เล่ห์ลวงใจ บทที่ 19
เสียงนาฬิกาปลุกดังสนั่นฉุดธีระให้สะดุ้งตื่น เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่ขณะหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูเวลา แล้วก็ต้องผลุนผลันลุกเข้าห้องน้ำด้วยความตกใจ
สายแล้วๆๆ รู้อย่างนี้เขาลุกตั้งแต่นาฬิกาปลุกหนแรกก็ดีหรอก ดันเผลอตั้งเวลาใหม่แล้วหลับไปซะได้!
หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเขาก็รีบคว้ากระเป๋าออกจากห้อง ขณะที่กำลังลงลิฟต์ก็ส่งข้อความทางมือถือหากฤตภาสไปด้วย เพราะความจริงแล้วเวลานี้เขาควรอยู่ที่บริษัทของลูกค้ากับเจ้าตัวเพื่อช่วยจดบันทึกการประชุม แต่ในเมื่อเพิ่งจะได้ออกเอาป่านนี้...กว่าจะไปถึงก็คงเริ่มประชุมกันไปพักใหญ่แล้วแน่ๆ
'คุณกฤต ผมคงไปสายนิดนึงนะครับ'
'ใกล้ถึงรึยัง?'
เด็กหนุ่มอ่านคำถามแล้วก็ย่นจมูก พอประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นหนึ่งก็รีบสาวเท้าไปที่หน้าหอเพื่อเรียกแท็กซี่
'กำลังเดินทางครับ คงใช้เวลาหน่อย'
'งั้นไม่ต้องมา ฉันจะประชุมแล้ว เจอกันที่ออฟฟิศ'
ธีระอ่านคำตอบแล้วก็ชะงักฝีเท้า เรียวคิ้วมุ่นเข้าหากันโดยไม่ตั้งใจ เนื่องจากข้อความเป็นตัวหนังสือจึงยากจะบอกว่าคนที่พิมพ์มากำลังอารมณ์ไม่ดีหรือไม่
โกรธหรือเปล่านะที่เขาไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้ ถ้าหากจะโกรธก็สมควรอยู่หรอก...แต่เขาตื่นไม่ไหวจริงๆ นี่นา
เด็กหนุ่มคิดพลางถอนหายใจ ในเมื่อไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปบริษัทของลูกค้าก็ไม่ต้องเรียกแท็กซี่ เขาจึงใช้วิธีเดินทางตามปกติคือนั่งมอเตอร์ไซค์ไปขึ้นรถตู้ที่อู่ จากนั้นก็ไปต่อรถไฟฟ้าอีกที
"อ้าวตี้ เช้านี้ต้องไปหาลูกค้ากับคุณกฤตไม่ใช่เหรอ?"
เสียงรุ่นพี่ที่สนิทกันเอ่ยทักจนเด็กหนุ่มยิ้มแหย หลังจากทักทายเพื่อนร่วมงานแล้วเขาก็เดินไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง เนื่องจากตอนนี้ต้องทำหน้าที่เลขาฯ แทนวีณาที่ลาคลอด จึงต้องย้ายมานั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่ใกล้ห้องของกฤตภาสไปด้วย
เมื่อก่อนธีระคิดว่าการเป็นเลขาฯ คือการเอาแฟ้มเอกสารไปให้เจ้านายเซ็น แต่พอได้มาทำเองถึงรู้ว่ามีรายละเอียดปลีกย่อยกว่านั้นมาก เพราะทั้งต้องคอยจัดตารางการประชุมให้ ทั้งตามไปประชุมนอกสถานที่เพื่อช่วยจดบันทึกแล้วกลับมาพิมพ์รายงาน แม้แต่งานจุกจิกเช่นโทรสั่งกระเช้าเยี่ยมไข้หรือเค้กวันเกิดให้ลูกค้าก็ต้องทำ นี่ยังไม่นับการติดตามงานจากแต่ละแผนกเพื่อทำสรุปประจำวันให้กฤตภาสอีก ถึงแม้จะแปลกใจที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่อันแสนละเอียดอ่อนเช่นนี้ทั้งที่ประสบการณ์เป็นศูนย์ ธีระก็ตั้งปณิธานแล้วว่าเรียนจบเมื่อไหร่จะไม่สมัครงานในตำแหน่งนี้อย่างเด็ดขาด
หลังออกไปกินข้าวกลางวันกับเพื่อนร่วมงานที่ตลาด เมื่อธีระกลับมาที่บริษัทก็เห็นแม่บ้านกำลังเดินออกมาจากห้องของกฤตภาสพร้อมกับถาดเปล่า จึงรีบเคาะประตูแล้วเข้าไปในห้องเพราะรู้ว่าเจ้าตัวกลับมาแล้ว
"คุณกฤต...ขอโทษด้วยครับที่เมื่อเช้าไปประชุมไม่ทัน"
กฤตภาสซึ่งกำลังหาแฟ้มบางอย่างอยู่ที่ชั้นวางของเพียงแต่ปรายตามองเขาโดยไม่พูดอะไร ธีระจึงได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ รอว่าจะถูกสั่งให้ทำอะไรไหม ครู่หนึ่งกฤตภาสก็ดึงแฟ้มที่ต้องการออกมาวางลงบนโต๊ะ
"ตอนนี้ว่างรึเปล่า?"
