เล่ห์ลวงใจ บทที่ 22อาคารผู้ป่วยเงียบสงัดเมื่อผ่านพ้นเวลาให้เข้าเยี่ยม บรรยากาศของโรงพยาบาลยิ่งวังเวงเพราะผู้ป่วยแต่ละห้องต่างก็นอนหลับพักผ่อน ทว่าธีระซึ่งพลิกตัวไปมาบนโซฟากลับหลับไม่ลงไม่ว่าจะข่มตาสักเท่าไหร่
ทำไมนอนไม่หลับสักทีนะ...เพราะแปลกที่แน่ๆ เลย...
ธีระยอมรับว่าเขาเป็นคนขวัญอ่อน ถึงจะไม่เคยเจอประสบการณ์เขย่าขวัญตรงๆ แต่ก็ฟังเรื่องเล่าในโรงพยาบาลมาเยอะพอจะปลุกจินตนาการให้เตลิด และคราวนี้ก็ช่างประจวบเหมาะที่เขาได้รับภารกิจให้มานอนเฝ้าคนป่วยเป็นครั้งแรก แถมยังเป็นการมัดมือชกแบบไม่มีโอกาสปฏิเสธเสียด้วย
"แกแน่ใจรึ ถ้าจ้างพยาบาลมาคอยเฝ้าจะไม่ดีกว่ารึไง?"
"แน่ใจครับ อีกอย่างผมมีงานที่ต้องคุยกับผู้ช่วยผมด้วย ส่วนนางพยาบาลพวกนั้นก็อยู่ข้างนอกตลอดอยู่แล้ว ถ้าฉุกเฉินจริงๆ ค่อยกดปุ่มเรียกเข้ามาก็ได้"นั่นเป็นบทสนทนาระหว่างพ่อลูกเมื่อตอนเย็นหลังจากกฤตภาสยืนกรานว่าจะให้เขาเฝ้าไข้ สุดท้ายโกเมทก็ต้องยอมให้คนขับรถพาธีระกลับไปเอาของที่อพาร์ทเม้นท์เพื่อมานอนเฝ้าลูกชายที่โรงพยาบาล เนื่องจากระยะทางที่ค่อนข้างไกลมาก กว่าเขาจะกลับมาอีกครั้งกฤตภาสก็หลับไปแล้ว ส่วนโกเมทที่นั่งเฝ้าอยู่ก็เพียงลุกขึ้นตบบ่าพลางกล่าวเตือนเนิบๆ
"ถ้าหากมีอะไรที่ทำเองไม่ไหวก็เรียกพยาบาลให้มาช่วยนะ ไม่ต้องฝืน"ตอนนั้นเขาเพียงแค่ตอบไปตามมารยาทว่า
"ครับ" เพราะอ่านแววตาผู้สูงวัยออกว่าคงเห็นเขาเป็นเด็กที่ไม่น่าจะพึ่งได้ แต่ก็คร้านจะเอ่ยว่าไม่มีใครอยากมาดูแลคนเอาแต่ใจแถมฤทธิ์มากแบบนี้หรอก ถึงแม้ตอนนี้กฤตภาสจะบาดเจ็บเหมือนนกถูกเด็ดปีกก็เถอะ
ทั้งที่จะให้คนอื่นมาเฝ้าก็ได้...ทำไมจะต้องเจาะจงยกหน้าที่นี้ให้เขาด้วย...
มือของธีระกระชับผ้าห่มที่คลุมขึ้นมาถึงไหล่แน่นขึ้น พลันก็รู้สึกว่าแอร์ในห้องเย็นเกินไปจึงเลิกผ้าห่มแล้วเดินไปปรับอุณหภูมิเสียใหม่ แสงไฟที่ลอดใต้ประตูเข้ามาจากทางเดินด้านนอกช่วยให้เห็นสภาพภายในห้องอย่างเลือนราง จึงช่วยให้เขาไม่ขวัญหนีดีฝ่อกับโรงพยาบาลยามดึกมากจนเกินไปนัก
"อืม..."
เสียงครางแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบทำให้ธีระที่กำลังจะเอนตัวนอนสะดุ้งเฮือก แต่พอได้ยินเสียงอีกครั้งก็ตระหนักว่าต้นเสียงมาจากคนบนเตียง เขาจึงเลิกผ้าห่มขึ้นอีกครั้งแล้วเดินไปหากฤตภาส
"คุณกฤต?"
