เล่ห์ลวงใจ บทที่ 37
วันที่ธีระต้องไปลองชุดสำหรับเดินแบบนั้นเป็นช่วงต้นสัปดาห์ โชคดีว่าแม่ของศันสนีย์นัดทุกคนให้ไปพบกันที่ห้องเสื้อตอนสายจึงทำให้ไม่ต้องเจอการจราจรติดขัด ตอนที่เขาไปถึงนั้นก็พบว่ามีคนที่มาก่อนและเริ่มลองชุดกันไปบ้างแล้ว
"อ้าวตี้ มาแล้วเหรอ ทางนี้เลยทางนี้"
ศันสนีย์ที่กำลังช่วยเตรียมชุดให้นางแบบและนายแบบหันมาเห็นเขาก็รีบโบกมือเรียก หน้าตาของหญิงสาวยิ้มแย้มแจ่มใส ดูท่าทางคงมาถึงห้องเสื้อพร้อมกับผู้เป็นแม่และทีมงานตั้งแต่เช้า และคงจะลองชุดของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว
"น้องพราว พี่ตี้มาแล้วจ้ะ นี่คนที่จะเดินแบบคู่กับพราวไง"
เมื่อธีระได้ยินเพื่อนแนะนำก็หันไปมองเด็กสาวที่กำลังลองชุดอยู่หน้ากระจก เธอตัวเตี้ยกว่าเขาเล็กน้อย ใบหน้าเรียวรีขาวผ่องเช่นเดียวกับผิวกาย ผมที่ยาวถึงสะโพกถูกถักเป็นเปียและปัดมาบนไหล่ข้างหนึ่ง ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มีเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักหันมามองเขาแล้วก็ยกมือไหว้
"สวัสดีค่ะ โห ไหนพี่ซันบอกว่าเป็นเพื่อนที่มหา'ลัย ทำไมหน้าเด็กยังกับรุ่นเดียวกับพราวแน่ะ"
"แหม ใครจะไปหน้าสูงวัยแบบอีเมธล่ะจ๊ะคุณน้อง รายนั้นน่ะหน้าเหมือนอาจารย์มาตั้งแต่ ม.ต้นแล้วล่ะมั้ง"
"น้อยๆ หน่อยหล่อน ฉันเป็นพวกหนังหน้าคงที่ต่างหาก ตอนเด็กหน้ายังไง ตอนนี้ก็ยังหน้าเหมือนเดิม"
สุเมธที่กำลังลองชุดอยู่อีกด้านหันมาเหน็บคืนบ้าง เรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงจากทุกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ธีระแปลกใจนิดหน่อยที่เด็กสาวดูร่าเริงและเป็นกันเองกว่าที่คิดไว้ เขามองร่างเล็กระหงในชุดกระโปรงสีขาวที่สั้นเหนือเข่า ตัวกระโปรงเป็นผ้าโปร่งฟูซ้อนกันคล้ายชุดบัลเล่ต์แล้วก็เอ่ยชม
"ชุดน้องพราวน่ารักจังครับ ตกลงวันงานจะใส่ชุดนี้เหรอ?"
"ใช่ค่ะ พี่ตี้รีบไปลองชุดเร็ว พราวอยากเห็นว่าพอยืนคู่กันแล้วจะเป็นยังไง"
เด็กสาวเร่งพลางหัวเราะคิกคัก ธีระจึงหันไปทางราวแขวนชุดที่มีชื่อของแต่ละคนติดเอาไว้ จากนั้นก็ถือไปยังห้องลองชุดซึ่งอยู่ด้านในสุด เนื่องจากห้องลองชุดมีจำนวนจำกัดในขณะที่มีนางแบบและนายแบบร่วมสี่สิบคน ทำให้กว่าเขาจะได้เข้าไปลองชุดบ้างก็ผ่านไปครู่ใหญ่
เมื่อธีระสวมชุดที่ถูกเตรียมไว้ให้แล้วก็เดินกลับมายังมุมที่เพื่อนๆ รออยู่ พอศันสนีย์และพราวภิรมย์เห็นเข้าก็ทำตาแวววาวอย่างชอบใจ
"อ๊าย!! น่ารักมากเลยตี้ ฉันนึกแล้วว่าชุดนี้ต้องเข้ากับแก!"