"เอ่อ...ก็ไม่ได้มีอะไรเร่งด่วนครับ"
เพราะส่วนใหญ่ก็มีแต่งานที่ต้องรอคุณนั่นแหละ...ธีระคิดแต่ไม่ได้พูด ฝ่ายกฤตภาสทำเสียงรับรู้ในคอแล้วก็หยิบสมุดบันทึกของตัวเองยื่นให้
"วันนี้ฉันไปคุยกับลูกค้ามาหลายเรื่อง เดี๋ยวเอาบันทึกนี่ไปพิมพ์เป็นมินิทสำหรับส่งให้ทุกคนหน่อย"
ธีระพยักหน้าพลางรับสมุดบันทึกมาเปิดดู แต่พอสายตาปะทะเข้ากับภาษาอังกฤษล้วนก็มุ่นคิ้ว
"จะให้พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษเลยเหรอครับ?"
"ต้องแปลเป็นไทยสิเพราะจะส่งให้คนในออฟฟิศอ่าน ฉันอยากให้ทุกคนเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องอธิบายซ้ำ เดี๋ยวไปเอาโน้ตบุ๊คเธอมาแล้วนั่งทำตรงโซฟานั่นแหละ"
กฤตภาสเอ่ยพลางพยักหน้าไปทางชุดโซฟารับแขกริมห้อง ธีระจึงได้แต่เลิกคิ้ว ก็เขาไม่เห็นจะต้องมานั่งพิมพ์ในนี้เลยนี่นา!
"ผมเอาไปทำที่โต๊ะไม่ได้เหรอครับ?"
"เธออ่านลายมือฉันไม่ออกทั้งหมดหรอก แทนที่จะพิมพ์มั่วๆ แล้วส่งมาให้แก้ ไม่สู้มานั่งพิมพ์ในนี้แล้วจะได้ถามถ้าไม่เข้าใจตรงไหนจะดีกว่า"
ธีระห่อปากขณะมองคนที่นั่งลงเปิดอ่านอะไรก็ไม่รู้บนจอคอมพิวเตอร์ แต่ก็หาคำโต้แย้งไม่ได้จึงได้แต่จำใจเดินออกไปหยิบโน้ตบุ๊คที่โต๊ะ อดคิดไม่ได้ว่านี่เขากำลังโดนกลั่นแกล้งอยู่ชัดๆ
วีณาเคยอธิบายกับเขาว่าสาเหตุที่ใช้โน้ตบุ๊คเพราะเมื่อก่อนก็เคยต้องตามกฤตภาสออกไประชุมบ่อยๆ พอเขามาทำหน้าที่แทนก็เลยใช้เครื่องเดียวกันไปเลย หลังจากเด็กหนุ่มกลับเข้ามาในห้องแล้วเห็นเจ้าของห้องกำลังทำงานง่วนจึงเปิดสมุดบันทึกมานั่งพิมพ์รายงานบ้าง แต่พอเจอศัพท์ที่ไม่รู้ความหมายจนต้องเปิดหาในเว็บบ่อยๆ ก็ขัดใจจนเผลอเดาะลิ้น
นี่เขาไม่ได้เรียนเอกอังกฤษมานะ! แถมพิมพ์ก็ช้าด้วย! แทนที่จะให้มานั่งแกะลายมือที่อ่านก็ยากแล้วยังต้องมาแปลความหมายให้อีก สู้ตัวเองเอาไปพิมพ์เองไม่เร็วกว่ารึไง!?
