ปิยพลเอ่ยพลางมองเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ ทว่านัยน์ตากลับดูครุ่นคิด ธีระจึงรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะเกรงจะถูกซักไซ้
“เออใช่ เมื่อเช้านี้ตอนที่ตี้ไปซื้อน้ำเต้าหู้ พี่มิ่งฝากบอกว่าวันหลังจะชวนพี่ปิ๊กไปกินเหล้าด้วยล่ะ”
“หือ? ไอ้มิ่งน่ะนะ? ลูกก็โตจนจะขวบอยู่แล้ว มันคงไม่ได้จะหลอกพี่ไปมอมเหล้าแล้วฆ่าหั่นศพนะ”
ชายหนุ่มเอ่ยแล้วก็หัวเราะร่วน ธีระจึงกะพริบตาปริบอย่างงุนงง
“หา? ทำไมพี่มิ่งต้องอยากฆ่าพี่ปิ๊กด้วยล่ะ?”
ปิยพลหยิบทิชชู่มาเช็ดมือที่เปื้อนคราบน้ำมันปาท่องโก๋พลางส่ายหน้า ทว่ายังมีเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ
“เปล่าๆ พี่พูดเล่น ไอ้มิ่งมันไม่ทำอย่างนั้นหรอก พอดีตอนที่พี่มาซื้อบ้านที่นี่ใหม่ๆ ตอนนั้นไอ้มิ่งมันเพิ่งจะจีบน้ำ แต่น้ำคงเห็นพี่ไม่ใช่คนแถวนี้ก็เลยมาคอยช่วยแนะนำ ไอ้มิ่งมันเลยนึกว่าพี่จะแย่งผู้หญิงกับมัน โชคดีที่ตอนหลังน้ำก็ยอมรับรักแล้วแต่งงานกับมัน ไม่งั้นทุกวันนี้พี่คงไม่ได้มานั่งเย็บกระเป๋าสุขสบายยังงี้หรอก เมื่อก่อนไอ้มิ่งมันนักเลงจะตายไป”
ธีระฟังแล้วก็ทำท่าห่อไหล่ เขาพอจะดูออกว่าพี่มิ่งตอนที่ยังหนุ่มกว่านี้คงเฮี้ยวน่าดู ทั้งหุ่นล่ำสันและทรงผมสั้นเกรียนแบบทหาร ไหนยังจะลายสักพร้อยตลอดทั้งสองแขนที่ดูแล้วน่าเกรงขามนั่นอีก
แต่บางทีอาจไม่ใช่เพียงแค่รอยสักหรอกที่ทำให้เขาเกร็งเวลาเจอฝ่ายนั้น เพราะแม้ว่าลายสักจะคนละลายกัน แถมคนที่สักก็บุคลิกและรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกันเลยสักนิดเดียว แต่เมื่อใดที่เจอกัน มันก็ทำให้เขาลืมใครบางคนที่มีรอยสักรูปแมงป่องบนหัวไหล่ไม่ได้เสียที...
“ขอโทษนะคะ ผ้าพันคอลายนี้มีสีอื่นอีกมั้ยคะ?”