เด็กหนุ่มกดสวิทช์ไฟเหนือหัวเตียง ภาพที่เห็นคือกฤตภาสที่ยังคงหลับสนิทแต่เรียวคิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่น หยาดเหงื่อเม็ดละเอียดผุดพราวเต็มหน้าผากจนล้อกับแสงไฟสีส้มอ่อน ผิวหน้าที่ค่อนข้างแดงทำให้ธีระลองแตะหลังมือบนหน้าผากอีกฝ่ายอย่างเอะใจ แล้วก็ต้องรีบชักมือหนีแทบไม่ทัน
"ตัวร้อนมากเลยนี่นา! คุณกฤตครับ เจ็บแผลเหรอ!?"
ธีระหันรีหันขวางก่อนจะตัดสินใจว่าจะออกไปเรียกนางพยาบาล แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาก็ถูกมือใหญ่คว้าชายเสื้อเอาไว้แน่น
"จะไปไหน?"
เสียงของคนถามแหบพร่าราวกับต้องใช้พลังอย่างมากในการเอ่ยประโยคนั้น ธีระเหลียวกลับไปมองแล้วก็พยายามจะดึงชายเสื้อให้เป็นอิสระ
"ไปเรียกนางพยาบาลให้มาดูครับ คุณไข้ขึ้นสูงอยู่นะ"
"ไม่ต้อง เอายาที่อยู่บนหัวนอนมาให้ฉันก็พอ หมอบอกไว้แล้วว่าให้กินยาทุกสี่ถึงหกชั่วโมง เดี๋ยวกินยาแล้วนอนก็หาย"
เด็กหนุ่มฟังแล้วได้แต่ย่นคิ้วเข้าหากัน 'เดี๋ยวกินยาแล้วนอนก็หาย?' แค่กินยา...แล้วนอน...ก็หายเรอะ!? ทำไมคนที่เพิ่งโดนยิงมาถึงไม่อินังขังขอบกับสภาพร่างกายตัวเองได้ขนาดนี้นะ!!??
"แต่ผมว่า..."
"ถึงเรียกนางพยาบาลมาเขาก็ไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอก เชื่อฉัน เอายามาให้กินก็พอแล้ว"
ธีระไม่ชอบใจกับสิ่งที่ได้ยินเอาเสียเลย แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเพราะนั่นเป็นประโยคคำสั่งหรือเพราะขัดใจคนเจ็บกันแน่ สุดท้ายเขาก็ได้แต่หันไปหยิบถุงใส่ยามาดูว่าตัวไหนที่กฤตภาสเอ่ยถึง จากนั้นก็แกะยาออกจากแผงพร้อมกับหยิบขวดน้ำมาเปิด เขาค่อยๆ ประคองต้นคอของกฤตภาสให้ยกขึ้นเพื่อจะได้กลืนยาและน้ำได้สะดวกก่อนจะค่อยผ่อนศีรษะลงบนหมอนอีกครั้ง
ร่างสูงใหญ่ค่อยหลับตาลงพลางระบายลมหายใจยาว ธีระมองภาพตรงหน้าครู่หนึ่งก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในของห้องพักผู้ป่วย ไม่ช้าเด็กหนุ่มก็เดินกลับมาหยุดที่ข้างเตียงพร้อมกับบางสิ่งบางอย่างในมือ
ผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดๆ ซึ่งไล้ไปบนหน้าผากอย่างแผ่วเบาดึงเปลือกตาของกฤตภาสให้เผยอขึ้น ธีระสบตากับนัยน์ตาสีนิลที่มองเขาอย่างเลื่อนลอยเล็กน้อยเพราะพิษไข้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำขณะช่วยเช็ดเหงื่อต่อไป
"ทำอะไรน่ะ?"
ธีระกลอกตาแต่ไม่หยุดมือ "เช็ดตัวให้ครับ คุณเหงื่อออกมาก เดี๋ยวจะไม่สบายตัว"
เด็กหนุ่มค่อยๆ เลื่อนผืนผ้าไปบนหน้าผากและแก้มของกฤตภาสอย่างเบามือ จากนั้นจึงพลิกผ้าอีกด้านแล้วเช็ดบริเวณซอกคอซึ่งอุ่นจัดจนมือของเขาสัมผัสได้ถึงไอร้อน ไม่มีใครเอ่ยอะไรเป็นนานจนกระทั่งคนบนเตียงทำลายความเงียบขึ้น
"แปลกดีนะที่เธอมาทำแบบนี้ให้ ตอนที่เธอช่วยทำแผลหลังจากกัดฉันเมื่อตอนโน้นก็เหมือนกัน ใจจริงแล้วก็ไม่อยากให้ฉันเป็นอะไรใช่ไหม?"
