"คุณลองชิมทอดมันนี่ดูสิ รสไม่ค่อยจัดนะ"
"อืม"
ธีระนั่งมองดูณรงค์กับไรอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา 'พี่รงค์' ของเขากำลังตักอาหารใส่จานให้คนข้างตัวอย่างเอาใจ ดูจากท่าทางแล้วสงสัยจะทะเลาะกันก่อนที่จะมาเจอเขาแน่ๆ ถึงได้ต้องคอยง้ออีกฝ่ายอยู่แบบนี้
เมื่อครู่นี้ตอนที่พวกเขาออกมาจากบ้านของปิยพล ณรงค์เป็นคนขับรถมาตามเส้นทางในแผนที่จนกระทั่งมาถึงร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ตลอดทางนั้นไรอันไม่พูดอะไรเลยสักคำ กระทั่งมาถึงร้านและสั่งอาหารแล้ว เขาก็ยังได้ยินเจ้าตัวออกเสียงอย่างมากแค่ "อืม" เวลาโดนชวนคุยเท่านั้น
หรือที่จริงแล้วไม่ได้อยากพาเขามาด้วยรึเปล่านะ ดูเหมือนทั้งสองคนคงกำลังลาพักร้อนมาขับรถเที่ยวกันเอง แต่โชคร้ายดันขับรถเฉี่ยวเขาพอดี ก็เลยอาศัยเขาเป็นตัวกันชนชั่วคราวรึเปล่า...
พอคิดมาถึงตรงนี้ธีระก็ชักกินอะไรไม่ค่อยลง ไม่ใช่เพราะอึดอัดที่ต้องมานั่งกินข้าวกับคนที่เคยคบกันและเจ้าของตัวจริง แต่เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางเสียมากกว่า
"ไม่หิวเหรอตี้? หรือไม่ชอบกับข้าวที่สั่งมา? พี่จำได้ว่าตี้ชอบกินกุ้งนี่นา"
ณรงค์หันมาทักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มนั่งเขี่ยข้าวไปมามากกว่าจะตักเข้าปาก ความดีใจซ่านขึ้นมาในอกวูบหนึ่งที่อีกฝ่ายยังจำของที่เขาชอบได้ แต่แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายเมื่อเห็นหนุ่มลูกครึ่งหรี่ตามองเขา
"ถ้าชอบก็กินสิ บอกแล้วว่าพามากินข้าว ไม่ใช่ให้มานั่งดูคนอื่นกิน เอ้านี่"
ผิดคาดเมื่อไรอันเป็นคนตักกุ้งตัวโตออกจากถ้วยต้มยำแล้ววางลงมาในจานให้ แถมนอกจากกุ้งตัวนั้นก็ยังตักไข่เจียวทรงเครื่องตามมาให้อีก ถึงแม้คำพูดที่ใช้จะฟังดูแห้งแล้งไร้น้ำใจ แต่การกระทำที่ตรงกันข้ามก็ทำเอาธีระอึ้งด้วยความสับสน
"เอ่อ...ขอบคุณครับ"
"ถ้าอยากกินอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้ก็สั่ง ถึงไงมื้อนี้หมอนี่ก็จ่ายอยู่แล้ว อยากจะสั่งแพงแค่ไหนก็สั่งเลย ไม่ต้องเกรงใจ"
"รัก..."
"ทำไม? หรือว่าคุณจะไม่จ่าย?"
"ผมยังไม่ได้พูดอย่างนั้นซักหน่อย"
ณรงค์กับไรอันหยุดเถียงกันเมื่อธีระหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว เด็กหนุ่มหัวเราะจนน้ำตาเล็ดขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองเงียบเสียงเมื่อสำนึกได้ว่ากำลังทะเลาะกันต่อหน้าคนอื่น และเสียงหัวเราะที่ดังไม่หยุดก็เรียกความสนใจของคนโต๊ะข้างๆ ให้พากันหันมามอง
"ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะขำนะ แต่ว่ามัน..."