"มีดิกฯ อยู่บนชั้นหนังสือ ถ้าจะใช้ก็ลุกมาหยิบเอา"
เสียงกลั้วหัวเราะของกฤตภาสหลังได้ยินเสียงแสดงความขัดใจของเขาทำให้ธีระเบะปาก แต่ก็เห็นว่าถ้าเปิดหาคำในดิกชันนารีอาจจะเร็วกว่าเพราะเขาพิมพ์คีย์บอร์ดได้ช้าเหลือเกิน ทว่าพอลุกไปยืนหน้าชั้นหนังสือและกวาดสายตาไปรอบหนึ่งก็ไม่เห็นดิกชันนารีที่ว่า
"ดิกฯ อยู่ไหนล่ะครับคุณกฤต?..."
ธีระสะดุดลมหายใจเมื่อเอี้ยวหน้ากลับไปพบแผ่นอกของคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาไม่รู้ตัวเลยจริงๆ ว่ากฤตภาสลุกมายืนประชิดตัวถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ลมหายใจที่รดลงบนขมับทำให้วงจรความคิดสับสนดุจกลุ่มด้ายที่พันกันยุ่ง ประสาทสัมผัสถูกตรึงด้วยกลิ่นน้ำหอมเคล้ากลิ่นบุหรี่ที่ติดตัวอีกฝ่ายจนไม่รับรู้สิ่งอื่น
ครั้งสุดท้ายที่เขาได้อยู่ใกล้คุณกฤตขนาดนี้...มันผ่านมากี่วันแล้วนะ...
"ฉันลืมไปว่าวางไว้ชั้นบนสุดเพราะไม่ค่อยได้ใช้ เดี๋ยวหยิบให้ก็แล้วกัน"
กฤตภาสตอบพลางยื่นแขนข้างหนึ่งขึ้นควานหาดิกชันนารีโดยที่วางแขนอีกข้างไว้บนชั้นหนังสือ ส่งผลให้ร่างของธีระถูกกักในวงแขนแข็งแรงโดยไม่มีทางเลือก หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นระทึกเมื่อแผ่นหลังเสียดสีกับแผ่นอกกว้างที่โน้มเข้าหาโดยมีเพียงชั้นผ้าขวางกั้น
เวลาในห้องสี่เหลี่ยมราวกับหลงติดอยู่ในห้วงสุญญากาศ ความใกล้ชิดจนธีระรับรู้ถึงลมหายใจที่เป่ารดลงบนกระหม่อมทำให้เขาเริ่มทนไม่ไหว จึงย่อตัวลอดแขนของกฤตภาสแล้วออกไปยืนข้างๆ จากนั้นก็สบตากับคนที่เลิกคิ้วมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนจะถามว่า 'เป็นอะไร?'
"คือว่า...ผมไปห้องน้ำแป๊บนะครับ เดี๋ยวจะได้บอกให้แม่บ้านชงกาแฟมาให้ใหม่ด้วย"
ธีระเอ่ยแล้วก็รีบผลุนผลันออกจากห้อง ขณะที่คนที่ยังยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือกลับหัวเราะหึๆ เพราะเจอสิ่งที่ต้องการตั้งนานแล้ว แต่แกล้งทำเป็นหาไม่เจอสักทีเพราะอยากดูปฏิกิริยาของธีระต่างหาก
ตั้งแต่พวกเขากลับจากสุพรรณบุรีด้วยกันก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ถึงแม้จะแปลกใจที่อีกฝ่ายยอมตอบตกลงง่ายกว่าที่คิด กฤตภาสก็ปฏิบัติตัวกับธีระแบบเจ้านาย-ลูกน้องโดยที่ยังไม่เอ่ยถึงเงื่อนไขใหม่เลยสักครั้ง ในเมื่อเขาออกปากเองว่าจะให้ธีระเข้าหาก่อน เขาก็จะรอดูว่าจะได้เห็นปรากฏการณ์นั้นเมื่อไหร่
ตราบใดที่เด็กคนนั้นอยู่ในระยะสายตาที่เขามองเห็น...เขาก็มองหาวิธีที่จะเร่งรัดได้อยู่แล้ว
"กาแฟมาแล้วครับคุณกฤต"
ธีระเดินกลับเข้ามาในห้องโดยมีแม่บ้านถือถาดกาแฟแก้วใหม่ตามมา เด็กหนุ่มเห็นดิกชันนารีวางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาจึงชำเลืองมองกฤตภาสนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยขอบคุณและเพียงแค่นั่งลงทำงานเงียบๆ ต่อ
กว่าธีระจะพิมพ์บันทึกการประชุมเสร็จก็บ่ายคล้อย หลังจากเขาเอาให้กฤตภาสตรวจแก้แล้วก็ส่งไฟล์แนบกับอีเมล์ให้ทุกคนในบริษัท ยังไม่ทันจะโล่งอกว่าจะได้ออกไปให้พ้นห้องนี้เสียทีก็ถูกเรียกไว้อีกครั้ง
“มีอะไรเหรอครับ?”