ศันสนีย์เอ่ยอย่างภูมิใจ ชุดที่เธอเลือกไว้ให้ธีระนั้นเป็นเสื้อสูทลำลองสีขาวตัวสั้นเข้ารูปที่แขนยาวเพียงข้อศอก ตัวเสื้อด้านในเป็นเชิ้ตไม่มีปกสีเทาเข้ม ส่วนกางเกงขนาดพอดีตัวเป็นสีฟ้าอ่อน เมื่อคาดเข็มขัดหนังและสวมรองเท้าสีน้ำตาลก็ทำให้ดูสดใสแต่กึ่งทางการพอสำหรับออกงาน
"ไหนๆ อืม...พราวว่าถ้าใส่แว่นกันแดดน่าจะยิ่งเท่นะ ลองใส่ของพราวดูก่อนก็ได้ อ๊า! เด่นขึ้นมาเลยจริงๆ ด้วย!"
"จริงด้วย! ดูลุคเพลย์บอยขึ้นมาเลย งั้นวันงานจริงใส่แว่นกันแดดด้วยนะตี้ เดี๋ยวฉันเอาเรย์แบนมาให้ยืม"
สองสาวต่างวัยช่วยกันจัดชุดให้เขาแล้วก็พากันกรี๊ดกร๊าด ทำเอาธีระกับสุเมธมองหน้ากันแล้วก็ยิ้มแห้งๆ พลันเสียงกระดิ่งจากประตูร้านที่ถูกผลักเข้ามาก็ดึงดูดสายตาของเด็กหนุ่มให้หันไปมองโดยไม่ตั้งใจ ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูภูมิฐานแต่ก็หน้าตาใจดีคนหนึ่ง ส่วนชายหนุ่มที่เดินตามหลังก็ช่างคุ้นหน้าจนธีระต้องรีบหันหนีด้วยความตกใจ
หมอเหวิน!?
"อ้าวตายจริง คุณวิมาด้วยเหรอคะ เห็นว่าไม่สบายอยู่นี่นา"
"ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะคุณสุ ไหนๆ ก็ใกล้จะวันจัดงานแล้ว เลยอยากมาดูหน่อยว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ท่าทางกำลังวุ่นกันเลยนะคะนี่"
"ปีนี้นายแบบนางแบบเยอะน่ะค่ะ ว่าแต่คุณเหวินก็ตามมาดูแลคุณแม่ด้วยเหรอ มีลูกชายเป็นหมอนี่ดีจังนะคะ"
แม่ของศันสนีย์เอ่ยทักทายผู้มาใหม่ทั้งสองอย่างสนิทสนม แต่นั่นกลับทำให้ธีระยิ่งเหงื่อตก แวบแรกที่เห็นศุภวัฒน์เมื่อครู่เขาก็สังหรณ์ใจไม่ดีแล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าฝ่ายนั้นคงไม่ทันมองมาทางมุมนี้ของห้อง
ทำยังไงดี นี่หมอจะอยู่เฝ้าคุณแม่จนกว่าทุกคนจะลองชุดเสร็จหรือเปล่านะ ถ้าหากเราขอหลบเข้าไปเปลี่ยนชุดแล้วแอบออกไปทางประตูหลังจะดีไหม...