ธีระเอ่ยพลางหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาซับน้ำตาบนหางตา รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้หัวเราะเต็มที่เช่นนี้มานานเต็มทน พอได้ส่งเสียงดังๆ แล้วรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก
"It's all your fault."
"ผมรู้ ผมก็ขอโทษไปก่อนหน้านี้แล้วไง ยังอยากทะเลาะกันให้ตี้เห็นอีกเหรอ?"
ธีระหลุดเสียงหัวเราะอีกเมื่อได้ยินทั้งสองยังเถียงกันต่อ สุดท้ายหนุ่มลูกครึ่งก็ส่งเสียงฮึขึ้นจมูกแล้วหันมาสนใจกับการกินข้าวแทน ณรงค์จึงได้แต่ยิ้มอ่อนๆ และคอยตักอาหารที่รู้ว่าเจ้าตัวชอบเติมให้ ธีระเห็นรอยยิ้มของณรงค์ที่ดูมีความสุขถึงแม้จะถูกคนรักทำให้ลำบากใจ และท่าทีของไรอันที่คงหายโกรธแล้วแต่ยังแสร้งทำหน้าปั้นปึ่ง แล้วไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ยิ้มออกทั้งที่มันน่าจะเป็นภาพบาดใจแท้ๆ
พวกเขาสามคนจัดการอาหารกลางวันที่เพิ่งได้กินตอนบ่ายจนเกลี้ยง หลังจากนั้นเนื่องจากยังไม่มีแผนจะทำอะไร ณรงค์จึงชวนธีระให้ไปเที่ยววัดที่มีชื่อเสียงในตัวเมืองน่านด้วยกัน
"ว่าแต่ทำไมถึงมาเจอกันที่นี่ได้ล่ะ พี่จำได้ว่าบ้านตี้อยู่ที่สุพรรณนี่นา?"
เมื่อบรรยากาศผ่อนคลายขึ้นระหว่างพวกเขาสามคน ณรงค์ก็หันมาถามความเป็นไปของธีระขณะกำลังเดินออกจากอุโบสถของวัดแห่งหนึ่งด้วยกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีความสุขแล้วกับไรอัน แต่ก็ยังคงรู้สึกผิดต่อเด็กหนุ่มอยู่ตลอดที่เคยทำให้ชีวิตช่วงหนึ่งต้องมาพัวพันกับปัญหาส่วนตัวของเขา
"อ๋อ พอดีว่าปิดเทอมนี้ตี้ไม่อยากกลับบ้าน ตอนแรกก็ฝึกงานอยู่ที่กรุงเทพฯ นั่นแหละ แต่พอใกล้เปิดเทอมแล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ก็เลยมาอยู่กับลูกพี่ลูกน้องที่นี่ก่อนน่ะ"
ธีระตอบโดยที่ริมฝีปากมีรอยยิ้มน้อยๆ เขาไม่ได้ขยายความว่าเพราะเหตุใดถึงเลิกฝึกงานกลางคัน แต่ดูเหมือนคนฟังก็ไม่ได้ติดใจ
"That guy...ผู้ชายคนนั้นไม่ได้เป็นแฟนหรอกเหรอ?"
ไรอันหันมาถามบ้างด้วยแววตาสงสัย ธีระจึงเบิกตากว้างแล้วก็รีบโบกมือปฏิเสธ "ไม่ใช่นะ! พี่ปิ๊กเป็นลูกพี่ลูกน้องผมที่สนิทกันเหมือนพี่น้องจริงๆ แต่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านั้น"
"หืม..."
"ผมก็ว่าเขาเป็นห่วงตี้แบบพี่ชายมากกว่านะ ทำไมคุณถึงคิดว่าเขาจะเป็นแฟนกันล่ะ?"