เสียงจากหญิงสาวซึ่งคงเป็นลูกค้าดังขึ้นที่หน้าร้าน ธีระจึงลุกขึ้นแล้วออกไปต้อนรับ เนื่องจากที่ร้านไม่ได้วางขายแค่กระเป๋าหนังของปิยพลแต่มีสินค้าอื่นๆ ที่คนรู้จักมาฝากขายด้วย ดังนั้นเวลาที่ญาติผู้พี่ไม่ว่างเพราะง่วนกับการเย็บกระเป๋า เด็กหนุ่มจะเป็นคนออกไปช่วยขายเพราะแต่ละอย่างมีราคาติดไว้อยู่แล้ว
ดูเหมือนจะมีคณะทัวร์มาลงเพราะแถวใกล้ๆ นี้มีวัดที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง นอกจากหญิงสาวคนนั้นแล้วจึงมีลูกค้าคนอื่นเดินตามเข้ามาเลือกชมอีกประปราย แต่บางคนก็เพียงหยิบของไปดูแล้วไม่ซื้อ ที่อุดหนุนบ้างก็เป็นเพียงสินค้าชิ้นเล็กๆ ที่ราคาเพียงไม่กี่ร้อยบาท
“ขายผ้าพันคอกับเสื้อยืดได้ล่ะพี่ปิ๊ก”
ธีระร้องบอกปิยพลเมื่อลูกค้าเดินออกไปหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงพยักหน้าพลางใช้ค้อนอันเล็กตอกแผ่นหนังต่อไป
“งั้นจดไว้ให้พี่หน่อย ตอนเจ้าของเขามาเคลียร์เงินจะได้รู้”
เด็กหนุ่มพยักหน้าพลางหันไปบันทึกรายการสินค้าที่ขายได้ลงในสมุดบัญชี ที่ร้านอื่นอาจใช้ระบบเครื่องแสกนบาร์โค้ด แต่ที่นี่ยังเขียนลงกระดาษ ตอนมาอยู่ที่ร้านวันแรกๆ ธีระก็เคยถามว่าทำไมถึงไม่เปลี่ยนไปใช้วิธีที่เหนื่อยน้อยกว่า แต่ปิยพลกลับตอบว่าเพราะวิธีนี้ทำให้จำได้ง่ายกว่าว่าขายอะไรไปแล้วบ้าง
หลังจดบันทึกเสร็จแล้วธีระก็หยิบการ์ตูนมานั่งอ่านที่เคาน์เตอร์ไปพลางๆ ขณะที่ปิยพลทำงานไปเรื่อย ตอนที่เดินทางมาถึงวันแรกๆ และยังไม่มีอะไรทำ เขาเคยขอให้ญาติผู้พี่สอนเย็บกระเป๋าจนได้ผลงานเป็นกระเป๋าใส่เศษเหรียญมาแล้วหนึ่งใบ แต่ปกติแล้วปิยพลจะค่อนข้างยุ่งเพราะต้องทำงานตามออเดอร์อยู่ตลอดเวลา ธีระไม่อยากกวนจึงอาสาทำหน้าที่เฝ้าร้านกับคอยช่วยงานอย่างอื่นแทน
จะว่าไปแล้ว...สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ก็อาจนับได้ว่าเป็นการฝึกงานอย่างหนึ่งเหมือนกัน ถึงแม้ว่ารูปแบบจะแตกต่างจากที่เคยทำก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงก็ตามทีเถอะ
จู่ๆ ธีระก็วางหนังสือการ์ตูนลงเมื่อนึกไปถึงชีวิตที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ ไม่น่าเชื่อว่าในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านั้นจะทำให้เขาพบเรื่องราวมากมายเหลือเกิน ถึงแม้จะไม่ได้มีแต่เรื่องที่น่าจดจำก็ตาม กระนั้นเขาก็ยังอดจะคิดถึงพวกรุ่นพี่ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...คนที่ทำให้เขาต้องหนีจากกรุงเทพฯ มาอยู่ไกลถึงน่านตลอดช่วงเวลาปิดเทอมที่เหลือนี้
คุณกฤต...ได้พยายามตามหาเขาบ้างหรือเปล่านะ? หรือว่า...ไม่ได้คิดว่าการที่เขาหายไปเป็นเรื่องสลักสำคัญ แล้วตอนนี้ก็หาคนที่จะคอยรองรับอารมณ์อยู่ข้างๆ แทนเขาได้แล้ว? แต่ถ้าคิดถึงนิสัยของคุณกฤตล่ะก็ มันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายเลยนี่นา...
มือของเด็กหนุ่มกำหนังสือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาก็ไม่เข้าใจความขัดแย้งนี้เหมือนกัน ทั้งที่ตัวเองเป็นคนตัดความสัมพันธ์แล้วเดินจากมาเอง แต่ในบางขณะที่ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในร้าน แค่ชั่ววูบเท่านั้น...ที่เขาอดจะคาดหวังไม่ได้ว่าจะได้เห็นเจ้าของนัยน์ตาคมดุที่ชอบบังคับแล้วก็ทำให้เขาใจเต้นผิดจังหวะอยู่เสมอ
นี่เรากลายเป็นพวกชอบทรมานตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ตอนพี่รงค์ก็ทีนึงแล้ว ทั้งที่ควรจะจำใส่หัวสักทีว่าการรักใครข้างเดียวมีแต่จะทำให้ใจเป็นแผลเหวอะหวะแท้ๆ...