“ฉันอยากให้เธอเอากล่องนามบัตรในตู้มาเทียบกับดาต้าเบสของบริษัท เสร็จแล้วก็จัดนามบัตรใส่แฟ้มตามหมวดอักษรหน่อย"
ธีระมองตามนิ้วของกฤตภาสที่ชี้ไปยังตู้ตรงมุมห้อง แล้วก็เห็นกล่องนามบัตรซึ่งเป็นแนวยาวประมาณหนึ่งฟุตเรียงกันแน่นหลายสิบกล่อง ดูแล้วไม่น่าจะเป็นงานที่จะทำเสร็จในวันสองวันได้เลย
“ทำไมต้องเช็คด้วยล่ะครับ?”
“ช่วงหลังนี้อีเมล์แจ้งข่าวสารของบริษัทเราเด้งกลับมาเยอะมาก เลยเป็นไปได้ว่าบางคอนแทคต์อาจย้ายที่ทำงานไปแล้ว หรือไม่ก็คนที่คีย์ข้อมูลพวกนี้ไม่ได้เช็คตั้งแต่แรกว่าพิมพ์ถูกหรือเปล่า อีกอย่างฉันก็อยากให้จัดนามบัตรพวกนี้ใส่แฟ้มแทนกล่องมานานแล้วด้วยเพราะเปิดหาง่ายกว่า ยังมีคำถามอะไรอีกมั้ย?”
กฤตภาสตอบเขาด้วยแววตาเรียบเฉยขณะหมุนปากกาในมือ ธีระจึงได้แต่บอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ขณะเดินไปเปิดตู้แล้วหยิบกล่องเหล่านั้นออกมา แต่แค่เริ่มหยิบนามบัตรจากกล่องแรกมาแผ่บนโต๊ะก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่งานหมู
"จะไปขอให้คนอื่นมาช่วยก็ได้นะ ฉันไม่มีปัญหาถ้าเธอคิดว่าทำงานง่ายๆ แบบนี้คนเดียวไม่ไหว"
"ผมทำคนเดียวได้ครับ รุ่นพี่คนอื่นก็งานรัดตัวกันอยู่แล้ว กับงานง่ายๆ แบบนี้ผมไม่ไปรบกวนดีกว่า"
เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันขณะเหลือบตาขึ้น ทำให้ได้สบตากับนัยน์ตาสีนิลเข้มที่มีแววขำขันไหวระริก เขาได้แต่ทำปากยื่นแล้วก้มหน้าลงเริ่มเทียบเช็คข้อมูลระหว่างนามบัตรกับดาต้าเบส ไม่นานก็ได้ยินเสียงชวนโมโหดังมาจากเจ้าของห้องอีกครั้ง
"อ้อ ลูกค้าบางคนเวลาได้เลื่อนตำแหน่งเขาจะให้นามบัตรใหม่มา ถ้าเจอนามบัตรชื่อซ้ำกันก็โทรไปเช็คที่บริษัทของเขาก็แล้วกันว่าตอนนี้ทำตำแหน่งอะไรแน่ จะได้อัพเดทดาต้าเบสไปด้วย"
"ครับ"
ธีระรับคำขณะที่กำลังงงพอดีว่าทำไมนามบัตรสองใบในมือจึงเป็นชื่อเดียวกันแต่ต่างตำแหน่ง ขณะที่แยกนามบัตรพวกนั้นไว้อีกทางก็อดคิดไม่ได้ว่าไม่น่ายอมกลับมาทำหน้าที่เลขาฯ เลย ต่อให้ไม่มีเงื่อนไขเรื่องรูปที่กฤตภาสเอามาใช้ต่อรองก็เถอะ เพราะในเมื่อตอนนี้รับเงินเดือนด้วยก็เท่ากับเขาเป็นลูกจ้างเต็มตัว จะโวยวายแล้วอ้างว่าเป็นเด็กฝึกงานไม่ได้แล้ว
ไหนพี่วีร์เคยเล่าให้ฟังก่อนจะลาคลอดว่าคุณกฤตเป็นเจ้านายที่ใจดีนักหนาไง นี่เขามองมุมไหนก็เห็นแต่ปิศาจจำแลงมาชัดๆ!