ณรงค์ถามอย่างสงสัย เพราะเขาเองก็มีน้องคนละแม่ซึ่งอายุห่างกับตัวเองมากอยู่สองคน จึงค่อนข้างจะคุ้นเคยว่าการแสดงความห่วงใยแบบพี่น้องนั้นต่างจากแบบคนรักอย่างไร
"ก็ไม่เชิงคิดว่าจะเป็นแฟนกันหรอก แค่สงสัยว่าใช่หรือเปล่า เพราะวันนี้สายตาเขาที่มองคุณมันธรรมดามาก ก็เลยคิดว่าคงเพราะมีคนอื่นแล้ว"
ไรอันบอกสิ่งที่สังเกตเห็นออกมาตามตรง แต่นั่นทำให้ธีระกับณรงค์หันกลับมามองหน้ากัน ฝ่ายณรงค์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจนิดหน่อย ขณะที่ธีระเองก็ประหลาดใจเพราะไม่ทันฉุกคิดเลยว่าวันนี้เขาพูดคุยกับณรงค์ ได้โดยที่ไม่รู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนสักนิด
สิ่งที่เขามีหลงเหลือเป็นเพียงความรู้สึกดีๆ กับอีกฝ่ายในฐานะคนที่เคยคบกัน แต่มันไม่ใช่ความโหยหาอาลัย หรือว่าอยากได้มาครอบครองเหมือนเช่นที่เคยรู้สึกในอดีต
"หรือว่าไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องคนนั้น? แต่ตี้มีแฟนใหม่แล้วสินะ?"
"เอ่อ..."
ธีระได้ยินคำถามแล้วก็รู้สึกว่าสมองตื้อขึ้นมาอย่างกะทันหัน แฟนใหม่หรือ...แฟนที่ว่าคือใครกันล่ะ เขาไม่เห็นจะได้เจอใครอย่างที่ทั้งสองคนพูดถึงเลย คนเดียวที่เขาได้พบในช่วงไม่กี่เดือนนี้ คนที่เข้ามาทำให้สมองและหัวใจสับสนปั่นป่วนจนไม่มีแก่ใจจะคิดถึงคนอื่น...ที่เขานึกได้ก็มีแต่ผู้ชายใจดำคนนั้นคนเดียว
มีแต่คุณกฤตคนเดียวเท่านั้น
"เฮ้ย! ตี้! ร้องไห้ทำไม?"
ภาพของเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้ม แต่ฉับพลันก็มีน้ำตาไหลพรากหลังจากที่เพิ่งโดนถามเรื่องคนรักทำให้ณรงค์ตกใจ กระทั่งไรอันก็เลิกคิ้วสูง
"ขอโทษครับ ไม่ใช่เพราะพวกพี่รงค์หรอก ตี้ก็แค่..."
...แค่ยังหยุดคิดถึงคนที่ทำร้ายจิตใจคนนั้นไม่ได้สักทีก็เท่านั้น และมันทำให้เขาสมเพชตัวเองเหลือเกินที่ปล่อยให้คนไร้หัวใจอย่างกฤตภาสเข้ามามีอิทธิพลจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้แบบนี้ นี่ถ้าเจ้าตัวได้มาเห็นว่าทำให้เขาอ่อนแอลงขนาดไหนก็คงจะสมเพชเขาไม่ต่างกัน เพราะคนอย่างคุณกฤตไม่เคยมีหัวใจไว้สำหรับใครหน้าไหนทั้งสิ้น
ธีระพยายามยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตา เขาได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนที่ไรอันจะเดินเข้ามาใกล้และยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแววตาสีน้ำตาลอ่อนมีแววลำบากใจอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น
"Sorry if that question bothered you."