"ตี้...เฮ้ย ตี้!"
เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนข้างหู เขาหันไปมองปิยพลอย่างตกใจ จึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะ
"ขวัญเอ๊ยขวัญมา ทำหน้าทำตายังกับโดนผีหลอก พี่จะถามว่าจะบ่ายโมงแล้ว หิวรึยัง?"
"อ้าว! จะบ่ายโมงแล้วจริงๆ ด้วย! ตี้ก็มัวแต่อ่านการ์ตูนจนไม่ได้ดูเวลาเลย งั้นพี่ปิ๊กอยากกินอะไร เดี๋ยวตี้ออกไปซื้อให้ก็ได้"
"หืม..."
ปิยพลเหลือบตาลงมองมือทั้งสองของเด็กหนุ่มที่เปิดหน้าการ์ตูนค้างไว้ ลักษณะที่กำมือแน่นจนหน้ากระดาษย่นนั้นไม่ใช่ท่าทางของคนที่กำลังอ่านการ์ตูนแล้วติดพันเพราะใจจดจ่อกับเนื้อหาแน่ๆ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิดและเพียงแต่หยิบเงินออกมาให้
"เอาง่ายๆ ก็แล้วกัน ผัดกระเพราหมูสับไข่ดาวพิเศษ ส่วนตี้อยากกินอะไรก็ซื้อมาเลย"
"ได้ครับ งั้นเดี๋ยวตี้ขี่จักรยานไปร้านป้าแป๋วดีกว่า พี่ปิ๊กจะได้ไม่รอนาน"
"ร้านป้าแป๋วเหรอ อ้อ...วันนี้ไอ้ขลุ่ยก็น่าจะอยู่นี่นะ"
ปิยพลพูดพลางกอดอกแล้วมองธีระยิ้มๆ ส่วนเด็กหนุ่มได้แต่ทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะสื่ออะไร
"เอาเถอะ ยังไงขับจักรยานก็ระวังด้วยล่ะ ถึงแถวนี้รถจะไม่เยอะแต่ก็ประมาทไม่ได้ เกิดตี้เป็นอะไรไปน้าตาลได้เอาพี่ตายแน่"
น้าตาลหรือแม่ตาลก็คือแม่ของธีระ เด็กหนุ่มจึงหัวเราะก่อนจะเดินไปจูงจักรยานออกจากโรงจอดรถหลังบ้าน จากนั้นก็ขับออกมาบนถนนโดยพยายามเลียบทางเท้าเพื่อไปยังร้านขายอาหารตามสั่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
เขาใช้เวลาเพียงห้านาทีก็ถึงจุดหมาย เนื่องจากร้านอาหารตามสั่งร้านนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมของคนท้องถิ่นเพราะราคาถูกและให้กับข้าวเยอะ ทำให้เวลาพักกลางวันมีคนมาต่อคิวรอซื้อค่อนข้างมาก
"อ้าว พี่ตี้ มาซื้อข้าวให้พี่ปิ๊กเหรอ?"
หลังจากธีระจอดจักรยานที่หน้าร้านแล้วก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยร้องถาม พอหันไปตามเสียงก็เห็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโย่งคนหนึ่งใส่ผ้ากันเปื้อนเดินออกมา
"อื้อ ทั้งของพี่ปิ๊กแล้วก็ของพี่แหละ ต้องรอนานมั้ยน่ะขลุ่ย?"