++------++
กว่าธีระจะเทียบเช็คข้อมูลดาต้าเบสไปได้จำนวนหนึ่งก็เกือบจะสองทุ่มแล้ว เขาเหลือบสายตาที่เมื่อยล้าเหลือเกินขึ้นจากหน้าจอเมื่อกฤตภาสเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
"ใกล้จะเสร็จรึยัง?"
ธีระปรายตามองกองนามบัตรอีกส่วนที่ยังไม่ได้รื้อออกจากตู้ด้วยซ้ำ จากนั้นก็ส่ายหน้าช้าๆ แล้วตอบด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน
"ผมขอมาทำต่อพรุ่งนี้ก็แล้วกันครับ ถ้าหากคุณกฤตไม่ได้รีบร้อนมากมาย"
แล้วตอนนี้เขาก็ตาลายจากทั้งหมายเลขโทรศัพท์และอีเมล์ที่เพ่งมาหลายชั่วโมงแล้วด้วย ทว่าคนถูกกระแนะกระแหนกลับไม่โกรธแถมยังหัวเราะ
"งั้นวันนี้ได้แค่ไหนก็พอแค่นั้น ไปเก็บของซะ เดี๋ยวฉันพาไปกินข้าวแล้วไปส่งที่หอ"
กฤตภาสเอ่ยก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะเพื่อปิดคอมพิวเตอร์ ส่วนธีระซึ่งเกือบจะเอ่ยคำว่า 'ไม่ต้อง' ก็กลับชะงักไว้ เพราะนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเหตุผลจะต้องปฏิเสธน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้สักหน่อย ในเมื่อจะได้กินข้าวฟรีแถมไม่ต้องเรียกรถกลับบ้านเองอีก เรื่องอะไรเขาจะต้องหยิ่งให้ลำบากด้วยเล่า
หลังออกจากบริษัทแล้วกฤตภาสก็ขับรถพาธีระไปกินข้าวที่ร้านอาหารซึ่งอยู่บนทางผ่าน ความหิวและเหนื่อยทำให้เด็กหนุ่มรีบกินข้าวให้เสร็จโดยที่ไม่ชวนอีกฝ่ายคุยเลย เมื่อมื้ออาหารจบลงและกฤตภาสเช็คบิลเสร็จแล้ว ทั้งสองก็เพียงแต่พากันเดินกลับไปขึ้นรถเงียบๆ
"ขอบคุณครับ"
ธีระเอ่ยพลางหันไปไหว้ลากฤตภาสที่ขับรถมาส่งถึงหน้าหอ แต่พอจะถอดเข็มขัดนิรภัยก็โดนมือใหญ่กดมือของเขาไว้จนปลดล็อคไม่ได้ จึงช้อนนัยน์ตากลมโตขึ้นมองอย่างสงสัย
"คุณกฤต?"
"ตั้งแต่กลับมาจากบ้านเธอก็อาทิตย์กว่าแล้วนะ ยังไม่นึกอยากมาหาฉันที่ห้องบ้างเหรอ?"
น้ำเสียงยั่วเย้าทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนวูบบนผิวแก้ม แต่ก็ยายามไม่หลบตาที่จ้องมองแล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ถ้าผมจะไปหรือไม่ไปก็เป็นสิทธิ์ที่ผมจะเลือกเองไม่ใช่เหรอครับ?"
"ก็ใช่ แต่ฉันคิดถึงเธอจนต้องดูรูปแล้วช่วยตัวเองไปหลายครั้งแล้วนะ"
"คุณกฤต! หยุดพูดแบบนี้เลยนะ! แล้วก็ลบรูปของผมทิ้งซักที!!"
ธีระหน้าแดงก่ำขณะยกมือข้างที่เป็นอิสระขึ้นทุบไหล่กฤตภาส เขาก็บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องเหมือนมีผีเสื้อกระพือปีกนี้คือความโมโหหรือเขิน แต่ที่แน่ๆ เขาไม่เคยรู้จักใครที่หน้าด้านได้เท่าผู้ชายคนนี้เลยสักคน!
