"นายรุ่งภพ อินประภัสร์"
กฤตภาสลุกขึ้นเมื่อได้ยินเจ้าหน้าที่ประกาศชื่อคนที่เขามารอเยี่ยม ชายหนุ่มเดินเข้าไปยังห้องสำหรับเยี่ยมผู้ต้องขังภายในบริเวณทัณฑสถาน โดยก่อนจะเข้าไปนั้นต้องฝากของทุกอย่างให้กับเจ้าหน้าที่ เมื่อเขาเดินผ่านทางเดินไปจนถึงบริเวณเยี่ยมก็พบว่าคนที่เขามาหานั้นนั่งรออยู่อีกฝั่งของห้องยาวซึ่งมีกระจกและลวดตาข่ายกั้นไว้ บริเวณด้านข้างที่นั่งของรุ่งภพมีโทรศัพท์เช่นเดียวกับที่ฝั่งผู้มาเยี่ยมก็มีเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเพิ่งเคยมาสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรก แต่กฤตภาสก็รู้โดยไม่ต้องให้ใครบอกว่าต้องทำอย่างไร จึงเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู
ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่
"แปลกดีนะที่คนมาเยี่ยมฉันคือแก อยากมาเห็นด้วยตาตัวเองล่ะสิว่าตอนนี้สภาพฉันเป็นยังไง"
หลังจากตั้งสติได้เมื่อความแปลกใจผ่านไป รุ่งภพก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยันทว่าแหบแห้ง ใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยสะอาดสะอ้านและดูเรียบร้อยอ่อนโยน บัดนี้หยาบกร้านและมีไรเคราที่ไม่สม่ำเสมอเนื่องจากการโกนอย่างลวกๆ ร่างกายที่เคยกำยำดูซูบผอมจากคืนที่ได้เจอกันที่ผับไปมาก
"แกจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่ฉันไม่ได้มาถึงที่นี่เพื่อสมน้ำหน้าแกหรอกนะ เมฆ"
กฤตภาสรู้ว่าเขามีเวลาในการเยี่ยมจำกัดจนไม่ควรเสียเวลากับการต่อปากต่อคำ และสิ่งที่เขาเพิ่งเอ่ยก็เป็นความจริง จุดประสงค์ที่เขามาเยี่ยมรุ่งภพในวันนี้หาใช่เพื่อซ้ำเติม
รุ่งภพเงียบไป ชายหนุ่มชำเลืองมองผู้คุมที่อยู่ในบริเวณห้องเยี่ยมผู้ต้องขังด้วยแล้วก็ถอนหายใจ นัยน์ตาที่ลึกโหลคล้ายคนนอนไม่เต็มอิ่มสักคืนหลุบลงก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ
"ฉันรู้ความจริงทุกอย่างจากคุณลุงกับคุณโกเมทแล้ว ทำไมแกถึงไม่บอกฉันตั้งแต่ตอนแรกที่เนตรท้อง?"
"เพราะฉันรู้ว่าแกจะไม่เชื่อ ตอนนั้นสำหรับแกแล้วไม่มีคำพูดของใครมีน้ำหนักเท่ากับเนตร แต่เนตรก็รู้พอๆ กับที่ฉันรู้ว่าถ้าความแตกแกคงตามไปล่วงเกินพ่อของเด็กตัวจริงแน่ ถ้าเป็นแบบนั้นตำแหน่งงานของคุณลุงจะได้รับผลกระทบและแกเองก็อาจจะโดนเก็บ เนตรเลยเลือกที่จะหักหลังฉันมากกว่าปล่อยให้พ่อกับแกเดือดร้อน เพียงแต่ไม่มีใครคิดว่าแกจะกล้าเอาปืนมาไล่ยิงฉันถึงที่บ้าน"
"กระทั่งหลังจากเนตรแท้งแกก็ยังไม่มาบอกความจริงกับฉัน ยอมให้ฉันหาเรื่องแกไปเรื่อยๆ จนแทบเปิดบริษัทไม่ได้?"