ธีระชะงักมือขณะมองรอยยิ้มบนใบหน้าอิดโรยของคนถาม ทั้งที่น้ำเสียงนั้นมีความเย่อหยิ่งเจืออยู่ แต่ประกายที่สะท้อนในแววตาสีนิลกลับจุดไอร้อนบนผิวหน้าของเขาอย่างไร้สาเหตุ
"ไม่มีใครอยากเห็นใครตายต่อหน้าหรอกครับ ต่อให้เป็นคนนิสัยแย่แค่ไหนก็เถอะ"
เด็กหนุ่มเอ่ยพลางเบนความสนใจกลับมายังการช่วยเช็ดเหงื่อบนคอและแผ่นอกให้กฤตภาส เขารู้ดีว่านัยน์ตาคมวาวคู่นั้นยังคงจับจ้องตัวเองแต่ก็พยายามไม่สนใจ ทว่าประโยคต่อไปก็ทำให้ต้องหันกลับไปมองคนพูด
"อาจไม่ใช่ทุกคนหรอกที่เป็นอย่างนั้น เพราะอย่างน้อยๆ คนที่ยิงฉันก็คงไม่อยากเห็นฉันมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่หมอนั่นดันปอดแหกจนไม่ยิงเข้าหัวใจฉันให้รู้แล้วรู้รอด"
ธีระหางคิ้วกระตุกกับคำพูดชวนแสลงหู ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีบ้างที่ถูกกฤตภาสยั่วโมโหจนนึกอยากใช้ความรุนแรงโต้ตอบ แต่การจินตนาการกับการหยิบอาวุธขึ้นมาทำร้ายใครสักคนจริงๆ นั้นห่างไกลกันโข และเขานึกไม่ออกเลยว่าคนที่ถึงกับหยิบปืนมายิงกฤตภาสได้นั้นจะต้องเพาะบ่มความเกลียดชังไว้อย่างลึกซึ้งเพียงไร
"คุณพูดเหมือนกับอยากตาย"
กฤตภาสส่งเสียงหึขึ้นจมูก "ฉันเนี่ยนะอยากตาย? ไม่มีทาง เพียงแต่การต้องมานอนแบ็บอยู่กับเตียงอย่างนี้มันน่ารำคาญเป็นบ้าเลยต่างหาก"
เด็กหนุ่มพับผ้าชุบน้ำในมือให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้ววางลงบนหน้าผากคนเจ็บ จากนั้นก็เลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ มานั่งลงข้างเตียง ถึงแม้จะเขาจะเพิ่งรู้จักอีกฝ่ายได้เพียงไม่นาน แต่ก็ถูกบีบให้อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใกล้ชิดกันมากพอที่จะคิดว่ากฤตภาสคงไว้ใจเขาอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นคงไม่เลือกให้มาเฝ้าไข้แถมยังกำชับไม่ให้บอกคนที่บริษัทแบบนี้
"ถ้าหากผมถามว่าทำไมถึงโดนยิง คุณจะเล่าให้ผมฟังไหม?"
คำถามของเขาเรียกคนที่กำลังจะหลับให้เอียงหน้ามาสบตาเขาตรงๆ สายตาสองคู่สบประสานกันภายใต้แสงสีส้มอ่อนเหนือหัวเตียง แล้วธีระก็ต้องกลั้นหายใจเมื่อกฤตภาสยกมือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บขึ้นมาทาบบนแก้มเขา ไอร้อนที่ถ่ายทอดมาพานทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับผิวบริเวณนั้นโดนลวก
"สนใจเรื่องฉันด้วยเหรอ?"
"ในเมื่อคุณยอมบอกผมว่าโดนยิงได้ ถ้าหากผมจะอยากรู้สาเหตุต่อก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอครับ?"
เด็กหนุ่มพยายามบังคับหัวใจที่เต้นรัวให้สงบเพราะปลายนิ้วอุ่นจัดนั้นซุกซนเหลือเกิน พลันนัยน์ตากลมโตก็เบิกกว้างเมื่อกฤตภาสออกแรงกดท้ายทอยให้เขาก้มลงไปหาจนริมฝีปากสัมผัสกัน
"คุณกฤต!"
ธีระรีบดันตัวออกทันทีแล้วก็เอ่ยได้แค่นั้น ผิวหน้าของเขาร้อนผ่าวจากรสสัมผัสที่รวดเร็วจนไม่น่าเชื่อว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงรอยประทับของไออุ่นที่ตกค้างซึ่งยืนยันว่าเขาเพิ่งจูบกฤตภาสจริงๆ
"ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ดึกแล้วเป็นเด็กเป็นเล็กก็ไปนอนซะ"
กฤตภาสเอ่ยพลางหลับตาลงแล้ววางมือบนอก ราวกับไม่รับรู้ว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งฉวยโอกาสและตัดบทสนทนาไปในตัว ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้แต่ถลึงตามองอย่างขัดใจ
ย้ำอยู่ได้ว่าเป็นเด็กๆ ถ้าเป็นเด็กจริงแล้วมาจูบมากอดเขาทำไมเล่า! เฒ่าหัวงูเอ๊ย!!