"ทำไมล่ะ? ฉันอยากนอนกับเธอแต่เธอไม่มาหา ฉันก็ต้องหาวิธีระบายออกไม่ใช่เหรอ? ดูเธอก็ทำเหมือนไม่อยากให้ฉันลบรูปพวกนั้นทิ้งเท่าไหร่นี่"
"คุณกฤต!..."
คำพูดถัดไปของธีระติดอยู่ในคอเมื่อกฤตภาสก้มลงจูบด้วยความเร็วประดุจนกอินทรีโฉบเหยื่อ พอเขากะพริบตาอีกครั้งก็เห็นใบหน้าคมคายถอยกลับไปที่เดิมแล้ว แถมยังมีการเลียริมฝีปากราวถูกใจกับรสชาติด้วย!
"เมื่อเช้าก็ตื่นสายไปทีนึงแล้วนี่นะ คืนนี้ก็รีบขึ้นไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีงานให้ทำอีกเยอะ"
เด็กหนุ่มเม้มปากเมื่อคนพูดยื่นนิ้วมาไล้แก้มอย่างอ้อยอิ่ง เมื่อมือข้างนั้นผละไป เขาก็ผลุนผลันลงจากรถโดยไม่หันกลับไปสนใจเสียงหัวเราะที่ไล่หลังอีกเลย
กฤตภาสมองคนที่เดินหายเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์แล้วก็หัวเราะในคอ แม้ปากจะยังพร่ำปฏิเสธสักแค่ไหน แต่เขาก็ดูออกว่าเด็กหนุ่มเริ่มหวั่นไหวแล้ว ดังนั้นรางวัลต่อความอดทนของเขาก็น่าจะใกล้เป็นความจริงในอีกไม่ช้า
นี่เขาอยากลิ้มรสความพึงพอใจที่ธีระมาเสนอตัวให้เองถึงขนาดนั้นเชียว...
วูบหนึ่งที่ความสงสัยผุดขึ้นขัดจังหวะความรื่นรมย์ของกฤตภาส เขาเองก็ใช่จะสิ้นไร้ไม้ตอกจนหาคู่นอนไม่ได้ ถ้าหาคนรู้จักที่ว่างตรงกันไม่ได้จริงๆ ก็อาศัยแบบที่ต้องใช้เงินรายชั่วโมงก็จบเรื่องแล้ว แต่พักหลังมานี้เขากลับไม่รู้สึกตื่นเต้นกับใครเหมือนเวลาที่มองเด็กดื้อจอมพยศคนนี้เลยสักราย
พวกอาเสี่ยที่ชอบเลี้ยงเด็กไว้ในสังกัดก็คงชอบความรู้สึกตื่นเต้นเวลากินหญ้าอ่อนแบบนี้กันกระมัง...
กฤตภาสส่งเสียงเยาะขึ้นจมูกก่อนจะเข้าเกียร์ออกรถ เขาคร้านจะคิดเรื่องนี้ให้เปลืองสมองเพราะไม่เคยใส่ใจเรื่องความสัมพันธ์กับคู่นอนอยู่แล้ว ตอนนี้เขารู้แค่ว่าตัวเอง 'สนุก' กับเด็กคนนี้มากกว่าคนอื่นที่เคยคบมาก็พอ ส่วนความสนุกนี้จะลากยาวไปถึงเมื่อไหร่...เขาไม่คิดจะหาคำตอบในตอนนี้
เมื่อกลับถึงห้องแล้วกฤตภาสก็อาบน้ำชำระคราบไคลจนสบายตัว จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วเทวิสกี้ออกไปยืนจิบที่ระเบียง ถึงแม้ในแต่ละวันจะมีเรื่องให้คิดหรือทำมากมาย แต่เวลาใดที่มีโอกาสดื่มด่ำกับความสงบเพียงลำพัง เขาไม่เคยละเลยโอกาสนั้นในการปรนเปรอตัวเองด้วยสิ่งที่ชอบ
รสของวิสกี้ที่ค่อนข้างเข้มหนักและดีกรีแรงทำให้ชายหนุ่มหัวโล่ง ขณะกำลังจุดบุหรี่มาสูบเพื่อละเลียดรสนิโคตินแกล้ม จู่ๆ โทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะก็ส่งสัญญาณว่ามีสายเข้า กฤตภาสจึงละสายตาจากแสงไฟของตัวเมืองแล้วหยิบเครื่องขึ้นมาดู
เบอร์ไม่คุ้น...ใครกันถึงได้โทรมาดึกป่านนี้...