รุ่งภพยังคงไม่เหลือบตาขึ้นมองเขา กฤตภาสพลันรู้สึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาติดหมัด
"ฉันไม่ใช่สุภาพบุรุษหรืออยากเล่นบทพระเอกอะไรหรอก อีกอย่างตอนนั้นเนตรก็แท้งไปแล้ว การบอกว่าพ่อของเด็กไม่ใช่ฉันมีแต่จะทำให้แกคิดว่าฉันพยายามปัดความรับผิดชอบ อีกอย่างแกเองมีธุรกิจที่ต้องดูแล ฉันก็มีบริษัทของฉันที่ต้องพยายามสร้างให้เป็นรูปเป็นร่างเหมือนกัน ตอนนั้นฉันคิดว่าถ้าเวลาผ่านไปแกคงปล่อยวางแล้วเลิกตอแยฉันไปเอง แต่แกไม่เลิก...ฉันยอมรับว่าฉันโมโหมากตอนที่รู้ว่าพ่อคิดจะเทคโอเวอร์บริษัทของแก เพราะตอนที่กู้เงินพ่อมาทำบริษัทช่วงแรกๆ ฉันไม่เคยอาศัยชื่อพ่อในการหาลูกค้าเลย ฉันอยากให้แกรู้ว่าเคยทำให้ฉันลำบากไว้แค่ไหนกว่าจะลืมตาอ้าปากได้ก็เลยไปห้ามพ่อเอาไว้ แต่ฉันยอมรับว่าไม่ได้ติดตามข่าวของเนตร เลยไม่รู้เรื่องที่เธอป่วยจนสุดท้ายก็ฆ่าตัวตาย สำหรับเรื่องนั้น...ฉันเสียใจ บางทีฉันอาจจะผิดเองตั้งแต่แรกที่ไม่บอกความจริงว่าพ่อของเด็กไม่ใช่ฉัน บางทีตอนนี้พวกเราคงไม่ต้องมานั่งคุยกันผ่านกระจกแบบนี้"
กฤตภาสเอ่ยจบก็ระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ นี่คือสิ่งที่เขาตั้งใจจะมาพูดกับรุ่งภพหลังจากใช้เวลาคิดมาหลายวันนับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล จริงอยู่ว่าครั้งนี้เขาไม่ได้ป่วยหนักหนาสาหัส แต่เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นลูกโซ่ทำให้กฤตภาสเริ่มคิดถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับคนรอบตัว และรุ่งภพคือปมแรกที่เขาต้องการจะคลาย
"ถ้าหากรู้ว่าพ่อของเด็กตัวจริงคือใครตั้งแต่ตอนนั้น ฉันคงผลีผลามทำอะไรจนโดนสั่งเก็บไปแล้วก็ได้ แกพูดถูก...ฉันหุนหันเกินไป ไม่ว่าเนตรพูดอะไรก็พร้อมจะเชื่อทั้งที่ส่วนลึกในใจก็สงสัยว่าแกน่ะเหรอจะหักหลังฉัน แต่เพราะแกไม่ปฏิเสธ ฉันก็เลยปักใจเชื่อว่ามันคือความจริง"
"ฉันรู้ว่าถึงพูดตอนนี้ก็คงสายเกินไปแล้วและแกอาจจะไม่อยากได้ยินคำนี้จากฉันก็ได้ แต่ว่า...ฉันขอโทษ"
รุ่งภพกะพริบตาปริบก่อนจะเหลือบมองกฤตภาสอย่างประหลาดใจ ตลอดช่วงเวลาที่รู้จักกันนั้นเขาไม่เคยได้ยินกฤตภาสเอ่ยคำว่าขอโทษกับใครโดยที่เต็มใจหรือหมายความตามที่พูดจริงๆ เลยสักครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่น้ำเสียงและแววตาของอีกฝ่ายล้วนสะท้อนความรู้สึกเดียวกับคำที่เอ่ยอย่างเต็มเปี่ยม
คนตรงหน้าเขายังคงเป็นกฤตภาส ศิตานนท์ที่รู้จักกันมาตลอดเวลาร่วมสิบกว่าปี แต่มีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกว่าอะไรบางอย่างในตัวเพื่อนของเขาได้เปลี่ยนไป และแม้แต่เจ้าตัวเองก็อาจไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เลยด้วยซ้ำ
"ช่างมันเถอะ พวกเราต่างคนต่างก็ทำตัวเอง ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปจะส่งผลยังไงต่ออนาคต แกเองก็คงไม่ทันคิดเหมือนกันว่าการปล่อยให้เนตรโกหกฉันจะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ตามมา ตอนนี้พวกเราก็ได้แต่ต้องก้มหน้าชดใช้สิ่งที่ทำลงไปเท่านั้น"
กฤตภาสไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขารู้สึกคล้ายกับว่าในที่สุดความยอกแสยงในใจคล้ายมีหนามแหลมทิ่มแทงเพราะเรื่องของรุ่งภพและเนตรนภาก็ถูกยกออกไปเสียที และคำพูดของรุ่งภพในวันนี้ช่างคล้ายกับคำพูดที่พ่อของเขาเอ่ยเมื่อวันที่เข้าโรงพยาบาลไม่มีผิด
'เราไม่รู้หรอกว่าการตัดสินใจในวันนี้จะส่งผลต่อความสุขในอนาคตแค่ไหน'ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังและรู้ว่าเวลาในการเยี่ยมใกล้จะหมดลงแล้ว ฝ่ายรุ่งภพไม่ได้หันไปมองตามแต่ก็พอจะเดาได้ คนที่อยู่อีกฝั่งของกระจกและลวดตาข่ายจึงเอ่ยขึ้น
"กฤต"
"หือ?"
