ทั้งสองยังถกกันเรื่องนี้ต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะเบนหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่น ทว่าธีระที่แอบฟังอยู่หลังผ้าม่านได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เขาหันกลับไปทางด้านหน้าเวทีแล้วก็ได้แต่คิดว่าจะเตือนกฤตภาสอย่างไรดีให้ระวังตัวจากพวกนักข่าวที่ไม่ได้ตั้งใจแค่จะเขียนสกู๊ปเรื่องของเขากับอรณิชเท่านั้น
ตอนนี้แสงไฟในห้องจัดงานถูกเปิดให้สว่างขึ้นแล้ว แต่โชคไม่ดีที่เก้าอี้ซึ่งเมื่อครู่กฤตภาสนั่งอยู่กลับมีคนอี่นมานั่งแทน เด็กหนุ่มตื่นตัวและรีบกวาดสายตาไปทั่วทันที แต่เพราะแขกในงานหลายคนต่างก็สวมสูทสีดำคล้ายกัน เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหา
...ไม่ยอมรับสาย แล้วนี่ลุกหายไปไหนกัน? เจ็บตัวอยู่แท้ๆ ทำไมยังต้องทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วงอีกนะ!?!
เด็กหนุ่มนึกฉุนขึ้นมา เขาหันหลังให้กิจกรรมบนเวทีแล้วตัดสินใจเดินไปหาที่ห้องน้ำแต่ก็ไม่เจอ เมื่อลองไปที่ห้องพักของทีมงานเผื่อว่ากฤตภาสจะนั่งพักอยู่ก็พบแต่ความว่างเปล่า ครั้นจะถามหาทางวิทยุไร้สายก็เกรงว่าจะทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นสงสัย จึงทำได้เพียงแค่เดินวนหาบริเวณรอบห้องจัดเลี้ยงต่อไปเท่านั้น
เสียงหัวเราะและปรบมือที่ดังมาจากห้องจัดงานแว่วๆ บอกให้รู้ว่ากิจกรรมภายในดำเนินไปด้วยดี และนั่นทำให้ธีระซึ่งเริ่มเหนื่อยกับการเดินตามหากฤตภาสชะลอฝีเท้าลง เมื่อได้มองผ่านกระจกเข้าไปเห็นบรรยากาศรื่นเริงภายใน เด็กหนุ่มก็หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่
ทำไมเขาจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ด้วยล่ะ... คุณกฤตก็ใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้มาตลอดก่อนที่จะเจอเขาไม่ใช่หรือ แถมวันนี้หมอเหวินยังมาคอยดูแลอยู่ข้างๆ ด้วย ตอนนี้ทั้งสองคนอาจจะชวนกันไปนั่งหลบผู้คนอยู่ที่ห้องไหนสักห้องก็ได้ ถ้าเขาตามไปเจออาจจะกลายเป็นว่าไปขัดจังหวะเข้าเสียอีก
ความรู้สึกเย็นยะเยือกเกาะกุมหัวใจราวกับมีผลึกน้ำแข็งจับ ธีระหมุนปิดเสียงวิทยุไร้สายที่เพื่อนร่วมงานกำลังใช้สื่อสารกัน จากนั้นก็หันหลังให้ห้องจัดงานแล้วปลีกตัวไปทางสวนหย่อมซึ่งอยู่อีกฝั่งอย่างเงียบเชียบ
เด็กหนุ่มเดินลอดซุ้มไม้ระแนงที่มีเถาไม้เลื้อยประดับก่อนจะออกไปโผล่ที่สวนหย่อมขนาดย่อม มุมหนึ่งของสวนมีศาลารูปทรงคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ด้านในมีม้านั่งทำจากหินขัดและมีโคมไฟดวงเล็กๆ แขวนอยู่ด้านบน ธีระเดินตรงเข้าไปที่ศาลาหลังนั้น จากนั้นก็นั่งบนม้านั่งพลางเอนหลังพิงลูกกรงอย่างเหนื่อยอ่อน
ความจริงแล้ววันนี้เขายังไม่ได้ทำอะไรที่ควรจะทำให้เหนื่อยเสียด้วยซ้ำ หน้าที่เลขาฯ ของกฤตภาสทำให้เขาค่อนข้างลอยตัวเนื่องจากต้องคอยประสานงานแทนเจ้าตัวไปตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น เวลานี้เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเบื่อหน่ายทุกสิ่งจนนึกอยากให้ค่ำคืนนี้ปิดฉากลงเสียที
คิดถึงเพื่อนๆ คิดถึงที่บ้าน แต่อีกใจก็ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากอธิบายอะไรเลย ทำไมความรู้สึกแบบนี้มันกลับมาอีกแล้วนะ...
