๊าฟไม่พอแต่มีงานใหญ่ก็เหนื่อยกันน่าดู เวลาที่ได้คนเก่งๆ มาเราก็เลยอยากรักษาไว้ ถึงจะเป็นเด็กฝึกงานก็เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้เท่ากัน"
หญิงวัยกลางคนทำหน้าทึ่งเมื่อกฤตภาสเล่าให้ฟังเกี่ยวกับปัญหาที่มักพบเวลาจัดงาน ฝ่ายธีระได้แต่คิดในใจว่าจะหาทางไล่กฤตภาสกลับอย่างไรถึงจะไม่น่าเกลียด เพราะยิ่งเห็นทั้งสองคนสนิทสนมกันมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งใจไม่ดีเท่านั้น
"ฮื้ม...จะว่าไปตี้ก็ไม่ค่อยเล่าเรื่องที่ไปฝึกงานให้แม่ฟังเลยนี่ลูก จำได้ว่ามีพูดถึงบ้างตอนที่ไปเริ่มฝึกวันแรกๆ เท่านั้นเอง"
บทสนทนาที่ถูกเบนความสนใจมาทางเขาทำให้ธีระยิ้มเจื่อน เขามองสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของมารดาแล้วก็ตอบเสียงอ้อมแอ้ม
"ก็...โอเคน่ะแม่"
ธีระชั่งใจว่าจะถือโอกาสออกตัวไปเลยว่าตนไม่เหมาะกับงานแบบนี้ดีไหม แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดช้าไปหรือกฤตภาสเดาทางไว้แล้ว เพราะจู่ๆ ชายหนุ่มก็โพล่งขึ้นมา
"อย่างตี้น่ะจัดว่ามีความรับผิดชอบแล้วก็ทักษะดีเกินวัย ยิ่งตอนนี้เลขาฯ ผมกำลังจะลาคลอด เขาก็เลยมาเสนอกับผมว่าน่าจะให้ตี้ช่วยทำหน้าที่นี้ชั่วคราว ผมเองก็เห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสดีให้เขาได้ทดลองทำอะไรที่หลากหลายขึ้นก่อนจะเปิดเทอมเหมือนกัน"
แน่นอนว่าธีระคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาอ้าปากค้างมองกฤตภาสที่ยังคงยิ้มแย้มกับมารดาราวกับเขาไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะ
"เลขาฯ เหรอคะคุณกฤต แต่น้องตี้เป็นผู้ชายนะ"
น้ำเสียงของผู้สูงวัยถามอย่างเป็นกังวล แต่กฤตภาสรู้ว่าอีกฝ่ายนึกถึงภาพลักษณ์เช่นไรอยู่จึงตอบอย่างคล่องปาก "ถึงจะเรียกว่าเลขาฯ แต่หน้าที่จริงๆ ก็คือผู้ช่วยประสานงานมากกว่าครับ พอดีว่าตอนนี้เรารับคนใหม่ไม่ทัน ผมก็เลยกะว่าจะให้ตี้มาช่วยรับงานตรงนี้ไปก่อน แล้วก็จะจ่ายเงินเดือนตอบแทนด้วยเพราะต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้น"
"อืม...ถ้าแบบนั้นก็ดีเหมือนกันนะลูก ตี้จะได้ไม่ต้องคอยโทรมาขอให้แม่โอนเงินเพิ่มให้ไง"
"แม่! ช่วงหลังตี้ก็ไม่ค่อยโทรมาขอเงินเพิ่มแล้วซักหน่อย!"