ธีระก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนวิตกเกินเหตุไปหรือเปล่า บางทีต่อให้ศุภวัฒน์เห็นเขาก็อาจไม่ได้หมายความว่าจะชักนำให้กฤตภาสกลับเข้ามาในชีวิตก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็ไม่ต้องการจะเสี่ยง
"พี่ตี้คะ ไปถ่ายรูปตรงสวนหน้าร้านกันดีกว่า ป๊ากับม้าบอกว่าอยากเห็นคู่เดินแบบของพราว"
เด็กสาวคล้องแขนเขาพลางทำท่าจะพาเดินไปที่ประตูซึ่งศุภวัฒน์ยืนพิงผนังอยู่ไม่ห่าง นายแพทย์หนุ่มยกมือกอดอกพลางมองนางแบบนายแบบที่กำลังลองชุดหรือเดินไปเดินมาด้วยแววตาเฉื่อยเนือย ถึงแม้จะแสดงท่าทางว่าไม่สนใจใครมากนัก แต่ถ้าเขาเดินผ่านหน้าล่ะก็ต้องถูกจำได้แน่ ธีระจึงหันไปบอกพราวภิรมย์อย่างนุ่มนวล
"ถ่ายรูปกันตรงนี้ก็ได้นี่ครับน้องพราว มุมนี้ก็สว่างเหมือนกันนะ"
"แต่พราวว่าแบ็คกราวด์มันไม่สวยอ้ะ แถมคนก็เยอะจนดูวุ่นวายยังไงไม่รู้ พราวอยากไปถ่ายตรงสวนข้างหน้าที่มีซุ้มดอกไม้มากกว่า นะๆ พี่ซันกับพี่เมธก็ไปด้วยกันสิคะ"
เด็กสาวหันไปหาพวกเมื่อเห็นว่าธีระไม่เต็มใจ และก็ได้ผลเพราะทั้งคู่พยักหน้าและพากันเดินขนาบเขาไปทางประตูร้านด้วยความยินดี ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ธีระจึงได้แต่ใช้นิ้วกดแว่นกันแดดให้ติดหน้าเข้าไว้ และอาศัยหุ่นบึกบึนของสุเมธเป็นกำบังเพื่อที่ศุภวัฒน์จะได้ไม่ทันสังเกตเห็นเขา
"อุ๊ย! ฉันเพิ่งนึกได้ว่าชาร์จมือถือไว้ในห้องแต่งตัวตั้งแต่เมื่อเช้า เดี๋ยวขอกลับไปเอาแป๊บนึง พวกหล่อนรอฉันตรงนี้ก่อนนะ"
จู่ๆ สุเมธก็เอ่ยขึ้นเมื่อพวกเขาเกือบจะเดินไปถึงประตูร้านอยู่แล้ว จากนั้นร่างล่ำสันก็หันหลังกลับเข้าไปด้านในทันทีโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าทำให้เพื่อนผิดแผน ธีระได้แต่เหลียวกลับไปมองคนที่ตั้งใจจะให้ช่วยเป็นโล่ห์บังตัวอย่างขัดใจ เมื่อหันหน้ากลับมาอีกครั้งก็ได้ประสานสายตากับศุภวัฒน์ที่กำลังเลิกคิ้วมองเขาเข้าอย่างจัง
แย่ล่ะสิ...หวังว่าหมอคงจำเราไม่ได้นะ...
ธีระรู้สึกว่าหนังศีรษะชาวาบ เขารีบเอานิ้วกดแว่นกันแดดไว้แล้วสาวฝีเท้าออกจากร้านให้เร็วขึ้น แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงสุเมธที่ร้องเรียกมาจากด้านหลัง
"ตี้! ซัน! บอกแล้วว่าให้รอก็รอกันหน่อยสิยะ!"
"ตี้? ตกลงว่าเป็นน้องตี้จริงๆ เหรอเนี่ย?"
ความคลางแคลงของศุภวัฒน์หายไปทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น เขารีบคว้าแขนของธีระก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันก้าวเท้าจากไป เมื่อเขาจับไหล่ผอมให้หันมาหาก็ได้เห็นใบหน้าที่ขมวดคิ้วและเม้มปากแน่น ดังนั้นแม้จะยังสวมแว่นดำบดบังสายตาเอาไว้ แต่เขาก็มั่นใจว่าไม่ผิดตัวแน่แล้ว
"น้องตี้จริงๆ ด้วย มาทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะ?"