เด็กหนุ่มนั่งเหม่อขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับคำถามที่ไร้คำตอบ ในอกว่างโหวงเหมือนไม่มีอะไรอยู่ภายใน แต่บางช่วงจังหวะกลับอึดอัดคล้ายกลุ่มก๊าซที่พร้อมจะระเบิด ความรู้สึกเช่นนี้ช่างชวนให้เขานึกถึงช่วงเวลาหลังจากเลิกกับณรงค์ใหม่ๆ เหลือเกิน ความรู้สึกเหมือนสถานที่ที่เขาเคยอ้างสิทธิ์ได้ถูกคนอื่นยึดไป และความว่างเปล่าที่ตามมาก็ทำให้เคว้งคว้างจนไม่รู้จะคว้าอะไรเป็นหลักยึดเหนี่ยว
ธีระรับรู้ถึงความร้อนผ่าวบนขอบตา เด็กหนุ่มยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดก่อนที่จะมีหยาดหยดหลั่งรินพลางสูดน้ำมูก ถึงจะหดหู่แค่ไหนแต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะเศร้า เพราะถ้ากลับเข้าไปในงานแล้วพวกพี่ๆ เห็นว่าหน้าตาเขาเหมือนจะร้องไห้คงจะพากันถามอย่างเป็นห่วงแน่ และสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากทำคือแต่งเรื่องโกหกมาหลอกให้ทุกคนสบายใจ
ตอนนี้เขาแค่อยากให้งานจบจะได้กลับไปพักผ่อนคนเดียวเงียบๆ ก็พอ ขอแค่นี้เท่านั้นเอง...
ร่างเพรียวลุกขึ้นพลางบิดร่างกายท่อนบนไปมา เขาเป่าลมออกทางปากแล้วค่อยสูดหายใจเข้าแรงๆ กระทั่งมั่นใจว่ารู้สึกดีขึ้นจึงค่อยเดินออกจากศาลา เพราะเขาก็ปลีกตัวออกมาได้ครู่ใหญ่แล้ว ตอนนี้ที่งานอาจจะมีอะไรให้ช่วยก็เป็นได้
"อ้าว? น้องตี้ไม่ใช่เหรอนั่น? ทำไมมาปลีกวิเวกตรงที่มืดๆ แบบนี้ล่ะครับ?"
คำถามนั้นทำให้ธีระชะงักฝีเท้าทันที เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจ้าของเสียงสืบเท้าออกมาจากเงามืดใต้ซุ้มไม้ระแนงอย่างเชื่องช้า แสงสลัวจากโคมไฟในสวนหย่อมช่วยให้เขาเห็นใบหน้าอีกฝ่ายถนัดตาในที่สุด
"ผมมาเดินเล่นน่ะครับคุณอิน กำลังจะกลับไปที่งานแล้วครับ"
"อืม แต่ในสวนนี่ก็อากาศดีจริงๆ ด้วยนะ มิน่าล่ะถึงหนีมาเดินเล่นตรงนี้"
อนุชิตก้าวลงบันไดเตี้ยๆ สามขั้นมายังสนามหญ้า กลิ่นแอลกอฮอลล์ที่ลอยตามลมมาทำให้เด็กหนุ่มเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังเมา
"เชิญคุณอินตามสบายนะครับ ผมขอตัวไปช่วยพี่ๆ ข้างในก่อน"
"ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ข้างในเขาจัดการทุกอย่างกันได้ มาเดินเล่นด้วยกันก่อนเป็นไร"
ธีระสูดหายใจลึกเมื่อถูกยึดข้อมือไว้ก่อนจะเดินหนีพ้น เขาพยายามจะชักมือออกแต่กลับยิ่งถูกบีบแน่นขึ้น
"คุณอิน...ปล่อยด้วยครับ"
"ทำไมล่ะ? คนอื่นนอกจากคุณกฤตจับแล้วรู้สึกไม่ดีเหรอ?"
นัยน์ตากลมโตวาวโรจน์ด้วยอารมณ์ที่ปะทุ ธีระสะบัดมือข้างที่ยังเป็นอิสระขึ้นหาใบหน้าของอนุชิตอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่ยังไม่ทันที่ฝ่ามือจะกระทบเป้าหมายก็ถูกยึดข้อมือข้างนั้นเอาไว้ด้วย
"คุณอิน! ปล่อยผม!!"