ธีระหน้าร้อนซู่เมื่อคนใกล้ตัวเอาความลับมาเผยอย่างไม่เกรงใจ จริงอยู่ที่เมื่อก่อนเขาชักหน้าไม่ถึงหลังบ่อยๆ เพราะชอบออกไปเที่ยวเตร่กลางคืน แต่หลายเดือนมานี้เขาอุตส่าห์หยุดเที่ยวจนแทบไม่ต้องขอเงินเพิ่มแล้วแท้ๆ
กฤตภาสฟังแล้วก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น บนมุมปากเหน็บยิ้มแบบที่ทำให้เด็กหนุ่มแก้มร้อนผ่าวเมื่อได้เห็น แต่แล้วก็ต้องแปลกใจกับประโยคที่ได้ยินถัดมา
"พวกที่บริษัทชอบตี้กันทุกคนเพราะเป็นเด็กที่มนุษยสัมพันธ์ดี ผมเองก็คิดว่าถ้าได้คนแบบนี้มาคอยอยู่ข้างๆ ก็ดีเหมือนกัน"
ธีระหัวใจกระตุกเมื่ออีกฝ่ายมองตรงมาที่เขาขณะเอ่ยประโยคนั้น พลันเด็กหนุ่มก็ตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงร้องจากห้องนั่งเล่น
"ตายจริง สงสัยน้องฟลุ๊คตื่นแล้ว"
"เดี๋ยวตี้ไปดูเองแม่ คงจะหิวนมล่ะมั้ง"
เด็กหนุ่มเอ่ยพลางรีบลุกจากโต๊ะกินข้าว เขายกมือขึ้นทาบบนอกข้างซ้ายที่จู่ๆ ก็รู้สึกแน่นขึ้นมา แล้วก็ได้แต่พยายามเตือนตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่
อย่าเผลอใจอ่อนเชียวนะตี้ ลืมแล้วเหรอว่าคุณกฤตก็แค่ยังไม่หมดสนุกกับเราก็เท่านั้น...
กฤตภาสยกแก้วน้ำขึ้นดื่มขณะมองตามธีระจนเดินออกไปพ้นห้องครัว เขาเบนสายตามาทางผู้ร่วมโต๊ะอีกคนที่เหลือเมื่อได้ยินเสียงเปรยๆ
"น้องตี้น่ะเป็นเด็กโกรธง่ายหายเร็ว เวลารู้สึกอะไรก็แสดงออกตรงๆ บางทีก็เอาแต่ใจบ้างเพราะพ่อกับแม่โอ๋เขามาก แม่ก็ไม่รู้หรอกนะคุณกฤตว่าเขามีปัญหาอะไรกับที่ทำงานหรือเปล่าถึงไม่ค่อยมาเล่าให้ฟัง แต่ถ้าได้เห็นเขาเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาตัวเองได้เร็วๆ ก็ดีใจ เพราะพ่อกับแม่มีเขาตอนอายุมากแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่กับน้องตี้ไปได้อีกนานแค่ไหน"
หญิงสูงวัยยิ้มให้กฤตภาสก่อนจะลุกขึ้นเก็บจานชามมาซ้อนกัน คำพูดที่ถ่ายทอดมาอย่างซื่อตรงนั้นคงไม่ได้ตั้งใจจะแฝงความหมายลึกซึ้ง ทว่านัยน์ตาของอีกฝ่ายยามสบตากับเขาก็ทำให้กฤตภาสนึกละอายใจขึ้นมาวูบหนึ่ง
ทั้งๆ ที่คำว่าละอายใจ...ไม่เคยปรากฏในสารบบของเขาตั้งแต่เกิดมาด้วยซ้ำ
"ให้ผมช่วยล้างจานมั้ยครับ?"