"มีอะไรหรือเปล่าคะ?"
ศันสนีย์เห็นท่าทางของทั้งคู่ก็เอะใจจึงรีบเดินเข้ามาถาม เรียกความสนใจจากสุเมธและพราวภิรมย์ให้หันมามองตามเป็นตาเดียว ธีระเห็นดังนั้นก็กลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่หากพวกเพื่อนๆ รู้ว่าศุภวัฒน์เป็นเพื่อนของกฤตภาส จึงหันไปยิ้มให้แล้วก็พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด
"พอดีเจอคนรู้จักน่ะ เดี๋ยวทั้งสามคนออกไปถ่ายรูปเล่นกันก่อนก็แล้วกันนะ ขอเราคุยกับพี่เขาแป๊บนึงแล้วจะตามไป"
นัยน์ตาศันสนีย์เหลือบมองธีระสลับกับศุภวัฒน์อย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก แต่ก็เพียงแค่พยักหน้าก่อนจะเดินนำสุเมธกับพราวภิรมย์ออกจากร้าน เมื่อลับหลังเพื่อนๆ แล้วธีระถึงค่อยหันกลับมายิ้มบางๆ ให้คนที่จับแขนเขาไว้แน่น
"หมอเหวินครับ ผมไม่หนีไปไหนหรอกครับ ปล่อยแขนผมได้แล้วล่ะ"
"เอ้อ ขอโทษทีๆ หมอก็ลืมตัวไปหน่อย ถ้างั้นไปนั่งคุยกันตรงด้านโน้นดีกว่า ตรงนี้คนเดินผ่านไปมาเยอะ น่าจะคุยไม่สะดวก"
ธีระพยักหน้าแล้วก็เดินตามอีกฝ่ายไปนั่งหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงินซึ่งไม่ค่อยมีคน พนักงานของร้านนำน้ำเย็นมาให้พวกเขาคนละแก้วก่อนจะเดินจากไป ศุภวัฒน์ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ก่อนจะหันมายิ้มให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ
"ตี้ ไหนๆ หมอก็รู้แล้วว่าเราเป็นใคร งั้นช่วยถอดแว่นกันแดดออกทีเถอะ ไม่งั้นพอคุยกันแล้วมันทะแม่งๆ ยังไงไม่รู้"
"อะ...ขอโทษครับ ผมลืมไป"
ธีระเอ่ยพลางถอดแว่นกันแดดออกเสียบบนกระเป๋าเสื้ออย่างปลงๆ ไม่นึกเลยว่าโลกจะกลมขนาดนี้ ที่แท้แม่ของศุภวัฒน์ก็เป็นหนึ่งในกรรมการสมาคมเหมือนกัน ถ้าหากรู้มาก่อนเขาจะไม่มีทางยอมตกลงมาร่วมเดินแบบเด็ดขาด
"ไม่ได้เจอกันเป็นเดือนแล้วมั้งนี่ สบายดีมั้ย? หลังจากเลิกฝึกงานแล้วไปอยู่ที่ไหนมาเหรอ?"
"ผมไปอยู่บ้านญาติมาน่ะครับ แต่นี่ใกล้จะเปิดเทอมแล้วก็เลยกลับมา"
"อ้อ...แล้วนี่มาทำอะไรที่นี่ล่ะ หรือว่าตี้ก็จะเดินแบบด้วย?"