"เฮ้อ…คุณกฤตสอนลูกน้องมายังไงเนี่ย? กับลูกค้าเขาห้ามใช้ความรุนแรงเด็ดขาดเลยนะ หรือเวลาอยู่กับคุณกฤตสองต่อสองแล้วชอบเล่นเอสเอ็มกัน?"
คนตัวใหญ่กว่าเอ่ยพลางกระชากข้อมือของธีระจนถลาเข้าสู่แผ่นอก จากนั้นก็ถือโอกาสรวบร่างเข้าไปกอดและพึมพำอย่างอารมณ์ดี
"ทำไมไม่ลองรสชาติใหม่ๆ กับคนอื่นดูบ้างล่ะ? ยังอายุน้อยอย่างนี้อย่าเพิ่งรีบตกลงปลงใจดีกว่านะ"
ธีระมั่นใจว่าคู่กรณีเมามากแน่นอน เขาพยายามจะดิ้นหนีเมื่ออนุชิตก้มลงซุกไซ้ริมฝีปากบนซอกคอ ความโมโหถึงขีดสุดทำให้คิดว่าต่อให้ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อให้เป็นอิสระก็จะทำ
ทุกคนดีแต่มองว่าเขาเป็นเด็กก็เลยคิดว่าจะจูงจมูกไปทางไหนก็ได้ล่ะสิ! อย่ามาดูถูกกันง่ายๆ แบบนี้นะ!!!
เด็กหนุ่มพยายามจะยื้อแขนที่พัวพันบนร่างจนไม่ทันได้ยินเสียงสวบสาบของฝีเท้าที่ก้าวเร็วๆ เข้ามาจากด้านหลัง รู้แต่ว่าจู่ๆ แขนที่กอดรัดก็อ่อนเปลี้ยพร้อมกับเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดที่ข้างหู เขารีบถือโอกาสนั้นผลักอนุชิตเต็มแรงแล้วดีดตัวออกให้ห่าง พอตั้งตัวได้แล้วถึงค่อยเห็นว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหลังคนที่เพิ่งจาบจ้วงกับเขาไปหยกๆ
"รังแกเด็กแบบนี้ไม่ดีนะครับคุณอิน ถ้าหากเมาก็นั่งพักให้สร่างก่อนดีกว่านะครับ"
ไม่รู้ว่ากฤตภาสมาถึงตั้งแต่ตอนไหน แต่ท่าทางที่อีกฝ่ายจับแขนข้างหนึ่งของอนุชิตไพล่ไปด้านหลังพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบก็ทำให้ธีระรู้ว่าคนที่ช่วยเขาไว้คือเจ้านายของเขานั่นเอง แต่ดูเหมือนคนทำผิดจะไม่ยอมรับข้อกล่าวหาง่ายๆ
"จุ๊ๆ ทำไมถึงรีบใส่ความว่าผมรังแกเด็กล่ะครับ บางทีเด็กของคุณกฤตอาจเป็นคนที่นัดผมมาที่นี่เองก็ได้นะ"
"คุณอิน!! พูดให้มันดีๆ นะ! คืนนี้ผมแทบไม่ได้คุยกับคุณด้วยซ้ำ!!"