ชายหนุ่มคิดขณะอัดนิโคตินเข้าปอดอีกอึก เขาพ่นควันออกช้าๆ แล้วถึงค่อยกดรับสายอย่างไม่รีบร้อน เพราะถึงอย่างไรนี่ก็นอกเวลางานมากแล้ว ถ้าเขาจะเลือกไม่รับสายเสียอย่าง ต่อให้เป็นลูกค้าสำคัญก็มาตำหนิเขาไม่ได้
"ฮัลโหล?"
"กฤตเหรอ ยังไม่นอนใช่ไหม?"
เสียงห้าวทุ้มที่ดังมาจากลำโพงทำให้มือที่กำลังยกวิสกี้ขึ้นดื่มชะงัก แม้จะไม่ได้ยินเสียงนี้มาหลายปีแต่กฤตภาสก็จำเจ้าของเสียงได้ นัยน์ตาสีนิลหรี่ลงขณะมองไปยังขอบฟ้าซึ่งเรียงรายด้วยแสงไฟของอาคารบ้านเรือน ครู่หนึ่งจึงค่อยตอบเสียงขรึมหลังจากยกวิสกี้ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
"เมฆรึ ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ"
++------++
หลังจากเผลองีบหลับบนเตียงไปช่วงสั้นๆ เพราะความอ่อนเพลีย ธีระก็รู้สึกตัวตื่นมาอาบน้ำแปรงฟันตอนเที่ยงคืน หลังใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแล้วเขาก็ตาสว่างจนนอนต่อไม่หลับ จึงลุกขึ้นหยิบกล่องพัสดุที่ได้รับวันนี้มาแกะออกดู
"กล่องจากพี่ปิ๊ก...ส่งอะไรมาให้เนี่ย"
ปิ๊กหรือปิยพลเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาอีกคน แล้วก็เป็นพี่ชายของพี่ป๊อกที่เปิดร้านขายเสื้ออยู่ในตลาดนัดด้วย แต่ว่าบุคลิกของทั้งสองต่างกันคนละขั้วเพราะปิยพลเป็นผู้ชายเต็มตัว และช่วงหลายปีมานี้ก็ไม่ค่อยได้เจอกับเขาเพราะทำงานอยู่ที่น่าน กระนั้นก็ยังติดต่อกันไม่เคยขาดเพราะทั้งสองครอบครัวไปมาหาสู่กันตั้งแต่เด็ก
สิ่งที่อยู่ในกล่องพัสดุคือกระเป๋าสะพายที่ตัดเย็บจากหนังแท้ สายสะพายทำจากหนังที่ขลิบด้วยผ้าแคนวาสเนื้อหนา มุมหนึ่งของฝากระเป๋าติดแผ่นโลหะทองแดงปั๊มโลโก้ ถึงแม้ดีไซน์จะไม่ฉูดฉาดแต่ก็ดูทนทานและมีรสนิยม เด็กหนุ่มหยิบขึ้นมาลองสะพายแล้วเดินไปที่หน้ากระจก จากนั้นก็ยิ้มก่อนจะเดินไปหยิบซองจดหมายที่อยู่ในกล่องมาเปิดอ่าน
'ถึงตี้
Happy birthday ขอโทษที่ส่งมาให้ช้าไปนิด แต่พี่ไม่ได้ลืมนะว่าตี้อยากได้กระเป๋าแฮนด์เมดเป็นของขวัญ หวังว่าคงจะหยิบใบนี้มาใช้บ่อยๆ จะได้ช่วยโฆษณาร้านของพี่ให้พวกเพื่อนๆ ด้วย
ปล. ถ้าว่างแล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็ขึ้นมาเยี่ยมพี่ที่นี่ได้ ยินดีต้องรับเสมอ
พี่ปิ๊ก'
ธีระอ่านแล้วก็หัวเราะที่ญาติผู้พี่ตั้งใจเขียนว่า 'ต้องรับ' แทนที่จะเป็น 'ต้อนรับ' ตอนเด็กๆ ที่บ้านของพวกเขายังอยู่ใกล้กันนั้นธีระติดปิยพลแจ เขาชอบไปเล่นที่บ้านนั้นบ่อยๆ เพราะว่าป้ากับลุงมักซื้อวิดีโอเกมและของเล่นดีๆ ให้ลูกๆ ขณะที่บ้านของธีระไม่ค่อยซื้อของฟุ่มเฟือยให้เพราะฐานะของพวกเขาตอนนั้นไม่ค่อยดีนัก