"ไม่หรอกครับ ผมขี้แยเกินไปเอง ผ้าเช็ดหน้านี่ไม่ต้องใช้หรอก"
"เช็ดเข้าไปเถอะน่า ไม่รู้ตัวรึไงว่าน้ำมูกจะไหลเข้าปากอยู่แล้ว"
น้ำเสียงของไรอันฟังดูเหมือนรำคาญ แต่มือที่ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับบนใบหน้าให้กลับอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ ธีระได้แต่ยืนนิ่งขณะปล่อยให้อีกฝ่ายเช็ดใบหน้าให้จนสะอาด แถมพอเช็ดเสร็จแล้วเจ้าของผ้ายังยัดมันกลับลงกระเป๋าโดยไม่สนใจว่าจะเลอะเทอะเสียอีก
"...ขอบคุณครับ"
ธีระเอ่ยอย่างขัดเขินเมื่อตระหนักว่าเพิ่งโดนปลอบใจ แถมที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นคือผู้ชายคนนี้เคยสาดน้ำใส่ตอนที่เห็นเขาอยู่กับณรงค์เมื่อตอนที่พบกันใหม่ๆ ด้วย พอมานึกเทียบเหตุการณ์ในวันนั้นกับวันนี้แล้วมันช่างต่างกันหน้ามือเป็นหลังมือเหลือเกิน ดูเหมือนเวลาที่ผันผ่านจะหล่อหลอมให้พวกเขาไม่เหมือนกับตัวตนในวันวานอีกแล้ว
"มีปัญหากับแฟนอยู่เหรอตี้ จะเล่าให้พวกพี่ฟังก็ได้นะ อาจจะช่วยอะไรไม่ได้ก็จริง แต่อย่างน้อยตี้อาจสบายใจขึ้น"
ณรงค์ตบบ่าเขาแล้วถามอย่างเป็นห่วง เขารู้ดีว่าธีระเป็นคนที่พื้นฐานนิสัยสดใสร่าเริง การที่เด็กหนุ่มจะเสียศูนย์เช่นนี้ได้ก็น่าจะมีสาเหตุมาจากความรักเพียงประการเดียว
"ไม่เป็นไรหรอกพี่รงค์ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีกหน่อยตี้ก็คงลืมเขาเหมือนที่เขาก็คงลืมตี้ มันก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งที่เราบังเอิญได้เจอกัน แต่มันไม่มีทางจะยืนยาวได้ตั้งแต่ต้นแล้ว"
“เราทำสัญญาเป็นเซ็กส์เฟรนด์กันสามเดือน พอพ้นช่วงนั้นไปก็ถือว่าสัญญาสิ้นสุด ทั้งฉันและเธอไม่มีพันธะผูกมัดกันอีก”
คำพูดของกฤตภาสเมื่อวันแรกที่ใช้รูปถ่ายขู่ให้เขาต้องรับเงื่อนไขหวนกลับมาอีกครั้ง ตอนนั้นเขาจำใจตอบรับเพราะไม่มีทางเลือก ไหนเลยจะรู้ว่ามันจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดเพราะรักข้างเดียวโดยที่อีกฝ่ายไม่ รู้สึกรู้สาอะไรด้วยสักนิด อย่างมากที่สุด...ก็คงจะแค่หงุดหงิดที่ยังตักตวงจากเขาไม่ครบช่วงเวลาที่ตกลงกันไว้เท่านั้น
หากเปรียบไปแล้วกฤตภาสก็ไม่ต่างจากพายุที่พัดเข้ามาในชีวิตเขาวูบหนึ่งแล้วก็ผ่านไป ทิ้งไว้เพียงเศษซากความเสียหายในใจที่เขาต้องฟื้นฟูให้กลับมาเป็นดังเดิมตามลำพัง แต่ส่วนที่แย่คือเขาก็ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานแค่ไหน หรือว่าจะมีวันที่เขาสามารถกลับไปเผชิญหน้าอีกฝ่ายโดยไม่รู้สึกอะไรเหมือนที่เจอณรงค์ในวันนี้ได้หรือเปล่า
"You truly deserve someone better than this asshole."
แววตาของธีระคงสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่ไรอันรับรู้ได้ออกมา หนุ่มลูกครึ่งจึงเอ่ยพลางยกมือขึ้นบีบไหล่เขา ฝ่ามือนั้นถ่ายทอดความอบอุ่นมาให้อย่างที่เด็กหนุ่มไม่เคยคิดว่าจะได้รับจากคนที่เคยเป็นคู่อริทางความรัก
“ขอบคุณครับ”
ธีระเอ่ยอย่างจริงใจโดยมีรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปาก ไม่ว่าเรื่องราวระหว่างพวกเขาในอดีตจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เขารู้สึกดีใจมากที่ได้พบทั้งณรงค์และไรอันพร้อมกัน เพราะมันทำให้เขาตระหนักว่าตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรกับณรงค์มากไปกว่าพี่ชายอีกแล้ว และมันช่วยสลายปมในใจให้คลายไปอีกเปลาะหนึ่ง
“เอาล่ะ ถ้างั้นจะไปเดินเที่ยวที่อื่นกันอีกไหม? หรือว่าเราจะออกเดินทางกันต่อดี ผมกลัวว่าเดี๋ยวจะหลงทางอีกแล้วจะไปไม่ถึงที่พักเอา”
“ตอนแรกที่หลงนั่นก็เพราะคุณไม่ดูป้ายบอกทางให้ดีๆ ไม่ใช่รึไง?”
ไรอันหันไปย้อนคนข้างตัวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ธีระจึงเดาได้ว่าเหตุผลที่คู่รักทะเลาะกันก่อนจะมาเจอเขาก็คงเพราะเถียงกันเรื่องการเดินทางนี่เอง เลยอดจะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“จะไปพักที่ไหนกันเหรอครับ?”
“เชียงรายน่ะ พอดีเพื่อนของพี่เพิ่งย้ายไปเปิดร้านอาหารที่นั่นก็เลยชวนให้ไปเยี่ยม แล้ววันลาหยุดพวกพี่ก็ยังเหลืออีกหลายวัน เลยตัดสินใจขับรถมาเที่ยวกันแทนที่จะบิน”
ณรงค์ตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนใจ เขาชินเสียแล้วที่ไรอันจะหงุดหงิดยามที่ไม่ได้อะไรอย่างใจหรือเวลาที่ไม่รู้จะโทษว่าใครผิด แต่โชคดีที่เขาเรียนรู้มาแล้วว่าเวลาเจอกรณีแบบนี้ให้เออออตามและไม่เถียง เมื่อไหร่ที่ไรอันรู้สึกตัวว่ากำลังหงุดหงิดเรื่องไม่เป็นเรื่องก็จะหายโกรธไปเอง
“อ้าว! ถ้างั้นก็ต้องขับรถกันอีกหลายชั่วโมงเลยนี่นา งั้นตี้ว่าเดินทางกันต่อดีกว่านะ เพราะช่วงนี้อากาศไม่ค่อยดี ถ้าเกิดฝนตกหนักเหมือนอย่างเมื่อคืนนี้จะขับรถลำบาก”
“He has a point. The sky is getting cloudy.”
ไรอันเอ่ยพลางมองไปบนท้องฟ้าที่เมฆเริ่มรวมตัวกันหนาแน่น ขณะเดียวกันลมก็พัดกรูจนยอดไม้เสียดสีกันดังซ่า
“ถ้าอย่างนั้นไปกันต่อเลยก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวพวกพี่ไปส่งที่บ้านนะตี้”
“ไม่ต้องหรอกครับ จากตรงนี้เดี๋ยวตี้เดินกลับเองก็ได้ ว่าจะแวะซื้อขนมไปให้พี่ปิ๊กด้วย นั่งทำงานทั้งวันคงจะหิวแย่แล้ว”
“Are you sure?”
ไรอันถามเหมือนไม่อยากปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว ธีระจึงพยักหน้าและยิ้มให้
“ครับ ไม่ต้องห่วง ขอบคุณครับพี่รัก”
หนุ่มลูกครึ่งอึ้งไปนิดหนึ่งเมื่อได้ยินสรรพนามที่ธีระใช้ ก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะเหลือบไปเขม่นณรงค์ที่หันไปอุดปากหัวเราะอีกทาง
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับดีๆ ล่ะ แล้วก็...ไว้เจอกันที่กรุงเทพฯ”
ไรอันกระแอมก่อนจะเอ่ยทิ้งท้าย ท่าทางเจ้าตัวจะไม่ชินเท่าไห่รที่มีคนมานับถือเป็นพี่น้อง ณรงค์ที่พยายามกลั้นหัวเราะได้สำเร็จค่อยหันมาตบบ่าธีระแล้วกล่าวลาบ้าง
“พี่ดีใจที่ได้เจอตี้วันนี้นะ แล้วก็ดีใจที่เห็นว่าตี้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ถ้าหากมีเรื่องอะไรอยากปรึกษาก็บอกได้ พี่รักเขาคงไม่ว่าหรอกถ้าตี้จะโทรหา”
หนุ่มลูกครึ่งเหล่มองณรงค์อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขณะหมุนตัวเดินไปที่รถ ธีระเดินตามไปส่งจนกระทั่งทั้งคู่ขึ้นรถเรียบร้อยแล้วก็ยกมือขึ้นโบกให้ แต่ดูเหมือนไรอันยังไม่วางใจจึงเลื่อนกระจกลงถาม
"แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ไปส่งที่บ้าน?"