ธีระนึกอยากทุบคนบนเตียงนักแต่ก็จนใจที่อีกฝ่ายบาดเจ็บอยู่ ถึงแม้กฤตภาสก็ดูจะไม่อ่อนข้อให้เขาเลยแม้ว่าสุขภาพร่างกายจะไม่สมบูรณ์เต็มร้อยก็ตาม ยิ่งได้มองเห็นมุมปากที่ยกขึ้นน้อยๆ ของคนหลับเขาก็ยิ่งหมั่นไส้
ดี! ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า! ใครเขาอยากรู้เรื่องตัวเองสักแค่ไหนกัน! เชิญนอนฝันร้ายว่าโดนซอมบี้ไล่ล่าไปจนเช้าเลย!!
เด็กหนุ่มทำเสียงฮึดฮัดขณะลุกขึ้นปิดไฟแล้วกลับไปทิ้งตัวบนโซฟา เขาตะแคงเข้าหาผนังแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงด้วยความโมโห จึงไม่ทันได้ยินเสียง "หึ" ซึ่งเบาแสนเบาจากคนบนเตียงที่ลืมตาขึ้นแล้วหันมามองแผ่นหลังของเขาก่อนจะหลับตาอีกครั้ง
ไม่ช้าความอ่อนล้าก็ขับกล่อมให้คนทั้งสองหลับใหล เสียงเดียวที่ยังดังภายในห้องพักผู้ป่วยมีเพียงเสียงหายใจที่สอดประสานประหนึ่งว่าหัวใจของทั้งคู่เต้นเป็นทำนองเดียวกันเท่านั้น
++------++
ท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน เด็กชายตัวน้อยสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงแตรรถดังลั่นจากรั้วบ้าน เสียงนั้นดังต่อเนื่องยาวนานจนเขาหลับต่อไม่ลง ก่อนที่เสียงอันบาดหูจะเงียบไปเพราะคงมีคนเปิดประตูรั้วให้ในที่สุด
กฤตภาสซึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่างมองลงไปยังรถที่กำลังแล่นผ่านรั้วเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน จากนั้นจึงเบนสายตากลับมามองเด็กชายบนเตียงที่กำลังขยี้ตาอย่างงัวเงีย แสงจันทร์ซึ่งส่องทะลุผ้าม่านเข้ามาทำให้เขาเห็นใบหน้าของเด็กน้อยได้อย่างชัดเจน และยังรู้ด้วยว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อไปหลังจากนี้
เขาย่อมรู้ดีแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อนี่เป็นความฝันถึงเหตุการณ์ที่ได้เคยประสบมาด้วยตัวเองในวัยเยาว์ ถึงแม้มันจะผ่านมานานแสนนานราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติปางก่อน
เด็กน้อยเลิกผ้าห่มออกจากตัวพร้อมๆ กับที่เสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้น จากนั้นก็เดินไปแง้มประตูแล้วยื่นหน้าออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากห้องรับแขก ส่วนกฤตภาสนั้นเพียงแต่ถอยไปยืนในมุมมืดเพราะรู้อยู่แล้วว่าตัวเขาในอดีตจะได้ยินอะไร ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ตนถึงฝันเห็นเหตุการณ์นี้อีกก็ตาม
"คุณขับรถกลับบ้านถูกด้วยเหรอ?"
"แล้วทำไมฉันจะต้องกลับบ้านผิดไม่ทราบ?"
คนที่เปิดบทสนทนาก่อนคือพ่อของเขา ส่วนคนที่ตอบก็คือแม่ แต่ในขณะที่น้ำเสียงของพ่อเขามั่นคงและมีสติ น้ำเสียงของแม่กลับอ้อแอ้ราวกับตกอยู่ใต้ฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์
"คุณมุก คุณควรจะเจียมตัวบ้างนะว่าคุณเป็นผู้หญิงที่แต่งงานมีลูกมีสามีแล้ว การจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงจนดึกดื่นแล้วทิ้งลูกไว้กับบ้านคนเดียวมันไม่เหมาะ"
"ไม่เหมาะ?" มีเสียงแชะเหมือนใครบางคนจุดไฟแช็คเพื่อสูบบุหรี่ และกฤตภาสรู้ดีว่านั่นคงเป็นแม่ของเขา "ฉันออกไปหลังจากลูกหลับแล้วก็กลับมาก่อนที่แกจะตื่นทุกที มีอะไรไม่เหมาะตรงไหน? ฉันว่าฉันยังทำหน้าที่แม่ได้ดีกว่าใครบางคนที่บอกว่าต้องไปทำงานต่างจังหวัดจนแทบไม่กลับบ้านด้วยซ้ำ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วไปทำงานหรือไปกกเมียน้อยอยู่ที่ไหนกันแน่"
"คุณมุก! นี่ผมเป็นผัวคุณนะ!!!"