กฤตภาสส่งเสียงรับในคอผ่านหูโทรศัพท์ เขาดึงสายตากลับมามองเพื่อนอีกครั้ง แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นนัยน์ตาลึกโหลของรุ่งภพมีรอยยิ้ม ถึงแม้ยิ้มนั้นจะไม่ได้แผ่ไปถึงส่วนอื่นของใบหน้าก็ตาม
"ขอบใจมากนะที่มาเยี่ยมวันนี้ ถึงแม้จะเสียใจที่ผู้หญิงที่ฉันรักจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่อย่างน้อยฉันก็ดีใจที่ได้เพื่อนกลับมา"
"อืม"
"ใกล้จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว ฉันรู้ว่าแกงานยุ่ง แกไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมฉันบ่อยๆ หรอก เพียงแต่ฉันขอร้องอะไรสักอย่างได้ไหม?"
กฤตภาสสูดหายใจพลางกระชับมือที่ถือหูโทรศัพท์แน่นขึ้น "ว่ามาสิ"
"ฉันคงไม่มีวันได้พบเจอหรือรักใครอีก ฉันเคยฝันมาตลอดตั้งแต่ตอนที่หมั้นกับเนตรว่าสักวันฉันจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่น ไม่ให้ซ้ำรอยชีวิตตัวเองตอนเด็กที่บ้านแตกสาแหรกขาด ตอนนี้ฉันไม่มีวันที่จะทำความฝันนั้นให้เป็นจริงอีกแล้ว แต่ฉันยังมีแก...แกจะมีความสุขแทนฉันได้ไหม จะมีใครสักคนที่แกยินดีจะรักและทุ่มเทชีวิตให้เขา ทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุขเหมือนที่ฉันเคยอยากทำให้เนตรได้ไหม"
"เมฆ..."
"ฉันรู้ ที่ผ่านมาแกไม่เคยรักใคร แต่ละคนที่เข้ามาก็อยู่กับแกได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น ยังไม่เคยมีใครเข้าถึงหัวใจแกได้ แต่แปลกนะ...ที่ฉันสังหรณ์ว่าการที่แกมาหาฉันวันนี้เพราะใครบางคนทำให้แกเปลี่ยนไปแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้นึกถึงมิตรภาพที่พวกเราเคยมีกันมาแค่ไหน คนอย่างคุณชายกฤตภาสก็ไม่มีวันจะยอมมาเหยียบเรือนจำแน่ๆ"
"นี่แกเห็นฉันแย่ขนาดนั้นเลยรึ"
กฤตภาสเอ่ยพลางหัวเราะเสียงต่ำในคอ ทว่ารอยยิ้มเบาบางที่อยู่บนริมฝีปากของเขาหาใช่รอยยิ้มหยัน และรอยยิ้มเดียวกันก็สะท้อนอยู่บนใบหน้าของรุ่งภพที่นั่งอยู่อีกฟากของกระจก
"สัญญาสิกฤต แกจะใช้ชีวิตข้างนอกนั่นแทนฉัน แกจะมีความสุขแทนฉัน แกไม่ต้องมาเยี่ยมฉันอีกหรือพาคนรักของแกมาหาฉันก็ได้ แต่อย่างน้อยแกจะรักใครสักคนและใช้ชีวิตเพื่อเขา...แทนในส่วนที่ฉันกับเนตรทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว สัญญาสิ"
หมดเวลาเข้าเยี่ยมแล้ว กฤตภาสมองแผ่นหลังของรุ่งภพที่เดินหายไปหลังประตูอีกฟาก จากนั้นก็ระบายลมหายใจยาวก่อนจะเดินออกมาจากห้องเยี่ยมผู้ต้องขัง เขาเดินสวนผู้คนในทัณฑสถานออกมาจนกระทั่งถึงรถที่จอดเอาไว้ เมื่อเปิดโทรศัพท์ก็เห็นรายการมิสคอลโดยที่สายล่าสุดคือพ่อของเขาเอง จึงกดโทรกลับเผื่อว่าอีกฝ่ายมีธุระด่วน
"ฮัลโหล?"