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบอย่างเสียไม่ได้ "ครับ พอดีว่าแม่ของเพื่อนเป็นกรรมการสมาคม เขาขอให้มาช่วยเป็นนายแบบให้หน่อย ผมก็เลยตอบตกลงไป"
และตอนนี้ก็เริ่มจะเสียใจขึ้นมาแล้วด้วย... ธีระก้มหน้าลงพลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบ สีหน้าท่าทางไม่สบายใจนั้นอยู่ในการสังเกตของศุภวัฒน์โดยตลอด เนื่องจากเขาไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างกฤตภาสกับธีระ จึงตัดสินใจไม่ทำให้อีกฝ่ายตกใจด้วยการเลี่ยงไม่เอ่ยชื่อเพื่อนสนิทออกมา
ทั้งสองนั่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง ธีระเหลือบมองผ่านผนังกระจกออกไปเห็นเพื่อนๆ กำลังถ่ายรูปกันอยู่บริเวณซุ้มดอกไม้หน้าร้านอย่างสนุกสนาน พลันเขาก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นได้จึงรีบหันไปหาคนข้างตัว
"เอ่อ คุณหมอครับ"
"หืม?"
"เขา...คุณกฤต...จะไปงานเลี้ยงคราวนี้ด้วยรึเปล่าครับ?"
นั่นเป็นสิ่งที่เขาหวาดหวั่นที่สุด ธีระเคยคิดว่าสามารถปล่อยวางเรื่องของกฤตภาสได้แล้ว ตัดใจจากรักที่ไม่มีวันจะสมหวังได้แล้วระหว่างที่ใช้เวลาอยู่กับปิยพลที่น่าน แต่แล้วข่าวในโทรทัศน์เมื่อไม่กี่วันก่อนก็ทำให้เขาตระหนักว่าตนล้วนทึกทักไปเอง และสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการคือการเผชิญหน้ากับกฤตภาสในเวลาที่แผลใจของเขายังไม่ปิดสนิท
ศุภวัฒน์มองสบนัยน์ตากลมโตแล้วก็หลุบตาลงขณะยกน้ำขึ้นจิบ เขาพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้จากที่กฤตภาสเคยเล่าให้ฟังว่าธีระขอให้ปล่อยเจ้าตัวไป แล้วยิ่งได้มาเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มในวันนี้ ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าถึงแม้กฤตภาสจะเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจแค่ไหน แต่ถ้าหากคิดจะตามสิ่งที่เคยทำหายไปคืนมา...อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับสิ้นหวังเสียทีเดียว
แต่นั่นเป็นเรื่องที่เขาจะกระโตกกระตากให้คนตรงหน้ารู้ไม่ได้เด็ดขาด
"อย่างไอ้คุณชายเนี่ยนะ? ตี้ก็เคยทำงานกับมันมาก่อนนี่ น่าจะรู้ว่ากฤตมันไม่ชอบออกงานถ้าไม่ใช่อิเว้นท์ที่ตัวเองจัด ต่อให้มีคนจ่ายค่าจ้างให้มันไปโชว์ตัวด้วยสิเอ้า ยิ่งงานเลี้ยงการกุศลแบบนี้มันยิ่งไม่สนเข้าไปใหญ่”
นายแพทย์หนุ่มรัวคำตอบอย่างคล่องปากเพราะทุกคำเป็นความจริง กฤตภาสไม่ชื่นชอบการไปร่วมงานเลี้ยงในลักษณะนี้มาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่เขายังไม่ได้ออกปากเชิญเจ้าตัวให้มางานนี้ก็เท่านั้น และถ้าหากรู้ว่ามาแล้วจะได้เจอธีระล่ะก็...เขาอาจจะยืนยันเต็มปากเต็มคำแบบนี้ไม่ได้ก็เป็นได้
"เหรอครับ"
ธีระฟังแล้วก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ท่าทางที่แสดงออกอย่างไม่ระมัดระวังนั้นล้วนอยู่ในสายตาอันฉับไวของศุภวัฒน์ทั้งสิ้น เขามั่นใจว่าเด็กหนุ่มต้องยังมีความรู้สึกบางอย่างให้เพื่อนของเขาแน่นอนจึงลองหยั่งเชิง
"แต่ว่า...ถ้าหากรู้ว่าตี้ไปงานนี้ กฤตมันก็อาจจะยอมไปก็ได้นะ"
"ไม่ได้นะครับ! ผมหมายถึง...ไม่จำเป็นต้องเอาชื่อผมไปเชิญคุณกฤตหรอกครับ มันไม่มีประโยชน์"
"ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ เห็นกฤตมันบอกว่าตี้เลิกฝึกงานไปเป็นเดือนแล้ว ไม่อยากเจอเจ้านายเก่าหน่อยเหรอ?"