"เป็นผัวแล้วยังไง!? ฉันเคยให้ความหวังคุณตอนไหนว่าแต่งงานกันแล้วต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน!? ถ้าคิดว่าการเลี้ยงเด็กสักคนมันง่ายนักก็ลองออกจากงานมาเลี้ยงเองดูสิ!!!"
กฤตภาสไม่เห็นสีหน้าของเด็กน้อยซึ่งกำลังยืนเกาะบานประตูเพราะอีกฝ่ายหันหลังให้ แต่ก็รู้ดีว่าใบหน้านั้นกำลังแสดงความรู้สึกอย่างไร อาการเม้มริมฝีปากน้อยๆ พลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจน่าจะเป็นสีหน้าที่เขาทำมาตลอดในวัยเด็กก็ว่าได้
การทะเลาะโต้เถียงยังคงดำเนินต่อไปก่อนจะมีเสียงของหนักๆ ถูกขว้างจนแตก เด็กน้อยสูดหายใจเฮือกก่อนจะปิดประตูแล้ววิ่งกลับมาขึ้นเตียงพลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง มือน้อยๆ ทั้งสองข้างปิดหูแน่นเพื่อป้องกันเสียงแสลงหูเล็ดลอดเข้าไปสร้างความเจ็บช้ำให้อีก แต่ถึงแม้จะยังเป็นเด็กเพียงเจ็ดขวบ กฤตภาสก็ไม่เคยร้องไห้ไม่ว่าการทุ่มเถียงกันของบุพการีจะรุนแรงและทำร้ายจิตใจสักเพียงไหน
อันที่จริงแล้วเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่เคยร้องไห้นั้นตอนอายุเท่าไหร่ แล้วเพราะอะไรถึงได้ร้อง
ชายหนุ่มยืนนิ่งโดยไม่คิดจะก้าวออกไปปลอบตัวเองในอดีตเพราะรู้ว่านี่คือความฝัน และถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ผ่านมาหลายปีแล้ว การต้องมาเห็นตัวเองในวัยที่ยังไม่รู้ความและยังมีความหวังว่าสักวันความขัดแย้งของพ่อกับแม่จะคลี่คลายไปในทางที่ดีก็ทำให้เขานึกรำคาญความไร้เดียงสานั้นอยู่ไม่น้อย
จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็เลือนรางก่อนที่ความมืดด้านหลังกฤตภาสจะขยายใหญ่จนครอบคลุมไปทั้งห้อง ชายหนุ่มเริ่มตระหนกและมองไปรอบตัว เขาพบว่าตอนนี้ตนไม่ได้ยืนอยู่ในห้องนอนที่บ้านเมื่อสมัยเด็กอีกแล้ว แต่กลับกลายเป็นชานพักบันไดด้านนอกของอาคารเก่าคร่ำคร่าที่สีทาผนังหลุดล่อนเป็นแผ่นๆ
กฤตภาสดูไม่ออกว่าที่นี่คือที่ไหน รู้แต่เพียงว่าทั้งอาคารเงียบสงัดไร้ซึ่งสรรพเสียงที่ระบุว่ามีคนอยู่ เขาหรี่ตามองทางเดินมืดสลัวที่ทอดตรงเข้าไปในอาคาร ตลอดทางเดินทั้งสองด้านมีประตูเรียงรายราวกับที่นี่เป็นหอพักหรือไม่ก็อาคารผู้ป่วยร้าง เขาตัดสินใจเดินเข้าไปด้านในเพื่อค้นหาว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่ เสียงลมหวีดหวิวที่พัดอยู่ภายนอกโบยตีหน้าต่างและประตูแต่ละห้องให้เปิดและปิดสลับกันชวนให้ขนลุก
"อึ้ก!!"
ชายหนุ่มส่งเสียงคำรามเมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกถึงความแสบร้อนที่พุ่งเข้ามาบนหน้าอกด้านซ้าย เขาเหลือกตาลงมองมือที่จับมีดเล่มใหญ่แทงเข้ามาตรงหัวใจ ก่อนจะไล่สายตาขึ้นและพบว่าเจ้าของมือที่ก้าวออกมาจากประตูด้านข้างคือรุ่งภพ ใบหน้าของอีกฝ่ายราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ทว่ามือที่ปักมีดลงบนหัวใจเขากลับออกแรงดันไม่หยุดยั้ง
"เจ็บเหรอกฤต?"