"อ๋อ ไม่ต้องหรอกค่ะคุณกฤต ไปคุยเล่นกับน้องตี้เถอะค่ะ เดี๋ยวแม่จัดการในครัวเอง ต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อยอีก"
กฤตภาสพยักหน้าพลางช่วยยกจานชามที่เหลือไปวางในอ่าง หลังจากล้างมือแล้วก็เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น แต่พอไม่เห็นธีระกับหลานก็เลยลองเดินไปดูที่หน้าบ้าน และพบว่าเด็กหนุ่มกำลังนั่งป้อนนมหลานชายอยู่บนเก้าอี้ชิงช้าซึ่งปลอดภัยจากสายฝนเพราะอยู่ใต้ชายคา อากาศโดยรอบค่อนข้างเย็นหลังจากที่ฝนขาดเม็ดไปแล้ว เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากเก้าอี้เบาๆ ยามที่เด็กหนุ่มเหยียดขาออกยันพื้น
"ไม่กลัวหลานเป็นหวัดรึไง พาออกมานั่งตากลมอย่างนี้?"
กฤตภาสถามขณะถือวิสาสะสวมรองเท้าแตะของใครก็ไม่รู้แล้วเดินเข้าไปหา ฝ่ายธีระเพียงแต่ยักไหล่โดยไม่ตอบ กระนั้นชายหนุ่มก็เห็นว่าอีกฝ่ายกระชับผ้าห่มรอบร่างเล็กในอ้อมแขนมากขึ้น
แม้จะไม่อยากมองหรือรับรู้การมีตัวตน แต่ธีระก็ต้องเหลือบตาไปทางคนข้างๆ อย่างเสียไม่ได้เมื่อกฤตภาสหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน ครั้นจะลุกหนีก็ชอบกลในเมื่อนี่มันอาณาบริเวณของบ้านเขาแท้ๆ สุดท้ายเลยได้แต่เขยิบตัวไปจนชิดพนักวางมืออีกด้าน ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มระยะห่างได้สักเท่าไหร่
ความเงียบดำเนินไปโดยมีเสียงพ่อหนูน้อยดูดนมดังจ๊วบๆ คั่นเป็นระยะ ครู่หนึ่งธีระจึงค่อยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
"พี่วีร์ลาคลอดไปแล้วเหรอครับ?"
"อืม เขาบอกว่าจะแวะเข้ามาสอนงานให้ตอนที่เธอกลับจากลาป่วยแล้ว เพราะยังไงงานเลขาฯ ก็จุกจิกกว่าการช่วยทำอิเว้นท์เฉยๆ ถ้าไม่แนะนำอะไรไว้เลยจะลำบาก"
ธีระหันไปมองกฤตภาสตรงๆ เป็นครั้งแรก แววตากลมโตฉายแววประหลาดใจขณะที่คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน "คุณหมายความว่าพี่วีร์เสนอชื่อผมให้ช่วยทำหน้าที่เลขาฯ จริงๆ?"
"แน่นอนสิ งานผู้ช่วยฉันน่ะไม่ใช่ว่าจู่ๆ ก็จับใครมาทำได้นะ อีกอย่างคนอื่นก็มีงานล้นมืออยู่แล้ว คนที่เหมาะก็เหลือเธอคนเดียวนี่แหละ"
กฤตภาสปดหน้าตาย ความจริงแล้ววีณาไม่เคยเสนอว่าน่าจะให้ธีระทำหน้าที่นี้ในเมื่อจะให้ใครที่บริษัทรับทำไปก่อนก็ได้ แต่เขาก็บอกหญิงสาวไปว่าไหนๆ การให้เด็กฝึกงานมาเป็นผู้ช่วยชั่วคราวก็ดีกว่าไปกระทบงานของพนักงานคนอื่น วีณาจึงเห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
เด็กหนุ่มเงียบไปพลางใช้ความคิด ความจริงแล้วเขาสนุกกับงานและสภาพแวดล้อมที่บริษัทมาก รุ่นพี่ก็นิสัยดีกันทุกคน แต่ละวันผ่านไปโดยที่มีอะไรให้ฝึกทำและเรียนรู้ตลอด ปัญหาเดียวที่ทำให้เขายังตะขิดตะขวงใจที่จะกลับไป...ก็คือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คนนี้
"ผมก็ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องกลับไปอยู่ดี ต่อให้พี่วีร์บอกคุณอย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องทำตามสักหน่อย ปัญหาเรื่องการจัดสรรพนักงานมันหน้าที่ของฝ่ายบุคคลต่างหาก"
ธีระนึกภูมิใจที่สามารถตอกกลับจนกฤตภาสเงียบได้ ถึงเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจระบบการทำงานของบริษัทดีนักก็ไม่ถึงกับไร้เดียงสา จะมาชวนให้เขากลับไปทำงานเหรอ? หึ...เก็บคำพูดพวกนี้ไว้ไปหลอกเด็กที่อื่นเถอะ!