ธีระตวาดอย่างฉุนเฉียว เลือดในกายเดือดปุดจนอยากจะเข้าไปทุบตีคนตรงหน้าให้สาสมกับที่พยายามบังคับเขาแล้วยังโกหกหน้าด้านๆ แต่แววตาอันสงบนิ่งของกฤตภาสที่จ้องมองมาก็ช่วยรั้งเด็กหนุ่มให้ยืนอยู่กับที่
"เด็กของผมรสนิยมดีกว่านั้นเยอะครับ ทางที่ดีคุณอินอย่ายุ่งกับเขาอีกจะดีกว่า คงไม่ต้องเตือนนะครับว่าถ้าคนของคุณรู้เข้าจะเป็นยังไง ครั้งนี้ผมจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน"
กฤตภาสปล่อยมือก่อนจะเดินตรงมาหาธีระ จากนั้นก็โอบไหล่เขาแล้วพาเดินกลับไปยังทางเดินซุ้มไม้ระแนง ตอนแรกเด็กหนุ่มทำท่าจะเหลียวกลับไปมองด้านหลัง แต่กฤตภาสโอบไหล่เขาแน่นขึ้นพลางกระซิบเสียงต่ำ
"ไม่ต้องหันไป ให้มันจบแค่ตรงนั้นก็พอแล้ว"
ธีระพยายามตัดใจทำตามทั้งที่อารมณ์ยังพวยพุ่ง เด็กหนุ่มกำมือแน่นเพื่อข่มอาการสั่นให้สงบลง
"ผมไม่ได้นัดเขาไปตรงนั้น ผมแค่ออกไปเดินเล่นแล้วจู่ๆ คุณอินก็ตามมา ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ"
"ฉันรู้ ถึงได้พูดไงว่าเธอรสนิยมดีกว่านั้น"
น้ำเสียงของกฤตภาสราบเรียบและมั่นคง ความเยือกเย็นที่ถ่ายทอดออกมาช่วยดับความรุ่มร้อนในใจของธีระให้ค่อยๆ มอด ลมหายใจของเขาเริ่มไหลเวียนสะดวกขึ้นเมื่อพบว่ากฤตภาสไม่เชื่อคำพูดของอนุชิตเลยแม้แต่น้อย
ถ้าหากเมื่อกี้คุณกฤตไม่เข้ามาช่วย...เขาคงได้สู้สุดแรงจนลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โตแน่ๆ เชียว...
"ขอบคุณครับคุณกฤต"
ธีระเงยหน้าขึ้นเอ่ยเมื่อพบว่าร่างกายหยุดสั่นแล้ว แต่กลับได้เห็นเสี้ยวหน้าของกฤตภาสที่ซีดเซียวและมีเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผากจนน่าตระหนก
"คุณกฤต? เป็นอะไรรึเปล่าครับ!?"
"สงสัยยาชาจะหมดฤทธิ์"
กฤตภาสพูดเพียงแค่นั้นก็ขบฟันแน่น ธีระจึงตระหนักทันทีว่าไม่ใช่แค่เพราะยาชาหมดฤทธิ์หรอก แต่น่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายเพิ่งฝืนใช้แรงช่วยเขาจากอนุชิตมากกว่า!!
"ทำไงดี จะไปนั่งพักที่ห้องของทีมงานก่อนไหมครับ?"
"ไม่ได้ ถ้าเกิดมีคนอื่นเข้ามาเห็นเข้าจะผิดสังเกต ตอนนี้งานเลี้ยงใกล้จะจบแล้ว ไอ้เหวินนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ เดี๋ยวเธอพยุงฉันออกไปแล้วเราก็กลับกันเลย"
ธีระพยักหน้ารับ เขาพยุงกฤตภาสออกห่างจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวังที่สุด แต่ยังไม่ทันจะออกไปถึงล็อบบี้ จู่ๆ คนเจ็บก็เซจนโถมน้ำหนักเข้าดันเขาติดผนัง
"คุณกฤต! คุณเดินไหวรึเปล่า? ถ้าไม่ไหวผมจะได้โทรให้หมอเหวินมาช่วย"
เพราะดูแล้วลำพังเขาคนเดียวคงพากฤตภาสออกไปได้ไม่เร็วเท่าไหร่ แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ส่ายหน้า
"ขอพักนิดเดียว เดี๋ยวก็ไปต่อไหว"
"แต่ว่า..."
เด็กหนุ่มยังไม่ทันจะจับต้นชนปลายถูกก็เห็นใบหน้าของกฤตภาสก้มลงต่ำมากขึ้นทุกที พอรู้ตัวอีกครั้งริมฝีปากของทั้งคู่ก็สัมผัสกันแล้ว นัยน์ตากลมโตเบิ่งกว้างมองแพขนตาที่ปิดสนิทของคนตัวใหญ่กว่า แล้วก็ต้องหลับตาปี๋เมื่อรับรู้ถึงปลายลิ้นที่แตะลงบนกลีบปาก
"ฮึ..."
เสียงครางต่อต้านลอยผ่านลำคออย่างอ่อนแรง ธีระก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรทั้งที่พวกเขาอยู่ในบริเวณที่ล่อแหลมต่อการมีคนมาเห็นเหลือเกิน ครั้นจะยกมือผลักก็เกรงจะไปกระทบแผลของอีกฝ่าย ยิ่งพอถูกปลายนิ้วโป้งลูบไล้บนมุมปากคล้ายจะบอกให้เผยอริมฝีปากมากขึ้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนเข่าจะหมดแรง
"คุณกฤต...พอได้แล้ว...คุณไม่เจ็บแล้วรึไง?"
เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมสติขณะดันอกกฤตภาสออกห่าง แววตาที่ทอดมองมาทำให้ต้องเบนสายตาหลบไปทางอื่น ทั้งที่เมื่อครู่เขาโมโหจนแทบชกใครอีกคนที่มาทำรุ่มร่ามใส่ได้ แต่พอโดนคนคนนี้จูบเข้าทีเดียว...เขาก็มีปฏิกิริยาตอบรับต่างกันมากมายถึงขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้โมโหตัวเองไหวหรือ
"บอกแล้วไงว่าพักแค่นิดเดียว เอาล่ะ ไปกันเถอะ"
ธีระเม้มปากพลางเข้าพยุงกฤตภาสต่อ ทั้งสองเลี้ยวผ่านมุมอาคารที่ค่อนข้างมืดก่อนจะออกไปถึงล็อบบี้ซึ่งศุภวัฒน์นั่งรออยู่ เมื่อนายแพทย์หนุ่มเห็นท่าทางของพวกเขาก็ผุดลุกขึ้นมาหาทันที
"เฮ่ย! เป็นอะไรวะ!? ไหนเมื่อกี้บอกว่าจะไปตามตี้เฉยๆ ไม่ใช่เรอะ!?"
"เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้พากูกลับคอนโดก่อน"
ศุภวัฒน์มุ่นคิ้วขณะรับกุญแจรถจากกฤตภาส แต่ก็เพียงเดินนำเร็วๆ ออกไปด้านนอกโดยไม่เอ่ยขัด
"มึงยืนรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวกูไปวนรถมารับ"
พวกเขาทำตามที่นายแพทย์หนุ่มแนะนำ ไม่ช้าศุภวัฒน์ก็ขับรถของกฤตภาสมาจอดที่หน้าล็อบบี้ พนักงานโรงแรมช่วยเปิดประตูด้านหลังให้พวกเขาได้ก้าวขึ้นไปนั่ง เมื่อปิดประตูแล้วศุภวัฒน์ก็ขับออกจากบริเวณนั้นโดยไม่รอช้า
"มึงจะไม่กลับไปโรงพยาบาลจริงๆ เหรอวะ? กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงไปทำอะไรมา แต่คงไม่ได้ถึงกับแผลฉีกใช่ไหม?"
"กูถึงได้ให้มึงมาด้วยวันนี้ไงล่ะ จะมีเพื่อนเป็นหมอทำไมถ้าแค่นี้มึงช่วยกูไม่ได้น่ะ"
ศุภวัฒน์ฟังแล้วได้แต่คำรามในคอ ฝ่ายธีระมองคนที่กำลังขับรถให้แล้วก็หันกลับมามองคนที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างตัว
"หมอเหวินพูดถูกนะครับคุณกฤต น่าจะกลับไปที่โรงพยาบาลดีกว่า"
กฤตภาสส่ายหน้า จากนั้นก็เอนตัวลงหนุนศีรษะบนไหล่ของเขา เรียกแววตาหมั่นไส้จากเพื่อนสนิทที่มองผ่านทางกระจกมองหลัง
"กลับไปโรงพยาบาลตอนนี้ไม่ปลอดภัย ไม่ต้องห่วง แผลไม่ถึงกับฉีกหรอก อย่างมากคืนนี้ก็กินยาแก้ปวดเยอะหน่อยก็เท่านั้น"
ธีระได้แต่ขมวดคิ้ว แต่ในเมื่อกฤตภาสพูดอย่างนั้นแถมศุภวัฒน์ซึ่งเป็นหมอก็อยู่ด้วยจึงเลือกที่จะเงียบเสีย เด็กหนุ่มหันมองออกไปนอกหน้าต่างได้สักพักก็ต้องหันกลับมาเมื่อรู้สึกว่ามือข้างหนึ่งถูกกุมไว้แน่น เขาหลุบตาลงมองแพขนตาของกฤตภาสและเหงื่อที่ยังซึมตามไรผมบนหน้าผาก จากนั้นก็เพียงแต่ปล่อยให้คนเจ็บกุมมือไปตลอดทาง
หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมากจริงๆ อย่างที่ปากเก่งก็แล้วกัน ผมไม่อยากเห็นคุณเจ็บตัวมากขึ้นเพราะผมเป็นต้นเหตุหรอกนะ...
++---TBC---++
A/N: เอาตอนใหม่ของน้องตี้มากำนัลค่ะ หวังว่าอ่านแล้วคงอิ่มจุใจหลังได้หยุดยาวกันน้า