"แน่ใจครับ ผมเดินกลับเองได้จริงๆ ขอบคุณมาก"
เขายืนยันพร้อมรอยยิ้มเพื่อให้ทั้งสองสบายใจ ไรอันเห็นเด็กหนุ่มยืนกรานดังนั้นจึงไม่เกลี้ยกล่อมอีกและเลื่อนกระจกรถขึ้น จากนั้นณรงค์ซึ่งนั่งฝั่งคนขับก็ถอยรถออกสู่ถนนใหญ่ ไม่นานรถเก๋งสีเงินก็วิ่งหายไปจนลับสายตา
ธีระยืนนิ่งอยู่ที่เดิมจนกระทั่งไม่เห็นท้ายรถของทั้งคู่อีก ในใจเขาพลันปวดแปลบขึ้นมาวูบหนึ่ง มันไม่ใช่ความรู้สึกเสียใจที่เห็นคนทั้งสองมีความสุขด้วยกัน ตรงกันข้าม...มันเป็นความรู้สึกอิจฉาที่ทั้งคู่มีในสิ่งที่เขาไม่มี
ตลอดเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ได้เดินเที่ยวด้วยกันเมื่อครู่ ธีระซึมซับได้ถึงความผูกพันที่ณรงค์กับไรอันมีให้กัน ถึงแม้มันจะไม่ใช่ความรักหวานแหววแบบในอุดมคติ แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าทั้งสองต่างเป็นตัวของตัวเองอย่างสบายใจต่อหน้าอีกฝ่าย รวมถึงความวางใจในตัวคนรักจนไม่จำเป็นจะต้องแสดงออกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ และมันทำให้เขานึกสะท้อนใจขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม
คนที่จะรักเขา ยอมรับเขาในแบบที่เขาเป็น คอยงอนง้อเอาใจเวลาไม่ได้อย่างที่ต้องการ และคอยอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไร บางที...สำหรับเขาแล้วอาจจะไม่มีคนเช่นนั้นอยู่กระมัง
สายลมพัดวูบมาอีกครั้งพร้อมกับหยาดหยดที่เริ่มกลั่นตัวลงมาจากเมฆฝน ความหนาวเหน็บที่ซึมลงบนเสื้อผ้าเพิ่มความหนาวยะเยือกให้หัวใจซึ่งเต้นด้วยจังหวะเฉื่อยชา เด็กหนุ่มดึงฮู้ดที่ติดกับเสื้อยืดขึ้นมาคลุมศีรษะขณะมุ่งหน้าเดินกลับบ้าน โดยที่ตลอดทางนั้นเขาไม่รู้เลยว่าความเปียกชื้นบนใบหน้ามาจากหยาดฝนหรือหยดน้ำในตาของตัวเองกันแน่
++---TBC---++
A/N: พาน้องตี้กลับมาแล้วค่ะ ขอโทษด้วยที่หายหน้าหายตาไปนานเพราะมัววุ่นกับการแพ็คส่งผลงานรวมเรื่องสั้น ตอนนี้เคลียร์ออกไปได้หมดแล้ว ดังนั้นจะกลับมาอัพเดทน้องตี้อย่างเต็มตัวเหมือนเดิมละค่า 