"แม่เธอจะนึกยังไงน้าถ้าเห็นรูปที่ฉันเคยถ่ายไว้"
น้ำเสียงราบเรียบของกฤตภาสทำให้เด็กหนุ่มเกร็งไหล่ขึ้นมาทันควัน ความสงบสุขตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เขาลืมเรื่องน่าอับอายที่เคยเกิดขึ้นเสียสนิท เขานึกว่าการที่ปลีกตัวออกมาคงทำให้อีกฝ่ายเบื่อที่เขาไม่ได้อย่างใจ แล้วก็กลับไปหาสาวๆ ที่เคยคบกันมาแทนแล้วเสียอีก
นี่เขาจะไม่สามารถก้าวข้ามการเป็นแค่เครื่องมือบำเรอความสุขได้เลยหรือไง?
"เอะอะก็ขู่ พอโดนขัดใจก็อ้างเรื่องรูป ทำไมถึงไม่คิดบ้างว่าเพราะอะไรผมถึงไม่อยากกลับไปกับคุณ?"
ธีระเอ่ยแล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ร่างผอมเพรียวอุ้มหลานชายตัวน้อยแล้วก็เดินเข้าไปในบ้าน กฤตภาสอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อยรู้สึกตัวแล้วเดินตามเข้าไป แต่กลับพบว่าพ่อหนูน้อยนอนหลับอยู่ในเปลคนเดียวโดยไร้เงาของน้าชายในห้องนั่งเล่น
"อ้าว? น้องตี้ละคะคุณกฤต?"
มารดาของธีระเอ่ยถามเมื่อเดินออกมาจากครัวแล้วไม่เห็นลูกชาย ชายหนุ่มจึงพยายามนึกหาข้ออ้างเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายระแคะระคายว่าพวกเขากำลังมีเรื่องผิดใจกัน
"เห็นว่าเวียนหัวก็เลยขอขึ้นไปนอนน่ะครับ เดี๋ยวผมขอขึ้นไปลาแป๊บนึงนะครับ"
"อะไรกัน? ไม่อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันเหรอคะ แม่ว่าจะออกไปซื้อของที่ตลาดเพิ่มอยู่พอดีเลย"
"พอดีมีธุระต้องไปต่อน่ะครับ ไว้ถ้ามีโอกาสจะมาเยี่ยมอีกก็แล้วกัน ขอบคุณมากนะครับคุณแม่"
กฤตภาสยิ้มให้ก่อนจะเดินขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน เมื่อผลักประตูห้องที่ไม่ได้ล็อกเข้าไปก็เห็นธีระนอนหันหลังอยู่บนเตียง
ร่างสูงใหญ่งับประตูปิด เขาไม่ได้ทำเสียงดังแต่ก็มั่นใจว่าคนบนเตียงรับรู้ว่าเขาเข้ามาในห้อง เพราะเด็กหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเหมือนไม่อยากรับรู้การมีตัวตนของเขา
ตั้งแต่เกิดมาเขาเคยต้องเปลืองแรงทำเรื่องแบบนี้นอกจากเวลาทวงเงินจากลูกค้าบ้างไหมนะ