น้ำเสียงของคนถามราบเรียบไม่มีสูงต่ำเช่นเดียวกับสีหน้า ทว่ากลับยิ่งเพิ่มความน่าขนลุกขนพองให้กับพฤติกรรมอาฆาตมาดร้ายมากยิ่งขึ้น กฤตภาสร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวดเมื่ออีกฝ่ายกระชับด้ามมีดแล้วกระชากออกจากอกเขาเต็มแรงจนเลือดสดๆ พุ่งกระฉูดเป็นสาย
"แก...เมฆ...ทำไม?"
กฤตภาสเซถอยจนแผ่นหลังชนเข้ากับผนัง เขาหันกลับทางเดิมและใช้มือยันด้านข้างเพื่อพยุงตัวหนีจากรุ่งภพให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือนยิ่งพยายามจะออกแรงก้าวเร็วขึ้นเท่าไหร่กลับเหมือนเขาย่ำอยู่กับที่ เมื่อเหลือบตาลงมองจึงเห็นว่าพื้นปูนเขรอะฝุ่นได้เจิ่งนองไปด้วยเลือดที่หลั่งลงจากแผลของเขาเองไปแล้ว
"อ๊ากกกกกก!!!!!"
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกระลอกเมื่อปลายมีดแหลมจ้วงแทงเข้ามาจากด้านหลัง กฤตภาสกระอักเลือดสีแดงฉานออกมาขณะก้มมองปลายมีดที่แทงทะลุอกซ้ายขึ้นมาด้านหน้า เขาเหลียวกลับไปมองด้านหลังอย่างช้าๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาอย่างไม่เร่งร้อน ก่อนที่มือของรุ่งภพจะแตะลงบนบ่าของเขาราวจะให้กำลังใจ
"เจ็บใช่มั้ยกฤต? ทีนี้แกคงรู้แล้วสิว่าเวลามีใครมาแทงหัวใจมันรู้สึกยังไง ฉันดีใจนะที่ในที่สุดแก็ได้มีอารมณ์ร่วมกับฉันบ้าง ไหนๆ ตอนนี้ฉันก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว ถ้างั้นเรามาตกนรกด้วยกันเลยดีมั้ย?"
"ฮึก!"
กฤตภาสเบิกตาโพลงโดยที่มือข้างหนึ่งกุมแผ่นอกด้านซ้ายแน่น ชายหนุ่มหายใจรุนแรงจนต้องหอบออกมาทางปาก เขารับรู้ได้ว่าทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเหนียวไปทั้งตัว แต่อย่างน้อยแววตาอาฆาตแค้นของรุ่งภพก็ไม่ได้กำลังจ้องมองเขาอีกต่อไปแล้ว
ชายหนุ่มพยายามผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติพลางกลืนน้ำลายอันเหนียวหนืดลงคอ นัยน์ตาสีนิลกวาดมองไปรอบห้องและค่อยๆ จำได้ว่าตนเข้าโรงพยาบาลเพราะโดนยิง มือขวาของเขาค่อยผ่อนแรงที่กำเสื้อจนยับยู่ยี่ออก จนเมื่อมั่นใจแล้วว่าตนตื่นจากฝันร้ายแล้วแน่นอนและปลอดภัยดี เขาจึงค่อยระบายลมหายใจยาวออกมาอย่างโล่งใจ
ร่างสูงใหญ่เอียงหน้าไปมองนาฬิกาบนผนังและพบว่าเพิ่งจะหกโมงเช้า สายตาของเขาไล่ต่ำลงจนหยุดอยู่บนใบหน้าของธีระที่นอนคลุมผ้าห่มขึ้นถึงคอและหันมาทางเขา ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์เหมือนยังอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดเผยอริมฝีปากออกเล็กน้อย ผมด้านหน้าบางส่วนตกลงมาปรกบนเปลือกตาจนกฤตภาสเห็นแล้วอยากยื่นมือไปเสยออก
หลังจากผ่านความฝันอันเลวร้ายทั้งจากเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงและไม่ใช่ ชายหนุ่มพบว่าเขาดีใจที่คนแรกที่ได้เห็นหลังจากลืมตาตื่นในเช้านี้คือเด็กคนนี้
กฤตภาสในวัยสามสิบสามนั้นผ่านหลายอย่างในชีวิตมาแล้วทั้งความผิดหวังและสมหวัง เช่นเดียวกับจำนวนผู้คนที่เขาได้พบปะและทำความรู้จักไม่ว่าจะโดยสมัครใจหรือความจำเป็นบังคับ ในจำนวนนั้นมีบางคนที่เขาพอจะนับได้ว่าเป็นเพื่อนและกล้าแสดงนิสัยเสียๆ ให้เห็น แต่ธีระเป็นคนแรกที่เขาเปิดเผยตัวตนด้วยถึงขนาดนี้ทั้งที่รู้จักกันเพียงไม่นาน