"กฤตรึ ไปไหนมา พ่อโทรเข้าบริษัทก็เห็นเขาบอกว่าไม่อยู่"
"ผมมาเยี่ยมเมฆน่ะครับ"
ปลายสายอึ้งงันไป ก่อนที่ผู้สูงวัยจะทวนคำด้วยน้ำเสียงแปลกใจสุดขีด
"ไปเยี่ยมเมฆ? ไปทำไมกัน!?"
"มีบางเรื่องที่ผมอยากจะเคลียร์น่ะครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับพ่อ ตอนนี้ผมกับเมฆ...ไม่มีอะไรติดค้างในใจกันอีกแล้ว"
น้ำเสียงสงบนิ่งของกฤตภาสค่อยทำให้คู่สนทนาวางใจ โกเมทถอนหายใจยาวอย่างนึกปลง จากนั้นจึงค่อยวกกลับเข้าประเด็นที่โทรหาในตอนแรก
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว จริงสิ แล้วคุณมุกได้โทรมาหาหรือยัง?”
“แม่เหรอครับ? พอดีผมเพิ่งเปิดเครื่องเมื่อกี้แล้วเห็นมิสคอลล่าสุดมาจากพ่อก็เลยโทรมาก่อน สงสัยก็คงจะอยู่ในรายการมิสคอลล่ะมั้ง”
กฤตภาสตอบอย่างแปลกใจ แม่ของเขาไม่ค่อยได้โทรมาหาบ่อยนักยกเว้นว่าเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ และเท่าที่จำได้นั้นอีกฝ่ายไม่เคยโทรหาพ่อของเขาเลยนับตั้งแต่หย่าขาดจากกัน จึงค่อนข้างแปลกใจที่ครั้งนี้พ่อกลับรู้ว่าแม่โทรมาหาเขา
“ถ้าอย่างนั้นก็โทรกลับไปหน่อยก็แล้วกัน พอดีคุณยายของแกโทรมาถามพ่อว่าติดต่อแกได้รึเปล่า เพราะว่าคุณมุกกำลังจะกลับมาเมืองไทยอาทิตย์หน้า คงอยากจะนัดให้แกไปรับล่ะมั้ง"
“แม่จะกลับมาอาทิตย์หน้า? เข้าใจแล้วครับ งั้นเดี๋ยวผมโทรหาแม่เอง”
ชายหนุ่มทวนคำอย่างแปลกใจ เพราะรู้ดีว่าปกติแล้วแม่ของเขาไม่ค่อยอยากกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดถ้าไม่มีธุระจำเป็น ครั้งสุดท้ายที่กลับมาก็เพื่อมาร่วมงานศพของญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเมื่อสี่ปีก่อน ดังนั้นหากไม่ใช่เพราะมีเรื่องสำคัญจริงๆ คงไม่บินกลับมาปุบปับโดยไม่เกริ่นกับเขาล่วงหน้าเช่นนี้แน่
หลังจากวางสายแล้วกฤตภาสก็สตาร์ทรถ เขาพยายามครุ่นคิดว่ามีเรื่องใดที่ทำให้แม่ของเขาต้องกลับมาในช่วงนี้หรือไม่แต่ก็นึกไม่ออก สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจขับรถกลับบริษัทก่อน เพราะว่าด้วยสภาพอารมณ์ในตอนนี้...เขายังไม่อยากคุยกับผู้ให้กำเนิดอีกคนในเวลานี้เท่าไรนัก
++---TBC---++
A/N: ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาหลังเขียนตอนนี้จบก็คือ...นี่เป็นนิยายที่ยาวที่สุดที่เคยเขียนมาเลยแฮะ แต่สำหรับคนอ่านคงอยากรู้มากกว่าว่าเมื่อไหร่ตากฤตกับน้องตี้จะได้เจอกันซักที 