ชายหนุ่มคิดทั้งที่รู้คำตอบดี เขาไม่เคยถูกใจใครถึงขนาดต้องใช้ลูกเล่นมาตะล่อมมากขนาดนี้มาก่อน ถึงแม้ประโยคที่ธีระเอ่ยเมื่อครู่จะทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้บ้าง แต่จะให้ปล่อยเจ้าตัวไปเฉยๆ เอาป่านนี้ก็สายเกินไปแล้ว
"อย่ามายุ่ง"
ธีระเอ่ยเมื่อรับรู้ว่าเตียงอีกด้านยวบลง แล้วก็เกือบจะร้องโวยวายเมื่อกฤตภาสรวบตัวเขาขึ้นไปนั่งบนตักทั้งที่ยังคลุมโปง เด็กหนุ่มทำตาโตเมื่อร่างสูงใหญ่ก้มลงมาหา เขารีบหลับตาปี๋แล้วเม้มปากแน่นเมื่อรู้ว่ากำลังจะถูกฉวยโอกาสเหมือนทุกที แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อกฤตภาสไม่ได้ใช้กำลังบังคับให้เผยอริมฝีปาก เพียงแค่แตะจูบลงมาซ้ำๆ อย่างแผ่วเบาเท่านั้น
ความอ่อนโยนอันแปลกใหม่ทำให้ธีระมึนงง กระทั่งอ้อมแขนที่กอดเขาก็สร้างความประหลาดใจเมื่อมือใหญ่ลูบแผ่นหลังให้ราวกำลังปลอบประโลม ความจั๊กจี้จากไรเคราที่เสียดสีบนหน้าทำให้เขาเผลอครางออกมา และกฤตภาสเพียงแค่แหย่ปลายลิ้นเข้ามาทักทายปลายลิ้นของเขาโดยไม่อ้อยอิ่งดูดซับความหวานเสียด้วยซ้ำ
ธีระหายใจหอบเมื่อริมฝีปากได้เป็นอิสระหลังผ่านไปอึดใจใหญ่ นัยน์ตากลมโตกะพริบถี่ขณะมองสบนัยน์ตาสีนิลเข้มในระยะประชิด หัวใจของเขาเต้นรัวกับรสสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย เพราะแม้แต่ตอนที่คบกับณรงค์...เขาก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างหยอกเย้าเช่นนี้เลยสักครั้ง
"เรามาทำข้อตกลงกันใหม่ ดีมั้ย?"
ธีระมุ่นคิ้ว ความหวามไหวในอกเริ่มเจือจางขณะทวนคำอย่างไม่แน่ใจ
"ทำข้อตกลงกันใหม่?"
"ฉันจะลบรูปกับคลิปที่เคยถ่ายไว้ทิ้งก็ได้ แต่ว่าต้องมีเงื่อนไข"
นั่นไง...แค่เริ่มต้นก็ฟังไม่เข้าทีแล้ว ทำไมเขาถึงเผลอคิดไปว่าคนแบบนี้จะมีหัวจิตหัวใจขึ้นมาได้นะ
ความคิดของธีระสะดุดลงเมื่อพบว่าความรู้สึกที่ผุดขึ้นกลางอกตอนนี้ช่างคล้ายกับความน้อยใจ แต่ทำไมเขาจะต้องรู้สึกแบบนั้นด้วยล่ะ นี่เขาคาดหวังอะไรจากผู้ชายคนนี้ด้วยหรือไงกัน?
กฤตภาสสังเกตเห็นคนในอ้อมแขนทำหน้ามุ่ย จึงเชยคางเพื่อให้สบตากับเขาพลางอธิบายอย่างใจเย็น
"ฟังให้ดีๆ นะ ฉันจะไม่บังคับให้เธอนอนกับฉันอีกตลอดช่วงเวลาที่เราทำสัญญากัน"
"หือ?"