เขารู้ดีว่าอายุยี่สิบเอ็ดนั้นความจริงแล้วไม่ถือว่าเด็ก แม้ว่าบางครั้งคนที่กำลังหลับอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้จะเผลอพูดจาหรือแสดงพฤติกรรมที่สะท้อนวุฒิภาวะที่ยังน้อยออกมาบ้าง แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะธีระเป็นคนที่คิดอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น ความโปร่งใสและไม่เคยคิดจะเข้ามาตักตวงอะไรจากเขาเป็นดั่งสิ่งเร้าให้เขายิ่งอยากเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
กฤตภาสไม่เคยเจอใครที่เอาแต่พยายามจะผลักไสเขาแบบนี้ทั้งที่แค่เห็นแวบแรกก็รู้ว่าเจ้าตัวขี้เหงาและโหยหาความรัก และถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่มีทางจะมอบสิ่งที่ธีระต้องการให้ได้ เขาก็ไม่คิดจะปล่อยเด็กหนุ่มให้ห่างตัวไปมีโอกาสรับความรักจากใครอื่นเช่นกัน แต่นั่นเป็นความลับที่เขาจะไม่มีวันปริปากให้ใครได้ยินเป็นอันขาด
"อืม..."
จู่ๆ คนที่ดูเหมือนหลับสนิทก็ครางเสียงเบาก่อนจะขยับตัว กฤตภาสมองดูนัยน์ตากลมโตที่ค่อยปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาของทั้งสองประสานกันอย่างเงียบงันภายใต้ความสลัวจากผ้าม่านผืนหนาที่บดบังแสงยามเช้าไว้ และกฤตภาสก็นึกแปลกใจเมื่อตระหนักว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอากัปกริยาในยามตื่นเช่นนี้ของอีกฝ่าย
"ฉันอยากเข้าห้องน้ำ"
"หา?"
ธีระกะพริบตาปริบเหมือนสมองยังไม่ตื่นตัว เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นนั่งช้าๆ พลางปิดปากหาวและขยี้ผมฝั่งที่นอนทับจนชี้ฟูไปด้วย
บางทีก็ดูเหมือนเด็กจริงๆ...แต่มองแล้วก็เพลินดี...
กฤตภาสคิดพลางพยายามใช้แขนข้างที่ดียันตัวขึ้นเพราะรู้ว่านั่นจะทำให้เด็กหนุ่มรีบลุกมาหาได้ดีกว่าการเรียก และเขาก็คาดไม่ผิดเมื่อธีระก้าวเข้ามาประชิดเตียงแทบจะทันทีที่ชายหนุ่มวาดขาลงบนพื้น
"คุณลุกไหวเหรอ?"
"ถ้าไม่ไหวก็คงไม่ได้แล้วล่ะ เมื่อคืนไม่ได้เข้าห้องน้ำทั้งคืน ช่วยพาไปหน่อย"
ธีระหน้าเบ้ แต่ว่าก็คอยเดินข้างๆ เพื่อช่วยพยุงและลากเสาน้ำเกลือที่เสียบกับแขนกฤตภาสตามไปที่ห้องน้ำแต่โดยดี แต่พอเข้าไปแล้วกฤตภาสก็ขมวดคิ้วมองคนที่ทำท่าจะเดินออกไปรอหน้าห้อง
"จะไปไหนล่ะ เธอไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ฉันใช้แขนได้แค่ข้างเดียวนี่"
คนถูกท้วงหันกลับมามองชายหนุ่มที่ยกมือข้างที่ถูกเสียบสายน้ำเกลือเหมือนจะย้ำคำพูด จากนั้นก็มุ่นคิ้วมองเขาอย่างระแวง
"แต่คุณดูปกติดีออกนี่นา เดินเองก็ได้ถึงจะเซๆ ไปหน่อย ไม่เห็นต้องเรียกให้ผมช่วยด้วยซ้ำ"
"นี่นะ ฉันโดนยิงที่แขนไม่ใช่ที่ขา แล้วถ้าฉันใช้แขนทั้งสองข้างได้ปกติดีก็คงไม่รบกวนเธอให้กรุณาตามเข้ามาในนี้หรอก แต่ตอนนี้ฉันยังใช้แขนซ้ายไม่ไหวจริงๆ มาช่วยกันหน่อย"
ธีระฟังแล้วก็ทำเสียงฮึหนักๆ ทางจมูกเหมือนไม่อยากเชื่อว่าเขาพูดจริง กฤตภาสจึงต้องใช้วิธีขู่
"ไม่งั้นฉันจะฉี่ราดกางเกงแล้วให้เธอมาเช็ดพื้นให้เดี๋ยวนี้แหละ อยากทำแบบนั้นมากกว่าใช่ไหม?"