คำปฏิเสธทันควันของธีระทำให้ศุภวัฒน์แปลกใจ เขาจึงตัดสินใจแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มกับเพื่อนของเขาเคยมีเรื่องบาดหมางกัน เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองแสดงได้ดีแค่ไหน แต่อาการนิ่วหน้ารวมทั้งแววตาของธีระบ่งบอกว่าไม่ค่อยเชื่อใจเขานัก
"คุณหมอ ผมไม่รู้หรอกนะว่าได้ยินอะไรมาบ้าง แต่ผมเชื่อว่าตอนนี้คุณกฤตคงลืมผมไปแล้วล่ะครับ ดังนั้นอย่าพยายามไปเตือนให้เขาจำได้จะดีกว่า"
"ทั้งๆ ที่ตี้ยังไม่ลืมมันเลยน่ะเหรอ?"
คำถามของศุภวัฒน์กรีดลึกถึงก้อนเนื้อในอกจนธีระกำแก้วน้ำแน่น หลังจากเลือกคำพูดอยู่ชั่วครู่ เขาก็เงยหน้ามองผู้สูงวัยกว่าด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววเด็ดเดี่ยว
"เมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้เห็นข่าวของคุณกฤตกับแฟนใหม่แล้ว ดังนั้นมันไม่สำคัญหรอกว่าผมจะลืมหรือเปล่า ยังไงเสียปัจจุบันก็สำคัญกว่า ผมคิดว่าเป็นการดีที่สุดถ้าหากพวกเราทุกคนทำเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้คุณกฤตกำลังมีความสุข ผมเองก็กำลังกลับไปสู่ชีวิตที่คุ้นเคยเหมือนกัน ดังนั้นปล่อยให้ทุกอย่างจบลงแบบนี้แหละดีที่สุดแล้วครับ"
น้ำเสียงอันหนักแน่นทำให้ศุภวัฒน์อยากถอนหายใจ ถึงแม้คนตรงหน้าจะดูนอบน้อมแค่ไหนแต่ก็หัวแข็งไม่ใช่เล่นเลย ขณะที่กำลังคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรดี ประตูร้านก็เปิดออกพร้อมกับที่เด็กสาวหน้าตาน่ารักก้าวเข้ามาทางพวกเขา
"พี่ตี้ รีบออกไปถ่ายรูปกันเถอะ แสงตอนนี้กำลังสวยเลย จะได้รีบกลับมาเปลี่ยนชุดแล้วออกไปกินข้าวเที่ยงกัน"
พราวภิรมย์ยื่นมือมากอดแขนธีระอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ เด็กหนุ่มมองใบหน้าที่ดูเหมือนกำลังงอนนิดๆ แล้วก็รู้ว่าต้องเป็นศันสนีย์ที่ส่งอีกฝ่ายมาแน่ จึงหันไปยิ้มให้ศุภวัฒน์และยกมือขึ้นไหว้
"ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณหมอ ยังไงสำหรับเรื่องที่คุยกันเมื่อกี้ ผมรบกวนคุณหมอด้วยนะครับ"
"อืม ได้ งั้นไว้ค่อยเจอกันวันงานนะ"
ธีระเพียงแต่ยิ้มบางๆ ขณะปล่อยให้เด็กสาวลากแขนออกไป ศุภวัฒน์มองตามพลางทำตาครุ่นคิด เขาทบทวนคำพูดของเด็กหนุ่มเมื่อครู่แล้วก็ได้แต่นึกสงสัย
เชื่ออย่างนั้นจริงๆ เหรอตี้ว่ากฤตมันจะลืมทุกอย่างได้...ประเมินไอ้คุณชายต่ำเกินไปแล้ว...