"ไม่นานๆ พี่ตี้จะเอาอะไร เดี๋ยวขลุ่ยแอบไปลัดคิวให้ก็ได้"
"เฮ่ย! ไม่เอาน่า ถ้าไม่นานมากพี่รอได้ ขอกระเพราหมูสับไข่ดาวราดข้าวสองกล่องก็แล้วกัน อันนึงพิเศษนะ อีกอันธรรมดา"
"กระเพราหมูสับไข่ดาวสองกล่อง พิเศษหนึ่งธรรมดาหนึ่งนะ ได้ๆ นั่งรอแป๊บนึง ตรงนี้ก็ได้ พัดลมลงด้วย จะได้เย็นๆ"
เด็กหนุ่มจดรายการที่เขาสั่งลงกระดาษแล้วก็ถือวิสาสะจูงมือไปนั่งตรงโต๊ะที่อยู่ใกล้พัดลม จากนั้นก็เดินเอากระดาษใบนั้นไปหย่อนลงตะกร้าหน้าเตาซึ่งแม่ของตัวเองกำลังทำอาหาร ธีระนั่งรอพลางดูรถราที่ขับผ่านหน้าร้านไปพลางๆ ราวสิบนาทีถัดมาเขาก็ได้อาหารที่สั่ง
"ขอบคุณมากขลุ่ย สองกล่องนี้เท่าไหร่เหรอ?"
"เอ...พิเศษ 35 ส่วนธรรมดา 30 ก็เท่ากับ 65 บาทครับ"
เมื่อจ่ายเงินและได้เงินทอนเรียบร้อย ธีระก็ถือถุงใส่กล่องข้าวทั้งสองออกจากร้าน แต่พอขึ้นจักรยานและเริ่มปั่นห่างออกจากร้านได้เล็กน้อย เด็กหนุ่มก็วิ่งตามมาส่งเสียงเรียก
"พี่ตี้ๆ รอแป๊บนึงสิ"
"หือ?"
ธีระยันเท้าไว้กับขอบฟุตบาทแล้วหันไปเลิกคิ้วมอง เขานึกว่าอีกฝ่ายทอนเงินผิดถึงได้วิ่งตามออกมา แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วเมื่อได้ยินประโยคถัดไป
"คือ...ช่วงนี้พี่ตี้ยุ่งมั้ย?"
"ยุ่งมั้ยเหรอ...เอ ก็ไม่รู้จะเรียกว่ายุ่งได้รึเปล่านะ ก็แค่คอยไปซื้อของกับช่วยทำธุระให้พี่ปิ๊กน่ะ"
เด็กหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะ เพราะแต่ละวันนั้นหากไม่ช่วยทำธุระเล็กๆ น้อยๆ ให้ปิยพลแล้วเขาก็แทบจะไม่มีอะไรทำ แถมถ้าหากจะออกไปเดินเล่นหรือนอนกลางวันก็ทำได้โดยที่ญาติผู้พี่ไม่ว่าด้วยซ้ำไป
"เหรอ...ถ้างั้น...ไว้วันไหนเราไปกินไอติมด้วยกันมั้ย?"
เด็กหนุ่มถามพลางซุกมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน รอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของหนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดดูเขินอายนิดหน่อยแต่ก็กระตือรือร้น และนั่นทำให้ธีระนึกขึ้นได้ว่าทำไมปิยพลถึงได้ยิ้มเจ้าเล่ห์ตอนที่เขาบอกว่าจะมาซื้อข้าวที่ร้านนี้
"...อ้อ วันนี้ไอ้ขลุ่ยก็คงอยู่ที่ร้านนี่นะ"นี่พี่ปิ๊กนึกว่าเรามาซื้อข้าวที่ร้านนี้เพราะอย่างนี้หรอกเหรอ...