"คุณจะบ้าเหรอ! ไม่ใช่เด็กๆ นะที่พอถอดกางเกงไม่ทันก็ฉี่รดพื้นน่ะ! โอ๊ย!! ทำไมผมจะต้องมาคอยดูแลคุณด้วยเนี่ย!!!"
ธีระบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะก้าวกลับเข้าไปในห้องน้ำอย่างเสียไม่ได้ เด็กหนุ่มช่วยรูดเชือกกางเกงลงแล้วจับ 'น้องชาย' ของกฤตภาสออกมาชี้ไปทางชักโครกพลางหันไปทางอื่น ผิวแก้มเนียนใสแต้มสีระเรื่อด้วยความฉุนเฉียว ทว่ากฤตภาสเห็นแล้วนึกมันเขี้ยวอยากเพิ่มสีกลีบกุหลาบนั้นให้ชัดเจนขึ้น
"ก่อนหน้านี้ก็ได้เห็นได้จับอยู่บ่อยๆ ขนาดใช้ปากให้ก็ยังเคยมาแล้ว ยังจะอายอะไรอีก?"
คำยั่วยุได้ผลเพราะธีระหน้าแดงซ่านถึงใบหู กฤตภาสต้องกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่เพราะเด็กหนุ่มยิ่งพยายามหันหน้าหนีเขาจนเหมือนคอจะหมุน กระทั่งเขาทำธุระเสร็จแล้วเจ้าตัวถึงค่อยหันมาช่วยเขาเก็บ 'น้องชาย' แล้วดึงกางเกงขึ้นมาผูกให้อีกครั้ง
ธีระหันไปล้างมือแล้วก็ช่วยพยุงกฤตภาสพร้อมกับลากเสาน้ำเกลือกลับไปส่งที่เตียง แต่พออีกฝ่ายผละไปเขาก็รีบดึงชายเสื้อไว้
"จะไปไหน?"
"จะไปไหน? ตั้งแต่เมื่อคืนคุณก็ถามผมแบบนี้หลายครั้งแล้วนะ คุณได้ทำธุระของคุณเสร็จแล้วนี่ ผมก็มีธุระส่วนตัวต้องทำบ้างสิ"
เด็กหนุ่มตอบพลางย่นจมูกขึ้น กฤตภาสจึงค่อยถึงบางอ้อ
"ถ้างั้นเมื่อกี้ก็น่าจะทำให้เสร็จๆ ไปพร้อมกัน ฉันไม่ถือหรอกถ้าเธอจะฉี่ต่อหน้าบ้าง ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เคยเห็นกันซักหน่อย"
คราวนี้ธีระหน้าร้อนผ่าวขณะดึงชายเสื้อออกจากมือกฤตภาสอย่างแรงจนเป็นอิสระ
"ของคุณมันธุระเบา แต่ของผมมันธุระหนัก!"
เด็กหนุ่มตวาดแล้วก็เดินปึงปังเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับปิดประตูลงกลอนเสียงดัง ทว่ากฤตภาสที่เพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรกลับเพียงมุ่นคิ้วชั่วครู่ก็หัวเราะออกมาเต็มเสียงจนสะเทือนแผล เขายิ้มขณะเอี้ยวคอไปมองประตูห้องน้ำที่ปิดลงก่อนจะค่อยเอนตัวหนุนหมอนอย่างอารมณ์ดี ความขุ่นมัวในใจที่ยังตกค้างจากฝันร้ายเมื่อตอนเช้ามืดล้วนได้รับการชะล้างออกจากใจจนหมดสิ้น
ดูเหมือนว่า...เขาคงไม่มีทางยอมปล่อยธีระให้ไกลตัวได้อีกจริงๆ เสียด้วย
++---TBC---++
A/N: ในที่สุดก็ได้มาแปะตอนใหม่หลังปล่อยให้หลายคนสงสัยว่าตากฤตแผลติดเชื้อตายไปรึยัง XD สรุปว่ายังอยู่ดีมีสุข ถึงจะอ่อนแอกว่าปกติไปบ้างแต่ก็ยังมีเรี่ยวแรงกวนน้องตี้อยู่นะคะ แต่จะกวนมากขึ้นหรือน้อยลงในอนาคตนี่เดาใจพ่อเจ้าประคุณไม่ถูกจริงๆ คอยติดตามกันต่อไปค่า ^3^