ธีระรู้สึกเหมือนโลกตีลังกาอีกครั้ง เมื่อครู่นี้เขาก็ได้รับจูบที่อ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อว่ามาจากกฤตภาสไปทีนึงแล้ว พอได้ฟังประโยคที่คาดไม่ถึงจึงยิ่งประหลาดใจมากขึ้น
"แต่เธอต้องเป็นฝ่ายมาหาฉันเอง ทุกครั้งที่เธอนอนด้วย ฉันจะทยอยลบรูปทิ้งให้"
"ไม่ยุติธรรม! แบบนี้ยังไงคุณก็ยังได้เปรียบชัดๆ!!"
ธีระโต้ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ผู้ชายคนนี้เป็นปิศาจหรือไงถึงคิดได้แต่เงื่อนไขที่เข้าข้างตัวเองแบบนี้!?
"ชู่วว์ ถ้าเสียงดังเดี๋ยวแม่ขึ้นมาเห็นเอานะ แต่ถ้าหากเธออยากให้เป็นแบบนั้นก็ได้"
กฤตภาสแสร้งทำหน้าซื่อจนธีระเบ้ปาก "เงื่อนไขของคุณมันไม่ได้ต่างจากเดิมตรงไหนเลย ยังไงผมก็ยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ดี"
"ต่างสิ เพราะคราวนี้คนที่ควบคุมทุกอย่างคือเธอ ถ้าเธออยากให้ฉันลบรูปเมื่อไหร่ก็เลือกได้ จะได้ไม่ต้องรอไปจนถึงหมดกำหนดฝึกงานด้วยไง เว้นแต่ว่า...เธออยากให้ฉันเก็บรูปพวกนั้นไว้เป็นที่ระลึก"
กฤตภาสเอ่ยแล้วก็ปัดริมฝีปากแผ่วๆ บนริมฝีปากที่ยื่นขึ้นของธีระ ท่าทีเช่นนั้นทำให้เด็กหนุ่มยิ่งมุ่นคิ้ว ความคิดอย่างหนึ่งพลันผุดขึ้นในหัวอย่างเชื่องช้าเหมือนตาน้ำที่ค่อยๆ ซึมขึ้นบนผิวดิน แต่ว่าเขาก็ยังลังเล
"ผมไม่..."
"ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ ยังไงคืนนี้ฉันก็จองห้องที่โรงแรมในเมืองไว้แล้ว ถ้าตัดสินใจได้แล้วว่าจะกลับตอนไหนก็โทรมาบอกภายในพรุ่งนี้ ฉันจะได้มารับ"
"นี่คุณตั้งใจจะไม่รับฟังคำปฏิเสธอยู่แล้วนี่นา"
"ฉันก็ไม่หวังว่าเธอจะปฏิเสธเหมือนกัน ที่ฉันบอกกับแม่เธอตอนอยู่ในครัว ฉันหมายความตามนั้น"
ธีระหน้าร้อนผ่าวเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายชิดริมหู เขามองเจ้าของอ้อมแขนที่ลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นก็กระชับผ้าห่มรอบตัวเองแน่นขึ้นราวจะให้เป็นเกราะป้องกันความหวั่นไหวในใจ
"พรุ่งนี้คุณอาจต้องขับรถกลับกรุงเทพฯ คนเดียวก็ได้"
ธีระแสร้งทำเสียงขุ่น แต่กฤตภาสเพียงแค่ยิ้มมุมปากแล้วก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เด็กหนุ่มมองประตูที่ปิดลงด้วยความคิดอันสับสน
คุณกฤตรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำแบบนี้มันเหมือนให้ความหวัง...หรือว่าตั้งใจจะทำให้เขาคิดแบบนั้น?