อาจเป็นเพราะธีระไม่ได้รู้ความเป็นไปของกฤตภาสเลยในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เจ้าตัวถึงได้กล้าพูดอย่างมั่นใจว่าฝ่ายนั้นลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว แต่เขาที่เป็นเพื่อนสนิทมาตลอดสามสิบกว่าปีรู้ดีว่านั่นไม่ใช่ความจริง เพราะถึงเพื่อนของเขาจะดูเหมือนเป็นคนโลเลเวลาคบกับใคร แต่ลองว่าเจ้าตัวยึดติดกับอะไรขึ้นมาแล้วล่ะก็ ความสนใจทั้งหมดก็จะถูกทุ่มให้กับสิ่งนั้นจนไม่สนใจว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างไรบ้าง เพียงแต่ความหัวแข็งแต่เกิดทำให้ยากเหลือเกินที่จะง้างปากกฤตภาสให้ยอมเอ่ยในสิ่งที่ตรงกับใจ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ศุภวัฒน์ก็อดจะขำกับตัวเองไม่ได้ เพราะท่าทางของธีระที่แสดงออกชัดๆ ว่ายังหวั่นไหวกับเพื่อนของเขาแต่กลับบอกว่าไม่ต้องการจะพบหน้าอีกแล้ว...แสดงว่าสองคนนี้ก็ปากไม่ตรงกับใจในระดับพอฟัดพอเหวี่ยงกันได้เลยทีเดียว
"นี่ตี้ เมื่อกี้ใครน่ะ?"
ศันสนีย์เอ่ยขึ้นเมื่อธีระออกมาข้างนอกแล้ว เธอแอบดึงเพื่อนมาถามหลังจากที่ปล่อยให้พราวภิรมย์ได้ถ่ายรูปคู่กับธีระจนพอใจ และตอนนี้เด็กสาวกำลังสนุกกับการถ่ายภาพเดี่ยวโดยให้สุเมธเป็นตากล้อง
"หมอเหวิน เป็นเพื่อนกับคุณกฤต เราเคยเจอเขาบ้างสองสามครั้งตอนยังฝึกงานน่ะ"
"หา! เพื่อนคุณกฤต!? อย่างนี้เขาจะไม่ไปบอกคุณกฤตเหรอว่าเจอแกแล้วน่ะ!?"
หญิงสาวส่งเสียงโวยวายอย่างตกใจ ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องราวละเอียด แต่เธอก็พอจะรู้ว่าธีระไม่ต้องการจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์หรืออะไรก็ตามแต่ที่เคยมีกับกฤตภาส ดังนั้นสีหน้าท่าทางสงบนิ่งของเพื่อนจึงทำให้รู้สึกร้อนใจแทน
"ไม่หรอก เราขอร้องไปแล้วว่าไม่ให้บอก หรือถึงหมอเหวินจะไปบอกจริงๆ...คุณกฤตก็อาจไม่ได้สนใจก็ได้ เราก็แค่คนที่ช่วงหนึ่งเคยผ่านเข้าไปในชีวิตเขาเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นสักหน่อย"
จะจริงหรือ...ศันสนีย์มองเพื่อนที่เดินยิ้มแย้มเข้าไปขอถ่ายรูปกับสุเมธและพราวภิรมย์บ้างแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว จริงอยู่ว่าธีระไม่เคยปริปากให้ฟังเลยว่าช่วงที่ฝึกงานสองเดือนนั้นได้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับกฤตภาส แต่พิจารณาจากรูปถ่ายในหนังสือพิมพ์ที่เคยได้เห็น แถมยังท่าทีของเจ้าตัวเองเวลาพูดถึงคู่กรณี เธอก็มั่นใจว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่อง 'ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น' เหมือนที่เพื่อนเอ่ยออกมาแน่
ก็ตามใจเถอะนะตี้ ถึงยังไงนี่ก็เป็นการตัดสินใจของแกเอง ฉันก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่แกเลือกจะเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุขก็แล้วกัน...
++------++