ธีระคิดพลางเขม้นมองใบหน้าของคู่สนทนาที่มีสีแดงแต้มบนโหนกแก้ม ร่างสูงโย่งนั้นยังค่อนข้างผอมเหมือนร่างกายยังโตไม่เต็มที่ แต่ช่วงบ่าที่กว้างก็บ่งบอกว่าอีกหน่อยคงเป็นหนุ่มหุ่นลำสันทีเดียวหากยังเล่นกีฬาต่อไปและเลิกเดินหลังงุ้มเสียที
เอาเถอะ...คิดซะว่าไปเที่ยวกับน้องชายก็ได้มั้ง ถึงยังไงเขาก็ไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี่อยู่แล้วนี่นา
"อื้อ ได้สิ ไว้ค่อยนัดกันวันหลังก็แล้วกันนะ"
"ฮะ! จริงๆ นะ!? เย่!! โอเคครับผม งั้นเดี๋ยวค่อยนัดกันอีกที ผมขอกลับไปช่วยงานแม่ก่อนล่ะ"
ท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่ายทำให้ธีระอดจะยิ้มตามไม่ได้ เขาโบกมือให้เด็กหนุ่มที่หันหลังวิ่งจากไปก่อนจะหันกลับมาถีบจักรยานต่อ ทว่าจู่ๆ เมื่อมาถึงสามแยกก็มีรถเก๋งคันหนึ่งขับตัดหน้าอย่างกะทันหัน ความตกใจทำให้เขาเสียหลักจนจักรยานล้มลงกระแทกพื้น ข้าวกล่องทั้งสองที่ถือมาก็หล่นจนอาหารกระจัดกระจายเช่นกัน
"ซื้ดดด"
ธีระร้องพลางเอามือยันพื้นเพื่อลุกขึ้นนั่ง โชคยังดีที่เขาไม่ได้ล้มหัวฟาดแต่ว่ามือก็ครูดกับพื้นจนถลอก นัยน์ตากลมโตกวาดมองกล่องข้าวที่หล่นเกลื่อนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือก นี่ยังดีว่าเขาแค่ถูกเฉี่ยวจนจักรยานล้ม ถ้าหากถูกชนจังๆ เข้าล่ะก็...แค่คิดเท่านั้นก็เสียวไส้แล้ว
รถคันที่เพิ่งตัดหน้าเขาเมื่อกี้ชะลอจอดเลียบทางเท้าก่อนที่ใครบางคนจะเปิดประตูลงมา ส่วนธีระพยายามใช้ฝากล่องโฟมช้อนเศษข้าวที่กระจัดกระจายบนพื้นเพื่อเอาไปทิ้งถังขยะ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาแต่ก็ยังไม่ได้หันไปมองเพราะง่วนกับการพยายามกวาดเศษอาหารให้มากที่สุด
"ขอโทษนะครับน้อง! เป็นอะไรมากรึเปล่า..."
"ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ล้ม..."
ธีระเงยหน้าขึ้นจากพื้นถนน แต่แล้วเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เข้ามาถามได้ถนัดตาก็นิ่งอึ้ง ส่วนอีกฝ่ายก็ทำตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเช่นเดียวกัน
"ตี้?"
"พี่รงค์?"
ทำไมโลกถึงได้กลมแบบนี้...กับคนที่คิดว่าคงไม่ได้เจออีกแล้ว...จู่ๆ กลับได้มาพบกันอีกในสถานที่อันไม่คาดฝันเลยสักนิด
ธีระหัวตื้อไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ฉุกนึกขึ้นได้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่ณรงค์จะเดินทางไกลมาจากกรุงเทพฯ เพียงคนเดียว และก็เป็นดังคาดเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูรถเปิดอีกครั้งก่อนที่ใครบางคนจะเดินมาทางพวกเขาทั้งสอง และแล้วคำถามเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลียก็ดังขึ้นจากด้านหลังของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเพราะยังมองไม่เห็นว่าคนที่ถูกเฉี่ยวคือใคร
"Narong, is he ok?"
++---TBC---++
A/N: หลังหายหน้าหายตาไปนาน หวังว่าตอนใหม่คงยาวจุใจแฟนๆ นักอ่านที่รออยู่นะคะ สำหรับณรงค์กับไรอันที่โผล่มาตอนท้ายนี้เคยเป็นคู่เอก (และทำให้น้องตี้เคยอกหักรักคุด) จากเรื่อง ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ซึ่งถ้าใครไม่เคยอ่านเรื่องนั้นก็ขอแนะนำสุดตัวเลยค่ะ แล้วจะได้อรรถรสเพิ่มขึ้นอีกมาก ลิ้งค์ตามนี้เลย http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21049.0
และเช่นกัน ตอนนี้ Bellbomb กำลังเปิดจองโปรเจ็กต์รวมเรื่องสั้น ถ้าใครสนใจก็ตามไปอ่านรายละเอียดได้เหมือนกันเน้อ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43068.msg2769675#msg2769675
หวังว่าตอนใหม่นี้คงไม่ทำให้อ่านแล้วค้างกันมากเกินไปนะคะ แล้วพบกันใหม่ในตอนถัดไป คิดถึงทุกคนมากๆ แล้วจะรออ่านคอมเม้นต์ค่า 