ธีระรู้แจ้งแก่ใจดีว่าเขาเป็นเพียงเด็กขี้เหงาที่อยากลิ้มรสความสุขของการได้เป็นที่รักของใครสักคน ยิ่งได้ผ่านประสบการณ์อันผิดหวังจากรักครั้งแรก เขาก็ยิ่งใฝ่ฝันว่าจะได้พบคนใหม่ที่พร้อมจะมอบสิ่งเหล่านี้โดยไม่ทำความเจ็บช้ำให้อีก แต่ท่าทีของคนคนเดียวที่ผ่านเข้ามาก็คือกฤตภาสกลับมีแต่สร้างความฉงนฉงาย เขาเดาไม่ออกเลยว่าสิ่งต่างๆ ที่อีกฝ่ายทำลงไปนั้นเพียงเพื่อหว่านล้อมให้เขากลับไป หรือแท้จริงแล้วมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่ในการกระทำที่เจ้าตัวก็ยังไม่ตระหนักกันแน่
ตอนที่เริ่มตกลงทำสัญญากัน ธีระเคยคิดว่าเวลาสามเดือนคงผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่เขาก็สามารถอาศัยกฤตภาสเพื่อให้ลืมณรงค์ได้ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่คิด เขาไม่อาจทนเป็นของเล่นของใครโดยไม่ได้รับหัวใจจากคนคนนั้นตอบแทน ดังนั้นเมื่อกฤตภาสมาหาถึงที่บ้าน มาแสดงออกเพียงเล็กน้อยว่าเจ้าตัวก็มีด้านที่สามารถอ่อนโยนและให้การทะนุถนอมเขา หัวใจของเด็กหนุ่มจึงหวั่นไหวราวกิ่งไม้ที่ถูกสายลมพัดโบก
แต่สายลมสายนี้จะหยุดอยู่ที่เขาตลอดไปได้หรือเปล่า...
จะคุ้มกันไหมถ้าเขาจะเดิมพันหัวใจด้วยการก้าวคืนสู่เงื่อนไขที่กฤตภาสตั้งไว้อีกครั้ง และหากไปถึงสุดทางแล้วกลับพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองเขาต่างไปจากตุ๊กตาที่เมื่อเบื่อก็อยากกำจัดทิ้ง เมื่อนั้นเขาจะรับมือกับความเจ็บระลอกใหม่ไหวหรือ?
++---TBC---++
A/N: ใช้เวลากับการเขียนตอนนี้นานมากกกก เพราะอัดแน่นด้วยอารมณ์และเหตุผลที่จะนำพาคู่นี้ไปสู่จุดถัดไปของความสัมพันธ์ซึ่งลุ่มๆ ดอนๆ เหลือเกิน สิ่งที่อยากนำเสนอผ่านน้องตี้คือความรู้สึกของคนเป็นสิ่งเปราะบางและอยู่เหนือตรรกะทั้งมวลจริงๆ ค่ะ ลองมีอะไรสักอย่างมาสะกิดให้หวั่นไหวได้ ความหวั่นไหวมันก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่พยายามหักห้ามใจแล้ว กรณีนี้คงต้องบอกว่ากฤตภาสแกจับจุดน้องตี้ได้อย่างจั๋งหนับ น้องก็เลยต้องมาปวดหัวอีกรอบกับคำถามว่าจะเอาอย่างไรดี เพราะตากฤตนี่ก็เดาใจยากเสียเหลือเกิน
ปล. สำหรับเรื่องสั้นคั่นเวลาตอนคริสต์มาส เราเขียนตอนต่อสั้นๆ ไว้นิดนึงแต่ไม่ได้มาแปะที่นี่เพราะกลัวคนอ่านที่รอตากฤตกับน้องตี้จะบ่นเอาว่าไม่เกี่ยวกัน แต่ถ้าใครอยากอ่านก็ตามไปอ่านที่แฟนเพจได้ค่ะ อัพไว้ที่นั่นด้วย คลิกตามลิ้งค์นี้ได้เลย > http://on.fb.me/1lIjyRx
ขอขอบคุณทุกคอมเม้นต์ในตอนก่อนๆ รวมถึงการทวงถามตอนใหม่อย่างอบอุ่น จะรออ่านคอมเม้นต์ของทุกคนสำหรับตอนนี้ด้วยนะคะ 