ความจริงแล้ว...ต้องบอกว่าปิยพลนี่เองที่ทำให้ธีระรู้ตัวว่าชอบผู้ชาย เพียงแต่ตอนที่ยังไร้เดียงสานั้นเขาไม่เคยรู้เหตุผลที่ตนชอบมองตามญาติผู้พี่ผู้ดูจะเป็นที่ชื่นชมของผู้คนรอบตัวอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งอีกฝ่ายเริ่มคบกับเพื่อนสาวต่างโรงเรียนตอนใกล้จะจบ ม.ปลาย เขาซึ่งยังเป็นเด็กชายผมเกรียนถึงได้รู้ตัวว่าเผลอรู้สึกพิเศษกับญาติผู้พี่ไปแล้ว แต่ไม่นานความเคารพในฐานะพี่ชายก็กลับมา เพราะเขาเพียงอยากได้ใครสักคนที่ให้ความเอ็นดูเขานอกจากคนที่บ้านมากกว่า
บางทีหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาหลงใหลณรงค์ช่วงที่คบกัน...ก็น่าจะเป็นเพราะบุคลิกพี่ชายใจดีที่คล้ายกันนี้นี่เอง
ธีระเหลือบดูนาฬิกาแล้วก็เห็นว่าดึกเกินกว่าจะโทรไปขอบคุณ จึงเพียงส่งข้อความไปบอกว่าได้รับของแล้วและจะหาโอกาสไปเยี่ยม จากนั้นก็เก็บกระเป๋าใบนั้นใส่ถุงแล้วเก็บเข้าตู้เสื้อผ้า
ลมเย็นๆ โชยผ่านประตูมุ้งลวดที่ติดกับระเบียงเข้ามาในห้อง ธีระซึ่งยังไม่ง่วงจึงเดินออกไปสูดกลิ่นอายของอากาศยามค่ำคืน จากนั้นก็มองไปยังดวงจันทร์ซึ่งลอยสูงอันเป็นสัญญาณว่าดึกมากแล้ว
"แต่ฉันคิดถึงเธอจนต้องดูรูปแล้วช่วยตัวเองไปหลายครั้งแล้วนะ"
จู่ๆ ความคิดเจ้ากรรมก็ไพล่นึกไปถึงบนสนทนาเมื่อตอนค่ำอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ธีระหน้าแดงก่ำเมื่อนึกถึงแววตาของคนพูดที่มองเขาราวกับเป็นขนมหวาน ทั้งที่เขาควรจะรังเกียจฝ่ายนั้นเพราะเงื่อนไขและเรื่องแย่ๆ ที่หยิบยื่นมาให้ไม่หยุดหย่อน เขากลับ...สะอิดสะเอียนตัวเองที่บางชั่วขณะก็เผลอดีใจที่ได้รับความสำคัญ
ถึงแม้จะฉาบฉวย แต่กฤตภาสก็ทำให้เขารู้สึกเป็นที่ต้องการอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน
ความรู้สึกนี้ช่างเย้ายวนแต่ก็อันตรายเหลือเกิน เพราะท่ามกลางความไม่แน่นอนจากความต้องการที่สวนทางกัน เขาไม่มีทางคาดเดาว่าความเอาใจใส่ที่กฤตภาสมอบให้อย่างเร่าร้อนนั้นจะมอดลงเมื่อใด ความไม่มั่นใจนี้ทำให้เขายังตัดสินใจทำตามข้อเสนอใหม่ของอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะเกรงว่าหากยอมทำตามเงื่อนไขนั้นสักครั้งแล้ว...สุดท้ายทุกอย่างก็จะกลับสู่วังวนเดิมเหมือนก่อนหน้าที่เขาจะหนีกลับบ้าน และแววตาลุ่มหลงที่กฤตภาสมอบให้อาจจืดจางลงเป็นความเบื่อหน่ายก็เป็นได้
นี่เขาอยากให้ตัวเองรู้สึกยังไงกับผู้ชายคนนั้นกันแน่...
นัยน์ตากลมโตทอดมองผืนฟ้าสีน้ำหมึกอันเวิ้งว้างที่ยิ่งขับเน้นแสงจากดวงจันทร์ให้โดดเด่น แล้วก็ได้แต่ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับลมเย็นโดยไม่รู้สึกอยากนอนพักผ่อนเลยสักนิดเดียว
++---TBC---++